1. ภาพรวม
อินโดนีเซีย หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เป็นประเทศหมู่เกาะขนาดใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย ตั้งอยู่ระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่กว่า 17,000 เกาะ รวมถึงเกาะหลักอย่างสุมาตรา ชวา กาลีมันตัน สุลาเวสี และส่วนหนึ่งของเกาะนิวกินี อินโดนีเซียเป็นประเทศหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 14 ของโลก ด้วยจำนวนประชากรกว่า 280 ล้านคน อินโดนีเซียจึงเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับสี่ของโลกและเป็นประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก เกาะชวาซึ่งเป็นเกาะที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลก เป็นที่อยู่อาศัยของประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ
อินโดนีเซียเป็นสาธารณรัฐระบบประธานาธิบดีที่มีสภานิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้ง ประกอบด้วย 38 จังหวัด โดยในจำนวนนี้ 9 จังหวัดมีสถานะปกครองตนเองพิเศษ กรุงจาการ์ตาซึ่งเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุด เป็นเขตเมืองที่มีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับสองของโลก อินโดนีเซียมีพรมแดนทางบกติดกับปาปัวนิวกินี ติมอร์-เลสเต และมาเลเซียตะวันออก และมีพรมแดนทางทะเลติดกับสิงคโปร์ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย ปาเลา และอินเดีย แม้จะมีประชากรจำนวนมากและมีภูมิภาคที่มีประชากรหนาแน่น อินโดนีเซียก็ยังมีพื้นที่ป่ากว้างใหญ่ที่สนับสนุนความหลากหลายทางชีวภาพในระดับสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
หมู่เกาะอินโดนีเซียเป็นภูมิภาคที่มีคุณค่าทางการค้ามาอย่างน้อยตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 เมื่ออาณาจักรศรีวิชัยแห่งสุมาตราและต่อมาคืออาณาจักรมัชปาหิตแห่งชวาได้ทำการค้ากับจีนแผ่นดินใหญ่และอนุทวีปอินเดีย ผู้ปกครองท้องถิ่นได้ผสมผสานอิทธิพลจากต่างชาติ ทำให้เกิดอาณาจักรฮินดูและพุทธที่รุ่งเรือง ต่อมาพ่อค้าชาวสุหนี่และนักวิชาการศูฟีได้นำศาสนาอิสลามเข้ามา และมหาอำนาจยุโรปได้ต่อสู้กันเพื่อผูกขาดการค้าในหมู่เกาะเครื่องเทศแห่งโมลุกกะในยุคแห่งการสำรวจ หลังจากการเป็นอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์เป็นเวลาสามศตวรรษครึ่ง อินโดนีเซียได้รับเอกราชหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และตั้งแต่นั้นมาก็ได้เผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ เช่น การแบ่งแยกดินแดน การทุจริต และภัยธรรมชาติ ควบคู่ไปกับการพัฒนาประชาธิปไตยและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว สังคมอินโดนีเซียประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์และกลุ่มภาษาหลายร้อยกลุ่ม โดยชาวชวาเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด อัตลักษณ์ของชาติหลอมรวมภายใต้คำขวัญ ภินเนกาตุงกัลอิกา ซึ่งกำหนดโดยภาษาประจำชาติ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนา ตลอดจนประวัติศาสตร์การเป็นอาณานิคมและการต่อต้าน อินโดนีเซียเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ เศรษฐกิจของอินโดนีเซียใหญ่เป็นอันดับที่ 16 ของโลกตาม GDP ปกติ และใหญ่เป็นอันดับที่ 8 ตาม PPP ในฐานะประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกและเป็นอำนาจปานกลางในกิจการระดับโลก อินโดนีเซียเป็นสมาชิกขององค์กรพหุภาคีหลายแห่ง รวมถึงสหประชาชาติ องค์การการค้าโลก จี20 บริกส์ และเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) และองค์การความร่วมมืออิสลาม
2. ศัพทมูลวิทยา

ชื่อ "อินโดนีเซีย" (Indonesiaภาษาอินโดนีเซีย) มาจากการประสมคำในภาษาละตินสองคำ คือ Indus (อินดุส) ซึ่งหมายถึง "อินเดีย" และคำในภาษากรีก nesos (νῆσοςเนซอสGreek, Ancient) ซึ่งหมายถึง "เกาะ" หรือ "หมู่เกาะ" ดังนั้น "อินโดนีเซีย" จึงมีความหมายตามตัวอักษรว่า "หมู่เกาะอินเดีย" การใช้ชื่อนี้สืบย้อนไปถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนการก่อตั้งประเทศอินโดนีเซียที่เป็นเอกราชนานมาก
ในปี ค.ศ. 1850 จอร์จ วินด์เซอร์ เอิร์ล (George Windsor Earl) นักชาติพันธุ์วิทยาชาวอังกฤษ ได้เสนอคำว่า Indunesians (อินดูนีเซียนส์) และคำที่เขาพึงพอใจมากกว่าคือ Malayunesians (มลายูเนเซียนส์) เพื่อใช้เรียกผู้ที่อาศัยอยู่ใน "หมู่เกาะอินเดีย หรือ กลุ่มเกาะมลายู" ในสิ่งพิมพ์ฉบับเดียวกัน เจมส์ ริชาร์ดสัน โลแกน (James Richardson Logan) หนึ่งในลูกศิษย์ของเอิร์ล ได้ใช้คำว่า Indonesia (อินโดนีเซีย) เป็นคำพ้องความหมายกับ Indian Archipelago (หมู่เกาะอินเดีย) อย่างไรก็ตาม นักวิชาการชาวดัตช์ที่เขียนบทความในสิ่งพิมพ์ของหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ไม่นิยมใช้คำว่า อินโดนีเซีย พวกเขานิยมใช้คำว่า Maleische Archipel (กลุ่มเกาะมลายู), Nederlandsch Oost Indië (หมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์) ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ Indië (อินเดีย), de Oost (ตะวันออก) และแม้กระทั่ง Insulinde (อินซูลินเดอ) ซึ่งเป็นชื่อที่ได้รับความนิยมจากนวนิยายเรื่อง Max Havelaar ที่วิพากษ์วิจารณ์ระบบอาณานิคมของดัตช์
หลังปี ค.ศ. 1900 คำว่า "อินโดนีเซีย" เริ่มเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในแวดวงวิชาการนอกประเทศเนเธอร์แลนด์ และกลุ่มชาตินิยมชาวพื้นเมืองได้รับเอาชื่อนี้มาใช้เพื่อแสดงออกทางการเมือง อาด็อล์ฟ บัสทีอัน (Adolf Bastian) จากมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน เป็นผู้ที่ทำให้ชื่อนี้เป็นที่นิยมผ่านหนังสือของเขาชื่อ Indonesien oder die Inseln des Malayischen Archipels, 1884-1894อินโดนีเซีย หรือ หมู่เกาะแห่งกลุ่มเกาะมลายู, ค.ศ. 1884-1894ภาษาเยอรมัน นักวิชาการชาวพื้นเมืองคนแรกที่ใช้ชื่อนี้คือ กี ฮาจาร์ เดวันตารา (Ki Hajar Dewantara) หรือชื่อเดิมคือ ซูวาร์ดี ซูร์ยานิงรัต (Suwardi Suryaningrat) เมื่อเขาได้ก่อตั้งสำนักข่าวในเนเธอร์แลนด์ชื่อ Indonesisch Pers-bureauสำนักข่าวอินโดนีเซียภาษาดัตช์ ในปี ค.ศ. 1913
3. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของอินโดนีเซียครอบคลุมช่วงเวลาอันยาวนาน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ การก่อตั้งอาณาจักรโบราณ การเข้ามาของอิทธิพลจากภายนอก ยุคอาณานิคม การต่อสู้เพื่อเอกราช จนถึงการพัฒนาประเทศในยุคปัจจุบัน เหตุการณ์เหล่านี้ได้หล่อหลอมอัตลักษณ์และความหลากหลายทางวัฒนธรรมของอินโดนีเซีย
3.1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์

หมู่เกาะอินโดนีเซียเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่สมัย โฮโม อีเร็กตัส หรือ "มนุษย์ชวา" โดยมีฟอสซิลที่ค้นพบมีอายุย้อนหลังไปถึง 2 ล้านถึง 500,000 ปีก่อนคริสตกาล ฟอสซิลของ โฮโม ฟลอเรซิเอนซิส ซึ่งพบที่เกาะฟลอเรส มีอายุประมาณ 700,000 ถึง 60,000 ปีก่อนคริสตกาล ขณะที่ โฮโม เซเปียนส์ หรือมนุษย์ปัจจุบัน มาถึงหมู่เกาะนี้เมื่อประมาณ 43,000 ปีก่อนคริสตกาล เกาะสุลาเวสีและเกาะบอร์เนียวเป็นที่ตั้งของภาพเขียนบนผนังถ้ำที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเท่าที่รู้จัก ซึ่งมีอายุระหว่าง 40,000 ถึง 60,000 ปี สถานที่ตั้งของหินใหญ่ เช่น กูนุงปาดัง ทางตะวันตกของเกาะชวา, โลเรลินดู ในสุลาเวสี รวมถึงเกาะนีอัสและซุมบาในสุมาตรา สะท้อนให้เห็นถึงการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ยุคแรกและพิธีกรรมต่าง ๆ
ประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวออสโตรนีเซียนเริ่มเดินทางมาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากเกาะที่ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อไต้หวัน พวกเขาค่อย ๆ ขับไล่ชาวเมลานีเชียพื้นเมืองไปยังส่วนตะวันออกไกลของหมู่เกาะในขณะที่พวกเขาแผ่ขยายไปทางตะวันออก และในที่สุดก็กลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ของอินโดนีเซียในปัจจุบัน สภาพเกษตรกรรมที่เอื้ออำนวยและความก้าวหน้า เช่น นาข้าวแบบทดน้ำภายในคริสต์ศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล ทำให้หมู่บ้านและอาณาจักรเติบโตขึ้นภายในคริสต์ศตวรรษที่ 1 ตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ของหมู่เกาะนี้ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างเกาะและระหว่างประเทศกับอารยธรรมจากอนุทวีปอินเดียและจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของอินโดนีเซียผ่านการค้า
ภายในคริสต์ศตวรรษที่ 7 อาณาจักรทางทะเลศรีวิชัยเจริญรุ่งเรืองจากการค้าและรับอิทธิพลของศาสนาฮินดูและพุทธ ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 ถึง 10 เป็นยุคที่ราชวงศ์ไศเลนทร์ (พุทธ) และราชวงศ์มาตารัม (ฮินดู) รุ่งเรืองและเสื่อมถอยลง โดยทิ้งมรดกทางสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ เช่น โบโรบูดูร์และปรัมบานัน อาณาจักรมัชปาหิต ซึ่งเป็นอาณาจักรฮินดูที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 ทางตะวันออกของเกาะชวา ได้ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของหมู่เกาะภายใต้การนำของกะจะห์ มาดา ในช่วงเวลาที่มักถูกเรียกว่าเป็น "ยุคทอง" ในประวัติศาสตร์อินโดนีเซีย ศาสนาอิสลามมาถึงในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ทางตอนเหนือของสุมาตรา และหลังจากค่อย ๆ ได้รับการยอมรับในหมู่เกาะอื่น ๆ ก็กลายเป็นศาสนาหลักในชวาและสุมาตราภายในคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยผสมผสานกับประเพณีที่มีอยู่เดิม ก่อให้เกิดวัฒนธรรมอิสลามที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะในชวา
3.2. อาณาจักรโบราณและยุคกลาง
3.2.1. อาณาจักรฮินดู-พุทธ
อาณาจักรฮินดู-พุทธในอินโดนีเซียเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของอิทธิพลจากอินเดียตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษแรก ๆ โดยอาณาจักรที่เก่าแก่ที่สุดที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชัดเจนคือ กุไต มาร์ตาปุระ ในกาลีมันตันตะวันออก และตารุมนคร ทางตะวันตกของเกาะชวา ซึ่งทั้งสองอาณาจักรก่อตั้งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 4
อาณาจักรศรีวิชัย (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 7-13) เป็นมหาอำนาจทางทะเลที่สำคัญ มีศูนย์กลางอยู่ที่เกาะสุมาตรา ศรีวิชัยควบคุมเส้นทางการค้าทางทะเลในช่องแคบมะละกาและทะเลจีนใต้ และเป็นศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธศาสนามหายานที่สำคัญ มรดกที่สำคัญของศรีวิชัยคืออิทธิพลทางวัฒนธรรมและศาสนาที่แผ่ขยายไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในเกาะชวา ราชวงศ์ไศเลนทร์ (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 8-9) ซึ่งนับถือพระพุทธศาสนามหายาน ได้สร้างโบโรบูดูร์ ซึ่งเป็นพุทธสถานมหายานที่ใหญ่ที่สุดในโลก อาณาจักรมาตารัม (หรือเมดัง) (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 8-10) ซึ่งนับถือศาสนาฮินดูและพุทธ ได้สร้างปรัมบานัน กลุ่มเทวสถานฮินดูที่ยิ่งใหญ่ ต่อมาศูนย์กลางอำนาจของมาตารัมได้ย้ายไปทางตะวันออกของเกาะชวา และก่อให้เกิดอาณาจักรต่าง ๆ เช่น อาณาจักรกะดิริ และอาณาจักรสิงหะส่าหรี
อาณาจักรมัชปาหิต (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 13-16) ถือเป็นยุคทองของประวัติศาสตร์อินโดนีเซียโบราณ มีศูนย์กลางอยู่ที่ชวาตะวันออก ภายใต้การนำของกษัตริย์ฮายัม วูรุก และมหาอำมาตย์กะจะห์ มาดา มัชปาหิตขยายอำนาจครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของอินโดนีเซียปัจจุบันและบางส่วนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มัชปาหิตมีชื่อเสียงด้านศิลปะ วรรณกรรม และสถาปัตยกรรม รวมถึงระบบกฎหมายและการบริหารที่ก้าวหน้า อย่างไรก็ตาม อาณาจักรมัชปาหิตเริ่มเสื่อมลงในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 พร้อมกับการขยายตัวของอิทธิพลอิสลาม
3.2.2. รัฐสุลต่านอิสลาม
การเผยแผ่ศาสนาอิสลามในหมู่เกาะอินโดนีเซียเริ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ผ่านพ่อค้าชาวมุสลิมจากคุชราต เปอร์เซีย และอาระเบียตั้งแต่ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 7-8 แต่เริ่มมีบทบาทสำคัญทางการเมืองและสังคมในวงกว้างตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13 เป็นต้นมา การเปลี่ยนผ่านจากอาณาจักรฮินดู-พุทธไปสู่รัฐสุลต่านอิสลามเป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไปและมีความหลากหลายในแต่ละภูมิภาค
อาณาจักรแรก ๆ ที่รับอิสลามและกลายเป็นรัฐสุลต่านคือ อาณาจักรซามูเดอราปาไซ (Samudera Pasai) ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตราในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าและเผยแผ่อิสลามที่สำคัญ ต่อมา รัฐสุลต่านมะละกา (ก่อตั้งราวคริสต์ศตวรรษที่ 15) แม้จะตั้งอยู่นอกหมู่เกาะอินโดนีเซียปัจจุบัน แต่ก็มีอิทธิพลอย่างสูงต่อการค้าและการเผยแผ่อิสลามในภูมิภาคนี้ รวมถึงหมู่เกาะอินโดนีเซียด้วย
บนเกาะชวา การเสื่อมอำนาจของอาณาจักรมัชปาหิตในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 เปิดโอกาสให้รัฐสุลต่านต่าง ๆ เติบโตขึ้น รัฐสุลต่านเดอมัก (ก่อตั้งราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15) ถือเป็นรัฐสุลต่านแห่งแรกบนเกาะชวา และมีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่อิสลามและโค่นล้มอำนาจของมัชปาหิต รัฐสุลต่านอื่น ๆ ที่สำคัญบนเกาะชวา ได้แก่ รัฐสุลต่านจีเรอบน (Cirebon) รัฐสุลต่านบันเติน (Banten) และต่อมาคือ รัฐสุลต่านมาตารัม (Mataram Sultanate) (คนละอาณาจักรกับอาณาจักรมาตารัมโบราณ) ซึ่งก่อตั้งในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 และกลายเป็นมหาอำนาจสำคัญบนเกาะชวา รัฐสุลต่านมาตารัมภายหลังได้แตกออกเป็นรัฐสุลต่านย่อย ๆ เช่น รัฐสุลต่านยกยาการ์ตา และรัฐสุลต่านซูราการ์ตา
ในภูมิภาคอื่น ๆ รัฐสุลต่านอาเจะฮ์ (Aceh) ทางตอนเหนือของสุมาตรา (ก่อตั้งราวคริสต์ศตวรรษที่ 15-16) เติบโตขึ้นเป็นมหาอำนาจทางทะเลและการค้าเครื่องเทศที่สำคัญ โดยเฉพาะในสมัยสุลต่านอิสกันดาร์ มูดา (Iskandar Muda) ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 นอกจากนี้ยังมีรัฐสุลต่านอื่น ๆ เช่น รัฐสุลต่านเตอร์นาเต (Ternate) และรัฐสุลต่านตีโดเร (Tidore) ในหมู่เกาะโมลุกกะ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าเครื่องเทศที่สำคัญ และรัฐสุลต่านต่าง ๆ ในกาลีมันตันและสุลาเวสี เช่น รัฐสุลต่านโกวา (Gowa) และรัฐสุลต่านบันจาร์ (Banjar)
รัฐสุลต่านเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และเผยแผ่ศาสนาอิสลาม วัฒนธรรมอิสลามได้ผสมผสานกับวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีอยู่เดิม ก่อให้เกิดรูปแบบวัฒนธรรมอิสลามที่เป็นเอกลักษณ์ของอินโดนีเซีย
3.2.3. การเข้ามาของชาติตะวันตกและการล่าอาณานิคมยุคแรก

การเข้ามาของชาติตะวันตกในหมู่เกาะอินโดนีเซียเริ่มต้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยมีแรงจูงใจหลักคือการควบคุมการค้าเครื่องเทศที่มีค่า เช่น กานพลู ลูกจันทน์เทศ และพริกไทย ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างสูงในยุโรป
โปรตุเกสเป็นชาติยุโรปชาติแรกที่เดินทางมาถึง โดย อาฟงซู ดึ อัลบูแกร์กึ ได้ยึดครองมะละกาในปี ค.ศ. 1511 ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญในขณะนั้น ต่อมาในปี ค.ศ. 1512 ฟรังซิชกู แซเรา ได้นำกองเรือโปรตุเกสเดินทางไปยังหมู่เกาะโมลุกกะ (หมู่เกาะเครื่องเทศ) และสร้างฐานที่มั่นทางการค้าที่นั่น โดยเฉพาะที่เกาะเตอร์นาเต โปรตุเกสพยายามผูกขาดการค้าเครื่องเทศ แต่ก็เผชิญกับการแข่งขันและการต่อต้านจากรัฐสุลต่านท้องถิ่นและชาติยุโรปอื่น ๆ
สเปนก็เข้ามามีบทบาทในช่วงเวลาเดียวกัน โดยเดินทางมาถึงหมู่เกาะโมลุกกะจากทางตะวันออกผ่านมหาสมุทรแปซิฟิก ก่อให้เกิดการแข่งขันกับโปรตุเกส จนกระทั่งมีการทำสนธิสัญญาซาราโกซาในปี ค.ศ. 1529 ซึ่งเป็นการแบ่งเขตอิทธิพลระหว่างสองชาติ โดยสเปนส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ฟิลิปปินส์
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 เนเธอร์แลนด์และอังกฤษเริ่มเข้ามามีบทบาทในการค้าเครื่องเทศมากขึ้น บริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ (Vereenigde Oostindische Compagnie - VOC) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1602 และบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ (East India Company - EIC) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1600 ทั้งสองบริษัทกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของโปรตุเกสและกันและกัน
ชาวดัตช์ค่อย ๆ ขยายอิทธิพลและสร้างฐานที่มั่นทางการค้าหลายแห่ง เช่น ที่บันเติน อัมบน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จายาการ์ตา (Jayakarta) ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบาตาเวีย (ปัจจุบันคือจาการ์ตา) และกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจของ VOC ในเอเชีย ในขณะที่อังกฤษก็พยายามสร้างฐานที่มั่นเช่นกัน แต่โดยรวมแล้วอิทธิพลของอังกฤษในหมู่เกาะอินโดนีเซียมีจำกัดกว่าเมื่อเทียบกับดัตช์ในช่วงแรกนี้
การเข้ามาของชาติตะวันตกในช่วงนี้เป็นการเริ่มต้นของยุคอาณานิคม ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองครั้งใหญ่ในหมู่เกาะอินโดนีเซียในศตวรรษต่อ ๆ มา
3.3. ยุคอาณานิคมดัตช์

ยุคอาณานิคมดัตช์ในอินโดนีเซียครอบคลุมระยะเวลายาวนานกว่าสามศตวรรษ โดยเริ่มจากการเข้ามาของบริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ (VOC) ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 และตามด้วยการปกครองโดยตรงของรัฐบาลเนเธอร์แลนด์หลังจากการยุบเลิก VOC ในปลายศตวรรษที่ 18 ยุคนี้สิ้นสุดลงด้วยการยึดครองของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและการประกาศเอกราชของอินโดนีเซียในเวลาต่อมา
3.3.1. การปกครองของบริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ (VOC)
บริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ (Verenigde Oostindische Compagnieภาษาดัตช์; VOC) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1602 โดยสภาแห่งรัฐของเนเธอร์แลนด์ เพื่อรวมบริษัทการค้าต่าง ๆ ของเนเธอร์แลนด์ที่แข่งขันกันเองในเอเชียให้เป็นหนึ่งเดียว และเพื่อแข่งขันกับบริษัทการค้าของชาติยุโรปอื่น ๆ โดยเฉพาะโปรตุเกสและอังกฤษ VOC ได้รับอำนาจพิเศษจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ เช่น สิทธิในการผูกขาดการค้า การสร้างป้อมปราการ การทำสงคราม การทำสนธิสัญญา และการปกครองดินแดนที่ยึดครองได้
VOC เริ่มสร้างฐานที่มั่นในหมู่เกาะอินโดนีเซียอย่างรวดเร็ว โดยในปี ค.ศ. 1605 ได้ยึดครองอัมบนจากโปรตุเกส และในปี ค.ศ. 1619 ยัน ปีเตอร์โซน กุน ผู้สำเร็จราชการของ VOC ได้ก่อตั้งบาตาเวีย (ปัจจุบันคือจาการ์ตา) บนซากปรักหักพังของเมืองจายาการ์ตา (Jayakarta) และทำให้บาตาเวียกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจของ VOC ในเอเชีย
กิจกรรมหลักของ VOC คือการผูกขาดการค้าเครื่องเทศ โดยเฉพาะกานพลู ลูกจันทน์เทศ และพริกไทย ซึ่งมีราคาสูงมากในยุโรป VOC ใช้วิธีการที่รุนแรงในการควบคุมการผลิตและการค้าเครื่องเทศ เช่น การบังคับให้เกษตรกรปลูกพืชที่ต้องการ การทำลายต้นเครื่องเทศนอกพื้นที่ควบคุมเพื่อจำกัดปริมาณการผลิต และการใช้กำลังทหารปราบปรามผู้ที่ต่อต้าน นโยบายเหล่านี้สร้างความเดือดร้อนอย่างมากแก่ประชาชนในท้องถิ่น
รูปแบบการปกครองของ VOC ในหมู่เกาะอินโดนีเซียมีลักษณะเป็นการปกครองทางอ้อม โดยมักจะร่วมมือหรือบีบบังคับผู้ปกครองท้องถิ่นให้ยอมรับอำนาจของ VOC และปฏิบัติตามนโยบายการค้าของบริษัท VOC ยังได้สร้างระบบราชการและกองทัพของตนเองเพื่อบริหารจัดการดินแดนและผลประโยชน์ทางการค้า
ตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 18 VOC ประสบความสำเร็จอย่างมากในการผูกขาดการค้าและขยายอิทธิพลในหมู่เกาะอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 VOC เริ่มประสบปัญหาทางการเงินอย่างรุนแรง เนื่องจากการทุจริตภายในองค์กร การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากอังกฤษ สงครามในยุโรป และค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการดินแดนอาณานิคมที่กว้างใหญ่ ในที่สุด VOC ก็ล้มละลายและถูกยุบเลิกโดยรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 1799 ดินแดนและทรัพย์สินทั้งหมดของ VOC ถูกโอนไปยังรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของการปกครองโดยตรงของเนเธอร์แลนด์ในอินโดนีเซีย
3.3.2. การปกครองโดยตรงของเนเธอร์แลนด์และการขยายอาณานิคม

หลังจากการล่มสลายของบริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ (VOC) ในปี ค.ศ. 1799 รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้เข้าควบคุมหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์โดยตรง อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เนเธอร์แลนด์เองก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฝรั่งเศสในสมัยนโปเลียน โบนาปาร์ต และดินแดนอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ในอินโดนีเซียก็ถูกอังกฤษเข้ายึดครองชั่วคราวระหว่างปี ค.ศ. 1811-1816 ภายใต้การปกครองของโทมัส สแตมฟอร์ด แรฟเฟิลส์ หลังจากสิ้นสุดสงครามนโปเลียน เนเธอร์แลนด์ได้รับอินโดนีเซียคืนจากอังกฤษตามสนธิสัญญาแองโกล-ดัตช์ ค.ศ. 1814
เมื่อกลับมาปกครองอินโดนีเซียอีกครั้ง รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้ดำเนินนโยบายที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อสร้างรายได้และฟื้นฟูเศรษฐกิจของตนเอง นโยบายที่สำคัญที่สุดในช่วงนี้คือ ระบบการเพาะปลูก (Cultuurstelselภาษาดัตช์) ซึ่งริเริ่มโดยผู้สำเร็จราชการ โยฮันเนส ฟัน เดน โบส ในปี ค.ศ. 1830 ระบบนี้บังคับให้ชาวนาชาวชวาต้องปลูกพืชเศรษฐกิจที่รัฐบาลกำหนด เช่น กาแฟ อ้อย และคราม บนพื้นที่หนึ่งในห้าของที่ดินของตน หรือทำงานให้รัฐบาลเป็นเวลา 60 วันต่อปี ผลผลิตจากระบบนี้ถูกส่งออกไปขายในตลาดยุโรปและสร้างผลกำไรมหาศาลให้แก่เนเธอร์แลนด์ แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความทุกข์ยากและการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงให้แก่ชาวชวา ระบบนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักและค่อย ๆ ถูกยกเลิกไปในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19
นอกจากการแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแล้ว เนเธอร์แลนด์ยังดำเนินการขยายอำนาจและดินแดนอาณานิคมอย่างต่อเนื่องผ่านการทำสงครามกับอาณาจักรและกลุ่มชนต่าง ๆ ที่ยังคงเป็นอิสระ สงครามครั้งสำคัญ ๆ ในช่วงนี้ ได้แก่:
- สงครามปาดรี (ค.ศ. 1803-1837) ในสุมาตราตะวันตก ซึ่งเริ่มต้นจากความขัดแย้งภายในระหว่างกลุ่มปาดรี (นักปฏิรูปศาสนาอิสลาม) กับกลุ่มอาดัต (ผู้ยึดมั่นในประเพณีท้องถิ่น) ก่อนที่ดัตช์จะเข้ามาแทรกแซงและเอาชนะทั้งสองฝ่ายในที่สุด
- สงครามชวา (ค.ศ. 1825-1830) นำโดยเจ้าชายดีโปเนอโกโร ซึ่งเป็นการต่อต้านครั้งใหญ่ที่สุดต่อการปกครองของดัตช์บนเกาะชวา แม้ว่าในที่สุดฝ่ายดัตช์จะได้รับชัยชนะ แต่สงครามครั้งนี้ก็สร้างความเสียหายอย่างหนักทั้งสองฝ่าย
- สงครามอาเจะฮ์ (ค.ศ. 1873-1904 หรือยาวนานกว่านั้น) เป็นสงครามที่ยาวนานและนองเลือดที่สุดที่ดัตช์ต้องเผชิญ รัฐสุลต่านอาเจะฮ์ทางตอนเหนือของสุมาตราต่อต้านการขยายอำนาจของดัตช์อย่างแข็งขัน แม้ว่าดัตช์จะสามารถยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ได้ในที่สุด แต่การต่อต้านแบบกองโจรก็ยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายปี
นอกเหนือจากสงครามเหล่านี้ ดัตช์ยังได้ทำสงครามย่อย ๆ และดำเนินการทางทหารเพื่อปราบปรามการต่อต้านและขยายอำนาจในภูมิภาคอื่น ๆ เช่น บาหลี ลมบก กาลีมันตัน และสุลาเวสี จนกระทั่งในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เนเธอร์แลนด์จึงสามารถสถาปนาอำนาจควบคุมเหนือดินแดนส่วนใหญ่ที่ประกอบกันเป็นประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบันได้สำเร็จ การขยายอาณานิคมและการปกครองโดยตรงของเนเธอร์แลนด์ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอย่างลึกซึ้งในอินโดนีเซีย และเป็นรากฐานสำคัญของความขัดแย้งและการต่อสู้เพื่อเอกราชในเวลาต่อมา
3.3.3. ขบวนการชาตินิยมและการเติบโตของจิตสำนึกเอกราช

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 การปกครองอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และการศึกษาในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของขบวนการชาตินิยมและการเติบโตของจิตสำนึกแห่งความเป็นเอกราชในหมู่ปัญญาชนและประชาชนชาวอินโดนีเซีย
บูดีอูโตโม (Budi Utomo) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ. 1908 โดยกลุ่มนักศึกษาแพทย์ชาวชวา ถือเป็นองค์กรชาตินิยมสมัยใหม่องค์กรแรกของอินโดนีเซีย ในช่วงแรก บูดีอูโตโมมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวชวา แต่ต่อมาก็ได้ขยายขอบเขตกิจกรรมไปสู่ประเด็นทางการเมืองและสังคมในวงกว้างขึ้น วันก่อตั้งบูดีอูโตโมได้รับการยกย่องให้เป็น "วันการตื่นรู้แห่งชาติ" (Hari Kebangkitan Nasional) ของอินโดนีเซีย
ซาเรกัตอิสลาม (Sarekat Islam) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1911 (เดิมชื่อ ซาเรกัตดากังอิสลาม ก่อตั้งปี ค.ศ. 1909) โดยมีรากฐานมาจากการรวมตัวของพ่อค้าชาวบาติกมุสลิมเพื่อต่อต้านการผูกขาดทางเศรษฐกิจของชาวจีน ซาเรกัตอิสลามเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นองค์กรที่มีสมาชิกจำนวนมากทั่วหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ ในช่วงแรกมุ่งเน้นประเด็นทางเศรษฐกิจและศาสนา แต่ต่อมาก็ได้มีบทบาททางการเมืองที่เข้มข้นขึ้น โดยเรียกร้องสิทธิในการปกครองตนเองและต่อต้านการปกครองอาณานิคม
นอกจากสององค์กรหลักนี้แล้ว ยังมีองค์กรชาตินิยมอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น อินดิเชอปาร์ไตจ์ (Indische Partij) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่เรียกร้องเอกราชอย่างชัดเจน และองค์กรเยาวชนต่าง ๆ เช่น ยงยาฟา (Jong Java), ยงสุมาตราเนนโบนด์ (Jong Sumatranen Bond) ซึ่งเป็นการรวมตัวของเยาวชนจากภูมิภาคต่าง ๆ
กิจกรรมขององค์กรชาตินิยมเหล่านี้มีหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การจัดตั้งโรงเรียน การเผยแพร่แนวคิดชาตินิยมผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ การจัดตั้งสหกรณ์ ไปจนถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองและการประท้วงต่อต้านนโยบายของรัฐบาลอาณานิคม
เหตุการณ์สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของจิตสำนึกแห่งชาติและความเป็นเอกราชคือ คำปฏิญาณเยาวชน (Sumpah Pemuda) ซึ่งเกิดขึ้นในการประชุมเยาวชนอินโดนีเซียครั้งที่สองเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1928 ณ กรุงบาตาเวีย (จาการ์ตา) เยาวชนจากองค์กรต่าง ๆ ทั่วหมู่เกาะได้ให้คำปฏิญาณร่วมกัน 3 ข้อ คือ:
1. เรา บุตรธิดาแห่งอินโดนีเซีย ยอมรับว่ามีมาตุภูมิแห่งเดียว คือ แผ่นดินอินโดนีเซีย
2. เรา บุตรธิดาแห่งอินโดนีเซีย ยอมรับว่ามีชาติแห่งเดียว คือ ชาติอินโดนีเซีย
3. เรา บุตรธิดาแห่งอินโดนีเซีย ยึดมั่นในภาษาแห่งความเป็นหนึ่งเดียว คือ ภาษาอินโดนีเซีย
คำปฏิญาณเยาวชนนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ขบวนการชาตินิยมอินโดนีเซีย เพราะเป็นการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่จะสร้างชาติอินโดนีเซียที่เป็นเอกภาพและเป็นเอกราช และยังเป็นการยกย่องภาษาอินโดนีเซีย (ซึ่งมีพื้นฐานมาจากภาษามลายู) ให้เป็นภาษาประจำชาติ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเป็นปึกแผ่นของชาติในเวลาต่อมา
การเติบโตของขบวนการชาตินิยมเหล่านี้สร้างความกังวลให้แก่รัฐบาลอาณานิคมดัตช์ ซึ่งได้พยายามควบคุมและปราบปรามกิจกรรมขององค์กรเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม จิตสำนึกแห่งความเป็นเอกราชได้หยั่งรากลึกลงในสังคมอินโดนีเซียแล้ว และเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่นำไปสู่การประกาศเอกราชของอินโดนีเซียในที่สุด
3.4. ยุคการยึดครองของญี่ปุ่น

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากเนเธอร์แลนด์ถูกเยอรมนียึดครองในปี ค.ศ. 1940 รัฐบาลพลัดถิ่นของเนเธอร์แลนด์ยังคงควบคุมหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์อยู่ อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1942 กองทัพญี่ปุ่นได้บุกเข้ายึดครองอินโดนีเซียอย่างรวดเร็ว โดยอ้างว่าจะปลดปล่อยชาวเอเชียจากการเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก และสร้าง "วงไพบูลย์ร่วมแห่งมหาเอเชียบูรพา"
การยึดครองของญี่ปุ่นเริ่มต้นในเดือนมกราคม ค.ศ. 1942 และสามารถเอาชนะกองกำลังผสมของฝ่ายสัมพันธมิตร (ABDACOM) ซึ่งประกอบด้วยอเมริกัน อังกฤษ ดัตช์ และออสเตรเลีย ได้อย่างรวดเร็ว ภายในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1942 ญี่ปุ่นก็สามารถควบคุมดินแดนส่วนใหญ่ของอินโดนีเซียได้สำเร็จ
นโยบายการปกครองของญี่ปุ่นในอินโดนีเซียมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์สงคราม ในช่วงแรก ญี่ปุ่นพยายามเอาใจผู้นำชาตินิยมอินโดนีเซีย เช่น ซูการ์โน และโมฮัมมัด ฮัตตา โดยให้พวกเขามีบทบาทในการบริหารประเทศในระดับหนึ่ง และส่งเสริมการใช้ภาษาอินโดนีเซียแทนภาษาดัตช์ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้จัดตั้งองค์กรต่าง ๆ เช่น ปูเตรา (PUTERA - Pusat Tenaga Rakyat หรือศูนย์กลางพลังประชาชน) และต่อมาคือ จาวาโฮโกไก (Jawa Hokokai หรือสมาคมบริการสาธารณะชวา) เพื่อระดมการสนับสนุนจากประชาชนอินโดนีเซียในสงคราม
อย่างไรก็ตาม การปกครองของญี่ปุ่นก็สร้างความเดือดร้อนอย่างมากแก่ประชาชนอินโดนีเซีย ญี่ปุ่นได้เกณฑ์แรงงานชาวอินโดนีเซียจำนวนมาก (เรียกว่า โรมูชะ) ไปทำงานในโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งหลายคนต้องเสียชีวิตจากสภาพการทำงานที่โหดร้ายและการขาดแคลนอาหาร นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้บังคับให้ประชาชนปลูกพืชที่จำเป็นต่อการสงคราม และยึดครองทรัพยากรธรรมชาติของอินโดนีเซียไปใช้ในสงคราม
แม้จะมีการกดขี่และการแสวงหาประโยชน์ แต่ยุคการยึดครองของญี่ปุ่นก็มีผลกระทบสำคัญต่อขบวนการเอกราชอินโดนีเซีย:
1. การสิ้นสุดอำนาจของดัตช์: การที่ญี่ปุ่นสามารถเอาชนะดัตช์ได้อย่างง่ายดาย ได้ทำลายภาพลักษณ์ความแข็งแกร่งของเจ้าอาณานิคมเดิม และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ชาวอินโดนีเซียว่าพวกเขาสามารถปลดแอกตนเองได้
2. การส่งเสริมผู้นำชาตินิยม: ญี่ปุ่นได้ให้โอกาสผู้นำชาตินิยมอินโดนีเซีย เช่น ซูการ์โนและฮัตตา ในการปรากฏตัวต่อสาธารณชนและสร้างฐานมวลชน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชในเวลาต่อมา
3. การฝึกอาวุธแก่เยาวชน: ญี่ปุ่นได้จัดตั้งกองกำลังกึ่งทหาร เช่น เปตา (PETA - Pembela Tanah Air หรือผู้พิทักษ์ปิตุภูมิ) และเฮโฮ (Heiho) ซึ่งเป็นการฝึกอาวุธให้แก่เยาวชนอินโดนีเซียจำนวนมาก ทักษะทางทหารเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการต่อสู้เพื่อเอกราชหลังสงคราม
4. การส่งเสริมภาษาอินโดนีเซีย: การที่ญี่ปุ่นส่งเสริมการใช้ภาษาอินโดนีเซียในวงกว้าง ได้ช่วยเสริมสร้างความเป็นเอกภาพทางภาษาและวัฒนธรรมของชาติ
ในช่วงปลายสงคราม เมื่อญี่ปุ่นเริ่มพ่ายแพ้ ก็ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะให้เอกราชแก่อินโดนีเซีย และได้จัดตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบเพื่อเตรียมการเอกราชอินโดนีเซีย (BPUPKI) และต่อมาคือ คณะกรรมการเตรียมการเอกราชอินโดนีเซีย (PPKI) เพื่อร่างรัฐธรรมนูญและเตรียมการสำหรับเอกราช
การยึดครองของญี่ปุ่นสิ้นสุดลงเมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1945 ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้นำอินโดนีเซียประกาศเอกราชในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1945 แม้ว่ายุคการยึดครองของญี่ปุ่นจะเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่ก็ถือเป็นปัจจัยเร่งสำคัญที่นำไปสู่การได้รับเอกราชของอินโดนีเซียในที่สุด
3.5. สงครามประกาศเอกราชและการก่อตั้งรัฐ
3.5.1. การประกาศเอกราชและการปฏิวัติ

หลังจากการยอมจำนนของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1945 กลุ่มผู้นำชาตินิยมอินโดนีเซีย นำโดย ซูการ์โน และ โมฮัมมัด ฮัตตา ได้เห็นโอกาสในการประกาศเอกราช แม้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในหมู่ผู้นำเกี่ยวกับช่วงเวลาและวิธีการประกาศเอกราช แต่ในที่สุดภายใต้แรงกดดันจากกลุ่มเยาวชนหัวรุนแรง ซูการ์โนและฮัตตาก็ได้ประกาศเอกราชของอินโดนีเซียในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ณ กรุงจาการ์ตา คำประกาศเอกราช (Proklamasi Kemerdekaan Indonesia) มีเนื้อหาสั้น ๆ แต่มีความหมายสำคัญยิ่ง โดยระบุว่า "เรา ชนชาติอินโดนีเซีย ขอประกาศเอกราชของอินโดนีเซีย เรื่องการโอนอำนาจและอื่น ๆ จะดำเนินการอย่างรอบคอบและในระยะเวลาอันสั้นที่สุด"
ทันทีหลังการประกาศเอกราช ได้มีการจัดตั้ง คณะกรรมการเตรียมการเอกราชอินโดนีเซีย (Panitia Persiapan Kemerdekaan Indonesia - PPKI) ซึ่งได้ทำการรับรองรัฐธรรมนูญฉบับแรก (UUD 1945) และเลือกซูการ์โนเป็นประธานาธิบดี และฮัตตาเป็นรองประธานาธิบดี
อย่างไรก็ตาม เนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมเดิม ไม่ยอมรับการประกาศเอกราชของอินโดนีเซีย และพยายามกลับมาสถาปนาอำนาจควบคุมอีกครั้ง โดยได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตร (โดยเฉพาะอังกฤษ) ที่เข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในอินโดนีเซีย สิ่งนี้ได้นำไปสู่ช่วงเวลาที่เรียกว่า การปฏิวัติแห่งชาติอินโดนีเซีย (Revolusi Nasional Indonesia) หรือสงครามประกาศเอกราช ซึ่งกินเวลานานกว่าสี่ปี (ค.ศ. 1945-1949)
การต่อต้านความพยายามกลับมาสถาปนาอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์เกิดขึ้นในหลายรูปแบบ ทั้งการต่อสู้ด้วยอาวุธและการทูต กองกำลังติดอาวุธของอินโดนีเซีย (Tentara Keamanan Rakyat - TKR ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็น Tentara Nasional Indonesia - TNI) ได้ทำการสู้รบกับกองทหารดัตช์และกองกำลังพันธมิตรในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ การสู้รบที่สำคัญ ๆ ได้แก่ ยุทธการที่ซูราบายา (พฤศจิกายน ค.ศ. 1945) ซึ่งเป็นการปะทะกันอย่างดุเดือดและนองเลือด และได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านของชาวอินโดนีเซีย
ในขณะเดียวกัน รัฐบาลอินโดนีเซียก็ได้พยายามแสวงหาการยอมรับจากนานาชาติผ่านช่องทางการทูต อินโดนีเซียได้รับการสนับสนุนจากหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศในเอเชียและแอฟริกา รวมถึงสหประชาชาติ ซึ่งได้เข้ามามีบทบาทในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง
เนเธอร์แลนด์ได้พยายามใช้ทั้งกำลังทหาร (เช่น การปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่สองครั้งที่เรียกว่า "Politionele Acties" ในปี ค.ศ. 1947 และ ค.ศ. 1948) และการเจรจาเพื่อบรรลุเป้าหมายของตน มีการทำข้อตกลงหลายครั้ง เช่น ข้อตกลงลิงกัดยาตี (Linggadjati Agreement) ในปี ค.ศ. 1946 และข้อตกลงเรินวิลล์ (Renville Agreement) ในปี ค.ศ. 1948 แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้อย่างถาวร
ในที่สุด ภายใต้แรงกดดันจากนานาชาติ โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ก็ยอมเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง การประชุมโต๊ะกลมดัตช์-อินโดนีเซีย (Dutch-Indonesian Round Table Conference) จัดขึ้นที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี ค.ศ. 1949 และนำไปสู่การยอมรับอธิปไตยของอินโดนีเซียโดยเนเธอร์แลนด์ในวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1949 อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องดินแดนนิวกินีตะวันตก (Irian Barat หรือ West New Guinea) ยังคงเป็นข้อพิพาทต่อไปอีกหลายปี
การประกาศเอกราชและการปฏิวัติเป็นช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์อินโดนีเซีย ซึ่งได้ก่อให้เกิดรัฐชาติอินโดนีเซียที่เป็นเอกราชและเป็นปึกแผ่น แม้จะต้องผ่านความยากลำบากและการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงก็ตาม
3.5.2. สาธารณรัฐยุคแรก (สหรัฐอินโดนีเซีย)
หลังจากการยอมรับอธิปไตยโดยเนเธอร์แลนด์ในวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1949 ตามผลของการประชุมโต๊ะกลมดัตช์-อินโดนีเซีย อินโดนีเซียได้ก่อตั้งขึ้นในรูปแบบของ สหรัฐอินโดนีเซีย (Republik Indonesia Serikatภาษาอินโดนีเซีย - RIS) ซึ่งเป็นสหพันธรัฐประกอบด้วยรัฐต่าง ๆ 16 รัฐ โครงสร้างนี้เป็นผลมาจากการประนีประนอมระหว่างฝ่ายชาตินิยมอินโดนีเซียที่ต้องการรัฐเดี่ยว กับฝ่ายเนเธอร์แลนด์ที่ต้องการรักษาระดับอิทธิพลในภูมิภาคผ่านโครงสร้างแบบสหพันธรัฐ
รัฐธรรมนูญของ RIS (Konstitusi RIS) ได้กำหนดให้มีระบบการปกครองแบบรัฐสภา โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐ (ซูการ์โนยังคงดำรงตำแหน่งนี้) และนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล (โมฮัมมัด ฮัตตาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกของ RIS) สภานิติบัญญัติประกอบด้วยสองสภา คือ วุฒิสภา (Senat) ซึ่งมีผู้แทนจากแต่ละรัฐ และสภาผู้แทนราษฎร (Dewan Perwakilan Rakyat) ซึ่งสมาชิกมาจากการเลือกตั้งทางอ้อม
อย่างไรก็ตาม รูปแบบสหพันธรัฐของ RIS ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากประชาชนอินโดนีเซียส่วนใหญ่ ซึ่งมองว่าเป็นความพยายามของเนเธอร์แลนด์ในการแบ่งแยกและปกครอง และต้องการรัฐเดี่ยวที่เป็นเอกภาพตามเจตนารมณ์ของการประกาศเอกราชในปี ค.ศ. 1945 นอกจากนี้ รัฐต่าง ๆ ที่ประกอบกันเป็น RIS ส่วนใหญ่ถูกมองว่าเป็นรัฐหุ่นเชิดที่เนเธอร์แลนด์สร้างขึ้น
ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดกระแสเรียกร้องให้ยุบเลิก RIS และกลับไปสู่รูปแบบรัฐเดี่ยวอย่างรวดเร็ว รัฐต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิกของ RIS ทยอยประกาศยุบตัวเองและเข้าร่วมกับสาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republik Indonesia) ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐสมาชิกของ RIS และเป็นศูนย์กลางของขบวนการชาตินิยม
กระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่รัฐเดี่ยวนี้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วและค่อนข้างราบรื่น ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีหลังจากการก่อตั้ง RIS รัฐสมาชิกส่วนใหญ่ได้รวมเข้ากับสาธารณรัฐอินโดนีเซียแล้ว
ในที่สุด เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1950 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 5 ปีของการประกาศเอกราช สหรัฐอินโดนีเซียได้ถูกยุบเลิกอย่างเป็นทางการ และได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (UUDS 1950 - Undang-Undang Dasar Sementara 1950 หรือรัฐธรรมนูญชั่วคราว 1950) ซึ่งเป็นการสถาปนารัฐเดี่ยว สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republik Indonesia) ขึ้นมาแทนที่ การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาอันแรงกล้าของชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่ในการสร้างชาติที่เป็นเอกภาพและมีอำนาจอธิปไตยอย่างสมบูรณ์
แม้ว่ายุคของสหรัฐอินโดนีเซียจะมีอายุสั้นเพียงไม่ถึงหนึ่งปี แต่ก็เป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์การก่อตั้งรัฐอินโดนีเซียสมัยใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของการเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่านและความมุ่งมั่นของชาวอินโดนีเซียในการกำหนดรูปแบบการปกครองของตนเอง
3.6. ประวัติศาสตร์สมัยใหม่หลังเอกราช
3.6.1. ยุคซูการ์โน (ประชาธิปไตยแบบชี้นำ)

หลังจากยุคสหรัฐอินโดนีเซีย (RIS) สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1950 อินโดนีเซียได้เข้าสู่ยุคที่เรียกว่า ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม (ค.ศ. 1950-1959) ซึ่งมีรัฐบาลผสมหลายชุดและมีความไร้เสถียรภาพทางการเมืองสูง อย่างไรก็ตาม ยุคนี้สิ้นสุดลงเมื่อประธานาธิบดีซูการ์โนประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาในปี ค.ศ. 1959 กลับไปใช้รัฐธรรมนูญปี 1945 และสถาปนาระบอบที่เรียกว่า ประชาธิปไตยแบบชี้นำ (Demokrasi Terpimpin) ซึ่งกินเวลาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959 ถึง ค.ศ. 1966
ลักษณะทางการเมืองในสมัยประชาธิปไตยแบบชี้นำคือการรวมอำนาจไว้ที่ประธานาธิบดีซูการ์โน บทบาทของพรรคการเมืองและรัฐสภาถูกลดทอนลง ซูการ์โนพยายามสร้างความสมดุลระหว่างสามขั้วอำนาจหลักในขณะนั้น คือ กองทัพ พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย (PKI) และกลุ่มชาตินิยม แนวคิดหลักของซูการ์โนคือ นาซากม (Nasakom) ซึ่งย่อมาจาก Nasionalisme (ชาตินิยม), Agama (ศาสนา), และ Komunisme (คอมมิวนิสต์) โดยพยายามหลอมรวมอุดมการณ์ทั้งสามนี้เข้าด้วยกัน
ในด้านนโยบายต่างประเทศ อินโดนีเซียในยุคนี้มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Non-Aligned Movement) ในปี ค.ศ. 1961 โดยซูการ์โนเป็นหนึ่งในผู้นำคนสำคัญของขบวนการนี้ อินโดนีเซียยังดำเนินนโยบายต่อต้านจักรวรรดินิยมและลัทธิล่าอาณานิคมอย่างแข็งขัน ซึ่งนำไปสู่ความตึงเครียดกับชาติตะวันตกหลายประเทศ รวมถึงการเผชิญหน้ากับมาเลเซีย (Konfrontasi) ในช่วงปี ค.ศ. 1963-1966 เนื่องจากอินโดนีเซียคัดค้านการก่อตั้งสหพันธรัฐมาเลเซีย นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังได้ถอนตัวออกจากสหประชาชาติในปี ค.ศ. 1965 เพื่อประท้วงการที่มาเลเซียได้รับเลือกเป็นสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคง
นโยบายเศรษฐกิจในยุคนี้เน้นความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจและการพึ่งพาตนเอง มีการโอนกิจการของชาวดัตช์และชาวต่างชาติอื่น ๆ มาเป็นของรัฐ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของอินโดนีเซียประสบปัญหาอย่างหนักในช่วงปลายยุคนี้ โดยมีอัตราเงินเฟ้อสูงมากและการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค
เหตุการณ์สำคัญที่สุดที่นำไปสู่การสิ้นสุดของยุคประชาธิปไตยแบบชี้นำคือ เหตุการณ์ 30 กันยายน (Gerakan 30 September - G30S) ในปี ค.ศ. 1965 ซึ่งเป็นการพยายามรัฐประหารที่ล้มเหลว โดยมีการสังหารนายทหารระดับสูงของกองทัพบกไป 6 นาย พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย (PKI) ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้บงการเหตุการณ์นี้ ซึ่งนำไปสู่การกวาดล้างคอมมิวนิสต์ครั้งใหญ่ทั่วประเทศโดยกองทัพภายใต้การนำของพลตรีซูฮาร์โต เหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก (ประมาณการตั้งแต่หลายแสนถึงกว่าล้านคน) และเป็นการทำลายฐานอำนาจของ PKI อย่างสิ้นเชิง
การประเมินและข้อวิจารณ์เกี่ยวกับยุคประชาธิปไตยแบบชี้นำมักจะผสมผสานกันไป ด้านหนึ่ง ซูการ์โนได้รับการยกย่องในฐานะผู้นำที่มีบารมีและสามารถสร้างความเป็นปึกแผ่นของชาติอินโดนีเซียได้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อหลังได้รับเอกราช และมีบทบาทสำคัญในเวทีระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่ง ระบอบการปกครองของเขาก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางมากเกินไป จำกัดเสรีภาพทางการเมือง และนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ การกวาดล้างคอมมิวนิสต์หลังเหตุการณ์ 30 กันยายน ยังคงเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและมีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมสำหรับเหยื่อ เหตุการณ์นี้ได้ปูทางไปสู่การขึ้นสู่อำนาจของซูฮาร์โตและการเริ่มต้นยุคระเบียบใหม่
3.6.2. ยุคซูฮาร์โต (ระเบียบใหม่)

ยุค ระเบียบใหม่ (Orde Baruภาษาอินโดนีเซีย) ในประวัติศาสตร์อินโดนีเซีย เริ่มต้นขึ้นเมื่อพลเอกซูฮาร์โตขึ้นสู่อำนาจอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1967-1968 และสิ้นสุดลงด้วยการลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาในปี ค.ศ. 1998 ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจและการประท้วงครั้งใหญ่ของประชาชน ยุคนี้กินเวลานานกว่าสามทศวรรษและมีลักษณะเด่นคือการพัฒนาเศรษฐกิจที่รวดเร็ว ควบคู่ไปกับการปกครองแบบอำนาจนิยมและการกดขี่ทางการเมือง
การสถาปนาระบอบ "ระเบียบใหม่" เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ 30 กันยายน ค.ศ. 1965 และการกวาดล้างพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย (PKI) ครั้งใหญ่ ซูฮาร์โตซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองกำลังสำรองทางยุทธศาสตร์ของกองทัพบก (Kostrad) ในขณะนั้น ได้ค่อย ๆ รวบรวมอำนาจและลดทอนอิทธิพลของประธานาธิบดีซูการ์โนลง จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรักษาการประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 1967 และเป็นประธานาธิบดีเต็มตัวในปี ค.ศ. 1968 รัฐบาลของซูฮาร์โตได้ประกาศนโยบาย "ระเบียบใหม่" โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเมืองและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งตกต่ำอย่างหนักในช่วงปลายยุคซูการ์โน
นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจเป็นจุดเด่นสำคัญของยุคระเบียบใหม่ รัฐบาลซูฮาร์โตให้ความสำคัญกับการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ การพัฒนาภาคอุตสาหกรรม และการส่งเสริมการเกษตร (โดยเฉพาะการปฏิวัติเขียว) อินโดนีเซียประสบความสำเร็จในการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วเป็นเวลาหลายปี มาตรฐานการครองชีพของประชาชนโดยรวมดีขึ้น และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศได้รับการพัฒนา อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเศรษฐกิจนี้มักจะกระจุกตัวอยู่ในบางพื้นที่ (โดยเฉพาะเกาะชวา) และเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มคนใกล้ชิดกับอำนาจ ส่งผลให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและการทุจริตคอร์รัปชันอย่างกว้างขวาง
ในด้านการเมือง ยุคระเบียบใหม่มีลักษณะเป็นการปกครองแบบอำนาจนิยม ซูฮาร์โตสร้างฐานอำนาจที่แข็งแกร่งผ่านพรรคกลการ์ (Golkar) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองของรัฐบาล และกองทัพ (ABRI ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น TNI) ซึ่งมีบทบาทสำคัญทางการเมืองและสังคมภายใต้นโยบาย "ทวิหน้าที่" (Dwifungsi) พรรคการเมืองฝ่ายค้านถูกจำกัดบทบาทและควบคุมอย่างเข้มงวด สิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะเสรีภาพในการแสดงออกและการรวมกลุ่ม ถูกจำกัดอย่างมาก สื่อมวลชนถูกควบคุม และผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลมักถูกปราบปราม
เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในยุคนี้คือการ ยึดครองติมอร์ตะวันออก (ปัจจุบันคือประเทศติมอร์-เลสเต) ในปี ค.ศ. 1975 หลังจากโปรตุเกสถอนตัวจากการเป็นเจ้าอาณานิคม การยึดครองนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติและประชาคมระหว่างประเทศส่วนใหญ่ และนำไปสู่ความขัดแย้งที่ยาวนานและการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงต่อชาวติมอร์ตะวันออก จนกระทั่งติมอร์ตะวันออกได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1999 หลังจากการลงประชามติ
ปัญหาสิทธิมนุษยชนเป็นประเด็นสำคัญที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในยุคระเบียบใหม่ นอกจากการยึดครองติมอร์ตะวันออกแล้ว ยังมีการกดขี่นักกิจกรรมทางการเมือง นักศึกษา และชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ การอุ้มหายและการสังหารนอกกระบวนการยุติธรรมเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในวงกว้างและการผูกขาดทางเศรษฐกิจโดยกลุ่มคนใกล้ชิดกับตระกูลซูฮาร์โต (KKN - Korupsi, Kolusi, Nepotisme) ก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักทั้งในและต่างประเทศ
แม้ว่าจะมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่น่าประทับใจ แต่การปกครองแบบอำนาจนิยม การกดขี่ทางการเมือง ปัญหาการทุจริต และการละเมิดสิทธิมนุษยชน ได้สร้างความไม่พอใจสะสมในหมู่ประชาชน จนกระทั่งเมื่ออินโดนีเซียเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียในปี ค.ศ. 1997-1998 ความไม่พอใจดังกล่าวได้ปะทุขึ้นเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ของนักศึกษาและประชาชน ซึ่งนำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งของซูฮาร์โตในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1998 และเป็นการสิ้นสุดของยุคระเบียบใหม่ ยุคระเบียบใหม่ทิ้งมรดกที่ซับซ้อนไว้เบื้องหลัง ทั้งความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจและความล้มเหลวในการสร้างสังคมที่เป็นธรรมและประชาธิปไตย ซึ่งยังคงส่งผลกระทบต่ออินโดนีเซียมาจนถึงปัจจุบัน
3.6.3. ยุคปฏิรูป (เรฟอร์มาซี)
ยุค เรฟอร์มาซี (Reformasiภาษาอินโดนีเซีย) ในประวัติศาสตร์อินโดนีเซีย เริ่มต้นขึ้นหลังจากการลาออกจากตำแหน่งของประธานาธิบดีซูฮาร์โตในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1998 ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียและการประท้วงครั้งใหญ่ของนักศึกษาและประชาชน ยุคนี้ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมครั้งสำคัญ โดยมีเป้าหมายหลักคือการสร้างประชาธิปไตย การปฏิรูปสถาบัน และการแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชนและความไม่เป็นธรรมที่สั่งสมมาในยุคระเบียบใหม่
กระบวนการสร้างประชาธิปไตยหลังซูฮาร์โต:
หลังซูฮาร์โตลาออก บาคารุดดิน ยูซุฟ ฮาบีบี รองประธานาธิบดีในขณะนั้น ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และได้เริ่มดำเนินการปฏิรูปทางการเมืองหลายประการ เช่น การปล่อยตัวนักโทษการเมือง การให้เสรีภาพแก่สื่อมวลชน และการอนุญาตให้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ ๆ การเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกหลังยุคระเบียบใหม่จัดขึ้นในปี ค.ศ. 1999 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อินโดนีเซีย อับดูร์ระฮ์มัน วาฮิด (กุส ดูร์) ผู้นำองค์กรมุสลิมนะห์ฎลาตุล อุลามะ (NU) ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนต่อมา ตามด้วยเมกาวาตี ซูการ์โนบุตรี (ค.ศ. 2001-2004) และซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน (ค.ศ. 2004-2014) ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน และโจโก วีโดโด (ค.ศ. 2014-ปัจจุบัน)
การปฏิรูปทางการเมืองที่สำคัญ:
- การแก้ไขรัฐธรรมนูญ: มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 1945 หลายครั้ง เพื่อจำกัดอำนาจประธานาธิบดี เสริมสร้างบทบาทของรัฐสภา และรับรองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
- การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น (Otonomi Daerah): เป็นการมอบอำนาจและทรัพยากรให้แก่รัฐบาลท้องถิ่นในระดับจังหวัดและอำเภอมากขึ้น เพื่อลดการรวมศูนย์อำนาจที่ส่วนกลางและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในระดับท้องถิ่น
- การปฏิรูปกองทัพ: ลดบทบาททางการเมืองของกองทัพ (TNI) และตำรวจ (POLRI) โดยยกเลิกนโยบาย "ทวิหน้าที่" (Dwifungsi) และแยกตำรวจออกจากกองทัพ
- การปฏิรูประบบยุติธรรม: มีความพยายามในการปฏิรูประบบศาลและกระบวนการยุติธรรมเพื่อเพิ่มความเป็นอิสระและความโปร่งใส
ความพยายามในการฟันฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ:
อินโดนีเซียได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียในปี ค.ศ. 1997-1998 รัฐบาลในยุคเรฟอร์มาซีต้องเผชิญกับความท้าทายในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ รักษาเสถียรภาพค่าเงินรูเปียห์ และแก้ไขปัญหาหนี้สินต่างประเทศ มีการดำเนินมาตรการปฏิรูปเศรษฐกิจตามคำแนะนำของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งบางมาตรการก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้มีรายได้น้อย
ความท้าทายทางการเมืองและสังคมที่สำคัญจนถึงปัจจุบัน:
แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าในการสร้างประชาธิปไตยอย่างมาก แต่อินโดนีเซียในยุคเรฟอร์มาซียังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ:
- การทุจริตคอร์รัปชัน: ยังคงเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกและเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ แม้จะมีการจัดตั้งองค์กรอิสระเพื่อปราบปรามการทุจริต (KPK)
- ความขัดแย้งทางสังคมและศาสนา: ความตึงเครียดระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และศาสนายังคงเกิดขึ้นในบางพื้นที่ และมีการเติบโตของกลุ่มหัวรุนแรงทางศาสนา
- ปัญหาสิทธิมนุษยชน: การละเมิดสิทธิมนุษยชนในอดีต โดยเฉพาะเหตุการณ์การกวาดล้างคอมมิวนิสต์ในปี ค.ศ. 1965-1966 และการยึดครองติมอร์ตะวันออก ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ยังคงมีรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนในบางพื้นที่ เช่น ปาปัว
- การแบ่งแยกดินแดน: แม้ว่าปัญหาการแบ่งแยกดินแดนในอาเจะฮ์จะได้รับการแก้ไขผ่านข้อตกลงสันติภาพในปี ค.ศ. 2005 แต่สถานการณ์ในปาปัวยังคงมีความตึงเครียดและมีการเรียกร้องเอกราชอยู่
- ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ: การพัฒนายังคงกระจุกตัวอยู่ในบางพื้นที่ และความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนยังคงเป็นปัญหาสำคัญ
ยุคเรฟอร์มาซีเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงและการเรียนรู้ที่สำคัญสำหรับอินโดนีเซีย ประเทศได้ก้าวผ่านความท้าทายมากมายในการสร้างสังคมที่เป็นประชาธิปไตยและเป็นธรรมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีงานอีกมากที่ต้องทำเพื่อแก้ไขปัญหารากฐานที่ยังคงอยู่และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับประชาชนทุกคน
4. ภูมิศาสตร์
อินโดนีเซียเป็นประเทศหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ระหว่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย ระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่กว่า 17,000 เกาะ โดยมีเกาะหลัก 5 เกาะคือ สุมาตรา ชวา กาลีมันตัน (ส่วนหนึ่งของเกาะบอร์เนียว) สุลาเวสี และปาปัว (ส่วนตะวันตกของเกาะนิวกินี) มีพรมแดนทางบกติดกับมาเลเซียบนเกาะบอร์เนียว ปาปัวนิวกินีบนเกาะนิวกินี และติมอร์-เลสเตบนเกาะติมอร์ ประเทศเพื่อนบ้านทางทะเลได้แก่ สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย ปาเลา และอินเดีย (หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์)
4.1. ลักษณะภูมิประเทศและธรณีวิทยา

อินโดนีเซียมีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายและซับซ้อนอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นประเทศหมู่เกาะขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีกิจกรรมทางธรณีวิทยาสูง
ลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลาย:
- เทือกเขา: อินโดนีเซียมีเทือกเขาจำนวนมากทอดตัวยาวไปตามเกาะต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนเกาะสุมาตรา ชวา บาหลี และปาปัว เทือกเขาเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของแนววงแหวนแห่งไฟแปซิฟิก ยอดเขาที่สูงที่สุดในอินโดนีเซียคือ ปุนจักจายา (Puncak Jaya) บนเกาะปาปัว ซึ่งมีความสูง 4.88 K m และเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดระหว่างเทือกเขาหิมาลัยและเทือกเขาแอนดีส
- ที่ราบ: ที่ราบส่วนใหญ่พบตามแนวชายฝั่งและบริเวณลุ่มแม่น้ำ ที่ราบชายฝั่งทางตอนเหนือของเกาะชวาเป็นพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นและเป็นศูนย์กลางเกษตรกรรมที่สำคัญ นอกจากนี้ยังมีที่ราบลุ่มกว้างใหญ่บนเกาะสุมาตราและกาลีมันตัน
- ชายฝั่งทะเล: ในฐานะประเทศหมู่เกาะ อินโดนีเซียมีชายฝั่งทะเลยาวมาก (ประมาณ 54.72 K km) ลักษณะชายฝั่งมีความหลากหลายตั้งแต่หาดทราย ป่าชายเลน ไปจนถึงหน้าผาสูงชัน
ลักษณะทางธรณีวิทยาและวงแหวนแห่งไฟแปซิฟิก:
อินโดนีเซียตั้งอยู่บนจุดบรรจบของแผ่นเปลือกโลกหลักสามแผ่น คือ แผ่นยูเรเชีย แผ่นอินโด-ออสเตรเลีย และแผ่นแปซิฟิก การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกเหล่านี้ทำให้เกิดกิจกรรมทางธรณีวิทยาที่รุนแรงและต่อเนื่อง อินโดนีเซียเป็นส่วนหนึ่งของ วงแหวนแห่งไฟแปซิฟิก (Pacific Ring of Fire) ซึ่งเป็นแนวที่มีภูเขาไฟและแผ่นดินไหวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
- ภูเขาไฟ: อินโดนีเซียมีภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ประมาณ 130 ลูก ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดในโลก ภูเขาไฟเหล่านี้กระจายอยู่ตามแนวหมู่เกาะสุมาตรา ชวา บาหลี นูซาเติงการา หมู่เกาะโมลุกกะ และสุลาเวสี การระเบิดของภูเขาไฟเป็นภัยธรรมชาติที่สำคัญของอินโดนีเซีย แต่ในขณะเดียวกัน เถ้าภูเขาไฟก็ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก ตัวอย่างภูเขาไฟที่สำคัญและเคยระเบิดรุนแรง ได้แก่
- กรากะตัว (Krakatoa) ระเบิดในปี ค.ศ. 1883 สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงและส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศทั่วโลก
- ภูเขาไฟตัมโบรา (Tambora) บนเกาะซุมบาวา ระเบิดในปี ค.ศ. 1815 ถือเป็นการระเบิดของภูเขาไฟที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ทำให้เกิด "ปีที่ไม่มีฤดูร้อน" (Year Without a Summer) ในปี ค.ศ. 1816
- ภูเขาไฟเมราปี (Merapi) บนเกาะชวา เป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่คุกรุ่นและอันตรายที่สุดในอินโดนีเซีย มีการระเบิดหลายครั้งในอดีต
- ทะเลสาบโตบา (Lake Toba) บนเกาะสุมาตรา เป็นทะเลสาบปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก เกิดจากการระเบิดครั้งใหญ่ของซูเปอร์โวลเคโนเมื่อประมาณ 74,000 ปีก่อน
- แผ่นดินไหวและสึนามิ: เนื่องจากตั้งอยู่ในแนวแผ่นเปลือกโลกที่ชนกัน อินโดนีเซียจึงประสบกับแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง หลายครั้งมีความรุนแรงสูงและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน แผ่นดินไหวใต้ทะเลยังสามารถก่อให้เกิดคลื่นสึนามิได้ ดังเช่นเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย ปี ค.ศ. 2004 ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงในจังหวัดอาเจะฮ์และพื้นที่ชายฝั่งอื่น ๆ เหตุการณ์แผ่นดินไหวสำคัญอื่น ๆ เช่น แผ่นดินไหวที่ยกยาการ์ตา ในปี ค.ศ. 2006
ลักษณะภูมิประเทศและธรณีวิทยาที่ซับซ้อนนี้เป็นทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับอินโดนีเซีย ภัยธรรมชาติจากภูเขาไฟและแผ่นดินไหวเป็นความเสี่ยงที่ต้องเผชิญอย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกัน ทรัพยากรธรณีที่อุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อเศรษฐกิจและความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ
4.2. ภูมิอากาศ

อินโดนีเซียตั้งอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตร ทำให้มีลักษณะภูมิอากาศแบบร้อนชื้น หรือ ภูมิอากาศป่าฝนเขตร้อน (Tropical rainforest climate) เป็นส่วนใหญ่ โดยมีอุณหภูมิและความชื้นสูงตลอดทั้งปี อุณหภูมิเฉลี่ยรายวันค่อนข้างคงที่ โดยอยู่ระหว่าง 26-30 องศาเซลเซียสในพื้นที่ราบลุ่มชายฝั่ง และจะเย็นลงในพื้นที่สูงตามระดับความสูง
ฤดูกาล:
อินโดนีเซียมีสองฤดูหลักที่ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากลมมรสุม:
- ฤดูฝน (Musim Hujan): โดยทั่วไปจะอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน เกิดจากอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงเหนือที่พัดพาความชื้นจากมหาสมุทรอินเดียและทะเลจีนใต้เข้ามา ทำให้มีฝนตกชุกในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ
- ฤดูแล้ง (Musim Kemarau): โดยทั่วไปจะอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม เกิดจากอิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดพาอากาศแห้งจากทวีปออสเตรเลียเข้ามา ทำให้มีปริมาณฝนน้อยลง
ความแตกต่างของปริมาณน้ำฝนในแต่ละภูมิภาค:
ปริมาณน้ำฝนในอินโดนีเซียมีความแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค:
- พื้นที่ฝนตกชุก: สุมาตราตะวันตก, ชวาตะวันตก, กาลีมันตัน, สุลาเวสี และปาปัว เป็นพื้นที่ที่ได้รับปริมาณน้ำฝนสูงตลอดทั้งปี
- พื้นที่ฝนตกน้อยกว่า: หมู่เกาะนูซาเติงการา (เช่น ลมบก ซุมบาวา ฟลอเรส ติมอร์) ซึ่งอยู่ใกล้กับออสเตรเลีย จะมีฤดูแล้งที่ยาวนานและแห้งแล้งกว่าพื้นที่อื่น ๆ
อิทธิพลของลมมรสุม:
ลมมรสุมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดฤดูกาลและปริมาณน้ำฝนในอินโดนีเซีย:
- ลมมรสุมตะวันตกเฉียงเหนือ (West Monsoon): พัดในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน นำความชื้นและฝนมาสู่พื้นที่ส่วนใหญ่ของอินโดนีเซีย
- ลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ (East Monsoon): พัดในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม นำอากาศแห้งและฤดูแล้งมาสู่พื้นที่ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะทางตอนใต้และตะวันออกของประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อสภาพอากาศในระดับท้องถิ่น เช่น ลักษณะภูมิประเทศ (ภูเขาและหุบเขา) และกระแสน้ำในมหาสมุทร ความชื้นสัมพัทธ์โดยทั่วไปสูง อยู่ระหว่าง 70-90% อินโดนีเซียไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นโดยตรง แต่ภัยธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ เช่น น้ำท่วมและดินถล่ม สามารถเกิดขึ้นได้บ่อยครั้งในช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการตัดไม้ทำลายป่าสูง
4.2.1. ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่เปราะบางอย่างยิ่งต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก เนื่องจากมีลักษณะเป็นหมู่เกาะ มีแนวชายฝั่งยาว และมีประชากรจำนวนมากอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ผลกระทบที่สำคัญ ได้แก่:
- การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล: คาดการณ์ว่าระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นจะคุกคามพื้นที่ชายฝั่งทะเลและเกาะเล็ก ๆ จำนวนมากของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรหลายสิบล้านคน และเป็นที่ตั้งของโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เมืองใหญ่ ๆ เช่น จาการ์ตา ซึ่งกำลังประสบปัญหาแผ่นดินทรุดอยู่แล้ว จะยิ่งมีความเสี่ยงต่อน้ำท่วมมากขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ: อุณหภูมิเฉลี่ยในอินโดนีเซียมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ ผลผลิตทางการเกษตร และระบบนิเวศทางธรรมชาติ
- ความถี่ของภัยธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้ภัยธรรมชาติ เช่น พายุ น้ำท่วม ภัยแล้ง และไฟป่า เกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และความมั่นคงทางอาหารของประชาชน
- ผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ: การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและปริมาณน้ำฝน รวมถึงระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น อาจคุกคามระบบนิเวศที่เปราะบาง เช่น แนวปะการัง ป่าชายเลน และป่าฝนเขตร้อน ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์หลากหลายชนิด
- ผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรมและการประมง: การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบฝนและอุณหภูมิอาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งเป็นแหล่งอาหารและรายได้หลักของประชากรจำนวนมาก ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิน้ำทะเลอาจส่งผลกระทบต่อการประมงเช่นกัน
- ผลกระทบต่อสุขภาพ: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับความร้อน โรคที่มากับน้ำ และโรคที่มียุงเป็นพาหะ
ความพยายามในการรับมือ:
รัฐบาลอินโดนีเซียได้ตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อรับมือ ทั้งในด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (mitigation) และการปรับตัวต่อผลกระทบ (adaptation) ตัวอย่างเช่น:
- การกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายใต้ความตกลงปารีส
- การส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
- นโยบายลดการตัดไม้ทำลายป่าและการเสื่อมโทรมของป่า (REDD+)
- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ระบบป้องกันน้ำท่วม
- การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของชุมชนในการรับมือกับผลกระทบ
อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียยังคงเผชิญกับความท้าทายมากมายในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งในด้านงบประมาณ เทคโนโลยี และการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงความจำเป็นในการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
4.3. ความหลากหลายทางชีวภาพ
อินโดนีเซียเป็นหนึ่งใน 17 ประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก (megadiverse countries) ของโลก ซึ่งหมายความว่าประเทศนี้เป็นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์หลากหลายชนิดพันธุ์ในสัดส่วนที่สูงมากเมื่อเทียบกับพื้นที่ทั้งหมด ปัจจัยที่ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพที่อุดมสมบูรณ์ของอินโดนีเซีย ได้แก่:
1. ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์: การที่อินโดนีเซียตั้งอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตรระหว่างทวีปเอเชียและออสเตรเลีย ทำให้เป็นจุดบรรจบของเขตชีวภูมิศาสตร์สองเขตใหญ่ คือ เขตอินโดมาลายัน (Indomalayan realm) และเขตออสตราเลเชีย (Australasian realm) ส่งผลให้มีพืชและสัตว์ที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างสองภูมิภาคนี้
2. ลักษณะหมู่เกาะ: การเป็นประเทศหมู่เกาะขนาดใหญ่ที่มีเกาะมากกว่า 17,000 เกาะ ทำให้เกิดการแยกตัวทางภูมิศาสตร์และการวิวัฒนาการของชนิดพันธุ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น (endemic species) จำนวนมากบนเกาะต่าง ๆ
3. ภูมิอากาศแบบร้อนชื้น: สภาพอากาศที่อบอุ่นและมีฝนตกชุกตลอดทั้งปีเอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของป่าฝนเขตร้อน ซึ่งเป็นระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดในโลก
4. ความหลากหลายของถิ่นที่อยู่: อินโดนีเซียมีถิ่นที่อยู่ที่หลากหลาย ตั้งแต่ป่าฝนเขตร้อน ป่าชายเลน ทุ่งหญ้า ภูเขาสูง แนวปะการัง และทะเลลึก ซึ่งแต่ละแห่งก็มีพืชและสัตว์เฉพาะถิ่นอาศัยอยู่
พืชและสัตว์ที่เป็นเอกลักษณ์:
อินโดนีเซียเป็นบ้านของพืชและสัตว์หลายชนิดที่ไม่พบที่อื่นในโลก ตัวอย่างเช่น:
- สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม: อุรังอุตัง (สุมาตราและบอร์เนียว), เสือโคร่งสุมาตรา, แรดชวา, แรดสุมาตรา, บาบิรูซา (สุลาเวสี), ทาร์เซียร์ (สุลาเวสี), ลิงจมูกยาว (บอร์เนียว)
- นก: นกปักษาสวรรค์ (ปาปัว), นกมาเลโอ (สุลาเวสี), นกบาหลี (บาหลี)
- สัตว์เลื้อยคลาน: มังกรโกโมโด (เกาะโกโมโดและเกาะใกล้เคียง)
- พืช: ดอกบัวผุด (Rafflesia arnoldii) ซึ่งเป็นดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (สุมาตราและบอร์เนียว), กล้วยไม้หลากหลายสายพันธุ์
ความหลากหลายทางชีวภาพของอินโดนีเซียมีความสำคัญไม่เพียงแต่ต่อระบบนิเวศของประเทศเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อระบบนิเวศของโลกโดยรวมอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ความหลากหลายทางชีวภาพนี้กำลังถูกคุกคามจากการตัดไม้ทำลายป่า การขยายพื้นที่เกษตรกรรม การทำเหมืองแร่ การล่าสัตว์ผิดกฎหมาย และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
4.3.1. พืชพรรณและสัตว์ป่า
อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดในโลก เป็นที่อยู่ของพืชและสัตว์นานาชนิด ซึ่งหลายชนิดเป็นสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นที่ไม่สามารถพบได้จากที่อื่น
พืชพรรณ:
- ป่าฝนเขตร้อน: เป็นระบบนิเวศหลักของอินโดนีเซีย ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะสุมาตรา กาลิมันตัน สุลาเวสี และปาปัว ป่าเหล่านี้อุดมไปด้วยพันธุ์ไม้หลากหลายชนิด เช่น ไม้เนื้อแข็งมีค่า (เช่น ไม้สัก ไม้มะฮอกกานี ไม้ตะเคียน) ไม้ผล ปาล์ม หวาย และกล้วยไม้
- ดอกบัวผุด (Rafflesia arnoldii): เป็นดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก พบในป่าฝนของเกาะสุมาตราและบอร์เนียว
- หม้อข้าวหม้อแกงลิง (Nepenthes): พืชกินแมลงหลากหลายสายพันธุ์พบได้ทั่วอินโดนีเซีย
- กล้วยไม้: อินโดนีเซียมีกล้วยไม้มากกว่า 5,000 ชนิด ซึ่งหลายชนิดมีความสวยงามและหายาก
- ป่าชายเลน: พบตามแนวชายฝั่งทะเล เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำและป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง
- พืชเกษตร: ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก นอกจากนี้ยังมีเครื่องเทศ (เช่น กานพลู ลูกจันทน์เทศ พริกไทย) กาแฟ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และผลไม้เมืองร้อนหลากหลายชนิด


สัตว์ป่า:
- สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม:
- อุรังอุตัง: พบเฉพาะบนเกาะสุมาตราและบอร์เนียว เป็นลิงใหญ่ชนิดเดียวที่พบในทวีปเอเชีย
- เสือโคร่งสุมาตรา: เป็นชนิดย่อยของเสือโคร่งที่เล็กที่สุดและใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง พบเฉพาะบนเกาะสุมาตรา
- แรดชวาและแรดสุมาตรา: เป็นแรดสองชนิดที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง พบในพื้นที่จำกัดบนเกาะชวาและสุมาตรา
- ช้างสุมาตรา: เป็นชนิดย่อยของช้างเอเชีย พบเฉพาะบนเกาะสุมาตรา
- บาบิรูซา: หมูป่าที่มีเขี้ยวโค้งงอขึ้นไปด้านบน พบเฉพาะบนเกาะสุลาเวสี
- ทาร์เซียร์: ลิงขนาดเล็กที่มีดวงตาใหญ่ พบในสุลาเวสีและเกาะใกล้เคียง
- ลิงจมูกยาว: ลิงที่มีจมูกยาวเป็นเอกลักษณ์ พบเฉพาะบนเกาะบอร์เนียว
- ค่าง: ลิงหลากหลายสายพันธุ์ เช่น ค่างชวา ค่างสุมาตรา
- นก:
- นกปักษาสวรรค์: นกที่มีสีสันสวยงามและมีพฤติกรรมการเกี้ยวพาราสีที่น่าทึ่ง พบส่วนใหญ่บนเกาะปาปัว
- นกมาเลโอ: นกขนาดใหญ่ที่วางไข่ในดินภูเขาไฟหรือทรายร้อน พบเฉพาะบนเกาะสุลาเวสี
- นกเงือก: นกขนาดใหญ่ที่มีจะงอยปากเป็นโพรง พบหลากหลายสายพันธุ์
- นกแก้ว: นกแก้วและนกกระตั้วหลากหลายชนิดพันธุ์ที่มีสีสันสวยงาม
- สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก:
- มังกรโกโมโด: กิ้งก่าขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พบเฉพาะบนเกาะโกโมโดและเกาะใกล้เคียงในหมู่เกาะซุนดาน้อย
- จระเข้: จระเข้น้ำเค็มและจระเข้น้ำจืด
- งูเหลือมและงูหลาม: งูขนาดใหญ่หลายชนิด
- กบต้นไม้: กบหลากหลายสายพันธุ์ที่มีสีสันและขนาดแตกต่างกัน
- ปลา:
- ปลาอะโรวาน่าเอเชีย: ปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่มีความสวยงามและมีราคาสูง
- ปลาทะเลหลากหลายชนิดในแนวปะการัง เช่น ปลาการ์ตูน ปลาผีเสื้อ ปลานกแก้ว
ลักษณะทางชีวภูมิศาสตร์และเส้นวัลเลซ:
อินโดนีเซียตั้งอยู่ระหว่างเขตชีวภูมิศาสตร์สองเขต คือ เขตอินโดมาลายัน (ครอบคลุมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีปและหมู่เกาะซุนดาใหญ่) และเขตออสตราเลเชีย (ครอบคลุมออสเตรเลีย นิวกินี และหมู่เกาะแปซิฟิก) อัลเฟรด รัสเซล วอลเลซ นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ได้สังเกตเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนของพืชและสัตว์ระหว่างสองเขตนี้ และได้ลากเส้นสมมติที่เรียกว่า เส้นวัลเลซ (Wallace Line) ซึ่งพาดผ่านช่องแคบลอมบอก (ระหว่างบาหลีและลมบก) และช่องแคบมากัสซาร์ (ระหว่างบอร์เนียวและสุลาเวสี)- สัตว์ทางตะวันตกของเส้นวัลเลซ (เช่น สุมาตรา ชวา บอร์เนียว) มีลักษณะคล้ายคลึงกับสัตว์ในทวีปเอเชีย เช่น ลิงใหญ่ เสือ ช้าง แรด
- สัตว์ทางตะวันออกของเส้นวัลเลซ (เช่น สุลาเวสี หมู่เกาะโมลุกกะ ปาปัว) มีลักษณะคล้ายคลึงกับสัตว์ในทวีปออสเตรเลีย เช่น สัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง (marsupials) และนกปักษาสวรรค์
บริเวณรอยต่อระหว่างสองเขตชีวภูมิศาสตร์นี้ หรือที่เรียกว่า วัลเลเซีย (Wallacea) ซึ่งครอบคลุมสุลาเวสี หมู่เกาะนูซาเติงการา และหมู่เกาะโมลุกกะ เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงและมีชนิดพันธุ์เฉพาะถิ่นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นแหล่งผสมผสานของพืชและสัตว์จากทั้งสองทวีป
ความหลากหลายทางชีวภาพของอินโดนีเซียเป็นมรดกทางธรรมชาติที่ล้ำค่า แต่กำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากการทำลายถิ่นที่อยู่ การล่าสัตว์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจำเป็นต้องมีการอนุรักษ์อย่างจริงจัง
4.3.2. ปัญหาสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์
อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก แต่ก็กำลังเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงหลายประการ ซึ่งคุกคามทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศอันอุดมสมบูรณ์ของประเทศ
ปัญหาสิ่งแวดล้อมหลัก:
- การตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation): อินโดนีเซียมีอัตราการตัดไม้ทำลายป่าสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สาเหตุหลักมาจากการขยายพื้นที่เกษตรกรรม (โดยเฉพาะสวนปาล์มน้ำมันและสวนกระดาษ) การทำไม้ผิดกฎหมาย การทำเหมืองแร่ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสูญเสียพื้นที่ป่าส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (เนื่องจากป่าไม้ทำหน้าที่ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์) และวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่นที่พึ่งพาป่า
- การลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Loss): การทำลายถิ่นที่อยู่ การล่าสัตว์ผิดกฎหมาย และการค้าสัตว์ป่า เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พืชและสัตว์หลายชนิดในอินโดนีเซียตกอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์หรือสูญพันธุ์ไปแล้ว สัตว์สัญลักษณ์หลายชนิด เช่น อุรังอุตัง เสือโคร่งสุมาตรา แรดชวา กำลังเผชิญกับความเสี่ยงสูง
- มลพิษทางทะเลและชายฝั่ง: ขยะพลาสติกและมลพิษจากอุตสาหกรรมและครัวเรือนเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล แนวปะการัง และป่าชายเลน อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่ปล่อยขยะพลาสติกลงสู่ทะเลมากที่สุดในโลก
- ไฟป่าและหมอกควัน: ในช่วงฤดูแล้ง มักเกิดไฟป่าขึ้นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะบนเกาะสุมาตราและกาลีมันตัน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการเผาป่าเพื่อเตรียมพื้นที่เกษตรกรรม ไฟป่าเหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหาหมอกควันพิษที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจ ไม่เพียงแต่ในอินโดนีเซียเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศเพื่อนบ้านด้วย
- มลพิษทางอากาศและน้ำ: การขยายตัวของเมืองและอุตสาหกรรมทำให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศจากยานพาหนะและโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงมลพิษทางน้ำจากการปล่อยน้ำเสียที่ไม่ผ่านการบำบัดลงสู่แหล่งน้ำ
- การทำเหมืองแร่ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: การทำเหมืองแร่ โดยเฉพาะเหมืองถ่านหินและเหมืองทองคำ มักก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปนเปื้อนของสารพิษในดินและน้ำ และการทำลายพื้นที่ป่า
ความพยายามในการแก้ไขปัญหาและการอนุรักษ์:
รัฐบาลอินโดนีเซียและองค์กรภาคประชาสังคมได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ:
- การจัดตั้งอุทยานแห่งชาติและเขตอนุรักษ์: อินโดนีเซียมีอุทยานแห่งชาติ (Taman Nasional) และเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ (Cagar Alam, Suaka Margasatwa) จำนวนมากกระจายอยู่ทั่วประเทศ เพื่อคุ้มครองระบบนิเวศและชนิดพันธุ์ที่สำคัญ ตัวอย่างอุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเสียง เช่น อุทยานแห่งชาติโกโมโด, อุทยานแห่งชาติอูจุงกูลอน (ที่อยู่ของแรดชวา), อุทยานแห่งชาติกูนุงลูเซอร์ (ที่อยู่ของอุรังอุตังและเสือโคร่งสุมาตรา)
- นโยบายและกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม: มีการออกกฎหมายและนโยบายต่าง ๆ เพื่อควบคุมการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การระงับการออกใบอนุญาตใหม่สำหรับการใช้ประโยชน์ป่าพรุและป่าธรรมชาติ (moratorium) และการส่งเสริมการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน
- ความร่วมมือระหว่างประเทศ: อินโดนีเซียร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศและประเทศอื่น ๆ ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการตัดไม้ทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่า (REDD+)
- การส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน: มีความพยายามในการพัฒนาและส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- การสร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วมของชุมชน: มีการส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและจัดการสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ของตนเอง
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ในอินโดนีเซียยังคงเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ และความขัดแย้งในการใช้ประโยชน์ที่ดินระหว่างการอนุรักษ์และการพัฒนา
5. การเมืองการปกครอง
อินโดนีเซียเป็นสาธารณรัฐที่มีระบบประธานาธิบดี หลังจากการสิ้นสุดของยุคระเบียบใหม่ในปี ค.ศ. 1998 โครงสร้างทางการเมืองและการปกครองของอินโดนีเซียได้ผ่านการปฏิรูปครั้งสำคัญ โดยมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหลายครั้งเพื่อเสริมสร้างความเป็นประชาธิปไตย การแบ่งแยกอำนาจ และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
5.1. โครงสร้างและระบบการปกครอง

อินโดนีเซียมีรูปแบบการปกครองแบบ สาธารณรัฐระบบประธานาธิบดี (Presidential Republic) โดยมีประธานาธิบดีเป็นทั้งประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาล ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี และสามารถดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 วาระติดต่อกัน
โครงสร้างอำนาจการปกครองแบ่งออกเป็น 3 ฝ่ายหลัก ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ:
1. ฝ่ายบริหาร (Executive Branch):
- ประธานาธิบดี (Presiden): เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในฝ่ายบริหาร รับผิดชอบในการบริหารประเทศ แต่งตั้งและถอดถอนรัฐมนตรี และเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด
- รองประธานาธิบดี (Wakil Presiden): ช่วยเหลือประธานาธิบดีในการปฏิบัติหน้าที่ และปฏิบัติหน้าที่แทนประธานาธิบดีในกรณีที่ประธานาธิบดีไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
- คณะรัฐมนตรี (Kabinet): ประกอบด้วยรัฐมนตรีที่ประธานาธิบดีแต่งตั้งเพื่อบริหารกระทรวงต่าง ๆ
2. ฝ่ายนิติบัญญัติ (Legislative Branch):
อินโดนีเซียมีระบบรัฐสภาแบบสองสภา (Bicameral System) ซึ่งประกอบด้วย:
- สภาที่ปรึกษาประชาชน (Majelis Permusyawaratan Rakyat - MPR): เป็นสถาบันสูงสุดของรัฐ มีอำนาจในการแก้ไขและรับรองรัฐธรรมนูญ แต่งตั้งและถอดถอนประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี และกำหนดทิศทางนโยบายของรัฐ MPR ประกอบด้วยสมาชิกจากสภาผู้แทนราษฎร (DPR) และสภาผู้แทนระดับภูมิภาค (DPD) ทั้งหมด
- สภาผู้แทนราษฎร (Dewan Perwakilan Rakyat - DPR): มีอำนาจหลักในการออกกฎหมาย อนุมัติงบประมาณแผ่นดิน และตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร สมาชิก DPR มาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อในระบบสัดส่วนจากพรรคการเมืองต่าง ๆ มีจำนวน 575 คน (ข้อมูลปี ค.ศ. 2019)
- สภาผู้แทนระดับภูมิภาค (Dewan Perwakilan Daerah - DPD): ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของแต่ละจังหวัดในระดับชาติ มีอำนาจในการเสนอและพิจารณาร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกิจการของภูมิภาค สมาชิก DPD มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากแต่ละจังหวัด จังหวัดละ 4 คน รวมเป็น 136 คน (ข้อมูลปี ค.ศ. 2019) สมาชิก DPD ต้องไม่สังกัดพรรคการเมือง
3. ฝ่ายตุลาการ (Judicial Branch):
- ศาลฎีกา (Mahkamah Agung - MA): เป็นศาลสูงสุด มีอำนาจในการพิจารณาคดีในชั้นอุทธรณ์และฎีกา ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของกฎระเบียบที่ต่ำกว่ากฎหมาย และบริหารจัดการศาลยุติธรรมทั่วประเทศ
- ศาลรัฐธรรมนูญ (Mahkamah Konstitusi - MK): มีอำนาจในการตีความรัฐธรรมนูญ พิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย ยุบพรรคการเมือง และตัดสินข้อพิพาทเกี่ยวกับการเลือกตั้ง
- คณะกรรมการตุลาการ (Komisi Yudisial - KY): ทำหน้าที่เสนอชื่อผู้พิพากษาศาลฎีกา และดูแลรักษาเกียรติภูมิและพฤติกรรมของผู้พิพากษา
ปรัชญาปัญจศิลา (Pancasila):
ปัญจศิลา (อ่านว่า ปันจาซีลา) เป็นปรัชญาพื้นฐานและอุดมการณ์แห่งรัฐของอินโดนีเซีย ประกอบด้วยหลักการ 5 ประการ คือ:
1. ความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว (Ketuhanan Yang Maha Esa)
2. มนุษยธรรมอันเที่ยงธรรมและมีอารยธรรม (Kemanusiaan yang Adil dan Beradab)
3. ความเป็นเอกภาพของอินโดนีเซีย (Persatuan Indonesia)
4. ประชาธิปไตยที่ชี้นำโดยปัญญาอันชาญฉลาดในการปรึกษาหารือ/การเป็นผู้แทน (Kerakyatan yang Dipimpin oleh Hikmat Kebijaksanaan dalam Permusyawaratan/Perwakilan)
5. ความยุติธรรมทางสังคมสำหรับปวงชนชาวอินโดนีเซีย (Keadilan Sosial bagi Seluruh Rakyat Indonesia)
ปัญจศิลามีความสำคัญอย่างยิ่งทางการเมือง โดยเป็นรากฐานของรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายต่าง ๆ ของประเทศ และเป็นเครื่องมือในการสร้างความเป็นเอกภาพในท่ามกลางความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ศาสนา และวัฒนธรรมของอินโดนีเซีย
5.2. พรรคการเมืองและการเลือกตั้ง

ประธานาธิบดีคนที่ 8 ของอินโดนีเซีย

รองประธานาธิบดีคนที่ 14 ของอินโดนีเซีย
อินโดนีเซียมีระบบการเมืองแบบ ระบบหลายพรรค (Multi-party system) ซึ่งหมายความว่ามีพรรคการเมืองจำนวนมากเข้าร่วมแข่งขันในการเลือกตั้ง และมักจะไม่มีพรรคใดพรรคหนึ่งสามารถครองเสียงข้างมากในรัฐสภาได้โดยลำพัง ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลมักจะต้องอาศัยการสร้างแนวร่วมระหว่างพรรคการเมืองต่าง ๆ
พรรคการเมืองสำคัญ:
พรรคการเมืองในอินโดนีเซียสามารถแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มหลัก ๆ คือ พรรคการเมืองที่มีแนวคิดทางโลกและชาตินิยม กับพรรคการเมืองที่มีฐานเสียงจากกลุ่มมุสลิม
- พรรคการเมืองแนวโลกและชาตินิยม:
- พรรคประชาธิปไตยอินโดนีเซีย-การต่อสู้ (Partai Demokrasi Indonesia Perjuangan - PDI-P): เป็นพรรคการเมืองสายกลาง-ซ้าย มีฐานเสียงจากกลุ่มชาตินิยมและฆราวาสนิยม เป็นพรรคของอดีตประธานาธิบดีเมกาวาตี ซูการ์โนบุตรี และประธานาธิบดีคนปัจจุบัน (ข้อมูลถึงปี 2024) โจโก วีโดโด
- พรรคกลการ์ (Partai Golongan Karya - Golkar): เดิมเป็นพรรคของรัฐบาลในยุคระเบียบใหม่ของซูฮาร์โต ปัจจุบันเป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่มีแนวคิดกลาง-ขวา
- พรรคขบวนการอินโดนีเซียยิ่งใหญ่ (Partai Gerakan Indonesia Raya - Gerindra): เป็นพรรคชาตินิยมสายกลาง-ขวา ก่อตั้งโดยอดีตนายพลปราโบโว ซูเบียนโต
- พรรคประชาธิปไตย (Partai Demokrat): เป็นพรรคสายกลาง ก่อตั้งโดยอดีตประธานาธิบดีซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน
- พรรคนาสเดม (Partai NasDem): เป็นพรรคชาตินิยมที่ค่อนข้างใหม่ แต่มีบทบาทสำคัญในการเมือง
- พรรคการเมืองอิสลาม:
- พรรคการตื่นรู้แห่งชาติ (Partai Kebangkitan Bangsa - PKB): มีฐานเสียงจากองค์กรมุสลิมสายกลาง-ดั้งเดิมที่ใหญ่ที่สุดคือ นะห์ฎลาตุล อุลามะ (NU)
- พรรคยุติธรรมรุ่งเรือง (Partai Keadilan Sejahtera - PKS): เป็นพรรคอิสลามที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมและมีฐานเสียงจากกลุ่มมุสลิมในเมือง
- พรรคอาณัติแห่งชาติ (Partai Amanat Nasional - PAN): มีฐานเสียงจากองค์กรมุสลิมสายปฏิรูปคือ มูฮัมมาดียะห์ (Muhammadiyah)
- พรรคสหพัฒนาการ (Partai Persatuan Pembangunan - PPP): เป็นพรรคอิสลามที่เก่าแก่พรรคหนึ่ง
ลักษณะการเมืองของอินโดนีเซียคือการเน้นความเป็นจริงทางการเมืองมากกว่าการยึดมั่นในอุดมการณ์อย่างเคร่งครัดเพื่อให้สอดคล้องกับบรรยากาศทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ รวมถึงสิ่งที่เรียกว่า "พรรคการเมืองแบบผูกขาด" (cartel parties) ซึ่งมีการแบ่งปันอำนาจอย่างกว้างขวางระหว่างพรรคต่าง ๆ และมีความรับผิดชอบต่อผู้ลงคะแนนเสียงอย่างจำกัด การรวมกลุ่มพันธมิตรก่อนการเลือกตั้งก็เป็นเรื่องปกติ ซึ่งแตกต่างจากระบอบประชาธิปไตยหลายแห่งที่มักจะรวมกลุ่มหลังการเลือกตั้ง
ระบบการเลือกตั้ง:
อินโดนีเซียมีการเลือกตั้งหลายระดับ:- การเลือกตั้งประธานาธิบดี (Pemilihan Presiden - Pilpres): ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน มีวาระ 5 ปี การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งแรกจัดขึ้นในปี ค.ศ. 2004
- การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (Pemilihan Umum Legislatif - Pileg): สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (DPR) และสภาผู้แทนระดับภูมิภาค (DPD) มาจากการเลือกตั้งทุก ๆ 5 ปีเช่นกัน DPR ใช้ระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อเปิด (open-list proportional representation) ส่วน DPD สมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากแต่ละจังหวัด
- การเลือกตั้งระดับท้องถิ่น (Pemilihan Kepala Daerah - Pilkada): ผู้ว่าราชการจังหวัด (Gubernur) นายอำเภอ (Bupati) และนายกเทศมนตรี (Walikota) มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนในแต่ละท้องถิ่น
การเลือกตั้งครั้งแรกหลังสิ้นสุดยุคซูฮาร์โตจัดขึ้นในปี ค.ศ. 1955 เพื่อเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสภาร่างรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้งครั้งล่าสุด (ข้อมูลถึงต้นปี 2024) คือ การเลือกตั้งทั่วไปปี ค.ศ. 2024 ซึ่งมีพรรคการเมือง 8 พรรคที่ได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร โดยมีเกณฑ์ขั้นต่ำ (parliamentary threshold) ที่ 4% ของคะแนนเสียงทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015 การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกเทศมนตรีได้จัดขึ้นในวันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในปี ค.ศ. 2013 ให้การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาและการเลือกตั้งประธานาธิบดีจัดขึ้นพร้อมกัน เริ่มตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปปี ค.ศ. 2019
5.3. เขตการปกครอง
อินโดนีเซียมีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็นหลายระดับชั้น โดยมีโครงสร้างหลักดังนี้:
1. จังหวัด (Provinsi): เป็นหน่วยการปกครองระดับสูงสุด ปัจจุบัน (ข้อมูลถึงต้นปี 2024) อินโดนีเซียมี 38 จังหวัด แต่ละจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัด (Gubernur) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง และมีสภานิติบัญญัติระดับจังหวัด (Dewan Perwakilan Rakyat Daerah Provinsi - DPRD Provinsi) จำนวนจังหวัดมีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด จากเดิม 8 จังหวัดในปี ค.ศ. 1945 ล่าสุดคือการจัดตั้งจังหวัดปาปัวตะวันตกเฉียงใต้ในปี ค.ศ. 2022
2. อำเภอ (Kabupaten) และเทศบาล (Kota): เป็นหน่วยการปกครองระดับรองลงมาจากจังหวัด
- อำเภอ (Kabupaten): ปกครองโดยนายอำเภอ (Bupati) ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีสภานิติบัญญัติระดับอำเภอ (DPRD Kabupaten)
- เทศบาล (Kota): ปกครองโดยนายกเทศมนตรี (Walikota) ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีสภานิติบัญญัติระดับเทศบาล (DPRD Kota)
โดยทั่วไป อำเภอมักจะเป็นพื้นที่ชนบทหรือกึ่งเมือง ในขณะที่เทศบาลมักจะเป็นพื้นที่เมืองที่มีความหนาแน่นของประชากรสูงกว่า
3. ตำบล (Kecamatan หรือ Distrik ในปาปัว): เป็นหน่วยการปกครองที่อยู่ต่ำกว่าอำเภอและเทศบาล ปกครองโดยปลัดตำบล (Camat หรือ Kepala Distrik) ซึ่งเป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้ง
4. หมู่บ้าน (Desa) หรือ แขวง (Kelurahan): เป็นหน่วยการปกครองระดับต่ำสุด
- หมู่บ้าน (Desa): มักพบในพื้นที่ชนบท มีหัวหน้าหมู่บ้าน (Kepala Desa) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนในหมู่บ้าน และมีสภาหมู่บ้าน (Badan Permusyawaratan Desa - BPD)
- แขวง (Kelurahan): มักพบในพื้นที่เมือง อยู่ภายใต้ตำบล ปกครองโดยหัวหน้าแขวง (Lurah) ซึ่งเป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้ง
หมู่บ้านและแขวงยังสามารถแบ่งย่อยลงไปอีกเป็น ชุมชน (Rukun Warga - RW) และ กลุ่มบ้านใกล้เรือนเคียง (Rukun Tetangga - RT) และในบางพื้นที่ของชวาอาจมี หมู่บ้านย่อย (Dusun หรือ Dukuh) อีกด้วย
บทบาทของรัฐบาลท้องถิ่น:
ตั้งแต่มีการปฏิรูปการกระจายอำนาจในปี ค.ศ. 2001 อำเภอและเทศบาลได้กลายเป็นหน่วยการปกครองหลักที่รับผิดชอบในการให้บริการสาธารณะส่วนใหญ่แก่ประชาชน รัฐบาลท้องถิ่นในแต่ละระดับมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการกิจการในพื้นที่ของตนเอง
พื้นที่ที่มีสถานะปกครองตนเองพิเศษ (Daerah Otonomi Khusus):
อินโดนีเซียมี 9 จังหวัดที่ได้รับสถานะปกครองตนเองพิเศษ (Otonomi Khusus) หรือสถานะพิเศษ (Daerah Istimewa) ซึ่งให้สิทธิและอำนาจในการบริหารจัดการตนเองมากกว่าจังหวัดอื่น ๆ ได้แก่:
- อาเจะฮ์: ได้รับสิทธิในการใช้กฎหมายชะรีอะฮ์ (กฎหมายอิสลาม) ในบางด้าน
- จาการ์ตา: เป็นเขตเมืองหลวงพิเศษ (Daerah Khusus Ibukota - DKI)
- ยกยาการ์ตา: เป็นเขตพิเศษ (Daerah Istimewa - DI) โดยยังคงรักษาสถาบันสุลต่านและปะกูอาลัม ซึ่งสุลต่านแห่งยกยาการ์ตาและเจ้าชายแห่งปะกูอาลัมดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดและรองผู้ว่าราชการจังหวัดตามลำดับ
- ปาปัว, ปาปัวกลาง, ปาปัวที่สูง, ปาปัวใต้, ปาปัวตะวันตกเฉียงใต้, และ ปาปัวตะวันตก: (รวม 6 จังหวัดในภูมิภาคปาปัว) ได้รับสถานะปกครองตนเองพิเศษเพื่อให้สิทธิพิเศษแก่ชาวปาปัวพื้นเมืองในการปกครองท้องถิ่นและจัดการทรัพยากร
;สุมาตรา
- {{flagicon|Aceh}} อาเจะฮ์* - บันดาอาเจะฮ์
- {{flagicon|North Sumatra}} สุมาตราเหนือ - เมดัน
- {{flagicon|West Sumatra}} สุมาตราตะวันตก - ปาดัง
- {{flagicon|Riau}} รีเยา - เปอกันบารู
- {{flagicon|Riau Islands}} หมู่เกาะรีเยา - ตันจุงปีนัง
- {{flagicon|Jambi}} จัมบี - จัมบี
- {{flagicon|South Sumatra}} สุมาตราใต้ - ปาเล็มบัง
- {{flagicon|Bangka Belitung Islands}} หมู่เกาะบังกาเบอลีตุง - ปังกัลปีนัง
- {{flagicon|Bengkulu}} เบิงกูลู - เบิงกูลู
- {{flagicon|Lampung}} ลัมปุง - บันดาร์ลัมปุง
;ชวา
- {{flagicon|Jakarta}} จาการ์ตา*
- {{flagicon|Banten}} บันเติน - เซรัง
- {{flagicon|West Java}} ชวาตะวันตก - บันดุง
- {{flagicon|Central Java}} ชวากลาง - เซอมารัง
- {{flagicon|Special Region of Yogyakarta}} ยกยาการ์ตา* - ยกยาการ์ตา
- {{flagicon|East Java}} ชวาตะวันออก - ซูราบายา
;นูซาเติงการา
- {{flagicon|Bali}} บาหลี - เด็นปาซาร์
- {{flagicon|West Nusa Tenggara}} นูซาเติงการาตะวันตก - มาตารัม
- {{flagicon|East Nusa Tenggara}} นูซาเติงการาตะวันออก - กูปัง
;กาลีมันตัน
- {{flagicon|West Kalimantan}} กาลีมันตันตะวันตก - ปนตียานัก
- {{flagicon|Central Kalimantan}} กาลีมันตันกลาง - ปาลังการายา
- {{flagicon|South Kalimantan}} กาลีมันตันใต้ - บันจาร์บารู
- {{flagicon|East Kalimantan}} กาลีมันตันตะวันออก - ซามารินดา
- {{flagicon|North Kalimantan}} กาลีมันตันเหนือ - ตันจุงเซอโลร์
;ซูลาเวซี
- {{flagicon|North Sulawesi}} ซูลาเวซีเหนือ - มานาโด
- {{flagicon|Gorontalo}} โก-รนตาโล - โก-รนตาโล
- {{flagicon|Central Sulawesi}} ซูลาเวซีกลาง - ปาลู
- {{flagicon|West Sulawesi}} ซูลาเวซีตะวันตก - มามูจู
- {{flagicon|South Sulawesi}} ซูลาเวซีใต้ - มากัซซาร์
- {{flagicon|Southeast Sulawesi}} ซูลาเวซีตะวันออกเฉียงใต้ - เกินดารี
;หมู่เกาะโมลุกกะ
- {{flagicon|Maluku}} มาลูกู - อัมบน
- {{flagicon|North Maluku}} มาลูกูเหนือ - โซฟีฟี
;ปาปัว
- {{flagicon|West Papua}} ปาปัวตะวันตก* - มาโน-กวารี
- {{flagicon|Southwest Papua}} ปาปัวตะวันตกเฉียงใต้* - โซรง
- {{flagicon|Papua}} ปาปัว* - จายาปูรา
- {{flagicon|Central Papua}} ปาปัวกลาง* - นาบีเร
- {{flagicon|Highland Papua}} ปาปัวที่สูง* - วาเมนา
- {{flagicon|South Papua}} ปาปัวใต้* - เมอเราเก
หมายเหตุ: * คือจังหวัดที่ได้รับสถานะปกครองตนเองพิเศษ
5.3.1. เมืองหลวง
เมืองหลวงปัจจุบันของอินโดนีเซียคือ จาการ์ตา (Jakarta) ซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะชวา จาการ์ตาเป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการคมนาคมที่สำคัญที่สุดของประเทศ เป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และกำลังเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ เช่น การจราจรติดขัด น้ำท่วม และปัญหาแผ่นดินทรุด
เนื่องจากปัญหาความแออัดและภัยคุกคามจากภัยธรรมชาติที่เพิ่มสูงขึ้นในจาการ์ตา รวมถึงความต้องการที่จะกระจายการพัฒนาไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศ รัฐบาลอินโดนีเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจโก วีโดโด ได้ประกาศแผนการย้ายเมืองหลวงในปี ค.ศ. 2019
เมืองหลวงใหม่ที่วางแผนไว้มีชื่อว่า นูซันตารา (Nusantara) ซึ่งจะตั้งอยู่ในจังหวัดกาลีมันตันตะวันออก บนเกาะบอร์เนียว (หรือกาลีมันตันในภาษาอินโดนีเซีย) คำว่า "นูซันตารา" เป็นคำเก่าแก่ในภาษาชวาที่หมายถึง "หมู่เกาะรอบนอก" หรือ "หมู่เกาะอินโดนีเซีย" โดยรวม
ภูมิหลังและความคืบหน้าของการย้ายเมืองหลวง:
- เหตุผลในการย้าย:
- ลดภาระของจาการ์ตาในด้านความแออัด ปัญหาการจราจร มลพิษ น้ำท่วม และแผ่นดินทรุด
- กระจายการพัฒนาเศรษฐกิจและการบริหารไปยังภูมิภาคนอกเกาะชวา
- สร้างเมืองหลวงใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทันสมัย และเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าของอินโดนีเซีย
- ลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติในจาการ์ตา ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด
- ที่ตั้ง: นูซันตาราจะตั้งอยู่ระหว่างอำเภอเปอนาจัม ปาเซร์ เหนือ (Penajam Paser Utara) และอำเภอกูไต การ์ตาเนอการา (Kutai Kartanegara) ในจังหวัดกาลีมันตันตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติต่ำกว่า มีที่ดินของรัฐเพียงพอ และตั้งอยู่ใจกลางประเทศ
- ความคืบหน้า:
- รัฐสภาอินโดนีเซียได้อนุมัติกฎหมายการย้ายเมืองหลวงในปี ค.ศ. 2022
- มีการจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจ (Otorita Ibu Kota Nusantara - OIKN) เพื่อรับผิดชอบในการวางแผนและพัฒนาเมืองหลวงใหม่
- การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเบื้องต้นได้เริ่มขึ้นแล้ว เช่น ถนน เขื่อน และอาคารที่ทำการรัฐบาล
- แผนการย้ายเมืองหลวงจะดำเนินการเป็นระยะ ๆ โดยคาดว่าจะเริ่มย้ายหน่วยงานราชการบางส่วนไปยังนูซันตาราได้ในปี ค.ศ. 2024 และจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในปี ค.ศ. 2045
การย้ายเมืองหลวงเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีความทะเยอทะยานและต้องใช้งบประมาณมหาศาล ซึ่งเผชิญกับความท้าทายหลายประการ รวมถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สิทธิของชนพื้นเมืองในพื้นที่ และความยั่งยืนทางการเงินของโครงการ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอินโดนีเซียยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามแผนนี้ต่อไป โดยหวังว่านูซันตาราจะเป็นเมืองหลวงแห่งอนาคตที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และความก้าวหน้าของประเทศ
5.4. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

อินโดนีเซียดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบ "เสรีและแข็งขัน" (Bebas Aktifภาษาอินโดนีเซีย) ซึ่งเป็นหลักการที่โมฮัมมัด ฮัตตา หนึ่งในบิดาผู้ก่อตั้งประเทศ ได้วางรากฐานไว้ในปี ค.ศ. 1948 หลักการนี้หมายถึงการที่อินโดนีเซียจะดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ และมีบทบาทอย่างแข็งขันในการสร้างสันติภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศ ประธานาธิบดีเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการกำหนดทิศทางนโยบายต่างประเทศ ในขณะที่กระทรวงการต่างประเทศรับผิดชอบในการกำหนดและดำเนินนโยบาย รัฐสภา (DPR) ทำหน้าที่กำกับดูแลและให้สัตยาบันสนธิสัญญาระหว่างประเทศ อินโดนีเซียถือเป็นมหาอำนาจระดับกลางในเวทีระหว่างประเทศ
ความสัมพันธ์กับประเทศพันธมิตรหลักและประเทศเพื่อนบ้าน:
- อาเซียน (ASEAN): อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งอาเซียน และให้ความสำคัญกับอาเซียนในฐานะเสาหลักของนโยบายต่างประเทศ อินโดนีเซียมีบทบาทนำในการขับเคลื่อนความร่วมมือในอาเซียนในด้านต่าง ๆ ทั้งการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม สำนักงานเลขาธิการอาเซียนตั้งอยู่ที่กรุงจาการ์ตา
- ประเทศเพื่อนบ้าน: อินโดนีเซียมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ไทย และบรูไน แม้ว่าในอดีตจะเคยมีความขัดแย้งบ้าง เช่น การเผชิญหน้ากับมาเลเซีย (Konfrontasi) ในช่วงทศวรรษ 1960 แต่โดยรวมแล้วความสัมพันธ์เป็นไปด้วยดี นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังมีความสัมพันธ์กับออสเตรเลียและปาปัวนิวกินี ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านทางตอนใต้และตะวันออก
- จีน: ในช่วงทศวรรษครึ่งที่ผ่านมา อินโดนีเซียได้สร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับจีน โดยเน้นไปที่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการค้าเป็นหลัก
- สหรัฐอเมริกา: อินโดนีเซียยังคงรักษาความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับสหรัฐอเมริกา โดยมุ่งเน้นไปที่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการต่อต้านการก่อการร้าย
- ปาเลสไตน์และอิสราเอล: อินโดนีเซียให้การสนับสนุนปาเลสไตน์อย่างแข็งขัน และไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับอิสราเอล แม้ว่าทั้งสองประเทศจะมีการติดต่อกันอย่างไม่เป็นทางการอยู่บ้าง
- ประเทศอื่น ๆ: อินโดนีเซียมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศในเอเชีย แอฟริกา ยุโรป และอเมริกา
บทบาทในองค์กรระหว่างประเทศ:
อินโดนีเซียเป็นสมาชิกของสหประชาชาติตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 (เคยถอนตัวชั่วคราวในช่วงปี ค.ศ. 1965-1966) และเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (NAM) องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS) นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก (WTO) จี20 และเอเปค (APEC) อินโดนีเซียเคยได้รับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการพัฒนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967 แต่ก็ได้จัดตั้งโครงการช่วยเหลือต่างประเทศของตนเองในปี ค.ศ. 2019
อินโดนีเซียมีบทบาทในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ โดยได้ส่งบุคลากรทางทหารและตำรวจหลายพันคนเข้าร่วมภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในหลายพื้นที่ทั่วโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1957 เช่น ในเลบานอน สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และมาลี
ประเด็นสำคัญทางการทูต:
ประเด็นสำคัญทางการทูตของอินโดนีเซียจะถูกกล่าวถึงอย่างสมดุลโดยคำนึงถึงมุมมองของฝ่ายต่าง ๆ และประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งรวมถึงปัญหาเขตแดนทางทะเล ปัญหาการประมงผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ การก่อการร้าย และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อินโดนีเซียมักจะเน้นย้ำถึงหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ๆ และการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี
5.5. การทหาร


กองทัพแห่งชาติอินโดนีเซีย (Tentara Nasional Indonesiaภาษาอินโดนีเซีย - TNI) เป็นองค์กรหลักที่รับผิดชอบด้านการป้องกันประเทศ ประกอบด้วย 3 เหล่าทัพหลัก คือ:
1. กองทัพบก (TNI Angkatan Darat - TNI-AD): เป็นเหล่าทัพที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีกำลังพลประจำการประมาณ 400,000 นาย
2. กองทัพเรือ (TNI Angkatan Laut - TNI-AL): รวมถึง นาวิกโยธิน (Korps Marinir)
3. กองทัพอากาศ (TNI Angkatan Udara - TNI-AU)
TNI ก่อตั้งขึ้นในช่วงการปฏิวัติแห่งชาติอินโดนีเซีย โดยในช่วงแรกเป็นการสู้รบแบบกองโจรควบคู่ไปกับกองกำลังอาสาสมัครที่ไม่เป็นทางการ โครงสร้างตามอาณาเขตของ TNI มุ่งเน้นไปที่การรักษาเสถียรภาพภายในประเทศและการป้องกันภัยคุกคามจากต่างชาติ

ขนาดกำลังพลและงบประมาณกลาโหม:
TNI มีกำลังพลประจำการรวมประมาณ 400,000 นาย และมีกำลังสำรองอีกประมาณ 400,000 นาย (ข้อมูลจาก English Wikipedia) งบประมาณกลาโหมของอินโดนีเซียในปี ค.ศ. 2022 อยู่ที่ประมาณ 0.7% ของ GDP ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับกิจการเชิงพาณิชย์ที่กองทัพเป็นเจ้าของ
ภารกิจหลักและกิจกรรม:
ภารกิจหลักของ TNI คือการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของอินโดนีเซีย รวมถึงการรักษาความมั่นคงภายในประเทศ กิจกรรมของ TNI ทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่:
- การรับมือขบวนการแบ่งแยกดินแดน: TNI มีบทบาทสำคัญในการจัดการกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนในหลายพื้นที่ เช่น อาเจะฮ์ (ซึ่งได้รับการแก้ไขอย่างสันติในปี ค.ศ. 2005) และปาปัว (ซึ่งยังคงดำเนินอยู่)
- การรักษาสันติภาพ: อินโดนีเซียได้ส่งกำลังทหารเข้าร่วมภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในหลายประเทศ
- การบรรเทาภัยพิบัติ: TNI มักจะมีบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในอินโดนีเซีย
- การต่อต้านการก่อการร้าย: TNI ร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ ในการต่อต้านการก่อการร้าย
การเปลี่ยนแปลงอิทธิพลทางการเมืองของกองทัพ:
ในช่วงยุคระเบียบใหม่ภายใต้การนำของประธานาธิบดีซูฮาร์โต กองทัพ (ในขณะนั้นเรียกว่า ABRI) มีบทบาททางการเมืองและสังคมอย่างมากภายใต้นโยบาย "ทวิหน้าที่" (Dwifungsi) ซึ่งอนุญาตให้ทหารดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ อย่างไรก็ตาม หลังจากการปฏิรูปทางการเมืองในปี ค.ศ. 1998 บทบาททางการเมืองอย่างเป็นทางการของ TNI ในสภานิติบัญญัติได้ถูกยกเลิกไป และอิทธิพลทางการเมืองของกองทัพก็ลดลง แม้ว่าจะยังคงมีบทบาทสำคัญในด้านความมั่นคงอยู่
ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน:
TNI ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง เช่น ปาปัวและติมอร์ตะวันออก (ในช่วงการยึดครอง) รายงานจากองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เช่น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล, ฮิวแมนไรท์วอทช์ และคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ได้ระบุถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดย TNI รวมถึงการสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม การบังคับให้สูญหาย และการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก แม้ว่าจะมีความพยายามในการปฏิรูปกองทัพและปรับปรุงสถานการณ์สิทธิมนุษยชน แต่ปัญหานี้ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับอินโดนีเซีย
เหตุการณ์ทางทหารครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์อินโดนีเซีย ได้แก่ ความขัดแย้งกับเนเธอร์แลนด์เรื่องนิวกินีของเนเธอร์แลนด์ การต่อต้านการก่อตั้งมาเลเซียที่ได้รับการสนับสนุนจากอังกฤษ (Konfrontasi) การสังหารหมู่ต่อต้านคอมมิวนิสต์ และการบุกรุกติมอร์ตะวันออก ซึ่งเป็นการปฏิบัติการทางทหารที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย
5.6. ระบบยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน

ระบบศาลยุติธรรมของอินโดนีเซีย:
ระบบศาลยุติธรรมของอินโดนีเซียประกอบด้วยหลายสถาบันหลัก:
- ศาลฎีกา (Mahkamah Agung - MA): เป็นศาลสูงสุดในระบบยุติธรรม มีอำนาจในการพิจารณาคดีในชั้นอุทธรณ์และฎีกา ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของกฎระเบียบที่ต่ำกว่ากฎหมาย และบริหารจัดการศาลยุติธรรมทั่วประเทศ
- ศาลรัฐธรรมนูญ (Mahkamah Konstitusi - MK): มีอำนาจในการตีความรัฐธรรมนูญ พิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย ยุบพรรคการเมือง และตัดสินข้อพิพาทเกี่ยวกับการเลือกตั้ง
- ศาลศาสนา (Pengadilan Agama): มีอำนาจในการพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายครอบครัวและมรดกของชาวมุสลิม
- นอกจากนี้ยังมีศาลเฉพาะทางอื่น ๆ เช่น ศาลทหาร ศาลปกครอง และศาลพาณิชย์
องค์กรตำรวจ (POLRI) และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายหลัก:
สำนักงานตำรวจแห่งชาติอินโดนีเซีย (Kepolisian Negara Republik Indonesia - POLRI) เป็นองค์กรหลักที่รับผิดชอบในการบังคับใช้กฎหมายและรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ POLRI ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานอื่น ๆ ภายใต้ประธานาธิบดี กระทรวงต่าง ๆ หรือบริษัทของรัฐ หน่วยงานเหล่านี้ปฏิบัติหน้าที่ตำรวจเฉพาะด้านและได้รับการกำกับดูแลและฝึกอบรมจาก POLRI ซึ่งทำหน้าที่เป็นกองกำลังตำรวจพลเรือนแห่งชาติของประเทศ
ประเด็นสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ:
อินโดนีเซียเผชิญกับความท้าทายด้านสิทธิมนุษยชนหลายประการ แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าในการสร้างประชาธิปไตยหลังยุคระเบียบใหม่ก็ตาม ประเด็นสำคัญ ได้แก่:
- เสรีภาพสื่อและการแสดงออก: แม้ว่าจะมีการปรับปรุงอย่างมากหลังยุคซูฮาร์โต แต่เสรีภาพสื่อและการแสดงออกยังคงเผชิญกับข้อจำกัด กฎหมาย เช่น กฎหมายข้อมูลและธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ITE Law) มักถูกใช้ในการดำเนินคดีกับผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือแสดงความคิดเห็นที่ถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทหรือสร้างความเกลียดชัง นักข่าวและนักกิจกรรมยังคงเผชิญกับการข่มขู่และการดำเนินคดี
- สิทธิของชนกลุ่มน้อย: ชนกลุ่มน้อยทางศาสนาและชาติพันธุ์ยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติและความรุนแรงในบางพื้นที่ ชาวอินโดนีเซียเชื้อสายจีนและชาวปาปัวประสบปัญหาการเลือกปฏิบัติและความขัดแย้งทางเชื้อชาติในอดีต ซึ่งบางครั้งบานปลายไปสู่ความรุนแรง เช่น การจลาจลต่อต้านชาวจีนในปี 1998 และความขัดแย้งปาปัวที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 1962 ชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ เช่น กลุ่ม LGBTQ ก็เผชิญกับความท้าทายเช่นกัน โดยมีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของวาทกรรมต่อต้าน LGBTQ ตั้งแต่กลางทศวรรษ 2010 หลังจากที่ประเด็นสิทธิ LGBTQ ไม่เป็นที่สนใจนักในช่วงหลายทศวรรษก่อนหน้านั้น การเลือกปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยทางศาสนาก็ยังคงเป็นปัญหา
- ปัญหาประวัติศาสตร์ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข: การละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งใหญ่ในอดีต เช่น การกวาดล้างคอมมิวนิสต์ในปี ค.ศ. 1965-1966 และการยึดครองติมอร์ตะวันออก ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม เหยื่อและครอบครัวยังคงเรียกร้องความยุติธรรมและการเยียวยา
- สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในภูมิภาคปาปัว: ภูมิภาคปาปัวยังคงเป็นพื้นที่ที่มีความตึงเครียดสูงและมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยกองกำลังความมั่นคงของอินโดนีเซียอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม การทรมาน และการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกของชาวปาปัวพื้นเมือง ประเด็นนี้เป็นที่สนใจและวิพากษ์วิจารณ์ในระดับนานาชาติ
ความพยายามของรัฐบาลและภาคประชาสังคมในการปรับปรุง:
รัฐบาลอินโดนีเซียได้ดำเนินมาตรการบางอย่างเพื่อปรับปรุงสถานการณ์สิทธิมนุษยชน เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (Komnas HAM) และการให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหลายฉบับ องค์กรภาคประชาสังคมก็มีบทบาทสำคัญในการติดตามสถานการณ์สิทธิมนุษยชน การให้ความช่วยเหลือแก่เหยื่อ และการผลักดันให้มีการปฏิรูป อย่างไรก็ตาม ความพยายามเหล่านี้ยังคงเผชิญกับอุปสรรคและความท้าทายมากมาย รวมถึงการขาดเจตจำนงทางการเมืองที่แท้จริงในการแก้ไขปัญหารากฐาน และการต่อต้านจากกลุ่มอำนาจเก่า
6. เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของอินโดนีเซียมีขนาดใหญ่และมีความหลากหลาย โดยเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นหนึ่งในตลาดเกิดใหม่ที่สำคัญของโลก อินโดนีเซียเป็นสมาชิกของกลุ่ม G20 ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุด 20 ประเทศ
6.1. โครงสร้างและประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ

อินโดนีเซียดำเนินเศรษฐกิจแบบผสมซึ่งทั้งภาคเอกชนและรัฐบาลมีบทบาทสำคัญ ในฐานะสมาชิก G20 เพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินโดนีเซียมีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคและจัดอยู่ในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ ในปี ค.ศ. 2024 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปกติอยู่ที่ 1.40 T USD (อันดับที่ 16 ของโลก) ในขณะที่ GDP ตามความเสมอภาคของอำนาจซื้อ (PPP) อยู่ที่ 4.66 T USD (อันดับที่ 8) GDP ต่อหัวตาม PPP คือ 16.54 K USD ในขณะที่ GDP ต่อหัวปกติคือ 4.98 K USD จากข้อมูลปี ค.ศ. 2022 ภาคบริการครองเศรษฐกิจในแง่การจ้างงาน (48.8%) ตามด้วยเกษตรกรรม (29.2%) และอุตสาหกรรม (21.8%) ในขณะที่ในแง่ส่วนแบ่ง GDP ทั้งภาคบริการและอุตสาหกรรมครองสัดส่วนใกล้เคียงกัน (ประมาณ 41% ต่อภาค) โดยเกษตรกรรมตามมาเป็นอันดับสอง (12.4%)
โครงสร้างเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเวลาผ่านไป โดยเปลี่ยนจากเกษตรกรรมในช่วงทศวรรษ 1950 และ 1960 ไปสู่การ औตสาหกรรมและการขยายตัวของเมืองอย่างค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1960 ถึงทศวรรษ 1980 ราคาน้ำมันที่ลดลงในทศวรรษ 1980 กระตุ้นให้เกิดการกระจายการผลิตไปสู่สินค้าส่งออก ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ (GDP เติบโตเฉลี่ย 7.1%) และความยากจนลดลงจาก 60% เหลือ 15% อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงในช่วงวิกฤตการณ์การเงินเอเชียปลายทศวรรษ 1990 เมื่อ GDP ลดลง 13% อัตราเงินเฟ้อสูงถึง 78% และ GDP เติบโตเพียง 0.8% ในปี 1999 เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในช่วงต้นทศวรรษ 2000 โดยมีอัตราการเติบโตระหว่าง 4% ถึง 6% ตั้งแต่ปี 2004 ถึง 2024 ควบคู่ไปกับกฎระเบียบด้านการธนาคารที่รอบคอบ นโยบายการเงินและการคลังที่ดีขึ้น และอัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่น ปัจจัยเหล่านี้ ประกอบกับการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่ง ช่วยให้เศรษฐกิจอินโดนีเซียสามารถรับมือกับวิกฤตการณ์การเงินปี 2008 ได้ แม้ว่าการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ในช่วงต้นทศวรรษ 2020 จะทำให้เกิดภาวะถดถอย แต่เศรษฐกิจก็ฟื้นตัวได้ภายในหนึ่งปี
อินโดนีเซียมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ รวมถึงนิกเกิล ถ่านหิน และปิโตรเลียม ซึ่งครองสัดส่วนใหญ่ในพอร์ตการส่งออก อินโดนีเซียนำเข้าปิโตรเลียมกลั่นและดิบ และชิ้นส่วนยานยนต์ โดยมีคู่ค้าหลัก ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สิงคโปร์ อินเดีย มาเลเซีย เกาหลีใต้ และไทย ด้วยปริมาณน้ำฝนที่อุดมสมบูรณ์ แสงแดด และดินที่อุดมสมบูรณ์ อินโดนีเซียจึงเป็นประเทศเกษตรกรรมที่สำคัญ โดยติดอันดับผู้ผลิตน้ำมันปาล์ม ยางพารา กาแฟ ชา มันสำปะหลัง ข้าวสาลี น้ำมันมะพร้าว และยาสูบชั้นนำ แม้จะมีทรัพยากรเหล่านี้และการพัฒนามานานหลายทศวรรษ แต่ความเหลื่อมล้ำทางความมั่งคั่ง การจ้างงาน และโอกาสทางเศรษฐกิจยังคงมีอยู่ระหว่างภูมิภาคที่มีประชากรหนาแน่นและมีความได้เปรียบทางเศรษฐกิจในหมู่เกาะทางตะวันตก เช่น ชวาและสุมาตรา กับพื้นที่ที่มีประชากรเบาบางและด้อยพัฒนาทางตะวันออก เช่น มาลูกูและปาปัว
6.1.1. อุตสาหกรรมหลัก
ภาคอุตสาหกรรมหลักของอินโดนีเซียมีความหลากหลายและมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่:
- เกษตรกรรม (Agriculture): เป็นภาคส่วนที่สำคัญและมีการจ้างงานจำนวนมาก พืชเศรษฐกิจหลัก ได้แก่:
- ข้าว (Rice): เป็นอาหารหลักของประชากรและมีการเพาะปลูกอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ โดยเฉพาะบนเกาะชวาและบาหลี
- น้ำมันปาล์ม (Palm Oil): อินโดนีเซียเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดของโลก สวนปาล์มน้ำมันกระจายอยู่บนเกาะสุมาตราและกาลีมันตันเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของสวนปาล์มน้ำมันได้ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การตัดไม้ทำลายป่าและไฟป่า
- ยางพารา (Rubber): อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในผู้ผลิตยางพารารายใหญ่ของโลก
- กาแฟ (Coffee): อินโดนีเซียมีชื่อเสียงด้านกาแฟหลากหลายชนิด เช่น กาแฟสุมาตรา กาแฟชวา และกาแฟลูวัค (Kopi Luwak)
- เครื่องเทศ (Spices): เช่น กานพลู ลูกจันทน์เทศ พริกไทย ซึ่งเคยเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในอดีต
- พืชผลอื่น ๆ เช่น โกโก้ ยาสูบ อ้อย มันสำปะหลัง และผลไม้เมืองร้อนต่าง ๆ
- เหมืองแร่ (Mining): อินโดนีเซียอุดมไปด้วยทรัพยากรแร่ธาตุหลายชนิด:
- ถ่านหิน (Coal): อินโดนีเซียเป็นผู้ส่งออกถ่านหินรายใหญ่ของโลก โดยมีแหล่งผลิตสำคัญบนเกาะกาลีมันตันและสุมาตรา
- ปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ (Petroleum and Natural Gas): เคยเป็นสินค้าส่งออกหลัก แต่ปัจจุบันปริมาณการผลิตลดลงและอินโดนีเซียกลายเป็นผู้นำเข้าสุทธิของน้ำมัน แหล่งผลิตสำคัญอยู่ในสุมาตรา กาลีมันตัน และนอกชายฝั่งทะเลชวา
- นิกเกิล (Nickel): อินโดนีเซียเป็นผู้ผลิตนิกเกิลรายใหญ่ของโลก โดยมีแหล่งสำคัญบนเกาะสุลาเวสี
- แร่ธาตุอื่น ๆ เช่น ทองแดง ทองคำ ดีบุก และบอกไซต์
- การผลิต (Manufacturing): ภาคการผลิตของอินโดนีเซียมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่:
- สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม (Textiles and Garments): เป็นอุตสาหกรรมส่งออกที่สำคัญและมีการจ้างงานจำนวนมาก
- ยานยนต์ (Automotive): มีการประกอบรถยนต์และรถจักรยานยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออก
- อิเล็กทรอนิกส์ (Electronics): ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า
- อาหารและเครื่องดื่ม (Food and Beverages): เป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่รองรับการบริโภคภายในประเทศ
- เคมีภัณฑ์และปิโตรเคมี (Chemicals and Petrochemicals)
- ปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง (Cement and Construction Materials)
- ภาคบริการ (Services): เป็นภาคส่วนที่ใหญ่ที่สุดและมีสัดส่วนการจ้างงานสูงที่สุดในระบบเศรษฐกิจ ประกอบด้วย:
- การค้าปลีกและค้าส่ง (Retail and Wholesale Trade)
- การท่องเที่ยว (Tourism): เป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ (จะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป)
- การเงินและการธนาคาร (Finance and Banking)
- การขนส่งและการสื่อสาร (Transportation and Communication)
- อสังหาริมทรัพย์และบริการทางธุรกิจ (Real Estate and Business Services)
รัฐบาลอินโดนีเซียพยายามส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น และลดการพึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ โดยมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการปรับปรุงสภาพแวดล้อมการลงทุน
6.1.2. การท่องเที่ยว

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย โดยสร้างรายได้ 14.00 B USD ให้กับ GDP และดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 11.6 ล้านคนในปี ค.ศ. 2023 ออสเตรเลีย สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน และอินเดีย เป็นห้าประเทศแรกที่เป็นแหล่งนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอินโดนีเซียมากที่สุด
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของอินโดนีเซียเติบโตอย่างรวดเร็วจากความมั่งคั่งทางธรรมชาติและวัฒนธรรม ประเทศนี้มีระบบนิเวศทางธรรมชาติที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี โดยมีป่าฝนครอบคลุมพื้นที่ 57% ของพื้นที่ทั้งหมด (225 ล้านเอเคอร์) สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติยอดนิยม ได้แก่ ป่าฝนในสุมาตราและกาลีมันตัน โดยเฉพาะเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าอุรังอุตัง อินโดนีเซียยังมีแนวชายฝั่งที่ยาวที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยทอดยาว 54.72 K km
การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก โดยมีสถานที่ท่องเที่ยว เช่น วัดโบราณโบโรบูดูร์และปรัมบานัน ที่ราบสูงโตราจา และเทศกาลดั้งเดิมของบาหลี
อินโดนีเซียเป็นที่ตั้งของแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก 10 แห่ง รวมถึงอุทยานแห่งชาติโกโมโดและแกนจักรวาลวิทยาแห่งยกยาการ์ตาและสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ ยังมีสถานที่อื่น ๆ อีก 18 แห่งที่อยู่ในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น เช่น อุทยานแห่งชาติบูนาเก็นและหมู่เกาะราจาอัมปัต การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญเช่นกัน โดยมีสถานที่ท่องเที่ยว เช่น มรดกยุคอาณานิคมของหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ในจาการ์ตาและเซอมารัง รวมถึงพระราชวังของปากาอูรุงและอูบุด
6.2. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

การใช้จ่ายของรัฐบาลด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ค่อนข้างต่ำ อยู่ที่ 0.28% ของ GDP ในปี ค.ศ. 2020 แม้ว่าจะได้รับการจัดอันดับที่ 54 จาก 133 ประเทศในดัชนีนวัตกรรมโลกปี 2024 แต่ประเทศนี้ก็มีผลการดำเนินงานสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้สำหรับสถานะประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูง นวัตกรรมทางประวัติศาสตร์ ได้แก่ เตอราเซอร์ (terrasering) เทคนิคการทำนาขั้นบันได และเรือ ปีนีซี (pinisi) ของชาวบูกิสและชาวมากัสซาร์ ในช่วงทศวรรษ 1980 โจโกร์ดา รากา ซูกาวาตี (Tjokorda Raka Sukawati) ได้พัฒนาเทคนิคการก่อสร้างถนน โซโซรบาฮู (Sosrobahu) ซึ่งปัจจุบันใช้กันในระดับสากล อินโดนีเซียยังผลิตรถไฟโดยสารและตู้สินค้าผ่านบริษัทอุตสาหกรรมรถไฟอินโดนีเซีย (Industri Kereta Api - INKA) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ และส่งออกรถไฟไปยังต่างประเทศ
อินโดนีเซียมีประวัติศาสตร์การผลิตเครื่องบินทหารและเครื่องบินโดยสาร และเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ทำเช่นนั้น บริษัทการบินและอวกาศของรัฐ อินโดนีเซียนแอโรสเปซ (PT. Dirgantara Indonesia - PTDI) ได้จัดหาชิ้นส่วนให้กับโบอิงและแอร์บัส และร่วมพัฒนาเครื่องบิน ซีเอ็น-235 (CN-235) กับบริษัทกาซา (CASA) ของสเปน อดีตประธานาธิบดีบาคารุดดิน ยูซุฟ ฮาบีบี ซึ่งเป็นวิศวกรการบินและอวกาศก่อนเข้าสู่วงการการเมือง มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการวิจัยด้านการบินและอวกาศของประเทศ ล่าสุด อินโดนีเซียได้ร่วมมือกับเกาหลีใต้ในโครงการเครื่องบินขับไล่รุ่น 4.5 เคเอไอ เคเอฟ-21 โบราแม (KAI KF-21 Boramae)
โครงการอวกาศของอินโดนีเซีย บริหารจัดการโดยสถาบันการบินและอวกาศแห่งชาติ (Lembaga Penerbangan dan Antariksa Nasional - LAPAN) ได้ปล่อยดาวเทียมดวงแรกในปี ค.ศ. 1976 (ปาลาปา) ด้วยความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา ทำให้อินโดนีเซียเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกที่มีระบบดาวเทียม ณ ปี ค.ศ. 2024 อินโดนีเซียได้ปล่อยดาวเทียม 19 ดวงเพื่อการสื่อสารและวัตถุประสงค์อื่น ๆ ล่าสุด รัฐบาลได้อนุญาตให้ สตาร์ลิงก์ ให้บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในพื้นที่ชนบทและพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับบริการ
6.3. โครงสร้างพื้นฐาน
อินโดนีเซียกำลังให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและความต้องการของประชากรที่เพิ่มขึ้น โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ได้แก่ เครือข่ายคมนาคมและระบบการจัดหาพลังงาน โดยรัฐบาลพยายามพิจารณาถึงผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนา
6.3.1. การคมนาคม


ระบบการคมนาคมของอินโดนีเซียสะท้อนถึงลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เป็นหมู่เกาะและการกระจายตัวของประชากรที่หนาแน่นบนเกาะชวาเป็นหลัก ณ ปี ค.ศ. 2022 เครือข่ายถนนที่โดดเด่นมีความยาว 548.10 K km ซึ่งรวมถึงทรานส์จาการ์ตาที่ให้บริการระบบขนส่งมวลชนเร็วด้วยรถโดยสารที่ยาวที่สุดในโลก การคมนาคมในเมืองที่พบบ่อย ได้แก่ รถลาก เช่น บาจาจ (bajaj) และ เบอจัก (becak) และรถแท็กซี่ร่วม เช่น อังโกต (angkot) และรถมินิบัส


ทางรถไฟส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเกาะชวาและบางส่วนของสุมาตราและสุลาเวสี ให้บริการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร รวมถึงบริการรถไฟชานเมืองและระหว่างเมือง เช่น ในเขตมหานครจาการ์ตาและยกยาการ์ตา ในช่วงปลายทศวรรษ 2010 ระบบขนส่งมวลชนเร็วได้ถูกนำมาใช้ในจาการ์ตาและปาเล็มบัง โดยมีแผนที่จะขยายไปยังเมืองอื่น ๆ อินโดนีเซียร่วมมือกับจีนเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงสายแรกชื่อ วูช (Whoosh) ในปี ค.ศ. 2023 ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างจาการ์ตาและบันดุง นับเป็นระบบรถไฟความเร็วสูงระบบแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และซีกโลกใต้
การขนส่งทางอากาศและทางทะเลก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน ท่าอากาศยานนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตา ซึ่งเป็นท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย รองรับผู้โดยสาร 49 ล้านคนในปี ค.ศ. 2023 ตามมาด้วยท่าอากาศยานนานาชาติงูระฮ์ ไรและท่าอากาศยานนานาชาติจ็วนดา การูดาอินโดนีเซีย สายการบินแห่งชาติตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 เป็นหนึ่งในสายการบินชั้นนำของโลกและเป็นสมาชิกของพันธมิตรสายการบินระดับโลกสกายทีม ท่าเรือตันจุง ปริอ็อก เป็นท่าเรือที่พลุกพล่านและทันสมัยที่สุดของประเทศ จัดการการขนส่งสินค้าผ่านแดนกว่าครึ่งหนึ่งของอินโดนีเซีย
6.3.2. พลังงาน

อินโดนีเซียเป็นผู้ผลิตและผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่ โดยผลิตพลังงาน 18.8 × 1015 บีทียู และบริโภคพลังงาน 10.514 × 1015 บีทียู ในปี ค.ศ. 2023 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งทั้งหมดของประเทศในปี ค.ศ. 2022 อยู่ที่ประมาณ 83.8 จิกะวัตต์ (GW) โดยส่วนใหญ่มาจากถ่านหิน (61%) แหล่งพลังงานสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน และพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานความร้อนใต้พิภพ พลังงานน้ำ และพลังงานแสงอาทิตย์ บริษัทไฟฟ้าแห่งรัฐ (Perusahaan Listrik Negara - PLN) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจผูกขาดการจำหน่ายไฟฟ้าในประเทศ
องค์ประกอบพลังงานของอินโดนีเซียยังคงถูกครอบงำโดยแหล่งพลังงานที่ไม่หมุนเวียน โดยถ่านหินเป็นส่วนใหญ่ ตามด้วยก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน พลังงานหมุนเวียน รวมถึงพลังงานความร้อนใต้พิภพ (5%) พลังงานน้ำ (7%) และพลังงานแสงอาทิตย์ (1%) คิดเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าแต่กำลังเติบโต ศักยภาพด้านพลังงานหมุนเวียนมีมหาศาล โดยเฉพาะพลังงานความร้อนใต้พิภพ ซึ่งประเทศนี้เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก อินโดนีเซียเป็นผู้ผลิตและส่งออกถ่านหินความร้อนรายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) รายสำคัญ
รัฐบาลวางแผนที่จะเปลี่ยนไปใช้แหล่งพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2060 ในแผนพลังงานล่าสุดช่วงต้นปี ค.ศ. 2025 รัฐบาลตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตไฟฟ้า 71 จิกะวัตต์ภายในปี ค.ศ. 2034 โดยเน้นพลังงานหมุนเวียน อย่างไรก็ตาม ประเทศยังมีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับพลังงานหมุนเวียนไม่เพียงพอ เผชิญความยากลำบากในการเข้าถึงไฟฟ้าในพื้นที่ห่างไกล และยังคงพึ่งพาถ่านหินเป็นอย่างมาก
7. สังคม
อินโดนีเซียเป็นสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูง ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ ภาษา และศาสนาที่แตกต่างกันมากมาย ซึ่งอยู่ร่วมกันภายใต้กรอบของรัฐชาติอินโดนีเซีย
7.1. ประชากร
จากการสำรวจสำมะโนประชากรปี ค.ศ. 2020 อินโดนีเซียมีประชากรทั้งสิ้น 270.2 ล้านคน ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับสี่ของโลก โดยมีอัตราการเติบโตของประชากรค่อนข้างสูงที่ 1.25% เกาะชวาเป็นเกาะที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลก โดยมีประชากรถึง 56% ของประเทศอาศัยอยู่บนเกาะนี้ ความหนาแน่นของประชากรโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 141 คนต่อตารางกิโลเมตร ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 88 ของโลก แม้ว่าเกาะชวาจะมีความหนาแน่นของประชากรสูงถึง 1,171 คนต่อตารางกิโลเมตร ในปี ค.ศ. 1961 การสำรวจสำมะโนประชากรครั้งแรกหลังยุคอาณานิคมบันทึกจำนวนประชากรไว้ที่ 97 ล้านคน คาดการณ์ว่าจำนวนประชากรจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 295 ล้านคนภายในปี ค.ศ. 2030 และ 321 ล้านคนภายในปี ค.ศ. 2050 ปัจจุบันอินโดนีเซียมีประชากรที่ค่อนข้างเยาว์วัย โดยมีอายุเฉลี่ย 31.5 ปี (ประมาณการปี ค.ศ. 2024)
การกระจายตัวของประชากรไม่สม่ำเสมอทั่วทั้งหมู่เกาะ โดยมีถิ่นที่อยู่และระดับการพัฒนาที่แตกต่างกัน ตั้งแต่อภิมหานครจาการ์ตาไปจนถึงชนเผ่าที่ไม่เคยติดต่อกับโลกภายนอกในปาปัว ณ ปี ค.ศ. 2022 ประมาณ 58% ของประชากรอาศัยอยู่ในเขตเมือง จาการ์ตาเป็นนครเอกของประเทศและเป็นเขตเมืองที่มีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับสองของโลก โดยมีประชากรมากกว่า 34 ล้านคน มีชาวอินโดนีเซียประมาณ 8 ล้านคนอาศัยอยู่ต่างประเทศ ส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานในมาเลเซีย เนเธอร์แลนด์ ซาอุดีอาระเบีย สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย
7.2. กลุ่มชาติพันธุ์และภาษา
อินโดนีเซียเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองที่แตกต่างกันประมาณ 600 กลุ่ม ส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากชาวออสโตรนีเซียนที่พูดภาษาออสโตรนีเซียนดั้งเดิม ซึ่งน่าจะมาจากไต้หวันในปัจจุบัน ชาวเมลานีเชียซึ่งอาศัยอยู่ทางตะวันออกของอินโดนีเซีย เป็นอีกกลุ่มชาติพันธุ์ที่สำคัญอีกกลุ่มหนึ่ง ชาวชวาคิดเป็น 40% ของประชากร เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลทางการเมืองมากที่สุด ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางตอนกลางและตะวันออกของเกาะชวา และมีจำนวนมากในจังหวัดอื่น ๆ กลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่อื่น ๆ ได้แก่ ชาวซุนดา ชาวมลายู ชาวบาตัก ชาวมาดูรา ชาวเบอตาวี ชาวมีนังกาเบา และชาวบูกิส ความรู้สึกเป็นชาติอินโดนีเซียมีอยู่ควบคู่ไปกับอัตลักษณ์ของภูมิภาคที่แข็งแกร่ง
ภาษาทางการคือ ภาษาอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นภาษามลายูรูปแบบหนึ่งที่ยึดตามภาษาถิ่นที่มีเกียรติภูมิ ซึ่งกลายเป็นภาษากลางของหมู่เกาะมานานหลายศตวรรษ ภาษาอินโดนีเซียได้รับการส่งเสริมครั้งแรกโดยกลุ่มชาตินิยมในช่วงทศวรรษ 1920 และได้รับสถานะเป็นทางการในปี ค.ศ. 1945 หลังจากการประกาศเอกราช ภายใต้ชื่อ Bahasa Indonesia และตั้งแต่นั้นมาก็ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางเนื่องจากการใช้ในการศึกษา สื่อ ธุรกิจ และการปกครอง แม้ว่าชาวอินโดนีเซียเกือบทั้งหมดจะพูดภาษาบาฮาซาได้ แต่ส่วนใหญ่ก็พูดภาษาท้องถิ่นมากกว่า 700 ภาษา ซึ่งมักจะเป็นภาษาแม่ของตน ส่วนใหญ่เป็นภาษาในตระกูลออสโตรนีเซียน โดยมีภาษาปาปัวมากกว่า 270 ภาษาทางตะวันออกของอินโดนีเซีย ภาษาชวาเป็นภาษาท้องถิ่นที่พูดกันอย่างแพร่หลายที่สุด และมีสถานะเป็นภาษาราชการร่วมในยกยาการ์ตา
ชาวดัตช์และประชากรเชื้อสายยุโรปอื่น ๆ เช่น ชาวอินโด แม้จะมีบทบาทสำคัญในสมัยอาณานิคม แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อยของประชากร โดยมีจำนวนเพียงประมาณ 200 K คนในปี ค.ศ. 1930 ภาษาดัตช์ไม่เคยได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางเนื่องจากอาณานิคมดัตช์มุ่งเน้นไปที่การค้ามากกว่าการบูรณาการทางวัฒนธรรม ปัจจุบัน การใช้ภาษาดัตช์อย่างคล่องแคล่วมีอยู่ในกลุ่มคนรุ่นเก่าและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจำนวนน้อย เนื่องจากประมวลกฎหมายเฉพาะบางฉบับยังคงมีอยู่เฉพาะในภาษานั้น
7.3. ศาสนา

อินโดนีเซียรับรองศาสนาอย่างเป็นทางการ 6 ศาสนา ได้แก่ อิสลาม, โปรเตสแตนต์, โรมันคาทอลิก, ฮินดู, พุทธ, และขงจื๊อ ขณะเดียวกันก็ยอมรับศาสนาพื้นเมืองเพื่อวัตถุประสงค์ทางการบริหาร และรับรองเสรีภาพในการนับถือศาสนาในรัฐธรรมนูญ ณ ปี ค.ศ. 2023 ประชากร 87.1% (244 ล้านคน) เป็นชาวมุสลิม ทำให้อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก โดยชาวสุหนี่คิดเป็น 99% ของประชากรชาวมุสลิม ส่วนที่เหลือประกอบด้วยชาวชีอะฮ์และอะห์มะดียะห์ ซึ่งคิดเป็น 1% (1-3 ล้านคน) และ 0.2% (200,000-400,000 คน) ของประชากรชาวมุสลิมตามลำดับ ชาวคริสต์คิดเป็น 10% ของประชากร เป็นประชากรส่วนใหญ่ในหลายจังหวัดทางตะวันออก ในขณะที่ชาวฮินดูและชาวพุทธส่วนใหญ่เป็นชาวบาหลีและชาวอินโดนีเซียเชื้อสายจีนตามลำดับ


ก่อนการเข้ามาของศาสนาหลักของโลก ชาวพื้นเมืองอินโดนีเซียปฏิบัติความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณและพลังชีวิต บูชาวิญญาณบรรพบุรุษ และเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ (ฮียัง) ที่สถิตอยู่ในองค์ประกอบทางธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ใหญ่ ภูเขา และป่าไม้ ความเชื่อดังกล่าวเป็นเรื่องปกติของชาวออสโตรนีเซียน ประเพณีพื้นเมืองเหล่านี้ เช่น ซุนดาวีวีตันของชาวซุนดา เกอจาเวินของชาวชวา และกาฮาริงันของชาวดายัก ได้มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อการปฏิบัติทางศาสนาในยุคปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดรูปแบบความเชื่อที่ไม่เคร่งครัดและผสมผสานกัน เช่น อาบังงันของชาวชวา ศาสนาฮินดูแบบบาหลี และศาสนาคริสต์ของชาวดายัก

ศาสนาฮินดูเข้ามาถึงหมู่เกาะนี้ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 ตามด้วยศาสนาพุทธในคริสต์ศตวรรษที่ 6 ทั้งสองศาสนาได้หล่อหลอมประวัติศาสตร์ศาสนาของอินโดนีเซียผ่านอาณาจักรที่มีอิทธิพล เช่น มัชปาหิต ศรีวิชัย และไศเลนทร์ ทิ้งมรดกทางวัฒนธรรมที่ยั่งยืนซึ่งยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้แม้ว่าทั้งสองศาสนาจะไม่ใช่ศาสนาส่วนใหญ่อีกต่อไป ศาสนาอิสลามเข้ามาเร็วที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 8 ผ่านพ่อค้าชาวสุหนี่และศูฟีจากอนุทวีปอินเดียและคาบสมุทรอาหรับตอนใต้ ผสมผสานกับประเพณีทางวัฒนธรรมและศาสนาท้องถิ่นเพื่อสร้างวัฒนธรรมอิสลามที่แตกต่าง (ซันตรี) ภายในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ศาสนาอิสลามได้กลายเป็นศาสนาหลักบนเกาะชวาและสุมาตรา ซึ่งเป็นผลมาจากการผสมผสานระหว่างการค้า ดะอ์วะฮ์ เช่น โดยวาลีซองโงและนักสำรวจชาวจีนเจิ้งเหอ และการทัพทางทหารโดยรัฐสุลต่านหลายแห่ง
ศาสนาคาทอลิกและโปรเตสแตนต์เข้ามาในภายหลังผ่านความพยายามของมิชชันนารีในช่วงการล่าอาณานิคมของยุโรป เช่น โดยคณะเยสุอิต นักบุญฟรันซิสเซเวียร์ แม้ว่าการเผยแผ่ศาสนาคาทอลิกจะเผชิญกับความท้าทายภายใต้นโยบายของ VOC และยุคอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ นิกายหลักของโปรเตสแตนต์ ได้แก่ ลัทธิคาลวินและลัทธิลูเทอแรน แม้ว่าจะมีนิกายอื่น ๆ อีกมากมายในประเทศก็ตาม ชุมชนชาวยิวกลุ่มเล็ก ๆ ก็เคยมีอยู่ในหมู่เกาะนี้ ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของชาวยิวชาวดัตช์และอิรัก แม้ว่าจำนวนของพวกเขาจะลดน้อยลงตั้งแต่ได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1945 ปัจจุบันมีชาวยิวเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่อยู่ในเมืองใหญ่ ๆ เช่น จาการ์ตา มานาโด และสุราบายา หนึ่งในโบสถ์ยิวที่ยังคงเหลืออยู่คือ ชาอาร์ ฮาชามายิม ตั้งอยู่ในตนดาโน สุลาเวสีเหนือ ซึ่งอยู่ห่างจากมานาโดประมาณ 31 km
ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาในอินโดนีเซียได้รับอิทธิพลอย่างมากจากผู้นำทางการเมืองและภาคประชาสังคม โดยได้รับคำแนะนำจากหลักการแรกของปัญจศิลา ซึ่งเน้นความเชื่อในพระเจ้าสูงสุดองค์เดียวและความอดทนอดกลั้นทางศาสนา ในขณะที่หลักการนี้ส่งเสริมความสามัคคี ความไม่อดทนอดกลั้นทางศาสนายังคงเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ศาสนามีความสำคัญต่อชีวิตของชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของศาสนาในสังคม วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ของประเทศ
7.4. การศึกษา

อินโดนีเซียมีระบบการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีนักเรียนกว่า 50 ล้านคน ครู 4 ล้านคน และโรงเรียนกว่า 250,000 แห่งกระจายอยู่ทั่วหมู่เกาะ ระบบนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการศึกษาขั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี และกระทรวงกิจการศาสนาสำหรับโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม โดยมีโครงสร้างแบบ 6-3-3-4 คือ ประถมศึกษา 6 ปี มัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายอย่างละ 3 ปี และอุดมศึกษา 4 ปี แม้ว่าอัตราการรู้หนังสือจะสูง (96%) แต่ก็ต่ำกว่าในพื้นที่ชนบทและห่างไกล อัตราการเข้าเรียนแตกต่างกันไปตามระดับการศึกษา โดยมีการเข้าเรียนเกือบทั้งหมดในระดับประถมศึกษา (97.9%) แต่ลดลงเหลือ 81.7% และ 64.2% ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย และประมาณ 42.6% สำหรับระดับอุดมศึกษา
การใช้จ่ายของรัฐบาลด้านการศึกษาคิดเป็นประมาณ 3.6% ของ GDP ในปี ค.ศ. 2022 ในปีเดียวกัน มีสถาบันอุดมศึกษา 4,481 แห่งในประเทศ รวมถึงมหาวิทยาลัย สถาบันสอนศาสนาอิสลาม และมหาวิทยาลัยเปิด มหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย มหาวิทยาลัยกะจะห์ มาดา และสถาบันเทคโนโลยีบันดุงเป็นสามมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ซึ่งทั้งหมดติดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำ 300 แห่งของโลก
ประเด็นด้านคุณภาพและความเท่าเทียมยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบท โครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนที่ไม่เพียงพอ และการขาดแคลนครูที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ระบบนี้ยังล้าหลังกว่ามาตรฐานสากล เช่น โครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (PISA) ซึ่งนักเรียนชาวอินโดนีเซียได้คะแนนใกล้เคียงกับอันดับท้าย ๆ ในด้านการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่อง ภาคอุดมศึกษาประสบปัญหาด้านเงินทุนไม่เพียงพอ คุณภาพต่ำ ผลงานวิจัยมีจำกัด และทักษะของผู้สำเร็จการศึกษาไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน
7.5. สาธารณสุข

อินโดนีเซียมีความก้าวหน้าอย่างมากในการพัฒนาระบบสาธารณสุขตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 ในช่วงแรก บริการสาธารณสุขมีจำกัด โดยขาดแคลนแพทย์ โรงพยาบาล และโครงสร้างพื้นฐาน ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 รัฐบาลเริ่มจัดตั้งศูนย์อนามัยชุมชน (puskesmas) เพื่อให้บริการขั้นพื้นฐานในพื้นที่ชนบท ด้วยความช่วยเหลือจากองค์การอนามัยโลกในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 อินโดนีเซียได้ดำเนินโครงการฉีดวัคซีนเพื่อต่อสู้กับโรคต่าง ๆ เช่น โปลิโอและหัด ระบบนี้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 2014 ด้วยการเปิดตัว Jaminan Kesehatan Nasional (JKN) ซึ่งเป็นระบบบริการสุขภาพถ้วนหน้าที่บริหารจัดการโดยสำนักงานประกันสังคมด้านสุขภาพ (BPJS Kesehatan) นับเป็นหนึ่งในระบบผู้จ่ายคนเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยครอบคลุมประชากรกว่า 83% (225.9 ล้านคน) ในปี ค.ศ. 2021
การใช้จ่ายของรัฐบาลด้านสาธารณสุขคิดเป็น 3.71% ของ GDP ในปี ค.ศ. 2021 การดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานให้บริการผ่าน ปุสเกสมัส โรงพยาบาล และคลินิกเอกชน แม้ว่าระบบสาธารณสุขจะยังล้าหลังกว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เช่น มาเลเซียและสิงคโปร์ แต่ก็มีความสำเร็จด้านสาธารณสุขที่สำคัญ เช่น อายุขัยเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น (จาก 54.9 ปีในปี 1973 เป็น 71.1 ปีในปี 2023) อัตราการตายของเด็กลดลง (จาก 15.5 รายต่อการเกิดมีชีพ 100 รายในปี 1972 เป็น 2.1 รายในปี 2022) การกำจัดโรคโปลิโอในปี 2014 และจำนวนผู้ป่วยมาลาเรียที่ลดลง
ปัญหาสุขภาพเรื้อรังบางอย่างยังคงมีอยู่ รวมถึงภาวะแคระแกร็นในเด็กซึ่งส่งผลกระทบต่อเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี 21.6% ตามข้อมูลปี 2022 คุณภาพอากาศต่ำ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจ ในขณะที่ตัวชี้วัดสุขภาพแม่และเด็กยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวล โดยอัตราการตายของมารดาสูงเป็นอันดับสามในภูมิภาค นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการสูบบุหรี่สูงที่สุดในโลก (34.8% ของผู้ใหญ่) ซึ่งส่งผลให้มีอุบัติการณ์สูงของโรคไม่ติดต่อ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด และมะเร็งปอด
8. วัฒนธรรม
ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของอินโดนีเซียยาวนานกว่าสองพันปี ได้รับอิทธิพลจากอนุทวีปอินเดีย จีน ตะวันออกกลาง ยุโรป ชนเผ่าเมลานีเชียน และออสโตรนีเซียน อิทธิพลเหล่านี้ได้หล่อหลอมอัตลักษณ์พหุวัฒนธรรม พหุภาษา และพหุชาติพันธุ์ของประเทศ ซึ่งแตกต่างจากรากเหง้าดั้งเดิม อินโดนีเซียมีรายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ยูเนสโกรับรอง 16 รายการ รวมถึงโรงละครหุ่นกระบอกวายัง บาติก อังกะลุง ระบำซามาน และปันจักสีลัต การเสนอชื่อร่วมกันล่าสุดได้เพิ่มปันตุน เกบายา และโกลินตังเข้าไว้ในรายการ
8.1. ศิลปะและสถาปัตยกรรม


ศิลปะอินโดนีเซียครอบคลุมรูปแบบดั้งเดิมและร่วมสมัยที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย โลกอาหรับ จีน และยุโรป ซึ่งขับเคลื่อนโดยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและการค้า ประเพณีทางศิลปะของบาหลี เช่น จิตรกรรมคลาสสิกแบบกามะสันและวายัง มีชื่อเสียง โดยมีต้นกำเนิดมาจากเรื่องเล่าภาพบนภาพแกะสลักนูนต่ำของจันดีจากชวาตะวันออก สถาปัตยกรรมดั้งเดิมสะท้อนความหลากหลายทางชาติพันธุ์ โดยมีบ้านแบบดั้งเดิม (รูมะฮ์อาดัต) ที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น ตงโกนัน ของโตราจา, รูมะฮ์กาดัง ของมีนังกาเบา, เป็นโดโป ของชวา และเรือนยาวของชาวดายัก ซึ่งแต่ละหลังแสดงให้เห็นถึงประเพณีและประวัติศาสตร์ที่เป็นเอกลักษณ์ งานฝีมือดั้งเดิมอื่น ๆ รวมถึงงานช่างไม้และงานก่ออิฐ แสดงให้เห็นถึงการตกแต่งและเทคนิคที่ซับซ้อนซึ่งสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน


การค้นพบประติมากรรมหินใหญ่นำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของศิลปะชนเผ่าในชุมชนนีอัส บาตัก อัสมัต ดายัก และโตราจา ซึ่งใช้ไม้และหินเป็นวัสดุหลักในการแกะสลัก ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 8 ถึง 15 อารยธรรมชวามีความเป็นเลิศในการแกะสลักหินและสถาปัตยกรรมที่ซับซ้อน โดยได้รับอิทธิพลอย่างมากจากวัฒนธรรมธรรมะฮินดู-พุทธ ช่วงเวลานี้ได้สร้างสรรค์ผลงานอันยิ่งใหญ่ เช่น วัดโบโรบูดูร์และปรัมบานัน ซึ่งปัจจุบันยังคงได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของมรดกทางศิลปะและสถาปัตยกรรมที่ซับซ้อนของอินโดนีเซีย
8.2. ดนตรีและการเต้นรำ

มรดกทางดนตรีของอินโดนีเซียมีมาตั้งแต่ก่อนยุคประวัติศาสตร์ โดยชนเผ่าพื้นเมืองใช้บทสวดและเครื่องดนตรีดั้งเดิม เช่น อังกะลุง กาเมลัน และซาซันโดในพิธีกรรม อิทธิพลจากวัฒนธรรมอื่น ๆ ได้เสริมสร้างดนตรีอินโดนีเซีย เช่น กัมบุสและเกาะซีดะห์จากตะวันออกกลาง เกอโรนจงจากโปรตุเกส และดังดุต (หนึ่งในแนวเพลงยอดนิยมที่สุดของประเทศ) ซึ่งผสมผสานองค์ประกอบจากฮินดี มลายู และตะวันออกกลาง ปัจจุบัน ดนตรีอินโดนีเซียได้รับความนิยมในระดับภูมิภาคในมาเลเซีย สิงคโปร์ และบรูไน เนื่องจากความคล้ายคลึงทางวัฒนธรรมและความเข้าใจทางภาษา


ด้วยจำนวนการเต้นรำแบบดั้งเดิมกว่า 3,000 รูปแบบ รูปแบบการเต้นรำของอินโดนีเซียมีต้นกำเนิดมาจากพิธีกรรมและการบูชาทางศาสนา เช่น การเต้นรำของหมอผีและฮูด็อก รวมถึงช่วงเวลาที่ได้รับอิทธิพลจากฮินดู-พุทธและอิสลาม ในขณะที่การเต้นรำสมัยใหม่และในเมืองที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมตะวันตก ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น การเต้นรำแบบดั้งเดิม เช่น การเต้นรำของชวา บาหลี และดายัก ยังคงเป็นประเพณีที่มีชีวิตชีวา
ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอันยาวนานของอินโดนีเซียยังสะท้อนให้เห็นในรูปแบบเสื้อผ้าที่หลากหลาย โดยมีชุดประจำชาติ เช่น บาติกและเกบายาซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และมีรากฐานมาจากวัฒนธรรมชวา ซุนดา และบาหลี เครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมแตกต่างกันไปตามภูมิภาคและแต่ละจังหวัด เช่น อูโลสของบาตัก ซงเก็ตของมลายูและมีนังกาเบา และอีกัตของซาซัก และมักสวมใส่ในพิธีการ งานแต่งงาน และงานที่เป็นทางการ
8.3. เครื่องแต่งกายพื้นเมือง

ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอันยาวนานของอินโดนีเซียสะท้อนให้เห็นผ่านรูปแบบเครื่องแต่งกายที่หลากหลาย โดยมีชุดประจำชาติ เช่น บาติก และ เกบายา ที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ซึ่งมีรากฐานมาจากวัฒนธรรมชวา ซุนดา และบาหลี เครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมแตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาคและจังหวัด เช่น อูโลสของชาวบาตัก, ซงเก็ตของชาวมลายูและมีนังกาเบา, และอีกัตของชาวซาซัก โดยทั่วไปจะสวมใส่ในพิธีกรรม งานแต่งงาน และงานที่เป็นทางการ
- บาติก (Batik): เป็นผ้าที่ทำขึ้นโดยใช้เทคนิคการย้อมสีด้วยขี้ผึ้งเพื่อสร้างลวดลายที่ซับซ้อนและสวยงาม บาติกเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สำคัญของอินโดนีเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนเกาะชวาและบาหลี ลวดลายและสีสันของบาติกมีความหลากหลายและมักจะมีความหมายทางสัญลักษณ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนบาติกอินโดนีเซียเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติในปี ค.ศ. 2009 บาติกสามารถนำมาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งเสื้อเชิ้ต ชุดเดรส และโสร่ง
- เกบายา (Kebaya): เป็นเสื้อท่อนบนแบบดั้งเดิมของผู้หญิงอินโดนีเซีย มักทำจากผ้าลูกไม้หรือผ้าโปร่งแสง และสวมใส่คู่กับโสร่ง (kain) หรือผ้าบาติก เกบายามีหลายรูปแบบแตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาคและโอกาสในการสวมใส่ เป็นเครื่องแต่งกายที่แสดงถึงความสง่างามและความเป็นผู้หญิง และมักสวมใส่ในงานพิธีสำคัญ เช่น งานแต่งงาน งานเฉลิมฉลอง และงานที่เป็นทางการ
- โสร่ง (Sarung): เป็นผ้านุ่งชิ้นยาวที่พันรอบเอวและสวมใส่โดยทั้งชายและหญิงในหลายพื้นที่ของอินโดนีเซียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โสร่งมีลวดลายและสีสันที่หลากหลาย และทำจากวัสดุต่าง ๆ เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าไหม หรือผ้าบาติก เป็นเครื่องแต่งกายที่สวมใส่สบายและเหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้น
- อูโลส (Ulos): เป็นผ้าทอแบบดั้งเดิมของชาวบาตักในสุมาตราเหนือ อูโลสมีความสำคัญทางวัฒนธรรมอย่างยิ่งและมักใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน งานศพ และพิธีต้อนรับแขก ลวดลายและสีสันของอูโลสมีความหมายเฉพาะและแตกต่างกันไปตามสถานะทางสังคมและโอกาสในการใช้งาน
- ซงเก็ต (Songket): เป็นผ้าทอหรูหราที่มักทำจากผ้าไหมและมีการปักด้วยดิ้นทองหรือดิ้นเงิน พบมากในพื้นที่ของชาวมลายูและมีนังกาเบาในสุมาตรา รวมถึงในบางส่วนของกาลีมันตันและสุลาเวสี ซงเก็ตมักสวมใส่ในโอกาสพิเศษและงานพิธีสำคัญ
- อีกัต (Ikat): เป็นเทคนิคการมัดย้อมเส้นด้ายก่อนนำไปทอ ทำให้เกิดลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์บนผืนผ้า อีกัตพบได้ในหลายภูมิภาคของอินโดนีเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เกาะนูซาเติงการา (เช่น ซุมบา ฟลอเรส ติมอร์) และบาหลี ลวดลายของอีกัตมีความหลากหลายและมักสะท้อนถึงความเชื่อและตำนานท้องถิ่น
เครื่องแต่งกายพื้นเมืองเหล่านี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความสวยงามและความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะของชาวอินโดนีเซียเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ ความเชื่อ และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลายของแต่ละภูมิภาคอีกด้วย
8.4. การละครและภาพยนตร์

โรงละครแบบดั้งเดิมของอินโดนีเซีย เช่น โรงละครหุ่นเงา วายัง มักจะแสดงมหากาพย์ฮินดู เช่น รามายณะและมหาภารตะ รูปแบบละครอื่น ๆ เช่น ลูดรุก, เกอโตปรัก, ซันดีวารา, เลอนง และละครเต้นรำบาหลี มักจะผสมผสานอารมณ์ขัน ดนตรี และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชม ประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น รันได ของมีนังกาเบาผสมผสานดนตรี การเต้นรำ และศิลปะการต่อสู้ (ซีลัต) โดยเล่าเรื่องตำนานกึ่งประวัติศาสตร์ในช่วงพิธีการและเทศกาลดั้งเดิม โรงละครสมัยใหม่ เช่น เตอาเตอร์โกมา นำเสนอประเด็นทางสังคมและการเมืองผ่านการเสียดสี

ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ผลิตในหมู่เกาะนี้คือ ลูตูง กาซารุง (ค.ศ. 1926) ซึ่งเป็นภาพยนตร์เงียบโดยผู้กำกับชาวดัตช์ แอล. ฮูเฟลดอร์ป และอุตสาหกรรมภาพยนตร์ได้ขยายตัวหลังจากการประกาศเอกราช โดยมีอุสมาร์ อิสมาอิลเป็นผู้บุกเบิกผลงานในช่วงทศวรรษ 1950 ในช่วงปลายยุคซูการ์โนในทศวรรษ 1960 ภาพยนตร์ถูกใช้เพื่อส่งเสริมลัทธิชาตินิยมและความรู้สึกต่อต้านตะวันตก ในขณะที่ยุคระเบียบใหม่ของซูฮาร์โตได้กำหนดการเซ็นเซอร์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยทางสังคม การผลิตภาพยนตร์ถึงจุดสูงสุดในทศวรรษ 1980 โดยมีผลงานที่โดดเด่น เช่น เปองับดี เซอตัน (ค.ศ. 1980), โจต ญัก ดิน (ค.ศ. 1988) และภาพยนตร์ตลกชุด วาร์กป แต่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ก็ซบเซาลงในทศวรรษต่อมา
ในยุคหลังซูฮาร์โต อุตสาหกรรมภาพยนตร์ได้ฟื้นตัวขึ้น และผู้สร้างภาพยนตร์อิสระได้หยิบยกประเด็นที่เคยถูกเซ็นเซอร์มาก่อน เช่น เชื้อชาติ ศาสนา และความรัก มาสร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์ที่โดดเด่น เช่น การผจญภัยของเชอรีนา (ค.ศ. 2000), มีอะไรกับความรัก? (ค.ศ. 2002) และ กองร้อยสายรุ้ง (ค.ศ. 2008) ภาพยนตร์ปี ค.ศ. 2022 เรื่อง เคเคเอ็น ดี เดซา เปอนารี สร้างสถิติรายได้สูงสุด กลายเป็นภาพยนตร์อินโดนีเซียที่มีผู้ชมมากที่สุดด้วยยอดขายตั๋ว 9.2 ล้านใบ เทศกาลภาพยนตร์อินโดนีเซีย (Festival Film Indonesia) ซึ่งมอบรางวัลรางวัลจีตรา ได้เฉลิมฉลองความสำเร็จทางภาพยนตร์มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955
8.5. สื่อมวลชนและวรรณกรรม
เสรีภาพสื่อในอินโดนีเซียพัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจากการสิ้นสุดการปกครองของซูฮาร์โต ซึ่งในสมัยนั้นสื่อถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยกระทรวงสารสนเทศ ภูมิทัศน์ทางโทรทัศน์เปลี่ยนจากระบบผูกขาดโดยสถานีโทรทัศน์สาธารณะ เตเฟเรอี (TVRI) (ค.ศ. 1962-1989) ไปสู่ตลาดที่มีการแข่งขันสูงด้วยเครือข่ายระดับชาติและระดับจังหวัด ภายในศตวรรษที่ 21 สัญญาณโทรทัศน์ได้เข้าถึงทุกหมู่บ้าน โดยมีช่องให้เลือกรับชมถึง 11 ช่อง สถานีวิทยุเอกชนนำเสนอข่าวสาร ในขณะที่ผู้แพร่ภาพกระจายเสียงต่างชาตินำเสนอรายการที่หลากหลาย สิ่งพิมพ์ก็ขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญหลังปี ค.ศ. 1998 การพัฒนาอินเทอร์เน