1. ภาพรวม
สหพันธรัฐไมโครนีเชียเป็นชาติเกาะในโอเชียเนีย ประกอบด้วยรัฐ 4 แห่ง ได้แก่ แยป, ชุก, โปนเปย์ และ โกชาเอ ซึ่งรวมกันเป็นเกาะประมาณ 607 เกาะ ทอดตัวยาวในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ประเทศนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานยุคแรก การก่อตัวของสังคมโบราณที่มีเอกลักษณ์ เช่น นันมาโตล และซากโบราณสถานเลลู ผ่านยุคอาณานิคมภายใต้การปกครองของสเปน เยอรมนี และญี่ปุ่น ซึ่งแต่ละยุคได้ทิ้งผลกระทบทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมไว้ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหพันธรัฐไมโครนีเชียอยู่ภายใต้ภาวะทรัสตีของสหรัฐอเมริกา ก่อนจะได้รับเอกราชและสถาปนารัฐบาลปกครองตนเองภายใต้สัญญาความสัมพันธ์เสรี (Compact of Free Associationสัญญาความสัมพันธ์เสรีภาษาอังกฤษ) กับสหรัฐอเมริกา
ในทางการเมือง สหพันธรัฐไมโครนีเชียเป็นสหพันธ์ สาธารณรัฐ ที่มีระบบประธานาธิบดี โดยมีการแบ่งแยกอำนาจและรับประกันสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน โครงสร้างทางเศรษฐกิจพึ่งพาเกษตรกรรม การประมง และความช่วยเหลือจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา ประเทศกำลังเผชิญความท้าทายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ สังคมมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และภาษา โดยมีภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการควบคู่ไปกับภาษาพื้นเมืองต่าง ๆ ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหลัก วัฒนธรรมดั้งเดิมยังคงมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน ควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านสิทธิมนุษยชนและการศึกษา บทความนี้จะสำรวจแง่มุมเหล่านี้อย่างละเอียด โดยเน้นผลกระทบทางสังคม การพัฒนาประชาธิปไตย และประเด็นสิทธิมนุษยชน
2. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของสหพันธรัฐไมโครนีเชียครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานยุคแรกเมื่อหลายพันปีก่อน ผ่านการปกครองของราชวงศ์ท้องถิ่น การเข้ามาของชาติตะวันตก การตกเป็นอาณานิคมของสเปน เยอรมนี และญี่ปุ่น การอยู่ภายใต้ภาวะทรัสตีของสหรัฐอเมริกาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จนกระทั่งได้รับเอกราชในที่สุด แต่ละช่วงเวลาได้หล่อหลอมสังคม การเมือง และวัฒนธรรมของหมู่เกาะเหล่านี้อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีผลกระทบที่แตกต่างกันไปต่อประชากรกลุ่มต่าง ๆ
2.1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์และการตั้งถิ่นฐานยุคแรก
บรรพบุรุษของชาวไมโครนีเชียได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในภูมิภาคนี้เมื่อกว่าสี่พันปีที่แล้ว ประมาณช่วง 4,000 ถึง 2,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยคาดว่าผู้ตั้งถิ่นฐานยุคแรกเป็นกลุ่มชนที่พูดภาษาในตระกูลออสโตรนีเซียน ซึ่งอพยพมาจากภูมิภาคฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย พวกเขามีความรู้ด้านการเกษตร (การเพาะปลูก) และทักษะการเดินเรือที่ก้าวหน้า นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชนอีกส่วนหนึ่งที่อพยพมาจากหมู่เกาะกิลเบิร์ตและหมู่เกาะโซโลมอน ผ่านทางตูวาลูและคิริบาส เข้ามายังรัฐโปนเปย์และรัฐชุกในภายหลัง ระบบการปกครองแบบหัวหน้าเผ่าที่ค่อนข้างกระจายอำนาจได้พัฒนาไปสู่ระบบเศรษฐกิจและศาสนาที่มีศูนย์กลางมากขึ้น โดยมีศูนย์กลางสำคัญอยู่ที่เกาะแยป
ในเกาะโปนเปย์ มีการก่อตั้งนันมาโตล (Nan Madolนันมาโตลภาษาอังกฤษ) ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก ประกอบด้วยหมู่เกาะเทียมขนาดเล็กจำนวนมากที่เชื่อมต่อกันด้วยเครือข่ายคลอง จนได้รับการขนานนามว่าเป็น "เวนิสแห่งแปซิฟิก" นันมาโตลเคยเป็นศูนย์กลางทางพิธีกรรมและการเมืองของราชวงศ์ซาวเดเลอูร์ (Saudeleur Dynastyราชวงศ์ซาวเดเลอูร์ภาษาอังกฤษ) ซึ่งปกครองและรวบรวมผู้คนบนเกาะโปนเปย์ประมาณ 25,000 คน ตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 500 จนถึงปี ค.ศ. 1500 เมื่อระบบการปกครองแบบรวมอำนาจนี้เสื่อมสลายลง ส่วนในเกาะโกชาเอ ก็มีราชวงศ์ที่ปกครองตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ซากโบราณสถานเลลู (Lelu Ruinsซากโบราณสถานเลลูภาษาอังกฤษ)

2.2. การสำรวจของชาติตะวันตกและการปกครองอาณานิคม
นักสำรวจชาวยุโรปเริ่มเดินทางมาถึงหมู่เกาะแคโรไลน์ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยกลุ่มแรกคือชาวโปรตุเกสที่กำลังค้นหาหมู่เกาะเครื่องเทศ (ปัจจุบันคืออินโดนีเซีย) ซึ่งได้ค้นพบเกาะแยปและอะทอลล์อูลิตี (Ulithi Atollอูลิตีอะทอลล์ภาษาอังกฤษ) ในปี ค.ศ. 1525 ต่อมาในปี ค.ศ. 1529 นักสำรวจชาวสเปนได้เดินทางมาถึงหมู่เกาะแคโรไลน์ ภายใต้สนธิสัญญาทอร์เดสซิลลาส (Treaty of Tordesillasสนธิสัญญาทอร์เดสซิลลาสภาษาอังกฤษ) ดินแดนเหล่านี้ตกเป็นของสเปน และสเปนได้ผนวกรวมหมู่เกาะนี้เข้ากับหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของสเปน (Spanish East Indiesหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของสเปนภาษาอังกฤษ) โดยมีศูนย์กลางการบริหารอยู่ที่มะนิลา ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 สเปนได้จัดตั้งด่านหน้าและคณะเผยแผ่ศาสนาหลายแห่ง ในปี ค.ศ. 1887 พวกเขาก่อตั้งเมืองซานเตียโก เด ลา อัสเซนซิออน (Santiago de la Ascensiónซานเตียโก เด ลา อัสเซนซิออนภาษาสเปน) ซึ่งปัจจุบันคือเมืองโคโลเนียบนเกาะโปนเปย์ ในช่วงแรก ชาวยุโรปไม่ค่อยให้ความสนใจหมู่เกาะแคโรไลน์มากนัก เนื่องจากมีคุณค่าทางเศรษฐกิจน้อยเมื่อเทียบกับดินแดนอื่น ๆ ในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของนักล่าปลาวาฬชาวอังกฤษและอเมริกันในภายหลังได้นำมาซึ่งการกดขี่ข่มเหงและโรคระบาดสู่ประชากรพื้นเมือง
ในช่วงทศวรรษ 1870 เยอรมนีเริ่มขยายอิทธิพลเข้ามาในหมู่เกาะแคโรไลน์ โดยได้จัดตั้งสถานีการค้าบนเกาะแยปในปี ค.ศ. 1869 นำไปสู่กรณีพิพาทเรื่องหมู่เกาะแคโรไลน์ (Carolines Questionกรณีพิพาทเรื่องหมู่เกาะแคโรไลน์ภาษาอังกฤษ) ในปี ค.ศ. 1885 ซึ่งมีการขอให้สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 13ตัดสินว่าเยอรมนีหรือสเปนมีอำนาจเหนือหมู่เกาะ ผลการตัดสินคือยืนยันอำนาจของสเปนเหนือหมู่เกาะ แต่เยอรมนีจะได้รับสิทธิในการเข้าถึงหมู่เกาะได้อย่างเสรี อย่างไรก็ตาม หลังความพ่ายแพ้ในสงครามสเปน-อเมริกาในปี ค.ศ. 1898 สเปนซึ่งอ่อนแอลงได้ขายหมู่เกาะนี้ให้แก่เยอรมนีในปี ค.ศ. 1899 ภายใต้สนธิสัญญาเยอรมัน-สเปน เยอรมนีได้ผนวกรวมดินแดนนี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของนิวกินีของเยอรมัน (German New Guineaนิวกินีของเยอรมันภาษาอังกฤษ) มีข้อสังเกตว่าเกาะที่ห่างไกลบางแห่ง เช่น กาปิงามารังงี ไม่ได้ถูกระบุชื่อในสนธิสัญญาอย่างชัดเจน แต่สเปนก็ไม่ได้อ้างสิทธิ์ในเกาะเหล่านี้ในยุคปัจจุบัน
2.3. สมัยอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิญี่ปุ่น

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งปะทุขึ้นในปี ค.ศ. 1914 ญี่ปุ่น ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับไมโครนีเชียของเยอรมนีอยู่ก่อนแล้ว และเศรษฐกิจของไมโครนีเชียก็พึ่งพาการค้ากับญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ได้เข้ายึดครองดินแดนไมโครนีเชียที่อยู่ในการปกครองของเยอรมนีซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของเส้นศูนย์สูตร ในปี ค.ศ. 1920 สันนิบาตชาติได้มอบอาณัติให้ญี่ปุ่นปกครองหมู่เกาะเหล่านี้ในฐานะอาณัติทะเลใต้ (South Seas Mandateอาณัติทะเลใต้ภาษาอังกฤษ) ภายใต้การบริหารของสำนักทะเลใต้ (南洋庁นันโยโชภาษาญี่ปุ่น) ในช่วงเวลานี้ มีชาวญี่ปุ่นเข้ามาตั้งถิ่นฐานจำนวนมาก โดยมีจำนวนประชากรชาวญี่ปุ่นมากกว่า 85,000 คน ในขณะที่ประชากรพื้นเมืองมีเพียงประมาณ 40,000 คน
ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย เช่น ระบบไฟฟ้า ประปา โรงเรียน และโรงพยาบาล ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกละเลยในสมัยการปกครองของเยอรมนีเนื่องจากความห่างไกลจากประเทศแม่ นอกจากนี้ นโยบายการตั้งอาณานิคมยังส่งเสริมให้นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นเข้ามามีบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้อ้อย การทำเหมืองแร่ การประมง และเกษตรกรรมเขตร้อนกลายเป็นอุตสาหกรรมหลัก ส่งผลให้ไมโครนีเชียมีดุลการค้าเกินดุลอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของชาวญี่ปุ่นจำนวนมากและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมก็ได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิมของประชากรท้องถิ่น
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้น ทะเลสาบชุก (Chuuk Lagoonทะเลสาบชุกภาษาอังกฤษ) ซึ่งล้อมรอบด้วยแนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้กลายเป็นฐานทัพเรือที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของกองทัพญี่ปุ่นในมหาสมุทรแปซิฟิก ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1944 กองทัพสหรัฐอเมริกาได้เปิดฉากปฏิบัติการเฮลสโตน (Operation Hailstoneปฏิบัติการเฮลสโตนภาษาอังกฤษ) โจมตีฐานทัพญี่ปุ่นที่ชุก ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธนาวีที่สำคัญที่สุดของสงคราม ส่งผลให้เรือรบและอากาศยานของญี่ปุ่นจำนวนมากถูกทำลาย หลังจากที่ฐานทัพนี้หมดสภาพการใช้งาน เกาะส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ก็ถูกปล่อยทิ้งไว้ในทางยุทธศาสตร์ การปกครองของญี่ปุ่นสิ้นสุดลงเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง
2.4. สมัยเป็นดินแดนในภาวะทรัสตีของสหรัฐอเมริกา
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1947 สหประชาชาติได้มอบหมายให้สหรัฐอเมริกาเป็นผู้บริหารดินแดนไมโครนีเชียในฐานะส่วนหนึ่งของดินแดนในภาวะทรัสตีแห่งหมู่เกาะแปซิฟิก (Trust Territory of the Pacific Islandsดินแดนในภาวะทรัสตีแห่งหมู่เกาะแปซิฟิกภาษาอังกฤษ, TTPI) ตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 21 (Security Council Resolution 21ข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 21ภาษาอังกฤษ) ดินแดนในภาวะทรัสตีนี้ประกอบด้วย 6 เขตการปกครอง ได้แก่ โปนเปย์ (ชื่อเดิมคือ โพนาเพ), โกชาเอ (ชื่อเดิมคือ เกาะคูไซเอ และในขณะนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของโปนเปย์), ชุก (ชื่อเดิมคือ ตรุก), แยป, ปาเลา และหมู่เกาะมาร์แชลล์ รวมถึงหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา
ในปี ค.ศ. 1965 สหรัฐอเมริกาได้ยินยอมให้มีการจัดตั้งสภาไมโครนีเชีย (Congress of Micronesiaสภาไมโครนีเชียภาษาอังกฤษ) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการพัฒนาทางการเมืองไปสู่การปกครองตนเอง ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ได้เริ่มมีการเจรจาเพื่อจัดตั้งรัฐบาลปกครองตนเองและนำไปสู่ความเป็นเอกราช ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1978 ได้มีการร่างรัฐธรรมนูญสหพันธรัฐไมโครนีเชียขึ้น และมีการลงประชามติในเขตการปกครองทั้ง 6 เขต ผลปรากฏว่ารัฐชุก รัฐแยป รัฐโปนเปย์ และรัฐโกชาเอ ให้การรับรองรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ในขณะที่หมู่เกาะมาร์แชลล์ ปาเลา และหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนาไม่ให้การรับรองและเลือกที่จะแยกตัวออกไป เขตการปกครองทั้งสี่ที่รับรองรัฐธรรมนูญจึงได้รวมตัวกันเป็นสหพันธรัฐไมโครนีเชียในเวลาต่อมา และแต่ละรัฐก็ได้มีการร่างรัฐธรรมนูญของตนเองขึ้น กระบวนการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาประชาธิปไตยและการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นเอกราชของสหพันธรัฐไมโครนีเชีย
2.5. เอกราช
เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1979 รัฐธรรมนูญสหพันธรัฐไมโครนีเชียมีผลบังคับใช้ เป็นผลให้สหพันธรัฐไมโครนีเชีย (FSM) ได้รับการสถาปนาขึ้นอย่างเป็นทางการ และเป็นการฟื้นคืนอธิปไตยที่สูญเสียไปเป็นเวลานานภายใต้การบริหารของสันนิบาตชาติและสหประชาชาติ โทซิโว นากายามา (Tosiwo Nakayamaโทซิโว นากายามาภาษาอังกฤษ) ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประธานสภาไมโครนีเชีย ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศ
ต่อมาในวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1986 สหพันธรัฐไมโครนีเชียได้ลงนามในสัญญาความสัมพันธ์เสรี (Compact of Free Associationสัญญาความสัมพันธ์เสรีภาษาอังกฤษ, COFA) กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันเดียวกัน ทำให้สหพันธรัฐไมโครนีเชียกลายเป็นรัฐเอกราชโดยพฤตินัย ภายใต้สัญญานี้ สหรัฐอเมริกายังคงรับผิดชอบด้านกลาโหมและความมั่นคงของสหพันธรัฐไมโครนีเชีย ขณะที่ดินแดนอื่น ๆ ในภาวะทรัสตี เช่น หมู่เกาะมาร์แชลล์และปาเลา ก็ได้จัดตั้งรัฐที่มีสัญญาความสัมพันธ์เสรีกับสหรัฐอเมริกาเช่นกัน
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1990 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้มีมติอย่างเป็นทางการให้สิ้นสุดสถานะการเป็นดินแดนในภาวะทรัสตีของสหพันธรัฐไมโครนีเชียตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 683 (Security Council Resolution 683ข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 683ภาษาอังกฤษ) และในปี ค.ศ. 1991 สหพันธรัฐไมโครนีเชียก็ได้เข้าเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ สัญญาความสัมพันธ์เสรีกับสหรัฐอเมริกาได้รับการต่ออายุในปี ค.ศ. 2004 นอกจากนี้ สหพันธรัฐไมโครนีเชียยังเป็นสมาชิกของประชาคมแปซิฟิก (Pacific Communityประชาคมแปซิฟิกภาษาอังกฤษ) มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1983
3. ภูมิศาสตร์
สหพันธรัฐไมโครนีเชียประกอบด้วยหมู่เกาะที่หลากหลายทางภูมิศาสตร์ ตั้งอยู่ในหมู่เกาะแคโรไลน์ ลักษณะทางภูมิประเทศรวมถึงเกาะภูเขาไฟและเกาะปะการังจำนวนมากกระจายตัวในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ภูมิอากาศเป็นแบบเขตร้อนชื้น มีความหลากหลายทางชีวภาพทั้งบนบกและในทะเลที่อุดมสมบูรณ์


3.1. ลักษณะภูมิประเทศและองค์ประกอบของเกาะ
สหพันธรัฐไมโครนีเชียประกอบด้วยเกาะจำนวน 607 เกาะ ทอดตัวยาวประมาณ 2.70 K km ตามแนวลองจิจูดในหมู่เกาะแคโรไลน์ ทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก ตั้งอยู่ทางเหนือของเส้นศูนย์สูตรเล็กน้อย หมู่เกาะเหล่านี้มีพื้นที่ดินรวมกันประมาณ 702 km2 แต่มีเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) ที่กว้างใหญ่เกือบ 3.00 M km2 ซึ่งใหญ่เป็นอันดับที่ 14 ของโลก
ประเทศนี้ประกอบด้วย 4 รัฐหลัก เรียงจากตะวันตกไปตะวันออก ได้แก่ แยป (Yap), ชุก (Chuuk; เดิมชื่อ ตรุก จนถึงเดือนมกราคม ค.ศ. 1990), โปนเปย์ (Pohnpei; เดิมชื่อ โพนาเพ จนถึงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1984) และโกชาเอ (Kosrae; เดิมชื่อ คูไซเอ) แต่ละรัฐมีศูนย์กลางอยู่ที่เกาะภูเขาไฟหลักหนึ่งเกาะหรือมากกว่านั้น และทุกรัฐยกเว้นโกชาเอ ประกอบด้วยอะทอลล์ (เกาะปะการังรูปวงแหวน) ที่อยู่ห่างไกลออกไปจำนวนมาก เมืองหลวงของประเทศคือปาลีกีร์ (Palikirปาลีกีร์ภาษาอังกฤษ) ตั้งอยู่บนเกาะโปนเปย์ และเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือเวโน (Wenoเวโนภาษาอังกฤษ) ซึ่งเป็นเทศบาลเกาะในทะเลสาบชุก
สหพันธรัฐไมโครนีเชียตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินโดนีเซียและปาปัวนิวกินี ทางใต้ของกวมและหมู่เกาะมาเรียนา ทางตะวันตกของนาอูรูและหมู่เกาะมาร์แชลล์ และทางตะวันออกของปาเลาและฟิลิปปินส์ อยู่ห่างจากทางตะวันออกของออสเตรเลียไปทางเหนือประมาณ 2.90 K km ห่างจากญี่ปุ่นไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 3.40 K km และห่างจากโฮโนลูลูบนหมู่เกาะฮาวายไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 4.00 K km
3.2. ภูมิอากาศ

สหพันธรัฐไมโครนีเชียมีสภาพภูมิอากาศแบบป่าฝนเขตร้อน (การจำแนกสภาพภูมิอากาศแบบเคิพเพน: Af) อากาศอบอุ่น ชื้น และมีฝนตกตลอดทั้งปี หมู่เกาะตั้งอยู่ทางเหนือของเส้นศูนย์สูตรและได้รับอิทธิพลจากลมค้าที่พัดสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยบรรเทาความรุนแรงของอากาศ อุณหภูมิต่ำสุดตลอดทั้งปีอยู่ระหว่าง 22 °C ถึง 25 °C และอุณหภูมิสูงสุดอยู่ระหว่าง 30 °C ถึง 32 °C ปริมาณน้ำฝนมีมาก โดยเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 2.50 K mm ถึง 5.00 K mm ต่อปี แม้ว่าในพื้นที่ด้านรับลมอาจมีปริมาณน้ำฝนเกิน 6.00 K mm ก็ตาม ภูเขานานาลาวด์ (Mount Nahnalaudภูเขานานาลาวด์ภาษาอังกฤษ) ซึ่งสูงเพียง 750 m บนเกาะโปนเปย์ มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 10.16 K mm ต่อปี ทำให้เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีฝนตกชุกที่สุดในโลก โดยท้องฟ้ามักมีเมฆปกคลุมเกือบตลอดเวลา โดยทั่วไป ฝนจะตกในลักษณะฝนไล่ช้างและพายุฝนฟ้าคะนองเป็นช่วงสั้น ๆ แต่มีความรุนแรงมาก สถานที่ที่แห้งแล้งที่สุดคืออะทอลล์ที่ราบเรียบ ซึ่งปริมาณน้ำฝนอาจต่ำกว่า 3.00 K mm เดือนที่แห้งที่สุดคือมกราคมและกุมภาพันธ์ โดยมีปริมาณน้ำฝนไม่น้อยกว่า 250 mm และมีฝนตกประมาณ 20 วัน
หมู่เกาะเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นเป็นครั้งคราว และเช่นเดียวกับรัฐเกาะขนาดเล็กอื่น ๆ สหพันธรัฐไมโครนีเชียมีความเปราะบางต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสภาพอากาศ
3.3. ความหลากหลายทางชีวภาพ

สหพันธรัฐไมโครนีเชียมีความหลากหลายทางชีวภาพที่อุดมสมบูรณ์ทั้งทางทะเลและบนบก ชุมชนชายฝั่งที่สำคัญ ได้แก่ ป่าชายเลน ทุ่งหญ้าทะเล ลากูน และแนวปะการัง ซึ่งเชื่อมโยงกันทั้งทางชีวภาพและทางกายภาพ มีการระบุชนิดพันธุ์ปะการังประมาณ 300 ชนิด ปลา 1,000 ชนิด และหอย 1,200 ชนิดในไมโครนีเชีย ในป่าชายเลนมีกุ้ง ปู และปลา รวมถึงนกที่กินสัตว์เหล่านี้เป็นอาหาร ทุ่งหญ้าทะเลปรากฏอยู่นอกชายฝั่งถัดจากป่าชายเลน ลากูนเป็นแหล่งอาหารสำหรับสิ่งมีชีวิตในแนวปะการังและมีแพลงก์ตอนหลากหลายชนิด ความหลากหลายทางชีวภาพและความซับซ้อนของแนวปะการังเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากตะวันออกไปตะวันตก โดยมีปะการังแข็ง 150 ชนิดที่โกชาเอ 200 ชนิดที่โปนเปย์ และ 300 ชนิดที่ชุก ผลผลิตของปะการังในบริเวณนี้จัดว่าสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยดูดซับคาร์บอนประมาณ 2,500 กรัมต่อตารางเมตรต่อปี เทียบกับ 2,200 กรัมในป่าเขตร้อน และ 125 กรัมในทะเลเปิด
บนบก ตั้งแต่เขตน้ำขึ้นน้ำลงไปจนถึงยอดเขามีพืชพรรณหลากหลายชนิด ได้แก่ ป่าเมฆ ป่าที่สูง ป่าปาล์ม พื้นที่เพาะปลูก พื้นที่ที่ถูกปกคลุมด้วยไม้เลื้อยสกุล Merremia ทุ่งหญ้าสะวันนา ป่าทุติยภูมิพื้นเมืองหย่อมป่าไม้ต่างถิ่น พื้นที่เพาะปลูก พื้นที่ชุ่มน้ำจืด บึงปาล์มจาก (Nypa fruticans) ป่าบนอะทอลล์ ป่าในพื้นที่โขดหิน และชายหาด มีเฟิร์นและพืชดอกประมาณ 1,230 ชนิด โดย 782 ชนิดเป็นพืชพื้นเมือง รวมถึงเฟิร์นพื้นเมือง 145 ชนิด บนเกาะโปนเปย์มีพืชประมาณ 750 ชนิด โดย 110 ชนิดเป็นพืชเฉพาะถิ่น และอีก 457 ชนิดเป็นพืชต่างถิ่นที่ถูกนำเข้ามา
ประเทศนี้มีเขตนิเวศวิทยาบนบก 2 แห่ง ได้แก่ ป่าชื้นเขตร้อนแคโรไลน์ (Carolines tropical moist forestsป่าชื้นเขตร้อนแคโรไลน์ภาษาอังกฤษ) และป่าแล้งเขตร้อนแยป (Yap tropical dry forestsป่าแล้งเขตร้อนแยปภาษาอังกฤษ) ในปี 2019 สหพันธรัฐไมโครนีเชียมีคะแนนเฉลี่ยดัชนีความสมบูรณ์ของภูมิทัศน์ป่าไม้ (Forest Landscape Integrity Indexดัชนีความสมบูรณ์ของภูมิทัศน์ป่าไม้ภาษาอังกฤษ) อยู่ที่ 7.55/10 ทำให้ได้รับการจัดอันดับที่ 37 จาก 172 ประเทศทั่วโลก ความพยายามในการอนุรักษ์กำลังดำเนินอยู่ แต่ก็ยังคงเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษ และชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน
4. การเมือง
สหพันธรัฐไมโครนีเชียมีรูปแบบการปกครองแบบสหพันธ์สาธารณรัฐภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยมีระบบประธานาธิบดีและการแบ่งแยกอำนาจที่ชัดเจนระหว่างฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ประเทศประกอบด้วยรัฐ 4 รัฐที่มีอำนาจปกครองตนเองในระดับหนึ่ง และมีระบบความมั่นคงที่ผูกพันกับสหรัฐอเมริกา
4.1. โครงสร้างรัฐบาล
สหพันธรัฐไมโครนีเชียปกครองด้วยรัฐธรรมนูญปี ค.ศ. 1979 ซึ่งรับประกันสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและกำหนดให้มีการแบ่งแยกอำนาจการปกครอง รัฐธรรมนูญนี้กำหนดให้รัฐบาลแห่งชาติมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา แต่ไม่เหมือนกันทั้งหมด รัฐสภาสหพันธรัฐไมโครนีเชีย (Congress of the Federated States of Micronesiaรัฐสภาสหพันธรัฐไมโครนีเชียภาษาอังกฤษ) เป็นระบบสภาเดียว มีสมาชิก 14 คนที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน สมาชิกวุฒิสภา 4 คน (รัฐละ 1 คน) มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ส่วนสมาชิกวุฒิสภาอีก 10 คนเป็นผู้แทนจากเขตเลือกตั้งเดียวตามจำนวนประชากรและมีวาระการดำรงตำแหน่ง 2 ปี (รัฐชุก 5 คน, รัฐโปนเปย์ 3 คน, รัฐแยป 1 คน, รัฐโกชาเอ 1 คน)
รัฐสภาเป็นผู้เลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจากกลุ่มสมาชิกวุฒิสภา 4 คนที่เป็นตัวแทนของแต่ละรัฐ เพื่อดำรงตำแหน่งในฝ่ายบริหารเป็นเวลา 4 ปี ตำแหน่งในรัฐสภาของบุคคลที่ได้รับเลือกจะถูกแทนที่ด้วยการเลือกตั้งพิเศษ ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมีคณะรัฐมนตรีที่ได้รับการแต่งตั้งคอยสนับสนุนการทำงาน สหพันธรัฐไมโครนีเชียไม่มีพรรคการเมืองที่เป็นทางการ
4.2. เขตการปกครอง
สหพันธรัฐไมโครนีเชียประกอบด้วย 4 รัฐ เรียงจากตะวันตกไปตะวันออก ได้แก่ รัฐแยป (Yap), รัฐชุก (Chuuk), รัฐโปนเปย์ (Pohnpei) และรัฐโกชาเอ (Kosrae) แต่ละรัฐมีเมืองหลวงและลักษณะเฉพาะของตนเอง
ธง | รัฐ | เมืองหลวง | ผู้ว่าการรัฐคนปัจจุบัน (ณ ปี 2023) | พื้นที่ (ตร.กม.) | ประชากร (สำมะโน 2010) | ความหนาแน่น (คน/ตร.กม.) |
---|---|---|---|---|---|---|
แยป | โคโลเนีย | ชาร์ลส์ เชียง (Charles Chieng) | 118.1 km2 | 11,377 | 96.3 | |
ชุก | เวโน | อเล็กซานเดอร์ อาร์. นาร์รูห์น (Alexander R. Narruhn) | 127.4 km2 | 48,654 | 381.9 | |
โปนเปย์ | โกโลเนีย | รีด พี. โอลิเวอร์ (Reed P. Oliver) | 345.5 km2 | 36,196 | 104.8 | |
โกชาเอ | โทโฟล | ทูเลนซา ปาลิก (Tulensa Palik) | 109.6 km2 | 6,616 | 60.4 |
รัฐเหล่านี้ยังแบ่งย่อยออกเป็นเทศบาลต่าง ๆ


4.3. กลาโหมและความมั่นคง
สหพันธรัฐไมโครนีเชียไม่มีกองทัพประจำการ ภายใต้สัญญาความสัมพันธ์เสรี (COFA) กับสหรัฐอเมริกา สหรัฐฯ เป็นผู้รับผิดชอบด้านกลาโหมและความมั่นคงของประเทศอย่างสมบูรณ์ ตำรวจแห่งชาติสหพันธรัฐไมโครนีเชีย (FSM National Policeตำรวจแห่งชาติสหพันธรัฐไมโครนีเชียภาษาอังกฤษ) มีหน่วยงานทางทะเล (Maritime Wing Unitหน่วยงานทางทะเลภาษาอังกฤษ) หรือหน่วยยามฝั่ง ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยทางทะเล โดยมีเรือตรวจการณ์ เช่น FSS Tosiwo Nakayama (เรือตรวจการณ์ชั้นการ์เดียน) และเรือรุ่นก่อนหน้า เช่น FSS Independence, FSS Palikir, และ FSS Micronesia
สัญญา COFA ยังอนุญาตให้พลเมืองของสหพันธรัฐไมโครนีเชียสามารถเข้าร่วมกองทัพสหรัฐฯ ได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับถิ่นที่อยู่ถาวรหรือสัญชาติอเมริกัน นอกจากนี้ รัฐบาลสหพันธรัฐไมโครนีเชียยังมีหน่วยบินขนาดเล็กสำหรับขนส่งประธานาธิบดี โดยใช้เครื่องบิน ฮาร์บิน วาย-12 ที่ได้รับบริจาคจากจีน
5. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
นโยบายต่างประเทศของสหพันธรัฐไมโครนีเชียเน้นการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาภายใต้สัญญาความสัมพันธ์เสรี รวมถึงการมีส่วนร่วมในองค์การระหว่างประเทศเพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ของชาติและภูมิภาค โดยให้ความสำคัญกับประเด็นระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาที่ยั่งยืน
5.1. ความสัมพันธ์กับประเทศสำคัญ
สหพันธรัฐไมโครนีเชียมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับหลายประเทศทั่วโลก ณ ปี 2022 ประเทศนี้มีความสัมพันธ์กับรัฐสมาชิกสหประชาชาติ 88 ประเทศ รวมถึงสันตะสำนัก คณะทหารองค์อธิปัตย์แห่งมอลตา หมู่เกาะคุก และคอซอวอ ในเวทีระหว่างประเทศ สหพันธรัฐไมโครนีเชียมักจะลงคะแนนเสียงสอดคล้องกับสหรัฐอเมริกาในข้อมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ
- สหรัฐอเมริกา: ความสัมพันธ์อยู่ภายใต้สัญญาความสัมพันธ์เสรี (COFA) ซึ่งสหรัฐฯ รับผิดชอบด้านกลาโหม ให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและเทคนิค และอนุญาตให้พลเมืองไมโครนีเชียเดินทางเข้าเมืองและทำงานในสหรัฐฯ ได้ ประเทศต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ในระดับสูง
- ญี่ปุ่น: มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ประธานาธิบดีคนแรก โทซิโว นากายามา เป็นชาวญี่ปุ่นรุ่นที่สอง และประธานาธิบดีคนที่เจ็ด แมนนี โมริ เป็นชาวญี่ปุ่นรุ่นที่สี่ ประชากรจำนวนมากในสหพันธรัฐไมโครนีเชียมีเชื้อสายญี่ปุ่น การท่องเที่ยวจากญี่ปุ่นเป็นแหล่งรายได้สำคัญ
- เกาหลีใต้: สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในปี ค.ศ. 1991 แต่ยังไม่มีสถานทูตถาวรในแต่ละประเทศ การเดินทางระหว่างสองประเทศต้องผ่านกวมหรือโฮโนลูลู
- จีน: มีความสัมพันธ์ทางการทูตและให้ความช่วยเหลือบางด้าน เช่น การบริจาคเครื่องบินขนส่งสำหรับประธานาธิบดี
- ออสเตรเลีย: เป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าและผู้ให้ความช่วยเหลือที่สำคัญในภูมิภาค
- รัสเซีย: สหพันธรัฐไมโครนีเชียสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัสเซียในปี ค.ศ. 1999 แต่ได้ตัดความสัมพันธ์ดังกล่าวในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 เพื่อประท้วงการรุกรานยูเครนของรัสเซีย
ความสัมพันธ์เหล่านี้มีผลกระทบอย่างมากต่อการพัฒนาประเทศ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และสังคม
5.2. กิจกรรมในองค์การระหว่างประเทศ
สหพันธรัฐไมโครนีเชียเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ (UN) ในปี ค.ศ. 1991 ตามคำแนะนำของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ข้อมติที่ 703) และการอนุมัติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (ข้อมติที่ 46/2) ประเทศนี้เป็นสมาชิกที่แข็งขันของเวทีหารือหมู่เกาะแปซิฟิก (Pacific Islands Forumเวทีหารือหมู่เกาะแปซิฟิกภาษาอังกฤษ - PIF) อย่างไรก็ตาม ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 สหพันธรัฐไมโครนีเชียได้ประกาศถอนตัวจาก PIF ร่วมกับหมู่เกาะมาร์แชลล์ คิริบาส และนาอูรู เนื่องจากข้อพิพาทเรื่องการเลือกตั้งเลขาธิการของ PIF แต่ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2022 ได้มีการบรรลุข้อตกลงซูวา (Suva Agreement) และสหพันธรัฐไมโครนีเชียตกลงที่จะยังคงเป็นสมาชิกของ PIF ต่อไป
นอกจากนี้ สหพันธรัฐไมโครนีเชียยังเป็นสมาชิกของประชาคมแปซิฟิก (Pacific Communityประชาคมแปซิฟิกภาษาอังกฤษ) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1983 ประเทศมีบทบาทในการส่งเสริมประเด็นระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของรัฐเกาะขนาดเล็ก และมักจะแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในเวทีระหว่างประเทศเพื่อเรียกร้องให้มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วนในประเด็นนี้
6. เศรษฐกิจ
โครงสร้างเศรษฐกิจของสหพันธรัฐไมโครนีเชียพึ่งพาภาคเกษตรกรรม การประมง และความช่วยเหลือจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา ประเทศกำลังเผชิญความท้าทายหลายด้านในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน รวมถึงผลกระทบทางสังคม สิ่งแวดล้อม และความจำเป็นในการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจด้วยตนเอง

6.1. อุตสาหกรรมหลัก
กิจกรรมทางเศรษฐกิจในสหพันธรัฐไมโครนีเชียส่วนใหญ่ประกอบด้วยเกษตรกรรมเพื่อการยังชีพและการประมง
- ภาคเกษตรกรรม: พืชผลหลัก ได้แก่ มะพร้าว มันสำปะหลัง เผือก สาเก กล้วย มันเทศ และคาวา (kavaคาวาภาษาอังกฤษ) แม้ว่าจะมีพื้นที่เหมาะสมต่อการเกษตร (ประมาณร้อยละ 5.7 ของพื้นที่ทั้งหมด) แต่ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ
- การประมง: อุตสาหกรรมที่สำคัญคือการจับปลาทูน่า โดยเฉพาะการทำประมงเบ็ดราว ซึ่งมีเรือจากต่างชาติ เช่น จีน เข้ามาทำประมงในช่วงทศวรรษ 1990 อาหารทะเลส่วนใหญ่ส่งออกไปยังญี่ปุ่น
- การท่องเที่ยว: มีศักยภาพในการพัฒนา แต่ถูกจำกัดด้วยความห่างไกลของที่ตั้งและการขาดแคลนสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียงพอ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่น
- ทรัพยากรแร่ธาตุ: มีทรัพยากรแร่ธาตุที่คุ้มค่าต่อการแสวงหาประโยชน์น้อยมาก ยกเว้นฟอสเฟตคุณภาพสูง (ซึ่งการทำเหมืองส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมในอดีต)
6.2. โครงสร้างเศรษฐกิจและความท้าทาย
สหพันธรัฐไมโครนีเชียพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอกในระดับสูง โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกาภายใต้สัญญาความสัมพันธ์เสรี (COFA) สหรัฐฯ ได้ให้คำมั่นว่าจะให้ความช่วยเหลือทางการเงินจำนวน 1.30 B USD ในช่วงปี ค.ศ. 1986-2001 และเมื่อมีการแก้ไขสัญญาในปี ค.ศ. 2004 สหรัฐฯ ได้ให้คำมั่นว่าจะให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอีก 110.00 M USD จนถึงปี ค.ศ. 2023 รายได้ประมาณร้อยละ 50 ของรัฐบาลมาจากความช่วยเหลือของสหรัฐฯ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่าการพึ่งพาความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ในระดับสูงเป็นหนึ่งในข้อกังวลหลักของประเทศ
โครงสร้างการค้าของประเทศมีลักษณะขาดดุล โดยต้องนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคส่วนใหญ่จากสหรัฐอเมริกา รัฐบาลพยายามสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจด้วยตนเองผ่านการพัฒนาภาคการประมง เกษตรกรรม และการท่องเที่ยว
ความท้าทายที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ ได้แก่:
- ความโดดเดี่ยวทางภูมิศาสตร์: ทำให้ต้นทุนการขนส่งสูงและจำกัดการเข้าถึงตลาด
- การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน: ทั้งทางกายภาพและสถาบัน เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตในระยะยาว
- ปัญหาการว่างงานสูง
- การประมงเกินขนาด (Overfishingการประมงเกินขนาดภาษาอังกฤษ)
- ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและกิจกรรมของมนุษย์
- ประเด็นสิทธิแรงงาน: ซึ่งต้องได้รับการดูแลควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ
7. การคมนาคม
ระบบการคมนาคมในสหพันธรัฐไมโครนีเชียเน้นการขนส่งทางอากาศระหว่างรัฐและระหว่างประเทศ รวมถึงการขนส่งทางทะเลซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับประเทศหมู่เกาะแห่งนี้
7.1. การขนส่งทางอากาศ
สหพันธรัฐไมโครนีเชียมีท่าอากาศยานนานาชาติ 4 แห่ง ตั้งอยู่ในแต่ละรัฐ ได้แก่:
- ท่าอากาศยานนานาชาติโปนเปย์ (Pohnpei International Airportท่าอากาศยานนานาชาติโปนเปย์ภาษาอังกฤษ; IATA: PNI) ตั้งอยู่บนเกาะหลักของรัฐโปนเปย์
- ท่าอากาศยานนานาชาติชุก (Chuuk International Airportท่าอากาศยานนานาชาติชุกภาษาอังกฤษ; IATA: TKK) ตั้งอยู่บนเกาะหลักของรัฐชุก (เกาะเวโน)
- ท่าอากาศยานนานาชาติโกชาเอ (Kosrae International Airportท่าอากาศยานนานาชาติโกชาเอภาษาอังกฤษ; IATA: KSA) ตั้งอยู่บนเกาะหลักของรัฐโกชาเอ
- ท่าอากาศยานนานาชาติแยป (Yap International Airportท่าอากาศยานนานาชาติแยปภาษาอังกฤษ; IATA: YAP) ตั้งอยู่บนเกาะหลักของรัฐแยป
นอกจากนี้ยังมีสนามบินภายในประเทศอีก 10 แห่ง ความยาวรวมของทางวิ่งของท่าอากาศยานนานาชาติอยู่ที่ 7,379 เมตร เส้นทางบินระหว่างประเทศที่สำคัญเชื่อมต่อกับกวม โฮโนลูลู และประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคแปซิฟิก ผู้ที่เดินทางจากเกาหลีใต้มายังไมโครนีเชียจำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องที่กวมหรือโฮโนลูลูเนื่องจากยังไม่มีเที่ยวบินตรง
7.2. การขนส่งทางทะเล
การขนส่งทางทะเลมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับสหพันธรัฐไมโครนีเชียซึ่งเป็นประเทศหมู่เกาะ ใช้สำหรับการขนส่งสินค้าระหว่างเกาะ การเดินทางของผู้คน และการเชื่อมต่อกับโลกภายนอก ท่าเรือหลัก ได้แก่ ท่าเรือโคโลเนียในรัฐโปนเปย์ และท่าเรือในรัฐแยป การเชื่อมต่อระหว่างเกาะต่าง ๆ ภายในรัฐและระหว่างรัฐอาศัยเรือเฟอร์รีและเรือขนส่งสินค้าขนาดเล็กเป็นหลัก
8. สังคม
สังคมของสหพันธรัฐไมโครนีเชียมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ภาษา และวัฒนธรรม โดยได้รับอิทธิพลจากประวัติศาสตร์อันยาวนานและการติดต่อกับโลกภายนอก ประเด็นสำคัญทางสังคม ได้แก่ องค์ประกอบประชากร ภาษา ศาสนา สาธารณสุข การศึกษา และสิทธิมนุษยชน

8.1. องค์ประกอบประชากร
ประชากรส่วนใหญ่ของสหพันธรัฐไมโครนีเชียเป็นชาวไมโครนีเชีย ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์และกลุ่มภาษาที่หลากหลาย กลุ่มชาติพันธุ์หลักตามสำมะโนประชากรปี 2000 (ข้อมูลจากแหล่งภาษาอังกฤษและเกาหลี อ้างอิง CIA World Factbook) ได้แก่:
- ชาวชุก (Chuukeseชาวชุกภาษาอังกฤษ): 48.8%
- ชาวโปนเปย์ (Pohnpeianชาวโปนเปย์ภาษาอังกฤษ): 24.2%
- ชาวโกชาเอ (Kosraeanชาวโกชาเอภาษาอังกฤษ): 6.2%
- ชาวแยป (Yapeseชาวแยปภาษาอังกฤษ): 5.2%
- ชาวเกาะรอบนอกของแยป: 4.5%
- ชาวเอเชีย: 1.8% (ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนและฟิลิปปินส์ที่อพยพเข้ามาตั้งแต่ทศวรรษ 1990)
- ชาวพอลินีเชีย: 1.5% (เช่น ชาวกาปิงามารังงี และชาวนูกูโอโร)
- อื่น ๆ: 6.4%
- ไม่ระบุ: 1.4%
ประชากรส่วนน้อยจำนวนมากมีบรรพบุรุษเป็นชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผลมาจากการแต่งงานระหว่างผู้ตั้งถิ่นฐานชาวญี่ปุ่นกับชาวไมโครนีเชียในช่วงที่ญี่ปุ่นปกครองอาณานิคม (คาดว่าอาจสูงถึง 20% ของประชากร) นอกจากนี้ยังมีประชากรชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ได้แก่ ชาวอเมริกัน ออสเตรเลีย ยุโรป อัตราการเติบโตของประชากรยังคงสูง (มากกว่า 3% ต่อปี) แต่ถูกชดเชยบางส่วนด้วยการอพยพออกสุทธิ จำนวนประชากรโดยประมาณอยู่ที่ 107,000 คน (ข้อมูลจากแหล่งภาษาเวียดนาม)

8.2. ภาษา
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการและภาษาที่ใช้สื่อสารทั่วไปในรัฐบาล การศึกษาระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา นอกเหนือจากภาษาอังกฤษแล้ว ยังมีการใช้ภาษาในตระกูลออสโตรนีเซียนหลายภาษาในแต่ละรัฐและเกาะต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงภาษาหลัก ๆ ดังนี้:
ภาษา | ตระกูลภาษา | จำนวนผู้พูดโดยประมาณ |
---|---|---|
ภาษาชูก (Chuukeseภาษาชูกภาษาอังกฤษ) | มิโครนีเซีย | 45,900 |
ภาษาโปนเปย์ (Pohnpeianภาษาโปนเปย์ภาษาอังกฤษ) | มิโครนีเซีย | 30,000 |
ภาษาโกชาเอ (Kosraeanภาษาโกชาเอภาษาอังกฤษ) | มิโครนีเซีย | 8,000 |
ภาษามอร์ตล็อก (Mortlockeseภาษามอร์ตล็อกภาษาอังกฤษ) | มิโครนีเซีย | 5,900 |
ภาษาแยป (Yapeseภาษาแยปภาษาอังกฤษ) | มิโครนีเซีย (หรืออาจจัดอยู่ในกลุ่มภาษาหมู่เกาะแอดมิรัลตี) | 5,130 |
ภาษาอูลิตี (Ulithianภาษาอูลิตีภาษาอังกฤษ) | มิโครนีเซีย | 3,000 |
ภาษากาปิงามารังงี (Kapingamarangiภาษากาปิงามารังงีภาษาอังกฤษ) | พอลินีเชีย | 3,000 |
ภาษาปิงเกแลป (Pingelapeseภาษาปิงเกแลปภาษาอังกฤษ) | มิโครนีเซีย | 3,000 |
ภาษาอื่น ๆ ที่ใช้ในประเทศ ได้แก่ ภาษาโวเลอาย (Woleaianภาษาโวเลอายภาษาอังกฤษ), ภาษามอกิล (Mokileseภาษามอกิลภาษาอังกฤษ), ภาษาปูลูวัต (Puluwatภาษาปูลูวัตภาษาอังกฤษ), ภาษาปาอาฟัง (Pááfangภาษาปาอาฟังภาษาอังกฤษ), ภาษานาโมนูอิโต (Namonuitoภาษานาโมนูอิโตภาษาอังกฤษ), ภาษานูกูโอโร (Nukuoroภาษานูกูโอโรภาษาอังกฤษ), ภาษาซัปวูอาฟิก (Sapwuahfikภาษาซัปวูอาฟิกภาษาอังกฤษ หรือ Ngatikese), ภาษาซาตาวาล (Satawaleseภาษาซาตาวาลภาษาอังกฤษ) และภาษางูลูวัน (Nguluwanภาษางูลูวันภาษาอังกฤษ) นอกจากนี้ ยังมีผู้สูงอายุบางส่วนที่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้ และมีการใช้คำยืมจากภาษาญี่ปุ่นและนามสกุลแบบญี่ปุ่นอยู่บ้าง ในชุมชนคาทอลิกบนเกาะโปนเปย์มีการใช้ภาษาสเปนในกลุ่มมิชชันนารีเมอร์เซเดเรียน

8.3. ศาสนา
ประชากรส่วนใหญ่ของสหพันธรัฐไมโครนีเชียนับถือศาสนาคริสต์ (ประมาณ 97%) โดยแบ่งเป็นนิกายโรมันคาทอลิกประมาณ 55% และนิกายโปรเตสแตนต์ต่าง ๆ ประมาณ 42% ซึ่งเป็นผลมาจากประวัติศาสตร์การเป็นอาณานิคมของสเปนและเยอรมนี การปกครองของสเปนทำให้ประชากรส่วนใหญ่ยังคงนับถือนิกายโรมันคาทอลิก ส่วนในยุคอาณานิคมของเยอรมนี มีการส่งมิชชันนารีทั้งคาทอลิกและโปรเตสแตนต์จากเยอรมนีเข้ามาเผยแผ่ศาสนา กลุ่มโปรเตสแตนต์ส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากมิชชันนารีคองกรีเกชันแนลลิสต์ชาวอเมริกัน
การกระจายตัวของศาสนาในแต่ละรัฐมีความแตกต่างกัน:
- รัฐโกชาเอ: ประชากรประมาณ 7,800 คน โดย 95% เป็นโปรเตสแตนต์
- รัฐโปนเปย์: ประชากรประมาณ 35,000 คน แบ่งเป็นโปรเตสแตนต์และคาทอลิกอย่างละครึ่ง ผู้ย้ายถิ่นฐานส่วนใหญ่เป็นชาวฟิลิปปินส์ที่นับถือคาทอลิก ในช่วงทศวรรษ 1890 เกิดความขัดแย้งระหว่างมิชชันนารีและการเปลี่ยนศาสนาของผู้นำตระกูลบนเกาะโปนเปย์ ส่งผลให้เกิดการแบ่งแยกทางศาสนาตามสายตระกูลซึ่งยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน โดยชาวโปรเตสแตนต์ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางตะวันตกของเกาะ ขณะที่ชาวคาทอลิกส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางตะวันออก
- รัฐชุกและรัฐแยป: คาดว่าประมาณ 60% เป็นคาทอลิก และ 40% เป็นโปรเตสแตนต์
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มศาสนาขนาดเล็กอื่น ๆ ได้แก่ บัพติสต์ แอสเซมบลีส์ออฟกอด กองทัพ मुक्ति เซเวนต์เดย์แอดเวนทิสต์ พยานพระยะโฮวา ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย (มอร์มอน) และศาสนาบาไฮ มีกลุ่มชาวพุทธขนาดเล็กบนเกาะโปนเปย์ และกลุ่มมุสลิมอะห์มะดียะฮ์ขนาดเล็กทั้งในโปนเปย์และโกชาเอ
การเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนามีอัตราสูง โบสถ์ได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากศาสนิกชนและมีบทบาทสำคัญในภาคประชาสังคม ความเชื่อดั้งเดิมแบบวิญญาณนิยมยังคงมีอิทธิพล และมีการฟื้นฟูพิธีกรรมดั้งเดิมบางอย่าง รัฐธรรมนูญแห่งสหพันธรัฐไมโครนีเชียให้การรับรองเสรีภาพในการนับถือศาสนา และโดยทั่วไปรัฐบาลเคารพสิทธินี้ในทางปฏิบัติ
8.4. สาธารณสุข
อายุคาดเฉลี่ยของประชากรในสหพันธรัฐไมโครนีเชีย ณ ปี ค.ศ. 2018 อยู่ที่ 66 ปีสำหรับผู้ชาย และ 69 ปีสำหรับผู้หญิง ปัญหาด้านสุขภาพที่สำคัญรวมถึงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด และความดันโลหิตสูง ซึ่งส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับรูปแบบการใช้ชีวิตและการบริโภคอาหารที่เปลี่ยนแปลงไป
อะทอลล์ปิงเกแลป (Pingelap Atollอะทอลล์ปิงเกแลปภาษาอังกฤษ) ในรัฐโปนเปย์ เป็นที่รู้จักจากความชุกของภาวะตาบอดสีชนิดรุนแรงที่เรียกว่า อะโครมาทอปเซีย (Achromatopsiaอะโครมาทอปเซียภาษาอังกฤษ) หรือที่รู้จักกันในท้องถิ่นว่า "มาสกุน" (maskunมาสกุนMi'kmaq) ประมาณ 5% ของประชากร 3,000 คนบนอะทอลล์นี้ประสบกับภาวะดังกล่าว ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยทางพันธุกรรมและปรากฏการณ์คอขวดประชากร (population bottleneckภาวะคอขวดประชากรภาษาอังกฤษ) หลังเกิดพายุไต้ฝุ่นครั้งใหญ่ในอดีต
สถานะการบริการทางการแพทย์ในประเทศยังคงมีความท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกาะรอบนอกที่ห่างไกล การเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพยังคงเป็นปัญหาสำคัญสำหรับประชากรจำนวนมาก
8.5. การศึกษา
ระบบการศึกษาในสหพันธรัฐไมโครนีเชียประกอบด้วยการศึกษาระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษาบางส่วน ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้ในการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา ในสมัยอาณานิคมของญี่ปุ่นมีการจัดตั้งโรงเรียนขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบบการศึกษาในยุคนั้น อย่างไรก็ตาม ประเทศยังคงเผชิญกับความท้าทายในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา การเข้าถึงการศึกษาในพื้นที่ห่างไกล และการผลิตบุคลากรที่มีทักษะเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานและส่งเสริมการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
8.6. สิทธิมนุษยชนและประเด็นทางสังคม
รัฐธรรมนูญแห่งสหพันธรัฐไมโครนีเชียให้การรับรองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและเสรีภาพในการนับถือศาสนา โดยทั่วไปรัฐบาลเคารพสิทธิเหล่านี้ในทางปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีประเด็นทางสังคมและความท้าทายด้านสิทธิมนุษยชนที่ต้องได้รับการจัดการ
อัตราการเกิดอาชญากรรมโดยทั่วไปค่อนข้างต่ำ แต่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นคดีเกี่ยวกับทรัพย์สิน เช่น การบุกรุกเคหสถาน การลักทรัพย์ การทำร้ายร่างกาย และการฉกชิงทรัพย์ ในรัฐชุกมีรายงานปัญหาความรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการโจมตียานพาหนะ ซึ่งจำเป็นต้องมีการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
ประเด็นทางสังคมอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชน ได้แก่ ความยากจน การว่างงาน และการเข้าถึงบริการสาธารณะที่มีคุณภาพอย่างจำกัด โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางและชนกลุ่มน้อย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังเป็นภัยคุกคามต่อสิทธิในการดำรงชีวิตและวัฒนธรรมของประชาชน เนื่องจากผลกระทบต่อที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร และความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและการคุ้มครองสิทธิเด็กและสตรีก็เป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง
9. วัฒนธรรม
วัฒนธรรมของสหพันธรัฐไมโครนีเชียมีความหลากหลายและเป็นเอกลักษณ์ สะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานและลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เป็นหมู่เกาะ แต่ละรัฐในสี่รัฐมีวัฒนธรรมและประเพณีของตนเอง แต่ก็มีสายใยทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจร่วมกันที่สืบทอดมานานหลายศตวรรษ ลักษณะทางวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน ได้แก่ ความสำคัญของระบบครอบครัวขยายและระบบตระกูลแบบดั้งเดิม ซึ่งพบเห็นได้ในทุกเกาะ


9.1. วัฒนธรรมดั้งเดิมและมรดก
โครงสร้างสังคมแบบตระกูล (clan systemระบบตระกูลภาษาอังกฤษ) เป็นรากฐานสำคัญของวัฒนธรรมไมโครนีเชีย โดยครอบครัวขยายซึ่งรวมถึงพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ลูกหลาน และญาติห่าง ๆ มีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์ทางสังคม การสืบทอดภูมิปัญญาการต่อเรือแคนูเป็นอีกหนึ่งมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ เรือแคนูขนาดเล็กใช้ฝีพาย ส่วนเรือแคนูสำหรับออกทะเลจะใช้ใบเรือแล่นด้วยลม การไปมาหาสู่กันระหว่างเกาะอาศัยการเดินเท้าและเรือเป็นหลัก และมีธรรมเนียมที่ผู้มาเยือนจะต้องนำของฝากมาให้เจ้าบ้าน
เกาะแยป มีชื่อเสียงด้าน "เงินหิน" (Rai stonesเงินหินภาษาอังกฤษ) ซึ่งเป็นแผ่นหินแคลไซต์ขนาดใหญ่ รูปทรงกลม มีรูตรงกลาง บางชิ้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 4 m มูลค่าของหินเหล่านี้ขึ้นอยู่กับขนาดและประวัติความเป็นมา หินจำนวนมากถูกนำมาจากเกาะอื่น ๆ เช่น ปาเลา และไกลถึงนิวกินี มีหินประมาณ 6,500 ก้อนกระจายอยู่ทั่วเกาะ การเปลี่ยนเจ้าของไม่จำเป็นต้องมีการเคลื่อนย้ายหิน เนื่องจากผู้คนในชุมชนทราบดีว่าหินแต่ละก้อนเป็นของผู้ใด เงินหินมี 5 ประเภทหลัก ได้แก่ Mmbul, Gaw, Ray, Yar และ Reng (ซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 30 cm)
เกาะโปนเปย์ เป็นที่ตั้งของนันมาโตล (Nan Madol: Ceremonial Centre of Eastern Micronesiaนันมาโตล: ศูนย์กลางพิธีกรรมแห่งไมโครนีเชียตะวันออกภาษาอังกฤษ) ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ถูกจัดอยู่ในบัญชี "แหล่งมรดกโลกที่กำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย" เนื่องจากสาเหตุทางธรรมชาติ รัฐบาลกำลังดำเนินการอนุรักษ์สถานที่แห่งนี้

9.2. ดนตรีและการเต้นรำ
ดนตรีและการเต้นรำพื้นเมืองของแต่ละรัฐในสหพันธรัฐไมโครนีเชียมีความแตกต่างกันอย่างมาก สะท้อนถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของแต่ละภูมิภาค การเต้นรำแบบดั้งเดิมที่พบเห็นได้ทั่วไป ได้แก่ "การเต้นรำด้วยไม้" (stick dancingการเต้นรำด้วยไม้ภาษาอังกฤษ) ในรัฐโปนเปย์ รัฐชุก และรัฐแยป "การเต้นยืน" (standing dancesการเต้นยืนภาษาอังกฤษ) ในรัฐชุก และ "การเต้นนั่ง" (sitting dancesการเต้นนั่งภาษาอังกฤษ) ในรัฐแยปและรัฐชุก
ชาวแยปมีชื่อเสียงเป็นพิเศษในด้านทักษะการเต้นรำ การเต้นรำด้วยไม้ของชาวแยปเป็นการแสดงที่ผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก ๆ เข้าร่วมด้วยกัน ในขณะที่การเต้นยืนจะแสดงโดยผู้หญิง หรือโดยผู้ชายและเด็กชาย แต่จะไม่แสดงร่วมกัน การแข่งขันเต้นรำของผู้ชายมีการแบ่งแยกตามชั้นวรรณะ โดยวรรณะที่ต่ำกว่าจะมีท่าเต้นที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เช่น การเต้นยืนของผู้หญิง แต่จะสามารถเต้นได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากบุคคลในวรรณะที่สูงกว่า
ในปัจจุบัน ดนตรีสมัยนิยมได้รับอิทธิพลจากแนวดนตรีสากล เช่น ยูโรป็อป ดนตรีคันทรี และเร็กเก ซึ่งผสมผสานเข้ากับท่วงทำนองและเครื่องดนตรีพื้นเมือง ทำให้เกิดเป็นแนวดนตรีร่วมสมัยที่มีเอกลักษณ์
9.3. กีฬา
กีฬาหลายชนิดได้รับความนิยมในสหพันธรัฐไมโครนีเชีย ได้แก่ เบสบอล (ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมาก) ฟุตบอล บาสเกตบอล และกรีฑา สมาคมกีฬาสหพันธรัฐไมโครนีเชีย (Federated States of Micronesia Athletic Associationสมาคมกีฬาสหพันธรัฐไมโครนีเชียภาษาอังกฤษ) เป็นองค์กรกำกับดูแลกิจการกีฬาของประเทศ
ทีมฟุตบอลแห่งชาติสหพันธรัฐไมโครนีเชียอยู่ภายใต้การดูแลของสมาคมฟุตบอลสหพันธรัฐไมโครนีเชีย (Federated States of Micronesia Football Associationสมาคมฟุตบอลสหพันธรัฐไมโครนีเชียภาษาอังกฤษ) ซึ่งยังไม่ได้เป็นสมาชิกของฟีฟ่าหรือสมาพันธ์ฟุตบอลโอเชียเนีย (OFC) ประเทศนี้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาระดับภูมิภาค เช่น มิโครนีเชียนเกมส์ (Micronesian Gamesมิโครนีเชียนเกมส์ภาษาอังกฤษ) และเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 ที่ซิดนีย์ แต่ยังไม่เคยเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว
9.4. วรรณกรรมและสื่อ
ในด้านวรรณกรรม มีนักเขียนจากสหพันธรัฐไมโครนีเชียที่ได้รับการตีพิมพ์ผลงานจำนวนไม่มากนัก เอเมลิห์เตอร์ คิห์เล็ง (Emelihter Kihlengเอเมลิห์เตอร์ คิห์เล็งภาษาอังกฤษ) ซึ่งเดิมเป็นชาวกวมแต่ได้รับสัญชาติไมโครนีเชีย ถือเป็นชาวไมโครนีเชียคนแรกที่ได้ตีพิมพ์รวมบทกวีเป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 2008
หนังสือพิมพ์หลักที่ตีพิมพ์ในท้องถิ่น ได้แก่:
- The Kaselehlie Pressเดอะคาเซเลห์ลีเพรสภาษาอังกฤษ: ตีพิมพ์ที่รัฐโปนเปย์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 เป็นภาษาอังกฤษ รายปักษ์ ครอบคลุมข่าวสารทั่วทั้งสหพันธรัฐไมโครนีเชีย
- Senyavin Timesเซนยาวินไทมส์ภาษาอังกฤษ: ตีพิมพ์ที่รัฐโปนเปย์ในช่วงปี ค.ศ. 1967 ถึงทศวรรษ 1970 เป็นสองภาษา (ภาษาโปนเปย์และภาษาอังกฤษ)
- Truk Chronicleตรุกครอนิเคิลภาษาอังกฤษ: ตีพิมพ์ที่รัฐชุกในช่วงปี ค.ศ. 1979 ถึงทศวรรษ 1980 รายปักษ์ เป็นภาษาอังกฤษ โดยมีบทความบางส่วนเป็นภาษาแคโรไลน์
- Kosrae State Newsletterจดหมายข่าวรัฐโกชาเอภาษาอังกฤษ: ตีพิมพ์ที่รัฐโกชาเอตั้งแต่ปี ค.ศ. 1983 ถึง 2004 รายเดือน เป็นภาษาโกชาเอ
- The Yap Networkerเดอะแยปเน็ตเวิร์กเกอร์ภาษาอังกฤษ: ตีพิมพ์ที่รัฐแยปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999 ถึง 2005 รายสัปดาห์ เป็นภาษาอังกฤษ
สถานีโทรทัศน์ภาคพื้นดิน ได้แก่ Yap TVแยปทีวีภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ของรัฐแยป นอกจากนี้ยังมีบริการเคเบิลทีวี เช่น Island Cable TVไอส์แลนด์เคเบิลทีวีภาษาอังกฤษ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหลักคือ FSM Telecommunications Corporationเอฟเอสเอ็ม เทเลคอมมิวนิเคชันส์ คอร์ปอเรชันภาษาอังกฤษ