1. ภาพรวม
บทความนี้กล่าวถึงนาอูรู ประเทศเกาะและจุลรัฐในภูมิภาคไมโครนีเซีย ตอนกลางของมหาสมุทรแปซิฟิก นาอูรูมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เริ่มตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานของชาวไมโครนีเซียและพอลินีเซีย การตกเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิเยอรมัน ตามด้วยการเป็นดินแดนในอาณัติและในภาวะทรัสตีภายใต้การบริหารของออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสหราชอาณาจักร ก่อนจะได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1968 ประเทศเคยรุ่งเรืองอย่างมากจากอุตสาหกรรมฟอสเฟต แต่ทรัพยากรได้หมดสิ้นลง นำไปสู่วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและปัญหาสังคมมากมาย รวมถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงจากการทำเหมือง
ในด้านภูมิศาสตร์ นาอูรูเป็นเกาะหินฟอสเฟตขนาดเล็กที่มีลักษณะภูมิประเทศเฉพาะตัวและระบบนิเวศที่เปราะบาง การทำเหมืองได้เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของเกาะอย่างมาก ส่วนการเมือง นาอูรูเป็นสาธารณรัฐแบบประธานาธิบดี มีรัฐสภาแบบสภาเดียว ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของนาอูรูมีความซับซ้อน โดยเฉพาะกับออสเตรเลียในประเด็นศูนย์กักกันผู้ลี้ภัย ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและสังคมนาอูรู เศรษฐกิจของประเทศเคยพึ่งพาอุตสาหกรรมฟอสเฟตเป็นหลัก แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายในการกระจายความเสี่ยงและฟื้นฟูประเทศ
สังคมนาอูรูประกอบด้วยหลายเชื้อชาติ โดยมีชาวนาอูรูเป็นประชากรส่วนใหญ่ ประเทศเผชิญปัญหาสุขภาพที่สำคัญ โดยเฉพาะภาวะโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการพึ่งพาอาหารนำเข้า วัฒนธรรมดั้งเดิมของนาอูรูได้รับอิทธิพลจากตะวันตก แต่ยังคงมีการสืบทอดประเพณีและกีฬาที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น ออสเตรเลียนฟุตบอลและการยกน้ำหนัก การคมนาคมขนส่งทั้งภายในและระหว่างประเทศมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนบนเกาะแห่งนี้
2. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของนาอูรูครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานยุคแรกโดยชาวไมโครนีเซียและชาวพอลินีเซีย การค้นพบโดยชาวยุโรป การตกเป็นอาณานิคม การถูกยึดครองในช่วงสงครามโลกทั้งสองครั้ง จนกระทั่งได้รับเอกราช และเผชิญกับความรุ่งเรืองและวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรมฟอสเฟต ซึ่งส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของประเทศ
2.1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์และการตั้งถิ่นฐานยุคแรก
ชาวไมโครนีเซียและชาวพอลินีเซียเป็นชนกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในนาอูรูเมื่อประมาณ 3,000 ปีที่แล้ว หรือประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสตกาล มีหลักฐานที่บ่งชี้ถึงอิทธิพลของชาวพอลินีเซีย อย่างไรก็ตาม รายละเอียดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ของนาอูรูยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดนัก เนื่องจากยังขาดการสำรวจทางโบราณคดีและภาษาศาสตร์อย่างเพียงพอ แต่เชื่อกันว่าเกาะแห่งนี้เคยอยู่ในภาวะโดดเดี่ยวเป็นระยะเวลานาน ซึ่งส่งผลให้ภาษาของชาวพื้นเมืองมีความแตกต่างจากภาษาอื่น ๆ ในภูมิภาค

ตามธรรมเนียมแล้ว สังคมนาอูรูประกอบด้วย 12 ชนเผ่าหรือตระกูล ซึ่งสัญลักษณ์ดาว 12 แฉกบนธงชาตินาอูรูก็สื่อถึงชนเผ่าทั้ง 12 นี้ ประเพณีดั้งเดิมของชาวนาอูรูสืบเชื้อสายทางมารดา (matrilineal) ชนพื้นเมืองมีความชำนาญในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยพวกเขาจับลูกปลานวลจันทร์ทะเล (ชาวนาอูรูเรียกว่า อีบีจา (Ibija)) มาปรับตัวให้ชินกับสภาพแวดล้อมในน้ำจืดและเลี้ยงไว้ในทะเลสาบบัวดา ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มั่นคงสำหรับชาวเกาะ การตกปลาตามแนวพืดหินปะการังจากเรือแคนูหรือการใช้นกเรือปืนใหญ่ที่ได้รับการฝึกฝนมานั้นสงวนไว้สำหรับผู้ชายเท่านั้น นอกจากนี้ อาหารหลักของพวกเขายังประกอบด้วยพืชท้องถิ่น เช่น มะพร้าวและผลของต้นเตยทะเล คำว่า "นาอูรู" (Nauru) สันนิษฐานว่าอาจมาจากคำในภาษานาอูรูว่า Anáoeroอาเนโอเอโรภาษานาอูรู ซึ่งมีความหมายว่า "ฉันไปชายหาด"
2.2. การค้นพบโดยชาวยุโรปและการล่าอาณานิคม
ในปี ค.ศ. 1798 จอห์น เฟิร์น (John Fearn) นักล่าวาฬชาวอังกฤษ กลายเป็นชาวยุโรปคนแรกที่เดินทางมาถึงเกาะนาอูรู เขาได้ตั้งชื่อเกาะแห่งนี้ว่า "เกาะพลีแซนต์" (Pleasant Island) เนื่องจากความสวยงามของเกาะ ชื่อนี้ถูกใช้เรียกเกาะนาอูรูจนกระทั่งจักรวรรดิเยอรมันเข้าผนวกเกาะเป็นอาณานิคมในอีก 90 ปีต่อมา
ตั้งแต่ราวทศวรรษ 1830 ชาวนาอูรูเริ่มมีการติดต่อกับเรือล่าวาฬของชาวตะวันตก ซึ่งมักจะแวะมาที่เกาะเพื่อหาเสบียงและน้ำจืด ในช่วงเวลานี้เองที่ลูกเรือบางส่วนที่หนีออกจากเรือล่าวาฬเริ่มเข้ามาตั้งรกรากบนเกาะ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนค้าขายระหว่างชาวเกาะกับชาวตะวันตกมากขึ้น โดยชาวเกาะจะนำอาหารไปแลกกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เหล้าอุ (palm wine) และอาวุธปืน อาวุธเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในสงครามกลางเมืองนาอูรู ซึ่งเป็นสงครามระหว่างชนเผ่าต่าง ๆ บนเกาะที่กินเวลานาน 10 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1878 ถึง ค.ศ. 1888
หลังจากการทำข้อตกลงกับสหราชอาณาจักร จักรวรรดิเยอรมันได้ผนวกเกาะนาอูรูเข้าเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะมาร์แชลล์ในอารักขาของเยอรมนี (German Marshall Islands Protectorate) ในปี ค.ศ. 1888 เพื่อความสะดวกในการปกครอง การเข้ามาของเยอรมนีทำให้สงครามกลางเมืองระหว่างชนเผ่าสิ้นสุดลง และมีการสถาปนาระบบกษัตริย์ขึ้นปกครองเกาะ โดยพระเจ้าโอเวย์ดาแห่งนาอูรู (King Auweyida) เป็นกษัตริย์นาอูรูที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวเยอรมันเรียกเกาะนี้ว่า "นาโวโด" (Nawodo) หรือ "โอนาเวโร" (Onawero) เยอรมนีปกครองนาอูรูเป็นเวลาเกือบสามทศวรรษ โรแบร์ต รัช (Robert Rasch) พ่อค้าชาวเยอรมันที่แต่งงานกับหญิงชาวนาอูรูอายุ 15 ปี ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารคนแรกของเกาะในปี ค.ศ. 1890
ในปี ค.ศ. 1888 เช่นกัน คณะมิชชันนารีคริสเตียนจากหมู่เกาะกิลเบิร์ตได้เดินทางมาถึงและเริ่มเผยแผ่ศาสนาบนเกาะ
ต่อมาในปี ค.ศ. 1900 นักสำรวจแร่ชื่อ อัลเบิร์ต ฟูลเลอร์ เอลลิส (Albert Fuller Ellis) ได้ค้นพบแหล่งแร่ฟอสเฟตจำนวนมหาศาลบนเกาะนาอูรู บริษัทแปซิฟิกฟอสเฟต (Pacific Phosphate Company) ของอังกฤษได้ทำข้อตกลงกับเยอรมนีเพื่อเริ่มทำเหมืองฟอสเฟตในปี ค.ศ. 1906 และเริ่มส่งออกแร่ฟอสเฟตเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1907
2.3. ดินแดนในอาณัติและในภาวะทรัสตี
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อปี ค.ศ. 1914 กองทัพออสเตรเลียได้เข้ายึดครองนาอูรูจากเยอรมนี หลังสงครามสิ้นสุดลง ในปี ค.ศ. 1919 ฝ่ายสัมพันธมิตรอันได้แก่ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ได้ลงนามในข้อตกลงเกาะนาอูรู (Nauru Island Agreement) ซึ่งจัดตั้งคณะกรรมาธิการฟอสเฟตแห่งอังกฤษ (British Phosphate Commissioners - BPC) ขึ้นเพื่อบริหารจัดการการทำเหมืองฟอสเฟตบนเกาะ และในปี ค.ศ. 1920 สันนิบาตชาติได้กำหนดให้นาอูรูเป็นดินแดนในอาณัติของสันนิบาตชาติประเภท C โดยมอบหมายให้ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และนิวซีแลนด์ร่วมกันเป็นผู้บริหาร (แม้ในทางปฏิบัติ ออสเตรเลียจะเป็นผู้มีบทบาทหลักในการบริหาร)
ในปี ค.ศ. 1920 เกาะนาอูรูเผชิญกับการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ครั้งรุนแรง ส่งผลให้ชาวนาอูรูเสียชีวิตไปถึงร้อยละ 18 ของประชากรทั้งหมด ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในวันที่ 6 และ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1940 เรือช่วยรบของเยอรมนีชื่อ โคเม็ท (Komet) และ โอไรออน (Orion) ได้ทำการโจมตีเรืออุปทาน 5 ลำในบริเวณใกล้เคียงเกาะนาอูรู และเรือโคเม็ทยังได้ระดมยิงไปยังพื้นที่ทำเหมืองฟอสเฟต คลังเก็บน้ำมัน และโครงสร้างพื้นฐานสำหรับขนถ่ายแร่ของเกาะอีกด้วย

กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นได้เข้ายึดครองนาอูรูเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1942 ญี่ปุ่นได้สร้างสนามบิน 2 แห่งบนเกาะ ซึ่งต่อมาถูกทิ้งระเบิดครั้งแรกโดยกองทัพอากาศสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1943 เพื่อตัดเส้นทางลำเลียงเสบียงอาหารมายังเกาะ ญี่ปุ่นได้บังคับเกณฑ์ชาวนาอูรูจำนวน 1,200 คนไปเป็นแรงงานที่หมู่เกาะชุก (Chuuk Islands) ซึ่งอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่นเช่นกัน นาอูรูถูกฝ่ายสัมพันธมิตรข้ามไปในระหว่างการดำเนินกลยุทธ์กบกระโดด (island hopping) ในมหาสมุทรแปซิฟิก

นาอูรูได้รับการปลดปล่อยจากการยึดครองของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 1945 เมื่อผู้บัญชาการกองกำลังญี่ปุ่น พลเรือตรี โซเอดะ ฮิซายูกิ (Hisayaki Soeda) ยอมจำนนต่อกองทัพออสเตรเลียและกองทัพเรือออสเตรเลียบนเรือรบหลวงเดียมันตินา (HMAS Diamantina) การยอมจำนนนี้ได้รับการรับรองโดยพลจัตวา จอห์น โรลสโตน สตีเวนสัน (John Rowlstone Stevenson) ซึ่งเป็นตัวแทนของพลโท เวอร์นอน สเตอร์ดี (Vernon Sturdee) ผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่งของออสเตรเลีย มีการดำเนินการเพื่อส่งตัวชาวนาอูรูจำนวน 745 คนที่รอดชีวิตจากการถูกคุมขังในหมู่เกาะชุกกลับคืนสู่มาตุภูมิ พวกเขาเดินทางกลับถึงนาอูรูในเดือนมกราคม ค.ศ. 1946 โดยเรือ Trienza ของคณะกรรมาธิการฟอสเฟตแห่งอังกฤษ
ในปี ค.ศ. 1947 สหประชาชาติได้สถาปนาให้นาอูรูเป็นดินแดนในภาวะทรัสตีของสหประชาชาติ โดยมีออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และนิวซีแลนด์เป็นผู้บริหารร่วมกันอีกครั้ง ในทางปฏิบัติ อำนาจการบริหารส่วนใหญ่อยู่ในมือของออสเตรเลีย
ในปี ค.ศ. 1948 เกิดเหตุการณ์จลาจลขึ้น เมื่อคนงานเหมืองฟอสเฟตชาวจีนหยุดงานประท้วงเรื่องค่าจ้างและสภาพการทำงาน รัฐบาลออสเตรเลียได้ประกาศภาวะฉุกเฉินและระดมกำลังตำรวจพื้นเมืองและอาสาสมัครชาวท้องถิ่นรวมถึงเจ้าหน้าที่ชาวออสเตรเลียเข้าปราบปราม กองกำลังได้เปิดฉากยิงใส่คนงานชาวจีน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 รายและบาดเจ็บ 16 ราย คนงานประมาณ 50 คนถูกจับกุม และในจำนวนนี้มี 2 คนถูกแทงด้วยดาบปลายปืนเสียชีวิตขณะถูกคุมขัง ทหารที่ก่อเหตุถูกตั้งข้อหาแต่ภายหลังศาลตัดสินให้พ้นผิดโดยอ้างว่าบาดแผลเกิดขึ้น "โดยอุบัติเหตุ" เหตุการณ์นี้ทำให้รัฐบาลสหภาพโซเวียตและจีนยื่นเรื่องร้องเรียนอย่างเป็นทางการต่อสหประชาชาติเกี่ยวกับพฤติกรรมของออสเตรเลีย
ในช่วงทศวรรษ 1960 มีการเสนอให้ย้ายประชากรทั้งหมดของนาอูรูไปยังเกาะเคอร์ติส (Curtis Island) นอกชายฝั่งรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย เนื่องจากขณะนั้นเกาะนาอูรูถูกทำเหมืองฟอสเฟตอย่างหนักโดยบริษัทจากออสเตรเลีย อังกฤษ และนิวซีแลนด์ จนภูมิทัศน์เสียหายอย่างรุนแรงและคาดการณ์กันว่าเกาะจะไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ภายในทศวรรษ 1990 การฟื้นฟูเกาะถูกมองว่าเป็นไปไม่ได้ในทางการเงิน ในปี ค.ศ. 1962 นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย โรเบิร์ต เมนซีส์ กล่าวว่าทั้งสามประเทศที่เกี่ยวข้องกับการทำเหมืองมีภาระผูกพันที่จะต้องหาทางออกให้กับชาวนาอูรู และเสนอให้หาเกาะใหม่ให้พวกเขา ในปี ค.ศ. 1963 รัฐบาลออสเตรเลียเสนอที่จะซื้อที่ดินทั้งหมดบนเกาะเคอร์ติส (ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่านาอูรูมาก) และจากนั้นจะเสนอให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินบนเกาะแก่ชาวนาอูรู และชาวนาอูรูจะกลายเป็นพลเมืองออสเตรเลีย ค่าใช้จ่ายในการตั้งถิ่นฐานใหม่บนเกาะเคอร์ติสคาดว่าจะอยู่ที่ 10.00 M AUD (เทียบเท่าประมาณ 324.00 M AUD ในปี ค.ศ. 2022) ซึ่งรวมถึงค่าที่อยู่อาศัย โครงสร้างพื้นฐาน และการจัดตั้งอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ เกษตรกรรม และการประมง อย่างไรก็ตาม ชาวนาอูรูไม่ต้องการเป็นพลเมืองออสเตรเลียและต้องการได้รับอธิปไตยเหนือเกาะเคอร์ติสเพื่อสถาปนาตนเองเป็นชาติเอกราช ซึ่งออสเตรเลียไม่เห็นด้วย ดังนั้น นาอูรูจึงปฏิเสธข้อเสนอที่จะย้ายไปยังเกาะเคอร์ติส และเลือกที่จะเป็นชาติเอกราชที่ดำเนินกิจการเหมืองแร่บนเกาะนาอูรูต่อไป
2.4. เอกราช
นาอูรูได้รับสิทธิในการปกครองตนเองในเดือนมกราคม ค.ศ. 1966 และหลังจากการประชุมร่างรัฐธรรมนูญเป็นเวลาสองปี นาอูรูก็ได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์เมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1968 ภายใต้การนำของประธานาธิบดีผู้ก่อตั้งประเทศคือ แฮมเมอร์ ดีโรเบิร์ต (Hammer DeRoburt) ในปีเดียวกัน นาอูรูได้เข้าร่วมเครือจักรภพแห่งชาติในฐานะสมาชิกพิเศษ
ในปี ค.ศ. 1967 ประชาชนชาวนาอูรูได้ซื้อทรัพย์สินของคณะกรรมาธิการฟอสเฟตแห่งอังกฤษ และในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1970 การควบคุมการทำเหมืองฟอสเฟตได้เปลี่ยนไปอยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทฟอสเฟตแห่งนาอูรู (Nauru Phosphate Corporation - NPC) ซึ่งเป็นของคนท้องถิ่น การสร้างชาติในระยะแรกมุ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการทรัพยากรฟอสเฟตเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศ
2.5. พัฒนาการและวิกฤตการณ์หลังเอกราช
หลังได้รับเอกราช นาอูรูมีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจอย่างมากจากอุตสาหกรรมฟอสเฟตในช่วงทศวรรษ 1960 ถึง 1980 รายได้จากการส่งออกฟอสเฟตทำให้ชาวนาอูรูมีรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกในขณะนั้น และมีมาตรฐานการครองชีพที่ดีเยี่ยม รัฐบาลได้จัดตั้งกองทุนทรัสต์ (Nauru Phosphate Royalties Trust) เพื่อบริหารจัดการความมั่งคั่งที่ได้จากการทำเหมือง และเตรียมไว้สำหรับอนาคตเมื่อทรัพยากรฟอสเฟตหมดลง
อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1989 นาอูรูได้ยื่นฟ้องออสเตรเลียต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เกี่ยวกับการบริหารเกาะของออสเตรเลีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความล้มเหลวของออสเตรเลียในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการทำเหมืองฟอสเฟต คดี Certain Phosphate Lands: Nauru v. Australiaคดีที่ดินฟอสเฟตบางส่วน: นาอูรู พบ ออสเตรเลียภาษาอังกฤษ จบลงด้วยการประนีประนอมยอมความนอกศาล โดยออสเตรเลียตกลงที่จะจ่ายค่าชดเชยเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ถูกทำลายจากการทำเหมืองในนาอูรู
เมื่อทรัพยากรฟอสเฟตเริ่มหมดสิ้นลงในช่วงทศวรรษ 1990 และประกอบกับการบริหารจัดการกองทุนทรัสต์ที่ผิดพลาด (เช่น การลงทุนในละครเพลง Leonardo the Musicalเลโอนาร์โด เดอะมิวสิคัลภาษาอังกฤษ ที่ล้มเหลว การขายอาคารนาอูรูเฮาส์ (Nauru House) ในเมลเบิร์น และการยึดเครื่องบินของสายการบินแอร์นาอูรู) ทำให้เศรษฐกิจของนาอูรูเผชิญกับวิกฤตการณ์อย่างรุนแรง รัฐบาลนาอูรูพยายามหารายได้ด้วยการเปลี่ยนประเทศเป็นแหล่งหลบเลี่ยงภาษีและศูนย์กลางการฟอกเงินที่ผิดกฎหมาย ซึ่งนำไปสู่การถูกจัดให้อยู่ในบัญชีดำของคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน (FATF) ก่อนที่จะถูกถอดออกจากบัญชีในภายหลังเมื่อมีการปรับปรุงกฎหมาย
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 นาอูรูได้ทำข้อตกลงกับออสเตรเลียเพื่อจัดตั้งศูนย์ประมวลผลภูมิภาคนาอูรู (Nauru Regional Processing Centre) ซึ่งเป็นศูนย์กักกันผู้ลี้ภัยนอกชายฝั่งของออสเตรเลีย เพื่อแลกกับความช่วยเหลือทางการเงิน ข้อตกลงนี้ดำเนินไปจนถึงปี ค.ศ. 2008 และเปิดดำเนินการอีกครั้งในปี ค.ศ. 2012 นโยบายนี้ก่อให้เกิดข้อถกเถียงด้านสิทธิมนุษยชนและส่งผลกระทบต่อสังคมนาอูรูอย่างมาก
ปัจจุบัน นาอูรูกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมครั้งสำคัญ ท่ามกลางความพยายามในการฟื้นฟูประเทศและกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ เช่น การสำรวจความเป็นไปได้ในการทำเหมืองใต้ทะเลลึก แต่ก็ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างรอบคอบ ในช่วงการระบาดทั่วของโควิด-19 นาอูรูได้ประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 2020 เพื่อควบคุมการระบาด
3. ภูมิศาสตร์
นาอูรูเป็นเกาะรูปไข่ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก มีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการทำเหมืองฟอสเฟต และมีภูมิอากาศแบบร้อนชื้นภาคพื้นสมุทร
3.1. ลักษณะภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อม

ประเทศนาอูรูมีพื้นที่ 21 adj=on เป็นเกาะรูปไข่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากเส้นศูนย์สูตรไปทางใต้ประมาณ 55.95 km เกาะแห่งนี้ล้อมรอบด้วยพืดหินปะการังชายฝั่ง ซึ่งจะปรากฏให้เห็นในช่วงน้ำลงและมีลักษณะเป็นยอดแหลม การมีอยู่ของพืดหินปะการังทำให้ไม่สามารถสร้างท่าเรือน้ำลึกได้ แม้ว่าจะมีช่องทางเดินเรือในแนวปะการังที่อนุญาตให้เรือขนาดเล็กเข้าเทียบท่าได้ก็ตาม ถัดจากชายหาดเข้ามาในแผ่นดินเป็นที่ราบชายฝั่งที่อุดมสมบูรณ์ กว้างประมาณ 150 m
หน้าผาปะการังล้อมรอบที่ราบสูงตอนกลางของนาอูรู จุดที่สูงที่สุดของที่ราบสูงเรียกว่า คอมมานด์ริดจ์ (Command Ridge) มีความสูง 71 m เหนือระดับน้ำทะเล พื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์เพียงแห่งเดียวของนาอูรูคือบริเวณแถบชายฝั่งแคบ ๆ ซึ่งเป็นที่ที่ต้นมะพร้าวเจริญเติบโตได้ดี ส่วนพื้นที่รอบ ๆ ทะเลสาบบัวดา (Buada Lagoon) ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดเพียงแห่งเดียวของเกาะ สามารถปลูกกล้วย สับปะรด ผัก เตยทะเล และไม้เนื้อแข็งพื้นเมือง เช่น ต้นกระทิง (Calophyllum inophyllumภาษาละติน) ได้
นาอูรูเคยเป็นหนึ่งในสามเกาะหินฟอสเฟตที่สำคัญในมหาสมุทรแปซิฟิก ร่วมกับเกาะบานาบา (Banaba หรือ Ocean Island) ในประเทศคิริบาส และเกาะมาคาเทีย (Makatea) ในเฟรนช์พอลินีเชีย ปัจจุบันปริมาณสำรองฟอสเฟตบนเกาะนาอูรูเกือบหมดสิ้นแล้ว การทำเหมืองฟอสเฟตบนที่ราบสูงตอนกลางได้ทิ้งไว้ซึ่งภูมิประเทศที่แห้งแล้ง เป็นยอดหินปูนแหลมคมสูงถึง 15 m การทำเหมืองได้ทำลายพื้นที่ประมาณร้อยละ 80 ของเกาะนาอูรู ทำให้ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ และยังส่งผลกระทบต่อเขตเศรษฐกิจจำเพาะโดยรอบ โดยคาดการณ์ว่าสิ่งมีชีวิตในทะเลประมาณร้อยละ 40 ได้ตายลงจากตะกอนและน้ำชะฟอสเฟตที่ไหลลงสู่ทะเล
เกาะนาอูรูไม่มีแม่น้ำ และไม่มีการไหลเข้าหรือออกจากทะเลสาบบัวดา ซึ่งเป็นแอ่งปิด (endorheic basin)
3.2. ภูมิอากาศ
ภูมิอากาศของนาอูรูเป็นแบบร้อนชื้นภาคพื้นสมุทร เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรและล้อมรอบด้วยมหาสมุทร นาอูรูได้รับอิทธิพลจากฝนมรสุมระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ ปริมาณน้ำฝนรายปีมีความผันแปรสูงและได้รับอิทธิพลจากปรากฏการณ์เอลนีโญ-ความผันผวนซีกโลกใต้ (El Niño-Southern Oscillation) ซึ่งเคยทำให้เกิดภาวะแห้งแล้งรุนแรงหลายครั้ง อุณหภูมิบนเกาะนาอูรูโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 30 °C ถึง 35 °C ในตอนกลางวัน และค่อนข้างคงที่ประมาณ 25 °C ในตอนกลางคืน
นาอูรูไม่มีแม่น้ำหรือลำธาร การจัดหาน้ำจืดส่วนใหญ่มาจากการรวบรวมน้ำฝนจากระบบกักเก็บบนหลังคา หรือนำเข้ามากับเรือบรรทุกสินค้าที่เดินทางกลับมารับแร่ฟอสเฟต
ลักษณะภูมิอากาศ | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. | ก.ย. | ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ทั้งปี |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึก (°C) | 34 | 37 | 35 | 35 | 32 | 32 | 35 | 33 | 35 | 34 | 36 | 35 | 37 |
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย (°C) | 30 | 30 | 30 | 30 | 30 | 30 | 30 | 30 | 30 | 31 | 31 | 31 | 30.3 |
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย (°C) | 25 | 25 | 25 | 25 | 25 | 25 | 25 | 25 | 25 | 25 | 25 | 25 | 25 |
อุณหภูมิต่ำสุดที่เคยบันทึก (°C) | 21 | 21 | 21 | 21 | 20 | 21 | 20 | 21 | 20 | 21 | 21 | 21 | 20 |
ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย (มม.) | 280 | 250 | 190 | 190 | 120 | 110 | 150 | 130 | 120 | 100 | 120 | 280 | 2080 |
จำนวนวันที่มีหยาดน้ำฟ้าโดยเฉลี่ย | 16 | 14 | 13 | 11 | 9 | 9 | 12 | 14 | 11 | 10 | 13 | 15 | 152 |
แหล่งที่มา: Weatherbase |
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาสำคัญสำหรับนาอูรู เนื่องจากเป็นเกาะต่ำ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นเป็นภัยคุกคามต่อพื้นที่ชายฝั่งและการจัดหาน้ำจืด
3.3. ระบบนิเวศ


สัตว์ประจำถิ่นบนเกาะนาอูรูมีจำนวนน้อย เนื่องจากขาดพืชพรรณและความเสียหายจากการทำเหมืองฟอสเฟต นกพื้นเมืองหลายชนิดได้สูญหายไปหรือกลายเป็นสัตว์หายากเนื่องจากการทำลายถิ่นที่อยู่ มีการบันทึกพืชมีท่อลำเลียงพื้นเมืองประมาณ 60 ชนิดบนเกาะ ซึ่งไม่มีชนิดใดเป็นสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่น การทำฟาร์มมะพร้าว การทำเหมือง และชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ถูกนำเข้ามา ได้รบกวนพืชพรรณพื้นเมืองอย่างรุนแรง
ไม่มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบกพื้นเมืองบนเกาะ แต่มีแมลงพื้นเมือง ปูบก และนก รวมถึงนกกระจิบนาอูรู (Nauru reed warbler) ซึ่งเป็นนกเฉพาะถิ่น ส่วนหนูพอลินีเชีย แมว สุนัข หมู และไก่ เป็นชนิดพันธุ์ที่ถูกนำเข้ามายังนาอูรูโดยทางเรือ
ระบบนิเวศทางทะเลรอบเกาะนาอูรูมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ซึ่งทำให้การตกปลาเป็นกิจกรรมยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว เช่นเดียวกับการดำน้ำลึกและการดำน้ำตื้น อย่างไรก็ตาม ระบบนิเวศทางทะเลก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการทำเหมืองฟอสเฟตเช่นกัน โดยตะกอนและน้ำชะฟอสเฟตที่ไหลลงสู่ทะเลได้ทำลายแนวปะการังและสิ่งมีชีวิตในทะเลจำนวนมาก
4. การเมือง
นาอูรูเป็นสาธารณรัฐระบบประธานาธิบดี มีโครงสร้างรัฐบาลที่ประกอบด้วยฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ รัฐสภาเป็นแบบสภาเดียว และประเทศมีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 14 เขต แม้ว่าโครงสร้างพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการจะยังไม่เข้มแข็ง แต่ก็มีกลุ่มพันธมิตรทางการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในการเมืองของประเทศ
4.1. โครงสร้างรัฐบาลและรัฐสภา

นาอูรูเป็นสาธารณรัฐที่มีระบบการปกครองแบบระบบรัฐสภา ประธานาธิบดีเป็นทั้งประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาล และต้องได้รับความไว้วางใจจากรัฐสภาเพื่อดำรงตำแหน่งต่อไป รัฐสภาแห่งนาอูรูเป็นแบบสภาเดียว ประกอบด้วยสมาชิก 19 คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งทุก 3 ปี สมาชิกรัฐสภาจะเลือกประธานาธิบดีจากในหมู่สมาชิกด้วยกัน และประธานาธิบดีจะแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีจำนวน 5 ถึง 6 คน
ผลจากการประชามติในปี ค.ศ. 2021 พลเมืองที่แปลงสัญชาติและทายาทของพวกเขาถูกห้ามไม่ให้เป็นสมาชิกรัฐสภา
นาอูรูไม่มีโครงสร้างพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการ และผู้สมัครมักจะลงสมัครรับเลือกตั้งในฐานะอิสระ สมาชิกรัฐสภาชุดปัจจุบัน 15 คนจากทั้งหมด 19 คนเป็นผู้สมัครอิสระ พรรคการเมืองที่เคยมีบทบาทในนาอูรู ได้แก่ พรรคนาอูรู (Nauru Party) พรรคประชาธิปไตยแห่งนาอูรู (Democratic Party) พรรคนาอูรูเฟิร์ส (Nauru First) และพรรคกลาง (Centre Party) อย่างไรก็ตาม การรวมกลุ่มพันธมิตรทางการเมืองภายในรัฐบาลมักจะขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ทางเครือญาติมากกว่าการสังกัดพรรคการเมือง
ระหว่างปี ค.ศ. 1992 ถึง 1999 นาอูรูมีระบบการปกครองท้องถิ่นที่เรียกว่า สภาเกาะนาอูรู (Nauru Island Council - NIC) ซึ่งเป็นผู้สืบทอดต่อจากสภาการปกครองท้องถิ่นนาอูรู (Nauru Local Government Council) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1951 สภาที่มีสมาชิก 9 คนนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้บริการในระดับเทศบาล สภา NIC ถูกยุบในปี ค.ศ. 1999 และทรัพย์สินรวมถึงหนี้สินทั้งหมดได้ตกทอดไปยังรัฐบาลแห่งชาติ
การถือครองที่ดินในนาอูรูมีลักษณะพิเศษคือ ชาวนาอูรูทุกคนมีสิทธิบางประการในที่ดินทั้งหมดบนเกาะ ซึ่งเป็นของบุคคลและกลุ่มครอบครัว หน่วยงานของรัฐและบริษัทเอกชนไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินใด ๆ และพวกเขาจะต้องทำข้อตกลงเช่ากับเจ้าของที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์จากที่ดิน ผู้ที่ไม่ใช่ชาวนาอูรูไม่สามารถเป็นเจ้าของที่ดินบนเกาะได้
4.2. ระบบตุลาการ
ศาลฎีกาแห่งนาอูรู (Supreme Court of Nauru) ซึ่งนำโดยหัวหน้าผู้พิพากษา เป็นศาลสูงสุดในประเด็นทางรัฐธรรมนูญ คดีอื่น ๆ สามารถอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์แห่งนาอูรู (Nauru Court of Appeal) ซึ่งมีผู้พิพากษาสองคน รัฐสภาไม่สามารถลบล้างคำตัดสินของศาลได้ ในอดีต คำตัดสินของศาลอุทธรณ์สามารถอุทธรณ์ไปยังศาลสูงแห่งออสเตรเลีย (High Court of Australia) ได้ แม้ว่ากรณีนี้จะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก และเขตอำนาจศาลอุทธรณ์ของศาลออสเตรเลียได้สิ้นสุดลงโดยสิ้นเชิงเมื่อวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 2018 หลังจากรัฐบาลนาอูรูยุติข้อตกลงดังกล่าวฝ่ายเดียว ศาลชั้นต้นประกอบด้วยศาลแขวง (District Court) และศาลครอบครัว (Family Court) ซึ่งทั้งสองศาลมีผู้พิพากษาประจำ (Resident Magistrate) เป็นหัวหน้า ผู้พิพากษาประจำยังทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนของศาลฎีกาอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีศาลกึ่งยุติธรรมอีกสองแห่งคือ คณะกรรมการอุทธรณ์ข้าราชการพลเรือน (Public Service Appeal Board) และคณะกรรมการอุทธรณ์ตำรวจ (Police Appeal Board) ซึ่งทั้งสองแห่งมีหัวหน้าผู้พิพากษาเป็นประธาน
4.3. การแบ่งเขตการปกครอง
นาอูรูแบ่งออกเป็น 14 เขตการปกครอง ซึ่งรวมกลุ่มกันเป็นเขตเลือกตั้ง 8 เขต และยังแบ่งย่อยออกเป็นหมู่บ้านต่างๆ อีกด้วย เขตที่มีประชากรมากที่สุดคือ เขตเดนิโกโมดู มีประชากร 1,804 คน โดย 1,497 คนอาศัยอยู่ในนิคมของบริษัทฟอสเฟตแห่งสาธารณรัฐนาอูรูที่เรียกว่า "โลเคชัน" (Location) ตารางต่อไปนี้แสดงจำนวนประชากรตามเขต จากการสำรวจสำมะโนประชากรปี ค.ศ. 2011:
ลำดับ | เขต | ชื่อเดิม | พื้นที่ (เฮกตาร์) | ประชากร (ค.ศ. 2011) | จำนวน หมู่บ้าน | ความหนาแน่น (คน/เฮกตาร์) |
---|---|---|---|---|---|---|
1 | อาอีโว | Aiue | 110 | 1,220 | 8 | 11.1 |
2 | อานาบาร์ | Anebwor | 150 | 452 | 15 | 3.0 |
3 | อาเนตัน | Añetañ | 100 | 587 | 12 | 5.9 |
4 | อานีบาเร | Anybody | 310 | 226 | 17 | 0.7 |
5 | บาอีตี | Beidi, Baiti | 120 | 513 | 15 | 4.3 |
6 | โบเอ | Boi | 50 | 851 | 4 | 17.0 |
7 | บูอาดา | Arenibok | 260 | 739 | 14 | 2.8 |
8 | เดนิโกโมดู | Denikomotu | 118 | 1,804 | 17 | 15.3 |
9 | เอวา | Eoa | 120 | 446 | 12 | 3.7 |
10 | อีจูว์ | Ijub | 110 | 178 | 13 | 1.6 |
11 | เมเนง | Meneñ | 310 | 1,380 | 18 | 4.5 |
12 | นีบ็อก | Ennibeck | 160 | 484 | 11 | 3.0 |
13 | อูอาโบเอ | Ueboi | 80 | 318 | 6 | 3.0 |
14 | ยาเรน | Moqua | 150 | 747 | 7 | 4.0 |
- | นาอูรู | Naoero | 2,120 | 10,084 | 169 | 4.8 |
5. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
นโยบายต่างประเทศของนาอูรูมุ่งเน้นไปที่การรักษาความสัมพันธ์กับประเทศสำคัญ โดยเฉพาะออสเตรเลีย และการมีส่วนร่วมในองค์การระหว่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงทางการทูตระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) รวมถึงประเด็นศูนย์กักกันผู้ลี้ภัย เป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อนโยบายต่างประเทศและสถานะของนาอูรูในประชาคมโลก
5.1. ความสัมพันธ์กับประเทศสำคัญ
นาอูรูมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับออสเตรเลีย ซึ่งเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการป้องกันประเทศรายใหญ่แก่นาอูรู ภายใต้บันทึกความเข้าใจที่ลงนามในปี ค.ศ. 2005 ออสเตรเลียให้ความช่วยเหลือทางการเงินและทางเทคนิคแก่นาอูรู รวมถึงการส่งที่ปรึกษาด้านการเงิน สาธารณสุข และการศึกษา เพื่อแลกกับการที่นาอูรูอนุญาตให้จัดตั้งศูนย์ประมวลผลภูมิภาคนาอูรู (Nauru Regional Processing Centre) สำหรับผู้ขอลี้ภัยเข้าออสเตรเลีย ความสัมพันธ์นี้ทำให้แหล่งข้อมูลบางแห่งระบุว่านาอูรูเป็นรัฐบริวารของออสเตรเลีย และนโยบายนี้ได้จุดประเด็นความกังวลด้านสิทธิมนุษยชนอย่างมาก
สำหรับความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีน (จีนแผ่นดินใหญ่) และสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) นาอูรูได้เปลี่ยนแปลงการรับรองทางการทูตหลายครั้งเพื่อแลกกับความช่วยเหลือทางการเงิน เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 2002 นาอูรูได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 130.00 M USD ทำให้สาธารณรัฐจีนตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับนาอูรูในอีกสองวันต่อมา อย่างไรก็ตาม นาอูรูได้สถาปนาความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐจีนอีกครั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2005 และตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 2005 ล่าสุด เมื่อวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 2024 นาอูรูได้ตัดความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐจีนและสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงทางการทูตเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของนาอูรูในการแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสูงสุด โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนนาอูรูเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ ในปี ค.ศ. 2009 นาอูรูเป็นประเทศที่สี่ต่อจากรัสเซีย นิการากัว และเวเนซุเอลา ที่ให้การรับรองเอกราชของอับคาเซียและเซาท์ออสซีเชีย ซึ่งเป็นสาธารณรัฐปกครองตนเองที่แยกตัวออกจากจอร์เจีย มีรายงานว่ารัสเซียได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่นาอูรูมูลค่า 50.00 M USD เพื่อเป็นการตอบแทนการรับรองดังกล่าว รัฐบาลนาอูรูอ้างว่าความช่วยเหลือนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการรับรองเอกราช
โครงการตรวจวัดรังสีบรรยากาศ (Atmospheric Radiation Measurement - ARM) ของสหรัฐอเมริกาได้ดำเนินการสถานีตรวจวัดสภาพภูมิอากาศบนเกาะนาอูรู
5.2. การเป็นสมาชิกองค์การระหว่างประเทศ
หลังได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1968 นาอูรูได้เข้าร่วมเครือจักรภพแห่งประชาชาติในฐานะสมาชิกพิเศษ และได้เป็นสมาชิกเต็มตัวในปี ค.ศ. 1999 (แม้ว่าสถานะจะมีการเปลี่ยนแปลงกลับเป็นสมาชิกพิเศษอีกครั้งในปี ค.ศ. 2005 และกลับมาเป็นสมาชิกเต็มตัวอีกครั้งในภายหลัง) นาอูรูเข้าเป็นสมาชิกของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชียในปี ค.ศ. 1991 และสหประชาชาติในปี ค.ศ. 1999 นาอูรูยังเป็นสมาชิกของประชาคมแปซิฟิก (Pacific Community) และสำนักเลขาธิการโครงการสิ่งแวดล้อมภูมิภาคแปซิฟิก (South Pacific Regional Environment Programme - SPREP) รวมถึงคณะกรรมาธิการธรณีศาสตร์ประยุกต์แปซิฟิกใต้ (South Pacific Applied Geoscience Commission - SOPAC)
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 นาอูรูได้ประกาศถอนตัวอย่างเป็นทางการจากกรอบการประชุมหมู่เกาะแปซิฟิก (Pacific Islands Forum - PIF) ในแถลงการณ์ร่วมกับหมู่เกาะมาร์แชลล์ คิริบาส และสหพันธรัฐไมโครนีเซีย หลังจากเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับการเลือกตั้งเลขาธิการของ PIF การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดภายในกลุ่มประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก และความพยายามของกลุ่มประเทศไมโครนีเซียในการแสดงจุดยืนร่วมกัน
5.3. นโยบายผู้ลี้ภัยและศูนย์กักกัน

ศูนย์ประมวลผลภูมิภาคนาอูรู (Nauru Regional Processing Centre) เป็นศูนย์กักกันผู้ลี้ภัยนอกชายฝั่งของออสเตรเลียที่ดำเนินการบนเกาะนาอูรู ศูนย์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2001 ภายใต้นโยบาย "แปซิฟิกโซลูชัน" (Pacific Solution) ของรัฐบาลออสเตรเลียในสมัยนายกรัฐมนตรีจอห์น ฮาวเวิร์ด โดยนาอูรูได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากออสเตรเลียเป็นการตอบแทน ศูนย์แห่งนี้ใช้สำหรับกักกันผู้ที่พยายามเดินทางเข้าออสเตรเลียทางทะเลเพื่อขอลี้ภัย ในช่วงแรก มีศูนย์กักกันสองแห่งคือ สเตทเฮาส์ (State House) และท็อปไซด์ (Topside)
ศูนย์กักกันปิดดำเนินการในปี ค.ศ. 2008 แต่ได้เปิดขึ้นอีกครั้งในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2012 หลังจากรัฐบาลออสเตรเลียกลับมาใช้นโยบายแปซิฟิกโซลูชันอีกครั้ง การดำเนินงานของศูนย์กักกันแห่งนี้ได้จุดประเด็นความขัดแย้งระหว่างประเทศและข้อกังวลด้านสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้บรรยายสภาพความเป็นอยู่ของผู้ลี้ภัยในศูนย์ว่า "น่าสะพรึงกลัว" โดยมีรายงานว่าเด็กลี้ภัยอายุน้อยเพียงแปดขวบพยายามฆ่าตัวตายและมีพฤติกรรมทำร้ายตนเอง สถานการณ์เลวร้ายลงจนถูกเรียกว่าเป็น "วิกฤตสุขภาพจิต" ในปี ค.ศ. 2018 โดยมีเด็กประมาณสามสิบคนป่วยด้วยกลุ่มอาการเมินเฉย (resignation syndrome) ซึ่งเป็นภาวะถอนตัวจากโลกความเป็นจริงอย่างรุนแรง
ผลกระทบต่อสังคมนาอูรูจากการดำเนินงานศูนย์กักกันมีความซับซ้อน ด้านหนึ่ง สร้างรายได้และตำแหน่งงานให้กับชาวนาอูรูจำนวนหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่ง ก่อให้เกิดความตึงเครียดทางสังคมและความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจในระยะยาว รวมถึงภาพลักษณ์ของประเทศในประชาคมโลก ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนภายในศูนย์ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากองค์กรสิทธิมนุษยชนและสหประชาชาติ
ในช่วงกลางปี ค.ศ. 2023 มีรายงานว่าศูนย์กักกันแห่งนี้ว่างเปล่าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เปิดดำเนินการ โดยมีผู้ถูกกักกันไปแล้วทั้งสิ้น 4,183 คนนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 2024 มีรายงานว่ามีผู้ลี้ภัยจำนวนไม่กี่สิบคนถูกส่งตัวมายังศูนย์แห่งนี้อีกครั้งเพื่อรอการพิจารณาสถานะ
6. การทหาร
นาอูรูเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่ไม่มีกองทัพประจำการ การป้องกันประเทศอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของออสเตรเลียตามข้อตกลงอย่างไม่เป็นทางการระหว่างสองประเทศ อย่างไรก็ตาม นาอูรูมีกองกำลังตำรวจขนาดเล็ก (Nauru Police Force) ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ กองกำลังตำรวจนี้มีจำนวนบุคลากรจำกัดและมีอาวุธยุทโธปกรณ์พื้นฐาน บทบาทหลักคือการบังคับใช้กฎหมาย การป้องกันอาชญากรรม และการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินภายในเกาะ ออสเตรเลียให้การสนับสนุนด้านการฝึกอบรมและทรัพยากรแก่กองกำลังตำรวจนาอูรูเป็นครั้งคราว สถานการณ์ความมั่นคงของนาอูรูโดยทั่วไปถือว่ามีเสถียรภาพ โดยภัยคุกคามหลักมาจากปัญหาภายในประเทศมากกว่าภัยคุกคามจากภายนอก
7. เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของนาอูรูเคยพึ่งพาอุตสาหกรรมฟอสเฟตเป็นหลัก ทำให้ประเทศมีความมั่งคั่งอย่างมากในช่วงหนึ่ง แต่เมื่อทรัพยากรหมดสิ้นลง เศรษฐกิจก็เข้าสู่วิกฤต ปัจจุบัน นาอูรูกำลังพยายามฟื้นฟูและกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงความเท่าเทียมทางสังคมและการพัฒนาที่ยั่งยืน
7.1. ความรุ่งเรืองจากอุตสาหกรรมฟอสเฟตในอดีต

ในช่วงทศวรรษ 1960 ถึง 1980 นาอูรูประสบกับยุคความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน อันเป็นผลมาจากการส่งออกฟอสเฟต ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณภาพสูงและปริมาณมหาศาลบนเกาะ ในช่วงเวลานั้น รายได้จากการทำเหมืองฟอสเฟตทำให้รายได้ต่อหัวของประชากรนาอูรูสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แซงหน้าประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศ ประชาชนชาวนาอูรูได้รับประโยชน์จากความมั่งคั่งนี้อย่างเต็มที่ รัฐบาลได้จัดสวัสดิการสังคมที่ครอบคลุม เช่น การศึกษาฟรี การรักษาพยาบาลฟรี และบริการสาธารณะอื่น ๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย มาตรฐานการครองชีพของประชาชนสูงมาก หลายครอบครัวมีบ้าน รถยนต์ และสามารถเดินทางไปต่างประเทศได้อย่างอิสระ นาอูรูเคยถูกขนานนามว่าเป็น "คูเวตแห่งแปซิฟิก" เนื่องจากความร่ำรวยจากทรัพยากรธรรมชาติ รัฐบาลได้จัดตั้งกองทุนทรัสต์ (Nauru Phosphate Royalties Trust) เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการขายฟอสเฟตไปลงทุนในต่างประเทศ โดยหวังว่าจะสร้างผลตอบแทนเพื่อเป็นหลักประกันทางการเงินสำหรับอนาคตของประเทศเมื่อทรัพยากรฟอสเฟตหมดลง
7.2. วิกฤตเศรษฐกิจและความพยายามในการกระจายความเสี่ยง

ภายหลังความรุ่งเรืองจากอุตสาหกรรมฟอสเฟต นาอูรูต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจอย่างรุนแรงเมื่อทรัพยากรฟอสเฟตคุณภาพดีเริ่มหมดสิ้นลงในช่วงปลายทศวรรษ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 กองทุนทรัสต์แห่งชาติ (Nauru Phosphate Royalties Trust) ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นหลักประกันทางการเงินในอนาคต ประสบปัญหาจากการลงทุนที่ผิดพลาดและการบริหารจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้มูลค่ากองทุนลดลงอย่างมากจนแทบไม่เหลือ ความพยายามของรัฐบาลในการหารายได้ใหม่ เช่น การเป็นแหล่งหลบเลี่ยงภาษี (tax haven) และศูนย์กลางการฟอกเงินในช่วงทศวรรษ 1990 ก็ประสบความล้มเหลว และยังสร้างปัญหากับประชาคมระหว่างประเทศ โดยนาอูรูถูกคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน (FATF) จัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมือในการต่อต้านการฟอกเงิน ก่อนที่จะมีการปรับปรุงกฎหมายและถูกถอดออกจากบัญชีดังกล่าวในภายหลัง
สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ทำให้รัฐบาลต้องลดค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมและบริการสาธารณะลงอย่างมาก ประชาชนจำนวนมากตกงาน และประเทศต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากออสเตรเลีย
ปัจจุบัน นาอูรูกำลังพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจและกระจายอุตสาหกรรมเพื่อลดการพึ่งพารายได้จากแหล่งเดียว มีการสำรวจความเป็นไปได้ในการทำเหมืองฟอสเฟตชั้นสอง (secondary phosphate mining) ซึ่งเป็นฟอสเฟตคุณภาพต่ำกว่าที่เหลืออยู่ และการสำรวจการทำการทำเหมืองทะเลลึก (deep-sea mining) เพื่อหาแหล่งแร่ใหม่ ๆ อย่างไรก็ตาม ความพยายามเหล่านี้ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านเงินทุน เทคโนโลยี และผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ รัฐบาลยังคงพยายามดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติและพัฒนาภาคส่วนอื่น ๆ เช่น การประมง และการท่องเที่ยว แม้ว่าจะมีข้อจำกัดอยู่มากก็ตาม การฟื้นฟูเศรษฐกิจของนาอูรูยังคงเป็นภารกิจที่ยากลำบากและต้องใช้เวลา
7.3. การท่องเที่ยว
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในนาอูรูยังอยู่ในระดับที่จำกัดมากและไม่ได้เป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ แม้ว่าเกาะจะมีทัศนียภาพชายฝั่งที่สวยงามและมีศักยภาพในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม แต่ก็มีข้อจำกัดหลายประการ
แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของนาอูรู ได้แก่ ทะเลสาบบัวดา (Buada Lagoon) ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดเพียงแห่งเดียวบนเกาะ ล้อมรอบด้วยพืชพรรณเขียวชอุ่ม, คอมมานด์ริดจ์ (Command Ridge) จุดที่สูงที่สุดของเกาะซึ่งมีทัศนียภาพมุมกว้างและเป็นที่ตั้งของบังเกอร์และปืนใหญ่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง, และอ่าวอานีบาเร (Anibare Bay) ซึ่งมีชายหาดที่สวยงามและเหมาะสำหรับการพักผ่อนและกิจกรรมทางน้ำ นอกจากนี้ ซากปรักหักพังจากการทำเหมืองฟอสเฟตในอดีต เช่น โครงสร้างเหล็กและหอคอยขนถ่ายแร่ ก็กลายเป็นจุดสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่สนใจประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมของเกาะ
ข้อจำกัดในการพัฒนาการท่องเที่ยวของนาอูรู ได้แก่ การเข้าถึงที่ยากลำบากเนื่องจากมีเที่ยวบินจำกัดและมีค่าใช้จ่ายสูง, โครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวที่ยังไม่เพียงพอ เช่น จำนวนโรงแรมและสิ่งอำนวยความสะดวก, และผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองในอดีตที่ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะเสื่อมโทรม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลนาอูรูก็มีความพยายามที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวในระดับหนึ่ง โดยเน้นไปที่นักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มที่สนใจประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของเกาะ
8. อุตสาหกรรมฟอสเฟตและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
อุตสาหกรรมฟอสเฟตเคยเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจนาอูรูมาเป็นเวลานาน ทำให้ประเทศมีความมั่งคั่งอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมของเกาะ
8.1. ประวัติและวิธีการทำเหมือง
การค้นพบแร่ฟอสเฟตบนเกาะนาอูรูเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1900 โดยนักสำรวจแร่ชื่อ อัลเบิร์ต ฟูลเลอร์ เอลลิส การทำเหมืองเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 บริษัทแรกที่เข้ามาดำเนินการคือ บริษัทแปซิฟิกฟอสเฟต (Pacific Phosphate Company) ซึ่งเป็นบริษัทของอังกฤษ โดยได้รับสิทธิในการทำเหมืองจากเยอรมนีซึ่งเป็นผู้ปกครองเกาะในขณะนั้น และเริ่มส่งออกแร่ฟอสเฟตครั้งแรกในปี ค.ศ. 1907
หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง นาอูรูกลายเป็นดินแดนในอาณัติของสันนิบาตชาติภายใต้การบริหารร่วมกันของสหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการฟอสเฟตแห่งอังกฤษ (British Phosphate Commissioners - BPC) ขึ้นในปี ค.ศ. 1919 เพื่อควบคุมการทำเหมืองและการส่งออกฟอสเฟต BPC ดำเนินการทำเหมืองอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายทศวรรษ
เมื่อนาอูรูได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1968 รัฐบาลนาอูรูได้เข้าควบคุมกิจการเหมืองฟอสเฟตอย่างสมบูรณ์ และได้ก่อตั้งบริษัทฟอสเฟตแห่งนาอูรู (Nauru Phosphate Corporation - NPC) ขึ้นในปี ค.ศ. 1970 เพื่อบริหารจัดการอุตสาหกรรมนี้
วิธีการทำเหมืองฟอสเฟตในนาอูรูส่วนใหญ่เป็นแบบการทำเหมืองเปิด (strip mining หรือ open-cut mining) เนื่องจากแร่ฟอสเฟตคุณภาพสูงอยู่ใกล้ผิวดิน ทำให้สามารถขุดตักออกไปได้โดยง่าย คนงานจะใช้เครื่องจักรกลหนัก เช่น รถขุดและรถตัก เพื่อขุดเอาชั้นดินและพืชพรรณที่ปกคลุมอยู่ออกไปก่อน จากนั้นจึงขุดเอาชั้นแร่ฟอสเฟตขึ้นมา แร่ที่ได้จะถูกนำไปบดและอบแห้ง ก่อนที่จะขนส่งไปยังท่าเรือเพื่อส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่นำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ย
8.2. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
การทำเหมืองฟอสเฟตอย่างกว้างขวางและยาวนานได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมของเกาะนาอูรู ประมาณ 80% ของพื้นที่บนเกาะถูกทำลายจากการทำเหมือง ที่ราบสูงตอนกลางของเกาะซึ่งเคยอุดมสมบูรณ์ได้กลายเป็นพื้นที่เสื่อมโทรม มีลักษณะเป็นยอดหินปูนแหลมคม (pinnacles) สลับกับหลุมบ่อขนาดใหญ่ ทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์ทางการเกษตรหรือการอยู่อาศัยได้อีกต่อไป การสูญเสียหน้าดินเป็นปัญหาสำคัญ ทำให้พืชพรรณพื้นเมืองไม่สามารถเจริญเติบโตได้ ระบบนิเวศดั้งเดิมถูกทำลายจนเกือบหมดสิ้น ส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพทั้งพืชและสัตว์
นอกจากผลกระทบต่อพื้นที่บนบกแล้ว การทำเหมืองฟอสเฟตยังก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางทะเลอย่างรุนแรง ตะกอนดินและฝุ่นฟอสเฟตจากการทำเหมืองได้ไหลลงสู่ทะเล ทำให้แนวปะการังโดยรอบเกาะได้รับความเสียหายอย่างหนัก สิ่งมีชีวิตในทะเลจำนวนมากล้มตายลงเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปและมลพิษ คาดการณ์ว่าสิ่งมีชีวิตในทะเลประมาณ 40% ได้รับผลกระทบจากน้ำชะฟอสเฟตและตะกอนที่ไหลลงสู่ทะเล การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิประเทศของเกาะยังส่งผลต่อรูปแบบการไหลของน้ำฝนและการกักเก็บน้ำจืด ทำให้เกาะประสบปัญหาขาดแคลนน้ำจืดมากขึ้น
8.3. ผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ
อุตสาหกรรมฟอสเฟตได้นำความมั่งคั่งมหาศาลมาสู่นาอูรูในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทำให้ชาวนาอูรูมีรายได้ต่อหัวสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 อย่างไรก็ตาม ความรุ่งเรืองนี้กลับนำไปสู่ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า 'คำสาปแห่งทรัพยากร' (resource curse) ซึ่งหมายถึงการที่ประเทศที่ร่ำรวยด้วยทรัพยากรธรรมชาติมักประสบปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว
การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตดั้งเดิมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ชาวนาอูรูส่วนใหญ่ละทิ้งอาชีพเกษตรกรรมและการประมงแบบยังชีพ หันมาพึ่งพารายได้จากการทำเหมืองและสวัสดิการจากรัฐบาล การพึ่งพาอาหารนำเข้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากพื้นที่เกษตรกรรมถูกทำลายและความสนใจในการผลิตอาหารเองลดน้อยลง โครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศบิดเบี้ยวไปอย่างสิ้นเชิง โดยพึ่งพาอุตสาหกรรมฟอสเฟตเพียงอย่างเดียว ขาดการพัฒนาในภาคส่วนอื่น ๆ
เมื่อทรัพยากรฟอสเฟตเริ่มหมดสิ้นลงและรายได้จากอุตสาหกรรมนี้ลดลงอย่างรวดเร็ว นาอูรูต้องเผชิญกับปัญหาสังคมและเศรษฐกิจที่รุนแรงและยาวนาน กองทุนทรัสต์ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อบริหารจัดการความมั่งคั่งจากการทำเหมืองประสบปัญหาจากการลงทุนที่ผิดพลาดและการบริหารจัดการที่ไม่โปร่งใส ทำให้มูลค่ากองทุนลดลงอย่างมากจนไม่สามารถเป็นหลักประกันทางการเงินให้กับประเทศได้อีกต่อไป อัตราการว่างงานพุ่งสูงขึ้น ปัญหาสุขภาพ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่น ๆ กลายเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคและการขาดกิจกรรมทางกายภาพ ความหวังและความมั่นคงในชีวิตของประชาชนลดน้อยลง ปัญหาสังคมอื่น ๆ เช่น การติดสุราและการพนันก็เพิ่มสูงขึ้น ผลกระทบเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของประชาชนนาอูรูอย่างลึกซึ้งและยาวนาน
8.4. ความพยายามในการฟื้นฟูและประเด็นท้าทาย
ความพยายามในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ที่ถูกทำลายจากการทำเหมืองฟอสเฟตในนาอูรูได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็เผชิญกับความท้าทายอย่างมาก ในอดีต มีโครงการนำดินจากต่างประเทศเข้ามาถมพื้นที่ที่ถูกทำลาย แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูงและให้ผลลัพธ์ที่จำกัด รัฐบาลนาอูรูได้พยายามหาแนวทางฟื้นฟูระบบนิเวศ เช่น การปลูกพืชคลุมดินและต้นไม้ที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม แต่ความก้าวหน้าเป็นไปอย่างเชื่องช้าเนื่องจากข้อจำกัดด้านงบประมาณและขนาดของปัญหา
ในปี ค.ศ. 1989 นาอูรูได้ยื่นฟ้องออสเตรเลียต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในข้อหาละเลยความรับผิดชอบในการฟื้นฟูความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการทำเหมืองฟอสเฟตในช่วงที่ออสเตรเลียมีบทบาทในการบริหารเกาะ คดีนี้จบลงด้วยการประนีประนอมยอมความนอกศาลในปี ค.ศ. 1993 โดยออสเตรเลียตกลงที่จะจ่ายเงินชดเชยจำนวนหนึ่งให้แก่นาอูรูเพื่อใช้ในการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ แม้ว่าเงินชดเชยที่ได้รับจะช่วยสนับสนุนโครงการฟื้นฟูได้บ้าง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้
ภารกิจในการฟื้นฟูประเทศในอนาคตยังคงเป็นประเด็นท้าทายที่สำคัญสำหรับนาอูรู นอกเหนือจากการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังต้องมีการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก การสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการสร้างความมั่นคงทางอาหารเป็นเป้าหมายสำคัญ ความพยายามในการสำรวจแหล่งทรัพยากรใหม่ เช่น การทำเหมืองใต้ทะเลลึก ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่กำลังพิจารณา แต่ก็ต้องคำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในระยะยาว การฟื้นฟูนาอูรูจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาคมระหว่างประเทศ การวางแผนอย่างรอบคอบ และความมุ่งมั่นของประชาชนชาวนาอูรูเอง
9. สังคม
สังคมนาอูรูประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายกลุ่ม โดยมีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ อย่างไรก็ตาม ประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาสังคมหลายด้าน โดยเฉพาะปัญหาสุขภาพและการพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอก ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และสิทธิของกลุ่มเปราะบาง
9.1. ประชากร

จำนวนประชากรทั้งหมดของนาอูรู จากข้อมูลประมาณการ ณ เดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 2021 อยู่ที่ประมาณ 10,873 คน ในอดีตจำนวนประชากรเคยสูงกว่านี้ แต่ในปี ค.ศ. 2006 มีประชาชนประมาณ 1,500 คน เดินทางออกจากเกาะ ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งตัวแรงงานอพยพชาวคิริบาสและตูวาลูกลับประเทศเนื่องจากการลดขนาดการทำเหมืองฟอสเฟตครั้งใหญ่
องค์ประกอบทางชาติพันธุ์ของนาอูรูมีความหลากหลาย โดยส่วนใหญ่เป็นชาวนาอูรูพื้นเมือง (ประมาณ 58%) นอกจากนี้ยังมีชาวเกาะแปซิฟิกอื่น ๆ (ประมาณ 26%) เช่น ชาวคิริบาสและตูวาลู, ชาวยุโรป (ประมาณ 8%) และชาวจีน (ประมาณ 8%)
นาอูรูเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหนาแน่นของประชากรสูงที่สุดในบรรดาประเทศที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมตะวันตกในแถบแปซิฟิกใต้ เนื่องจากมีพื้นที่จำกัด ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่งและรอบ ๆ ทะเลสาบบัวดา
แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของประชากรนาอูรูได้รับอิทธิพลจากปัจจัยหลายประการ เช่น อัตราเกิด อัตราตาย การย้ายถิ่นเข้าและออก รวมถึงนโยบายของรัฐบาล ในอดีต การเข้ามาของแรงงานต่างชาติเพื่อทำงานในอุตสาหกรรมฟอสเฟตทำให้จำนวนประชากรเพิ่มขึ้น แต่เมื่ออุตสาหกรรมซบเซาลง จำนวนประชากรก็ลดลงบ้าง ปัจจุบัน อัตราการเติบโตของประชากรค่อนข้างคงที่ แต่ประเทศยังคงเผชิญกับความท้าทายด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจเพื่อรองรับประชากรในอนาคต
9.2. ภาษา
ภาษาราชการของนาอูรูคือ ภาษานาอูรู (Nauruan หรือ dorerin Naoeroโดเรริน นาโอเอโรภาษานาอูรู) ซึ่งเป็นภาษาในกลุ่มภาษาไมโครนีเซียที่โดดเด่นและแตกต่างจากภาษาอื่น ๆ ในภูมิภาค ประมาณ 96% ของชาวนาอูรูเชื้อสายนาอูรูใช้ภาษานาอูรูในการสนทนาที่บ้าน ภาษานาอูรูมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวนาอูรู
นอกจากภาษานาอูรูแล้ว ภาษาอังกฤษก็มีสถานะเป็นภาษาราชการเช่นกัน และมีการใช้อย่างแพร่หลายในวงราชการ ธุรกิจ การศึกษา และการติดต่อระหว่างประเทศ แม้ว่าชาวนาอูรูส่วนใหญ่จะไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศบ่อยนัก แต่ภาษาอังกฤษก็ยังคงมีความสำคัญในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและความรู้จากทั่วโลก
เนื่องจากมีประชากรจากหลากหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ในนาอูรู จึงอาจมีการใช้ภาษาของชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ บ้างในชุมชนของตนเอง เช่น ภาษาคิริบาส ภาษาตูวาลู และภาษาจีน แต่ภาษาเหล่านี้ไม่มีสถานะเป็นภาษาราชการ
9.3. ศาสนา
ศาสนาหลักที่ประชาชนชาวนาอูรูนับถือคือศาสนาคริสต์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณสองในสามของประชากรทั้งหมด โดยนิกายที่สำคัญ ได้แก่ คริสตจักรคองเกรกเกชันนาอูรู (Nauru Congregational Church) ซึ่งเป็นนิกายโปรเตสแตนต์ที่ใหญ่ที่สุด (ประมาณ 35.71%), นิกายโรมันคาทอลิก (ประมาณ 32.96%), คริสตจักรแอสเซมบลีออฟกอด (Assemblies of God) (ประมาณ 12.98%), และนิกายแบปทิสต์ (ประมาณ 1.48%)
รัฐธรรมนูญของนาอูรูบัญญัติให้มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา ประชาชนมีสิทธิในการปฏิบัติศาสนกิจตามความเชื่อของตน อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่ารัฐบาลได้จำกัดการปฏิบัติศาสนกิจของกลุ่มศาสนาบางกลุ่ม เช่น ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย (มอร์มอน) และพยานพระยะโฮวา ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างชาติที่ทำงานให้กับบริษัทฟอสเฟตแห่งนาอูรูซึ่งเป็นของรัฐบาล ผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกในนาอูรูอยู่ภายใต้การดูแลของสังฆมณฑลโรมันคาทอลิกตาราวาและนาอูรู (Roman Catholic Diocese of Tarawa and Nauru) ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงตาราวา ประเทศคิริบาส
นอกจากศาสนาคริสต์แล้ว ยังมีผู้นับถือศาสนาอื่น ๆ ในนาอูรู เช่น ศาสนาบาไฮ (ประมาณ 9.50%) ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก, ศาสนาพุทธและศาสนาพื้นบ้านของจีน (ประมาณ 11.9% รวมกัน) ซึ่งส่วนใหญ่นับถือโดยประชากรเชื้อสายจีน และมีกลุ่มผู้ที่ไม่นับถือศาสนาหรือเป็นอไญยนิยมอยู่บ้าง
9.4. การศึกษา
อัตราการรู้หนังสือของประชากรในนาอูรูอยู่ที่ 96% การศึกษาเป็นภาคบังคับสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 6 ถึง 16 ปี และมีหลักสูตรอีกสองปีที่ไม่บังคับ (ชั้นปีที่ 11 และ 12) เกาะนาอูรูมีโรงเรียนประถมศึกษา 3 แห่ง และโรงเรียนมัธยมศึกษา 2 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนมัธยมศึกษานาอูรู (Nauru Secondary School) และวิทยาลัยนาอูรู (Nauru College)
บนเกาะนาอูรูมีวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยเซาท์แปซิฟิก (University of the South Pacific - USP) ตั้งอยู่ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1987 ก่อนหน้านั้น นักศึกษาที่ต้องการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาจะต้องเดินทางไปศึกษาต่อในต่างประเทศหรือเรียนผ่านระบบการศึกษาทางไกล ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011 มหาวิทยาลัยนิวอิงแลนด์ (University of New England) ประเทศออสเตรเลีย ได้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาการศึกษาในนาอูรู โดยมีครูชาวนาอูรูประมาณ 30 คน เข้าร่วมโครงการศึกษาต่อในระดับอนุปริญญาด้านการศึกษา และจะศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีต่อไป โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากกระทรวงการต่างประเทศและการค้าของออสเตรเลีย (Department of Foreign Affairs and Trade - DFAT) และนำโดยรองศาสตราจารย์ เปป เซโรว์ (Pep Serow)
ในอดีต ห้องสมุดสาธารณะของชุมชนเคยถูกทำลายจากเหตุเพลิงไหม้ และจนถึงปี ค.ศ. 1999 ก็ยังไม่มีการสร้างห้องสมุดแห่งใหม่ขึ้นทดแทน รวมถึงไม่มีบริการห้องสมุดเคลื่อนที่ด้วย สถานที่ที่มีห้องสมุดให้บริการ ได้แก่ วิทยาเขตของมหาวิทยาลัยเซาท์แปซิฟิก, โรงเรียนมัธยมศึกษานาอูรู, วิทยาลัยเคย์เซอร์ (Kayser College) และโรงเรียนประถมอาอีโว (Aiwo Primary) ปัจจุบัน ห้องสมุดชุมชนนาอูรู (Nauru Community Library) ตั้งอยู่ในอาคารใหม่ของวิทยาเขตมหาวิทยาลัยเซาท์แปซิฟิกแห่งนาอูรู ซึ่งเปิดทำการอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2018
แม้จะมีความพยายามในการพัฒนาการศึกษา แต่ยังคงมีความท้าทายในด้านคุณภาพการศึกษา การขาดแคลนครูที่มีคุณภาพ และทรัพยากรทางการศึกษาที่จำกัด นอกจากนี้ สถานการณ์ของเด็กผู้ลี้ภัยและเด็กพิการที่ต้องการเข้าถึงการศึกษาก็ยังเป็นประเด็นที่น่ากังวล
9.5. สาธารณสุข
สถานการณ์สาธารณสุขของนาอูรูเป็นประเด็นที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ประเทศเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่สำคัญหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งมีอัตราสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ระบบบริการทางการแพทย์บนเกาะมีข้อจำกัด และอายุคาดเฉลี่ยของประชากรค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ
นาอูรูมีอัตราการเสียชีวิตของเด็กที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในกลุ่มประเทศและดินแดนหมู่เกาะแปซิฟิก (PICTs) โดยอยู่ที่ 2.9% ในปี ค.ศ. 2020 ตามการศึกษาของยูนิเซฟ อายุคาดเฉลี่ยของชาวนาอูรูในปี ค.ศ. 2009 อยู่ที่ 60.6 ปีสำหรับเพศชาย และ 68.0 ปีสำหรับเพศหญิง
9.5.1. ภาวะโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

นาอูรูเป็นประเทศที่มีอัตราภาวะโรคอ้วนสูงที่สุดในโลก จากการวัดค่าเฉลี่ยดัชนีมวลกาย (BMI) พบว่า 97% ของผู้ชาย และ 93% ของผู้หญิง มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ในปี ค.ศ. 2012 อัตราโรคอ้วนอยู่ที่ 71.7% ภาวะโรคอ้วนในหมู่เกาะแปซิฟิกเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไป
อัตราโรคอ้วนที่สูงนี้ส่งผลให้เกิดปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ตามมาอย่างกว้างขวาง นาอูรูมีอัตราผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 สูงที่สุดในโลก โดยประชากรมากกว่า 40% ได้รับผลกระทบจากโรคนี้ นอกจากนี้ โรคที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคอาหารที่สำคัญอื่น ๆ ในนาอูรู ได้แก่ โรคไต โรคหัวใจและหลอดเลือด
สาเหตุหลักของปัญหาเหล่านี้มาจากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและพฤติกรรมการบริโภคอย่างรวดเร็ว หลังจากการค้นพบฟอสเฟตและความมั่งคั่งที่ตามมา ชาวนาอูรูเปลี่ยนจากการบริโภคอาหารพื้นเมืองที่มีประโยชน์ เช่น ปลา ผัก และผลไม้ ไปเป็นการบริโภคอาหารนำเข้าที่ผ่านการแปรรูปสูง มีไขมัน น้ำตาล และเกลือในปริมาณมาก ประกอบกับการขาดกิจกรรมทางกายภาพ การสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรมจากการทำเหมืองทำให้ต้องพึ่งพาอาหารนำเข้าเกือบทั้งหมด ผลกระทบทางสังคมจากภาวะโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมีความรุนแรงมาก ทั้งในแง่ของภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล คุณภาพชีวิตที่ลดลง และการสูญเสียผลิตภาพของประชากร รัฐบาลนาอูรูและองค์กรระหว่างประเทศได้พยายามดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ เช่น การส่งเสริมการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การออกกำลังกาย และการให้ความรู้ด้านสุขภาพแก่ประชาชน แต่ยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญ
นาอูรูมีอัตราการสูบบุหรี่สูงที่สุดในโลก (48.3% ในปี ค.ศ. 2022)
9.6. อาหาร เกษตรกรรม และความเป็นอยู่

ในอดีต วิถีการบริโภคอาหารแบบดั้งเดิมของชาวนาอูรูเน้นพืชผลทางการเกษตรที่ปลูกเอง เช่น มะพร้าว สาเก กล้วย เตยทะเล มะละกอ และฝรั่ง รวมถึงอาหารทะเลที่ได้จากการทำประมงแบบยังชีพ อย่างไรก็ตาม การทำเหมืองฟอสเฟตอย่างกว้างขวางได้ทำลายพื้นที่เกษตรกรรมเกือบทั้งหมดของเกาะ ดินเสื่อมโทรมอย่างรุนแรง ทำให้ไม่สามารถเพาะปลูกพืชอาหารได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ดินบนเกาะนาอูรูในปัจจุบันมีคุณภาพต่ำมาก ตื้น เป็นด่าง และมีลักษณะหยาบจากหินปะการัง ทำให้การเกษตรเป็นไปได้ยาก ในปี ค.ศ. 2011 มีเพียง 13% ของครัวเรือนเท่านั้นที่ยังคงทำสวนหรือปลูกพืชผลเอง ดินส่วนใหญ่ที่เคยมีอยู่บนเกาะได้สูญหายไปเนื่องจากการทำเหมือง ทำให้ประชาชนต้องนำเข้าดินเพื่อใช้ในการเพาะปลูก
การสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรมและความอุดมสมบูรณ์ของดิน ทำให้ปัจจุบันนาอูรูต้องพึ่งพาอาหารนำเข้าเกือบทั้งหมด ประชาชนส่วนใหญ่บริโภคอาหารแปรรูป เช่น ข้าวและน้ำตาล ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพและนำไปสู่ปัญหาโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง แม้ว่าจากการสำรวจค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและรายได้ (HIES) ในปี ค.ศ. 2012-2013 จะพบว่าอัตราความยากจนด้านอาหารของนาอูรูอยู่ที่ 0 (ตามเกณฑ์การบริโภคแคลอรี่ขั้นต่ำ 2,100 แคลอรี่ต่อผู้ใหญ่ต่อวัน) แต่การพึ่งพาอาหารนำเข้าก็สร้างความเปราะบางทางด้านความมั่นคงทางอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราคาอาหารในตลาดโลกมีความผันผวน
ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเป็นอยู่ของประชาชนนาอูรู แม้ว่าในอดีตจะมีความมั่งคั่งจากฟอสเฟต แต่ปัจจุบันประชาชนจำนวนมากเผชิญกับความยากจน โดย 24% ของประชากร และ 16.8% ของครัวเรือน อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนด้านความต้องการพื้นฐาน (เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย การศึกษา การขนส่ง การสื่อสาร น้ำ สุขาภิบาล และบริการสุขภาพ) ซึ่งถือเป็นดัชนีความยากจนที่เลวร้ายที่สุดในบรรดาประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก ในปี ค.ศ. 2017 ครึ่งหนึ่งของชาวนาอูรูมีรายได้ประมาณ 9.00 K USD ต่อปี
ทรัพยากรน้ำจืดมีจำกัดอย่างยิ่ง โดยเกาะสามารถจัดหาน้ำจืดได้เพียง 32 ลิตรต่อคนต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ 50 ลิตรต่อคนต่อวัน น้ำบาดาลส่วนใหญ่ปนเปื้อนจากการทำเหมือง สุขภัณฑ์ และการทิ้งของเสียจากภาคครัวเรือนและเชิงพาณิชย์ ทำให้ชาวนาอูรูต้องพึ่งพาน้ำนำเข้า ซึ่งราคาสามารถผันผวนตามราคาน้ำมันที่ใช้ในการขนส่ง และการกักเก็บน้ำฝน การเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขาภิบาลมีจำกัด โดยมีเพียง 66% ของผู้อยู่อาศัยเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงห้องน้ำที่ถูกสุขลักษณะ และยังมีการการขับถ่ายในที่โล่งอยู่ 3% ของประชากร โรงเรียนมักถูกบังคับให้ปิดเนื่องจากไม่มีห้องน้ำที่ถูกสุขลักษณะหรือน้ำดื่มสำหรับนักเรียน
ความพยายามในการสร้างความมั่นคงทางอาหารในปัจจุบันและอนาคตกำลังดำเนินไป เช่น โครงการส่งเสริมการทำสวนครัว การปลูกพืชที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อม และการพัฒนาการประมงอย่างยั่งยืน แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายมากมาย การฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรมที่ถูกทำลายและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
10. การคมนาคม
เครือข่ายการคมนาคมของนาอูรูมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเชื่อมต่อภายในเกาะและการติดต่อกับโลกภายนอก โดยมีทั้งการขนส่งทางอากาศ การขนส่งทางทะเล และการขนส่งทางบก
10.1. การขนส่งทางอากาศ

ท่าอากาศยานนานาชาตินาอูรู (Nauru International Airport - INU) เป็นท่าอากาศยานเพียงแห่งเดียวของประเทศ ตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะ สายการบินแห่งชาติคือ นาอูรูแอร์ไลน์ (Nauru Airlines) ซึ่งให้บริการเที่ยวบินโดยสารและขนส่งสินค้าไปยังจุดหมายปลายทางต่าง ๆ ในภูมิภาคแปซิฟิก เส้นทางบินหลัก ได้แก่ เที่ยวบินไปยังท่าอากาศยานบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งดำเนินการสัปดาห์ละสี่วัน นอกจากนี้ยังมีบริการเที่ยวบินไปยังจุดหมายปลายทางอื่น ๆ อย่างจำกัด เช่น ท่าอากาศยานนานาชาตินาดี ประเทศฟีจี และท่าอากาศยานนานาชาติบนรีกี ประเทศคิริบาส
ในอดีต นาอูรูแอร์ไลน์ (เดิมชื่อ แอร์นาอูรู) เคยมีเครือข่ายเส้นทางบินที่กว้างขวางกว่านี้ เชื่อมต่อกับหลายเมืองในเอเชียและหมู่เกาะแปซิฟิก รวมถึงเคยมีเที่ยวบินไปยังเมืองคาโงชิมะและนาฮะในประเทศญี่ปุ่น แต่เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้ต้องลดขนาดการดำเนินงานลงอย่างมาก และเคยมีเหตุการณ์ที่สายการบินต้องหยุดให้บริการชั่วคราวเนื่องจากปัญหาทางการเงินและการยึดเครื่องบิน
10.2. การขนส่งทางทะเลและทางบก
การขนส่งทางทะเลมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของนาอูรู เนื่องจากประเทศต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคและเชื้อเพลิงเกือบทั้งหมด ท่าเรือหลักของประเทศคือ ท่าเรือไอโว (Aiwo Boat Harbour) ซึ่งตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันตกของเกาะ อย่างไรก็ตาม ท่าเรือแห่งนี้มีข้อจำกัดด้านขนาดและความลึก ทำให้ไม่สามารถรองรับเรือขนาดใหญ่ได้ โครงการปรับปรุงและขยายท่าเรือไอโวเดิมคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 2021 แต่เกิดความล่าช้าเนื่องจากปัญหาทางเทคนิคและโลจิสติกส์อันเนื่องมาจากการระบาดทั่วของโควิด-19
เครือข่ายถนนภายในเกาะนาอูรูมีความยาวประมาณ 30 km ส่วนใหญ่เป็นถนนลาดยางที่วิ่งรอบเกาะตามแนวชายฝั่ง การเดินทางภายในเกาะส่วนใหญ่ใช้รถยนต์ส่วนตัวและรถจักรยานยนต์ นอกจากนี้ ในอดีตเคยมีเส้นทางรถไฟระยะทางประมาณ 4 km ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ขนส่งแร่ฟอสเฟตจากพื้นที่ทำเหมืองไปยังท่าเรือ แต่ปัจจุบันไม่ได้ใช้งานแล้ว
11. วัฒนธรรม
วัฒนธรรมนาอูรูเป็นการผสมผสานระหว่างประเพณีดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนกับอิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกที่เข้ามาพร้อมกับการติดต่อกับชาวยุโรปและการล่าอาณานิคม แม้ว่าวัฒนธรรมสมัยใหม่จะมีบทบาทมากขึ้น แต่ชาวนาอูรูก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมบางประการไว้ได้
11.1. วัฒนธรรมดั้งเดิมและการเปลี่ยนแปลงสู่สมัยใหม่

วิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวนาอูรูผูกพันอยู่กับทะเลและการทำเกษตรแบบยังชีพ โครงสร้างสังคมแบบดั้งเดิมแบ่งออกเป็น 12 ชนเผ่า ซึ่งแต่ละเผ่ามีหัวหน้าและสัญลักษณ์เป็นของตนเอง ประเพณีที่สำคัญ ได้แก่ การเต้นรำ การร้องเพลง และการเล่าเรื่องราวผ่านตำนานพื้นบ้าน ดนตรีดั้งเดิมของนาอูรูเรียกว่า เรเกน (Reigen) ซึ่งมักจะมีการขับร้องประกอบการเต้นรำในพิธีกรรมและงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ การสักบนร่างกายก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม แต่ได้เลือนหายไปมากแล้ว
อิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นหลังจากการติดต่อกับชาวยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเข้ามาของมิชชันนารีคริสเตียนในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ศาสนาคริสต์ได้เข้ามาแทนที่ความเชื่อดั้งเดิม และกลายเป็นศาสนาหลักของชาวนาอูรู ภาษาอังกฤษกลายเป็นภาษาราชการควบคู่ไปกับภาษานาอูรู และระบบการศึกษาแบบตะวันตกก็ถูกนำมาใช้
ความมั่งคั่งจากอุตสาหกรรมฟอสเฟตในช่วงหลังได้รับเอกราชได้เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมอย่างรวดเร็ว ชาวนาอูรูสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการจากต่างประเทศได้ง่ายขึ้น วิถีชีวิตเปลี่ยนไปสู่ความเป็นสมัยใหม่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ก็ส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมดั้งเดิมบางส่วนที่ค่อย ๆ เลือนหายไป
วันอันกัม (Angam Day) ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 26 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันสำคัญทางวัฒนธรรมของนาอูรู เพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์ที่ประชากรชาวนาอูรูพื้นเมืองสามารถฟื้นตัวกลับมามีจำนวนถึง 1,500 คนได้อีกครั้ง หลังจากการสูญเสียประชากรจำนวนมากจากสงครามโลกทั้งสองครั้งและโรคระบาดไข้หวัดใหญ่ในปี ค.ศ. 1920 วันนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของความอยู่รอดและความเข้มแข็งของชาวนาอูรู
ปัจจุบัน ยังคงมีความพยายามในการอนุรักษ์และฟื้นฟูวัฒนธรรมดั้งเดิมของนาอูรู เช่น การสอนภาษานาอูรูในโรงเรียน การส่งเสริมศิลปะและงานหัตถกรรมพื้นบ้าน และการจัดงานเทศกาลทางวัฒนธรรม
11.2. กีฬา

กีฬาที่ได้รับความนิยมสูงสุดในนาอูรูคือ ออสเตรเลียนฟุตบอล ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากประเทศออสเตรเลีย และถือเป็นกีฬาประจำชาติอย่างไม่เป็นทางการ มีลีกออสเตรเลียนฟุตบอลภายในประเทศซึ่งประกอบด้วย 8 ทีมแข่งขันกัน ทีมชาติออสเตรเลียนฟุตบอลของนาอูรู (Nauru national Australian rules football team) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "เดอะ ชีฟส์" (The Chiefs) เคยเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติและทำผลงานได้ดี โดยติดอันดับหนึ่งในแปดทีมที่ดีที่สุดของโลกอย่างสม่ำเสมอ
กีฬายกน้ำหนักถือเป็นกีฬาประจำชาติอีกประเภทหนึ่งของนาอูรู และเป็นกีฬาที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศในระดับนานาชาติ นักกีฬายกน้ำหนักชาวนาอูรูหลายคนประสบความสำเร็จในการแข่งขันระดับภูมิภาคและระดับโลก รวมถึงการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและกีฬาเครือจักรภพ
กิจกรรมกีฬายอดนิยมอื่น ๆ ในนาอูรู ได้แก่ วอลเลย์บอล เนตบอล การตกปลาเพื่อการพักผ่อน และเทนนิส ทีมชาติบาสเกตบอลของนาอูรูเคยเข้าร่วมการแข่งขันแปซิฟิกเกมส์ในปี ค.ศ. 1969 และสามารถเอาชนะทีมจากหมู่เกาะโซโลมอนและฟีจีได้ ส่วนรักบี้ยูเนียน โดยเฉพาะรักบี้ 7 คน ก็กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยทีมชาติรักบี้ 7 คนของนาอูรูได้เปิดตัวในระดับนานาชาติในกีฬาแปซิฟิกเกมส์ 2015 และเข้าร่วมการแข่งขันรักบี้ 7 คนชิงแชมป์โอเชียเนีย 2015 ที่ประเทศนิวซีแลนด์
สำหรับกีฬาฟุตบอล ถือเป็นกีฬาที่ไม่ได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากความนิยมของออสเตรเลียนฟุตบอลและรักบี้มีมากกว่า อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าในปี ค.ศ. 2024 กำลังมีการจัดตั้งทีมฟุตบอลชาติขึ้น
นาอูรูเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติอย่างสม่ำเสมอ เช่น กีฬาโอลิมปิก (โดยเฉพาะกีฬายกน้ำหนักและยูโด) และกีฬาเครือจักรภพ ซึ่งนักกีฬาชาวนาอูรูสามารถคว้าเหรียญรางวัลมาได้หลายครั้ง
11.3. สื่อ
สถานการณ์สื่อในนาอูรูมีข้อจำกัดเนื่องจากขนาดของประเทศและจำนวนประชากรที่น้อย ไม่มีหนังสือพิมพ์รายวันที่ตีพิมพ์บนเกาะ แต่มีสิ่งพิมพ์รายปักษ์ (สองสัปดาห์ต่อฉบับ) ชื่อว่า Mwinen Koมวีเนน โกภาษานาอูรู ซึ่งนำเสนอข่าวสารและข้อมูลต่าง ๆ ภายในประเทศ
มีสถานีโทรทัศน์ที่ดำเนินการโดยรัฐคือ สถานีโทรทัศน์นาอูรู (Nauru Television - NTV) ซึ่งออกอากาศรายการจากประเทศนิวซีแลนด์และออสเตรเลียเป็นหลัก รวมถึงรายการที่ผลิตในประเทศบ้าง นอกจากนี้ยังมีสถานีวิทยุที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ที่ดำเนินการโดยรัฐคือ เรดิโอนาอูรู (Radio Nauru) ซึ่งออกอากาศรายการจากเรดิโอออสเตรเลีย (Radio Australia) และบีบีซี (BBC) รวมถึงรายการเพลงและข่าวสารในประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชนนาอูรูส่วนใหญ่มาจากสื่อที่ดำเนินการโดยรัฐเหล่านี้ รวมถึงการรับชมรายการโทรทัศน์และฟังวิทยุจากต่างประเทศผ่านดาวเทียม การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมีเพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลข่าวสารออนไลน์ได้หลากหลายขึ้น อย่างไรก็ตาม ความเร็วและเสถียรภาพของอินเทอร์เน็ตยังคงเป็นข้อจำกัดในบางพื้นที่
11.4. วันหยุดราชการ
นาอูรูมีวันหยุดราชการหลายวันตลอดทั้งปี ซึ่งสะท้อนถึงเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และศาสนาของประเทศ วันหยุดที่สำคัญที่สุดวันหนึ่งคือ วันประกาศเอกราช (Independence Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 31 มกราคมของทุกปี เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการที่นาอูรูได้รับเอกราชจากภาวะทรัสตีที่บริหารโดยออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสหราชอาณาจักร ในปี ค.ศ. 1968
วันหยุดสำคัญทางวัฒนธรรมอีกวันคือ วันอันกัม (Angam Day) ตรงกับวันที่ 26 ตุลาคม "อันกัม" เป็นคำในภาษานาอูรูหมายถึง "การเฉลิมฉลอง" "การบรรลุเป้าหมาย" หรือ "การกลับบ้าน" วันนี้จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงช่วงเวลาที่ประชากรชาวนาอูรูพื้นเมืองสามารถฟื้นตัวกลับมามีจำนวนถึง 1,500 คนได้เป็นครั้งแรก หลังจากการลดจำนวนลงอย่างมากเนื่องจากโรคระบาดและสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และต่อมาก็มีการเฉลิมฉลองอีกครั้งเมื่อประชากรฟื้นตัวถึง 1,500 คนอีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง วันอันกัมจึงเป็นสัญลักษณ์ของความอยู่รอดและความเข้มแข็งของชาติพันธุ์นาอูรู
วันหยุดทางศาสนาที่สำคัญคือ วันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday) และ วันจันทร์อีสเตอร์ (Easter Monday) ซึ่งเป็นวันหยุดตามปฏิทินคริสเตียน และ วันคริสต์มาส (Christmas Day) ในวันที่ 25 ธันวาคม และ วันเปิดกล่องของขวัญ (Boxing Day) ในวันที่ 26 ธันวาคม
วันหยุดอื่น ๆ ได้แก่:
- วันปีใหม่ (New Year's Day) - 1 มกราคม
- วันรัฐธรรมนูญ (Constitution Day) - 17 พฤษภาคม เพื่อรำลึกถึงการประกาศใช้รัฐธรรมนูญของนาอูรูในปี ค.ศ. 1968
- วันเยาวชนแห่งชาติ (National Youth Day) - 25 กันยายน เพื่อส่งเสริมสุขภาพของประชาชนและลดอัตราโรคอ้วน
- วันแห่งชนเผ่า (Day of the Tribes) - 21 สิงหาคม (เป็นวันหยุดของข้าราชการ)
วันหยุดเหล่านี้เป็นโอกาสให้ชาวนาอูรูได้พักผ่อน เฉลิมฉลอง และรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของตน