1. ภาพรวม
ประเทศคีร์กีซสถาน หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐคีร์กีซ เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในเอเชียกลาง โดดเด่นด้วยภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูง โดยมีเทือกเขาเทียนชานและเทือกเขาปามีร์-อาลัยครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ และเป็นที่ตั้งของทะเลสาบอิสซิค-คุลที่สวยงาม ประวัติศาสตร์ของคีร์กีซสถานมีความยาวนาน ย้อนไปถึงการเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมโบราณ ถิ่นที่อยู่ของชนเผ่าเร่ร่อน การตกอยู่ภายใต้อำนาจของจักรวรรดิมองโกล จักรวรรดิรัสเซีย และต่อมาเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต ก่อนจะได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1991
นับตั้งแต่เป็นอิสระ คีร์กีซสถานเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ทั้งความไม่มั่นคงทางการเมือง ซึ่งนำไปสู่การปฏิวัติหลายครั้ง เช่น การปฏิวัติทิวลิปในปี ค.ศ. 2005 และการปฏิวัติในปี ค.ศ. 2010 รวมถึงความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ที่รุนแรง โดยเฉพาะทางตอนใต้ของประเทศ ปัจจุบัน คีร์กีซสถานปกครองด้วยระบบประธานาธิบดี แต่ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย การคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพของสื่อ
เศรษฐกิจของประเทศพึ่งพาภาคเกษตรกรรม การทำเหมืองแร่ (โดยเฉพาะทองคำ) และเงินส่งกลับจากแรงงานในต่างประเทศเป็นหลัก แต่ยังคงเผชิญกับปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางสังคม สังคมคีร์กีซเป็นสังคมพหุชาติพันธุ์ โดยมีชาวคีร์กีซเป็นประชากรส่วนใหญ่ พร้อมด้วยชนกลุ่มน้อยสำคัญอย่างชาวอุซเบกและชาวรัสเซีย ประเด็นด้านภาษาและการอยู่ร่วมกันของกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
วัฒนธรรมคีร์กีซมีความโดดเด่นด้วยมรดกจากวิถีชีวิตแบบชนเผ่าเร่ร่อน ซึ่งสะท้อนผ่านมหากาพย์มานัสอันยิ่งใหญ่ การใช้เยิร์ทเป็นที่อยู่อาศัย และงานหัตถกรรมพื้นบ้านอันเป็นเอกลักษณ์ โดยภาพรวม บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับคีร์กีซสถานโดยเน้นมุมมองที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมทางสังคม และผลกระทบต่อประชาชนกลุ่มต่าง ๆ
2. ชื่อประเทศ

ชื่อประเทศ คีร์กีซสถาน (Кыргызстанคืร์กึซสตันภาษาคีร์กีซ; Кыргызстанคีร์กีซสตานภาษารัสเซีย) มีที่มาจากคำในกลุ่มภาษาเตอร์กิก คำว่า "คีร์กีซ" (кыргызคืร์กึซภาษาคีร์กีซ) เชื่อกันว่ามาจากคำว่า "คืร์ค" (кыркคืร์คภาษาคีร์กีซ) ซึ่งแปลว่า "สี่สิบ" สื่อถึง 40 ชนเผ่าของมานัส วีรบุรุษในตำนานผู้รวบรวมชนเผ่าทั้ง 40 กลุ่มเข้าด้วยกัน ส่วนคำว่า "-สถาน" (-stan-สถานภาษาเปอร์เซีย) เป็นคำปัจจัยในภาษาเปอร์เซีย หมายถึง "ดินแดนแห่ง" หรือ "ที่อยู่ของ" ดังนั้น "คีร์กีซสถาน" จึงมีความหมายว่า "ดินแดนแห่งชาวคีร์กีซ" หรือ "ดินแดนแห่งสี่สิบชนเผ่า"
สัญลักษณ์ดวงอาทิตย์ 40 แฉกบนธงชาติคีร์กีซสถานก็อ้างอิงถึงชนเผ่าทั้งสี่สิบนี้เช่นกัน และองค์ประกอบกราฟิกตรงกลางดวงอาทิตย์แสดงถึงส่วนยอดของโครงสร้างไม้ที่เรียกว่า "ทึนดึค" (түндүкทึนดึคภาษาคีร์กีซ) ของเยิร์ท ซึ่งเป็นกระโจมที่พักอาศัยแบบดั้งเดิมของชนเผ่าเร่ร่อนในทุ่งหญ้าสเตปป์เอเชียกลาง
ชื่ออย่างเป็นทางการของประเทศคือ สาธารณรัฐคีร์กีซ (Кыргыз Республикасыคืร์กึซ เรสปูบลิคาสึภาษาคีร์กีซ; Кыргызская Республикаคีร์กีซสกายา เรสปูบลิกาภาษารัสเซีย) ซึ่งใช้ในเวทีระหว่างประเทศและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษ การสะกดว่า Kyrgyzstan เป็นที่นิยมใช้กันทั่วไป ขณะที่ชื่อเดิมในภาษารัสเซียคือ คีร์กีเซีย (Киргизияคีร์กีซียาภาษารัสเซีย) นั้นไม่ค่อยได้ใช้แล้ว
หลังจากการประกาศเอกราชในปี ค.ศ. 1991 ประเทศได้ใช้ชื่อในภาษาคีร์กีซว่า Кыргызстан Республикасыคืร์กึซสตัน เรสปูบลิคาสึภาษาคีร์กีซ ต่อมาในปี ค.ศ. 1993 ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญและเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็น Кыргыз Республикасыคืร์กึซ เรสปูบลิคาสึภาษาคีร์กีซ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการแล้ว ชื่อเดิมคือ Кыргызстанคืร์กึซสตันภาษาคีร์กีซ ก็ยังคงได้รับการยอมรับให้เป็นชื่อเรียกทั่วไปในภาษาท้องถิ่น
3. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของคีร์กีซสถานครอบคลุมวัฒนธรรมและจักรวรรดิต่าง ๆ มากมาย แม้ว่าในทางภูมิศาสตร์จะถูกโดดเดี่ยวด้วยภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูง แต่คีร์กีซสถานก็เคยเป็นทางผ่านของอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่หลายแห่งในฐานะส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมและเส้นทางการค้าอื่น ๆ ที่นี่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าและตระกูลต่าง ๆ ติดต่อกันมา และเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองที่ใหญ่กว่าเป็นระยะ เช่น ชนเผ่าเตอร์กิกเร่ร่อน ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากรัฐเตอร์กิกหลายแห่ง ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของประวัติศาสตร์ ประเทศนี้ถูกปกครองโดยอำนาจจากภายนอก และได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1991 การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมที่เกิดขึ้นตลอดประวัติศาสตร์ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการพัฒนาประชาธิปไตยและสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศ
3.1. ประวัติศาสตร์ยุคโบราณและยุคกลาง

ประวัติศาสตร์ของชาวคีร์กีซเริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 201 ปีก่อนคริสตกาล ตามการค้นพบทางประวัติศาสตร์ล่าสุด ชาวซิทเธียน (Scythians) หรือชาวซากา (Saka) เป็นกลุ่มชนแรก ๆ ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนคีร์กีซสถานปัจจุบัน ชาวคีร์กีซดั้งเดิมอาศัยอยู่บริเวณตอนบนของแม่น้ำเยนีเซย์ในใจกลางไซบีเรีย หลักฐานจากวัฒนธรรมปาซืยรึค (Pazyryk) และวัฒนธรรมทัชตึค (Tashtyk) แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างชนเผ่าเตอร์กิกเร่ร่อนและชนเผ่าอิหร่าน
บันทึกของจีนและมุสลิมในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 7-12 บรรยายถึงชาวคีร์กีซว่ามีผมสีแดง ผิวขาว และตาสีเขียวหรือสีฟ้า ซึ่งบ่งชี้ถึงลักษณะของชนเผ่าอินโด-ยูโรเปียนโบราณ เช่น ชาวสลาฟ อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาทางพันธุกรรมล่าสุดยืนยันว่าชาวคีร์กีซสืบเชื้อสายมาจากประชากรพื้นเมืองในไซบีเรีย เนื่องจากการอพยพ การพิชิต การแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ และการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม ทำให้ชาวคีร์กีซจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในเอเชียกลางและเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ในปัจจุบันมีลักษณะผสมผสาน โดยมีที่มาจากส่วนต่าง ๆ ของหลายชนเผ่า แม้ว่าพวกเขาจะพูดภาษาเดียวกันก็ตาม
รัฐของชาวคีร์กีซขยายอาณาเขตมากที่สุดหลังจากเอาชนะรัฐข่านอุยกูร์ได้ในปี ค.ศ. 840 ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา ชาวคีร์กีซได้อพยพไปไกลถึงเทือกเขาเทียนชานและคงอำนาจเหนือดินแดนนี้ไว้ได้ประมาณ 200 ปี มีประเพณีการเล่าเรื่องราวของมหากาพย์มานัส ซึ่งเป็นเรื่องราวของนักรบผู้รวบรวมชนเผ่าที่กระจัดกระจายให้เป็นหนึ่งเดียวในคริสต์ศตวรรษที่ 9 ไตรภาคมหากาพย์นี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบัญชีรายชื่อมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโก แสดงออกถึงความทรงจำของชาวคีร์กีซซึ่งเป็นชนเผ่าเร่ร่อน
ในคริสต์ศตวรรษที่ 12 อาณาเขตของชาวคีร์กีซได้ลดขนาดลงเหลือเพียงบริเวณเทือกเขาอัลไตและเทือกเขาซายัน อันเป็นผลมาจากการขยายตัวของชาวมองโกล
3.2. จักรวรรดิมองโกลและยุคหลังมองโกล

ด้วยการผงาดขึ้นของจักรวรรดิมองโกลในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ชาวคีร์กีซได้อพยพลงใต้ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิมองโกลอย่างสันติในปี ค.ศ. 1207 ทะเลสาบอิสซิค-คุลเป็นจุดพักแรมสำคัญบนเส้นทางสายไหม ซึ่งเป็นเส้นทางบกสำหรับพ่อค้าวาณิชและนักเดินทางอื่น ๆ จากตะวันออกไกลสู่ยุโรป
ชนเผ่าคีร์กีซถูกรุกรานในคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยชาวมองโกลโออิรัต ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยราชวงศ์ชิงที่นำโดยชาวแมนจูของจีน และในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยรัฐข่านโกกอนของชาวอุซเบก ในปี ค.ศ. 1842 ชนเผ่าคีร์กีซได้แยกตัวออกจากโกกอนและรวมกันเป็นรัฐข่านคารา-คีร์กีซ (Кыргыз хандыгыคืร์กึซ คันดึกือภาษาคีร์กีซ) ภายใต้การนำของออร์มอน ข่าน หลังจากการเสียชีวิตของออร์มอนในปี ค.ศ. 1854 รัฐข่านก็ล่มสลายลง
3.3. จักรวรรดิรัสเซียและยุคโซเวียต


ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ส่วนตะวันออกของดินแดนที่ปัจจุบันคือคีร์กีซสถาน โดยเฉพาะแคว้นอีซึก-เกิล ถูกยกให้แก่จักรวรรดิรัสเซียโดยราชวงศ์ชิงของจีนผ่านทางสนธิสัญญาตาร์บาตาไก ดินแดนนี้ ซึ่งในขณะนั้นรู้จักกันในภาษารัสเซียว่า "คีร์กีเซีย" (Kirghizia) ได้ถูกผนวกเข้ากับจักรวรรดิอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1876 การยึดครองของรัสเซียเผชิญกับการต่อต้านหลายครั้ง และชาวคีร์กีซจำนวนมากเลือกที่จะย้ายไปยังเทือกเขาปามีร์และอัฟกานิสถาน นอกจากนี้ การปราบปรามการกบฏปี 1916 ต่อต้านการปกครองของรัสเซียในเอเชียกลาง ทำให้ชาวคีร์กีซจำนวนมากอพยพไปยังจีนในภายหลัง
อำนาจโซเวียตเริ่มสถาปนาขึ้นในภูมิภาคนี้ในปี ค.ศ. 1919 และแคว้นปกครองตนเองคารา-คีร์กีซได้ถูกจัดตั้งขึ้นภายในสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย (RSFSR) คำว่า คารา-คีร์กีซ ถูกใช้จนถึงกลางทศวรรษ 1920 โดยชาวรัสเซียเพื่อแยกความแตกต่างจากชาวคาซัค ซึ่งถูกเรียกว่าคีร์กีซเช่นกัน เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1936 สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตคีร์กีซได้ก่อตั้งขึ้นเป็นสาธารณรัฐสหภาพของสหภาพโซเวียต
หลังสงครามกลางเมืองรัสเซีย ช่วงเวลาของนโยบายเศรษฐกิจใหม่ (NEP) ได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งกินเวลาประมาณถึงปี ค.ศ. 1928 พรรคบอลเชวิคพยายามจัดตั้งระบบภาษีที่เป็นมาตรฐาน โดยเก็บภาษีที่สูงขึ้นจากชนเผ่าเร่ร่อนเพื่อกีดกันวิถีชีวิตแบบเร่ร่อน และพวกเขาได้แบ่งภูมิภาคเอเชียกลางออกเป็นห้ารัฐชาติ คีร์กีซสถานมีการพัฒนาอย่างมากในด้านวัฒนธรรม การศึกษา และชีวิตทางสังคม ความรู้หนังสือได้รับการปรับปรุงอย่างมาก การพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมก็มีความโดดเด่นเช่นกัน ภายใต้การปกครองของโจเซฟ สตาลิน ได้มีการให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับอัตลักษณ์ประจำชาติของชาวคีร์กีซ รัฐโซเวียตต่อสู้กับระบบชนเผ่า ซึ่งมีโครงสร้างทางสังคมที่อิงตามเครือญาติฝ่ายบิดา ขัดแย้งกับแนวคิดของรัฐชาติสมัยใหม่ ในภูมิภาคที่ไม่เคยรู้จักสถาบันหรือจิตสำนึกของชาติมาก่อน กระบวนการสร้างชาติจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากและคลุมเครือจากมุมมองของคนพื้นเมือง
ภายในสิ้นทศวรรษ 1920 สหภาพโซเวียตได้พัฒนาชุดแผนห้าปี ซึ่งเน้นไปที่การพัฒนาอุตสาหกรรมและการรวมกลุ่มเกษตรกรรม รวมถึงการสร้างระบบการเกษตรแบบรวมกลุ่มขนาดใหญ่ที่เรียกว่า "คอลโฮซ" ซึ่งจำเป็นต่อการเลี้ยงดูคนงานใหม่ในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากการพึ่งพาความรวดเร็วของแผน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้ง ในคีร์กีซสถาน ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวรัสเซียได้ครอบครองทุ่งหญ้าที่ดีที่สุด ทำให้เกิดความยากลำบากอย่างมากแก่ประชากรดั้งเดิมส่วนใหญ่ ได้แก่ ชาวคาซัค ชาวคีร์กีซ และชาวเติร์กเมน ซึ่งเป็นชนเผ่าเร่ร่อน และถูกบังคับให้ตั้งถิ่นฐานบนดินแดนที่ไม่มีศักยภาพทางการเกษตรเพียงพอ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้เกิดความไม่สงบ และระหว่างปี ค.ศ. 1928 ถึง ค.ศ. 1932 ชนเผ่าเร่ร่อนและชาวนาได้แสดงออกอย่างชัดเจนผ่านวิธีการต่าง ๆ เช่น การต่อต้านแบบอดทน ว่าพวกเขาไม่เห็นด้วยกับนโยบายเหล่านี้ ในพื้นที่คีร์กีเซียยังมีการต่อต้านแบบกองโจรเกิดขึ้นด้วย ภูมิภาคนี้มีผู้เสียชีวิตจากการรวมกลุ่มเกษตรกรรมมากกว่าภูมิภาคอื่นใด

ช่วงปีแรก ๆ ของกลาสนอสต์ ในปลายทศวรรษ 1980 มีผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อบรรยากาศทางการเมืองในคีร์กีซสถาน อย่างไรก็ตาม สื่อของสาธารณรัฐได้รับอนุญาตให้มีท่าทีที่เสรีมากขึ้นและก่อตั้งสิ่งพิมพ์ใหม่ชื่อ Literaturny Kirghizstan โดยสหภาพนักเขียน กลุ่มการเมืองที่ไม่เป็นทางการถูกห้าม แต่กลุ่มหลายกลุ่มที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1989 เพื่อจัดการกับวิกฤตการณ์ที่อยู่อาศัยที่รุนแรงได้รับอนุญาตให้ดำเนินการได้
ตามการสำรวจสำมะโนประชากรโซเวียตครั้งล่าสุดในปี ค.ศ. 1989 ชาวคีร์กีซแท้ ๆ คิดเป็นเพียง 22% ของประชากรในเมืองทางตอนเหนือของฟรุนเซ (ปัจจุบันคือบิชเคก) ในขณะที่กว่า 60% เป็นชาวรัสเซีย ชาวยูเครน และผู้คนจากประเทศสลาฟอื่น ๆ เกือบ 10% ของประชากรเมืองหลวงเป็นชาวยิว (ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ค่อนข้างพิเศษสำหรับเกือบทุกแห่งในสหภาพโซเวียต ยกเว้นแคว้นปกครองตนเองยิว)
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1990 ความตึงเครียดทางชาติพันธุ์ระหว่างชาวอุซเบกและชาวคีร์กีซได้ปะทุขึ้นในแคว้นออช (ทางใต้ของคีร์กีซสถาน) ซึ่งชาวอุซเบกเป็นชนกลุ่มน้อยของประชากร ความตึงเครียดระหว่างชาวคีร์กีซและชาวอุซเบกในออชส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 186 ราย ความพยายามที่จะยึดไร่นารวมของชาวอุซเบกเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยได้จุดชนวนให้เกิดเหตุจลาจลในออช มีการประกาศภาวะฉุกเฉินและเคอร์ฟิว และอัสคาร์ อคาเยฟ บุตรคนสุดท้องในจำนวนห้าคนของครอบครัวคนงานในไร่นารวม (ทางตอนเหนือของคีร์กีซสถาน) ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ในขณะนั้น ขบวนการประชาธิปไตยคีร์กีซสถาน (KDM) ได้พัฒนาเป็นพลังทางการเมืองที่สำคัญและได้รับการสนับสนุนในรัฐสภา เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1990 สภาโซเวียตสูงสุดได้ลงมติเปลี่ยนชื่อสาธารณรัฐเป็นสาธารณรัฐคีร์กีซสถาน ในเดือนมกราคมปีถัดมา อคาเยฟได้นำเสนอโครงสร้างรัฐบาลใหม่และแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยนักการเมืองรุ่นใหม่ที่มุ่งเน้นการปฏิรูป ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1991 ชื่อเมืองหลวง ฟรุนเซ ได้เปลี่ยนกลับเป็นชื่อเดิมก่อนการปฏิวัติคือ บิชเคก
แม้จะมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองไปสู่ความเป็นอิสระ แต่ความเป็นจริงทางเศรษฐกิจดูเหมือนจะขัดขวางการแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต ในการลงประชามติเกี่ยวกับการรักษาสหภาพโซเวียตในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1991 ผู้ลงคะแนนเสียง 88.7% อนุมัติข้อเสนอให้คงสหภาพโซเวียตไว้ในฐานะ "สหพันธรัฐที่ได้รับการฟื้นฟู" อย่างไรก็ตาม กองกำลังแบ่งแยกดินแดนได้ผลักดันให้คีร์กีซสถานประกาศเอกราชในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน
เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1991 เมื่อคณะกรรมการสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งรัฐเข้ายึดอำนาจในมอสโก มีความพยายามที่จะโค่นล้มอคาเยฟในคีร์กีซสถาน หลังจากการรัฐประหารล้มเหลวในสัปดาห์ต่อมา อคาเยฟและรองประธานาธิบดี เกอร์มัน คุซเนตซอฟ ได้ประกาศลาออกจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต (CPSU) และทั้งสำนักเลขาธิการและคณะกรรมการทั้งหมดก็ลาออกตามไปด้วย ตามมาด้วยการลงมติของสภาโซเวียตสูงสุดประกาศเอกราชจากสหภาพโซเวียตเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1991 ในชื่อ สาธารณรัฐคีร์กีซสถาน

จากการสำรวจของแกลลัพในปี ค.ศ. 2013 ชาวคีร์กีซ 62% กล่าวว่าการล่มสลายของสหภาพโซเวียตส่งผลเสียต่อประเทศของตน ในขณะที่เพียง 16% กล่าวว่าการล่มสลายเป็นประโยชน์
3.4. การประกาศเอกราชและยุคปัจจุบัน
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1991 อคาเยฟลงสมัครรับเลือกตั้งโดยไม่มีคู่แข่งและได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐเอกราชใหม่ด้วยการลงคะแนนเสียงโดยตรง โดยได้รับคะแนนเสียง 95 เปอร์เซ็นต์ ร่วมกับผู้แทนของอีกเจ็ดสาธารณรัฐในเดือนเดียวกัน เขาได้ลงนามในสนธิสัญญาประชาคมเศรษฐกิจ ผู้นำใหม่ของสามในสี่สาธารณรัฐผู้ก่อตั้งสหภาพโซเวียต ได้แก่ รัสเซีย เบลารุส และยูเครน ได้ลงนามในข้อตกลงเบโลเวซาเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1991 โดยประณามสนธิสัญญาสหภาพปี 1922 ประกาศว่าสหภาพจะสิ้นสุดลง และประกาศจัดตั้งเครือรัฐเอกราช (CIS) ขึ้นแทน
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 1991 คีร์กีซสถานได้ตกลงกับอีกสี่สาธารณรัฐในเอเชียกลาง ได้แก่ ทาจิกิสถาน เติร์กเมนิสถาน อุซเบกิสถาน และคาซัคสถาน ในพิธีสารอัลมา-อาตา เพื่อเข้าร่วมเครือรัฐอย่างเป็นทางการกับอาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจาน คาซัคสถาน มอลโดวา และยูเครน ในที่สุด คีร์กีซสถานก็ได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1991 วันรุ่งขึ้น คือวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 1991 สหภาพโซเวียตก็สิ้นสุดลง ในปี ค.ศ. 1992 คีร์กีซสถานเข้าร่วมองค์การสหประชาชาติและองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE) เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1993 ชื่ออย่างเป็นทางการได้เปลี่ยนจาก สาธารณรัฐคีร์กีซสถาน เป็น สาธารณรัฐคีร์กีซ หลังจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ปัจจุบัน คีร์กีซสถานเฉลิมฉลองวันประกาศเอกราชในวันที่ 31 สิงหาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันครบรอบการประกาศเอกราชในปี ค.ศ. 1991 นับตั้งแต่ได้รับเอกราช คีร์กีซสถานได้มีการพัฒนา เช่น การสร้างสื่อข่าวที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง และการส่งเสริมฝ่ายค้านทางการเมืองที่แข็งขัน อย่างไรก็ตาม ประเทศยังคงเผชิญกับความท้าทายทางประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง
ในปี ค.ศ. 2005 การลุกฮือที่เรียกว่า "การปฏิวัติทิวลิป" เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งรัฐสภาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2005 ส่งผลให้ประธานาธิบดีอัสคาร์ อคาเยฟต้องลาออกเมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 2005 ผู้นำฝ่ายค้านได้จัดตั้งรัฐบาลผสม และมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของประธานาธิบดีคูร์มานเบก บากีเยฟและนายกรัฐมนตรีเฟลิกซ์ คูลอฟ เมืองหลวงของประเทศถูกปล้นสะดมในระหว่างการประท้วง ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองยังคงดำเนินต่อไป โดยกลุ่มและฝ่ายต่าง ๆ ที่ถูกกล่าวหาว่าเชื่อมโยงกับองค์กรอาชญากรรมแย่งชิงอำนาจกัน สมาชิกรัฐสภาสามใน 75 คนที่ได้รับเลือกในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2005 ถูกลอบสังหาร และสมาชิกรัฐสภาอีกคนถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 ไม่นานหลังจากชนะการเลือกตั้งซ่อมในที่นั่งของพี่ชายที่ถูกฆาตกรรม ทั้งสี่คนมีชื่อเสียงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในธุรกิจผิดกฎหมายที่สำคัญ

เมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 2010 ความไม่สงบในบ้านเมืองได้ปะทุขึ้นในเมืองทาลัส หลังจากการประท้วงต่อต้านการทุจริตของรัฐบาลและค่าครองชีพที่สูงขึ้น การประท้วงทวีความรุนแรงขึ้นและลุกลามไปยังบิชเคกในวันรุ่งขึ้น ผู้ประท้วงโจมตีสำนักงานของประธานาธิบดีบากีเยฟ รวมถึงสถานีวิทยุและโทรทัศน์ของรัฐ มีรายงานที่ขัดแย้งกันว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอลโดมูซา คองกาติเยฟ ถูกทุบตี เมื่อวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 2010 ประธานาธิบดีบากีเยฟได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน ตำรวจและหน่วยปฏิบัติการพิเศษได้จับกุมผู้นำฝ่ายค้านจำนวนมาก เพื่อตอบโต้ ผู้ประท้วงได้เข้าควบคุมสำนักงานใหญ่ด้านความมั่นคงภายใน (อดีตสำนักงานใหญ่เคจีบี) และสถานีโทรทัศน์ของรัฐในกรุงบิชเคก รายงานจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลคีร์กีซสถานระบุว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 75 ราย และบาดเจ็บ 458 รายจากการปะทะอย่างนองเลือดกับตำรวจในเมืองหลวง มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 80 รายอันเป็นผลมาจากการปะทะกับตำรวจ รัฐบาลเฉพาะกาลซึ่งนำโดยอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ โรซา โอตุนบาเยวา (พรรคสังคมประชาธิปไตยคีร์กีซสถาน) ได้เข้าควบคุมสื่อของรัฐและสถานที่ราชการในเมืองหลวงภายในวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 2010 แต่บากีเยฟยังไม่ได้ลาออกจากตำแหน่ง ประธานาธิบดีบากีเยฟเดินทางกลับบ้านที่จาลาลาบัตและแถลงเงื่อนไขการลาออกในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2010 เมื่อวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 2010 บากีเยฟเดินทางออกนอกประเทศและบินไปยังประเทศคาซัคสถานที่อยู่ใกล้เคียง พร้อมด้วยภรรยาและบุตรสองคน ผู้นำเฉพาะกาลของประเทศประกาศว่าบากีเยฟได้ลงนามในจดหมายลาออกอย่างเป็นทางการก่อนเดินทางออกนอกประเทศ นายกรัฐมนตรีดานียาร์ อูเซนอฟกล่าวหารัสเซียว่าสนับสนุนการประท้วง ซึ่งข้อกล่าวหานี้ถูกปฏิเสธโดยนายกรัฐมนตรีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน สมาชิกฝ่ายค้านยังเรียกร้องให้ปิดฐานทัพอากาศมานัสที่ควบคุมโดยสหรัฐฯ ประธานาธิบดีรัสเซีย ดมิทรี เมดเวเดฟสั่งการให้ใช้มาตรการเพื่อความปลอดภัยของชาวรัสเซียและกระชับความปลอดภัยรอบ ๆ สถานที่ของรัสเซียในคีร์กีซสถานเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น

ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ในคีร์กีซสถานใต้ พ.ศ. 2553 เกิดขึ้นระหว่างสองกลุ่มชาติพันธุ์หลักคือ ชาวอุซเบกและชาวคีร์กีซในออช เมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 2010 ความขัดแย้งดังกล่าวทำให้เกิดความหวาดกลัวว่าประเทศอาจกำลังมุ่งหน้าสู่สงครามกลางเมือง ผู้นำเฉพาะกาล โอตุนบาเยวา ได้ส่งจดหมายถึงประธานาธิบดีรัสเซีย ดิมิทรี เมดเวเดฟ ขอให้เขาส่งกองกำลังรัสเซียมาช่วยควบคุมสถานการณ์ นาตาเลีย ติมาโควา เลขานุการฝ่ายสื่อสารมวลชนของเมดเวเดฟ กล่าวตอบจดหมายว่า "นี่เป็นความขัดแย้งภายใน และในขณะนี้รัสเซียยังไม่เห็นเงื่อนไขที่จะเข้าร่วมในการแก้ไขปัญหา" ความขัดแย้งทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารและสิ่งจำเป็นอื่น ๆ โดยมีผู้เสียชีวิตกว่า 200 ราย และบาดเจ็บ 1,685 ราย ณ วันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 2010 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลรัสเซียกล่าวว่าจะส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปยังประเทศที่ประสบปัญหานี้
ตามแหล่งข่าวท้องถิ่น มีการปะทะกันระหว่างแก๊งท้องถิ่นสองกลุ่ม และไม่นานความรุนแรงก็ลุกลามไปทั่วเมือง นอกจากนี้ยังมีรายงานว่ากองกำลังติดอาวุธสนับสนุนแก๊งชาวคีร์กีซที่เข้ามาในเมือง แต่รัฐบาลปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว การจลาจลได้ลุกลามไปยังพื้นที่ใกล้เคียง และรัฐบาลได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในภูมิภาคจาลาลาบัตทางตอนใต้ทั้งหมด เพื่อควบคุมสถานการณ์ รัฐบาลเฉพาะกาลได้ให้อำนาจพิเศษในการยิงสังหารแก่กองกำลังความมั่นคง รัฐบาลรัสเซียตัดสินใจส่งกองพันไปยังประเทศเพื่อคุ้มครองสถานที่ของรัสเซีย โอตุนบาเยวากล่าวหาครอบครัวของบากีเยฟว่า "ยุยงให้เกิดการจลาจล" สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า "ม่านควันปกคลุมทั่วทั้งเมือง" ทางการในอุซเบกิสถานที่อยู่ใกล้เคียงกล่าวว่ามีชาวอุซเบกอย่างน้อย 30,000 คนข้ามพรมแดนเพื่อหนีการจลาจล ออชสงบลงค่อนข้างมากเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2010 แต่จาลาลาบัตยังคงมีเหตุการณ์วางเพลิงประปราย ทั้งภูมิภาคยังคงอยู่ในภาวะฉุกเฉินเนื่องจากชาวอุซเบกไม่เต็มใจที่จะออกจากบ้านเพราะกลัวการโจมตีจากกลุ่มผู้ก่อจลาจล สหประชาชาติตัดสินใจส่งทูตไปประเมินสถานการณ์

เทมีร์ ซารีเยฟ รองหัวหน้ารัฐบาลเฉพาะกาล กล่าวว่ามีการปะทะกันในระดับท้องถิ่น และรัฐบาลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างสมบูรณ์ เขากล่าวเสริมว่าไม่มีกองกำลังความมั่นคงเพียงพอที่จะควบคุมความรุนแรง สำนักข่าวรายงานเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2010 ว่ารัฐบาลรัสเซียกำลังพิจารณาคำขอของรัฐบาลคีร์กีซ การประชุมฉุกเฉินขององค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน (CSTO) จัดขึ้นในวันเดียวกัน (14 มิถุนายน) เพื่อหารือเกี่ยวกับบทบาทที่สามารถช่วยยุติความรุนแรงได้ ความรุนแรงทางชาติพันธุ์ลดลง ตามรายงานของรัฐบาลคีร์กีซ ณ วันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 2010 และประธานาธิบดีโรซา โอตุนบาเยวา ได้จัดงานแถลงข่าวในวันนั้นและประกาศว่ารัสเซียไม่จำเป็นต้องส่งทหารเข้ามาเพื่อยุติความรุนแรง มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 170 รายภายในวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 2010 แต่ปาสคาล ไมเกอ วากเนอร์ จากคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศกล่าวว่าตัวเลขผู้เสียชีวิต [อย่างเป็นทางการ] ต่ำกว่าความเป็นจริง ข้าหลวงใหญ่แห่งสหประชาชาติกล่าวกับผู้สื่อข่าวในเจนีวาว่าหลักฐานบ่งชี้ว่าความรุนแรงดูเหมือนจะถูกจัดฉากขึ้น ชาวอุซเบกขู่ว่าจะระเบิดคลังน้ำมันในออชหากพวกเขาไม่ได้รับการรับประกันความคุ้มครอง สหประชาชาติกล่าวว่าเชื่อว่าการโจมตีดังกล่าว "มีการประสานงาน กำหนดเป้าหมาย และวางแผนมาอย่างดี" เจ้าหน้าที่คีร์กีซแจ้งสื่อว่าบุคคลที่ต้องสงสัยว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความรุนแรงในจาลาลาบัตถูกควบคุมตัวแล้ว
เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 2010 คณะกรรมาธิการของรัฐบาลคีร์กีซเริ่มสอบสวนสาเหตุของการปะทะ สมาชิกคณะกรรมาธิการแห่งชาติ นำโดยอดีตประธานรัฐสภา อับดุลกานี เออร์เคบาเยฟ ได้พบปะกับผู้คนจากหมู่บ้านที่ส่วนใหญ่เป็นชาวอุซเบก ได้แก่ มาดือ ชาร์ค และคืซืล-คึชตัก ในเขตกะรา-ซูของแคว้นออช คณะกรรมาธิการแห่งชาตินี้ ซึ่งรวมถึงตัวแทนจากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ ได้รับการจัดตั้งขึ้นโดยกฤษฎีกาของประธานาธิบดี ประธานาธิบดีโรซา โอตุนบาเยวา ยังกล่าวในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2010 ว่าจะมีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศเพื่อสอบสวนการปะทะ คณะกรรมาธิการระหว่างประเทศได้ดำเนินการสอบสวนอย่างกว้างขวางและจัดทำรายงาน - คณะกรรมาธิการอิสระระหว่างประเทศเพื่อสอบสวนเหตุการณ์ในคีร์กีซสถานตอนใต้ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2010 (KIC) รายงานระบุว่า "รัฐบาลเฉพาะกาล ซึ่งเข้ารับตำแหน่งสองเดือนก่อนเกิดเหตุการณ์ ไม่สามารถรับรู้หรือประเมินต่ำเกินไปเกี่ยวกับความเสื่อมถอยของความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์ในคีร์กีซสถานตอนใต้" KIC สรุปว่า "รัฐบาลเฉพาะกาลมีหน้าที่รับผิดชอบในการทำให้แน่ใจว่ากองกำลังความมั่นคงได้รับการฝึกฝนอย่างเพียงพอและมีอุปกรณ์ที่เหมาะสมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ความไม่สงบในบ้านเมือง" แต่ไม่สามารถดำเนินมาตรการที่จำเป็นได้
ในช่วงปลายเดือนเมษายน ค.ศ. 2021 ความขัดแย้งเรื่องน้ำได้บานปลายกลายเป็นหนึ่งในการปะทะชายแดนที่รุนแรงที่สุดระหว่างคีร์กีซสถานและทาจิกิสถานนับตั้งแต่ได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1991 เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนของประชาชนในพื้นที่ชายแดน โดยมีรายงานการพลัดถิ่นและความเสียหายต่อทรัพย์สิน ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2022 การปะทะกันด้วยอาวุธ รวมถึงการใช้ปืนใหญ่ ได้ปะทุขึ้นตามแนวชายแดนส่วนใหญ่ระหว่างคีร์กีซสถานและทาจิกิสถานอีกครั้ง ตอกย้ำถึงความท้าทายในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเรื่องพรมแดนและความจำเป็นในการปกป้องสิทธิของพลเรือนที่ได้รับผลกระทบ
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2020 ประธานาธิบดีโซโรนบัย เจนเบกัฟลาออกจากตำแหน่งหลังจากการประท้วงที่เกิดจากความไม่ปกติในการเลือกตั้งรัฐสภาเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2020 การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนี้นำไปสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนมกราคม ค.ศ. 2021 ซึ่งซาดือร์ จาปารัฟได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ด้วยคะแนนเสียงถล่มทลาย ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2021 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ได้อนุมัติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในการลงประชามติรัฐธรรมนูญ ซึ่งให้อำนาจใหม่แก่ประธานาธิบดี และเสริมสร้างอำนาจของประธานาธิบดีอย่างมีนัยสำคัญ การเปลี่ยนแปลงนี้ก่อให้เกิดข้อกังวลในหมู่ผู้สังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยเกี่ยวกับการรวมอำนาจไว้ที่ฝ่ายบริหารและการลดทอนการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ
4. ภูมิศาสตร์

คีร์กีซสถานเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในเอเชียกลาง มีพรมแดนติดกับคาซัคสถาน จีน ทาจิกิสถาน และอุซเบกิสถาน ตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 39° ถึง 44° เหนือ และลองจิจูด 69° ถึง 81° ตะวันออก คีร์กีซสถานอยู่ห่างจากทะเลมากกว่าประเทศใด ๆ ในโลก และแม่น้ำทุกสายในประเทศไหลลงสู่ระบบระบายน้ำแบบปิดที่ไม่ไหลออกสู่ทะเล พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเป็นภูเขาสูงของเทือกเขาเทียนชาน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 80% ของประเทศ (ทำให้คีร์กีซสถานได้รับฉายาว่าเป็น "สวิตเซอร์แลนด์แห่งเอเชียกลาง") ส่วนที่เหลือเป็นหุบเขาและแอ่งกระทะ คีร์กีซสถานมีขนาดพื้นที่รวมประมาณ 199.95 K km2
4.1. ลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศ

ภูมิประเทศส่วนใหญ่ของคีร์กีซสถานเป็นภูเขาสูง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาเทียนชานและเทือกเขาปามีร์-อาลัย ยอดเขาที่สูงที่สุดคือยอดเขาเจงิชโชกูซู (Jengish Chokusu) ที่ความสูง 7.44 K m ซึ่งถือเป็นยอดเขาที่อยู่เหนือสุดของโลกที่มีความสูงเกิน 7.00 K m ลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูงทำให้มีหิมะตกหนักในฤดูหนาว ซึ่งนำไปสู่ปัญหาน้ำท่วมในฤดูใบไม้ผลิที่มักสร้างความเสียหายรุนแรงในพื้นที่ปลายน้ำ อย่างไรก็ตาม น้ำที่ไหลบ่าจากภูเขาก็ถูกนำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ
ภูมิอากาศของคีร์กีซสถานมีความหลากหลายตามภูมิภาค หุบเขาเฟอร์กานาทางตะวันตกเฉียงใต้มีภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อนและร้อนจัดในฤดูร้อน โดยมีอุณหภูมิสูงถึง 40 °C พื้นที่เชิงเขาทางตอนเหนือมีภูมิอากาศแบบอบอุ่น ส่วนเทือกเขาเทียนชานมีภูมิอากาศตั้งแต่แบบภูมิอากาศแบบภาคพื้นทวีปแห้งแล้งไปจนถึงภูมิอากาศแบบขั้วโลก ขึ้นอยู่กับระดับความสูง ในพื้นที่ที่หนาวเย็นที่สุด อุณหภูมิในฤดูหนาวจะลดลงต่ำกว่าจุดเยือกแข็งประมาณ 40 วัน และแม้แต่บางพื้นที่ที่เป็นทะเลทรายก็มีหิมะตกอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลานี้ ในพื้นที่ราบลุ่ม อุณหภูมิจะอยู่ระหว่างประมาณ -6 °C ในเดือนมกราคม ถึง 24 °C ในเดือนกรกฎาคม
หุบเขาที่ผู้คนอาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกและทิศเหนือมีภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน (Cs) ซึ่งมีฤดูร้อนที่แห้งแล้ง ซึ่งคล้ายกับสภาพอากาศในกรุงโรม ประเทศอิตาลี หรือซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา พื้นที่ภูเขามีภูมิอากาศแบบกึ่งอาร์กติก (Df) และพื้นที่สูงมากมีภูมิอากาศแบบเขตภูเขาสูง (H)
คีร์กีซสถานมีระบบนิเวศบนบกเจ็ดแห่ง: ป่าสนบนภูเขาเทียนชาน, ทุ่งหญ้าสเตปป์อัลไต-เทียนชานตะวันตก, ป่าโปร่งกิสซาโร-อัลไต, ทุ่งหญ้าสเตปป์แห้งแล้งเชิงเขาเทียนชาน, ทะเลทรายอัลไพน์และทุนดราปามีร์, ทุ่งหญ้าสเตปป์และทุ่งหญ้าบนภูเขาเทียนชาน และทะเลทรายตอนเหนือของเอเชียกลาง คีร์กีซสถานมีคะแนนเฉลี่ยดัชนีความสมบูรณ์ของภูมิทัศน์ป่าไม้ปี 2019 ที่ 8.86/10 ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 13 จาก 172 ประเทศทั่วโลก
4.1.1. ธารน้ำแข็งและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ธารน้ำแข็งในคีร์กีซสถานเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญสำหรับประเทศและภูมิภาคเอเชียกลางโดยรวม อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธารน้ำแข็งเหล่านี้ ทำให้อัตราการละลายเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงทางน้ำในระยะยาว ปริมาณน้ำที่ลดลงจากธารน้ำแข็งที่ละลายอาจส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม การผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ และระบบนิเวศโดยรวม นอกจากนี้ การละลายของธารน้ำแข็งยังเพิ่มความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มในพื้นที่ภูเขา ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อชุมชนและโครงสร้างพื้นฐาน ปัญหาเหล่านี้ต้องการการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อลดผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมในอนาคต
4.2. ทะเลสาบและแม่น้ำที่สำคัญ

ทะเลสาบอิสซิค-คุล (Ysyk-Köl ในภาษาคีร์กีซ) ในเทือกเขาเทียนชานทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในคีร์กีซสถาน และเป็นทะเลสาบภูเขาที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากทะเลสาบติติกากา แม่น้ำสายหลักคือแม่น้ำคาราดาเรีย ซึ่งไหลไปทางตะวันตกผ่านหุบเขาเฟอร์กานาเข้าสู่อุซเบกิสถาน เมื่อข้ามพรมแดนในอุซเบกิสถาน แม่น้ำนี้จะบรรจบกับแม่น้ำสายสำคัญอีกสายหนึ่งของคีร์กีซสถานคือแม่น้ำนารึน การบรรจบกันของแม่น้ำทั้งสองสายก่อให้เกิดแม่น้ำซีร์ดาเรีย ซึ่งเดิมทีไหลลงสู่ทะเลอารัล อย่างไรก็ตาม ณ ปี ค.ศ. 2010 แม่น้ำสายนี้ไม่สามารถไหลไปถึงทะเลได้อีกต่อไป เนื่องจากน้ำถูกผันไปใช้ในการชลประทานไร่ฝ้ายในทาจิกิสถาน อุซเบกิสถาน และทางตอนใต้ของคาซัคสถาน แม่น้ำชูยังไหลผ่านคีร์กีซสถานเป็นระยะทางสั้น ๆ ก่อนที่จะเข้าสู่คาซัคสถาน
4.3. ดินแดนส่วนแยกและดินแดนแทรก
คีร์กีซสถานมีดินแดนส่วนแยก (enclave) และดินแดนแทรก (exclave) ที่ซับซ้อน อันเป็นผลมาจากการแบ่งเขตแดนในสมัยโซเวียต ซึ่งมักไม่สอดคล้องกับการกระจายตัวของกลุ่มชาติพันธุ์หรือลักษณะทางภูมิศาสตร์ ดินแดนเหล่านี้ก่อให้เกิดความท้าทายในด้านการบริหารจัดการ การเดินทาง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศเพื่อนบ้าน
- ดินแดนแทรกของคีร์กีซสถาน (Kyrgyz Exclave):
- หมู่บ้านบารัค (Barak) เป็นดินแดนแทรกขนาดเล็กของคีร์กีซสถาน มีประชากรประมาณ 627 คน ตั้งอยู่ในหุบเขาเฟอร์กานา ล้อมรอบด้วยดินแดนของอุซเบกิสถาน ตั้งอยู่บนถนนจากออช (คีร์กีซสถาน) ไปยังโคจาอาบัด (อุซเบกิสถาน) ห่างจากพรมแดนคีร์กีซ-อุซเบกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 4 km ในทิศทางของอันดีจัน บารัคอยู่ภายใต้การบริหารของเขตกะรา-ซู ในแคว้นออชของคีร์กีซสถาน
- ดินแดนส่วนแยกของอุซเบกิสถานในคีร์กีซสถาน (Uzbek Enclaves in Kyrgyzstan):
- มีดินแดนส่วนแยกของอุซเบกิสถานสี่แห่งตั้งอยู่ภายในคีร์กีซสถาน สองแห่งที่สำคัญคือ:
- ซอฆ (Sokh) มีพื้นที่ประมาณ 325 km2 และมีประชากร 42,800 คนในปี 1993 (บางประมาณการสูงถึง 70,000 คน) โดยประชากรส่วนใหญ่ 99% เป็นชาวทาจิก ส่วนที่เหลือเป็นชาวอุซเบก
- ชาฮิมาร์ดัน (Shakhimardan) (หรือที่รู้จักในชื่อ Shohimardon หรือ Shah-i-Mardan) มีพื้นที่ 90 km2 และมีประชากร 5,100 คนในปี 1993 โดย 91% เป็นชาวอุซเบก และอีก 9% เป็นชาวคีร์กีซ
- อีกสองแห่งเป็นดินแดนขนาดเล็กคือ ชอง-คารา (Chong-Kara) (ยาวประมาณ 3 km กว้าง 1 km) และจังงือ-อัยอึล (Jangy-ayyl) (เป็นจุดที่ดินขนาดเล็กกว้างเพียงประมาณ 2 km ถึง 3 km) ชอง-คาราตั้งอยู่ริมแม่น้ำซอฆ ระหว่างพรมแดนอุซเบกและดินแดนส่วนแยกซอฆ จังงือ-อัยอึลอยู่ห่างจากบัตเกนไปทางตะวันออกประมาณ 60 km ในส่วนที่ยื่นออกมาทางเหนือของพรมแดนคีร์กีซ-อุซเบกใกล้กับคัลมิออน
- ดินแดนส่วนแยกของทาจิกิสถานในคีร์กีซสถาน (Tajik Enclaves in Kyrgyzstan):
- มีดินแดนส่วนแยกสองแห่งของทาจิกิสถานบนพรมแดนคีร์กีซ-ทาจิก คือ:
- โวรุฆ (Vorukh) มีพื้นที่ระหว่าง 95 km2 ถึง 130 km2 และมีประชากรประมาณ 23,000 ถึง 29,000 คน โดย 95% เป็นชาวทาจิกและ 5% เป็นชาวคีร์กีซ ตั้งอยู่กระจายกันใน 17 หมู่บ้าน และอยู่ห่างจากอิสฟาราไปทางใต้ประมาณ 45 km บนฝั่งขวาของแม่น้ำคารัฟชิน
- โลลาซอร์ (Lolazor) (หรือ Western Qalacha หรือ Kayragach) เป็นชุมชนขนาดเล็กใกล้กับสถานีรถไฟไครากัชของคีร์กีซสถาน
สถานการณ์ดินแดนส่วนแยกและดินแดนแทรกเหล่านี้มักเป็นสาเหตุของความตึงเครียดและข้อพิพาทเกี่ยวกับทรัพยากร (โดยเฉพาะน้ำและที่ดิน) และการเข้าถึงพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว และเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนในความสัมพันธ์ระหว่างคีร์กีซสถานกับอุซเบกิสถานและทาจิกิสถาน
- มีดินแดนส่วนแยกสองแห่งของทาจิกิสถานบนพรมแดนคีร์กีซ-ทาจิก คือ:
- มีดินแดนส่วนแยกของอุซเบกิสถานสี่แห่งตั้งอยู่ภายในคีร์กีซสถาน สองแห่งที่สำคัญคือ:
5. การเมือง


คีร์กีซสถานเป็นสาธารณรัฐระบบประธานาธิบดีแบบรัฐเดี่ยว หลังจากได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1991 ประเทศได้ผ่านช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลายครั้ง รวมถึงการปฏิวัติและการประท้วงที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงผู้นำและรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันซึ่งผ่านการลงประชามติในปี ค.ศ. 2021 ได้เพิ่มอำนาจให้กับประธานาธิบดีอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ระบบการเมืองเปลี่ยนจากระบบรัฐสภา (หลังการปฏิวัติทิวลิปปี ค.ศ. 2005) และระบบกึ่งประธานาธิบดีในเวลาต่อมา กลับไปสู่ระบบประธานาธิบดีที่เข้มแข็งขึ้นอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง แต่ก็ก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความสมดุลของอำนาจและการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยในระยะยาว
คีร์กีซสถานเป็นสมาชิกขององค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE) ซึ่งเป็นสมาพันธ์ของรัฐสมาชิก 57 รัฐที่มุ่งมั่นเพื่อสันติภาพ ความโปร่งใส และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในยูเรเชีย ในฐานะรัฐสมาชิก OSCEพันธกรณีระหว่างประเทศของคีร์กีซสถานอยู่ภายใต้การตรวจสอบตามอาณัติของคณะกรรมาธิการเฮลซิงกิแห่งสหรัฐอเมริกา
คีร์กีซสถานเป็นหนึ่งในห้าสิบประเทศในโลกที่มีระดับการรับรู้การทุจริตสูงที่สุด: ดัชนีการรับรู้การทุจริตปี 2016 สำหรับคีร์กีซสถานคือ 28 จาก 100 (0 = ทุจริตมากที่สุด, 100 = ทุจริตน้อยที่สุด)
5.1. โครงสร้างรัฐบาล
รัฐธรรมนูญฉบับปี ค.ศ. 1993 กำหนดรูปแบบการปกครองเป็นสาธารณรัฐสภาเดียวแบบประชาธิปไตย ฝ่ายบริหารประกอบด้วยประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรี รัฐสภาปัจจุบันเป็นแบบสภาเดียว ฝ่ายตุลาการประกอบด้วยศาลฎีกา ศาลท้องถิ่น และอัยการสูงสุด
หลังจากการลงประชามติรัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 2021 อำนาจของประธานาธิบดีได้รับการเสริมสร้างให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก ประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐและหัวหน้าฝ่ายบริหาร มีอำนาจในการแต่งตั้งและปลดนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาในบางกรณี) กำหนดนโยบายหลักของรัฐทั้งภายในและภายนอกประเทศ และเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด นายกรัฐมนตรีมีบทบาทเป็นหัวหน้ารัฐบาล รับผิดชอบการบริหารงานประจำวันของฝ่ายบริหารตามนโยบายที่ประธานาธิบดีกำหนด
รัฐสภา (โจกอร์กุ เกเงช) เป็นองค์กรนิติบัญญัติระบบสภาเดียว ปัจจุบันมีสมาชิก 90 คน (ลดลงจากเดิม 120 คนหลังการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี ค.ศ. 2021) มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน มีหน้าที่หลักในการออกกฎหมาย อนุมัติงบประมาณ และตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการมีความเป็นอิสระ ประกอบด้วยศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลสูงสุด ศาลรัฐธรรมนูญ (ซึ่งเคยถูกยุบไปแล้วจัดตั้งขึ้นใหม่) และศาลระดับล่างต่าง ๆ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีความพยายามปฏิรูปโครงสร้างรัฐบาลหลายครั้งเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างอำนาจของประธานาธิบดีและรัฐสภา แต่แนวโน้มล่าสุดชี้ไปที่การเสริมสร้างอำนาจของฝ่ายบริหาร ซึ่งเป็นประเด็นที่นักวิเคราะห์และองค์กรสิทธิมนุษยชนจับตามองอย่างใกล้ชิดถึงผลกระทบต่อการพัฒนาประชาธิปไตยและการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจในประเทศ
5.2. พรรคการเมืองหลักและแนวโน้มทางการเมือง

การเมืองของคีร์กีซสถานมีลักษณะเป็นระบบหลายพรรคการเมือง แต่พรรคการเมืองมักจะรวมตัวกันหลวม ๆ และขึ้นอยู่กับบุคคลสำคัญมากกว่าอุดมการณ์ที่ชัดเจน พรรคการเมืองที่สำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้แก่:
- พรรคสังคมประชาธิปไตยคีร์กีซสถาน (Social Democratic Party of Kyrgyzstan - SDPK): เคยเป็นพรรคที่มีบทบาทสำคัญและเป็นฐานอำนาจของอดีตประธานาธิบดี อัลมาซเบก อาตัมบาเยฟ และ โซโรนบัย เจนเบกัฟ
- พรรคอาตา-จูร์ต คีร์กีซสถาน (Ata-Jurt Kyrgyzstan): เป็นพรรคแนวชาตินิยม มีฐานเสียงสำคัญทางภาคใต้ของประเทศ และเป็นหนึ่งในพรรคที่สนับสนุนประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ซาดือร์ จาปารัฟ
- พรรคเมเคนชิล (Mekenchil Party): เป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยซาดือร์ จาปารัฟ และเป็นฐานอำนาจหลักของเขา
- พรรคเรสปูบลิกา-อาตา จูร์ต (Respublika-Ata Zhurt): เคยเป็นพรรคผสมที่ทรงอิทธิพล แต่ต่อมาได้แยกตัวออก
- พรรคบูตุน คีร์กีซสถาน (Butun Kyrgyzstan): เป็นพรรคฝ่ายค้านที่สำคัญพรรคหนึ่ง
- พรรคบีร์ โบล (Bir Bol): เป็นพรรคสายกลางที่มักเข้าร่วมรัฐบาลผสม
แนวโน้มทางการเมืองในปัจจุบันของคีร์กีซสถานมีลักษณะเด่นดังนี้:
1. การเสริมสร้างอำนาจประธานาธิบดี: หลังการลงประชามติรัฐธรรมนูญปี ค.ศ. 2021 อำนาจของประธานาธิบดีซาดือร์ จาปารัฟ ได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการถดถอยของระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่เคยพยายามสร้างขึ้น
2. ความเปราะบางของพรรคการเมือง: พรรคการเมืองมักขาดความมั่นคงทางสถาบัน และการเมืองมักขับเคลื่อนด้วยบุคคลและความจงรักภักดีในระดับภูมิภาคหรือกลุ่มผลประโยชน์ มากกว่าอุดมการณ์ทางการเมืองที่ชัดเจน
3. ความท้าทายต่อเสถียรภาพ: แม้ว่าประธานาธิบดีจาปารัฟจะได้รับความนิยมสูง แต่ประเทศยังคงเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ สังคม และความตึงเครียดในระดับภูมิภาค ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองในระยะยาว
4. อิทธิพลจากภายนอก: คีร์กีซสถานยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับรัสเซีย และมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่อจีนผ่านโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง อิทธิพลจากมหาอำนาจเหล่านี้ส่งผลต่อทิศทางการเมืองภายในประเทศด้วย
5. ความกังวลด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย: การจำกัดเสรีภาพสื่อและการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวล และถูกจับตามองโดยประชาคมระหว่างประเทศ

โดยรวมแล้ว การเมืองคีร์กีซสถานยังคงอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยมีความพยายามสร้างเสถียรภาพภายใต้การนำของประธานาธิบดีที่เข้มแข็ง แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างอำนาจ การพัฒนาประชาธิปไตย และการเคารพสิทธิมนุษยชน
5.3. สิทธิมนุษยชน
สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในคีร์กีซสถานยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวล แม้จะมีความพยายามในการสร้างสถาบันประชาธิปไตยหลังได้รับเอกราช ปัญหาสำคัญที่ได้รับการกล่าวถึงจากองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและนักเคลื่อนไหวในประเทศ ได้แก่:
1. เสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพสื่อ: มีรายงานการจำกัดเสรีภาพสื่อ การคุกคามนักข่าวและนักเคลื่อนไหว และการใช้กฎหมายเพื่อปิดปากผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2024 องค์กรสื่ออิสระ คลูപ് (Kloop) ถูกศาลสั่งปิด ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมากทั้งในและต่างประเทศเกี่ยวกับเสรีภาพของสื่อ
2. สิทธิของชนกลุ่มน้อยและกลุ่มเปราะบาง: ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ โดยเฉพาะระหว่างชาวคีร์กีซและชาวอุซเบกทางตอนใต้ของประเทศในปี ค.ศ. 2010 ยังคงเป็นบาดแผลทางสังคม มีรายงานการจับกุมผู้นำศาสนาและชุมชนชาวอุซเบก รวมถึงนักข่าวและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน อาซิมจัน อัสคารอฟ ซึ่งต่อมาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตและเสียชีวิตในเรือนจำในปี ค.ศ. 2020 กรณีของเขากลายเป็นสัญลักษณ์ของการขาดความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรมและการเลือกปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อย
3. สิทธิสตรี: แม้จะมีความก้าวหน้าในบางด้าน แต่สตรีในคีร์กีซสถานยังคงเผชิญกับความรุนแรงในครอบครัวและการลักพาตัวเจ้าสาว (bride kidnapping หรือ "อะลา คาชู") ซึ่งแม้จะผิดกฎหมายแต่ยังคงเกิดขึ้น ในปี ค.ศ. 2013 รัฐสภาเคยผ่านกฎหมายที่จำกัดการเดินทางไปต่างประเทศของสตรีอายุต่ำกว่า 23 ปีโดยไม่มีผู้ปกครอง ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการละเมิดสิทธิสตรี
4. สิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+): กลุ่ม LGBTQ+ เผชิญกับการเลือกปฏิบัติและการคุกคามอย่างกว้างขวาง ในปี ค.ศ. 2014 มีความพยายามผ่านกฎหมายที่คล้ายกับกฎหมาย "ต่อต้านการโฆษณาชวนเชื่อพฤติกรรมรักร่วมเพศ" ของรัสเซีย ซึ่งสร้างความกังวลในหมู่นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน
5. ความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการและการเข้าถึงความยุติธรรม: ระบบตุลาการยังคงถูกมองว่าอ่อนแอและมีแนวโน้มที่จะถูกแทรกแซงทางการเมือง การเข้าถึงความยุติธรรมที่เป็นธรรมยังคงเป็นความท้าทายสำหรับประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ด้อยโอกาส
6. การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายในเรือนจำ: มีรายงานการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายต่อผู้ต้องขังในสถานควบคุมตัวของรัฐ
คีร์กีซสถานถูกจัดอยู่ในกลุ่ม "ระบอบกึ่งอำนาจนิยม" (hybrid regime) ตามดัชนีประชาธิปไตย และถูกจัดอันดับ "ไม่เสรี" (Not Free) ในรายงานเสรีภาพในโลกขององค์กร Freedom House ในปีล่าสุด ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายที่ยังคงมีอยู่ในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงในประเทศ จากมุมมองสังคมนิยมเสรีนิยม การเคารพและส่งเสริมสิทธิของพลเมืองทุกคน โดยเฉพาะชนกลุ่มน้อยและกลุ่มเปราะบาง รวมถึงการสร้างหลักประกันด้านเสรีภาพขั้นพื้นฐาน เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นธรรมของประเทศ
6. เขตการปกครอง
ประเทศคีร์กีซสถานแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 7 จังหวัด (облустарโอบลัสตาร์ภาษาคีร์กีซ) และ 2 นครอิสระ* (шаарชาร์ภาษาคีร์กีซ) ที่มีสถานะเทียบเท่าจังหวัด นครอิสระ ได้แก่ กรุงบิชเคก (เมืองหลวง) และเมืองออช (เมืองใหญ่อันดับสอง) แต่ละจังหวัดจะแบ่งย่อยออกเป็นอำเภอ (райондорรายอนดอร์ภาษาคีร์กีซ) ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 44 อำเภอ อำเภอต่าง ๆ จะแบ่งย่อยลงไปอีกเป็นเขตบริหารระดับตำบล ซึ่งรวมถึงชุมชนชนบททั้งหมด (айыл өкмөтүอัยอึล เออกเมอทือภาษาคีร์กีซ) และหมู่บ้านที่ไม่มีรัฐบาลเทศบาลที่เกี่ยวข้อง
แต่ละจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัด (акимอาคิมภาษาคีร์กีซ) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ส่วนนายอำเภอได้รับการแต่งตั้งจากผู้ว่าราชการจังหวัด
จังหวัดและนครอิสระของคีร์กีซสถาน มีดังนี้ (ชื่อศูนย์กลางการปกครองอยู่ในวงเล็บ):
# กรุงบิชเคก*
## เขตเลนิน
## เขตออคเตียบร์
## เขตบีรินชีไม
## เขตสเวียร์ดลอฟ
# แคว้นบัตเกน (ศูนย์กลาง: บัตเกน)
## เขตบัตเกน
## เขตกะดัมไจ
## เขตเลย์เลค
# แคว้นชึย (ศูนย์กลาง: กรุงบิชเคก)
## เขตอาลามึดึน
## เขตชึย
## เขตไจยึล
## เขตเคมิน
## เขตมอสควา
## เขตปันฟีลอฟ
## เขตโซโคลุค
## เขตอือซึก-อาตา
# แคว้นจาลาลาบัต (ศูนย์กลาง: จาลาลาบัต)
## เขตอักซือ
## เขตอาลา-บูกา
## เขตบาซาร์-คอร์กอน
## เขตชัดคัล
## เขตโนเกน
## เขตซูซัค
## เขตโทกุซ-โทโร
## เขตทอกโทกุล
# แคว้นนารึน (ศูนย์กลาง: นารึน)
## เขตอัค-ทาลา
## เขตอัต-บาชือ
## เขตจุมกัล
## เขตคอชคอร์
## เขตนารึน
# แคว้นออช (ศูนย์กลาง: ออช)
## เขตอาลัย
## เขตอาราวัน
## เขตชอง-อาลัย
## เขตกะรา-คูลจา
## เขตกะรา-ซู
## เขตโนคัต
## เขตเอิซเกิน
# แคว้นทาลัส (ศูนย์กลาง: ทาลัส)
## เขตบาไค-อาตา
## เขตกะรา-บูรา
## เขตมานัส
## เขตทาลัส
# แคว้นอีซึก-เกิล (ศูนย์กลาง: คาราคอล)
## เขตอัค-ซู
## เขตอีซึก-เกิล
## เขตเจตี-เอิกึซ
## เขตตง
## เขตทึป
# ออช* (นครอิสระ)
ลักษณะเด่นของแต่ละเขตการปกครองมีความหลากหลายตามสภาพภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และสังคม เช่น แคว้นชึยและกรุงบิชเคกเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการเมือง แคว้นออชและจาลาลาบัตทางตอนใต้มีประชากรหนาแน่นและมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูง แคว้นอีซึก-เกิลมีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวจากทะเลสาบอีซึก-เกิล ส่วนแคว้นนารึนและทาลัสมีลักษณะเป็นพื้นที่ภูเขาสูงและมีการเลี้ยงปศุสัตว์เป็นหลัก แคว้นบัตเกนทางตะวันตกเฉียงใต้สุดเผชิญกับความท้าทายจากปัญหาพรมแดนและดินแดนส่วนแยก
7. กองทัพและความมั่นคง
คีร์กีซสถานเผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงหลายประการ ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ นโยบายป้องกันประเทศมุ่งเน้นไปที่การรักษาอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และการรับมือกับภัยคุกคามต่าง ๆ เช่น การก่อการร้าย ลัทธิหัวรุนแรง อาชญากรรมข้ามชาติ และข้อพิพาทชายแดน ความร่วมมือกับองค์กรระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ เช่น องค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน (CSTO) และ องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) มีบทบาทสำคัญในยุทธศาสตร์ความมั่นคงของประเทศ
7.1. การทหาร
กองทัพสาธารณรัฐคีร์กีซก่อตั้งขึ้นหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ประกอบด้วย กองทัพบก กองทัพอากาศ กองกำลังภายใน กองกำลังพิทักษ์ชาติ และหน่วยยามชายแดน ตามข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ (เช่น IISS หรือรายงานของญี่ปุ่น) กำลังพลประจำการโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 11,000 นาย (กองทัพบกประมาณ 8,500 นาย และกองทัพอากาศประมาณ 2,500 นาย) นอกจากนี้ยังมีกำลังกึ่งทหารอีกประมาณ 9,500 นาย
กองทัพคีร์กีซสถานเคยร่วมงานกับกองทัพสหรัฐอเมริกา ซึ่งเช่าสถานที่ที่เรียกว่าศูนย์ขนส่งมานัส ณ ท่าอากาศยานนานาชาติมานัส ใกล้กรุงบิชเคก จนถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2014 ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กองทัพได้เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับรัสเซีย รวมถึงการลงนามในข้อตกลงปรับปรุงกองทัพมูลค่า 1.10 B USD และเข้าร่วมการฝึกซ้อมกับกองทหารรัสเซียบ่อยครั้งขึ้น นอกจากนี้ รัสเซียยังคงมีฐานทัพอากาศคานท์ (Kant Air Base) ในคีร์กีซสถาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายความมั่นคงของ CSTO
ความร่วมมือด้านกลาโหมระหว่างประเทศของคีร์กีซสถานส่วนใหญ่เน้นไปที่ประเทศสมาชิก CSTO และ SCO รวมถึงการเข้าร่วมการฝึกซ้อมทางทหารร่วมกันและการประสานงานด้านความมั่นคงในภูมิภาค
7.2. ความมั่นคงสาธารณะ
สถานการณ์ความมั่นคงสาธารณะในคีร์กีซสถานเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน อาชญากรรมยังคงเป็นปัญหาสำคัญ โดยเฉพาะอาชญากรรมประเภทลักทรัพย์ ฉกชิงวิ่งราว และการปล้นทรัพย์ นอกจากนี้ การทุจริตคอร์รัปชันในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐยังคงเป็นอุปสรรคต่อการบังคับใช้กฎหมายและความเชื่อมั่นของประชาชน
ปัญหาความมั่นคงที่สำคัญอื่น ๆ ได้แก่:
- การลักลอบค้ายาเสพติด: คีร์กีซสถานเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางลักลอบขนยาเสพติดจากอัฟกานิสถานไปยังรัสเซียและยุโรป
- ลัทธิหัวรุนแรงทางศาสนาและการก่อการร้าย: ภัยคุกคามจากกลุ่มหัวรุนแรงในภูมิภาคยังคงมีอยู่ แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามป้องกันและปราบปรามอย่างต่อเนื่อง
- ข้อพิพาทชายแดน: ความขัดแย้งเรื่องพรมแดนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะทาจิกิสถานและอุซเบกิสถาน ได้นำไปสู่การปะทะกันเป็นระยะ ๆ ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพของประชาชนในพื้นที่ชายแดน
- ความไม่สงบทางการเมืองและสังคม: ประวัติศาสตร์ความไม่มั่นคงทางการเมืองและการประท้วงในประเทศยังคงเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงสาธารณะ
รัฐบาลคีร์กีซสถานได้พยายามจัดการกับปัญหาเหล่านี้ผ่านการปฏิรูปหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย การเพิ่มความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ และการเสริมสร้างความมั่นคงตามแนวชายแดน อย่างไรก็ตาม ความพยายามเหล่านี้ยังคงเผชิญกับข้อจำกัดด้านทรัพยากรและการทุจริตคอร์รัปชัน การสร้างความมั่นคงสาธารณะที่ยั่งยืนจำเป็นต้องมีการปฏิรูปที่ครอบคลุม การเสริมสร้างหลักนิติธรรม และการแก้ไขปัญหาสังคมและเศรษฐกิจที่เป็นรากเหง้าของปัญหาอาชญากรรมและความไม่มั่นคง เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิต
8. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
นโยบายต่างประเทศของคีร์กีซสถานเน้นการรักษาสมดุลระหว่างประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะรัสเซียและจีน ขณะเดียวกันก็พยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียกลาง ประเทศตะวันตก และองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมผลประโยชน์แห่งชาติและความมั่นคงในภูมิภาค คีร์กีซสถานเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศหลายแห่ง เช่น องค์การสหประชาชาติ (UN) องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) องค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน (CSTO) สหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย (EAEU) องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) และองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE)
ความสัมพันธ์กับรัสเซียยังคงเป็นเสาหลักสำคัญของนโยบายต่างประเทศคีร์กีซสถาน โดยมีความร่วมมือที่ใกล้ชิดทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการทหาร รัสเซียเป็นคู่ค้าสำคัญ ผู้ลงทุนรายใหญ่ และเป็นที่พึ่งพิงด้านความมั่นคงผ่านกรอบ CSTO และการมีฐานทัพรัสเซียในประเทศ ในขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์กับจีนก็มีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจผ่านโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) ซึ่งจีนเป็นผู้ลงทุนหลักในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หลายโครงการในคีร์กีซสถาน อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาจีนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นและการหลั่งไหลเข้ามาของชาวจีนได้ก่อให้เกิดความกังวลและกระแสต่อต้านจีนในหมู่ประชาชนบางส่วน
คีร์กีซสถานพยายามรักษาความเป็นกลางและส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศตะวันตก รวมถึงสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป โดยเฉพาะในด้านการส่งเสริมประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และการพัฒนาเศรษฐกิจ ประเทศยังคงเปิดรับความช่วยเหลือและโครงการความร่วมมือจากนานาชาติเพื่อแก้ไขปัญหาภายในประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
ประเด็นข้อพิพาทชายแดนกับทาจิกิสถานและอุซเบกิสถานยังคงเป็นความท้าทายสำคัญในความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งนำไปสู่ความตึงเครียดและการปะทะกันเป็นระยะ ๆ การแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างสันติและยั่งยืนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเสถียรภาพในภูมิภาค คีร์กีซสถานให้ความสำคัญกับการเจรจาและการทูตเพื่อหาทางออกร่วมกัน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของทุกฝ่ายและประเด็นด้านมนุษยธรรมของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
8.1. ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านและองค์กรระหว่างประเทศที่สำคัญ
คีร์กีซสถานมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับประเทศเพื่อนบ้านและมีบทบาทในองค์กรระหว่างประเทศที่สำคัญหลายแห่ง ดังนี้:
- รัสเซีย: รัสเซียยังคงเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของคีร์กีซสถาน ทั้งสองประเทศมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในด้านการเมือง เศรษฐกิจ การทหาร และวัฒนธรรม คีร์กีซสถานเป็นสมาชิกของสหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย (EAEU) และองค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน (CSTO) ซึ่งนำโดยรัสเซีย รัสเซียมีฐานทัพอากาศคานท์ในคีร์กีซสถาน และเป็นแหล่งเงินส่งกลับที่สำคัญจากแรงงานชาวคีร์กีซที่ไปทำงานในรัสเซีย
- จีน: จีนเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะผ่านโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง จีนเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในโครงสร้างพื้นฐานของคีร์กีซสถาน และเป็นคู่ค้าสำคัญ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้มีความท้าทาย เช่น ปัญหาหนี้สินที่คีร์กีซสถานมีต่อจีน และความกังวลของประชาชนบางส่วนเกี่ยวกับการเข้ามาของชาวจีนและอิทธิพลทางเศรษฐกิจที่มากเกินไป
- คาซัคสถาน: คาซัคสถานเป็นประเทศเพื่อนบ้านทางตอนเหนือและเป็นคู่ค้าสำคัญอีกประเทศหนึ่ง ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่ใกล้ชิด และเป็นสมาชิกของ EAEU ร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งก็มีความตึงเครียดเกิดขึ้นบ้างเกี่ยวกับประเด็นการค้าและพรมแดน
- อุซเบกิสถาน: อุซเบกิสถานเป็นประเทศเพื่อนบ้านทางตะวันตก และมีความสัมพันธ์ที่พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลังจากช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดเกี่ยวกับปัญหาพรมแดน ทรัพยากรน้ำ และชนกลุ่มน้อยชาวอุซเบกในคีร์กีซสถาน การแก้ไขปัญหาพรมแดนที่ค้างคาและการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเป็นประเด็นสำคัญในความสัมพันธ์ทวิภาคี
- ทาจิกิสถาน: ความสัมพันธ์กับทาจิกิสถานทางตะวันตกเฉียงใต้มีความตึงเครียดเป็นระยะ ๆ เนื่องจากข้อพิพาทเรื่องพรมแดนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งนำไปสู่การปะทะกันด้วยอาวุธหลายครั้ง ส่งผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ชายแดน การเจรจาเพื่อกำหนดเขตแดนยังคงดำเนินต่อไป
- องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO): คีร์กีซสถานเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง SCO ซึ่งเป็นองค์กรความมั่นคงระดับภูมิภาคที่สำคัญ โดยมีรัสเซียและจีนเป็นแกนนำ SCO มุ่งเน้นความร่วมมือในการต่อต้านการก่อการร้าย การแบ่งแยกดินแดน และลัทธิหัวรุนแรง รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม
- องค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน (CSTO): ในฐานะสมาชิก CSTO คีร์กีซสถานมีความร่วมมือทางทหารกับรัสเซียและประเทศสมาชิกอื่น ๆ เพื่อรับประกันความมั่นคงร่วมกัน
- สหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย (EAEU): การเป็นสมาชิก EAEU เปิดโอกาสให้คีร์กีซสถานเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ของรัสเซีย คาซัคสถาน และประเทศสมาชิกอื่น ๆ แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายในการปรับตัวให้เข้ากับกฎระเบียบและมาตรฐานของสหภาพ
- สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป: คีร์กีซสถานยังคงรักษาความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก โดยได้รับความช่วยเหลือด้านการพัฒนา การส่งเสริมประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน สหรัฐฯ เคยมีฐานทัพอากาศมานัสในคีร์กีซสถาน ซึ่งใช้สนับสนุนปฏิบัติการในอัฟกานิสถานจนถึงปี ค.ศ. 2014
- ญี่ปุ่น: ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศผู้บริจาครายสำคัญให้แก่คีร์กีซสถาน โดยให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โครงสร้างพื้นฐาน และการเกษตร ศูนย์พัฒนาทรัพยากรมนุษย์คีร์กีซ-ญี่ปุ่น (Kyrgyz-Japan Center for Human Development) ในกรุงบิชเคกเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือนี้
คีร์กีซสถานดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบ "หลายทิศทาง" (multi-vector foreign policy) เพื่อสร้างสมดุลระหว่างมหาอำนาจและรักษาผลประโยชน์ของตนเองในเวทีระหว่างประเทศ
9. เศรษฐกิจ


เศรษฐกิจของคีร์กีซสถานเป็นเศรษฐกิจเปลี่ยนผ่านที่ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการนับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากสหภาพโซเวียต ประเทศนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง โดย ธนาคารแห่งชาติสาธารณรัฐคีร์กีซทำหน้าที่เป็นธนาคารกลาง คีร์กีซสถานเป็นประเทศที่ยากจนเป็นอันดับเก้าในอดีตสหภาพโซเวียต และปัจจุบันเป็นประเทศที่ยากจนเป็นอันดับสองในเอเชียกลางรองจากทาจิกิสถาน ในปี ค.ศ. 2019 ประมาณ 22.4% ของประชากรอาศัยอยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจน ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมและความจำเป็นในการพัฒนาเศรษฐกิจที่ครอบคลุม
แม้จะได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้กู้รายใหญ่จากตะวันตก เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) คีร์กีซสถานก็ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจหลังได้รับเอกราช ในช่วงแรก ปัญหาเหล่านี้เป็นผลมาจากการล่มสลายของกลุ่มการค้าโซเวียตและการสูญเสียตลาด ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนผ่านของสาธารณรัฐไปสู่เศรษฐกิจแบบอุปสงค์ รัฐบาลได้ลดรายจ่าย ยุติการอุดหนุนราคาสินค้าส่วนใหญ่ และนำภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้ โดยรวมแล้ว รัฐบาลดูเหมือนจะมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจแบบตลาด ผ่านการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการปฏิรูป รัฐบาลพยายามสร้างรูปแบบการเติบโตที่สอดคล้องกันในระยะยาว การปฏิรูปนำไปสู่การเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ของคีร์กีซสถานเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1998
เศรษฐกิจคีร์กีซได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตและการสูญเสียตลาดขนาดใหญ่ ในปี ค.ศ. 1990 ประมาณ 98% ของการส่งออกของคีร์กีซไปยังส่วนอื่น ๆ ของสหภาพโซเวียต ดังนั้น ผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงต้นทศวรรษ 1990 จึงแย่กว่าสาธารณรัฐโซเวียตในอดีตอื่น ๆ ยกเว้นอาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจาน และทาจิกิสถาน ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม เนื่องจากโรงงานและฟาร์มของรัฐล่มสลายลงพร้อมกับการหายไปของตลาดดั้งเดิมในอดีตสหภาพโซเวียต แม้ว่าผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจจะดีขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998 แต่ความยากลำบากยังคงมีอยู่ในการ 확보รายได้ทางการคลังที่เพียงพอและการจัดหาเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคมที่เพียงพอ เงินส่งกลับจากแรงงานชาวคีร์กีซประมาณ 800,000 คนที่ทำงานในรัสเซียมีส่วนช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เงินส่งกลับได้ลดลง
ภาคเกษตรกรรมเป็นภาคส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ ภูมิประเทศที่เป็นภูเขาเอื้อต่อการเลี้ยงปศุสัตว์ ซึ่งเป็นกิจกรรมทางการเกษตรที่ใหญ่ที่สุด ดังนั้น ขนสัตว์ เนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์นมจึงเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญ พืชผลหลัก ได้แก่ ข้าวสาลี หัวบีต มันฝรั่ง ฝ้าย ยาสูบ ผัก และผลไม้ การแปรรูปสินค้าเกษตรเป็นองค์ประกอบสำคัญของเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่น่าสนใจที่สุดสำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ คีร์กีซสถานอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรแร่ธาตุ แต่มีปริมาณสำรองปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติเล็กน้อย ทำให้ต้องนำเข้าสินค้าเหล่านี้ ท่ามกลางปริมาณสำรองแร่ธาตุ มีแหล่งสะสมที่สำคัญของถ่านหิน ทองคำ ยูเรเนียม พลวง และโลหะมีค่าอื่น ๆ โลหะวิทยาเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญ และรัฐบาลหวังที่จะดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติในสาขานี้ รัฐบาลได้สนับสนุนการมีส่วนร่วมของต่างชาติในการสกัดและแปรรูปทองคำจากเหมืองทองคำคุมตอร์และภูมิภาคอื่น ๆ ทรัพยากรน้ำที่อุดมสมบูรณ์ของประเทศและภูมิประเทศที่เป็นภูเขาช่วยให้สามารถผลิตและส่งออกไฟฟ้าพลังน้ำปริมาณมาก
ในด้านโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม สาธารณรัฐคีร์กีซอยู่ในอันดับสุดท้ายในเอเชียกลางตามดัชนีความพร้อมของเครือข่าย (NRI) ของ สภาเศรษฐกิจโลก ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำหรับกำหนดระดับการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศ สาธารณรัฐคีร์กีซอยู่ในอันดับที่ 118 โดยรวมในการจัดอันดับ NRI ปี 2014 ไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 2013
การระบาดใหญ่ของโควิด-19 คาดว่าจะส่งผลกระทบทางลบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจคีร์กีซ ซึ่งพึ่งพาภาคบริการ เงินส่งกลับ และทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและรักษาความก้าวหน้าในการพัฒนาส่วนใหญ่ที่ทำได้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ธนาคารโลกจะให้การสนับสนุนโดยการจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการหลายโครงการในประเทศ
ผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมจากการพัฒนาเศรษฐกิจยังคงเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณา การทำเหมืองแร่ โดยเฉพาะเหมืองทองคำขนาดใหญ่ อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่นหากไม่มีการกำกับดูแลที่ดี การส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและครอบคลุม ซึ่งคำนึงถึงความเป็นธรรมทางสังคมและการปกป้องสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งสำคัญสำหรับอนาคตของคีร์กีซสถาน
9.1. โครงสร้างเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมหลัก

เศรษฐกิจของคีร์กีซสถานมีโครงสร้างที่พึ่งพาภาคเกษตรกรรม เหมืองแร่ และภาคบริการเป็นหลัก โดยมีอุตสาหกรรมการผลิตในระดับที่จำกัด
- เกษตรกรรม: ยังคงเป็นภาคส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจ โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 12-15% ของ GDP และมีการจ้างงานจำนวนมาก (ประมาณครึ่งหนึ่งของกำลังแรงงานในปี 2002 แต่ลดลงในปัจจุบัน) ภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูงเอื้ออำนวยต่อการเลี้ยงปศุสัตว์ เช่น แกะ แพะ และจามรี ทำให้ผลิตภัณฑ์จากปศุสัตว์ เช่น ขนสัตว์ เนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์นม เป็นสินค้าสำคัญ พืชเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ ฝ้าย ยาสูบ ข้าวสาลี มันฝรั่ง หัวบีต ผัก และผลไม้ เนื่องจากราคาเคมีเกษตรและปิโตรเลียมนำเข้าที่สูง เกษตรกรจำนวนมากยังคงทำการเกษตรด้วยมือและใช้แรงงานสัตว์เหมือนในอดีต ประเด็นด้านสิทธิแรงงานในภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้แรงงานเด็กและความปลอดภัยในการทำงาน ยังคงเป็นความท้าทาย นอกจากนี้ การทำการเกษตรในพื้นที่สูงชันอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การชะล้างพังทลายของดิน
- การทำเหมืองแร่: คีร์กีซสถานมีทรัพยากรแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะทองคำ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลัก เหมืองทองคำคุมตอร์เป็นหนึ่งในเหมืองทองคำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียกลางและมีบทบาทสำคัญต่อรายได้ของประเทศ นอกจากทองคำแล้ว ยังมีแหล่งถ่านหิน พลวง ปรอท และยูเรเนียม อุตสาหกรรมโลหะวิทยาจึงมีความสำคัญ อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมเหมืองแร่มักเผชิญกับข้อวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปนเปื้อนของน้ำและดิน และความขัดแย้งกับชุมชนท้องถิ่นในประเด็นการแบ่งปันผลประโยชน์และความโปร่งใสในการดำเนินงาน ความเท่าเทียมทางสังคมในการกระจายรายได้จากทรัพยากรธรรมชาติเป็นอีกประเด็นที่สำคัญ
- อุตสาหกรรมการผลิต: มีขนาดค่อนข้างเล็กและส่วนใหญ่เน้นการแปรรูปสินค้าเกษตร เช่น สิ่งทอ อาหารแปรรูป นอกจากนี้ยังมีการผลิตปูนซีเมนต์ เครื่องเรือน และเครื่องจักรขนาดเล็ก อุตสาหกรรมการผลิตเผชิญกับความท้าทายจากการแข่งขันจากสินค้านำเข้าและเทคโนโลยีที่ล้าสมัย
- ภาคบริการ: มีสัดส่วนที่สำคัญมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจ รวมถึงการค้าปลีก การขนส่ง การท่องเที่ยว และบริการทางการเงิน การส่งเงินกลับประเทศจากแรงงานชาวคีร์กีซที่ทำงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะรัสเซียและคาซัคสถาน เป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญสำหรับครัวเรือนจำนวนมากและมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ
- พลังงาน: คีร์กีซสถานมีศักยภาพสูงในการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำจากทรัพยากรน้ำที่อุดมสมบูรณ์และภูมิประเทศที่เป็นภูเขา ทำให้สามารถส่งออกไฟฟ้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้ อย่างไรก็ตาม ประเทศยังต้องพึ่งพาการนำเข้าปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ
ประเด็นด้านสิทธิแรงงาน ความเท่าเทียมทางสังคม และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมยังคงเป็นความท้าทายในหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจคีร์กีซสถาน การส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและคำนึงถึงมิติเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและประเทศในระยะยาว
9.2. การค้า
การค้าของคีร์กีซสถานสะท้อนถึงโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติและภาคเกษตรกรรม โดยมีประเทศเพื่อนบ้านและมหาอำนาจในภูมิภาคเป็นคู่ค้าหลัก
- สินค้าส่งออกที่สำคัญ:
- ทองคำ: เป็นสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าสูงสุดและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อรายได้จากการส่งออกของประเทศ
- โลหะนอกกลุ่มเหล็กและแร่ธาตุอื่น ๆ: เช่น ปรอท พลวง
- ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร: เช่น ฝ้าย ยาสูบ ขนสัตว์ เนื้อสัตว์ ผลไม้ และผัก
- พลังงานไฟฟ้า: จากโรงไฟฟ้าพลังน้ำ
- สิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป
- สินค้าวิศวกรรมบางประเภท
- สินค้านำเข้าที่สำคัญ:
- ปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ: เนื่องจากประเทศมีปริมาณสำรองในประเทศจำกัด
- โลหะกลุ่มเหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ
- เคมีภัณฑ์
- เครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ
- ผลิตภัณฑ์จากไม้และกระดาษ
- อาหารสำเร็จรูปบางชนิด
- วัสดุก่อสร้าง
- ประเทศคู่ค้าหลัก:
- รัสเซีย: เป็นคู่ค้าที่สำคัญทั้งในด้านการส่งออกและนำเข้า โดยเฉพาะสินค้าพลังงานและสินค้าอุปโภคบริโภค
- จีน: มีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในฐานะคู่ค้า โดยเป็นทั้งตลาดส่งออกและแหล่งนำเข้าสินค้าหลากหลายประเภท โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมและเครื่องจักร
- คาซัคสถาน: เป็นคู่ค้าสำคัญในภูมิภาค มีการค้าชายแดนที่คึกคัก
- อุซเบกิสถาน: เป็นคู่ค้าสำคัญอีกประเทศในเอเชียกลาง โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและพลังงาน
- ตุรกี: มีความสัมพันธ์ทางการค้าที่แน่นแฟ้น โดยเฉพาะสินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
- เยอรมนีและประเทศในสหภาพยุโรปอื่น ๆ: เป็นตลาดส่งออกสำหรับสินค้าบางประเภท เช่น ทองคำและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร
- สวิตเซอร์แลนด์: เป็นตลาดส่งออกทองคำที่สำคัญ
คีร์กีซสถานเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก (WTO) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998 และเป็นสมาชิกของสหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย (EAEU) ซึ่งเอื้ออำนวยต่อการค้ากับประเทศสมาชิกอื่น ๆ เช่น รัสเซียและคาซัคสถาน นโยบายการค้าระหว่างประเทศมุ่งเน้นการส่งเสริมการส่งออก การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค อย่างไรก็ตาม การค้าของประเทศยังเผชิญกับความท้าทายจากปัญหาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งที่จำกัด การทุจริตคอร์รัปชัน และความไม่แน่นอนทางการเมือง
9.3. การท่องเที่ยว


การท่องเที่ยวเป็นภาคส่วนที่มีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจของคีร์กีซสถาน ด้วยภูมิประเทศที่สวยงาม วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ และประวัติศาสตร์อันยาวนาน
- แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ:
- ทะเลสาบอิสซิค-คุล: เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกในกลุ่มทะเลสาบภูเขา (รองจากทะเลสาบติติกากา) และเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่สุดของประเทศ มีชื่อเสียงด้านทัศนียภาพที่งดงาม น้ำทะเลสาบใสสะอาด และชายหาดหลายแห่ง เมืองชอลปอน-อาตาและหมู่บ้านใกล้เคียง เช่น คารา-ออย (โดลินกา) บอสเตรี และโครึมดือ เป็นที่ตั้งของโรงแรม รีสอร์ต และบ้านพักจำนวนมากตามแนวชายฝั่งทางเหนือ
- เทือกเขาเทียนชานและเทือกเขาปามีร์-อาลัย: ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการเดินป่า ปีนเขา และกิจกรรมกลางแจ้งอื่น ๆ ภูมิประเทศที่หลากหลายตั้งแต่ทุ่งหญ้าอัลไพน์ไปจนถึงยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจ
- กรุงบิชเคก: เมืองหลวงของประเทศ มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เช่น พิพิธภัณฑ์ ตลาด (เช่น ตลาดออช) และจัตุรัสอะลา-ทู
- ออช: เมืองใหญ่อันดับสองและเป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียกลาง มีภูเขาสุไลมาน-ทูซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก และตลาดที่คึกคัก
- คาราคอล: เมืองทางตะวันออกของทะเลสาบอิสซิค-คุล มีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ เช่น มัสยิดดันกันและโบสถ์ออร์โธดอกซ์ไม้
- เส้นทางสายไหม: คีร์กีซสถานเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมในอดีต และมีแหล่งโบราณสถาน เช่น หอคอยบูรานาและคาราวานสไลน์ทัชราบัต ที่สะท้อนถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์นี้
- สถานการณ์อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว:
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของคีร์กีซสถานเคยเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีนักท่องเที่ยวมากกว่าหนึ่งล้านคนต่อปีมาเยือนทะเลสาบอิสซิค-คุลในปี ค.ศ. 2006 และ ค.ศ. 2007 อย่างไรก็ตาม ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมืองในภูมิภาคได้ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลคีร์กีซสถานพยายามส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การท่องเที่ยวชุมชน และการท่องเที่ยวเชิงผจญภัย
คีร์กีซสถานเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ในอดีตสหภาพโซเวียตที่ยกเลิกวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจากหลายประเทศ รวมถึงยุโรปและญี่ปุ่น เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว- ศักยภาพในการพัฒนา:
คีร์กีซสถานมีศักยภาพสูงในการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้เติบโตยิ่งขึ้น การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและที่พัก การส่งเสริมการตลาดในระดับสากล การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวที่หลากหลาย และการรักษาความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกและสร้างรายได้ให้กับประเทศ การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมท้องถิ่นจะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาภาคการท่องเที่ยวในระยะยาว
10. การคมนาคมขนส่ง

ระบบการคมนาคมขนส่งในคีร์กีซสถานเผชิญกับข้อจำกัดอย่างมากจากลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูง ถนนส่วนใหญ่ต้องคดเคี้ยวไปตามหุบเขาสูงชัน ข้ามผ่านช่องเขาที่ระดับความสูง 3.00 K m หรือมากกว่า และมักประสบปัญหาน้ำป่าไหลหลากและหิมะถล่ม การเดินทางในฤดูหนาวแทบจะเป็นไปไม่ได้ในหลายพื้นที่ที่ห่างไกลและอยู่บนที่สูง
ปัญหาเพิ่มเติมมาจากการที่ถนนและทางรถไฟหลายสายที่สร้างขึ้นในสมัยโซเวียต ปัจจุบันถูกตัดผ่านด้วยพรมแดนระหว่างประเทศ ทำให้ต้องเสียเวลาในการผ่านพิธีการศุลกากร หรือบางเส้นทางก็ถูกปิดโดยสิ้นเชิง ม้ายังคงเป็นทางเลือกในการขนส่งที่ใช้กันมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่ห่างไกล โครงสร้างพื้นฐานด้านถนนของคีร์กีซสถานยังไม่ครอบคลุม ทำให้ม้าสามารถเข้าถึงสถานที่ที่ยานยนต์ไม่สามารถเข้าถึงได้ และไม่ต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงนำเข้าราคาแพง
10.1. การคมนาคมทางถนน

เครือข่ายถนนในคีร์กีซสถานยังคงอยู่ในระหว่างการพัฒนา แม้ว่าจะมีความพยายามในการปรับปรุงและขยายเส้นทางสายหลักต่าง ๆ ด้วยการสนับสนุนจากธนาคารพัฒนาเอเชีย ถนนสายสำคัญที่เชื่อมระหว่างภาคเหนือและภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ จากเมืองหลวงกรุงบิชเคกไปยังออชได้ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการคมนาคมระหว่างศูนย์กลางประชากรหลักสองแห่งของประเทศได้อย่างมาก คือ หุบเขาชึยทางตอนเหนือและหุบเขาเฟอร์กานาทางตอนใต้ ถนนสายย่อยจากเส้นทางนี้แยกออกไปข้ามช่องเขาสูง 3.50 K m เข้าสู่หุบเขาทาลัสทางตะวันตกเฉียงเหนือ ขณะนี้กำลังมีการวางแผนสร้างถนนสายหลักจากออชไปยังประเทศจีน
- ระยะทางรวม: ประมาณ 34.00 K km (รวมทางด่วนประมาณ 140 km)
- ถนนลาดยาง: ประมาณ 22.60 K km (รวมถนนบางสายที่ปูด้วยกรวดทุกสภาพอากาศ)
- ถนนไม่ลาดยาง: ประมาณ 7.70 K km (ถนนเหล่านี้เป็นดินที่ไม่มั่นคงและยากต่อการสัญจรในสภาพอากาศเปียกชื้น) (ข้อมูลปี 1990)
การเดินทางภายในประเทศส่วนใหญ่อาศัยรถยนต์ส่วนตัว รถแท็กซี่ร่วม (shared taxi) และรถมินิบัสที่เรียกว่า มาร์ชรูทคา (marshrutka) ซึ่งเป็นรูปแบบการขนส่งสาธารณะที่ได้รับความนิยมและมีราคาไม่แพง สามารถเดินทางได้ทั้งในเมืองและระหว่างเมืองต่าง ๆ ส่วนการเดินทางระหว่างประเทศทางถนนสามารถทำได้ผ่านจุดผ่านแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน ทาจิกิสถาน และจีน โดยมีบริการรถโดยสารระหว่างประเทศไปยังเมืองใหญ่ ๆ เช่น อัลมาเตอ ทาชเคนต์ มอสโก และอุรุมชี
10.2. การคมนาคมทางราง

หุบเขาชึยทางตอนเหนือและหุบเขาเฟอร์กานาทางตอนใต้เป็นจุดสิ้นสุดของระบบรางรถไฟของสหภาพโซเวียตในเอเชียกลาง หลังจากการเกิดขึ้นของรัฐเอกราชหลังยุคโซเวียต เส้นทางรถไฟที่สร้างขึ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงขอบเขตการบริหารถูกตัดขาดด้วยพรมแดน ทำให้การจราจรทางรถไฟลดลงอย่างมาก ส่วนเล็ก ๆ ของเส้นทางรถไฟภายในคีร์กีซสถาน ซึ่งมีความยาวรวมประมาณ 370 km (ใช้รางขนาด 1.52 K mm หรือ รางรถไฟขนาดกว้าง) มีมูลค่าทางเศรษฐกิจน้อยมากหากไม่มีการขนส่งสินค้าจำนวนมากในระยะทางไกลไปยังและจากศูนย์กลางต่าง ๆ เช่น ทาชเคนต์ อัลมาเตอ และเมืองต่าง ๆ ในรัสเซียเหมือนในอดีต
เส้นทางรถไฟภายในประเทศที่สำคัญเชื่อมต่อเมืองหลวงกรุงบิชเคกกับเมืองคารา-บัลตาทางตะวันตก และเมืองบาลึคชือทางตะวันออกริมทะเลสาบอิสซิค-คุล นอกจากนี้ยังมีบริการรถไฟระหว่างประเทศจากบิชเคกไปยังรัสเซียและคาซัคสถาน
ในปี ค.ศ. 2022 ได้เริ่มการก่อสร้างส่วนต่อขยายทางรถไฟสายใหม่ระยะทาง 186 km จากบาลึคชือไปยังคารา-เคเช โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อขนส่งถ่านหินจากเหมืองที่คารา-เคเชไปยังกรุงบิชเคก และในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2023 เส้นทางรถไฟระหว่างบาลึคชือและบิชเคกได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ
มีแผนการก่อสร้างทางรถไฟจีน-คีร์กีซสถาน-อุซเบกิสถาน (CKU) ระยะทาง 523 km ซึ่งประกาศในปี ค.ศ. 2022 ประกอบด้วย 213 km ในจีน 260 km ในคีร์กีซสถาน และ 50 km ในอุซเบกิสถาน ทางรถไฟสายนี้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน มีแผนจะเชื่อมต่อจากคัชการ์ผ่านด่านโตรูการ์ตไปยังจาลาลาบัต และต่อไปยังเมืองอันดีจันของอุซเบกิสถาน คาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2025 โครงการนี้มีศักยภาพในการเพิ่มความเชื่อมโยงทางรถไฟระหว่างประเทศของคีร์กีซสถานอย่างมีนัยสำคัญ และอาจส่งผลดีต่อการค้าและการขนส่งในภูมิภาค แต่ก็มีความท้าทายในด้านการเงินและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ต้องพิจารณา
การเชื่อมต่อทางรถไฟกับประเทศเพื่อนบ้าน:
- คาซัคสถาน: มี (เชื่อมต่อที่สาขาบิชเคก) - ขนาดรางเท่ากัน
- อุซเบกิสถาน: มี (เชื่อมต่อที่สาขาออช) - ขนาดรางเท่ากัน
- ทาจิกิสถาน: ไม่มี - ขนาดรางเท่ากัน (หากมีการเชื่อมต่อ)
- จีน: ไม่มี - การเปลี่ยนขนาดราง (1524 มม. กับ 1435 มม.)
10.3. การคมนาคมทางอากาศ

ในช่วงปลายยุคโซเวียต มีสนามบินและลานบินประมาณ 50 แห่งในคีร์กีซสถาน ซึ่งหลายแห่งสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางทหารเป็นหลักในภูมิภาคชายแดนที่ใกล้กับจีน ปัจจุบันมีเพียงไม่กี่แห่งที่ยังคงให้บริการอยู่ สายการบินคีร์กีซสถานให้บริการขนส่งทางอากาศไปยังจีน รัสเซีย และประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค
- ท่าอากาศยานนานาชาติมานัส ใกล้กรุงบิชเคก เป็นท่าอากาศยานนานาชาติหลัก มีเที่ยวบินไปยังมอสโก ทาชเคนต์ อัลมาเตอ อุรุมชี อิสตันบูล บากู และดูไบ
- ท่าอากาศยานออช เป็นท่าอากาศยานหลักทางตอนใต้ของประเทศ มีเที่ยวบินเชื่อมต่อรายวันไปยังบิชเคก และบริการไปยังมอสโก ครัสโนยาสค์ อัลมาเตอ และสถานที่ระหว่างประเทศอื่น ๆ
- ท่าอากาศยานจาลาลาบัต เชื่อมต่อกับบิชเคกด้วยเที่ยวบินรายวัน สายการบินแห่งชาติ คีร์กีซสถาน ให้บริการเที่ยวบินด้วยเครื่องบิน BAe-146 ในช่วงฤดูร้อน มีเที่ยวบินรายสัปดาห์เชื่อมต่อจาลาลาบัตกับภูมิภาคอีซึก-เกิล
- สิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่สร้างขึ้นในยุคโซเวียตถูกปิดตัวลง ใช้เป็นครั้งคราว หรือจำกัดการใช้งานทางทหาร (เช่น ฐานทัพอากาศคานท์ ใกล้บิชเคก ซึ่งกองทัพอากาศรัสเซียใช้งานอยู่)
คีร์กีซสถานปรากฏอยู่ในรายชื่อประเทศที่ถูกห้ามสำหรับการรับรองสายการบินของสหภาพยุโรป ซึ่งหมายความว่าไม่มีสายการบินใดที่จดทะเบียนในคีร์กีซสถานสามารถให้บริการใด ๆ ภายในสหภาพยุโรปได้ เนื่องจากมาตรฐานความปลอดภัยไม่เป็นไปตามข้อบังคับของยุโรป
11. สังคม
สังคมคีร์กีซสถานเป็นสังคมที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม โดยได้รับอิทธิพลจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของการเป็นทางผ่านของอารยธรรมต่าง ๆ และการเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชนเผ่าเร่ร่อนยังคงมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมและค่านิยมของสังคม ควบคู่ไปกับการปรับตัวเข้ากับความเป็นสมัยใหม่และความท้าทายทางสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน
11.1. ประชากร

จำนวนประชากรของคีร์กีซสถานโดยประมาณอยู่ที่ 6,586,600 คน ณ เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2020 (ข้อมูลจากคณะกรรมการสถิติแห่งชาติสาธารณรัฐคีร์กีซ) หรือประมาณ 7,161,900 คน ณ ปี ค.ศ. 2024 (ประมาณการล่าสุด) ลักษณะทางประชากรศาสตร์ที่สำคัญ ได้แก่:
- โครงสร้างอายุ: ประชากรค่อนข้าง trẻ โดยประมาณ 34.4% มีอายุต่ำกว่า 15 ปี และ 6.2% มีอายุมากกว่า 65 ปี (ข้อมูลปี 2020)
- ความหนาแน่นของประชากร: โดยเฉลี่ยประมาณ 25 คนต่อตารางกิโลเมตร แต่การกระจายตัวของประชากรไม่สม่ำเสมอ ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในหุบเขาและที่ราบลุ่ม
- ความเป็นเมือง: คีร์กีซสถานยังคงเป็นประเทศที่มีลักษณะชนบท โดยมีประชากรเพียงประมาณหนึ่งในสามที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง อัตราการขยายตัวของเมืองกำลังเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ
- ดัชนีความหิวโหยโลก (GHI): ในปี ค.ศ. 2024 คีร์กีซสถานมีคะแนน GHI อยู่ที่ 6.8 อยู่ในอันดับที่ 36 จาก 127 ประเทศที่มีข้อมูลเพียงพอ ระดับความหิวโหยจัดอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดทางสังคมที่ดี
11.1.1. กลุ่มชาติพันธุ์

คีร์กีซสถานเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ โดยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 80 กลุ่มอาศัยอยู่ร่วมกัน สัดส่วนของกลุ่มชาติพันธุ์หลักตามข้อมูลล่าสุด (ประมาณการปี ค.ศ. 2024 จากคณะกรรมการสถิติแห่งชาติ) มีดังนี้:
- ชาวคีร์กีซ: เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลักและเป็นกลุ่มชนเตอร์กิก คิดเป็นประมาณ 77.8% ของประชากรทั้งหมด ชาวคีร์กีซในอดีตเป็นชนเผ่ากึ่งเร่ร่อน เลี้ยงปศุสัตว์ เช่น แกะ ม้า และจามรี อาศัยอยู่ในกระโจมทรงกลมที่เรียกว่า เยิร์ท ประเพณีการย้ายถิ่นตามฤดูกาล (transhumance) โดยการพาฝูงสัตว์ไปยังทุ่งหญ้าบนภูเขาสูง (หรือ ไจลู) ในฤดูร้อนยังคงปฏิบัติกันอยู่
- ชาวอุซเบก: เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่เป็นอันดับสอง คิดเป็นประมาณ 14.2% ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ โดยเฉพาะในหุบเขาเฟอร์กานา ชาวอุซเบกมีประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานและทำการเกษตรในพื้นที่ราบลุ่มที่มีการชลประทานมาอย่างยาวนาน
- ชาวรัสเซีย: คิดเป็นประมาณ 3.8% ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในภาคเหนือและในเมืองใหญ่ ๆ เช่น กรุงบิชเคก จำนวนชาวรัสเซียลดลงอย่างมากนับตั้งแต่คีร์กีซสถานได้รับเอกราช เนื่องจากการย้ายถิ่นออก
- กลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ: รวมถึงชาวดันกัน (1.0%) ชาวทาจิก (0.9%) ชาวอุยกูร์ (0.5%) ชาวคาซัค (0.4%) ชาวยูเครน และกลุ่มชาติพันธุ์ขนาดเล็กอื่น ๆ
นับตั้งแต่ได้รับเอกราช คีร์กีซสถานมีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางชาติพันธุ์อย่างเห็นได้ชัด สัดส่วนของชาวคีร์กีซเพิ่มขึ้นจากประมาณ 50% ในปี ค.ศ. 1979 เป็นกว่า 70% ในปี ค.ศ. 2013 (และเกือบ 78% ในปี 2024) ในขณะที่สัดส่วนของกลุ่มชาติพันธุ์ยุโรป เช่น รัสเซีย ยูเครน เยอรมัน และตาตาร์ ลดลงจาก 35% เหลือประมาณ 7% ชาวเยอรมันจำนวนมาก ซึ่งเคยมีจำนวนถึง 101,000 คนในปี ค.ศ. 1989 ได้อพยพไปยังเยอรมนี
การอยู่ร่วมกันระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ โดยทั่วไปเป็นไปด้วยดี แต่ก็เคยเกิดความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ที่รุนแรง โดยเฉพาะเหตุการณ์ปะทะระหว่างชาวคีร์กีซและชาวอุซเบกในภาคใต้ปี ค.ศ. 1990 และ ค.ศ. 2010 ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อสิทธิมนุษยชนและความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน การสร้างความเข้าใจและความสมานฉันท์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับประเทศ รัฐบาลพยายามส่งเสริมนโยบายพหุวัฒนธรรมและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่กลุ่มชนกลุ่มน้อยบางกลุ่มยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติและความเสียเปรียบทางเศรษฐกิจและสังคม การเคารพสิทธิของชนกลุ่มน้อยและการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมกันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืนและเป็นธรรมในคีร์กีซสถาน
กลุ่มชาติพันธุ์ | คีร์กีซ | อุซเบก | รัสเซีย | ยูเครน | |
---|---|---|---|---|---|
สำมะโนปี 1926 | จำนวน | 661,171 | 110,463 | 116,436 | 64,128 |
% | 66.6% | 11.1% | 11.7% | 6.5% | |
สำมะโนปี 1959 | จำนวน | 836,831 | 218,640 | 623,562 | 137,031 |
% | 40.5% | 10.6% | 30.2% | 6.6% | |
สำมะโนปี 1989 | จำนวน | 2,229,663 | 550,096 | 916,558 | 108,027 |
% | 52.4% | 12.9% | 21.5% | 2.5% | |
สำมะโนปี 1999 | จำนวน | 3,128,147 | 664,950 | 603,201 | 50,442 |
% | 64.9% | 13.8% | 12.5% | 1.0% | |
สำมะโนปี 2009 | จำนวน | 3,804,788 | 768,405 | 419,583 | 21,924 |
% | 70.9% | 14.3% | 7.8% | 0.4% | |
สำมะโนปี 2022 | จำนวน | 5,379,020 | 986,881 | 282,777 | 3,875 |
% | 77.6% | 14.2% | 4.1% | 0.1% | |
ประมาณการปี 2024 | จำนวน | 5,570,910 | 1,017,658 | 274,940 | 2,783 |
% | 77.8% | 14.2% | 3.8% | 0.0% |
11.1.2. ภาษา

คีร์กีซสถานมีภาษาราชการสองภาษาคือ ภาษาคีร์กีซและภาษารัสเซีย
- ภาษาคีร์กีซ เป็นภาษาประจำชาติและเป็นภาษาราชการหลัก จัดอยู่ในกลุ่มภาษาเตอร์กิก สาขากลุ่มภาษาเคียปชัก มีความใกล้ชิดกับภาษาคาซัค ภาษาคาราคาลปัค และภาษาโนไก ในอดีต ภาษาคีร์กีซเขียนด้วยอักษรอาหรับจนถึงศตวรรษที่ 20 ต่อมามีการนำอักษรละตินมาใช้ในปี ค.ศ. 1928 ตามคำสั่งของสตาลิน และถูกแทนที่ด้วยอักษรซีริลลิก (ดัดแปลงสำหรับภาษาคีร์กีซ) ในปี ค.ศ. 1941 ซึ่งยังคงใช้อยู่ในปัจจุบันในคีร์กีซสถาน อย่างไรก็ตาม อักษรเปอร์โซ-อาหรับที่ปฏิรูปแล้วซึ่งสร้างโดยปัญญาชนและนักวิทยาศาสตร์ชาวคีร์กีซ คาซึม ทือนึสตานัฟ เป็นอักษรราชการของภาษาคีร์กีซในสาธารณรัฐประชาชนจีน
- ภาษารัสเซีย เป็นภาษาราชการร่วม และยังคงมีบทบาทสำคัญในการติดต่อธุรกิจ การเมือง การศึกษา และการสื่อสารระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะในเขตเมืองและภาคเหนือของประเทศ ประชากรส่วนใหญ่สามารถเข้าใจและพูดภาษารัสเซียได้ในระดับหนึ่ง สื่อโทรทัศน์ของรัสเซียได้รับความนิยมอย่างมากในคีร์กีซสถาน โดยเฉพาะในกรุงบิชเคกและแคว้นชึยที่ได้รับอิทธิพลจากรัสเซียอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าสัดส่วนชาวรัสเซียในปัจจุบันจะลดลงจากปี 1989 ก็ตาม สื่อของรัสเซียมีอิทธิพลอย่างมากต่อความคิดเห็นของสาธารณชนในคีร์กีซสถาน โดยเฉพาะในด้านสิทธิมนุษยชนและการเมืองระหว่างประเทศ
สถานการณ์การใช้ภาษามีความซับซ้อน แม้จะมีความพยายามส่งเสริมการใช้ภาษาคีร์กีซในทุกภาคส่วน แต่ภาษารัสเซียยังคงมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะในด้านการศึกษาและการทำงาน มีโรงเรียนที่ใช้ภาษารัสเซียเป็นสื่อการสอนจำนวนมาก ซึ่งบางแห่งได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิของรัสเซียและมีงบประมาณดีกว่าโรงเรียนที่ใช้ภาษาคีร์กีซ ทำให้ชาวคีร์กีซจำนวนมากเลือกเรียนในโรงเรียนที่ใช้ภาษารัสเซีย นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าชาวคีร์กีซจำนวนไม่น้อยเปลี่ยนชื่อสกุลเป็นแบบรัสเซียเพื่อโอกาสทางอาชีพที่ดีขึ้น หรือเพื่อหลีกเลี่ยงบัญชีดำของรัสเซีย (ผู้ที่จะถูกเนรเทศเมื่อเดินทางเข้าประเทศ) โดยการลงทะเบียนด้วยชื่อที่แตกต่างกัน
การประชุมรัฐสภาส่วนใหญ่ในปัจจุบันใช้ภาษาคีร์กีซ โดยมีบริการแปลภาษาสำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจภาษาคีร์กีซ ในปี ค.ศ. 2023 มีข้อเสนอให้เปลี่ยนการเขียนภาษาคีร์กีซจากอักษรซีริลลิกเป็นอักษรละตินเพื่อให้สอดคล้องกับประเทศที่พูดภาษาเตอร์กิกอื่น ๆ แต่ประธานาธิบดีซาดือร์ จาปารัฟได้ชี้แจงว่าคีร์กีซสถานไม่มีแผนที่จะเปลี่ยนอักษรซีริลลิกในขณะนั้น หลังจากรัสเซียระงับการส่งออกผลิตภัณฑ์นมไปยังคีร์กีซสถานซึ่งถูกมองว่าเป็นการตอบโต้ข้อเสนอดังกล่าว
นอกจากภาษาคีร์กีซและรัสเซียแล้ว ยังมีการใช้ภาษาของชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ในชุมชนของตน เช่น ภาษาอุซเบก (ซึ่งเป็นภาษาแม่ที่มีผู้พูดมากเป็นอันดับสาม) ภาษาดันกัน ภาษาอุยกูร์ และภาษาทาจิก
11.1.3. ศูนย์กลางเมือง
คีร์กีซสถานมีเมืองหลักหลายแห่งที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมของแต่ละภูมิภาค ลักษณะทางประชากรและสังคมของเมืองเหล่านี้มีความหลากหลาย:
- กรุงบิชเคก (Бишкекภาษาคีร์กีซ): เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ มีประชากรประมาณ 1,074,075 คน (ข้อมูลปี 2021) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือในหุบเขาชึย บิชเคกเป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และวัฒนธรรมของประเทศ มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูง โดยมีชาวคีร์กีซ ชาวรัสเซีย และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ อาศัยอยู่ร่วมกัน ภาษารัสเซียยังคงใช้กันอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวัน
- ออช (Ошภาษาคีร์กีซ): เป็นเมืองใหญ่อันดับสอง มีประชากรประมาณ 322,164 คน (ข้อมูลปี 2021) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ในหุบเขาเฟอร์กานา และเป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียกลาง ออชเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่สำคัญของภาคใต้ มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวอุซเบกและชาวคีร์กีซ ภูเขาสุไลมาน-ทูซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโกตั้งอยู่ในเมืองนี้
- จาลาลาบัต (Жалал-Абадภาษาคีร์กีซ): เป็นเมืองหลักของแคว้นจาลาลาบัตทางตะวันตกเฉียงใต้ มีประชากรประมาณ 123,239 คน (ข้อมูลปี 2021) เป็นศูนย์กลางการเกษตรและอุตสาหกรรมเบา มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์เช่นกัน
- คาราคอล (Караколภาษาคีร์กีซ): เป็นเมืองหลักของแคว้นอีซึก-เกิลทางตะวันออก มีประชากรประมาณ 84,351 คน (ข้อมูลปี 2021) ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบอิสซิค-คุล และเป็นฐานสำหรับการท่องเที่ยวในภูมิภาค มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ เช่น มัสยิดดันกันและโบสถ์ออร์โธดอกซ์ไม้
- ทอกมอก (Токмокภาษาคีร์กีซ): ตั้งอยู่ในแคว้นชึย มีประชากรประมาณ 71,443 คน (ข้อมูลปี 2021) เคยเป็นศูนย์กลางทางทหารและอุตสาหกรรมในสมัยโซเวียต ใกล้กับหอคอยบูรานาซึ่งเป็นแหล่งโบราณสถานที่สำคัญ
- เอิซเกิน (Өзгөнภาษาคีร์กีซ): ตั้งอยู่ในแคว้นออช มีประชากรประมาณ 62,802 คน (ข้อมูลปี 2021) เป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่มีสถาปัตยกรรมโบราณ เช่น สุสานหลวงคาราข่านิด
- คารา-บัลตา (Кара-Балтаภาษาคีร์กีซ): ตั้งอยู่ในแคว้นชึย มีประชากรประมาณ 48,278 คน (ข้อมูลปี 2021) เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเหมืองแร่
- บาลึคชือ (Балыкчыภาษาคีร์กีซ): ตั้งอยู่ทางตะวันตกของทะเลสาบอิสซิค-คุลในแคว้นอีซึก-เกิล มีประชากรประมาณ 42,875 คน (ข้อมูลปี 2021) เป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางน้ำและการประมง
- นารึน (Нарынภาษาคีร์กีซ): เป็นเมืองหลักของแคว้นนารึนทางตอนกลางของประเทศ มีประชากรประมาณ 41,178 คน (ข้อมูลปี 2021) ตั้งอยู่ในพื้นที่ภูเขาสูง เป็นศูนย์กลางการเลี้ยงปศุสัตว์
- ทาลัส (Таласภาษาคีร์กีซ): เป็นเมืองหลักของแคว้นทาลัสทางตะวันตกเฉียงเหนือ มีประชากรประมาณ 40,308 คน (ข้อมูลปี 2021) เป็นศูนย์กลางการเกษตร
เมืองเหล่านี้เป็นศูนย์กลางการบริหาร การค้า และบริการสำหรับประชากรในแต่ละภูมิภาค และสะท้อนถึงความหลากหลายทางภูมิศาสตร์และสังคมของคีร์กีซสถาน
อันดับ | นคร | แคว้น/นครอิสระ | ประชากร (2021) | รูปภาพ |
---|---|---|---|---|
1 | บิชเคก | บิชเคก | 1,074,075 | ![]() |
2 | ออช | แคว้นออช | 322,164 | ![]() |
3 | จาลาลาบัต | แคว้นจาลาลาบัต | 123,239 | ![]() |
4 | คาราคอล | แคว้นอีซึก-เกิล | 84,351 | ![]() |
5 | ทอกมอก | แคว้นชึย | 71,443 | |
6 | เอิซเกิน | แคว้นออช | 62,802 | |
7 | คารา-บัลตา | แคว้นชึย | 48,278 | |
8 | บาลึคชือ | แคว้นอีซึก-เกิล | 42,875 | |
9 | นารึน | แคว้นนารึน | 41,178 | |
10 | ทาลัส | แคว้นทาลัส | 40,308 |
11.2. ศาสนา
ศาสนาหลักในคีร์กีซสถานคือศาสนาอิสลาม โดยประชากรส่วนใหญ่ประมาณ 90% (ข้อมูลปี ค.ศ. 2017 จาก CIA World Factbook) หรือ 86.3% (ข้อมูลปี ค.ศ. 2009 จาก Pew Research Center) นับถือศาสนาอิสลาม ชาวมุสลิมส่วนใหญ่เป็นนิกายซุนนีย์และปฏิบัติตามแนวทางของมัซฮับฮะนะฟี แม้ว่าจากการสำรวจของ Pew ในปี ค.ศ. 2012 พบว่ามีเพียง 23% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่ระบุตนเองว่าเป็นซุนนีย์ ในขณะที่ 64% ตอบว่าเป็น "เพียงมุสลิม" นอกจากนี้ยังมีกลุ่มมุสลิมอะห์มะดียะห์จำนวนน้อย ซึ่งไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐ


แม้ว่าคีร์กีซสถานจะเป็นรัฐฆราวาสอย่างเป็นทางการ แต่ศาสนาอิสลามก็มีอิทธิพลเพิ่มมากขึ้นในการเมืองและสังคมนับตั้งแต่ได้รับเอกราช มีความพยายามในการฟื้นฟูคุณค่าทางศาสนา เช่น การจัดให้เจ้าหน้าที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ (การแสวงบุญไปยังมักกะฮ์) โดยได้รับการยกเว้นภาษี เบร์เมต์ อคาเยวา บุตรสาวของอดีตประธานาธิบดีอัสคาร์ อคาเยฟ เคยให้สัมภาษณ์ในปี ค.ศ. 2007 ว่าศาสนาอิสลามกำลังหยั่งรากลึกมากขึ้นทั่วประเทศ

มีการสร้างมัสยิดจำนวนมาก และชาวคีร์กีซหันมาอุทิศตนต่อศาสนาอิสลามมากขึ้น ซึ่งเธอเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีที่ช่วยให้สังคมมีศีลธรรมและสะอาดขึ้น นอกจากนี้ยังมีสำนักซูฟีร่วมสมัยที่ปฏิบัติตามรูปแบบอิสลามที่แตกต่างจากอิสลามดั้งเดิมอยู่บ้าง
ศาสนาที่มีผู้นับถือรองลงมาคือศาสนาคริสต์ ประมาณ 7% ของประชากร (ข้อมูลปี ค.ศ. 2017) โดยส่วนใหญ่เป็นคริสตจักรออร์ทอดอกซ์รัสเซีย (ประมาณ 3%) ซึ่งนับถือโดยชาวรัสเซียและชาวยูเครนเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีชุมชนพยานพระยะโฮวาประมาณ 5,000 ถึง 10,000 คน ซึ่งรวมตัวกันในประชาคมที่ใช้ทั้งภาษาคีร์กีซและรัสเซีย รวมถึงกลุ่มที่ใช้ภาษาจีนและตุรกีด้วย ชนกลุ่มน้อยชาวเยอรมันบางส่วนนับถือศาสนาคริสต์ ส่วนใหญ่เป็นนิกายลูเทอแรนและกลุ่มอนาแบปทิสต์ รวมถึงชุมชนคริสตจักรโรมันคาทอลิกที่มีสมาชิกประมาณ 600 คน ในปี ค.ศ. 2022 มีชาวเมนโนไนต์ประมาณ 200 คนในคีร์กีซสถาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชนกลุ่มน้อยชาวเยอรมันในคีร์กีซสถานในอดีต ชุมชนเมนโนไนต์แห่งหนึ่งยังคงอยู่ในหมู่บ้านร็อต-ฟรอนต์
ประเพณีความเชื่อในภูตผีวิญญาณบางอย่างยังคงหลงเหลืออยู่ เช่นเดียวกับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนา เช่น การผูกธงมนต์บนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าบางคนจะมองว่าการปฏิบัตินี้มีรากฐานมาจากศาสนาอิสลามนิกายซูฟีก็ตาม นอกจากนี้ยังมีชาวยิวบูคาราจำนวนน้อยอาศัยอยู่ในคีร์กีซสถาน แต่ในช่วงการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ส่วนใหญ่ได้อพยพไปยังประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล นอกจากนี้ยังมีชุมชนชาวยิวอัชเคนาซิจำนวนเล็กน้อยที่อพยพหนีมายังประเทศนี้จากยุโรปตะวันออกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 รัฐสภาคีร์กีซสถานได้ผ่านกฎหมายอย่างเป็นเอกฉันท์เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ศรัทธาขั้นต่ำสำหรับการยอมรับศาสนาจาก 10 คนเป็น 200 คน กฎหมายนี้ยังห้าม "การกระทำที่ก้าวร้าวเพื่อการเผยแผ่ศาสนา" และห้ามกิจกรรมทางศาสนาในโรงเรียนและกิจกรรมทั้งหมดขององค์กรที่ไม่ได้จดทะเบียน กฎหมายนี้ลงนามโดยประธานาธิบดีคูร์มานเบก บากีเยฟเมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2009 ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลในหมู่นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับเสรีภาพทางศาสนา มีรายงานการบุกตรวจค้นของตำรวจต่อการประชุมทางศาสนาของชนกลุ่มน้อยอย่างสันติหลายครั้ง รวมถึงรายงานการที่เจ้าหน้าที่สร้างหลักฐานเท็จ แต่ก็มีคำตัดสินของศาลบางส่วนที่เป็นประโยชน์ต่อชนกลุ่มน้อยทางศาสนา
11.3. การศึกษา
ระบบการศึกษาในคีร์กีซสถานประกอบด้วยระดับประถมศึกษา (ชั้นปีที่ 1 ถึง 4 บางโรงเรียนมีชั้นปีที่ 0 เป็นทางเลือก) มัธยมศึกษา (ชั้นปีที่ 5 ถึง 9) และมัธยมศึกษาตอนปลาย (ชั้นปีที่ 10 ถึง 11) ภายในโรงเรียนเดียวกัน เด็ก ๆ มักจะเข้าเรียนระดับประถมศึกษาเมื่ออายุ 6 หรือ 7 ปี นักเรียนทุกคนจำเป็นต้องสำเร็จการศึกษาภาคบังคับ 9 ปีและได้รับประกาศนียบัตรสำเร็จการศึกษา ส่วนชั้นปีที่ 10-11 เป็นทางเลือก แต่จำเป็นต้องสำเร็จการศึกษาเพื่อรับประกาศนียบัตรระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่ได้รับการรับรองจากรัฐ ในการสำเร็จการศึกษา นักเรียนต้องจบหลักสูตร 11 ปีและผ่านการสอบของรัฐ 4 วิชาบังคับ ได้แก่ การเขียน คณิตศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภาษาต่างประเทศ
ณ ปี ค.ศ. 2023 มีโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาจำนวน 4,989 แห่งในประเทศ รวมถึง 445 แห่งในกรุงบิชเคก ส่วนใหญ่ (4,537 แห่ง) เป็นโรงเรียนรัฐบาล นอกจากนี้ ประเทศยังมีสถาบันอุดมศึกษาและมหาวิทยาลัย 58 แห่ง โดยเป็นสถาบันของรัฐ 42 แห่ง และสถาบันเอกชน 16 แห่ง ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2016 มหาวิทยาลัยเอเชียกลางได้เปิดทำการในเมืองนารึน ประเทศคีร์กีซสถาน
มีโรงเรียนที่ใช้ภาษารัสเซียเป็นสื่อการสอนหลายแห่งในบิชเคก ออช และพื้นที่อื่น ๆ เนื่องจากได้รับเงินทุนที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับโรงเรียนรัฐบาลที่ใช้ภาษาคีร์กีซ ทำให้ชาวคีร์กีซจำนวนมากเลือกเรียนในโรงเรียนเหล่านี้ ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2021 รัสเซียได้ประกาศแผนการที่จะสร้างโรงเรียนที่ใช้ภาษารัสเซียประมาณ 30 แห่งใหม่ในคีร์กีซสถาน และมีครูจากรัสเซียมาทำงานที่นี่ อย่างไรก็ตาม การมีอยู่ของโรงเรียนเหล่านี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น การศึกษาภาษารัสเซียมีข้อบกพร่องเมื่อเทียบกับโรงเรียนของตุรกีและอเมริกันในประเทศ และยังมีประเด็นที่ชาวคีร์กีซจำนวนมากที่เกิดหลังจากการประกาศเอกราชในปี ค.ศ. 1991 ไม่สามารถพูดภาษาคีร์กีซได้ แต่พูดได้เพียงภาษารัสเซีย ตามคำกล่าวของชาวเมืองบิชเคกคนหนึ่ง
คีร์กีซสถานมีห้องสมุด 1,066 แห่ง หอสมุดแห่งชาติสาธารณรัฐคีร์กีซเป็นห้องสมุดที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1934 ห้องสมุดในคีร์กีซสถานกำลังดำเนินการเพื่อขยายการเข้าถึงไปยังชุมชนต่าง ๆ ซึ่งเห็นได้จากโครงการต่าง ๆ เช่น การลงนามในสนธิสัญญามาร์ราเคช วีไอพี และพอร์ทัลการเข้าถึงแบบเปิด อัตราการรู้หนังสือโดยรวมของคีร์กีซสถานค่อนข้างสูง โดยในปี ค.ศ. 2004 อยู่ที่ 97.7%
11.4. สาธารณสุข
ระบบสาธารณสุขของคีร์กีซสถานเผชิญกับความท้าทายหลายประการนับตั้งแต่ได้รับเอกราช แม้ว่าจะมีความพยายามในการปฏิรูปและปรับปรุงบริการทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง ตัวชี้วัดด้านสาธารณสุขที่สำคัญยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคยุโรปขององค์การอนามัยโลกในหลายด้าน
- ระบบบริการทางการแพทย์: คีร์กีซสถานมีเครือข่ายสถานพยาบาลของรัฐครอบคลุมทั่วประเทศ ตั้งแต่สถานีอนามัยในระดับหมู่บ้านไปจนถึงโรงพยาบาลระดับจังหวัดและระดับชาติ อย่างไรก็ตาม สถานพยาบาลหลายแห่งโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทยังขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย และยาที่จำเป็น นอกจากนี้ยังมีสถานพยาบาลเอกชนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่
- ตัวชี้วัดด้านสาธารณสุข:
- อายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดอยู่ที่ประมาณ 71.9 ปี (ข้อมูลปี ค.ศ. 2021)
- อัตราการตายของทารกและเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปียังคงค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
- โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน เป็นสาเหตุการเสียชีวิตหลัก
- โรคติดต่อ เช่น วัณโรคและเอชไอวี/เอดส์ ยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ
- ปัญหาและอุปสรรค:
- การจัดสรรงบประมาณด้านสาธารณสุขไม่เพียงพอ
- การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่ห่างไกล
- คุณภาพการบริการทางการแพทย์ที่ยังไม่สม่ำเสมอ
- การเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ชนบทและกลุ่มเปราะบางยังมีข้อจำกัด
- การทุจริตคอร์รัปชันในระบบสาธารณสุข
รัฐบาลคีร์กีซสถานได้ดำเนินโครงการปฏิรูประบบสุขภาพหลายโครงการ โดยเน้นการเสริมสร้างการดูแลสุขภาพระดับปฐมภูมิ การปรับปรุงการบริหารจัดการโรงพยาบาล และการพัฒนากลไกการเงินการคลังด้านสุขภาพ อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาสาธารณสุขในระยะยาวจำเป็นต้องมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง การเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพในทุกระดับ และการสร้างความตระหนักรู้ด้านสุขภาพแก่ประชาชน
ในดัชนีความหิวโหยโลก (GHI) ปี ค.ศ. 2024 คีร์กีซสถานมีคะแนน 6.8 อยู่ในอันดับที่ 36 จาก 127 ประเทศที่มีข้อมูลเพียงพอ ระดับความหิวโหยจัดอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ทางบวกด้านความมั่นคงทางอาหารในระดับหนึ่ง
11.5. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
การวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในคีร์กีซสถานยังอยู่ในช่วงพัฒนา โดยมีสถาบันหลักคือ สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติคีร์กีซ (Kyrgyz Academy of Sciences) ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงบิชเคก และมีสถาบันวิจัยย่อยหลายแห่งในสังกัด นักวิจัยชาวคีร์กีซกำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์โดยอาศัยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เช่น การบำบัดโลหะหนักเพื่อทำให้น้ำเสียบริสุทธิ์
ในปี ค.ศ. 2024 คีร์กีซสถานอยู่ในอันดับที่ 99 ในดัชนีนวัตกรรมโลก ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายในการพัฒนาระบบนิเวศด้านนวัตกรรม การลงทุนในการวิจัยและพัฒนา (R&D) ยังมีจำกัด และการเชื่อมโยงระหว่างสถาบันวิจัยกับภาคอุตสาหกรรมยังไม่แข็งแรงนัก
ความร่วมมือระหว่างประเทศมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของคีร์กีซสถาน โดยมีการแลกเปลี่ยนนักวิจัยและความรู้กับสถาบันต่างชาติ รวมถึงการเข้าร่วมโครงการวิจัยระดับนานาชาติ
ผลกระทบทางสังคมจากการพัฒนาเทคโนโลยีเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณา การนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ เช่น เทคโนโลยีดิจิทัลและอินเทอร์เน็ต มีศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แต่ก็อาจสร้างความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงหากไม่มีการกระจายอย่างทั่วถึง การส่งเสริมความรู้ด้านดิจิทัล (digital literacy) และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียม นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรม เช่น เหมืองแร่ ควรคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชนด้วย
11.6. สื่อมวลชน
สถานการณ์สื่อมวลชนในคีร์กีซสถานมีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยมีทั้งสื่อของรัฐ สื่อเอกชน และสื่อออนไลน์ สื่อสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือพิมพ์และนิตยสาร ยังคงมีบทบาทแม้ว่าอิทธิพลจะลดลงเมื่อเทียบกับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สถานีวิทยุและโทรทัศน์มีทั้งที่เป็นของรัฐและเอกชน โดยสถานีโทรทัศน์ของรัฐ KTRK ยังคงมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร อินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นช่องทางสำคัญในการแสดงความคิดเห็นและติดตามข่าวสารของประชาชน
ระดับเสรีภาพของสื่อในคีร์กีซสถานมีความผันผวนและเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ในอดีต คีร์กีซสถานเคยได้รับการยกย่องว่าเป็นประเทศที่มีเสรีภาพสื่อมากที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียกลาง อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีรายงานความพยายามของรัฐบาลในการควบคุมสื่อ การคุกคามนักข่าว และการใช้กฎหมายเพื่อจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก
- ในปี ค.ศ. 2008 สถานีโทรทัศน์ KTRK ของรัฐได้ประกาศว่าจะต้องมีการส่งเนื้อหารายการของ เรดิโอฟรียุโรป/เรดิโอลิเบอร์ตี้ (RFE/RL) ให้ตรวจสอบล่วงหน้า หลังจากที่ KTRK ได้หยุดการถ่ายทอดรายการของ RFE/RL ในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน โดยอ้างว่าทำเนื้อหาที่สูญหายไป ประธานาธิบดีบากีเยฟในขณะนั้นได้วิพากษ์วิจารณ์รายการของ RFE/RL องค์กรนักข่าวไร้พรมแดน ซึ่งจัดอันดับคีร์กีซสถานไว้ที่ 111 จาก 173 ประเทศในดัชนีเสรีภาพสื่อในขณะนั้น ได้วิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจดังกล่าวอย่างรุนแรง
- ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2024 องค์กรสื่ออิสระเชิงสืบสวนสอบสวน Kloop ถูกศาลสั่งปิด ซึ่งการเคลื่อนไหวนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางทั้งในประเทศและต่างประเทศ ว่าเป็นการคุกคามเสรีภาพสื่อ
เสรีภาพของสื่อเป็นองค์ประกอบสำคัญของการพัฒนาประชาธิปไตย การเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนสามารถทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่หลากหลายได้อย่างอิสระ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสร้างสังคมที่มีความโปร่งใสและประชาชนมีส่วนร่วม อย่างไรก็ตาม แรงกดดันทางการเมืองและเศรษฐกิจยังคงเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของสื่ออิสระในคีร์กีซสถาน การคุ้มครองสิทธิของนักข่าวและการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานของสื่ออย่างเสรีจึงเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับประเทศ
12. วัฒนธรรม

คีร์กีซสถานมีมรดกทางวัฒนธรรมที่หลากหลายและเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งหยั่งรากลึกในประวัติศาสตร์อันยาวนานและวิถีชีวิตแบบชนเผ่าเร่ร่อน วัฒนธรรมคีร์กีซสะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เป็นภูเขาสูง ความผูกพันกับธรรมชาติ และอิทธิพลจากอารยธรรมต่าง ๆ ที่พาดผ่านเส้นทางสายไหม
12.1. วัฒนธรรมดั้งเดิม


วัฒนธรรมดั้งเดิมของคีร์กีซสถานมีความโดดเด่นและยังคงได้รับการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน มรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ได้แก่:
- มหากาพย์มานัส (Манас дастаныมานัส ดัสตานือภาษาคีร์กีซ): เป็นมหากาพย์ประจำชาติที่ยาวที่สุดในโลก เล่าเรื่องราวของวีรบุรุษในตำนานชื่อ มานัส ผู้รวบรวมชนเผ่าคีร์กีซให้เป็นปึกแผ่น มหากาพย์นี้ไม่เพียงแต่เป็นวรรณกรรมชิ้นเอก แต่ยังเป็นแหล่งรวมความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ประเพณี ค่านิยม และปรัชญาของชาวคีร์กีซ การขับขานมหากาพย์มานัสโดยนักขับขานที่เรียกว่า "มานัสจือ" (манасчыมานัสชือภาษาคีร์กีซ) ถือเป็นศิลปะการแสดงที่สำคัญและได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโก
- เยิร์ท (боз үйบอซ อึยภาษาคีร์กีซ): เป็นกระโจมที่พักอาศัยแบบดั้งเดิมของชาวคีร์กีซและชนเผ่าเร่ร่อนอื่น ๆ ในเอเชียกลาง สร้างจากโครงไม้และคลุมด้วยผ้าสักหลาด สามารถรื้อถอนและประกอบใหม่ได้ง่าย สะดวกต่อการเคลื่อนย้ายตามวิถีชีวิตแบบเร่ร่อน เยิร์ทไม่เพียงแต่เป็นที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของครอบครัว ความอบอุ่น และเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ส่วนยอดของเยิร์ทที่เรียกว่า "ทึนดึค" (түндүкทึนดึคภาษาคีร์กีซ) ปรากฏอยู่บนธงชาติคีร์กีซสถาน
- งานหัตถกรรมพื้นบ้าน:
- ชีร์ดัก (шырдакชืร์ดักภาษาคีร์กีซ): เป็นพรมหรือผ้าปูพื้นที่ทำจากผ้าสักหลาด มีลวดลายสีสันสดใสและเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมักเป็นลวดลายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติและสัญลักษณ์โบราณ ชีร์ดักเป็นงานหัตถกรรมที่ต้องใช้ความชำนาญและความอดทนสูง
- ทุชกีอิซ (туш кийизทุช คียิซภาษาคีร์กีซ): เป็นผ้าปักแขวนผนังขนาดใหญ่ที่มีลวดลายวิจิตรบรรจง มักทำขึ้นสำหรับโอกาสพิเศษ เช่น งานแต่งงาน และถือเป็นมรดกตกทอดในครอบครัว
- อะลา-คียิซ (ала кийизอะลา คียิซภาษาคีร์กีซ): เป็นพรมสักหลาดอีกประเภทหนึ่งที่มีกระบวนการผลิตที่แตกต่างจากชีร์ดัก ทั้งอะลา-คียิซและชีร์ดักได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโก
- สิ่งทออื่น ๆ โดยเฉพาะที่ทำจากผ้าสักหลาด ยังคงเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมคีร์กีซ
- การลักพาตัวเจ้าสาว (ала качууอะลา คาชูอูภาษาคีร์กีซ): เป็นประเพณีการแต่งงานรูปแบบหนึ่งในคีร์กีซสถาน ซึ่งปัจจุบันถือว่าผิดกฎหมายแต่ยังคงมีการปฏิบัติอยู่บ้าง ประเด็นนี้เป็นที่ถกเถียงกันว่าเป็นการปฏิบัติแบบดั้งเดิมจริงหรือไม่ บางส่วนอาจสับสนกับการที่การแต่งงานแบบคลุมถุงชนเคยเป็นประเพณี และหนึ่งในวิธีหลีกหนีการแต่งงานแบบคลุมถุงชนคือการ "ลักพาตัว" ที่เกิดจากความยินยอมของทั้งสองฝ่าย อย่างไรก็ตาม การลักพาตัวเจ้าสาวโดยไม่ได้รับความยินยอมถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเป็นปัญหาสังคมที่สำคัญ
- การล่าสัตว์ด้วยนกอินทรี (Falconry): เป็นประเพณีการล่าสัตว์โบราณที่ยังคงสืบทอดมาในบางพื้นที่ โดยใช้นกอินทรีทองในการล่าสัตว์ขนาดเล็ก เช่น สุนัขจิ้งจอกและกระต่าย
- การเต้นรำพื้นเมือง: มีการเต้นรำพื้นเมืองหลากหลายรูปแบบที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวคีร์กีซ
วัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของอัตลักษณ์ชาติคีร์กีซ และมีความพยายามในการอนุรักษ์และส่งเสริมให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล
12.2. อาหาร
อาหารคีร์กีซสถานมีลักษณะผสมผสานระหว่างอาหารของชนเผ่าเร่ร่อนในเอเชียกลางกับอิทธิพลจากอาหารรัสเซียและอาหารของกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในประเทศ วัตถุดิบหลักที่ใช้ในการประกอบอาหารมักจะเป็นเนื้อสัตว์ (โดยเฉพาะเนื้อแกะ เนื้อวัว และเนื้อม้า) ผลิตภัณฑ์จากนม และธัญพืช
อาหารพื้นเมืองที่เป็นตัวแทนและสะท้อนวัฒนธรรมการกินอยู่ของคีร์กีซสถาน ได้แก่:
- เบชบาร์มัก (бешбармакเบชบาร์มักภาษาคีร์กีซ): ถือเป็นอาหารประจำชาติอย่างหนึ่ง แปลว่า "ห้านิ้ว" เพราะตามธรรมเนียมจะใช้มือกิน ประกอบด้วยเส้นบะหมี่แบน ๆ ต้มกับเนื้อสัตว์ (ส่วนใหญ่เป็นเนื้อแกะหรือเนื้อม้า) และน้ำซุปหอมหัวใหญ่
- ปโลฟ (палооปาโลภาษาคีร์กีซ หรือ пловปลอฟภาษารัสเซีย): เป็นข้าวผัดกับเนื้อแกะหรือเนื้อวัว แครอท และหัวหอม ปรุงรสด้วยเครื่องเทศ เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมทั่วไปในเอเชียกลาง
- ลักมาน (лагманลักมันภาษาคีร์กีซ): เป็นก๋วยเตี๋ยวเส้นหนาคล้ายอุด้ง เสิร์ฟพร้อมกับเนื้อสัตว์และผักในน้ำซุป
- ซัมซา (самсаซัมซาภาษาคีร์กีซ): เป็นขนมอบลักษณะคล้ายซาโมซาหรือกะหรี่ปั๊บ สอดไส้เนื้อสับ หัวหอม และเครื่องเทศ อบในเตาดินที่เรียกว่า "ทันดือร์" (тандырทันดือร์ภาษาคีร์กีซ)
- มันตืย (мантыมันตืยภาษาคีร์กีซ): เป็นเกี๊ยวนึ่งขนาดใหญ่ สอดไส้เนื้อสับและหัวหอม
- คูร์ดัก (куурдакคูอูร์ดักภาษาคีร์กีซ): เป็นเนื้อสัตว์ (แกะ วัว หรือม้า) ทอดหรือผัดกับหัวหอมและมันฝรั่ง
- ชอร์โป (шорпоชอร์โปภาษาคีร์กีซ): เป็นซุปเนื้อรสชาติเข้มข้น มักทำจากเนื้อแกะ
- โบออร์ซอก (боорсокโบออร์ซอกภาษาคีร์กีซ): เป็นขนมปังทอดชิ้นเล็ก ๆ มักรับประทานกับชาหรือเป็นของว่าง
- คึมึซ (кымызคึมึซภาษาคีร์กีซ): เป็นนมม้าหมัก เป็นเครื่องดื่มแบบดั้งเดิมของชนเผ่าเร่ร่อน มีรสเปรี้ยวและมีแอลกอฮอล์เล็กน้อย
- ชา: ชาเป็นเครื่องดื่มที่นิยมดื่มกันทั่วไปในชีวิตประจำวัน
วัฒนธรรมการกินอยู่ของชาวคีร์กีซยังเน้นการต้อนรับแขกด้วยอาหารและเครื่องดื่มอย่างอบอุ่น การร่วมรับประทานอาหารเป็นโอกาสสำคัญในการสังสรรค์และสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน
12.3. ศิลปะ


ศิลปะของคีร์กีซสถานสะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานและวัฒนธรรมที่หลากหลายของประเทศ โดยผสมผสานระหว่างศิลปะพื้นบ้านดั้งเดิมกับอิทธิพลจากภายนอก โดยเฉพาะจากรัสเซียและโลกอิสลาม
- วรรณกรรม: วรรณกรรมคีร์กีซมีรากฐานมาจากประเพณีการเล่าเรื่องมุขปาฐะ โดยมีมหากาพย์มานัสเป็นผลงานชิ้นเอกที่โดดเด่นที่สุด ในยุคโซเวียต วรรณกรรมลายลักษณ์อักษรได้รับการส่งเสริม และมีนักเขียนคนสำคัญเกิดขึ้นหลายคน นักเขียนที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติที่สุดคือ ชิงกิซ อัยต์มาตอฟ (Чыңгыз Айтматовชืงกืซ อัยต์มาตอฟภาษาคีร์กีซ) ผลงานของเขามักสะท้อนถึงชีวิต วัฒนธรรม และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในคีร์กีซสถานและเอเชียกลาง ได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ทั่วโลก
- ดนตรี: ดนตรีพื้นบ้านของคีร์กีซสถานมีความไพเราะและเป็นเอกลักษณ์ เครื่องดนตรีที่สำคัญที่สุดคือ โคมุซ (комузโคมุซภาษาคีร์กีซ) ซึ่งเป็นเครื่องสายสามสายคล้ายลูท การแสดงเดี่ยวโคมุซที่เรียกว่า "คื" (күүคืภาษาคีร์กีซ) มักจะบอกเล่าเรื่องราวหรือตำนานประกอบการบรรเลง นอกจากโคมุซแล้ว ยังมีเครื่องดนตรีพื้นเมืองอื่น ๆ เช่น คึลเคยัก (พิณสองสาย) และโชโปโชร์ (ปี่) ดนตรีคลาสสิกตะวันตกก็ได้รับความนิยมเช่นกัน โดยมีโรงละครอุปรากรและบัลเลต์แห่งชาติในกรุงบิชเคก
- ภาพยนตร์: อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในคีร์กีซสถานเริ่มพัฒนาในยุคโซเวียต และมีผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น โบลอตเบก ชัมชิเยฟ และ โตโลมุช โอเคเยฟ ภาพยนตร์คีร์กีซมักสะท้อนถึงชีวิตชนบท ประเพณี และประเด็นทางสังคม ในช่วงหลังได้รับเอกราช ผู้กำกับรุ่นใหม่ เช่น อัคตัน อารึม คูบัต ได้สร้างชื่อเสียงในระดับนานาชาติด้วยภาพยนตร์ที่นำเสนอภาพชีวิตและวัฒนธรรมคีร์กีซอย่างมีศิลปะ
- ทัศนศิลป์: รวมถึงงานจิตรกรรม ประติมากรรม และงานฝีมือต่าง ๆ ศิลปินคีร์กีซหลายคนได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติที่สวยงามของประเทศและวัฒนธรรมดั้งเดิม งานหัตถกรรมพื้นบ้าน เช่น การทำพรมชีร์ดักและทุชกีอิซ ถือเป็นศิลปะที่สำคัญและมีเอกลักษณ์
ศิลปะของคีร์กีซสถานยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการผสมผสานระหว่างความเป็นพื้นบ้านกับความเป็นสากล และเป็นช่องทางสำคัญในการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาติ
12.4. กีฬา

กีฬาเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตในคีร์กีซสถาน โดยมีทั้งกีฬาสมัยใหม่ที่ได้รับความนิยมในระดับสากลและกีฬาพื้นเมืองที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ
- ฟุตบอล: เป็นหนึ่งในกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในคีร์กีซสถาน สหพันธ์ฟุตบอลสาธารณรัฐคีร์กีซ (ก่อตั้งปี ค.ศ. 1992) เป็นหน่วยงานกำกับดูแล และบริหารจัดการฟุตบอลทีมชาติคีร์กีซสถาน
- มวยปล้ำ: เป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างสูงเช่นกัน นักมวยปล้ำชาวคีร์กีซประสบความสำเร็จในการแข่งขันระดับนานาชาติ โดยนับตั้งแต่โอลิมปิกฤดูร้อน 2008 นักมวยปล้ำคีร์กีซได้รับเหรียญรางวัลโอลิมปิก 6 เหรียญในประเภทมวยปล้ำกรีก-โรมันและมวยปล้ำฟรีสไตล์ (3 เหรียญในปี 2008 และ 3 เหรียญในปี 2020)
- ยูโด: เป็นกีฬาต่อสู้อีกประเภทที่คีร์กีซสถานทำผลงานได้ดี ในโอลิมปิกฤดูร้อน 2000 ที่ซิดนีย์ คีร์กีซสถานได้รับเหรียญโอลิมปิกเหรียญแรกเมื่อ ไอดึน สมากูลอฟ ได้รับเหรียญทองแดงในรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 60 กก. ชาย
- ฮอกกี้น้ำแข็ง: ไม่ได้รับความนิยมมากนักจนกระทั่งมีการจัดการแข่งขันชิงแชมป์ฮอกกี้น้ำแข็งคีร์กีซสถานครั้งแรกในปี ค.ศ. 2009 ในปี ค.ศ. 2011 ทีมฮอกกี้น้ำแข็งชายทีมชาติคีร์กีซสถานชนะเลิศการแข่งขัน Premier Division ในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2011 โดยชนะรวดทั้งหกนัด ซึ่งเป็นรายการระดับนานาชาติรายการใหญ่ครั้งแรกที่ทีมฮอกกี้น้ำแข็งคีร์กีซสถานเข้าร่วม
- แบนดี้: กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในประเทศ ทีมชาติคีร์กีซได้รับเหรียญรางวัลแรกของประเทศในเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว เมื่อคว้าเหรียญทองแดง พวกเขาเข้าร่วมการแข่งขันแบนดี้ชิงแชมป์โลก 2012 ซึ่งเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกในทัวร์นาเมนต์นั้น
- บาสเกตบอล: ทีมบาสเกตบอลชายทีมชาติคีร์กีซสถานทำผลงานได้ดีที่สุดในการแข่งขันบาสเกตบอลชิงแชมป์เอเชีย 1995 ซึ่งทีมจบอันดับสูงกว่าทีมเต็งอย่างอิหร่าน ฟิลิปปินส์ และจอร์แดน
กีฬาพื้นเมือง (การขี่ม้า):
กีฬาพื้นเมืองของคีร์กีซสถานสะท้อนถึงความสำคัญของการขี่ม้าในวัฒนธรรมคีร์กีซมาอย่างยาวนาน:
- อูลัก ทาร์ทึช (улак-тартышอูลัก-ทาร์ทึชภาษาคีร์กีซ) หรือ ค็อก-บอรื (көк-бөрүเคิก-เบอรืภาษาคีร์กีซ): เป็นกีฬาทีมที่ได้รับความนิยมอย่างมาก คล้ายกับกีฬาโปโลผสมรักบี้ โดยผู้เล่นสองทีมขี่ม้าแย่งชิงซากแพะที่ไม่มีหัว เพื่อนำไปวางในประตูของฝ่ายตรงข้าม (ซึ่งอาจเป็นถังขนาดใหญ่หรือวงกลมที่ขีดไว้บนพื้น)
- อัต ชาบึช (ат чабышอัต ชาบึชภาษาคีร์กีซ): เป็นการแข่งม้าระยะไกล บางครั้งอาจมีระยะทางมากกว่า 50 km
- จัมบือ อัตไม (жамбы атмайจัมบือ อัตไมภาษาคีร์กีซ): แท่งโลหะมีค่าขนาดใหญ่ ("จัมบือ") ถูกผูกติดกับเสาด้วยเส้นด้าย และผู้เข้าแข่งขันพยายามยิงให้เส้นด้ายขาดขณะควบม้า
- คึซคูไม (кыз куумайคึซ คูอูไมภาษาคีร์กีซ): ชายหนุ่มขี่ม้าไล่ตามหญิงสาวเพื่อชิงจูบจากเธอ ขณะที่เธอควบม้าหนี หากเขาไม่สำเร็จ เธออาจไล่ตามเขาและพยายามตีเขาด้วย "คัมชือ" (แส้ม้า) ของเธอ
- อูดารึช (оодарышอูดารึชภาษาคีร์กีซ): ผู้เข้าแข่งขันสองคนขี่ม้าปล้ำกัน โดยแต่ละคนพยายามโยนอีกฝ่ายลงจากหลังม้าให้ได้ก่อน
- ตืยึน เอมเมย์ (тыйын эңмейตืยึน เอ็งเมย์ภาษาคีร์กีซ): การเก็บเหรียญจากพื้นดินขณะควบม้าเต็มที่
นอกจากนี้ คีร์กีซสถานยังเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ เช่น การแข่งขันกีฬาอิสซิค-คุลนานาชาติ (SCO + CIS) ครั้งที่ 21 ซึ่งจัดขึ้นในเดือนกันยายน ค.ศ. 2022 ที่หมู่บ้านบักตู-โดโลโนตู (แคว้นอีซึก-เกิล) และการแข่งขัน World Nomad Games สามครั้งแรกก็จัดขึ้นที่ชอลปอน-อาตา ประเทศคีร์กีซสถาน
12.5. สัญลักษณ์ประจำชาติ
สัญลักษณ์ประจำชาติของคีร์กีซสถานสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเอกลักษณ์ของชาติ:
- ธงชาติคีร์กีซสถาน:
- ลักษณะ: พื้นธงเป็นสีแดง ตรงกลางมีวงกลมสีเหลืองรูปดวงอาทิตย์มีรัศมี 40 แฉก ภายในดวงอาทิตย์มีรูป "ทึนดึค" (түндүкทึนดึคภาษาคีร์กีซ) หรือส่วนยอดของเยิร์ท (กระโจมที่พักอาศัยแบบดั้งเดิมของชาวคีร์กีซ) เป็นเส้นไขว้กันสามเส้นสองชุด
- ความหมาย:
- สีแดง: เป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญและความเปิดเผยของคีร์กีซสถาน (ตามข้อมูลหนึ่ง) หรือสื่อถึงธงของมานัส วีรบุรุษในตำนาน (ตามอีกข้อมูลหนึ่ง)
- ดวงอาทิตย์ 40 แฉก: เป็นสัญลักษณ์ของ 40 ชนเผ่าคีร์กีซโบราณที่รวมกันเป็นปึกแผ่นโดยมานัส
- ทึนดึค: เป็นสัญลักษณ์ของบ้านเรือน ครอบครัว ความสงบสุข และเอกภาพของชาติ รวมถึงความเป็นหนึ่งเดียวของจักรวาล
- ประวัติ: ธงปัจจุบันได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1992 หลังจากการประกาศเอกราช ก่อนหน้านั้นในสมัยโซเวียต คีร์กีซสถานใช้ธงชาติสหภาพโซเวียตที่มีแถบสีน้ำเงินสองแถบใหญ่และแถบสีขาวบาง ๆ ตรงกลาง
- ตราแผ่นดินของคีร์กีซสถาน:
ตราแผ่นดินของคีร์กีซสถาน - ลักษณะ: เป็นรูปวงกลมสีน้ำเงิน ตรงกลางมีภาพนกอินทรีสีเงินกางปีกอยู่เหนือทะเลสาบอิสซิค-คุลและเทือกเขาเทียนชานที่มียอดปกคลุมด้วยหิมะ มีดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือภูเขา ขอบวงกลมด้านบนมีคำว่า "Кыргыз Республикасыคืร์กึซ เรสปูบลิคาสึภาษาคีร์กีซ" (สาธารณรัฐคีร์กีซ) ขอบด้านล่างมีรวงข้าวสาลีและช่อฝ้ายประดับอยู่
- ความหมาย:
- นกอินทรี: เป็นสัญลักษณ์ของความสูงส่ง ความอิสระ และความมุ่งมั่น
- ทะเลสาบอิสซิค-คุลและเทือกเขาเทียนชาน: เป็นสัญลักษณ์ของธรรมชาติที่สวยงามและภูมิศาสตร์ที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศ
- ดวงอาทิตย์ขึ้น: เป็นสัญลักษณ์ของความหวัง อนาคตที่สดใส และการเกิดใหม่ของชาติ
- รวงข้าวสาลีและช่อฝ้าย: เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และความสำคัญของภาคเกษตรกรรม
- เพลงชาติสาธารณรัฐคีร์กีซ:
- เนื้อเพลงและทำนองปัจจุบันได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 1992 เนื้อเพลงประพันธ์โดย จามึล ซาดือกัฟ และ เอชมัมเบต ออสมานาลิเยฟ ทำนองประพันธ์โดย นาสือร์ ดาวเลซัฟ และ คาลึย โมลโดบาซานัฟ
- เนื้อหาของเพลงชาติกล่าวถึงความรักชาติ ความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ความปรารถนาในอิสรภาพ เอกภาพ และอนาคตที่รุ่งเรืองของประเทศ
สัญลักษณ์เหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความเป็นชาติและความภาคภูมิใจในหมู่ชาวคีร์กีซ
12.6. วันหยุดราชการ
คีร์กีซสถานมีวันหยุดราชการและวันหยุดตามกฎหมายที่สำคัญหลายวัน ซึ่งสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และศาสนาของประเทศ วันหยุดที่สำคัญ ได้แก่:
- 1 มกราคม - วันขึ้นปีใหม่
- 7 มกราคม - คริสต์มาส (ตามแบบออร์โธดอกซ์รัสเซีย)
- 23 กุมภาพันธ์ - วันผู้พิทักษ์ปิตุภูมิ
- 8 มีนาคม - วันสตรีสากล
- 21-23 มีนาคม - โนรูซ ไมรามึย (Нооруз майрамыโนโอรุซ ไมรัมึยภาษาคีร์กีซ), ปีใหม่เปอร์เซีย (เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ)
- 7 เมษายน - วันแห่งการปฏิวัติแห่งชาติ (รำลึกถึงการปฏิวัติปี 2010)
- 1 พฤษภาคม - วันแรงงาน
- 5 พฤษภาคม - วันรัฐธรรมนูญ
- 8 พฤษภาคม - วันรำลึก (Remembrance Day)
- 9 พฤษภาคม - วันแห่งชัยชนะ (รำลึกถึงชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง)
- 31 สิงหาคม - วันประกาศเอกราช
- 7-8 พฤศจิกายน - วันแห่งประวัติศาสตร์และการรำลึกถึงบรรพบุรุษ
นอกจากนี้ยังมีวันหยุดทางศาสนาอิสลามอีกสองวันคือ โอโรโซ อัยต์ (Орозо айтโอโรโซ อัยต์ภาษาคีร์กีซ) และ คูร์มัน อัยต์ (Курман айтคูร์มัน อัยต์ภาษาคีร์กีซ) ซึ่งกำหนดวันตามปฏิทินจันทรคติอิสลาม
นอกจากการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 มกราคมแล้ว ชาวคีร์กีซยังเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่แบบดั้งเดิมคือโนว์รูซในวันวิษุวัตฤดูใบไม้ผลิ เทศกาลฤดูใบไม้ผลินี้มีการเฉลิมฉลองด้วยงานเลี้ยงและงานรื่นเริง เช่น การแข่งขันกีฬาขี่ม้าอูลัก ทาร์ทึช
12.7. มรดกโลก
คีร์กีซสถานมีแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก ซึ่งสะท้อนถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติอันโดดเด่นของประเทศ แหล่งมรดกโลกที่สำคัญในคีร์กีซสถาน ได้แก่:
1. ภูเขาสุไลมาน-ทู (Sulaiman-Too Sacred Mountain) (ขึ้นทะเบียนปี ค.ศ. 2009):
- เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม ตั้งอยู่ในเมืองออช ทางตอนใต้ของประเทศ ภูเขาสุไลมาน-ทูมีความสำคัญทางศาสนาและจิตวิญญาณมานานหลายศตวรรษ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับทั้งผู้นับถือศาสนาอิสลาม (เชื่อว่าเป็นที่ฝังศพของสุลัยมาน หรือซาโลมอน) และศาสนาก่อนอิสลาม บนภูเขามีภาพแกะสลักหิน (petroglyphs) โบราณ มัสยิด และถ้ำที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรม เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการผสมผสานระหว่างความเชื่อทางศาสนาและภูมิทัศน์ธรรมชาติ
2. เส้นทางสายไหม: เครือข่ายเส้นทางฉนวนฉางอาน-เทียนชาน (Silk Roads: the Routes Network of Chang'an-Tianshan Corridor) (ขึ้นทะเบียนปี ค.ศ. 2014, ร่วมกับจีนและคาซัคสถาน):
- เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมข้ามชาติ คีร์กีซสถานมีส่วนสำคัญในเส้นทางสายไหมโบราณ ซึ่งเป็นเครือข่ายการค้าและวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงตะวันออกและตะวันตก แหล่งโบราณสถานที่สำคัญในคีร์กีซสถานที่รวมอยู่ในมรดกโลกนี้ ได้แก่:
- เมืองโบราณซูยาบ (Suyab): ปัจจุบันคือแหล่งโบราณคดีอัค-เบชิม (Ak-Beshim)
- เมืองโบราณบาลาซากุน (Balasagun): ปัจจุบันคือแหล่งโบราณคดีบูรานา (Burana) ซึ่งมีหอคอยบูรานาที่มีชื่อเสียง
- เมืองโบราณเนวาเก็ต (Nevaket): ปัจจุบันคือแหล่งโบราณคดีครัสยา เรชกา (Krasnaya Rechka)
- แหล่งเหล่านี้เป็นหลักฐานสำคัญของอารยธรรมเมือง การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการค้าบนเส้นทางสายไหมในอดีต
3. เทียนชานตะวันตก (Western Tien-Shan) (ขึ้นทะเบียนปี ค.ศ. 2016, ร่วมกับคาซัคสถานและอุซเบกิสถาน):
- เป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ เทือกเขาเทียนชานตะวันตกมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง เป็นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์หายากและใกล้สูญพันธุ์หลายชนิด รวมถึงเป็นแหล่งกำเนิดของพืชผลทางการเกษตรที่สำคัญหลายชนิด เช่น แอปเปิลป่าและวอลนัท ภูมิทัศน์มีความหลากหลายตั้งแต่ป่าไม้ไปจนถึงทุ่งหญ้าอัลไพน์และธารน้ำแข็ง
แหล่งมรดกโลกเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีความสำคัญต่อคีร์กีซสถานเท่านั้น แต่ยังเป็นสมบัติอันล้ำค่าของมนุษยชาติโดยรวม การอนุรักษ์และปกป้องแหล่งมรดกเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนรุ่นหลังต่อไป