1. ภาพรวม
ไอร์แลนด์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ สาธารณรัฐไอร์แลนด์ เป็นประเทศในทวีปยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือ ประกอบด้วย 26 เทศมณฑลจากทั้งหมด 32 เทศมณฑลบนเกาะไอร์แลนด์ มีประชากรประมาณ 5.4 ล้านคน เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือดับลิน ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเกาะ โดยมีประชากรมากกว่า 1.5 ล้านคน รัฐอธิปไตยแห่งนี้มีพรมแดนทางบกเพียงแห่งเดียวร่วมกับไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร ส่วนที่เหลือล้อมรอบด้วยมหาสมุทรแอตแลนติก โดยมีทะเลเคลติกอยู่ทางใต้ ช่องแคบเซนต์จอร์จอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ และทะเลไอริชอยู่ทางตะวันออก ไอร์แลนด์เป็นรัฐเดี่ยว สาธารณรัฐระบบรัฐสภา สภานิติบัญญัติคือ เอรัฆตัส (Oireachtasภาษาไอริช) ประกอบด้วยสภาล่างคือ ดาลเอเริน (Dáil Éireannภาษาไอริช) สภาสูงคือ ชานัดเอเริน (Seanad Éireannภาษาไอริช) และประธานาธิบดี (Uachtaránภาษาไอริช) ที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งส่วนใหญ่ทำหน้าที่เป็นประมุขแห่งรัฐในเชิงพิธีการ แต่ก็มีอำนาจและหน้าที่สำคัญบางประการ หัวหน้ารัฐบาลคือ ทีเชิฆ (Taoiseachภาษาไอริช หรือนายกรัฐมนตรี) ซึ่งได้รับเลือกจากดาลเอเรินและแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี โดยทีเชิฆจะเป็นผู้แต่งตั้งรัฐมนตรีคนอื่น ๆ
รัฐอิสระไอร์แลนด์ก่อตั้งขึ้นโดยมีสถานะเป็นประเทศในเครือจักรภพในปี ค.ศ. 1922 หลังจากการลงนามในสนธิสัญญาอังกฤษ-ไอร์แลนด์ ต่อมาในปี ค.ศ. 1937 ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งกำหนดให้รัฐมีชื่อว่า "ไอร์แลนด์" และกลายเป็นสาธารณรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งและไม่มีอำนาจบริหาร ไอร์แลนด์ได้รับการประกาศให้เป็นสาธารณรัฐอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1949 ภายหลังการประกาศใช้รัฐบัญญัติสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ค.ศ. 1948 ไอร์แลนด์เข้าเป็นสมาชิกของสหประชาชาติในปี ค.ศ. 1955 และเข้าร่วมประชาคมยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรก่อนหน้าของสหภาพยุโรป (EU) ในปี ค.ศ. 1973 ตลอดช่วงศตวรรษที่ 20 รัฐไอร์แลนด์ไม่มีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับไอร์แลนด์เหนือมากนัก แต่ในช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 รัฐบาลอังกฤษและไอร์แลนด์ได้ทำงานร่วมกับพรรคการเมืองในไอร์แลนด์เหนือเพื่อแก้ไขความขัดแย้งที่เรียกว่า เดอะทรับเบิลส์ นับตั้งแต่การลงนามในความตกลงวันศุกร์ประเสริฐในปี ค.ศ. 1998 รัฐบาลไอร์แลนด์และฝ่ายบริหารไอร์แลนด์เหนือได้ร่วมมือกันในหลายด้านนโยบายภายใต้สภารัฐมนตรีเหนือ/ใต้ที่จัดตั้งขึ้นตามความตกลง
ไอร์แลนด์เป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีคุณภาพชีวิตติดอันดับสูงที่สุดในโลก หลังจากปรับตามความไม่เท่าเทียมแล้ว ดัชนีการพัฒนามนุษย์ในปี ค.ศ. 2022 จัดให้ไอร์แลนด์อยู่ในอันดับที่ห้าของโลก นอกจากนี้ยังติดอันดับสูงในด้านการดูแลสุขภาพ เสรีภาพทางเศรษฐกิจ และเสรีภาพสื่อ ตามดัชนีสันติภาพโลก ไอร์แลนด์เป็นประเทศที่สงบสุขที่สุดเป็นอันดับสองของโลกในปี ค.ศ. 2024 ไอร์แลนด์เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปและเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งสภายุโรปและองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) รัฐบาลไอร์แลนด์ดำเนินนโยบายความเป็นกลางทางทหารผ่านการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ดังนั้นประเทศจึงไม่ได้เป็นสมาชิกของเนโท แม้จะเป็นสมาชิกของความเป็นหุ้นส่วนเพื่อสันติภาพและบางส่วนของความร่วมมือโครงสร้างถาวร (PESCO) เศรษฐกิจของไอร์แลนด์มีความก้าวหน้า โดยมีศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญแห่งหนึ่งของยุโรปตั้งอยู่ในดับลิน ไอร์แลนด์ติดอันดับหนึ่งในห้าประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในแง่ของจีดีพีและจีเอ็นไอต่อหัว หลังจากเข้าร่วมประชาคมยุโรป รัฐบาลได้ประกาศใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหลายชุดซึ่งช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจระหว่างปี ค.ศ. 1995 ถึง 2007 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มักเรียกกันว่ายุคเสือเคลต์ (Celtic Tiger) หลังจากนั้นเกิดภาวะถดถอยและการเติบโตที่กลับตาลปัตรในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ ซึ่งรุนแรงขึ้นจากการแตกของฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ในไอร์แลนด์ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 2014 และตามมาด้วยช่วงเวลาแห่งการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งครั้งใหม่
2. ชื่อประเทศ
ชื่อประเทศในภาษาไอริชคือ Éireเอเรภาษาไอริช ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า Ériuเอรูภาษาไอริช เทพธิดาในตำนานเทพเจ้าเคลต์ รัฐที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1922 ซึ่งประกอบด้วย 26 เทศมณฑลจากทั้งหมด 32 เทศมณฑลของไอร์แลนด์ ได้รับการ "ขนานนามและเป็นที่รู้จักในชื่อ รัฐอิสระไอร์แลนด์" (Saorstát Éireannเซร์สตัต เอียรันภาษาไอริช) รัฐธรรมนูญแห่งไอร์แลนด์ ซึ่งประกาศใช้ในปี ค.ศ. 1937 ระบุว่า "ชื่อของรัฐคือ Éireเอเรภาษาไอริช หรือในภาษาอังกฤษคือ Irelandไอร์แลนด์ภาษาอังกฤษ" มาตรา 2 ของรัฐบัญญัติสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ค.ศ. 1948 ระบุว่า "ณ ที่นี้ขอประกาศว่าคำอธิบายของรัฐคือสาธารณรัฐไอร์แลนด์" รัฐบัญญัติปี ค.ศ. 1948 ไม่ได้ตั้งชื่อรัฐว่า "สาธารณรัฐไอร์แลนด์" เพราะการทำเช่นนั้นจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ
รัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรใช้ชื่อ "เอเร" (Eireภาษาไอริช โดยไม่มีเครื่องหมายกำกับเสียง) และตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 เป็นต้นมา ใช้ชื่อ "สาธารณรัฐไอร์แลนด์" (Republic of Irelandภาษาอังกฤษ) สำหรับรัฐนี้ จนกระทั่งข้อตกลงวันศุกร์ประเสริฐในปี ค.ศ. 1998 ซึ่งรัฐไอร์แลนด์ได้สละการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนไอร์แลนด์เหนือ จึงเริ่มเรียกชื่อรัฐว่า "ไอร์แลนด์" (Irelandภาษาอังกฤษ)
รัฐนี้ยังถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า "เดอะรีพับลิก" (the Republicสาธารณรัฐภาษาอังกฤษ) "เซาเทิร์นไอร์แลนด์" (Southern Irelandไอร์แลนด์ใต้ภาษาอังกฤษ) หรือ "เดอะเซาท์" (the Southทางใต้ภาษาอังกฤษ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องการแยกความแตกต่างระหว่างรัฐกับเกาะ หรือเมื่อกล่าวถึงไอร์แลนด์เหนือ ("เดอะนอร์ท" (the Northทางเหนือภาษาอังกฤษ)) นักสาธารณรัฐนิยมชาวไอร์แลนด์สงวนชื่อ "ไอร์แลนด์" (Irelandภาษาอังกฤษ) ไว้สำหรับเกาะทั้งเกาะ และมักเรียกชื่อรัฐว่า "เดอะฟรีสเตต" (the Free Stateรัฐอิสระภาษาอังกฤษ) "เดอะ 26 เคาน์ตีส์" (the 26 Counties26 เทศมณฑลภาษาอังกฤษ) หรือ "เดอะเซาท์ออฟไอร์แลนด์" (the South of Irelandตอนใต้ของไอร์แลนด์ภาษาอังกฤษ) ซึ่งเป็น "การตอบโต้ต่อมุมมองแบบแบ่งแยกดินแดน ... ที่ว่าไอร์แลนด์สิ้นสุดที่ชายแดน"
ในภาษาไทย ชื่อที่ใช้เรียกประเทศนี้โดยทั่วไปคือ "ไอร์แลนด์" หรือ "สาธารณรัฐไอร์แลนด์" เพื่อแยกความแตกต่างจากไอร์แลนด์เหนือซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร กระทรวงการต่างประเทศของไทยใช้ชื่อทางการว่า "ไอร์แลนด์" ราชบัณฑิตยสถานกำหนดการทับศัพท์ชื่อประเทศในภาษาอังกฤษ "Ireland" ว่า "ไอร์แลนด์" และชื่อในภาษาไอริช "Éire" ว่า "เอเร"
3. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของเกาะไอร์แลนด์มีความยาวนานและซับซ้อน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ การเข้ามาของอารยธรรมต่าง ๆ จนถึงการต่อสู้เพื่อเอกราชและการก่อตั้งรัฐสมัยใหม่ ประวัติศาสตร์ของไอร์แลนด์สะท้อนให้เห็นถึงการดิ้นรนต่อสู้เพื่อเอกราช การรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม และการพัฒนาทางสังคมและการเมืองที่สำคัญ
3.1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์และยุคโบราณ

หลักฐานการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์กลุ่มแรกบนเกาะไอร์แลนด์ย้อนกลับไปได้ถึงยุคหินกลาง ประมาณ 8,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยเป็นกลุ่มนักล่าสัตว์-เก็บของป่าที่ใช้เครื่องมือหิน ในช่วงประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล ยุคสำริดได้เริ่มต้นขึ้น มีการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และสร้างอาวุธ เครื่องมือ และเครื่องประดับจากสำริด ในช่วงต้น 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ผู้คนได้สร้างศาสนสถานและสุสานหินขนาดใหญ่ (เมกะลิท) ซึ่งยังคงหลงเหลือให้เห็นในภูมิประเทศของไอร์แลนด์จนถึงปัจจุบัน เช่น นิวเกรนจ์ และสุสานหินแบบดอลเมนพอลนาโบรน
ในช่วงศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล เกาะไอร์แลนด์อยู่ภายใต้อิทธิพลของชาวพิคท์ ซึ่งในตำนานไอร์แลนด์เรียกว่าเฟอร์โบลก์ (Fir Bolgภาษาไอริช) ซึ่งเป็นกลุ่มชนยุคหินใหม่ ต่อมาในช่วงประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล ชาวเคลต์ได้อพยพเข้ามายังเกาะไอร์แลนด์ นำภาษาและวัฒนธรรมเคลต์เข้ามาด้วย เกาะไอร์แลนด์ถูกแบ่งออกเป็นแคว้นต่าง ๆ เช่น เลนสเตอร์ มันสเตอร์ อัลสเตอร์ และคอนนอทช์ แต่ละแคว้นปกครองโดยกษัตริย์ของตนเองภายใต้ประมุขสูงสุดแห่งไอร์แลนด์ (High King) โครงสร้างทางสังคมพื้นฐานคือ ทูอา (Tuathaภาษาไอริช) หรืออาณาจักรเล็ก ๆ ซึ่งมีประมาณ 150 แห่งทั่วเกาะ โดยแต่ละแห่งมีประชากรไม่ถึงครึ่งล้านคน
นักบุญแพทริกเดินทางมายังไอร์แลนด์ในศตวรรษที่ 5 เพื่อเผยแผ่ศาสนาคริสต์ ท่านประสบความสำเร็จในการทำให้ราชวงศ์ต่าง ๆ หันมานับถือศาสนาคริสต์ และก่อตั้งโรงเรียนสอนศาสนาซึ่งมีบทบาทสำคัญในการนำตัวอักษรละตินเข้ามาใช้ เมื่อถึงเวลาที่นักบุญแพทริกมรณภาพ ชนชั้นสูงของไอร์แลนด์ส่วนใหญ่สามารถอ่านออกเขียนได้และเริ่มบันทึกประวัติศาสตร์ของตนเอง ไอร์แลนด์กลายเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้และวัฒนธรรมของศาสนาคริสต์ แต่ก็ถูกทำลายไปมากจากการรุกรานของชาวไวกิงในศตวรรษที่ 9 และ 10
3.2. การรุกรานของไวกิงและชาวนอร์มัน
ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 8 ชาวไวกิงเริ่มบุกรุกและตั้งถิ่นฐานในไอร์แลนด์ พวกเขาสร้างเมืองท่าสำคัญหลายแห่ง เช่น ดับลิน วอเตอร์ฟอร์ด และเวกซ์ฟอร์ด ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางการค้าและการตั้งถิ่นฐานของชาวไวกิง อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของชาวไวกิงเริ่มลดลงเมื่อกษัตริย์ไบรอัน โบรูแห่งมันสเตอร์สามารถรวบรวมอาณาจักรต่าง ๆ และเอาชนะกองทัพไวกิงในยุทธการที่คลอนทาร์ฟ (Battle of Clontarf) ในปี ค.ศ. 1014 แม้ว่าไบรอัน โบรูจะเสียชีวิตในสมรภูมิ แต่ชัยชนะครั้งนี้ถือเป็นจุดสิ้นสุดของการรุกรานครั้งใหญ่ของชาวไวกิง
ในปี ค.ศ. 1169 ริชาร์ด เดอ แคลร์ เอิร์ลแห่งเพมโบรกที่ 2 หรือที่รู้จักกันในชื่อ "สตรองโบว์" (Strongbow) ได้นำกองทัพชาวนอร์มันจากเวลส์และอังกฤษเข้ามายังไอร์แลนด์ ตามคำเชิญของเดอร์มอต แม็กเมอร์โรห์ กษัตริย์แห่งเลนสเตอร์ที่ถูกขับไล่ออกจากบัลลังก์ การรุกรานครั้งนี้นำไปสู่การที่กษัตริย์เฮนรีที่ 2 แห่งอังกฤษอ้างสิทธิ์เป็นเจ้าแห่งไอร์แลนด์ (Lord of Ireland) และเริ่มต้นยุคการปกครองของอังกฤษที่ยาวนานกว่า 8 ศตวรรษ ภายในปี ค.ศ. 1300 ชาวนอร์มันได้เข้าควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะ แต่เนื่องจากไม่มีรัฐบาลกลางที่เข้มแข็ง การพิชิตจึงไม่สมบูรณ์
ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 14 หัวหน้าเผ่าชาวไอร์แลนด์เริ่มยึดคืนดินแดนจากชาวนอร์มัน โดยเรียนรู้ยุทธวิธีและอาวุธของพวกเขา ภายในปี ค.ศ. 1360 ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวนอร์มันส่วนใหญ่ได้ปรับตัวเข้ากับกฎหมายและวัฒนธรรมของชาวไอร์แลนด์ จนกลายเป็น "ชาวไอริชยิ่งกว่าชาวไอริชเอง" (Hibernis ipsis Hibernioresชาวไอริชยิ่งกว่าชาวไอริชเองภาษาละติน) ซึ่งสร้างความกังวลให้กับรัฐสภาอังกฤษ รัฐสภาอังกฤษจึงได้ออกธรรมนูญแห่งคิลเคนนี (Statutes of Kilkenny) ในปี ค.ศ. 1366 เพื่อห้ามการแต่งงานระหว่างชาวอังกฤษกับชาวไอร์แลนด์ และห้ามการใช้ภาษาและประเพณีของชาวไอร์แลนด์ในหมู่ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอังกฤษ เพื่อป้องกันการกลืนกลืนทางวัฒนธรรมและรักษาอิทธิพลของอังกฤษบนเกาะไอร์แลนด์
3.3. การปกครองของอังกฤษและการล่าอาณานิคม

กระบวนการที่อังกฤษเข้ามามีอิทธิพลและปกครองไอร์แลนด์เริ่มต้นอย่างจริงจังในศตวรรษที่ 16 ในรัชสมัยของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษ ซึ่งประกาศตนเป็นกษัตริย์แห่งไอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 1541 การปฏิรูปศาสนาในอังกฤษนำไปสู่ความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างชาวอังกฤษที่นับถือนิกายโปรเตสแตนต์กับชาวไอร์แลนด์ส่วนใหญ่ที่ยังคงนับถือนิกายโรมันคาทอลิก รัฐบาลอังกฤษพยายามบังคับใช้นโยบายทางศาสนาใหม่ในไอร์แลนด์ ส่งผลให้เกิดการต่อต้านและการลุกฮือหลายครั้ง
ในรัชสมัยของพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ นโยบายการตั้งถิ่นฐานชาวอังกฤษ (Plantations) ได้ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง โดยมีการยึดที่ดินจากชาวไอร์แลนด์และมอบให้กับผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอังกฤษและสกอตแลนด์ที่นับถือโปรเตสแตนต์ นโยบายนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมสร้างอำนาจของอังกฤษและลดอิทธิพลของชาวคาทอลิกในไอร์แลนด์ การตั้งถิ่นฐานที่สำคัญที่สุดคือการตั้งถิ่นฐานในอัลสเตอร์ (Ulster Plantation) ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ซึ่งเปลี่ยนแปลงลักษณะประชากรและศาสนาในภูมิภาคนี้อย่างถาวร
การปกครองแบบอาณานิคมของอังกฤษในไอร์แลนด์มีลักษณะเป็นการกดขี่ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ชาวไอร์แลนด์คาทอลิกถูกกีดกันจากสิทธิทางการเมือง การถือครองที่ดิน และการประกอบอาชีพบางอย่าง กฎหมายอาญา (Penal Laws) ที่ออกมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 และต้นศตวรรษที่ 18 ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก การรวมไอร์แลนด์เข้ากับบริเตนใหญ่ในปี ค.ศ. 1801 ผ่านพระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1800 (Act of Union 1800) ทำให้ไอร์แลนด์สูญเสียรัฐสภาของตนเองและถูกปกครองโดยตรงจากลอนดอน
ในช่วงทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ (Great Famine) ระหว่างปี ค.ศ. 1845 ถึง 1849 ซึ่งเกิดจากโรคระบาดในมันฝรั่งซึ่งเป็นอาหารหลักของประชากรส่วนใหญ่ ประชากรไอร์แลนด์กว่า 8 ล้านคนลดลงถึง 30% ชาวไอร์แลนด์ประมาณหนึ่งล้านคนเสียชีวิตจากความอดอยากและโรคภัยไข้เจ็บ และอีก 1.5 ล้านคนอพยพออกนอกประเทศ ส่วนใหญ่ไปยังสหรัฐอเมริกา เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อสังคมไอร์แลนด์และเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดขบวนการเรียกร้องเอกราชในเวลาต่อมา
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1874 โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การนำของชาลส์ สจวต พาร์เนลล์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1880 พรรคไอริชพาร์ลาเมนทารี (Irish Parliamentary Party) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิในที่ดินผ่านสันนิบาตที่ดินแห่งชาติไอร์แลนด์ (Irish Land League) ซึ่งนำไปสู่การปฏิรูปที่ดินตามพระราชบัญญัติที่ดินแห่งไอร์แลนด์ (Irish Land Acts) และความพยายามในการบรรลุการปกครองตนเอง (Home Rule) ผ่านร่างกฎหมายสองฉบับที่ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งจะให้ไอร์แลนด์มีอำนาจปกครองตนเองในระดับชาติอย่างจำกัด สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการควบคุมกิจการระดับชาติในระดับรากหญ้าภายใต้พระราชบัญญัติการปกครองส่วนท้องถิ่น (ไอร์แลนด์) ค.ศ. 1898 (Local Government (Ireland) Act 1898) ซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ในมือของคณะลูกขุนใหญ่ที่ถูกครอบงำโดยเจ้าของที่ดินชาวโปรเตสแตนต์
การปกครองตนเองดูเหมือนจะแน่นอนเมื่อพระราชบัญญัติรัฐสภา ค.ศ. 1911 (Parliament Act 1911) ยกเลิกอำนาจยับยั้งของสภาขุนนาง และจอห์น เรดมอนด์สามารถผลักดันพระราชบัญญัติการปกครองตนเอง ค.ศ. 1914 (Third Home Rule Act) ได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1914 อย่างไรก็ตาม ขบวนการสหภาพนิยม (Unionist movement) ได้เติบโตขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1886 ในหมู่ชาวโปรเตสแตนต์ในไอร์แลนด์หลังจากการเสนอร่างกฎหมายการปกครองตนเองฉบับแรก โดยพวกเขากลัวการเลือกปฏิบัติและการสูญเสียสิทธิพิเศษทางเศรษฐกิจและสังคมหากชาวคาทอลิกชาวไอร์แลนด์ได้รับอำนาจทางการเมืองที่แท้จริง ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ลัทธิสหภาพนิยมมีความเข้มแข็งเป็นพิเศษในบางส่วนของอัลสเตอร์ ซึ่งมีการพัฒนาอุตสาหกรรมมากกว่าส่วนอื่น ๆ ของเกาะที่มีลักษณะเป็นเกษตรกรรม และมีประชากรชาวโปรเตสแตนต์มากกว่า โดยมีประชากรส่วนใหญ่ในสี่เทศมณฑล ภายใต้การนำของเอ็ดเวิร์ด คาร์สัน สมาชิกพรรคสหภาพนิยมไอร์แลนด์ (Irish Unionist Party) ที่เกิดในดับลิน และเจมส์ เครก ไวเคานต์เครกเอวอนที่ 1 สมาชิกพรรคสหภาพนิยมอัลสเตอร์ (Ulster Unionist Party) จากอัลสเตอร์ กลุ่มสหภาพนิยมกลายเป็นกลุ่มติดอาวุธที่แข็งแกร่ง โดยก่อตั้งอาสาสมัครอัลสเตอร์ (Ulster Volunteers) เพื่อต่อต้าน "การบีบบังคับอัลสเตอร์" หลังจากร่างพระราชบัญญัติการปกครองตนเองผ่านรัฐสภาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1914 เพื่อหลีกเลี่ยงการก่อกบฏในอัลสเตอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เอช. เอช. แอสควิธได้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งผู้นำพรรคไอริชพาร์ลาเมนทารียอมรับอย่างไม่เต็มใจ ร่างกฎหมายนี้กำหนดให้มีการยกเว้นอัลสเตอร์ออกจากการบังคับใช้กฎหมายเป็นการชั่วคราวเป็นระยะเวลาหกปี โดยจะมีการออกมาตรการชุดใหม่สำหรับพื้นที่ที่จะถูกยกเว้นชั่วคราวซึ่งยังไม่ได้ตัดสินใจ
3.4. ขบวนการปกครองตนเองและการประกาศอิสรภาพ

แม้ว่าพระราชบัญญัติการปกครองตนเอง ค.ศ. 1914 (Third Home Rule Act) จะได้รับพระบรมราชานุญาตและถูกบันทึกไว้ในกฎหมายแล้ว แต่การบังคับใช้ก็ถูกระงับจนกว่าจะสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งช่วยลดความตึงเครียดจากภัยสงครามกลางเมืองในไอร์แลนด์ ด้วยความหวังว่าจะให้มีการบังคับใช้กฎหมายนี้เมื่อสงครามสิ้นสุดลงจากการที่ไอร์แลนด์เข้าร่วมในสงคราม จอห์น เรดมอนด์และอาสาสมัครแห่งชาติไอร์แลนด์ (Irish National Volunteers) จึงสนับสนุนสหราชอาณาจักรและพันธมิตร ทหาร 175,000 นายเข้าร่วมกรมทหารไอริชของกองพลที่ 10 (ไอริช) และกองพลที่ 16 (ไอริช) ของกองทัพใหม่ของคิทเชเนอร์ (New British Army) ในขณะที่กลุ่มสหภาพนิยมเข้าร่วมกองพลที่ 36 (อัลสเตอร์)
ส่วนที่เหลือของอาสาสมัครชาวไอร์แลนด์ (Irish Volunteers) ซึ่งปฏิเสธเรดมอนด์และต่อต้านการสนับสนุนสหราชอาณาจักร ได้ทำการก่อการกำเริบด้วยอาวุธต่อต้านการปกครองของอังกฤษในการลุกฮือวันอีสเตอร์ปี 1916 ร่วมกับกองทัพพลเมืองไอร์แลนด์ (Irish Citizen Army) เหตุการณ์นี้เริ่มต้นเมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1916 ด้วยการประกาศอิสรภาพไอร์แลนด์ หลังจากการสู้รบอย่างหนักเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ส่วนใหญ่อยู่ในดับลิน กลุ่มกบฏที่รอดชีวิตถูกบังคับให้ยอมจำนน ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่ถูกจำคุก และนักโทษสิบห้าคน (รวมถึงผู้นำส่วนใหญ่) ถูกประหารชีวิตในข้อหากบฏต่อสหราชอาณาจักร ซึ่งรวมถึงแพทริก เพียร์ซ โฆษกของการลุกฮือและผู้ให้สัญญาณแก่อาสาสมัครให้เริ่มการลุกฮือ และเจมส์ คอนนอลลี นักสังคมนิยมและผู้ก่อตั้งสหภาพคนงานอุตสาหกรรมของโลก (Industrial Workers of the World) และขบวนการแรงงานทั้งในไอร์แลนด์และสกอตแลนด์ เหตุการณ์เหล่านี้พร้อมกับวิกฤตการณ์การเกณฑ์ทหารปี 1918 (Conscription Crisis of 1918) ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของสาธารณชนในไอร์แลนด์ต่อต้านรัฐบาลอังกฤษ
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1919 หลังจากการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1918 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (MPs) 73 คนจากทั้งหมด 105 คนของไอร์แลนด์ที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกพรรคซินน์เฟน ซึ่งได้รับเลือกบนนโยบายการงดออกเสียงในสภาสามัญชนแห่งสหราชอาณาจักร ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1919 พวกเขาก่อตั้งรัฐสภาไอร์แลนด์ที่เรียกว่าดาลเอเริน (Dáil Éireannดาล เอียรันภาษาไอริช) สภาดาลชุดแรกนี้ได้ออกคำประกาศอิสรภาพและประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐไอร์แลนด์ คำประกาศนี้ส่วนใหญ่เป็นการย้ำประกาศสาธารณรัฐไอร์แลนด์ปี 1916 โดยมีข้อกำหนดเพิ่มเติมว่าไอร์แลนด์ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรอีกต่อไป กระทรวงดาลเอเริน (Ministry of Dáil Éireann) ของสาธารณรัฐไอร์แลนด์ได้ส่งคณะผู้แทนภายใต้การนำของประธานสภา (Ceann Comhairleคัน โคร์เลภาษาไอริช) ชอน ที. โอเชลลี ไปยังการประชุมสันติภาพปารีส ค.ศ. 1919 แต่ไม่ได้รับการยอมรับ

หลังสงครามประกาศอิสรภาพไอร์แลนด์และการหยุดยิงในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1921 ผู้แทนรัฐบาลอังกฤษและผู้แทนเจรจาสนธิสัญญาชาวไอร์แลนด์ห้าคน นำโดยอาร์เทอร์ กริฟฟิท โรเบิร์ต บาร์ตัน และไมเคิล คอลลินส์ ได้เจรจาสนธิสัญญาอังกฤษ-ไอร์แลนด์ในลอนดอนตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม ถึง 6 ธันวาคม ค.ศ. 1921 ผู้แทนชาวไอร์แลนด์ตั้งกองบัญชาการที่ฮันส์เพลซ (Hans Place) ในไนท์สบริดจ์ (Knightsbridge) และที่นี่เองในการหารือส่วนตัวเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ได้มีการตัดสินใจแนะนำสนธิสัญญาต่อดาลเอเริน ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1922 สภาดาลชุดที่สองได้ให้สัตยาบันสนธิสัญญาด้วยคะแนนเสียง 64 ต่อ 57
ตามสนธิสัญญา เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1922 เกาะไอร์แลนด์ทั้งเกาะได้กลายเป็นอาณาจักรปกครองตนเอง (Dominion) ที่เรียกว่ารัฐอิสระไอร์แลนด์ (Saorstát Éireannเซาร์สตัต เอียรันน์ภาษาไอริช) ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งรัฐอิสระไอร์แลนด์ (Constitution of the Irish Free State) รัฐสภาไอร์แลนด์เหนือมีทางเลือกที่จะออกจากรัฐอิสระไอร์แลนด์ในหนึ่งเดือนต่อมาและกลับไปรวมกับสหราชอาณาจักร ในช่วงเวลาระหว่างนั้น อำนาจของรัฐสภาแห่งรัฐอิสระไอร์แลนด์ (Parliament of the Irish Free State) และสภาบริหารแห่งรัฐอิสระไอร์แลนด์ (Executive Council of the Irish Free State) ไม่ได้ขยายไปถึงไอร์แลนด์เหนือ ไอร์แลนด์เหนือได้ใช้สิทธิตามสนธิสัญญาที่จะออกจากอาณาจักรใหม่และกลับไปรวมกับสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1922 โดยการยื่นคำร้องต่อกษัตริย์ว่า "อำนาจของรัฐสภาและรัฐบาลแห่งรัฐอิสระไอร์แลนด์จะไม่มีผลบังคับใช้กับไอร์แลนด์เหนืออีกต่อไป" รัฐอิสระไอร์แลนด์เป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ รัฐร่วมประมุขกับสหราชอาณาจักรและอาณาจักรอื่น ๆ ในเครือจักรภพอังกฤษ ประเทศนี้มีข้าหลวงต่างพระองค์ (ผู้แทนพระองค์กษัตริย์) รัฐสภาสองสภา คณะรัฐมนตรีที่เรียกว่า "สภาบริหาร" และนายกรัฐมนตรีที่เรียกว่าประธานสภาบริหาร
3.5. สงครามกลางเมืองไอร์แลนด์

สงครามกลางเมืองไอร์แลนด์ (มิถุนายน ค.ศ. 1922 - พฤษภาคม ค.ศ. 1923) เป็นผลมาจากการให้สัตยาบันสนธิสัญญาอังกฤษ-ไอร์แลนด์และการก่อตั้งรัฐอิสระไอร์แลนด์ กองกำลังฝ่ายต่อต้านสนธิสัญญา นำโดยเอมัน เดฟวาเลรา คัดค้านข้อเท็จจริงที่ว่าการยอมรับสนธิสัญญาเป็นการยกเลิกสาธารณรัฐไอร์แลนด์ปี 1919 ที่พวกเขาเคยสาบานว่าจะจงรักภักดี โดยโต้แย้งต่อหน้าการสนับสนุนของสาธารณชนต่อข้อตกลงว่า "ประชาชนไม่มีสิทธิ์ที่จะทำผิด" พวกเขาคัดค้านมากที่สุดในประเด็นที่ว่ารัฐจะยังคงเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิบริติช และสมาชิกรัฐสภาแห่งรัฐอิสระไอร์แลนด์จะต้องกล่าวคำสาบานที่ฝ่ายต่อต้านสนธิสัญญามองว่าเป็นคำสาบานความจงรักภักดีต่อกษัตริย์อังกฤษ กองกำลังฝ่ายสนับสนุนสนธิสัญญา นำโดยไมเคิล คอลลินส์ โต้แย้งว่าสนธิสัญญาให้ "ไม่ใช่เสรีภาพสูงสุดที่ทุกชาติปรารถนาและพัฒนา แต่เป็นเสรีภาพที่จะบรรลุถึงมัน"
ในช่วงเริ่มต้นของสงคราม กองทัพสาธารณรัฐไอร์แลนด์ (IRA) แบ่งออกเป็นสองค่ายที่ต่อต้านกัน: IRA ฝ่ายสนับสนุนสนธิสัญญา และIRA ฝ่ายต่อต้านสนธิสัญญา IRA ฝ่ายสนับสนุนสนธิสัญญาได้สลายตัวและเข้าร่วมกับกองทัพแห่งชาติชุดใหม่ อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก IRA ฝ่ายต่อต้านสนธิสัญญาขาดโครงสร้างการบังคับบัญชาที่มีประสิทธิภาพ และเนื่องจากยุทธวิธีการป้องกันของกองกำลังฝ่ายสนับสนุนสนธิสัญญาตลอดช่วงสงคราม ไมเคิล คอลลินส์และกองกำลังฝ่ายสนับสนุนสนธิสัญญาของเขาสามารถสร้างกองทัพที่มีทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่หนึ่งหลายหมื่นคนจากกรมทหารไอร์แลนด์ของกองทัพอังกฤษที่ถูกยุบในปี ค.ศ. 1922 ซึ่งสามารถเอาชนะฝ่ายต่อต้านสนธิสัญญาได้ การสนับสนุนด้านปืนใหญ่ เครื่องบิน ปืนกล และกระสุนจากอังกฤษช่วยเสริมกำลังกองกำลังฝ่ายสนับสนุนสนธิสัญญา และภัยคุกคามจากการกลับมาของกองกำลังของกษัตริย์อังกฤษสู่รัฐอิสระได้ขจัดข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับความจำเป็นในการบังคับใช้สนธิสัญญา การขาดการสนับสนุนจากสาธารณชนสำหรับกองกำลังฝ่ายต่อต้านสนธิสัญญา (มักเรียกว่าพวกนอกกฎหมาย) และความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะเอาชนะพวกนอกกฎหมายมีส่วนสำคัญต่อความพ่ายแพ้ของพวกเขา
3.6. รัฐอิสระไอร์แลนด์และรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1937

หลังจากการลงประชามติทั่วประเทศในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1937 รัฐธรรมนูญแห่งไอร์แลนด์ฉบับใหม่ (Bunreacht na hÉireannบุนรัคท์ นา เฮียรันน์ภาษาไอริช) ได้มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 1937 รัฐธรรมนูญฉบับนี้แทนที่รัฐธรรมนูญแห่งรัฐอิสระไอร์แลนด์ และประกาศว่าชื่อของรัฐคือ Éireเอเรภาษาไอริช หรือ "Ireland" ในภาษาอังกฤษ มาตรา 2 และ 3 ของรัฐธรรมนูญกำหนดให้ดินแดนแห่งชาติคือเกาะทั้งเกาะ แต่ก็จำกัดเขตอำนาจของรัฐให้อยู่ในพื้นที่ที่เป็นรัฐอิสระไอร์แลนด์เดิม รัฐบาลรัฐอิสระไอร์แลนด์เดิมได้ยกเลิกตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1936
แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะกำหนดให้มีตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งไอร์แลนด์ แต่คำถามว่าไอร์แลนด์เป็นสาธารณรัฐหรือไม่ยังคงเปิดอยู่ นักการทูตได้รับการรับรองจากกษัตริย์ แต่ประธานาธิบดีใช้อำนาจภายในทั้งหมดของประมุขแห่งรัฐ ตัวอย่างเช่น ประธานาธิบดีให้ความเห็นชอบกฎหมายใหม่ด้วยอำนาจของตนเอง โดยไม่ต้องอ้างอิงถึงกษัตริย์จอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นเพียง "องค์กร" ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายเท่านั้น
ไอร์แลนด์ยังคงเป็นกลางในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เรียกว่าภาวะฉุกเฉิน สถานะอาณาจักรปกครองตนเอง (Dominion status) ของไอร์แลนด์สิ้นสุดลงด้วยการผ่านรัฐบัญญัติสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ค.ศ. 1948 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1949 และประกาศว่ารัฐเป็นสาธารณรัฐ ในเวลานั้น การประกาศเป็นสาธารณรัฐหมายถึงการสิ้นสุดสมาชิกภาพในเครือจักรภพ กฎนี้มีการเปลี่ยนแปลง 10 วันหลังจากไอร์แลนด์ประกาศตนเป็นสาธารณรัฐ ด้วยคำประกาศลอนดอนวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1949 ไอร์แลนด์ไม่ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกอีกครั้งเมื่อมีการแก้ไขกฎเพื่อให้สาธารณรัฐสามารถเข้าร่วมได้ ต่อมา พระราชบัญญัติพระมหากษัตริย์แห่งไอร์แลนด์ ค.ศ. 1542 (Crown of Ireland Act 1542) ถูกยกเลิกในไอร์แลนด์โดยพระราชบัญญัติแก้ไขกฎหมายลายลักษณ์อักษร (กฎหมายไอริชก่อนสหภาพ) ค.ศ. 1962 (Statute Law Revision (Pre-Union Irish Statutes) Act 1962)
3.7. การประกาศสาธารณรัฐและประวัติศาสตร์สมัยใหม่

ไอร์แลนด์เข้าเป็นสมาชิกของสหประชาชาติในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1955 หลังจากถูกปฏิเสธการเป็นสมาชิกเนื่องจากจุดยืนเป็นกลางในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและไม่ได้สนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตร ในขณะนั้น การเข้าร่วมสหประชาชาติเกี่ยวข้องกับการให้คำมั่นว่าจะใช้กำลังเพื่อยับยั้งการรุกรานของรัฐหนึ่งต่ออีกรัฐหนึ่งหากสหประชาชาติเห็นว่าจำเป็น
ความสนใจในการเป็นสมาชิกประชาคมยุโรป (EC) พัฒนาขึ้นในไอร์แลนด์ในช่วงทศวรรษ 1950 โดยมีการพิจารณาการเป็นสมาชิกของสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรปด้วย เนื่องจากสหราชอาณาจักรตั้งใจที่จะเป็นสมาชิก EC ไอร์แลนด์จึงยื่นขอเป็นสมาชิกในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1961 เนื่องจากมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่สำคัญกับสหราชอาณาจักร สมาชิกผู้ก่อตั้ง EC ยังคงสงสัยเกี่ยวกับความสามารถทางเศรษฐกิจ ความเป็นกลาง และนโยบายกีดกันทางการค้าที่ไม่น่าสนใจของไอร์แลนด์ นักเศรษฐศาสตร์และนักการเมืองชาวไอร์แลนด์หลายคนตระหนักว่าจำเป็นต้องมีการปฏิรูปนโยบายเศรษฐกิจ โอกาสในการเป็นสมาชิก EC กลายเป็นเรื่องน่าสงสัยในปี ค.ศ. 1963 เมื่อประธานาธิบดีฝรั่งเศส ชาร์ล เดอ โกล ระบุว่าฝรั่งเศสคัดค้านการเข้าร่วมของอังกฤษ ซึ่งทำให้การเจรจากับประเทศผู้สมัครอื่น ๆ ทั้งหมดหยุดชะงัก ในปี ค.ศ. 1969 ผู้สืบทอดตำแหน่งของเขาคือ ฌอร์ฌ ปงปีดู ไม่ได้คัดค้านการเป็นสมาชิกของอังกฤษและไอร์แลนด์ การเจรจาเริ่มขึ้นและในปี ค.ศ. 1972 สนธิสัญญาภาคยานุวัติ (Treaty of Accession) ได้รับการลงนาม การลงประชามติที่จัดขึ้นในปลายปีเดียวกันได้ยืนยันการเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มของไอร์แลนด์ และในที่สุดก็เข้าร่วม EC ในฐานะรัฐสมาชิกเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1973
วิกฤตเศรษฐกิจในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ได้รับแรงหนุนจากงบประมาณของรัฐบาลพรรคฟินนาเฟล การยกเลิกภาษีรถยนต์ การกู้ยืมเงินมากเกินไป และความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงวิกฤตการณ์น้ำมัน ค.ศ. 1979 มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สำคัญตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 เป็นต้นมา โดยมีการปฏิรูปเศรษฐกิจ การลดหย่อนภาษี การปฏิรูปสวัสดิการ การเพิ่มการแข่งขัน และการห้ามกู้ยืมเงินเพื่อใช้จ่ายในปัจจุบัน นโยบายนี้เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1989-1992 โดยรัฐบาลผสมระหว่างพรรคฟินนาเฟลและพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า และดำเนินต่อไปโดยรัฐบาลผสมระหว่างพรรคฟินนาเฟลและพรรคแรงงาน และรัฐบาลผสมระหว่างพรรคฟินาเกล พรรคแรงงาน และพรรคซ้ายประชาธิปไตย ไอร์แลนด์กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในโลกในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ในช่วงเวลาที่เรียกว่าเสือเคลต์ (Celtic Tiger) ซึ่งกินเวลาจนถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 ไอร์แลนด์มีการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ในประเด็นไอร์แลนด์เหนือ รัฐบาลอังกฤษและไอร์แลนด์เริ่มแสวงหาทางออกอย่างสันติต่อความขัดแย้งรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับกองกำลังกึ่งทหารจำนวนมากและกองทัพบกสหราชอาณาจักรในไอร์แลนด์เหนือที่เรียกว่า "เดอะทรับเบิลส์" ข้อตกลงสันติภาพสำหรับไอร์แลนด์เหนือ หรือที่เรียกว่าความตกลงวันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday Agreement) ได้รับการอนุมัติในปี ค.ศ. 1998 ในการลงประชามติทั้งทางเหนือและทางใต้ของชายแดน ในฐานะส่วนหนึ่งของข้อตกลงสันติภาพ การอ้างสิทธิ์ในดินแดนไอร์แลนด์เหนือในมาตรา 2 และ 3 ของรัฐธรรมนูญแห่งไอร์แลนด์ถูกยกเลิกโดยการลงประชามติ ในเอกสารปกขาวเรื่องเบร็กซิต รัฐบาลสหราชอาณาจักรย้ำถึงความมุ่งมั่นต่อข้อตกลงวันศุกร์ประเสริฐ เกี่ยวกับสถานะของไอร์แลนด์เหนือ รัฐบาลสหราชอาณาจักรระบุว่า "ความต้องการที่ชัดเจนของรัฐบาลสหราชอาณาจักรคือการรักษาสถานะทางรัฐธรรมนูญปัจจุบันของไอร์แลนด์เหนือ: เป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร แต่มีความเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งกับไอร์แลนด์"
4. ภูมิศาสตร์
ภูมิศาสตร์ของไอร์แลนด์มีลักษณะเด่นคือที่ราบลุ่มตอนกลางที่กว้างใหญ่ล้อมรอบด้วยเทือกเขาชายฝั่ง มีแม่น้ำสายสำคัญหลายสายและทะเลสาบจำนวนมาก ภูมิอากาศเป็นแบบภาคพื้นสมุทรชายฝั่งตะวันตกที่อบอุ่นชื้น ส่วนพืชพรรณและสัตว์ป่าก็มีความหลากหลายตามลักษณะภูมิประเทศ ประเทศนี้ยังมีอุทยานแห่งชาติหลายแห่งที่อนุรักษ์ความงามทางธรรมชาติ


รัฐไอร์แลนด์ครอบคลุมพื้นที่ประมาณห้าในหก (70.27 K km2) ของเกาะไอร์แลนด์ (84.42 K km2) โดยมีไอร์แลนด์เหนือเป็นส่วนที่เหลือ เกาะนี้มีอาณาเขตทางเหนือและตะวันตกติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก และทางตะวันออกเฉียงเหนือติดกับช่องแคบเหนือ ทางตะวันออก ทะเลไอริชเชื่อมต่อกับมหาสมุทรแอตแลนติกผ่านช่องแคบเซนต์จอร์จและทะเลเคลติกทางตะวันตกเฉียงใต้
ภูมิประเทศทางตะวันตกส่วนใหญ่ประกอบด้วยหน้าผาที่ขรุขระ เนินเขา และภูเขา ที่ราบลุ่มตอนกลางปกคลุมอย่างกว้างขวางด้วยตะกอนธารน้ำแข็งที่เป็นดินเหนียวและทราย รวมถึงพื้นที่พรุและทะเลสาบหลายแห่ง จุดที่สูงที่สุดคือคาร์รอนทูฮิลล์ (1.04 K m) ซึ่งตั้งอยู่ในเทือกเขาแมคกิลลีคัดดีส์รีกส์ทางตะวันตกเฉียงใต้ แม่น้ำแชนนอน ซึ่งไหลผ่านที่ราบลุ่มตอนกลาง เป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในไอร์แลนด์ด้วยความยาว 386 km ชายฝั่งตะวันตกมีความขรุขระมากกว่าชายฝั่งตะวันออก โดยมีเกาะ คาบสมุทร แหลม และอ่าวจำนวนมาก
ไอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีป่าน้อยที่สุดในยุโรป จนกระทั่งสิ้นสุดยุคสมัยกลาง ดินแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยป่าไม้หนาทึบ พืชพื้นเมือง ได้แก่ ต้นไม้ผลัดใบ เช่น โอ๊ก แอชยุโรป เฮเซลยุโรป เบิร์ช อัลเดอร์ดำ วิลโลว์ แอสเพนยุโรป เอล์มวิช โรแวน และฮอว์ธอร์นสามัญ รวมถึงต้นไม้ไม่ผลัดใบ เช่น สนสกอต ยูยุโรป ฮอลลี่ยุโรป และสตรอว์เบอร์รีทรี การเติบโตของพรุผ้าห่มและการตัดไม้ทำลายป่าอย่างกว้างขวางเพื่อการเกษตรเชื่อว่าเป็นสาเหตุหลักของการตัดไม้ทำลายป่า ปัจจุบัน พื้นที่ป่าไม้ของไอร์แลนด์มีเพียงประมาณ 10% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นป่าปลูกสนที่ไม่ใช่พืชพื้นเมือง และมีเพียง 2% เท่านั้นที่เป็นป่าไม้พื้นเมือง ค่าเฉลี่ยพื้นที่ป่าไม้ในประเทศยุโรปอยู่ที่มากกว่า 33% ตามข้อมูลของ คอยล์เต (Coillte) ซึ่งเป็นธุรกิจป่าไม้ของรัฐ สภาพภูมิอากาศของประเทศทำให้ไอร์แลนด์มีอัตราการเติบโตของป่าไม้ที่เร็วที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป พุ่มไม้แนวรั้ว ซึ่งใช้ในการกำหนดขอบเขตที่ดินตามประเพณี เป็นสิ่งทดแทนที่สำคัญสำหรับถิ่นที่อยู่ของป่าไม้ โดยเป็นที่หลบภัยของพืชป่าพื้นเมืองและสัตว์หลากหลายชนิด ทั้งแมลง นก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ไอร์แลนด์เป็นที่ตั้งของเขตภูมินิเวศบนบกสองแห่ง ได้แก่ ป่าใบกว้างเคลต์และป่าผสมชื้นแอตแลนติกเหนือ
เกษตรกรรมคิดเป็นประมาณ 64% ของพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งส่งผลให้มีพื้นที่จำกัดในการอนุรักษ์ถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมป่าขนาดใหญ่ที่มีความต้องการอาณาเขตมากกว่า ประวัติศาสตร์อันยาวนานของการผลิตทางการเกษตรควบคู่ไปกับวิธีการเกษตรสมัยใหม่ เช่น การใช้ยาฆ่าแมลงและปุ๋ย ได้สร้างแรงกดดันต่อความหลากหลายทางชีวภาพ
4.1. ลักษณะภูมิประเทศและธรณีวิทยา
เกาะไอร์แลนด์มีลักษณะทางภูมิประเทศที่หลากหลาย โดยมีที่ราบลุ่มตอนกลางที่กว้างใหญ่ล้อมรอบด้วยเทือกเขาชายฝั่ง เทือกเขาที่สำคัญ ได้แก่ เทือกเขาแมคกิลลีคัดดีส์รีกส์ (MacGillycuddy's Reeks) ซึ่งเป็นที่ตั้งของยอดเขาคาร์รอนทูฮิลล์ (Carrauntoohil) จุดที่สูงที่สุดในไอร์แลนด์ (1.04 K m) เทือกเขาอื่น ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ เทือกเขาวิกโลว์ (Wicklow Mountains) ทางตะวันออก เทือกเขามอร์น (Mourne Mountains) ในไอร์แลนด์เหนือ (ซึ่งมีพรมแดนติดกับสาธารณรัฐ) และเทือกเขาคอนเนมารา (Connemara Mountains) ทางตะวันตก
ที่ราบลุ่มตอนกลางส่วนใหญ่เกิดจากการทับถมของตะกอนธารน้ำแข็งในยุคน้ำแข็ง ประกอบด้วยดินเหนียวและทราย ทำให้เกิดพื้นที่พรุ (bogland) ที่กว้างขวาง ซึ่งเป็นลักษณะเด่นทางภูมิศาสตร์ของไอร์แลนด์ แม่น้ำสายสำคัญหลายสายไหลผ่านที่ราบนี้ ที่ยาวที่สุดคือแม่น้ำแชนนอน (River Shannon) ซึ่งมีความยาว 386 km และไหลลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติก นอกจากนี้ยังมีทะเลสาบ (loughs) ขนาดใหญ่อีกหลายแห่ง เช่น ทะเลสาบล็อกเน (Lough Neagh) ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในเกาะอังกฤษและไอร์แลนด์ (ส่วนใหญ่อยู่ในไอร์แลนด์เหนือ) ทะเลสาบล็อกคอร์ริบ (Lough Corrib) และทะเลสาบล็อกเดิร์ก (Lough Derg)
โครงสร้างทางธรณีวิทยาของไอร์แลนด์มีความซับซ้อน ประกอบด้วยหินหลากหลายชนิดและอายุ หินที่เก่าแก่ที่สุดพบทางตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันตก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเกิดเทือกเขาคาเลโดเนียน (Caledonian Orogeny) หินส่วนใหญ่เป็นหินแปรและหินอัคนี ในขณะที่พื้นที่ตอนกลางส่วนใหญ่เป็นหินปูนยุคคาร์บอนิเฟอรัส ซึ่งทำให้เกิดภูมิประเทศแบบคาสต์ (karst) ในบางพื้นที่ เช่น ภูมิภาคเบอร์เรน (The Burren) ในเทศมณฑลแคลร์ ชายฝั่งทะเลของไอร์แลนด์มีความหลากหลาย โดยชายฝั่งตะวันตกมีลักษณะขรุขระ เต็มไปด้วยหน้าผาสูงชัน อ่าวเว้าแหว่ง และเกาะแก่งมากมาย เช่น หน้าผาโมเฮอร์ (Cliffs of Moher) และคาบสมุทรดิงเกิล (Dingle Peninsula) ส่วนชายฝั่งตะวันออกมีความราบเรียบกว่า
การทำเหมืองแร่เคยเป็นอุตสาหกรรมสำคัญ โดยมีการขุดพบตะกั่ว สังกะสี และทองแดง ปัจจุบันการทำเหมืองลดน้อยลง แต่ยังคงมีการสำรวจแหล่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันนอกชายฝั่ง
4.2. ภูมิอากาศ

ไอร์แลนด์มีภูมิอากาศแบบภาคพื้นสมุทรชายฝั่งตะวันตก (temperate oceanic climate) ซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างมากจากมหาสมุทรแอตแลนติกและกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม ทำให้มีอุณหภูมิที่ไม่รุนแรงนักตลอดทั้งปี ฤดูหนาวไม่หนาวจัด และฤดูร้อนไม่ร้อนจัด
อุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) อยู่ที่ประมาณ 4 °C ถึง 7 °C และไม่ค่อยลดต่ำกว่า -5 °C ฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม) มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 14 °C ถึง 17 °C และไม่ค่อยสูงเกิน 26 °C อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึกไว้คือ 33.3 °C ที่ปราสาทคิลเคนนี ในเทศมณฑลคิลเคนนี เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1887 และอุณหภูมิต่ำสุดที่เคยบันทึกไว้คือ -19.1 °C ที่ปราสาทมาร์ครี ในเทศมณฑลสไลโก
ปริมาณน้ำฝนค่อนข้างสูงและกระจายตัวตลอดทั้งปี แต่มีแนวโน้มที่จะตกชุกมากกว่าในช่วงฤดูหนาวและน้อยกว่าในช่วงต้นฤดูร้อน พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ได้รับปริมาณน้ำฝนมากที่สุดเนื่องจากลมตะวันตกเฉียงใต้พัดพาความชื้นจากมหาสมุทรแอตแลนติกเข้ามา ในขณะที่ดับลินทางตะวันออกได้รับปริมาณน้ำฝนน้อยที่สุด ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีโดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 750 mm ถึง 1.00 K mm ในพื้นที่ราบ และอาจสูงถึง 2.00 K mm ในพื้นที่ภูเขา
ปริมาณแสงแดดโดยเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 1,100 ถึง 1,600 ชั่วโมง โดยพื้นที่ส่วนใหญ่มีแสงแดดเฉลี่ยวันละ 3.25 ถึง 3.75 ชั่วโมง เดือนที่มีแสงแดดมากที่สุดคือพฤษภาคมและมิถุนายน โดยมีแสงแดดเฉลี่ยวันละ 5 ถึง 6.5 ชั่วโมงในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ภาคตะวันออกเฉียงใต้ได้รับแสงแดดมากที่สุด โดยเฉลี่ยมากกว่า 7 ชั่วโมงต่อวันในช่วงต้นฤดูร้อน เดือนธันวาคมเป็นเดือนที่มีแสงแดดน้อยที่สุด โดยมีแสงแดดเฉลี่ยต่อวันตั้งแต่ประมาณ 1 ชั่วโมงทางตอนเหนือจนถึงเกือบ 2 ชั่วโมงทางตะวันออกเฉียงใต้สุด
พื้นที่ทางตอนเหนือและตะวันตกสุดเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีลมแรงที่สุดในยุโรป ทำให้มีศักยภาพสูงสำหรับการผลิตพลังงานลม หิมะตกเป็นครั้งคราว แต่ไม่ค่อยตกหนักและมักละลายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ชายฝั่งทะเล
4.3. พืชพรรณและสัตว์ป่า

ในอดีต เกาะไอร์แลนด์เคยปกคลุมไปด้วยป่าไม้หนาแน่น แต่การตัดไม้ทำลายป่าเพื่อการเกษตรและการใช้ไม้เป็นเชื้อเพลิงตั้งแต่สมัยโบราณทำให้พื้นที่ป่าลดลงอย่างมาก ปัจจุบัน พื้นที่ป่าไม้ของไอร์แลนด์คิดเป็นประมาณ 11% ของพื้นที่ประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นป่าปลูกเชิงพาณิชย์ เช่น สนและสปรูซ พืชพรรณดั้งเดิมที่ยังคงพบเห็นได้ทั่วไปคือทุ่งหญ้าและพรุ (bog) ซึ่งเป็นระบบนิเวศที่มีลักษณะเฉพาะของไอร์แลนด์ พรุเหล่านี้เป็นที่อยู่ของพืชหลายชนิด เช่น มอสสแฟกนัม (sphagnum moss) เฮเทอร์ (heather) และพืชกินแมลงบางชนิด พืชที่เป็นสัญลักษณ์ของไอร์แลนด์คือ แชมร็อก (shamrock) ซึ่งเป็นพืชในสกุลโคลเวอร์
สัตว์ป่าพื้นเมืองของไอร์แลนด์มีจำนวนไม่มากนักเมื่อเทียบกับพื้นที่บนภาคพื้นทวีปยุโรป เนื่องจากเกาะนี้ถูกตัดขาดจากแผ่นดินใหญ่หลังยุคน้ำแข็ง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่พบเห็นได้ทั่วไป ได้แก่ หมาจิ้งจอกแดง (red fox) แบดเจอร์ยุโรป (European badger) กระต่ายป่ายุโรป (European hare) กระต่ายยุโรป (European rabbit) เพียงพอน (stoat) และค้างคาวหลายชนิด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ เช่น กวางแดง (red deer) ก็ยังคงมีอยู่ แต่ประชากรลดลงมาก สัตว์เลื้อยคลานพื้นเมืองมีเพียงชนิดเดียวคือ จิ้งเหลนทั่วไป (common lizard) ไม่มีงูพิษพื้นเมืองในไอร์แลนด์
นกเป็นกลุ่มสัตว์ที่มีความหลากหลายมากที่สุดในไอร์แลนด์ มีนกประจำถิ่นและนกอพยพหลายร้อยชนิด ชายฝั่งทะเลเป็นแหล่งอาศัยและผสมพันธุ์ที่สำคัญของนกทะเล เช่น นกพัฟฟินแอตแลนติก (Atlantic puffin) นกนางนวลแกลบ (tern) และนกแกนเน็ต (gannet) ในแหล่งน้ำจืดจะพบเป็ด หงส์ และนกน้ำอื่น ๆ
น่านน้ำรอบเกาะไอร์แลนด์อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ทะเลหลายชนิด รวมถึงปลาหลากหลายสายพันธุ์ เช่น ปลาค็อด ปลาแซลมอน และปลาแมคเคอเรล สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล เช่น โลมา แมวน้ำ และวาฬ ก็สามารถพบเห็นได้ตามชายฝั่ง
ไอร์แลนด์มีความพยายามในการอนุรักษ์พืชพรรณและสัตว์ป่า รวมถึงการฟื้นฟูพื้นที่ป่าไม้และการปกป้องระบบนิเวศที่เปราะบาง เช่น พรุและพื้นที่ชุ่มน้ำ อย่างไรก็ตาม การเกษตรกรรมแบบเข้มข้นและการพัฒนาเมืองยังคงเป็นภัยคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพ
4.4. อุทยานแห่งชาติ
ไอร์แลนด์มีอุทยานแห่งชาติ 6 แห่งที่จัดตั้งขึ้นเพื่อคุ้มครองและอนุรักษ์ความงามทางธรรมชาติ มรดกทางวัฒนธรรม และความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ อุทยานเหล่านี้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ การศึกษา และการชื่นชมธรรมชาติ
1. อุทยานแห่งชาติคิลลาร์นีย์ (Killarney National Park) เทศมณฑลเคอร์รี: เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไอร์แลนด์ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1932 ครอบคลุมพื้นที่ทะเลสาบ ภูเขา และป่าไม้โอ๊กและยูที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในไอร์แลนด์ เป็นที่อยู่ของกวางแดงฝูงเดียวที่เหลืออยู่ในไอร์แลนด์ และมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น ปราสาทรอสส์ (Ross Castle) และคฤหาสน์มักครอส (Muckross House)
2. อุทยานแห่งชาติคอนเนมารา (Connemara National Park) เทศมณฑลกอลเวย์: ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1980 โดดเด่นด้วยภูมิประเทศที่หลากหลาย ทั้งภูเขา ทุ่งหญ้า พรุ และป่าไม้ เป็นที่อยู่ของม้าโพนี่คอนเนมารา และมีเส้นทางเดินป่าที่สวยงาม
3. อุทยานแห่งชาติเกลนเวห์ (Glenveagh National Park) เทศมณฑลดอนิกอล: ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1984 เป็นอุทยานที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของไอร์แลนด์ มีลักษณะเป็นหุบเขาลึก ทะเลสาบ และป่าไม้โอ๊ก มีปราสาทเกลนเวห์ (Glenveagh Castle) ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ และเป็นแหล่งอนุบาลนกอินทรีทองที่ปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ
4. อุทยานแห่งชาติเบอร์เรน (Burren National Park) เทศมณฑลแคลร์: ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1991 มีภูมิประเทศแบบคาสต์ที่เป็นเอกลักษณ์ ประกอบด้วยหินปูนเปลือยที่มีรอยแตกและร่องลึก เป็นที่อยู่ของพืชพรรณหายากที่ผสมผสานระหว่างพืชแถบอาร์กติก พืชแถบเทือกเขาแอลป์ และพืชแถบเมดิเตอร์เรเนียน
5. อุทยานแห่งชาติเทือกเขาวิกโลว์ (Wicklow Mountains National Park) เทศมณฑลวิกโลว์: ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1991 ครอบคลุมพื้นที่ภูเขาส่วนใหญ่ของเทือกเขาวิกโลว์ มีทิวทัศน์ที่สวยงาม ทั้งน้ำตก หุบเขา และซากปรักหักพังของอารามโบราณ เช่น เกลนดาล็อก (Glendalough)
6. อุทยานแห่งชาติไวลด์เนฟิน (Wild Nephin National Park) (เดิมชื่อ อุทยานแห่งชาติบอลลีครอย) เทศมณฑลเมโย: ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1998 เป็นหนึ่งในพื้นที่พรุผ้าห่ม (blanket bog) ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป มีความสำคัญทางนิเวศวิทยาอย่างยิ่งและเป็นพื้นที่ห่างไกลผู้คน ให้ประสบการณ์ธรรมชาติที่แท้จริง
อุทยานแห่งชาติเหล่านี้บริหารจัดการโดยหน่วยงานบริการอุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่า (National Parks and Wildlife Service) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการปกป้องมรดกทางธรรมชาติของไอร์แลนด์และส่งเสริมความตระหนักรู้ถึงคุณค่าของพื้นที่เหล่านี้
5. การเมือง
ไอร์แลนด์เป็นสาธารณรัฐที่มีระบบรัฐสภาเป็นรูปแบบการปกครอง รัฐธรรมนูญแห่งไอร์แลนด์ ซึ่งประกาศใช้ในปี ค.ศ. 1937 เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ โดยกำหนดโครงสร้างและอำนาจของสถาบันทางการเมืองหลัก ได้แก่ ประธานาธิบดี ฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) ฝ่ายนิติบัญญัติ (เอรัฆตัส) และฝ่ายตุลาการ ไอร์แลนด์มีระบบหลายพรรคการเมือง และการเมืองมักมีลักษณะเป็นการจัดตั้งรัฐบาลผสม
5.1. รูปแบบการปกครอง
ไอร์แลนด์เป็นสาธารณรัฐแบบระบบรัฐสภา ซึ่งหมายความว่าประมุขแห่งรัฐคือประธานาธิบดีแห่งไอร์แลนด์ แต่ผู้มีอำนาจบริหารที่แท้จริงคือรัฐบาลไอร์แลนด์ ซึ่งนำโดยทีเชิฆ (นายกรัฐมนตรี) และต้องได้รับความไว้วางใจจากดาลเอเริน (สภาผู้แทนราษฎร) ซึ่งเป็นสภาล่างของรัฐสภา รัฐธรรมนูญแห่งไอร์แลนด์ปี ค.ศ. 1937 เป็นกฎหมายสูงสุด กำหนดโครงสร้างอำนาจและการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมือง
หลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญ ได้แก่ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน การแบ่งแยกอำนาจระหว่างฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ และการประกันสิทธิมนุษยชน แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะระบุถึงพระเป็นเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่ไอร์แลนด์ก็เป็นรัฐฆราวาสที่ประกันเสรีภาพทางศาสนาและห้ามการสถาปนาศาสนาใดเป็นศาสนาประจำชาติ
ไอร์แลนด์ปกครองด้วยระบบหลายพรรคการเมือง ซึ่งหมายความว่าไม่มีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งสามารถครองอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเป็นเวลานาน การจัดตั้งรัฐบาลผสมจึงเป็นเรื่องปกติ การเลือกตั้งทั่วไปจัดขึ้นอย่างน้อยทุก ๆ ห้าปีโดยใช้ระบบการลงคะแนนแบบสัดส่วนโดยใช้การโอนคะแนนเสียง (Proportional Representation by means of the Single Transferable Vote - PR-STV) ซึ่งเป็นระบบที่มุ่งให้การจัดสรรที่นั่งในรัฐสภาสะท้อนสัดส่วนคะแนนเสียงที่แต่ละพรรคได้รับอย่างยุติธรรม
5.2. ประธานาธิบดี

ประธานาธิบดีแห่งไอร์แลนด์ (Uachtarán na hÉireannอวฆตาราน นา เฮียรันน์ภาษาไอริช) เป็นประมุขแห่งรัฐของไอร์แลนด์ ตำแหน่งประธานาธิบดีส่วนใหญ่มีบทบาทในเชิงพิธีการ แต่ก็มีอำนาจและหน้าที่สำคัญบางประการตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
การเลือกตั้งและวาระการดำรงตำแหน่ง:
ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน มีวาระการดำรงตำแหน่ง 7 ปี และสามารถดำรงตำแหน่งได้ไม่เกินสองวาระ ผู้สมัครจะต้องเป็นพลเมืองไอริชและมีอายุอย่างน้อย 35 ปี
อำนาจและบทบาท:
แม้ว่าอำนาจบริหารส่วนใหญ่จะอยู่ที่รัฐบาล แต่ประธานาธิบดีก็มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญหลายประการ ได้แก่:
- แต่งตั้งทีเชิฆ (นายกรัฐมนตรี) ตามการเสนอชื่อของดาลเอเริน (สภาล่าง) และแต่งตั้งรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ตามคำแนะนำของทีเชิฆและต้องได้รับความเห็นชอบจากดาลเอเริน
- ยุบสภาดาลเอเรินตามคำแนะนำของทีเชิฆ (เว้นแต่ในสถานการณ์ที่ทีเชิฆสูญเสียความไว้วางใจจากเสียงข้างมากในดาลเอเริน ประธานาธิบดีอาจใช้ดุลยพินิจปฏิเสธการยุบสภาได้)
- ลงนามในร่างกฎหมายที่ผ่านรัฐสภา (เอรัฆตัส) เพื่อให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย
- มีอำนาจส่งร่างกฎหมาย (ภายหลังการปรึกษาหารือกับสภาแห่งรัฐ (Council of State)) ไปยังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ก่อนที่จะลงนาม
- ปราศรัยต่อรัฐสภาหรือต่อประชาชน
- เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองกำลังป้องกันตนเอง
- ใช้อำนาจอภัยโทษหรือลดหย่อนโทษตามคำแนะนำของรัฐบาล
ประธานาธิบดีต้องปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากอคติทางการเมืองและเป็นตัวแทนของประชาชนชาวไอร์แลนด์ทั้งปวง ที่พำนักอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีคือ อารัส อัน อวฆตาราน (Áras an Uachtaráin) ในสวนฟีนิกซ์ ดับลิน
ไมเคิล ดี. ฮิกกินส์ (Michael D. Higgins) ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งไอร์แลนด์คนปัจจุบัน เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 2011
5.3. ฝ่ายบริหาร

ฝ่ายบริหารของไอร์แลนด์คือรัฐบาลไอร์แลนด์ ซึ่งประกอบด้วยทีเชิฆ (Taoiseach - นายกรัฐมนตรี) และรัฐมนตรีคนอื่น ๆ โดยปกติแล้ว รัฐบาลจะประกอบด้วยสมาชิกไม่เกิน 15 คน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ทีเชิฆเป็นหัวหน้ารัฐบาลและได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีตามการเสนอชื่อของดาลเอเริน (Dáil Éireann - สภาล่างของรัฐสภา) ส่วนรัฐมนตรีคนอื่น ๆ จะได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีตามการเสนอชื่อของทีเชิฆ และต้องได้รับความเห็นชอบจากดาลเอเริน
ทีเชิฆมักจะเป็นผู้นำของพรรคการเมืองที่ได้ที่นั่งมากที่สุดในการเลือกตั้งระดับชาติ หรือผู้นำของพรรคที่ใหญ่ที่สุดในรัฐบาลผสม เนื่องจากระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนของไอร์แลนด์ ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวเป็นเรื่องยาก รัฐบาลผสมจึงเป็นลักษณะทั่วไปของการเมืองไอร์แลนด์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 เป็นต้นมา
รัฐบาลมีอำนาจบริหารประเทศและรับผิดชอบร่วมกันต่อดาลเอเริน ซึ่งหมายความว่าหากรัฐบาลสูญเสียความไว้วางใจจากเสียงข้างมากในดาลเอเริน รัฐบาลจะต้องลาออก หรือทีเชิฆอาจขอให้ประธานาธิบดียุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่
องค์ประกอบสำคัญของฝ่ายบริหาร ได้แก่:
- ทีเชิฆ (Taoiseach): นายกรัฐมนตรีและหัวหน้ารัฐบาล มีหน้าที่หลักในการนำรัฐบาล กำหนดนโยบาย และเป็นตัวแทนของประเทศในเวทีระหว่างประเทศ
- ตานิชตะ (Tánaiste): รองนายกรัฐมนตรี ได้รับการแต่งตั้งจากทีเชิฆจากสมาชิกรัฐบาล และจะทำหน้าที่แทนทีเชิฆในกรณีที่ทีเชิฆไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
- รัฐมนตรี (Ministers): สมาชิกของรัฐบาลที่รับผิดชอบกระทรวงต่าง ๆ เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น รัฐมนตรีจะต้องเป็นสมาชิกของเอรัฆตัส (Oireachtas - รัฐสภา) และไม่เกินสองคนสามารถมาจากชานัดเอเริน (Seanad Éireann - สภาสูง) ส่วนที่เหลือ (รวมถึงทีเชิฆ ตานิชตะ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) ต้องมาจากดาลเอเริน
กระบวนการตัดสินใจนโยบายที่สำคัญมักจะเริ่มต้นจากการหารือภายในคณะรัฐมนตรี จากนั้นจึงนำเสนอร่างกฎหมายต่อเอรัฆตัสเพื่อพิจารณาและอนุมัติ รัฐบาลยังต้องรับผิดชอบในการดำเนินนโยบายที่ผ่านการอนุมัติแล้ว และบริหารจัดการหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ
รัฐบาลปัจจุบันของไอร์แลนด์ (ณ เดือนกรกฎาคม 2024) เป็นรัฐบาลผสมสามพรรค นำโดยทีเชิฆ ไซมอน แฮร์ริส จากพรรคฟินาเกล ร่วมกับพรรคฟินนาเฟล และพรรคกรีน
5.4. ฝ่ายนิติบัญญัติ (เอรัฆตัส)
ฝ่ายนิติบัญญัติของไอร์แลนด์คือ เอรัฆตัส (Oireachtasออยรัคตัสภาษาไอริช) ซึ่งเป็นรัฐสภาแห่งชาติ ประกอบด้วยสองสภาและประธานาธิบดีแห่งไอร์แลนด์
1. ดาลเอเริน (Dáil Éireannดาล เอียรันภาษาไอริช):
- เป็นสภาล่างและเป็นสภาที่มีอำนาจมากกว่าในสองสภา
- สมาชิกเรียกว่า Teachtaí Dálaเทียคตี ดาลาภาษาไอริช (TDs) หรือ "ผู้แทน"
- ปัจจุบันมีสมาชิก 174 คน (อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามการแบ่งเขตเลือกตั้ง)
- สมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนผ่านระบบการลงคะแนนแบบสัดส่วนโดยใช้การโอนคะแนนเสียง (Proportional Representation by means of the Single Transferable Vote - PR-STV) ในเขตเลือกตั้งแบบหลายผู้แทน
- มีวาระการดำรงตำแหน่งไม่เกิน 5 ปี หลังจากนั้นจะต้องมีการเลือกตั้งทั่วไป
- ดาลเอเรินมีอำนาจหลักในการออกกฎหมาย แต่งตั้งและถอดถอนรัฐบาล และควบคุมการคลังของประเทศ ทีเชิฆ (นายกรัฐมนตรี) จะต้องได้รับความไว้วางใจจากเสียงข้างมากในดาลเอเริน
2. ชานัดเอเริน (Seanad Éireannชานัด เอียรันภาษาไอริช):
- เป็นสภาสูงของรัฐสภา
- มีสมาชิกทั้งหมด 60 คน ประกอบด้วย:
- 11 คน ได้รับการแต่งตั้งโดยทีเชิฆ
- 6 คน ได้รับการเลือกตั้งจากผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยบางแห่ง (มหาวิทยาลัยแห่งชาติไอร์แลนด์ และมหาวิทยาลัยดับลิน (ทรินิตีคอลเลจ))
- 43 คน ได้รับการเลือกตั้งจากคณะผู้เลือกตั้งที่ประกอบด้วยสมาชิกสภาท้องถิ่น สมาชิกดาลเอเรินชุดปัจจุบัน และสมาชิกชานัดเอเรินชุดที่กำลังจะหมดวาระ โดยผู้สมัครจะมาจากบัญชีรายชื่อตามกลุ่มอาชีพ 5 กลุ่ม (วัฒนธรรมและการศึกษา, เกษตรกรรม, แรงงาน, อุตสาหกรรมและการพาณิชย์, และการบริหารรัฐกิจ)
- ชานัดเอเรินมีอำนาจน้อยกว่าดาลเอเริน บทบาทหลักคือการพิจารณาและเสนอแนะการแก้ไขร่างกฎหมายที่ผ่านการอนุมัติจากดาลเอเรินแล้ว (ยกเว้นร่างกฎหมายการเงิน) สามารถชะลอร่างกฎหมายได้แต่ไม่สามารถยับยั้งได้อย่างถาวร
- นอกจากนี้ ชานัดเอเรินยังทำหน้าที่เป็นเวทีสำหรับการอภิปรายในประเด็นสาธารณะที่สำคัญ
กระบวนการนิติบัญญัติ:
ร่างกฎหมายส่วนใหญ่จะเริ่มต้นในดาลเอเริน เมื่อผ่านการพิจารณาทั้งสามวาระในดาลเอเรินแล้ว จะถูกส่งไปยังชานัดเอเรินเพื่อพิจารณา หากชานัดเอเรินแก้ไขร่างกฎหมาย ดาลเอเรินจะต้องพิจารณาการแก้ไขนั้นอีกครั้ง เมื่อร่างกฎหมายผ่านการอนุมัติจากทั้งสองสภาแล้ว (หรือหากชานัดเอเรินไม่สามารถยับยั้งได้) จะถูกส่งไปยังประธานาธิบดีเพื่อลงนามให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย
เอรัฆตัสประชุมกันที่บ้านเลนสเตอร์ (Leinster House) ในกรุงดับลิน
5.5. ฝ่ายตุลาการ
ฝ่ายตุลาการของไอร์แลนด์เป็นอิสระจากฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ทำหน้าที่ในการตีความกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมถึงการบริหารจัดการความยุติธรรม ระบบศาลของไอร์แลนด์มีโครงสร้างเป็นลำดับชั้น และยึดมั่นในหลักนิติธรรม
องค์กรศาลหลัก:
1. ศาลแขวง (District Court):
- เป็นศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจศาลกว้างขวางที่สุด พิจารณาคดีอาญาที่ไม่ร้ายแรง (summary offences) และคดีแพ่งที่มีมูลค่าไม่สูงนัก รวมถึงคดีครอบครัวบางประเภท
- มีผู้พิพากษาศาลแขวงทำหน้าที่พิจารณาคดีโดยไม่มีลูกขุน
2. ศาลภาค (Circuit Court):
- มีเขตอำนาจศาลสูงกว่าศาลแขวง พิจารณาคดีอาญาที่ร้ายแรงกว่า (indictable offences ที่ไม่ผูกขาดโดยศาลอาญากลาง) และคดีแพ่งที่มีมูลค่าสูงกว่าศาลแขวง รวมถึงคดีครอบครัวที่ซับซ้อนกว่า
- การพิจารณาคดีอาญาในศาลภาคมักจะมีลูกขุน
3. ศาลสูง (High Court):
- มีเขตอำนาจศาลดั้งเดิมเต็มรูปแบบในการพิจารณาทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาที่ร้ายแรงที่สุด รวมถึงการตรวจสอบการกระทำของฝ่ายบริหาร (judicial review)
- มีอำนาจในการตีความรัฐธรรมนูญและพิจารณาว่ากฎหมายหรือการกระทำของรัฐขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ (ร่วมกับศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา)
- การพิจารณาคดีอาญาในศาลสูง (เรียกว่าศาลอาญากลาง - Central Criminal Court เมื่อพิจารณาคดีอาญา) จะมีลูกขุน
4. ศาลอุทธรณ์ (Court of Appeal):
- จัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2014 เพื่อลดภาระงานของศาลฎีกา
- มีอำนาจพิจารณาคำอุทธรณ์จากศาลสูง ทั้งในคดีแพ่งและคดีอาญา
5. ศาลฎีกา (Supreme Court):
- เป็นศาลสูงสุดในระบบตุลาการของไอร์แลนด์
- มีอำนาจพิจารณาคำอุทธรณ์จากศาลอุทธรณ์ และในบางกรณีอาจพิจารณาคำอุทธรณ์โดยตรงจากศาลสูง หากเห็นว่าเป็นประเด็นที่มีความสำคัญต่อสาธารณะหรือเกี่ยวข้องกับการตีความรัฐธรรมนูญ
- คำตัดสินของศาลฎีกาถือเป็นที่สิ้นสุด
หลักการสำคัญของระบบตุลาการ:
- ความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการ: ผู้พิพากษาได้รับการแต่งตั้งและมีหลักประกันในการดำรงตำแหน่งเพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างอิสระ ปราศจากการแทรกแซงจากฝ่ายอื่น
- หลักนิติธรรม: ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน และการกระทำของรัฐจะต้องเป็นไปตามกฎหมาย
- การพิจารณาคดีอย่างเปิดเผย: โดยทั่วไป การพิจารณาคดีจะต้องกระทำในที่สาธารณะ เว้นแต่ในกรณีพิเศษที่กฎหมายกำหนด
- สิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม: รวมถึงสิทธิในการมีทนายความ สิทธิที่จะไม่ถูกกล่าวหาซ้ำในความผิดเดิม และสิทธิที่จะสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ามีความผิด
- การพิจารณาคดีโดยลูกขุน: สำหรับคดีอาญาที่ร้ายแรง ผู้ต้องหามีสิทธิได้รับการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน

การแต่งตั้งผู้พิพากษาดำเนินการโดยประธานาธิบดีตามคำแนะนำของรัฐบาล ซึ่งโดยปกติจะพิจารณาจากคำแนะนำของคณะกรรมการที่ปรึกษาการแต่งตั้งผู้พิพากษา (Judicial Appointments Advisory Board)
5.6. พรรคการเมืองหลัก
ไอร์แลนด์มีระบบหลายพรรคการเมือง ซึ่งหมายความว่าไม่มีพรรคใดพรรคหนึ่งสามารถครองเสียงข้างมากในรัฐสภาได้อย่างถาวร และรัฐบาลผสมเป็นเรื่องปกติ ภูมิทัศน์ทางการเมืองของไอร์แลนด์มีพรรคการเมืองหลักหลายพรรคที่มีอุดมการณ์และฐานเสียงที่แตกต่างกัน
พรรคการเมืองหลักที่มีบทบาทสำคัญในปัจจุบันและในอดีต ได้แก่:
1. ฟินนาเฟล (Fianna Fáilเฟียนนา ฟอยล์ภาษาไอริช - The Republican Party):
- เป็นหนึ่งในสองพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดและมีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดในไอร์แลนด์ ก่อตั้งโดย เอมัน เดฟวาเลรา
- โดยทั่วไปถือเป็นพรรคประชานิยมฝ่ายกลางถึงกลางขวา เน้นความเป็นชาตินิยมแบบสาธารณรัฐ และดั้งเดิมมีฐานเสียงในชนบทและในหมู่ผู้สนับสนุนแนวทางของเดฟวาเลรา
- เคยเป็นพรรครัฐบาลหลายสมัยและมีอิทธิพลอย่างมากต่อการเมืองไอร์แลนด์ในศตวรรษที่ 20
2. ฟินาเกล (Fine Gaelฟินา เกลภาษาไอริช - The United Ireland Party):
- เป็นพรรคใหญ่อันดับสอง มีรากฐานมาจากฝ่ายที่สนับสนุนสนธิสัญญาอังกฤษ-ไอร์แลนด์ในสงครามกลางเมืองไอร์แลนด์
- โดยทั่วไปถือเป็นพรรคกลางขวา มีแนวโน้มสนับสนุนคริสเตียนเดโมแครตและเศรษฐกิจเสรีนิยม
- มักเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคอื่น ๆ โดยเฉพาะพรรคแรงงาน
3. ซินน์เฟน (Sinn Féinชินน์ เฟนภาษาไอริช - Ourselves Alone):
- เป็นพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายและชาตินิยมไอร์แลนด์ มีเป้าหมายหลักคือการรวมไอร์แลนด์เป็นหนึ่งเดียว
- ในอดีตมีความเชื่อมโยงกับกองทัพสาธารณรัฐไอร์แลนด์เฉพาะกาล (Provisional IRA) แต่ปัจจุบันเป็นพรรคการเมืองที่ดำเนินงานตามรัฐธรรมนูญ
- ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ และกลายเป็นพรรคที่มีที่นั่งมากที่สุดในดาลเอเรินหลังการเลือกตั้งปี ค.ศ. 2020 (แม้จะไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล)
4. พรรคแรงงาน (Labour Party):
- เป็นพรรคการเมืองสังคมประชาธิปไตยฝ่ายกลางซ้ายที่เก่าแก่ที่สุดในไอร์แลนด์
- มุ่งเน้นนโยบายด้านความยุติธรรมทางสังคม สิทธิแรงงาน และบริการสาธารณะ
- มักเข้าร่วมรัฐบาลผสมกับฟินาเกลหรือฟินนาเฟล
5. พรรคกรีน (Green Party / Comhaontas Glasโคมันตัส กลัสภาษาไอริช):
- เป็นพรรคการเมืองที่เน้นนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
- มีแนวโน้มทางการเมืองฝ่ายซ้าย
- เคยเข้าร่วมรัฐบาลผสมและมีบทบาทในการผลักดันนโยบายสีเขียว
6. พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย (Social Democrats):
- ก่อตั้งในปี ค.ศ. 2015 เป็นพรรคการเมืองฝ่ายกลางซ้าย เน้นความโปร่งใส ความเสมอภาค และบริการสาธารณะที่มีคุณภาพ
7. ประชาชนเหนือผลประโยชน์ - ความเป็นปึกแผ่น (People Before Profit-Solidarity):
- เป็นพันธมิตรทางการเมืองฝ่ายซ้ายจัดและพรรคสังคมนิยม เน้นการต่อต้านทุนนิยมและนโยบายรัดเข็มขัด
นอกจากนี้ยังมีพรรคเล็ก ๆ และผู้สมัครอิสระอีกจำนวนหนึ่งที่ได้รับเลือกตั้งเข้าสู่รัฐสภา
ระบบการเลือกตั้ง:
ไอร์แลนด์ใช้ระบบการลงคะแนนแบบสัดส่วนโดยใช้การโอนคะแนนเสียง (Proportional Representation by means of the Single Transferable Vote - PR-STV) สำหรับการเลือกตั้งสมาชิกระดับชาติและระดับท้องถิ่น ระบบนี้ส่งเสริมให้มีพรรคการเมืองหลายพรรคและทำให้การจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวเป็นเรื่องยาก ซึ่งนำไปสู่การเมืองแบบประนีประนอมและการสร้างพันธมิตร
5.7. การปกครองส่วนท้องถิ่น
การปกครองส่วนท้องถิ่นในไอร์แลนด์ดำเนินการผ่านระบบสภาท้องถิ่น (local authorities) ซึ่งรับผิดชอบในการให้บริการสาธารณะและพัฒนาชุมชนในระดับท้องถิ่น โครงสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นมีการปฏิรูปหลายครั้ง โดยครั้งล่าสุดที่สำคัญคือพระราชบัญญัติปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่น ค.ศ. 2014 (Local Government Reform Act 2014)
เขตการปกครองส่วนท้องถิ่น:
ปัจจุบัน ไอร์แลนด์แบ่งออกเป็น 31 เขตการปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย:
- 26 สภาเทศมณฑล (County Councils)
- 2 สภาเมืองและเทศมณฑล (City and County Councils) (ได้แก่ ลิเมอริก และวอเตอร์ฟอร์ด ซึ่งรวมอำนาจของสภาเมืองและสภาเทศมณฑลเข้าด้วยกัน)
- 3 สภาเมือง (City Councils) (ได้แก่ ดับลิน, คอร์ก และกอลเวย์)
เทศมณฑล (ยกเว้นเทศมณฑลทั้งสามในดับลิน) จะถูกแบ่งออกเป็นเขตเทศบาล (municipal districts) ซึ่งเป็นหน่วยการปกครองย่อยลงมาอีกระดับหนึ่ง ก่อนหน้านี้เคยมีสภาเมือง (town councils) เป็นระดับที่สองของการปกครองส่วนท้องถิ่น แต่ถูกยกเลิกไปในปี ค.ศ. 2014
อำนาจหน้าที่ของสภาท้องถิ่น:
สภาท้องถิ่นมีหน้าที่รับผิดชอบในหลายด้าน ได้แก่:
- การวางผังเมืองและการพัฒนา
- การจัดการถนนหนทางในท้องถิ่น (ไม่รวมถนนหลวงและถนนสายหลักแห่งชาติ)
- การจัดการขยะและสุขาภิบาล
- การให้บริการห้องสมุดสาธารณะ
- การจัดหาที่อยู่อาศัยของรัฐ
- การป้องกันอัคคีภัยและบริการฉุกเฉิน
- การส่งเสริมการท่องเที่ยวและกิจกรรมทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น
- การรักษาสิ่งแวดล้อมในระดับท้องถิ่น
การดำเนินงานและสถานการณ์:
สมาชิกสภาท้องถิ่น (councillors) มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนในเขตเลือกตั้งท้องถิ่นทุก ๆ 5 ปี สภาท้องถิ่นมีผู้บริหารสูงสุด (Chief Executive) ซึ่งเป็นข้าราชการประจำ ทำหน้าที่บริหารงานประจำวันของสภา
สถานการณ์การดำเนินงานของระบบการปกครองส่วนท้องถิ่นในไอร์แลนด์เผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น ข้อจำกัดด้านงบประมาณ ความต้องการบริการสาธารณะที่เพิ่มขึ้น และความจำเป็นในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ มีการถกเถียงกันอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการปฏิรูปโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของสภาท้องถิ่นเพื่อให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการเพิ่มอำนาจในการตัดสินใจและแหล่งรายได้ของตนเองให้กับสภาท้องถิ่น
แม้จะมีข้อจำกัด สภาท้องถิ่นยังคงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในระดับชุมชน และเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมในระดับรากหญ้า
5.8. การทหาร

กองกำลังป้องกันตนเองไอร์แลนด์ (Óglaigh na hÉireannโอโกลย นา เฮียรันน์ภาษาไอริช) ประกอบด้วยกองทัพบก หน่วยบริการทางเรือ หน่วยบริการทางอากาศ และกองกำลังสำรอง เป็นกองกำลังขนาดเล็กแต่มีอุปกรณ์ครบครัน โดยมีบุคลากรทางทหารเต็มเวลาเกือบ 10,000 นาย และกำลังสำรองกว่า 2,000 นาย ไอร์แลนด์เป็นประเทศเป็นกลาง และมีกฎ "การล็อกสามชั้น" ที่ควบคุมการมีส่วนร่วมของทหารไอริชในเขตความขัดแย้ง โดยต้องได้รับการอนุมัติจากสหประชาชาติ ดาล และรัฐบาล ด้วยเหตุนี้ บทบาททางทหารจึงจำกัดอยู่เพียงการป้องกันตนเองของชาติและการมีส่วนร่วมในภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ
การปฏิบัติงานประจำวันของกองกำลังป้องกันตนเองครอบคลุมถึงปฏิบัติการช่วยเหลือพลเรือน การคุ้มครองและลาดตระเวนน่านน้ำอาณาเขตและเขตเศรษฐกิจจำเพาะของไอร์แลนด์โดยหน่วยบริการทางเรือ และภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ สหภาพยุโรป และพีเอฟพี จนถึงปี ค.ศ. 1996 บุคลากรทางทหารของไอร์แลนด์กว่า 40,000 นายได้ปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจรักษาสันติภาพระหว่างประเทศของสหประชาชาติ
หน่วยบริการทางอากาศไอริชเป็นส่วนประกอบทางอากาศของกองกำลังป้องกันตนเอง และปฏิบัติการเครื่องบินปีกตรึง 16 ลำ และเฮลิคอปเตอร์ 8 ลำ หน่วยบริการทางเรือไอริชเป็นกองทัพเรือของไอร์แลนด์ และปฏิบัติการเรือตรวจการณ์ 6 ลำ และเรือยางและเรือฝึกขนาดเล็กจำนวนหนึ่ง และมีหน่วยขึ้นบกติดอาวุธที่สามารถยึดเรือและหน่วยพิเศษของนักประดาน้ำ กองทัพรวมถึงกองกำลังสำรอง (กองหนุนกองทัพบกและกองหนุนหน่วยบริการทางเรือ) สำหรับทหารกองหนุนนอกเวลา กองกำลังพิเศษของไอร์แลนด์รวมถึงหน่วยจู่โจมกองทัพบก ซึ่งฝึกฝนและปฏิบัติการร่วมกับหน่วยปฏิบัติการพิเศษระหว่างประเทศ ประธานาธิบดีเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดอย่างเป็นทางการของกองกำลังป้องกันตนเอง แต่ในทางปฏิบัติ กองกำลังเหล่านี้จะตอบสนองต่อรัฐบาลผ่านทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ในปี ค.ศ. 2017 ไอร์แลนด์ได้ลงนามในสนธิสัญญาว่าด้วยการห้ามอาวุธนิวเคลียร์ของสหประชาชาติ
นโยบายความเป็นกลางของไอร์แลนด์เป็นลักษณะเด่นของนโยบายการป้องกันประเทศ ซึ่งหมายความว่าไอร์แลนด์ไม่ได้เป็นสมาชิกของพันธมิตรทางทหาร เช่น เนโท อย่างไรก็ตาม ไอร์แลนด์ยังคงมีส่วนร่วมในความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างประเทศผ่านกรอบของสหภาพยุโรปและโครงการความเป็นหุ้นส่วนเพื่อสันติภาพของเนโท
6. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไอร์แลนด์ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป แม้ว่าความสัมพันธ์ทวิภาคีกับสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาก็มีความสำคัญเช่นกัน ไอร์แลนด์ดำรงตำแหน่งประธานสภาสหภาพยุโรปมาแล้ว 6 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดคือตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมิถุนายน ค.ศ. 2013
6.1. นโยบายต่างประเทศ

นโยบายต่างประเทศของไอร์แลนด์มีลักษณะเด่นคือการยึดมั่นในความเป็นกลางทางทหาร ซึ่งเป็นนโยบายที่มีมาอย่างยาวนานตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง และการไม่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางทหาร เช่น เนโท อย่างไรก็ตาม ไอร์แลนด์มีบทบาทอย่างแข็งขันในเวทีระหว่างประเทศผ่านการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) และสหประชาชาติ (UN)
ความเป็นกลาง: นโยบายความเป็นกลางของไอร์แลนด์ไม่ได้หมายถึงการโดดเดี่ยว แต่เป็นการไม่เข้าร่วมในความขัดแย้งทางทหารและไม่เป็นพันธมิตรกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในสงคราม นโยบายนี้ทำให้กองกำลังป้องกันตนเองของไอร์แลนด์มีส่วนร่วมในภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 รวมถึงในช่วงวิกฤตการณ์คองโก และต่อมาในไซปรัส เลบานอน และบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา แม้จะมีความเป็นกลาง ไอร์แลนด์ก็มีชาวไอริชกว่า 50,000 คนเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่สองโดยการสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพอังกฤษ ในช่วงสงครามเย็น นโยบายทางทหารของไอร์แลนด์ แม้จะดูเป็นกลาง แต่ก็เอนเอียงไปทางเนโท ในช่วงวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา ชอน เลมัสส์ ได้อนุญาตให้มีการตรวจค้นเครื่องบินของคิวบาและเชโกสโลวาเกียที่บินผ่านสนามบินแชนนอน และส่งข้อมูลให้ซีไอเอ นอกจากนี้ สถานที่อำนวยความสะดวกทางอากาศของไอร์แลนด์ยังถูกใช้โดยกองทัพสหรัฐฯ ในการส่งบุคลากรทางทหารที่เกี่ยวข้องกับการบุกครองอิรักในปี ค.ศ. 2003 ผ่านสนามบินแชนนอน ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกใช้สำหรับการบุกอัฟกานิสถานในปี ค.ศ. 2001 และสงครามอ่าวครั้งแรก
สหภาพยุโรป (EU): การเป็นสมาชิก EU เป็นหัวใจสำคัญของนโยบายต่างประเทศของไอร์แลนด์ ไอร์แลนด์เข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (EEC) ซึ่งเป็นองค์กรก่อนหน้าของ EU ในปี ค.ศ. 1973 การเป็นสมาชิก EU ทำให้ไอร์แลนด์ได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมาก และมีบทบาทในการกำหนดนโยบายของ EU ไอร์แลนด์สนับสนุนการรวมกลุ่มในยุโรปที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในตลาดเดียวของยุโรปและนโยบายอื่น ๆ ของ EU
สหประชาชาติ (UN): ไอร์แลนด์เป็นสมาชิกที่แข็งขันของสหประชาชาตินับตั้งแต่เข้าร่วมในปี ค.ศ. 1955 ไอร์แลนด์มีส่วนร่วมอย่างมากในภารกิจรักษาสันติภาพของ UN ทั่วโลก และสนับสนุนการทำงานของ UN ในด้านสิทธิมนุษยชน การพัฒนา และการลดอาวุธ
ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ: ไอร์แลนด์มีโครงการความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศที่สำคัญ โดยมุ่งเน้นไปที่การลดความยากจน การส่งเสริมสิทธิมนุษยชน และการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะในแอฟริกา
สิทธิมนุษยชน: การส่งเสริมสิทธิมนุษยชนเป็นองค์ประกอบสำคัญของนโยบายต่างประเทศของไอร์แลนด์ ไอร์แลนด์สนับสนุนการทำงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และมักจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชนทั่วโลก
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999 ไอร์แลนด์เป็นสมาชิกของโครงการความเป็นหุ้นส่วนเพื่อสันติภาพ (PfP) ของเนโท และสภาหุ้นส่วนยูโร-แอตแลนติก (EAPC) ของเนโท ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความไว้วางใจระหว่างเนโทและรัฐอื่น ๆ ในยุโรปและอดีตสหภาพโซเวียต
6.2. ความสัมพันธ์กับสหราชอาณาจักร
ความสัมพันธ์ระหว่างไอร์แลนด์กับสหราชอาณาจักรมีความซับซ้อนและหลายมิติอย่างยิ่ง โดยได้รับอิทธิพลจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของการปกครองอาณานิคมของอังกฤษ การต่อสู้เพื่อเอกราชของไอร์แลนด์ และความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม
ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์:
เป็นเวลากว่า 800 ปีที่ไอร์แลนด์อยู่ภายใต้การควบคุมของอังกฤษในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้ง การกดขี่ และความขมขื่นมากมาย ทุพภิกขภัยมันฝรั่งในไอร์แลนด์ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตและอพยพจำนวนมาก ยังคงเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ การต่อสู้เพื่อเอกราชของไอร์แลนด์สิ้นสุดลงด้วยการก่อตั้งรัฐอิสระไอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 1922 แต่เกาะยังคงถูกแบ่งแยก โดยหกเทศมณฑลทางตอนเหนือยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรในชื่อไอร์แลนด์เหนือ
ปัญหาไอร์แลนด์เหนือ (The Troubles):
ความขัดแย้งในไอร์แลนด์เหนือ หรือที่เรียกว่า "เดอะทรับเบิลส์" (The Troubles) ซึ่งกินเวลานานประมาณ 30 ปี (ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1960 ถึง 1998) เป็นช่วงเวลาแห่งความรุนแรงทางการเมืองและนิกายศาสนาระหว่างกลุ่มชาตินิยม (ส่วนใหญ่เป็นชาวคาทอลิกที่ต้องการให้ไอร์แลนด์เหนือรวมกับสาธารณรัฐไอร์แลนด์) กับกลุ่มสหภาพนิยม (ส่วนใหญ่เป็นชาวโปรเตสแตนต์ที่ต้องการให้ไอร์แลนด์เหนือยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร) สาธารณรัฐไอร์แลนด์มีบทบาทสำคัญในการแสวงหาทางออกอย่างสันติต่อความขัดแย้งนี้
ข้อตกลงเบลฟาสต์ (Good Friday Agreement):
ความตกลงวันศุกร์ประเสริฐปี ค.ศ. 1998 เป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในการยุติความขัดแย้งในไอร์แลนด์เหนือ ข้อตกลงนี้ได้รับการอนุมัติจากการลงประชามติทั้งในสาธารณรัฐไอร์แลนด์และไอร์แลนด์เหนือ และนำไปสู่การจัดตั้งสถาบันทางการเมืองใหม่ที่แบ่งปันอำนาจในไอร์แลนด์เหนือ รวมถึงการก่อตั้งสภารัฐมนตรีเหนือ/ใต้ (North/South Ministerial Council) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างทั้งสองส่วนของเกาะ ในฐานะส่วนหนึ่งของข้อตกลง สารธารณรัฐไอร์แลนด์ได้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อยกเลิกการอ้างสิทธิ์ในดินแดนไอร์แลนด์เหนือ
ความร่วมมือหลังข้อตกลงเบลฟาสต์:
นับตั้งแต่ข้อตกลงเบลฟาสต์ ความสัมพันธ์ระหว่างไอร์แลนด์กับสหราชอาณาจักร รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างสาธารณรัฐไอร์แลนด์กับไอร์แลนด์เหนือ ได้พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างมาก มีความร่วมมือในหลายด้าน เช่น เศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว และการบังคับใช้กฎหมาย พื้นที่การเดินทางร่วม (Common Travel Area) ซึ่งอนุญาตให้พลเมืองของทั้งสองประเทศเดินทางและอาศัยอยู่ในอีกประเทศหนึ่งได้อย่างเสรี ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ผลกระทบจากเบร็กซิต (Brexit):
การที่สหราชอาณาจักรตัดสินใจออกจากสหภาพยุโรป (เบร็กซิต) ในปี ค.ศ. 2016 ได้สร้างความท้าทายใหม่ให้กับความสัมพันธ์ระหว่างไอร์แลนด์กับสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องพรมแดนระหว่างสาธารณรัฐไอร์แลนด์ (ซึ่งยังคงเป็นสมาชิก EU) กับไอร์แลนด์เหนือ (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร) การรักษาสันติภาพที่เปราะบางบนเกาะไอร์แลนด์และการหลีกเลี่ยงการกลับมามี "พรมแดนแข็ง" (hard border) กลายเป็นประเด็นสำคัญในการเจรจาเบร็กซิต พิธีสารไอร์แลนด์เหนือ (Northern Ireland Protocol) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเบร็กซิต มีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดการกับปัญหานี้ แต่ก็ยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่
แม้จะมีความท้าทายเหล่านี้ ไอร์แลนด์และสหราชอาณาจักรยังคงเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่สำคัญและมีผลประโยชน์ร่วมกันในหลายด้าน การรักษาความสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์และมีเสถียรภาพยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญของทั้งสองประเทศ
6.3. ความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา
ความสัมพันธ์ระหว่างไอร์แลนด์กับสหรัฐอเมริกามีความแน่นแฟ้นและยาวนาน โดยมีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์การอพยพของชาวไอริชไปยังสหรัฐอเมริกา ความผูกพันทางวัฒนธรรม และผลประโยชน์ร่วมกันทางเศรษฐกิจและการเมือง
ชุมชนชาวไอริช-อเมริกัน:
คลื่นการอพยพครั้งใหญ่ที่สุดของชาวไอริชไปยังสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นในช่วงทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ (Great Famine) ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ปัจจุบัน มีชาวอเมริกันหลายสิบล้านคนอ้างว่ามีเชื้อสายไอริช ชุมชนชาวไอริช-อเมริกันนี้มีบทบาทสำคัญในการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของสหรัฐอเมริกา และยังคงเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ ผู้นำทางการเมืองชาวอเมริกันเชื้อสายไอริชหลายคน เช่น จอห์น เอฟ. เคนเนดี และโจ ไบเดน ได้แสดงความภาคภูมิใจในมรดกทางวัฒนธรรมของตน และมีบทบาทในการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองชาติ
ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ:
สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในคู่ค้าและนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของไอร์แลนด์ บริษัทข้ามชาติของสหรัฐฯจำนวนมากได้เข้ามาลงทุนในไอร์แลนด์ โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีสารสนเทศ เภสัชกรรม และบริการทางการเงิน นโยบายภาษีนิติบุคคลที่ต่ำของไอร์แลนด์เป็นปัจจัยดึงดูดที่สำคัญ ในขณะเดียวกัน ไอร์แลนด์ก็เป็นนักลงทุนรายสำคัญในสหรัฐอเมริกาเช่นกัน การค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศสร้างงานและโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับทั้งสองฝ่าย
ความผูกพันทางการเมือง:
สหรัฐอเมริกามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนกระบวนการสันติภาพในไอร์แลนด์เหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการผลักดันความตกลงวันศุกร์ประเสริฐปี ค.ศ. 1998 ผู้นำสหรัฐฯหลายคนได้เดินทางเยือนไอร์แลนด์และแสดงความมุ่งมั่นที่จะรักษาสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองบนเกาะไอร์แลนด์
ไอร์แลนด์และสหรัฐอเมริกามีค่านิยมร่วมกันในด้านประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และหลักนิติธรรม ทั้งสองประเทศร่วมมือกันในเวทีระหว่างประเทศในหลายประเด็น รวมถึงการต่อต้านการก่อการร้าย การไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ และการส่งเสริมการค้าเสรี
การเฉลิมฉลองวันเซนต์แพทริก (St. Patrick's Day) ในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทำเนียบขาว เป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างสองประเทศ โดยทีเชิฆ (นายกรัฐมนตรีไอร์แลนด์) มักจะเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลานี้เพื่อมอบช่อแชมร็อกให้กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ
แม้ว่าไอร์แลนด์จะดำเนินนโยบายความเป็นกลางทางทหารและไม่ได้เป็นสมาชิกของเนโท แต่ก็ยังคงมีความร่วมมือด้านความมั่นคงกับสหรัฐอเมริกาในบางด้าน เช่น การต่อต้านการก่อการร้ายข้ามชาติ
6.4. ความสัมพันธ์กับประเทศในเอเชีย
ไอร์แลนด์มีความสัมพันธ์ทางการทูตและเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตกับหลายประเทศในเอเชีย โดยมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมการค้า การลงทุน และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม
ญี่ปุ่น:
ความสัมพันธ์ระหว่างไอร์แลนด์กับญี่ปุ่นมีมายาวนาน โดยมีสถานทูตของทั้งสองประเทศในเมืองหลวงของกันและกัน การค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งได้เข้ามาลงทุนในไอร์แลนด์ โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีและเภสัชกรรม ในขณะเดียวกัน สินค้าและบริการของไอร์แลนด์ เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ก็ได้รับความนิยมในตลาดญี่ปุ่น มีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและการศึกษาที่แข็งขัน รวมถึงโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย สมาคมญี่ปุ่น-ไอร์แลนด์ (Ireland Japan Association) และองค์กรอื่น ๆ มีบทบาทในการส่งเสริมความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างสองประเทศ
เกาหลีใต้:
ไอร์แลนด์และเกาหลีใต้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในปี ค.ศ. 1983 ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีการส่งเสริมการค้าและการลงทุนในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ และบริการทางการเงิน มีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและการศึกษาเพิ่มมากขึ้น รวมถึงโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาและความร่วมมือด้านการวิจัย สถานทูตไอร์แลนด์ในกรุงโซลและสถานทูตเกาหลีใต้ในกรุงดับลินมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคี
ประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย:
ไอร์แลนด์ยังคงขยายความสัมพันธ์กับประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย รวมถึงจีน อินเดีย และประเทศในกลุ่มอาเซียน ความพยายามมุ่งเน้นไปที่การสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนใหม่ ๆ รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม รัฐบาลไอร์แลนด์ได้ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งถือเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและมีบทบาทสำคัญในเวทีโลก
โดยรวมแล้ว ไอร์แลนด์มองว่าเอเชียเป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ และมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความร่วมมือและความเข้าใจอันดีกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้
7. เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของไอร์แลนด์เป็นเศรษฐกิจแบบเปิดขนาดเล็กที่ทันสมัยและพึ่งพาการค้าเป็นอย่างมาก ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ไอร์แลนด์ได้เปลี่ยนจากประเทศเกษตรกรรมเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในยุโรปตะวันตก ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม "เสือเคลต์" อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไอร์แลนด์ก็เผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในช่วงวิกฤตการเงินโลกปี ค.ศ. 2008 ปัจจุบัน เศรษฐกิจไอร์แลนด์มีความหลากหลาย โดยมีภาคบริการและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก
7.1. การพัฒนาและแนวโน้มทางเศรษฐกิจ
ช่วงการเติบโตสูงที่เรียกว่า 'เสือเคลต์' (Celtic Tiger) เกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1990 จนถึงประมาณปี ค.ศ. 2007 ปัจจัยที่ขับเคลื่อนการเติบโตนี้ ได้แก่ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยเฉพาะจากบริษัทเทคโนโลยีและเภสัชกรรมของสหรัฐฯ นโยบายภาษีนิติบุคคลที่ต่ำ การเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป และกำลังแรงงานที่มีการศึกษาดี อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้มาพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของราคาอสังหาริมทรัพย์และหนี้สินภาคเอกชน
หลังวิกฤตการเงินโลกปี ค.ศ. 2008 เศรษฐกิจไอร์แลนด์ประสบปัญหาอย่างหนักเนื่องจากฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตกและวิกฤตธนาคาร รัฐบาลต้องขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากสหภาพยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และดำเนินมาตรการรัดเข็มขัดที่เข้มงวด อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้น และมีการอพยพออกนอกประเทศจำนวนมาก
ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 2014 เศรษฐกิจไอร์แลนด์เริ่มฟื้นตัวและกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกที่แข็งแกร่ง การฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ และการลงทุนจากต่างประเทศที่ยังคงหลั่งไหลเข้ามา อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ GDP ของไอร์แลนด์ในช่วงหลังนี้ถูกตั้งคำถามถึงความถูกต้องในการสะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แท้จริงในประเทศ เนื่องจากอิทธิพลของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่ใช้ไอร์แลนด์เป็นฐานในการดำเนินงานด้านภาษี (ปรากฏการณ์ "เศรษฐศาสตร์เลเปรอคอน" - leprechaun economics) ทำให้สำนักงานสถิติกลางของไอร์แลนด์ต้องพัฒนาดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า "รายได้มวลรวมประชาชาติที่ปรับปรุงแล้ว" (Modified Gross National Income หรือ GNI*) เพื่อให้เห็นภาพกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่ชัดเจนขึ้น
แนวโน้มเศรษฐกิจล่าสุดยังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราการเติบโตของ GDP และ GNI* ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของยูโรโซน อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่ เช่น ความไม่แน่นอนจากเบร็กซิต การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีระหว่างประเทศ และความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว รวมถึงปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้นและปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยในเมืองใหญ่
การคาดการณ์ในอนาคตยังคงระมัดระวัง โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะยังคงเติบโต แต่ในอัตราที่ชะลอลง การรักษาสมดุลทางการคลัง การส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน และการแก้ไขปัญหาทางสังคมและโครงสร้างพื้นฐานยังคงเป็นประเด็นสำคัญสำหรับนโยบายเศรษฐกิจของไอร์แลนด์
ไอร์แลนด์ใช้สกุลเงินยูโร (€) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 ร่วมกับประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอื่น ๆ อีก 11 ประเทศ ณ เดือนมกราคม ค.ศ. 2023 มีประเทศสมาชิก EU 20 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร โดยโครเอเชียเป็นสมาชิกใหม่ล่าสุดที่เข้าร่วมเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2023
7.2. อุตสาหกรรมหลัก

เศรษฐกิจของไอร์แลนด์มีความหลากหลาย โดยมีภาคอุตสาหกรรมหลายประเภทที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตและการจ้างงาน
1. เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และซอฟต์แวร์:
- ไอร์แลนด์เป็นที่รู้จักในฐานะ "ซิลิคอนวัลเลย์แห่งยุโรป" เนื่องจากมีบริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติขนาดใหญ่จำนวนมากตั้งสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคหรือศูนย์ปฏิบัติการที่สำคัญในประเทศ เช่น Google, Apple, Facebook (Meta), Microsoft, Intel, และ Amazon
- ปัจจัยที่ดึงดูด ได้แก่ อัตราภาษีนิติบุคคลที่ต่ำ กำลังแรงงานที่มีทักษะสูงและพูดภาษาอังกฤษ และการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป
- อุตสาหกรรมนี้ครอบคลุมหลากหลายด้าน ตั้งแต่การพัฒนาซอฟต์แวร์ บริการคลาวด์ ศูนย์ข้อมูล ปัญญาประดิษฐ์ ความมั่นคงไซเบอร์ และสื่อสังคม
2. เภสัชกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ (Pharmaceuticals and Biotechnology):
- ไอร์แลนด์เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตและส่งออกเภสัชภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพที่ใหญ่ที่สุดในโลก
- บริษัทเภสัชกรรมชั้นนำของโลกหลายแห่งมีโรงงานผลิตขนาดใหญ่ในไอร์แลนด์ เช่น Pfizer, Johnson & Johnson, MSD, และ AbbVie
- อุตสาหกรรมนี้มีการลงทุนสูงในการวิจัยและพัฒนา และสร้างงานที่มีทักษะสูงจำนวนมาก
3. บริการทางการเงิน (Financial Services):
- ดับลินเป็นที่ตั้งของศูนย์บริการทางการเงินระหว่างประเทศ (International Financial Services Centre - IFSC) ซึ่งเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับกิจกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ
- ภาคบริการทางการเงินครอบคลุมด้านต่าง ๆ เช่น การธนาคาร การประกันภัย การบริหารจัดการกองทุน การเช่าซื้อเครื่องบิน (aircraft leasing) และเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech)
- ไอร์แลนด์เป็นผู้นำระดับโลกในด้านการเช่าซื้อเครื่องบิน
4. เกษตรกรรมและปศุสัตว์ (Agriculture and Livestock):
- แม้ว่าสัดส่วนต่อ GDP จะลดลง แต่เกษตรกรรมยังคงเป็นภาคส่วนที่สำคัญ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท
- ผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ เนื้อวัว ผลิตภัณฑ์นม (เช่น เนย ชีส นมผง) และธัญพืช
- อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรก็มีความสำคัญ เช่น การแปรรูปเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นม การผลิตเบียร์ (เช่น Guinness) และวิสกี้ (Irish whiskey)
5. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว (Tourism):
- การท่องเที่ยวเป็นแหล่งรายได้และการจ้างงานที่สำคัญของไอร์แลนด์
- สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ได้แก่ ภูมิทัศน์ที่สวยงาม (เช่น หน้าผาโมเฮอร์ วงแหวนแห่งเคอร์รี) มรดกทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ (เช่น ปราสาทโบราณ อาราม) และเมืองที่มีชีวิตชีวา (เช่น ดับลิน คอร์ก กอลเวย์)
- วัฒนธรรมไอริช ดนตรี และเทศกาลต่าง ๆ ก็เป็นปัจจัยดึงดูดนักท่องเที่ยว
6. วิศวกรรมการแพทย์ (Medical Devices):
- ไอร์แลนด์เป็นหนึ่งในผู้ส่งออกอุปกรณ์ทางการแพทย์รายใหญ่ที่สุดในยุโรป โดยมีบริษัทชั้นนำหลายแห่งตั้งฐานการผลิตและวิจัยในประเทศ
นอกเหนือจากอุตสาหกรรมหลักเหล่านี้ ยังมีภาคส่วนอื่น ๆ ที่กำลังเติบโต เช่น พลังงานหมุนเวียน และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ รัฐบาลไอร์แลนด์มุ่งเน้นการส่งเสริมนวัตกรรม การพัฒนาทักษะ และการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ
7.3. การค้า
ไอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจแบบเปิดและพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศเป็นอย่างมาก การค้าเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
รายการสินค้านำเข้าและส่งออกหลัก:
- สินค้าส่งออกหลัก:
- เภสัชภัณฑ์และเคมีภัณฑ์: เป็นกลุ่มสินค้าส่งออกที่ใหญ่ที่สุดและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไอร์แลนด์ บริษัทข้ามชาติหลายแห่งใช้ไอร์แลนด์เป็นฐานการผลิตและส่งออกยาและผลิตภัณฑ์เคมี
- เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง: รวมถึงเครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ และชิ้นส่วนอากาศยาน (ไอร์แลนด์เป็นศูนย์กลางสำคัญด้านการเช่าซื้อเครื่องบิน)
- อุปกรณ์และซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์: ผลิตภัณฑ์จากบริษัทเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นนำของโลกที่ตั้งอยู่ในไอร์แลนด์
- ผลิตภัณฑ์อาหารและสัตว์มีชีวิต: โดยเฉพาะเนื้อวัว ผลิตภัณฑ์นม และเครื่องดื่ม (เช่น เบียร์และวิสกี้)
- อุปกรณ์ทางการแพทย์: ไอร์แลนด์เป็นผู้ผลิตและส่งออกอุปกรณ์ทางการแพทย์รายใหญ่
- สินค้านำเข้าหลัก:
- เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง: เพื่อใช้ในภาคการผลิตและอุตสาหกรรมต่าง ๆ
- เคมีภัณฑ์: รวมถึงวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมเภสัชกรรม
- ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม: ไอร์แลนด์ต้องนำเข้าพลังงานส่วนใหญ่
- อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์: ทั้งเพื่อการบริโภคและใช้ในภาคธุรกิจ
- สิ่งทอและเสื้อผ้า
ประเทศคู่ค้า:
- สหภาพยุโรป (EU): โดยรวมแล้ว EU เป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของไอร์แลนด์ ทั้งในด้านการส่งออกและนำเข้า ประเทศสมาชิก EU ที่สำคัญ ได้แก่ เยอรมนี เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศส
- สหรัฐอเมริกา: เป็นประเทศคู่ค้าเดี่ยวที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะในด้านการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีและเภสัชภัณฑ์ และเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าหลายประเภท
- สหราชอาณาจักร: แม้ว่าเบร็กซิตจะส่งผลกระทบต่อรูปแบบการค้า แต่สหราชอาณาจักรยังคงเป็นคู่ค้าที่สำคัญ โดยเฉพาะในด้านการนำเข้าสินค้าอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภค
- ประเทศอื่น ๆ : ไอร์แลนด์มีการค้ากับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก รวมถึงสวิตเซอร์แลนด์ จีน และประเทศในเอเชียอื่น ๆ
ดุลการค้าและสถานการณ์การค้าต่างประเทศ:
โดยทั่วไปแล้ว ไอร์แลนด์มีดุลการค้าเกินดุล ซึ่งหมายความว่ามูลค่าการส่งออกสูงกว่ามูลค่าการนำเข้า อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้อาจได้รับอิทธิพลอย่างมากจากกิจกรรมของบริษัทข้ามชาติที่ดำเนินงานในไอร์แลนด์
สถานการณ์การค้าต่างประเทศของไอร์แลนด์ได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลายประการ เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลก อัตราแลกเปลี่ยน นโยบายการค้าของประเทศคู่ค้า และข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ รัฐบาลไอร์แลนด์ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการส่งออกและการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก องค์กรภาครัฐ เช่น Enterprise Ireland และ IDA Ireland มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนบริษัทไอริชในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศและดึงดูดบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนในไอร์แลนด์
7.4. นโยบายภาษีอากร
นโยบายภาษีอากรของไอร์แลนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราภาษีนิติบุคคลที่ต่ำ เป็นลักษณะเด่นที่สำคัญและมีบทบาทอย่างมากในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และการพัฒนารูปแบบเศรษฐกิจของประเทศในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
อัตราภาษีนิติบุคคลที่ต่ำ:
- ไอร์แลนด์มีอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลมาตรฐานที่ 12.5% สำหรับรายได้จากการค้า (trading income) ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่ต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว อัตรานี้เริ่มใช้มาตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1990 และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทข้ามชาติ โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกาในภาคเทคโนโลยีและเภสัชกรรม เลือกไอร์แลนด์เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคยุโรปหรือศูนย์ปฏิบัติการที่สำคัญ
- มีอัตราภาษีที่สูงกว่า (25%) สำหรับรายได้ที่ไม่ใช่จากการค้า เช่น รายได้จากค่าเช่าและดอกเบี้ย
กลยุทธ์การดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI):
- นอกเหนือจากอัตราภาษีที่ต่ำ ไอร์แลนด์ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ช่วยดึงดูด FDI เช่น การเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (ทำให้สามารถเข้าถึงตลาดเดียวของยุโรปได้) กำลังแรงงานที่มีการศึกษาดีและพูดภาษาอังกฤษ สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มั่นคง และการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น IDA Ireland
- ไอร์แลนด์ยังเสนอสิทธิประโยชน์ทางภาษีอื่น ๆ เช่น การยกเว้นภาษีสำหรับเงินปันผลจากต่างประเทศภายใต้เงื่อนไขบางประการ และเครือข่ายสนธิสัญญาภาษีซ้อนที่กว้างขวาง
ผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ:
- ผลกระทบเชิงบวก:
- การหลั่งไหลเข้ามาของ FDI ได้สร้างงานจำนวนมาก โดยเฉพาะงานที่มีทักษะสูงในภาคเทคโนโลยีและเภสัชกรรม
- ช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในช่วงยุค "เสือเคลต์" และมีส่วนสำคัญในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังวิกฤตการเงินโลก
- เพิ่มรายได้จากภาษีให้กับรัฐบาล (แม้ว่าอัตราภาษีจะต่ำ แต่ฐานภาษีจากบริษัทข้ามชาติมีขนาดใหญ่)
- ส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้
- ผลกระทบเชิงลบและความท้าทาย:
- ข้อกล่าวหาว่าเป็น "สวรรค์ทางภาษี" (tax haven): ไอร์แลนด์เผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากต่างประเทศว่านโยบายภาษีเอื้อให้บริษัทข้ามชาติหลีกเลี่ยงภาษีในประเทศอื่น ๆ แม้ว่ารัฐบาลไอร์แลนด์จะปฏิเสธข้อกล่าวหานี้และยืนยันว่าระบบภาษีของตนมีความโปร่งใสและเป็นไปตามมาตรฐานสากล
- ความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีระหว่างประเทศ: การปฏิรูปภาษีระหว่างประเทศ เช่น ข้อตกลงของ OECD เกี่ยวกับอัตราภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Corporate Tax Rate) อาจส่งผลกระทบต่อความน่าดึงดูดของไอร์แลนด์ในฐานะแหล่งลงทุน ไอร์แลนด์ได้ตกลงที่จะปรับขึ้นอัตราภาษีนิติบุคคลสำหรับบริษัทขนาดใหญ่เป็น 15% เพื่อให้สอดคล้องกับข้อตกลงนี้
- ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ: การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดย FDI อาจไม่ได้กระจายผลประโยชน์อย่างทั่วถึงเสมอไป และอาจนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางรายได้และปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้นในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในดับลิน
- การพึ่งพิงบริษัทข้ามชาติ: เศรษฐกิจไอร์แลนด์มีความอ่อนไหวต่อการตัดสินใจของบริษัทข้ามชาติเพียงไม่กี่แห่ง
นโยบายภาษีของไอร์แลนด์ยังคงเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ รัฐบาลพยายามรักษาสมดุลระหว่างการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศกับการสร้างระบบภาษีที่ยั่งยืนและเป็นธรรม รวมถึงการปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ
7.5. พลังงาน

สถานการณ์ด้านพลังงานของไอร์แลนด์มีลักษณะเฉพาะคือการพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลในระดับสูง แต่ในขณะเดียวกันก็มีความมุ่งมั่นอย่างมากในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานที่ยั่งยืนและใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น
สถานการณ์อุปทานและอุปสงค์พลังงาน:
- ไอร์แลนด์ยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ (น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน) เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานส่วนใหญ่ของประเทศ โดยเฉพาะในภาคการขนส่งและการผลิตไฟฟ้า
- ความต้องการใช้พลังงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการเติบโตทางเศรษฐกิจและจำนวนประชากร
- การผลิตก๊าซธรรมชาติภายในประเทศมีบทบาทสำคัญในการลดการพึ่งพาการนำเข้า โดยมีแหล่งก๊าซสำคัญคือแหล่งก๊าซคอร์ริบ (Corrib gas field) นอกชายฝั่งตะวันตก อย่างไรก็ตาม ปริมาณสำรองมีจำกัด
แหล่งพลังงานหลัก:
- ก๊าซธรรมชาติ: เป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับการผลิตไฟฟ้าและความร้อน
- น้ำมัน: ส่วนใหญ่ใช้ในภาคการขนส่ง
- ถ่านหินและพีต (Peat): ในอดีตเคยเป็นแหล่งพลังงานสำคัญสำหรับการผลิตไฟฟ้า แต่การใช้กำลังลดลงอย่างต่อเนื่องเนื่องจากเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อม (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงและการทำลายระบบนิเวศพรุ)
- พลังงานหมุนเวียน: มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบด้วย:
- พลังงานลม: ไอร์แลนด์มีศักยภาพด้านพลังงานลมสูงมาก โดยเฉพาะลมชายฝั่ง (onshore wind) และกำลังพัฒนาพลังงานลมนอกชายฝั่ง (offshore wind) อย่างจริงจัง เป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ
- พลังงานแสงอาทิตย์: การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์กำลังเพิ่มขึ้น แต่ยังมีสัดส่วนน้อยกว่าพลังงานลม
- พลังงานชีวมวลและพลังงานจากขยะ: มีการนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าและความร้อน
- พลังงานน้ำ: มีโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กบางแห่ง
นโยบายพลังงานหมุนเวียน:
- รัฐบาลไอร์แลนด์มีเป้าหมายที่ท้าทายในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าและความต้องการพลังงานโดยรวม เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มความมั่นคงทางพลังงาน
- มีนโยบายสนับสนุนและมาตรการจูงใจต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียน เช่น โครงการ Renewable Electricity Support Scheme (RESS)
- ความเชื่อมโยงโครงข่ายไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้าน (เช่น สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสผ่านโครงการ Celtic Interconnector) มีความสำคัญในการช่วยให้ระบบสามารถรองรับพลังงานหมุนเวียนที่มีความผันผวนได้มากขึ้น
ความท้าทายสำคัญในภาคพลังงานของไอร์แลนด์ ได้แก่ การลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานเพื่อรองรับพลังงานหมุนเวียน การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ
ผู้ให้บริการไฟฟ้าและก๊าซหลักในไอร์แลนด์ ได้แก่ ESB (Electric Ireland), Bord Gáis Energy และ Airtricity
7.6. การคมนาคม

เครือข่ายการคมนาคมของไอร์แลนด์ประกอบด้วยระบบถนน ทางรถไฟ การบิน และการเดินเรือ ซึ่งเชื่อมโยงเมืองต่าง ๆ ภายในประเทศและกับต่างประเทศ
ถนน:
- เครือข่ายถนนเป็นรูปแบบการคมนาคมหลักในไอร์แลนด์ ประกอบด้วยมอเตอร์เวย์ (motorways) ทางหลวงสายหลักแห่งชาติ (national primary roads) และทางหลวงสายรองแห่งชาติ (national secondary roads) ซึ่งบริหารจัดการโดยการขนส่งโครงสร้างพื้นฐานไอร์แลนด์ (Transport Infrastructure Ireland - TII) ส่วนถนนภูมิภาค (regional roads) และถนนท้องถิ่น (local roads) บริหารจัดการโดยสภาท้องถิ่น
- เครือข่ายถนนมุ่งเน้นไปที่กรุงดับลินเป็นหลัก โดยมีมอเตอร์เวย์เชื่อมต่อดับลินกับเมืองใหญ่อื่น ๆ เช่น คอร์ก ลิเมอริก วอเตอร์ฟอร์ด และกอลเวย์
- โครงการสำคัญในการพัฒนาถนน ได้แก่ อุโมงค์ท่าเรือดับลิน (Dublin Port Tunnel) อุโมงค์แจ็คลินช์ (Jack Lynch Tunnel) ใต้แม่น้ำลีในคอร์ก และอุโมงค์ลิเมอริก (Limerick Tunnel) ใต้แม่น้ำแชนนอน
ทางรถไฟ:
- บริการรถไฟดำเนินการโดยเอียร์โรดเอียรันน์ (Iarnród Éireann หรือ Irish Rail) ซึ่งให้บริการรถไฟระหว่างเมือง (InterCity) รถไฟชานเมือง (commuter) และรถไฟขนส่งสินค้า
- ดับลินเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายรถไฟ โดยมีสถานีหลักสองแห่งคือสถานีฮิวสตัน (Heuston Station) และสถานีคอนนอลลี (Connolly Station) ซึ่งเชื่อมต่อไปยังเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศ
- บริการรถไฟ เอ็นเตอร์ไพรส์ (Enterprise) ซึ่งดำเนินการร่วมกับการรถไฟไอร์แลนด์เหนือ (Northern Ireland Railways) เชื่อมต่อระหว่างดับลินกับเบลฟาสต์
- เครือข่ายรถไฟหลักของไอร์แลนด์ทั้งหมดใช้รางขนาด 1.60 K mm ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ในยุโรป
- ในดับลินมีระบบขนส่งสาธารณะทางราง ได้แก่ DART (Dublin Area Rapid Transit) ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าชานเมือง และลูอัส (Luas) ซึ่งเป็นระบบรถรางเบา
การบิน:
- ไอร์แลนด์มีสนามบินนานาชาติหลักสามแห่ง ได้แก่ สนามบินดับลิน (Dublin Airport) สนามบินแชนนอน (Shannon Airport) และสนามบินคอร์ก (Cork Airport) ซึ่งให้บริการเส้นทางบินไปยังยุโรปและทวีปอื่น ๆ ทั้งแบบประจำและแบบเช่าเหมาลำ
- เส้นทางบินระหว่างลอนดอนกับดับลินเป็นหนึ่งในเส้นทางบินระหว่างประเทศที่พลุกพล่านที่สุดในยุโรป
- เอลิเนียส (Aer Lingus) เป็นสายการบินแห่งชาติของไอร์แลนด์ ในขณะที่ไรอันแอร์ (Ryanair) เป็นสายการบินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศและเป็นหนึ่งในสายการบินต้นทุนต่ำที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป
การเดินเรือ:
- ไอร์แลนด์มีท่าเรือสำคัญหลายแห่งที่รองรับการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร เช่น ท่าเรือดับลิน ท่าเรือคอร์ก และท่าเรือรอสสแกลร์ (Rosslare Europort)
- มีบริการเรือข้ามฟากเชื่อมต่อไอร์แลนด์กับสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส
ระบบขนส่งสาธารณะในเมืองใหญ่มักประกอบด้วยรถโดยสารประจำทางเป็นหลัก ในดับลินนอกเหนือจาก DART และ Luas แล้ว ยังมีดับลินบัส (Dublin Bus) ที่ให้บริการรถโดยสารประจำทาง และดับลินไบค์ส (dublinbikes) ซึ่งเป็นระบบจักรยานสาธารณะ
8. สังคม
สังคมไอร์แลนด์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา จากสังคมที่ค่อนข้างอนุรักษนิยมและเป็นเนื้อเดียวกัน ไปสู่สังคมที่มีความหลากหลายและเปิดกว้างมากขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจ การเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป และอิทธิพลจากภายนอกมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
8.1. ประชากร

ณ ปี ค.ศ. 2022 ประชากรของไอร์แลนด์อยู่ที่ 5,149,139 คน เพิ่มขึ้น 8% นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016 ในปี ค.ศ. 2011 ไอร์แลนด์มีอัตราการเกิดสูงสุดในสหภาพยุโรป (16 รายต่อประชากร 1,000 คน) ในปี ค.ศ. 2014 พบว่า 36.3% ของการเกิดมาจากมารดาที่ไม่ได้สมรส อัตราการเติบโตของประชากรต่อปีสูงกว่า 2% ในช่วงระหว่างการสำรวจสำมะโนประชากรปี ค.ศ. 2002-2006 ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราการเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติและการย้ายถิ่นฐานที่สูง อัตรานี้ลดลงเล็กน้อยในช่วงระหว่างการสำรวจสำมะโนประชากรปี ค.ศ. 2006-2011 โดยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 1.6% อัตราเจริญพันธุ์รวม (TFR) ในปี ค.ศ. 2017 อยู่ที่ประมาณ 1.80 คนต่อสตรีหนึ่งคน ซึ่งต่ำกว่าอัตราการทดแทนที่ 2.1 คน แต่ยังคงต่ำกว่าระดับสูงสุดที่ 4.2 คนต่อสตรีหนึ่งคนในปี ค.ศ. 1850 อย่างมาก ในปี ค.ศ. 2018 มัธยฐานอายุของประชากรไอริชอยู่ที่ 37.1 ปี
จากการสำรวจสำมะโนประชากรปี ค.ศ. 2022 จำนวนผู้ที่ไม่ได้ถือสัญชาติไอริชอยู่ที่ 631,785 คน ซึ่งเพิ่มขึ้น 8% จากตัวเลขในการสำรวจสำมะโนประชากรปี ค.ศ. 2016 ที่ 535,475 คน แหล่งที่มาของผู้ที่ไม่ได้ถือสัญชาติไอริชที่ใหญ่ที่สุดห้าอันดับแรก ได้แก่ โปแลนด์ (93,680 คน) สหราชอาณาจักร (83,347 คน) อินเดีย (45,449 คน) โรมาเนีย (43,323 คน) ลิทัวเนีย (31,177 คน) และลัตเวีย (27,338 คน) ตามลำดับ กลุ่มผู้ที่ไม่ได้ถือสัญชาติไอริชที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดจากปี ค.ศ. 2016 ได้แก่ อินเดีย (+33,984 คน) โรมาเนีย (+14,137 คน) บราซิล (+13,698 คน) และยูเครน (+10,006 คน) กลุ่มผู้ที่ไม่ได้ถือสัญชาติไอริชที่ลดลงมากที่สุดจากปี ค.ศ. 2016 ได้แก่ โปแลนด์ (-28,835 คน) สหราชอาณาจักร (-19,766 คน) ลิทัวเนีย (-5,375 คน) ลัตเวีย (-1,633 คน) และสโลวาเกีย (-1,117 คน)
# | ชื่อเมือง | ประชากร | # | ชื่อเมือง | ประชากร | ||
---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | ดับลิน | 1,263,219 | 11 | เอนนิส | 27,923 | ||
2 | คอร์ก | 222,526 | 12 | คาร์โลว์ | 27,351 | ||
3 | ลิเมอริก | 102,287 | 13 | คิลเคนนี | 27,184 | ||
4 | กอลเวย์ | 85,910 | 14 | นาส | 26,180 | ||
5 | วอเตอร์ฟอร์ด | 60,079 | 15 | ทราลี | 26,079 | ||
6 | ดรอเฮดา | 44,135 | 16 | นิวบริดจ์ | 24,366 | ||
8 | ดันดอล์ก | 43,112 | 17 | บัลบริกกัน | 24,322 | ||
7 | ซอร์ดส์ | 40,776 | 18 | พอร์ตลีเชอ | 23,494 | ||
9 | นาวัน | 33,886 | 19 | แอธโลน | 22,869 | ||
10 | เบรย์ | 33,512 | 20 | มัลลินการ์ | 22,667 |
8.1.1. กลุ่มชาติพันธุ์และการย้ายถิ่นฐาน
ประชากรส่วนใหญ่ของไอร์แลนด์เป็นชาวไอริชผิวขาว (82.2% ในปี ค.ศ. 2016) ซึ่งมีเชื้อสายเคลต์เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ไอร์แลนด์ได้กลายเป็นสังคมที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากการย้ายถิ่นฐานเข้ามาจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
กลุ่มชาติพันธุ์หลัก:
- ชาวไอริชผิวขาว (White Irish): เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด สืบเชื้อสายมาจากผู้ตั้งถิ่นฐานดั้งเดิมบนเกาะไอร์แลนด์
- กลุ่มชาติพันธุ์ผิวขาวอื่น ๆ (Other White Ethnic Groups): เป็นกลุ่มที่ใหญ่เป็นอันดับสอง ประกอบด้วยผู้อพยพมาจากประเทศในยุโรปอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสหราชอาณาจักร โปแลนด์ และประเทศในกลุ่มบอลติก (ลิทัวเนีย ลัตเวีย)
- ชาวไอริชเชื้อสายเอเชีย/ชาวเอเชียอื่น ๆ (Asian or Asian Irish): เป็นกลุ่มที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ประกอบด้วยผู้อพยพมาจากประเทศในเอเชีย เช่น อินเดีย จีน ฟิลิปปินส์ และปากีสถาน
- ชาวไอริชเชื้อสายแอฟริกา/ชาวแอฟริกาผิวสี (Black or Black Irish - African): ประกอบด้วยผู้อพยพมาจากประเทศในแอฟริกา โดยเฉพาะไนจีเรีย
- ชาวไอริชทราเวลเลอร์ (Irish Travellers): เป็นกลุ่มชนพื้นเมืองที่มีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ ได้รับการยอมรับว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ในไอร์แลนด์
- กลุ่มชาติพันธุ์ผสมและอื่น ๆ : สะท้อนถึงความหลากหลายที่เพิ่มมากขึ้นในสังคม
การย้ายถิ่นฐาน:
ในอดีต ไอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีการอพยพออกนอกประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงทุพภิกขภัยครั้งใหญ่และในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ อย่างไรก็ตาม ในช่วงยุค "เสือเคลต์" (ปลายทศวรรษ 1990 ถึงกลางทศวรรษ 2000) ไอร์แลนด์ได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับผู้อพยพเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ผู้อพยพจำนวนมากมาจากประเทศในสหภาพยุโรปที่เพิ่งเข้าร่วมใหม่ รวมถึงจากประเทศนอก EU
หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี ค.ศ. 2008 มีการอพยพออกนอกประเทศเพิ่มขึ้นอีกครั้ง แต่สถานการณ์เริ่มกลับกันอีกครั้งเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว ปัจจุบัน ไอร์แลนด์ยังคงเป็นประเทศที่ดึงดูดผู้อพยพจากทั่วโลก ทั้งเพื่อการทำงาน การศึกษา และการรวมญาติ
การเปลี่ยนแปลงสู่สังคมพหุวัฒนธรรมนำมาซึ่งทั้งโอกาสและความท้าทาย รัฐบาลไอร์แลนด์มีนโยบายส่งเสริมการบูรณาการของผู้อพยพเข้ากับสังคม และต่อต้านการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติและชาติพันธุ์ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้เพิ่มสีสันให้กับสังคมไอร์แลนด์ในด้านต่าง ๆ เช่น อาหาร ดนตรี และศิลปะ อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องการเหยียดเชื้อชาติและการจัดหาบริการสาธารณะที่เพียงพอสำหรับประชากรที่มีความหลากหลายยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไข
8.2. ภาษา


ไอร์แลนด์มีภาษาราชการสองภาษาคือ ภาษาไอริช (Irish หรือ Gaeilgeเกลิกภาษาไอริช) และภาษาอังกฤษ
ภาษาไอริช (เกลิก):
- รัฐธรรมนูญแห่งไอร์แลนด์กำหนดให้ภาษาไอริชเป็น "ภาษาประจำชาติ" และเป็น "ภาษาราชการภาษาแรก"
- ภาษาไอริชเป็นภาษาเคลต์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและเป็นภาษาดั้งเดิมของเกาะไอร์แลนด์
- อย่างไรก็ตาม การใช้ภาษาไอริชในชีวิตประจำวันลดลงอย่างมากในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากการปกครองของอังกฤษและการแพร่หลายของภาษาอังกฤษ
- ปัจจุบัน ภาษาไอริชยังคงพูดกันเป็นภาษาชุมชนในพื้นที่ที่เรียกว่า เกลทัคท์ (Gaeltachtเกลทัคท์ภาษาไอริช) ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ทางตะวันตกและทางใต้ของประเทศ รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนและส่งเสริมการใช้ภาษาไอริชในพื้นที่เหล่านี้
- ในการสำรวจสำมะโนประชากรปี ค.ศ. 2016 ประมาณ 1.75 ล้านคน (40% ของประชากร) ระบุว่าสามารถพูดภาษาไอริชได้ แต่ในจำนวนนี้ มีผู้พูดภาษาไอริชในชีวิตประจำวันน้อยกว่า 74,000 คน
- รัฐบาลไอร์แลนด์มีนโยบายส่งเสริมภาษาไอริชอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสอนภาษาไอริชในโรงเรียนทุกระดับ การสนับสนุนสื่อภาษาไอริช (เช่น สถานีโทรทัศน์ TG4ทีจีโฟร์ภาษาไอริช และสถานีวิทยุ RTÉ Raidió na Gaeltachtaอาร์ทีอี ไรดิโอ นา เกลทัคทาภาษาไอริช) และการกำหนดให้เอกสารราชการบางอย่างต้องมีทั้งภาษาไอริชและภาษาอังกฤษ ป้ายถนนส่วนใหญ่มักเป็นแบบสองภาษา ยกเว้นในเขตเกลทัคท์
- ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2007 ภาษาไอริชได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในภาษาราชการของสหภาพยุโรป
ภาษาอังกฤษ:
- รัฐธรรมนูญแห่งไอร์แลนด์กำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็น "ภาษาราชการภาษาที่สอง"
- ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวัน การศึกษา ธุรกิจ และสื่อสารมวลชนในไอร์แลนด์
- ภาษาอังกฤษที่พูดในไอร์แลนด์ (Hiberno-English) มีสำเนียงและคำศัพท์ที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากภาษาไอริช
ภาษาอื่น ๆ:
- เนื่องจากการย้ายถิ่นฐานเข้ามามากขึ้น ทำให้มีภาษาอื่น ๆ ที่พูดกันในไอร์แลนด์ เช่น ภาษาโปแลนด์ ซึ่งเป็นภาษาที่พูดกันมากที่สุดรองจากภาษาอังกฤษและไอริช นอกจากนี้ยังมีภาษาจากยุโรปกลาง (เช่น เช็ก ฮังการี สโลวัก) และภาษาจากกลุ่มบอลติก (ลิทัวเนีย ลัตเวีย)
- ภาษาเชลตา (Shelta) ซึ่งเป็นภาษาของกลุ่มชนไอริชทราเวลเลอร์ (Irish Travellers) และภาษาถิ่นสกอตอัลสเตอร์ (Ulster Scots dialect) ซึ่งพูดกันในบางพื้นที่ของเทศมณฑลดอนิกอล
นักเรียนมัธยมศึกษาส่วนใหญ่เลือกเรียนภาษาต่างประเทศหนึ่งหรือสองภาษา ภาษาที่เปิดสอนในระดับ Junior Certificate และ Leaving Certificate ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี และสเปน นักเรียน Leaving Certificate ยังสามารถเรียนภาษาอาหรับ ญี่ปุ่น และรัสเซียได้ บางโรงเรียนมัธยมศึกษายังเปิดสอนภาษากรีกโบราณ ภาษาฮีบรู และภาษาละติน การเรียนภาษาไอริชโดยทั่วไปเป็นภาคบังคับสำหรับนักเรียน Leaving Certificate แต่อาจมีการยกเว้นในบางกรณี เช่น มีปัญหาในการเรียนรู้ หรือเข้าประเทศหลังอายุ 11 ปี
8.3. ศาสนา

เสรีภาพทางศาสนาได้รับการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของไอร์แลนด์ และรัฐธรรมนูญของประเทศเป็นแบบฆราวาสมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1973 ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีอิทธิพล และในขณะที่ไอร์แลนด์ยังคงเป็นประเทศที่นับถือศาสนาคาทอลิกเป็นส่วนใหญ่ เปอร์เซ็นต์ของประชากรที่ระบุตนเองว่าเป็นคาทอลิกในการสำรวจสำมะโนประชากรลดลงอย่างรวดเร็วจาก 84.2 เปอร์เซ็นต์ในการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2011 เป็น 78.3 เปอร์เซ็นต์ในปี 2016 และ 69 เปอร์เซ็นต์ในปี 2022 จากการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2022 พบว่า 69.1% ของประชากรระบุตนว่าเป็นชาวคาทอลิก สำหรับข้อมูลจากการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2016 พบว่า 14.5% ไม่มีศาสนา (เพิ่มขึ้นจาก 9.8% ในปี 2016), 4.0% เป็นโปรเตสแตนต์ (โดยคริสตจักรแห่งไอร์แลนด์เป็นนิกายที่ใหญ่เป็นอันดับสอง), 1.6% เป็นมุสลิม (เพิ่มขึ้นจาก 1.3% ในปี 2016) และ 1.3% เป็นออร์ทอดอกซ์ (ตัวเลขปี 2016) ส่วนที่เหลือ 6.7% ไม่ระบุ และ 4.1% นับถือศาสนาอื่น ๆ จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ก่อนปี 2000 ประเทศนี้มีอัตราการเข้าร่วมมิสซาเป็นประจำสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลกตะวันตก
ในขณะที่การเข้าร่วมพิธีมิสซาทุกวันอยู่ที่ 13% ในปี 2006 แต่การเข้าร่วมพิธีมิสซารายสัปดาห์ลดลงจาก 81% ในปี 1990 เป็น 48% ในปี 2006 อย่างไรก็ตาม การลดลงดังกล่าวมีรายงานว่าทรงตัว ในปี 2011 มีรายงานว่าการเข้าร่วมพิธีมิสซารายสัปดาห์ในดับลินอยู่ที่ 18% และต่ำกว่านั้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่
คริสตจักรแห่งไอร์แลนด์ ซึ่งมีประชากร 2.7% เป็นนิกายคริสเตียนที่ใหญ่เป็นอันดับสอง สมาชิกภาพลดลงตลอดศตวรรษที่ยี่สิบ แต่มีการเพิ่มขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ควบคู่ไปกับนิกายคริสเตียนอื่น ๆ นิกายโปรเตสแตนต์ที่สำคัญอื่น ๆ ได้แก่ คริสตจักรเพรสไบทีเรียนในไอร์แลนด์ และคริสตจักรเมทอดิสต์ในไอร์แลนด์ การอพยพเข้ามามีส่วนทำให้ประชากรฮินดูและมุสลิมเพิ่มขึ้น ในแง่เปอร์เซ็นต์ จากการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2006 ศาสนาคริสต์ออร์ทอดอกซ์และศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่เติบโตเร็วที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 100% และ 70% ตามลำดับ
นักบุญองค์อุปถัมภ์ของไอร์แลนด์คือนักบุญแพทริก นักบุญบริดจิดแห่งคิลแดร์ และนักบุญโคลัมบา โดยนักบุญแพทริกเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์หลัก วันเซนต์แพทริกมีการเฉลิมฉลองในวันที่ 17 มีนาคมในไอร์แลนด์และต่างประเทศในฐานะวันชาติไอริช โดยมีขบวนพาเหรดและการเฉลิมฉลองอื่น ๆ
เช่นเดียวกับรัฐในยุโรปที่นับถือศาสนาคาทอลิกตามประเพณีอื่น ๆ เช่น สเปนและอิตาลี ไอร์แลนด์ได้ผ่านช่วงเวลาของการทำให้กฎหมายเป็นฆราวาสในช่วงปลายศตวรรษที่ยี่สิบ ในปี 1972 มาตราในรัฐธรรมนูญที่ระบุชื่อกลุ่มศาสนาเฉพาะถูกลบออกโดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ห้าในการลงประชามติ มาตรา 44 ยังคงอยู่ในรัฐธรรมนูญ: "รัฐรับทราบว่าการเคารพบูชาสาธารณะเป็นของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ รัฐจะเคารพพระนามของพระองค์ และจะเคารพและให้เกียรติศาสนา" มาตรานี้ยังกำหนดเสรีภาพทางศาสนา ห้ามการให้เงินสนับสนุนศาสนาใด ๆ ห้ามรัฐจากการเลือกปฏิบัติทางศาสนา และกำหนดให้รัฐปฏิบัติต่อโรงเรียนศาสนาและโรงเรียนที่ไม่ใช่ศาสนาอย่างไม่ลำเอียง
แม้ว่าโรงเรียนส่วนใหญ่ในไอร์แลนด์จะได้รับการอุปถัมภ์จากองค์กรทางศาสนา แต่นโยบายของรัฐบาลคือการ "โอน" โรงเรียนบางแห่งไปสู่การอุปถัมภ์แบบไม่สังกัดนิกายหรือหลายนิกาย และแนวโน้มทางฆราวาสนิยมกำลังเกิดขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่
8.4. การศึกษา

ไอร์แลนด์มีระบบการศึกษาสามระดับ ได้แก่ ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา ระบบการศึกษาส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลผ่านทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่ได้รับการยอมรับจะต้องปฏิบัติตามหลักสูตรที่กำหนดโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การศึกษาเป็นภาคบังคับสำหรับเด็กอายุระหว่างหกถึงสิบห้าปี และเด็กทุกคนจนถึงอายุสิบแปดปีจะต้องสำเร็จการศึกษาในสามปีแรกของระดับมัธยมศึกษา รวมถึงการสอบ จูเนียร์เซอร์ทิฟิเคต (Junior Certificate) หนึ่งครั้ง
ไอร์แลนด์มีโรงเรียนประถมศึกษาประมาณ 3,300 แห่ง ส่วนใหญ่ (92%) อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของคริสตจักรคาทอลิก โรงเรียนที่ดำเนินการโดยองค์กรทางศาสนา แต่ได้รับเงินทุนและการยอมรับจากภาครัฐ ไม่สามารถเลือกปฏิบัติต่อนักเรียนตามศาสนาหรือไม่นับถือศาสนาได้ อย่างไรก็ตาม มีระบบการให้สิทธิพิเศษที่ได้รับการอนุมัติ ซึ่งนักเรียนที่นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งอาจได้รับการตอบรับเข้าเรียนก่อนนักเรียนที่ไม่ได้นับถือศาสนาเดียวกับโรงเรียน ในกรณีที่โรงเรียนมีนักเรียนเต็มโควตาแล้ว
ประกาศนียบัตรการศึกษา (Leaving Certificate) ซึ่งเป็นการสอบหลังจากเรียนสองปี เป็นการสอบครั้งสุดท้ายในระบบโรงเรียนมัธยมศึกษา ผู้ที่ประสงค์จะศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษามักจะสอบนี้ โดยการเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษามักขึ้นอยู่กับผลการสอบจากหกวิชาที่ดีที่สุดบนพื้นฐานการแข่งขัน สถาบันอุดมศึกษามอบวุฒิการศึกษาในระดับอุดมศึกษาอย่างน้อย 38 แห่ง ซึ่งรวมถึงวิทยาลัยในเครือหรือวิทยาลัยที่เชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัยเจ็ดแห่ง รวมถึงสถาบันอื่น ๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากสภาการอุดมศึกษาและการฝึกอบรม จากการจัดอันดับของยูเอสนิวส์ในปี ค.ศ. 2022 ไอร์แลนด์ติดอันดับหนึ่งในยี่สิบประเทศที่ดีที่สุดด้านการศึกษา
โครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (PISA) ซึ่งประสานงานโดยโออีซีดี ปัจจุบันจัดอันดับให้ไอร์แลนด์มีคะแนนการอ่านสูงเป็นอันดับสี่ คะแนนวิทยาศาสตร์สูงเป็นอันดับเก้า และคะแนนคณิตศาสตร์สูงเป็นอันดับสิบสามในกลุ่มประเทศโออีซีดี จากการประเมินในปี ค.ศ. 2012 ในปีเดียวกัน นักเรียนชาวไอร์แลนด์อายุ 15 ปีมีระดับความรู้ด้านการอ่านสูงเป็นอันดับสองในสหภาพยุโรป ไอร์แลนด์ยังมีมหาวิทยาลัยติดอันดับ 500 อันดับแรกของโลก 0.747 แห่งต่อหัวประชากร ซึ่งจัดให้ประเทศอยู่ในอันดับที่ 8 ของโลก การศึกษาในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา (มหาวิทยาลัย/วิทยาลัย) ทั้งหมดในไอร์แลนด์ไม่มีค่าเล่าเรียนสำหรับพลเมืองสหภาพยุโรปทุกคน มีค่าใช้จ่ายสำหรับบริการนักศึกษาและการสอบ
นอกจากนี้ 37 เปอร์เซ็นต์ของประชากรไอร์แลนด์สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัย ซึ่งเป็นหนึ่งในเปอร์เซ็นต์ที่สูงที่สุดในโลก
8.5. สาธารณสุขและการแพทย์

การดูแลสุขภาพในไอร์แลนด์ให้บริการโดยผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพทั้งภาครัฐและเอกชน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีหน้าที่รับผิดชอบในการกำหนดนโยบายบริการสุขภาพโดยรวม ผู้อยู่อาศัยทุกคนในไอร์แลนด์มีสิทธิได้รับการดูแลสุขภาพผ่านระบบการดูแลสุขภาพของรัฐ ซึ่งบริหารจัดการโดยสำนักงานบริการสุขภาพ (Health Service Executive - HSE) และได้รับทุนสนับสนุนจากภาษีอากรทั่วไป บุคคลอาจต้องชำระค่าธรรมเนียมที่ได้รับการอุดหนุนสำหรับการดูแลสุขภาพบางอย่างที่ได้รับ ซึ่งขึ้นอยู่กับรายได้ อายุ ความเจ็บป่วย หรือความพิการ บริการคลอดบุตรทั้งหมดให้บริการฟรี และเด็กอายุไม่เกิน 6 เดือนก็เช่นกัน การดูแลฉุกเฉินมีให้สำหรับผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม ผู้มาเยือนแผนกฉุกเฉินในสถานการณ์ที่ไม่ฉุกเฉินซึ่งไม่ได้ถูกส่งต่อโดยแพทย์ประจำตัว (GP) อาจต้องเสียค่าธรรมเนียม 100 ยูโร ในบางกรณี ค่าธรรมเนียมนี้ไม่ต้องชำระหรืออาจได้รับการยกเว้น
ทุกคนที่มีบัตรประกันสุขภาพยุโรป (European Health Insurance Card) มีสิทธิได้รับการดูแลและรักษาฟรีในเตียงผู้ป่วยของรัฐในโรงพยาบาลของสำนักงานบริการสุขภาพและโรงพยาบาลอาสาสมัคร บริการผู้ป่วยนอกก็ให้บริการฟรีเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มีรายได้ปานกลางหรือสูงกว่าจะต้องชำระค่าโรงพยาบาลที่ได้รับการอุดหนุน ประกันสุขภาพเอกชนมีให้สำหรับประชากรที่ต้องการใช้บริการ
อายุคาดเฉลี่ยในไอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 2021 อยู่ที่ 82.4 ปี (ตามรายชื่อของ OECD) โดยแบ่งเป็น 80.5 ปีสำหรับผู้ชาย และ 84.3 ปีสำหรับผู้หญิง ไอร์แลนด์มีอัตราการเกิดสูงที่สุดในสหภาพยุโรป (16.8 รายต่อประชากร 1,000 คน เทียบกับค่าเฉลี่ยของ EU ที่ 10.7) และมีอัตราการตายของทารกต่ำมาก (3.5 รายต่อทารกเกิดมีชีพ 1,000 คน) ระบบการดูแลสุขภาพของไอร์แลนด์ได้รับการจัดอันดับที่ 13 จาก 34 ประเทศในยุโรปในปี ค.ศ. 2012 ตามดัชนีผู้บริโภคด้านสุขภาพแห่งยุโรป (European Health Consumer Index) ซึ่งจัดทำโดยเฮลท์คอนซูเมอร์พาวเวอร์เฮาส์ (Health Consumer Powerhouse) รายงานฉบับเดียวกันนี้ยังจัดอันดับให้ระบบการดูแลสุขภาพของไอร์แลนด์มีผลลัพธ์ด้านสุขภาพดีที่สุดเป็นอันดับที่ 8 แต่เป็นระบบที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดเป็นอันดับที่ 21 ในยุโรป
8.6. สวัสดิการสังคมและสิทธิมนุษยชน
ไอร์แลนด์มีระบบสวัสดิการสังคมที่ครอบคลุม ซึ่งให้การสนับสนุนแก่พลเมืองในด้านต่าง ๆ เช่น การว่างงาน ความเจ็บป่วย ความพิการ และการเกษียณอายุ ระบบนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากภาษีอากรทั่วไปและการประกันสังคม
ในด้านสิทธิมนุษยชน ไอร์แลนด์มีความก้าวหน้าอย่างมากในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ประเด็นสำคัญทางสังคม ได้แก่:
- ความเท่าเทียมทางเพศ: ไอร์แลนด์ติดอันดับสูงในรายงานช่องว่างทางเพศระดับโลก (Global Gender Gap Report) ในปี ค.ศ. 2011 ไอร์แลนด์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีการการกุศลมากที่สุดในยุโรป และเป็นอันดับสองของโลก มีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในทุกด้านของสังคม รวมถึงการมีส่วนร่วมทางการเมือง การจ้างงาน และการศึกษา
- สิทธิของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+): ไอร์แลนด์มีการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายที่สำคัญในด้านสิทธิ LGBTQ+ การการค้าประเวณีถูกยกเลิกในปี ค.ศ. 1993 พระราชบัญญัติการเป็นหุ้นส่วนทางแพ่งและสิทธิและภาระผูกพันบางประการของผู้ร่วมชีวิต ค.ศ. 2010 (Civil Partnership and Certain Rights and Obligations of Cohabitants Act 2010) อนุญาตให้มีการจดทะเบียนคู่ชีวิตระหว่างคู่รักเพศเดียวกัน หลังจากการลงประชามติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่สามสิบสี่เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 ไอร์แลนด์กลายเป็นประเทศที่สิบแปดที่อนุญาตให้มีการสมรสของเพศเดียวกันตามกฎหมาย และเป็นประเทศแรกที่ทำเช่นนั้นผ่านการลงคะแนนเสียงของประชาชน พระราชบัญญัติเด็กและความสัมพันธ์ในครอบครัว ค.ศ. 2015 (Children and Family Relationships Act 2015) อนุญาตให้คู่รักนอกเหนือจากคู่สมรส รวมถึงคู่ชีวิตทางแพ่งและผู้ร่วมชีวิต สามารถรับบุตรบุญธรรมได้ และยังครอบคลุมถึงการเจริญพันธุ์โดยได้รับความช่วยเหลือจากผู้บริจาค อย่างไรก็ตาม บางส่วนที่สำคัญของพระราชบัญญัตินี้ยังไม่มีผลบังคับใช้
- การเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายเกี่ยวกับการทำแท้งและการหย่าร้าง: การคุมกำเนิดถูกควบคุมในไอร์แลนด์จนถึงปี ค.ศ. 1979 อย่างไรก็ตาม อิทธิพลที่ลดลงของคริสตจักรคาทอลิกได้นำไปสู่สังคมที่มีความเป็นฆราวาสมากขึ้น การห้ามการหย่าร้างตามรัฐธรรมนูญถูกยกเลิกหลังจากการลงประชามติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่สิบห้าในปี ค.ศ. 1995 อัตราการหย่าร้างในไอร์แลนด์ต่ำมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรป (0.7 คู่หย่าร้างต่อประชากร 1,000 คนในปี ค.ศ. 2011) ในขณะที่อัตราการแต่งงานในไอร์แลนด์สูงกว่าค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรปเล็กน้อย (4.6 คู่แต่งงานต่อประชากร 1,000 คนต่อปีในปี ค.ศ. 2012) การทำแท้งเคยถูกห้ามตลอดช่วงเวลาของรัฐไอร์แลนด์ โดยเริ่มแรกผ่านบทบัญญัติของพระราชบัญญัติความผิดต่อบุคคล ค.ศ. 1861 (Offences Against the Person Act 1861) และต่อมาโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองชีวิตระหว่างการตั้งครรภ์ ค.ศ. 2013 (Protection of Life During Pregnancy Act 2013) สิทธิในชีวิตของทารกในครรภ์ได้รับการคุ้มครองในรัฐธรรมนูญโดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่แปดในปี ค.ศ. 1983 บทบัญญัตินี้ถูกยกเลิกหลังจากการลงประชามติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่สามสิบหก และแทนที่ด้วยบทบัญญัติที่อนุญาตให้มีกฎหมายควบคุมการยุติการตั้งครรภ์ พระราชบัญญัติสุขภาพ (การควบคุมการยุติการตั้งครรภ์) ค.ศ. 2018 (Health (Regulation of Termination of Pregnancy) Act 2018) ที่ผ่านในปลายปีนั้น อนุญาตให้มีการทำแท้งโดยทั่วไปในช่วง 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ และในสถานการณ์ที่ระบุไว้หลังจากนั้น
- โทษประหารชีวิตถูกห้ามตามรัฐธรรมนูญในไอร์แลนด์
- การเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของอายุ เพศ รสนิยมทางเพศ สถานภาพการสมรสหรือครอบครัว ศาสนา เชื้อชาติ หรือการเป็นสมาชิกของชุมชนนักเดินทาง (travelling community) ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
นโยบายสิ่งแวดล้อม:
ไอร์แลนด์เป็นประเทศแรกในโลกที่นำภาษีสิ่งแวดล้อมสำหรับถุงพลาสติกมาใช้ในปี ค.ศ. 2002 และการห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะในปี ค.ศ. 2004 การรีไซเคิลในไอร์แลนด์มีการดำเนินการอย่างกว้างขวาง และไอร์แลนด์มีอัตราการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์สูงเป็นอันดับสองในสหภาพยุโรป ไอร์แลนด์เป็นประเทศแรกในยุโรปที่ห้ามใช้หลอดไส้ในปี ค.ศ. 2008 และเป็นประเทศแรกใน EU ที่ห้ามการโฆษณาและการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ยาสูบในร้านค้าในปี ค.ศ. 2009 ในปี ค.ศ. 2015 ไอร์แลนด์กลายเป็นประเทศที่สองในโลกที่นำบรรจุภัณฑ์บุหรี่แบบเรียบมาใช้ แม้จะมีมาตรการข้างต้นเพื่อลดการใช้ยาสูบ แต่อัตราการสูบบุหรี่ในไอร์แลนด์ยังคงอยู่ที่ประมาณ 15.4% ณ ปี ค.ศ. 2020
สถานการณ์สิทธิมนุษยชนโดยรวมในไอร์แลนด์ถือว่าดี โดยมีการคุ้มครองสิทธิต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายในบางประเด็น เช่น การเข้าถึงที่อยู่อาศัยราคาประหยัด การจัดการกับปัญหาคนไร้บ้าน และการรับรองสิทธิของกลุ่มเปราะบางอย่างเต็มที่
8.7. ความสงบเรียบร้อยและระบบยุติธรรม
ไอร์แลนด์โดยทั่วไปถือว่าเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูงและมีอัตราอาชญากรรมต่ำเมื่อเทียบกับหลายประเทศในยุโรป อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับทุกประเทศ ก็ยังคงมีปัญหาอาชญากรรมและความท้าทายในการรักษาความสงบเรียบร้อย
สถานการณ์ความปลอดภัยสาธารณะ:
- อัตราอาชญากรรมรุนแรง เช่น ฆาตกรรม และการทำร้ายร่างกาย อยู่ในระดับต่ำ
- อาชญากรรมที่พบบ่อยกว่า ได้แก่ การลักทรัพย์ การงัดแงะ และอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด
- ในพื้นที่เมืองใหญ่ โดยเฉพาะดับลิน อาจมีปัญหาอาชญากรรมข้างถนน เช่น การล้วงกระเป๋า และพฤติกรรมต่อต้านสังคมที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์
- ไอร์แลนด์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในประเทศที่สงบสุขที่สุดในโลก ตามดัชนีสันติภาพโลก ในปี ค.ศ. 2024 ไอร์แลนด์อยู่ในอันดับที่สองรองจากไอซ์แลนด์
องค์กรตำรวจ (การ์ดาซิโอคานา - Garda Síochána):
- การ์ดาซิโอคานา (An Garda Síochánaอัน การ์ดา ชิโอคานาภาษาไอริช แปลว่า "ผู้พิทักษ์สันติภาพ") เป็นหน่วยงานตำรวจพลเรือนแห่งชาติของไอร์แลนด์
- รับผิดชอบในการบังคับใช้กฎหมาย การป้องกันและสืบสวนอาชญากรรม การรักษาความสงบเรียบร้อย และการจัดการจราจร
- โดยทั่วไป เจ้าหน้าที่การ์ดาที่ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติจะไม่มีอาวุธปืน แต่จะพกกระบองและสเปรย์พริกไทย หน่วยงานติดอาวุธพิเศษมีไว้สำหรับสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูง
- กองกำลังตำรวจมีผู้บัญชาการ (Garda Commissioner) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาล
- ตำรวจทหาร (Military Police) เป็นหน่วยงานของกองกำลังป้องกันตนเองไอร์แลนด์ที่รับผิดชอบการให้บริการตำรวจแก่บุคลากรทางทหารและให้การสนับสนุนการรักษาระเบียบวินัยในกองทัพ ในยามสงครามมีหน้าที่เพิ่มเติม เช่น การควบคุมการจราจรของหน่วยทหาร การควบคุมเชลยศึกและผู้ลี้ภัย
อัตราอาชญากรรมและการดำเนินงานของระบบยุติธรรม:
- อัตราการก่ออาชญากรรมโดยรวมยังคงค่อนข้างต่ำ แต่มีการเปลี่ยนแปลงในประเภทของอาชญากรรมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เช่น การเพิ่มขึ้นของอาชญากรรมทางไซเบอร์และการฉ้อโกง
- ระบบยุติธรรมทางอาญาประกอบด้วยศาลในระดับต่าง ๆ (ศาลแขวง ศาลภาค ศาลสูง ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา) การพิจารณาคดีอาญาที่ร้ายแรงมักจะมีคณะลูกขุน
- ระบบกฎหมายของไอร์แลนด์เป็นระบบคอมมอนลอว์ โดยมีรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษร
- มีความพยายามในการปฏิรูประบบยุติธรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการดำเนินคดี รวมถึงการจัดการกับปัญหาความแออัดในเรือนจำ
กฎหมายเกี่ยวกับความเป็นพลเมืองของไอร์แลนด์เกี่ยวข้องกับ "เกาะไอร์แลนด์" รวมถึงเกาะและทะเล ซึ่งขยายไปถึงไอร์แลนด์เหนือซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร ดังนั้น ผู้ใดก็ตามที่เกิดในไอร์แลนด์เหนือและมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดสำหรับการเป็นพลเมืองไอริช เช่น เกิดบนเกาะไอร์แลนด์โดยมีบิดาหรือมารดาเป็นพลเมืองไอริชหรืออังกฤษ หรือบิดาหรือมารดาที่มีสิทธิอาศัยอยู่ในไอร์แลนด์เหนือหรือสาธารณรัฐโดยไม่มีข้อจำกัดในการพำนัก สามารถใช้สิทธิในการเป็นพลเมืองไอริชได้ เช่น การขอหนังสือเดินทางไอร์แลนด์
9. วัฒนธรรม

วัฒนธรรมของไอร์แลนด์มีรากฐานมาจากวัฒนธรรมเกลิกมานานหลายศตวรรษ และยังคงเป็นหนึ่งในหกชาติเคลต์หลัก หลังจากการรุกรานของชาวแองโกล-นอร์มันในศตวรรษที่ 12 และการพิชิตและการล่าอาณานิคมของอังกฤษอย่างค่อยเป็นค่อยไปซึ่งเริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 16 ไอร์แลนด์ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอังกฤษและสกอตแลนด์ ต่อมา วัฒนธรรมไอริช แม้จะมีความแตกต่างในหลาย ๆ ด้าน แต่ก็มีลักษณะร่วมกับส่วนอื่น ๆ ของกลุ่มประเทศแองโกลสเฟียร์ ยุโรปคาทอลิก และภูมิภาคเคลต์อื่น ๆ การพลัดถิ่นของชาวไอริช ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้พลัดถิ่นที่ใหญ่ที่สุดและกระจัดกระจายมากที่สุดในโลก ได้มีส่วนทำให้วัฒนธรรมไอริชเป็นสากล โดยสร้างบุคคลสำคัญมากมายในด้านศิลปะ ดนตรี และวิทยาศาสตร์
9.1. วรรณกรรม

ไอร์แลนด์มีส่วนร่วมสำคัญต่อวรรณกรรมโลกทั้งในภาษาอังกฤษและภาษาไอริช วรรณกรรมนิยายไอริชสมัยใหม่เริ่มต้นด้วยการตีพิมพ์นวนิยายเรื่อง การเดินทางของกัลลิเวอร์ (Gulliver's Travels) ในปี ค.ศ. 1726 โดยโจนาธาน สวิฟต์ นักเขียนคนอื่น ๆ ที่มีความสำคัญในช่วงศตวรรษที่ 18 และผลงานที่โดดเด่นของพวกเขา ได้แก่ ลอว์เรนซ์ สเติร์น กับการตีพิมพ์ ชีวิตและความเห็นของทริสตรัม แชนดี้ สุภาพบุรุษ (The Life and Opinions of Tristram Shandy, Gentleman) และโอลิเวอร์ โกลด์สมิธกับเรื่อง พระแห่งเวกฟิลด์ (The Vicar of Wakefield) นักประพันธ์ชาวไอร์แลนด์จำนวนมากปรากฏตัวในช่วงศตวรรษที่ 19 รวมถึงมาเรีย เอดจ์เวิร์ธ จอห์น แบนิม เจอรัลด์ กริฟฟิน ชาลส์ คิกแฮม วิลเลียม คาร์ลตัน จอร์จ มัวร์ และซอเมอร์วิลล์และรอสส์ แบรม สโตกเกอร์เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้แต่งนวนิยายเรื่อง แดรกคูลา (Dracula) ในปี ค.ศ. 1897
เจมส์ จอยซ์ (ค.ศ. 1882-1941) ตีพิมพ์ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ ยูลิสซีส (Ulysses) ในปี ค.ศ. 1922 ซึ่งเป็นการตีความ โอดิสซีย์ ที่เกิดขึ้นในดับลิน อีดิธ แอนนา ซอเมอร์วิลล์ยังคงเขียนต่อไปหลังจากที่คู่หูของเธอ ไวโอเล็ต ฟลอเรนซ์ มาร์ตินเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1915 แอนนี่ เอ็ม. พี. สมิธสันแห่งดับลินเป็นหนึ่งในนักเขียนหลายคนที่ตอบสนองแฟน ๆ ของนวนิยายโรแมนติกในช่วงทศวรรษ 1920 และ 1930 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง นวนิยายยอดนิยมได้รับการตีพิมพ์โดยนักเขียนคนอื่น ๆ เช่น ไบรอัน โอ'โนแลน ซึ่งตีพิมพ์ในนามแฟลนน์ โอ'ไบรอัน เอลิซาเบธ โบเวน และเคท โอ'ไบรอัน ในช่วงทศวรรษสุดท้ายของศตวรรษที่ 20 เอ็ดนา โอ'ไบรอัน จอห์น แม็กเกเฮิร์น เมฟ บินชี โจเซฟ โอ'คอนเนอร์ ร็อดดี้ ดอยล์ คอล์ม ทอยบิน และจอห์น แบนวิลล์ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักประพันธ์คนสำคัญ

แพทริเซีย ลินช์เป็นนักเขียนสำหรับเด็กที่มีผลงานมากมายในศตวรรษที่ 20 ในขณะที่ผลงานของโอเอ็น คอลเฟอร์เป็นหนังสือขายดีของนิวยอร์กไทมส์ในประเภทนี้ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ในประเภทเรื่องสั้น ซึ่งเป็นรูปแบบที่นักเขียนชาวไอร์แลนด์หลายคนชื่นชอบ บุคคลสำคัญที่สุด ได้แก่ ชอน โอ'เฟลัน แฟรงก์ โอ'คอนเนอร์ และวิลเลียม เทรเวอร์ กวีชาวไอร์แลนด์ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ แพทริก คาวานาห์ โทมัส แม็กคาร์ที เดอร์มอต โบลเจอร์ และผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม วิลเลียม บัตเลอร์ เยตส์ และเชมัส ฮีนีย์ (เกิดในไอร์แลนด์เหนือแต่อาศัยอยู่ในดับลิน) นักเขียนคนสำคัญในภาษาไอริช ได้แก่ ปาดริก โอ โคแนร์ มาร์ติน โอ คาน เชมัส โอ กรีอันนา และนัวลา นี โดว์นัลล์
ประวัติศาสตร์ของละครเวทีไอริชเริ่มต้นด้วยการขยายตัวของการบริหารของอังกฤษในดับลินในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 และตั้งแต่นั้นมา ไอร์แลนด์ได้มีส่วนร่วมอย่างมากในละครภาษาอังกฤษ ในช่วงต้นประวัติศาสตร์ การผลิตละครในไอร์แลนด์มักมีจุดมุ่งหมายทางการเมือง แต่เมื่อมีโรงละครเปิดมากขึ้นและผู้ชมที่เป็นที่นิยมเพิ่มขึ้น การแสดงความบันเทิงที่หลากหลายมากขึ้นก็ถูกจัดแสดง โรงละครในดับลินหลายแห่งได้พัฒนาความเชื่อมโยงกับโรงละครในลอนดอน และผลงานของอังกฤษก็มักจะถูกนำมาแสดงบนเวทีของไอร์แลนด์ อย่างไรก็ตาม นักเขียนบทละครชาวไอร์แลนด์ส่วนใหญ่เดินทางไปต่างประเทศเพื่อสร้างชื่อเสียง ในศตวรรษที่ 18 โอลิเวอร์ โกลด์สมิธและริชาร์ด บรินสลีย์ เชอริแดนเป็นสองในนักเขียนบทละครที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดบนเวทีลอนดอนในขณะนั้น ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 บริษัทละครที่อุทิศตนให้กับการแสดงละครไอริชและการพัฒนานักเขียน ผู้กำกับ และนักแสดงเริ่มปรากฏตัวขึ้น ซึ่งทำให้นักเขียนบทละครชาวไอร์แลนด์หลายคนได้เรียนรู้และสร้างชื่อเสียงในไอร์แลนด์แทนที่จะเป็นในอังกฤษหรือสหรัฐอเมริกา ตามแบบอย่างของนักปฏิบัติที่มีชื่อเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งออสการ์ ไวลด์ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมจอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ (1925) และซามูเอล เบกเกตต์ (1969) นักเขียนบทละครเช่น ชอน โอ'เคซี ไบรอัน ฟรีเอล เซบาสเตียน แบร์รี เบรนแดน บีแฮน คอเนอร์ แม็กเฟอร์สัน และบิลลี โรชได้รับความนิยมอย่างมาก นักเขียนบทละครชาวไอร์แลนด์คนอื่น ๆ ในศตวรรษที่ 20 ได้แก่ เดนิส จอห์นสตัน โทมัส คิลรอย ทอม เมอร์ฟี ฮิวจ์ เลนเนิร์ด แฟรงก์ แม็กกินเนส และจอห์น บี. คีน
9.2. ดนตรีและการเต้นรำ


ดนตรีพื้นเมืองของไอร์แลนด์ยังคงมีชีวิตชีวา แม้จะเผชิญกับกระแสโลกาภิวัตน์ทางวัฒนธรรม และยังคงรักษาขนบธรรมเนียมดั้งเดิมไว้ได้หลายประการ ดนตรีนี้มีอิทธิพลต่อแนวเพลงต่าง ๆ เช่น ดนตรีคันทรีและรูตส์ของอเมริกา และในระดับหนึ่งก็มีอิทธิพลต่อดนตรีร็อกสมัยใหม่ บางครั้งมีการผสมผสานกับสไตล์เช่นร็อกแอนด์โรลและพังก์ร็อก ไอร์แลนด์ยังสร้างศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติมากมายในแนวเพลงอื่น ๆ เช่น ร็อก ป๊อป แจ๊ส และบลูส์ ศิลปินเพลงที่ขายดีที่สุดของไอร์แลนด์คือวงร็อกยูทู (U2) ซึ่งขายอัลบั้มได้ 170 ล้านชุดทั่วโลกนับตั้งแต่ก่อตั้งวงในปี ค.ศ. 1976
มีวงดนตรีคลาสสิกหลายวงทั่วประเทศ เช่น RTÉ Performing Groups ไอร์แลนด์ยังมีองค์กรโอเปร่าสองแห่ง: โอเปร่าแห่งชาติไอร์แลนด์ (Irish National Opera) ในดับลิน และเทศกาลโอเปร่าเวกซ์ฟอร์ด (Wexford Opera Festival) ประจำปี ซึ่งส่งเสริมโอเปร่าที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก จัดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน
ไอร์แลนด์เข้าร่วมการประกวดเพลงยูโรวิชันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1965 ชัยชนะครั้งแรกคือในปี ค.ศ. 1970 เมื่อดานาชนะด้วยเพลง ทุกสิ่งทุกอย่าง (All Kinds of Everything) หลังจากนั้น ไอร์แลนด์ชนะการประกวดอีกหกครั้ง ซึ่งเป็นจำนวนครั้งที่ชนะมากที่สุดในบรรดาประเทศที่เข้าร่วมการประกวด ปรากฏการณ์ ริเวอร์แดนซ์ (Riverdance) เกิดขึ้นจากการแสดงคั่นเวลาในช่วงการประกวดยูโรวิชันปี 1994
การเต้นรำแบบไอริชสามารถแบ่งกว้าง ๆ ออกเป็นการเต้นรำทางสังคม (social dance) และการเต้นรำเพื่อการแสดง (performance dance) การเต้นรำทางสังคมแบบไอริชสามารถแบ่งออกเป็นการเต้นแบบ เซลิ (céilí) และการเต้นแบบเซต (set dancing) การเต้นรำแบบเซตของไอริชเป็นการเต้นแบบคдриิลล์ (quadrilles) โดยมีคู่เต้น 4 คู่จัดเรียงเป็นรูปสี่เหลี่ยม ในขณะที่การเต้นรำแบบเซลิเป็นการเต้นโดยมีคู่เต้นหลากหลายรูปแบบตั้งแต่ 2 ถึง 16 คน นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างทางสไตล์มากมายระหว่างรูปแบบทั้งสองนี้ การเต้นรำทางสังคมแบบไอริชเป็นประเพณีที่มีชีวิตชีวา และมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเต้นรำเฉพาะในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ ในบางแห่งมีการปรับเปลี่ยนท่าเต้นอย่างตั้งใจและมีการออกแบบท่าเต้นใหม่ การเต้นรำเพื่อการแสดงเรียกตามประเพณีว่าสเต็ปแดนซ์ (stepdance) การเต้นรำสเต็ปแบบไอริช ซึ่งได้รับความนิยมจากการแสดง ริเวอร์แดนซ์ มีลักษณะเด่นคือการเคลื่อนไหวขาอย่างรวดเร็ว โดยที่ลำตัวและแขนส่วนใหญ่จะอยู่นิ่ง การเต้นสเต็ปเดี่ยวโดยทั่วไปมีลักษณะเด่นคือลำตัวส่วนบนที่ควบคุมได้แต่ไม่แข็งเกร็ง แขนตรง และการเคลื่อนไหวเท้าที่รวดเร็วและแม่นยำ การเต้นเดี่ยวสามารถเต้นด้วย "รองเท้าอ่อน" หรือ "รองเท้าแข็ง" ก็ได้
9.3. สถาปัตยกรรม



ไอร์แลนด์มีโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย ซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่ในสภาพการอนุรักษ์ที่แตกต่างกันไปตั้งแต่ยุคหินใหม่ เช่น บรูนาโบนเย (Brú na Bóinne) สุสานหินแบบดอลเมนพอลนาโบรน (Poulnabrone dolmen) หินคาสเซิลสเตรนจ์ (Castlestrange stone) หินทูโร (Turoe stone) และวงหินดรอมเบก (Drombeg stone circle) เนื่องจากไอร์แลนด์ไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน สถาปัตยกรรมโบราณในรูปแบบกรีก-โรมันจึงหายากมาก ซึ่งแตกต่างจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของยุโรปตะวันตก ประเทศนี้กลับมีช่วงเวลาที่ยาวนานของสถาปัตยกรรมยุคเหล็ก หอคอยทรงกลมไอริช (Irish round tower) มีต้นกำเนิดในสมัยต้นสมัยกลาง
ศาสนาคริสต์ได้นำบ้านเรือนแบบสงฆ์ที่เรียบง่ายเข้ามา เช่น คลอนแมคนอยส์ (Clonmacnoise) สเกลลิกไมเคิล (Skellig Michael) และเกาะสแคทเทอรี (Scattery Island) มีการตั้งข้อสังเกตถึงความคล้ายคลึงทางรูปแบบระหว่างอารามคู่เหล่านี้กับอารามของชาวคอปติกในอียิปต์ กษัตริย์และชนชั้นสูงชาวเกลิกอาศัยอยู่ในป้อมวงแหวน (ringforts) หรือ แครนน็อก (crannógs) การปฏิรูปศาสนจักรในศตวรรษที่ 12 ผ่านทางคณะซิสเตอร์เชียนได้กระตุ้นอิทธิพลจากภาคพื้นทวีป โดยมีอารามแบบโรมาเนสก์ เช่น อารามเมลลิฟอนต์ (Mellifont Abbey) อารามบอยล์ (Boyle Abbey) และอารามทินเทิร์น (Tintern Abbey) การตั้งถิ่นฐานของชาวเกลิกจำกัดอยู่เฉพาะในเมืองต้นแบบของสงฆ์ เช่น เคลส์ (Kells) ซึ่งรูปแบบถนนในปัจจุบันยังคงรักษารูปแบบการตั้งถิ่นฐานแบบวงกลมดั้งเดิมไว้ได้ในระดับหนึ่ง การตั้งถิ่นฐานในเมืองที่สำคัญเกิดขึ้นหลังจากการรุกรานของชาวไวกิง ลองฟอร์ต (Longphort) ที่สำคัญของชาวฮิเบอร์โน-นอร์สตั้งอยู่บนชายฝั่ง แต่ก็มีการตั้งถิ่นฐานริมแม่น้ำในแผ่นดินบ้าง เช่น ลองฟอร์ด (Longford) ที่มีชื่อเดียวกัน
ปราสาทถูกสร้างขึ้นโดยชาวแองโกล-นอร์มันในช่วงปลายศตวรรษที่ 12 เช่น ปราสาทดับลิน (Dublin Castle) และปราสาทคิลเคนนี (Kilkenny Castle) และแนวคิดเรื่องเมืองการค้าที่มีกำแพงล้อมรอบตามแผนก็ถูกนำมาใช้ ซึ่งได้รับสถานะทางกฎหมายและสิทธิหลายประการจากการได้รับกฎบัตรภายใต้ระบบเจ้าขุนมูลนาย กฎบัตรเหล่านี้ควบคุมการออกแบบเมืองเหล่านี้โดยเฉพาะ การก่อตั้งเมืองตามแผนสองระลอกสำคัญตามมา ระลอกแรกคือเมืองนิคมในศตวรรษที่ 16 และ 17 ซึ่งกษัตริย์ทิวดอร์ของอังกฤษใช้เป็นกลไกในการปราบปรามการก่อความไม่สงบในท้องถิ่น ตามมาด้วยเมืองของเจ้าของที่ดินในศตวรรษที่ 18 เมืองตามแผนที่ก่อตั้งโดยชาวนอร์มันที่ยังคงอยู่ ได้แก่ ดรอเฮดา (Drogheda) และยอล (Youghal) เมืองนิคม ได้แก่ พอร์ตลีเชอ (Portlaoise) และพอร์ตอาร์ลิงตัน (Portarlington) เมืองตามแผนในศตวรรษที่ 18 ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี ได้แก่ เวสต์พอร์ต (Westport) และบอลลินาสโล (Ballinasloe) ช่วงเวลาของการตั้งถิ่นฐานตามแผนเหล่านี้เป็นที่มาของเมืองส่วนใหญ่ในปัจจุบันทั่วประเทศ

อาสนวิหารแบบกอทิก เช่น เซนต์แพทริก ก็ถูกนำเข้ามาโดยชาวนอร์มันเช่นกัน คณะฟรันซิสกันมีบทบาทสำคัญในการชี้นำอารามต่างๆ ในช่วงปลายยุคกลาง ในขณะที่บ้านหอคอยที่สง่างาม เช่น ปราสาทบันแรตตี (Bunratty Castle) ถูกสร้างขึ้นโดยชนชั้นสูงชาวเกลิกและชาวนอร์มัน อาคารทางศาสนาจำนวนมากถูกทำลายลงพร้อมกับการยุบอาราม หลังจากการฟื้นฟูราชวงศ์ สถาปัตยกรรมแบบพาลเลเดียนและโรโกโก โดยเฉพาะคฤหาสน์ชนบท ได้แพร่หลายไปทั่วไอร์แลนด์ภายใต้การริเริ่มของเอ็ดเวิร์ด โลเวตต์ เพียร์ซ โดยมีอาคารรัฐสภาเป็นอาคารที่สำคัญที่สุด
ด้วยการก่อสร้างอาคารต่างๆ เช่น เดอะคัสตอมเฮาส์ (The Custom House) เดอะโฟร์คอตส์ (Four Courts) ที่ทำการไปรษณีย์กลาง (General Post Office) และคิงส์อินส์ (King's Inns) สถาปัตยกรรมแบบฟื้นฟูคลาสสิกและจอร์เจียนได้เจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะในดับลินแบบจอร์เจียน ทาวน์เฮาส์แบบจอร์เจียนสร้างถนนที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะในดับลิน ลิเมอริก และคอร์ก หลังจากการปลดปล่อยชาวคาทอลิก อาสนวิหารและโบสถ์ที่ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมฟื้นฟูกอทิกแบบฝรั่งเศสได้ปรากฏขึ้น เช่น เซนต์โคลแมน (St Colman's) และเซนต์ฟินบาร์ (St Finbarre's) ไอร์แลนด์มีความเกี่ยวข้องกับกระท่อมหลังคาแฝกมาเป็นเวลานาน แม้ว่าปัจจุบันจะถือว่าเป็นสิ่งที่แปลกตา

เริ่มต้นด้วยโบสถ์แบบอาร์ตเดโคที่ออกแบบโดยชาวอเมริกันที่เทอร์เนอร์สครอส (Turner's Cross) ในคอร์กในปี ค.ศ. 1927 สถาปัตยกรรมไอริชได้ดำเนินตามแนวโน้มสากลไปสู่รูปแบบอาคารที่ทันสมัยและเพรียวบางตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 การพัฒนาอื่น ๆ รวมถึงการฟื้นฟูบอลลีมัน (Ballymun) และการขยายเมืองดับลินที่อาดัมสทาวน์ (Adamstown) นับตั้งแต่การก่อตั้งองค์การพัฒนาท่าเรือดับลิน (Dublin Docklands Development Authority) ในปี ค.ศ. 1997 พื้นที่ดับลินด็อกแลนส์ (Dublin Docklands) ได้รับการพัฒนาขนานใหญ่ ซึ่งรวมถึงการก่อสร้างศูนย์ประชุมดับลิน (Convention Centre Dublin) และโรงละครแกรนด์คาแนล (Grand Canal Theatre) แคปิตัลด็อก (Capital Dock) ในดับลินซึ่งแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 2018 เป็นอาคารที่สูงที่สุดในสาธารณรัฐไอร์แลนด์ด้วยความสูง 79 m (หอคอยโอเบลในเบลฟาสต์ ไอร์แลนด์เหนือเป็นอาคารที่สูงที่สุดในเกาะไอร์แลนด์) สถาบันสถาปนิกหลวงแห่งไอร์แลนด์ (Royal Institute of the Architects of Ireland) ควบคุมการประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมในรัฐ
9.4. สื่อมวลชน
ไรดิโอ เทลิฟิส เอียรันน์ (Raidió Teilifís Éireannไรดิโอ เทลิฟิส เอียรันน์ภาษาไอริช - RTÉ) เป็นสถานีวิทยุโทรทัศน์สาธารณะของไอร์แลนด์ ได้รับทุนสนับสนุนจากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตโทรทัศน์และโฆษณา RTÉ ดำเนินการช่องโทรทัศน์แห่งชาติสองช่องคือ อาร์ทีอีวัน (RTÉ One) และอาร์ทีอีทู (RTÉ Two) ช่องโทรทัศน์แห่งชาติอิสระอื่น ๆ ได้แก่ เวอร์จินมีเดียวัน (Virgin Media One) เวอร์จินมีเดียทู (Virgin Media Two) เวอร์จินมีเดียทรี (Virgin Media Three) และทีจีโฟร์ (TG4) ซึ่งช่องหลังนี้เป็นสถานีวิทยุโทรทัศน์สาธารณะสำหรับผู้พูดภาษาไอริช ช่องเหล่านี้ทั้งหมดสามารถรับชมได้ทางซอร์วิว (Saorview) ซึ่งเป็นบริการโทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบดิจิทัลแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ช่องเพิ่มเติมที่รวมอยู่ในบริการนี้คือ อาร์ทีอีนิวส์นาว (RTÉ News Now) อาร์ทีอีจูเนียร์ (RTÉjr) และ RTÉ One +1 ผู้ให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับเป็นสมาชิกที่ดำเนินงานในไอร์แลนด์ ได้แก่ เวอร์จินมีเดีย (Virgin Media) และสกาย (Sky)
บีบีซีส่วนภูมิภาคไอร์แลนด์เหนือสามารถรับชมได้อย่างกว้างขวางในไอร์แลนด์ บีบีซีวันไอร์แลนด์เหนือ (BBC One Northern Ireland) และบีบีซีทูไอร์แลนด์เหนือ (BBC Two Northern Ireland) สามารถรับชมได้จากผู้ให้บริการโทรทัศน์แบบเสียค่าบริการ รวมถึง Virgin และ Sky และผ่านสัญญาณล้นโดยฟรีวิว (Freeview) ในเทศมณฑลชายแดน
อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไอร์แลนด์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมการภาพยนตร์ไอร์แลนด์ (Irish Film Board) ได้เติบโตขึ้นอย่างมากตั้งแต่ทศวรรษ 1990 โดยมีการส่งเสริมภาพยนตร์ในประเทศรวมถึงการดึงดูดการผลิตภาพยนตร์ระดับนานาชาติ เช่น เบรฟฮาร์ท และ เซฟวิงไพรเวทไรอัน
มีสถานีวิทยุระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่นจำนวนมากให้บริการทั่วประเทศ จากการสำรวจพบว่าผู้ใหญ่ 85% อย่างสม่ำเสมอรับฟังสถานีวิทยุระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่นผสมกันเป็นประจำทุกวัน อาร์ทีอีเรดิโอ (RTÉ Radio) ดำเนินการสถานีวิทยุระดับชาติสี่สถานี ได้แก่ เรดิโอวัน (Radio 1) ทูเอฟเอ็ม (2fm) ไลริกเอฟเอ็ม (Lyric fm) และอาร์เอ็นเอจี (RnaG) นอกจากนี้ยังดำเนินการสถานีวิทยุ DAB ระดับชาติสี่สถานี มีสถานีวิทยุอิสระระดับชาติสองสถานีคือ ทูเดย์เอฟเอ็ม (Today FM) และนิวส์ทอล์ก (Newstalk)
ไอร์แลนด์มีสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีการแข่งขันกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งแบ่งออกเป็นหนังสือพิมพ์รายวันระดับชาติและหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ระดับภูมิภาค รวมถึงฉบับวันอาทิตย์ระดับชาติ ความแข็งแกร่งของสื่อสิ่งพิมพ์ของอังกฤษเป็นลักษณะเฉพาะของวงการสื่อสิ่งพิมพ์ของไอร์แลนด์ โดยมีหนังสือพิมพ์และนิตยสารที่ตีพิมพ์ในอังกฤษให้เลือกมากมาย
ยูโรสแตทรายงานว่า 82% ของครัวเรือนชาวไอริชสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ในปี ค.ศ. 2013 เทียบกับค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรปที่ 79% แต่มีเพียง 67% เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้
9.5. อาหาร

อาหารไอริชแบบดั้งเดิมมีพื้นฐานมาจากเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นม เสริมด้วยผักและอาหารทะเล
ตัวอย่างอาหารไอริชยอดนิยม ได้แก่ บ็อกซ์ตี (boxty) คอลแคนนอน (colcannon) คอดเดิล (coddle) สตูว์ (stew) และเบคอนและกะหล่ำปลี (bacon and cabbage) ไอร์แลนด์เป็นที่รู้จักจากอาหารเช้าแบบไอริชเต็มรูปแบบ (full Irish breakfast) ซึ่งประกอบด้วยอาหารทอดหรือย่าง โดยทั่วไปจะประกอบด้วยเบคอน (rashers) ไข่ ไส้กรอก ไวท์พุดดิ้งและแบล็กพุดดิ้ง และมะเขือเทศทอด นอกเหนือจากอิทธิพลจากอาหารยุโรปและนานาชาติแล้ว ยังมีการเกิดขึ้นของอาหารไอริชรูปแบบใหม่ที่ใช้ส่วนผสมแบบดั้งเดิมมาปรุงแต่งด้วยวิธีใหม่ ๆ อาหารประเภทนี้เน้นผักสด ปลา หอยนางรม หอยแมลงภู่ และหอยชนิดอื่น ๆ รวมถึงชีสทำมือหลากหลายชนิดที่ผลิตขึ้นทั่วประเทศ อาหารทะเลได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากมีอาหารทะเลคุณภาพสูงจากแนวชายฝั่งของประเทศ ปลาที่นิยมที่สุด ได้แก่ ปลาแซลมอนและปลาค็อด ขนมปังแบบดั้งเดิม ได้แก่ ขนมปังโซดา (soda bread) และขนมปังโฮลวีต (wheaten bread) บาร์มแบร็ก (barmbrack) เป็นขนมปังที่ใส่ยีสต์และเพิ่มซัลตานาและลูกเกด นิยมรับประทานตามประเพณีในวันฮาโลวีน
เครื่องดื่มยอดนิยมในชีวิตประจำวันของชาวไอริช ได้แก่ ชาและกาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เกี่ยวข้องกับไอร์แลนด์ ได้แก่ พอยทีน (Poitín) และกินเนส (Guinness) ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งเป็นเบียร์ดำ (dry stout) ที่มีต้นกำเนิดจากโรงเบียร์ของอาเธอร์ กินเนสที่ประตูเซนต์เจมส์ (St. James's Gate) ในดับลิน วิสกี้ไอริช (Irish whiskey) ก็เป็นที่นิยมทั่วประเทศและมีหลากหลายรูปแบบ รวมถึงซิงเกิลมอลต์ ซิงเกิลเกรน และเบลนด์วิสกี้
9.6. กีฬา

เกลิกฟุตบอลและเฮอร์ลิงเป็นกีฬาพื้นเมืองของไอร์แลนด์และเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมในการเข้าชมอย่างมาก กีฬาทั้งสองประเภทนี้บริหารจัดการโดยสมาคมกีฬาเกลิก (Gaelic Athletics Association - GAA) บนพื้นฐานของเกาะไอร์แลนด์ทั้งหมด กีฬาเกลิกอื่น ๆ ที่จัดโดยสมาคม ได้แก่ แฮนด์บอลเกลิกและราวน์เดอร์ส
ฟุตบอล (ซอกเกอร์) เป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมในการเข้าชมเป็นอันดับสามและมีผู้เล่นมากที่สุด แม้ว่าลีกของไอร์แลนด์จะเป็นลีกระดับชาติ แต่พรีเมียร์ลีกของอังกฤษเป็นที่นิยมมากที่สุดในหมู่ประชาชน ฟุตบอลทีมชาติสาธารณรัฐไอร์แลนด์ลงเล่นในระดับนานาชาติและบริหารจัดการโดยสมาคมฟุตบอลแห่งไอร์แลนด์ (Football Association of Ireland - FAI)
สหภาพรักบี้ฟุตบอลไอร์แลนด์ (Irish Rugby Football Union - IRFU) เป็นองค์กรกำกับดูแลรักบี้ยูเนียน ซึ่งเล่นกันในระดับท้องถิ่นและระดับนานาชาติบนพื้นฐานของเกาะไอร์แลนด์ทั้งหมด และได้สร้างนักกีฬาอย่างไบรอัน โอ'ดริสคอลล์และโรนัน โอ'การา ซึ่งอยู่ในทีมที่ชนะแกรนด์สแลมในการแข่งขันชิงแชมป์หกชาติปี 2009 ความสำเร็จของทีมคริกเกตไอร์แลนด์ในคริกเกตเวิลด์คัพ 2007ทำให้ความนิยมของคริกเกตเพิ่มขึ้น ซึ่งบริหารจัดการบนพื้นฐานของเกาะไอร์แลนด์ทั้งหมดโดยคริกเกตไอร์แลนด์ (Cricket Ireland) ไอร์แลนด์เป็นหนึ่งในสิบสองสมาชิกที่เล่นคริกเกตเทสต์ของสภาคริกเกตนานาชาติ โดยได้รับสถานะเทสต์ในปี ค.ศ. 2017 การแข่งขันคริกเกตระดับอาชีพภายในประเทศจะเล่นกันระหว่างสหภาพคริกเกตหลัก ๆ ของเลนสเตอร์ มันสเตอร์ เหนือ และตะวันตกเฉียงเหนือ เน็ตบอลมีทีมเน็ตบอลแห่งชาติไอร์แลนด์เป็นตัวแทน
กอล์ฟเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอีกประเภทหนึ่งในไอร์แลนด์ โดยมีสนามกอล์ฟกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ ประเทศนี้สร้างนักกอล์ฟที่ประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติหลายคน เช่น ปาเดรก แฮร์ริงตัน เชน ลาวรี และพอล แมคกินลีย์ การแข่งม้ามีการดำเนินงานอย่างกว้างขวาง โดยมีกิจการเพาะพันธุ์และแข่งม้าที่มีอิทธิพลในประเทศ การแข่งขันจัดขึ้นที่สนามแข่งม้าสนามแข่งม้าเดอะเคอร์ราห์ในเทศมณฑลคิลแดร์ สนามแข่งม้าเลพเพิร์ดสทาวน์นอกเมืองดับลิน และกอลเวย์ ไอร์แลนด์สร้างม้าแชมป์เปี้ยน เช่น กาลิเลโอ มงต์เฌอ และซีเดอะสตาร์ส มวยสากลเป็นกีฬาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของไอร์แลนด์ในระดับโอลิมปิก บริหารจัดการโดยสมาคมมวยสากลสมัครเล่นไอร์แลนด์บนพื้นฐานของเกาะไอร์แลนด์ทั้งหมด และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากความสำเร็จระดับนานาชาติของนักมวย เช่น เบอร์นาร์ด ดันน์ แอนดี ลี และเคที เทย์เลอร์
นักกีฬากรีฑาที่ทำผลงานได้ดีที่สุดของไอร์แลนด์บางคนเคยแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก เช่น เอมอน ค็อกแลนและซอนยา โอ'ซุลลิแวน ดับลินมาราธอนประจำปีและดับลินวีเมนส์มินิมาราธอนเป็นสองในกิจกรรมกรีฑาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศ รักบี้ลีกมีทีมรักบี้ลีกแห่งชาติไอร์แลนด์เป็นตัวแทนและบริหารจัดการโดยรักบี้ลีกไอร์แลนด์ (ซึ่งเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบของสหพันธ์รักบี้ลีกยุโรป) บนพื้นฐานของเกาะไอร์แลนด์ทั้งหมด ทีมนี้แข่งขันในยูโรเปียนคัพและรักบี้ลีกเวิลด์คัพ ไอร์แลนด์เข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศของรักบี้ลีกเวิลด์คัพ 2000และเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในรักบี้ลีกเวิลด์คัพ 2008 ไอริชอีลีทลีกเป็นการแข่งขันภายในประเทศสำหรับทีมรักบี้ลีกในไอร์แลนด์
ในขณะที่ออสเตรเลียนรูลส์ฟุตบอลมีผู้ติดตามจำนวนจำกัด แต่มีการแข่งขันอินเตอร์เนชันแนลรูลส์ฟุตบอล (ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างกติกาของฟุตบอลออสเตรเลียและเกลิกฟุตบอล) จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีระหว่างทีมตัวแทนของไอร์แลนด์และออสเตรเลีย เบสบอลและบาสเกตบอลก็เป็นกีฬาที่กำลังได้รับความนิยมในไ