1. ภาพรวม
ประเทศอินเดีย หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐอินเดีย เป็นประเทศในเอเชียใต้ มีประชากรมากที่สุดในโลก และเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 5,000 ปี เป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมสำคัญของโลก เช่น อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ และเป็นต้นกำเนิดของศาสนาหลักสี่ศาสนาคือ ศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ ศาสนาเชน และศาสนาซิกข์ อินเดียมีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ ภาษา วัฒนธรรม และชาติพันธุ์อย่างมาก ภายหลังการได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักรในปี ค.ศ. 1947 อินเดียได้สถาปนาระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐระบบรัฐสภา โดยยึดมั่นในหลักการฆราวาสนิยมและประชาธิปไตยแบบหลายพรรค
อินเดียมีภูมิประเทศที่หลากหลายตั้งแต่เทือกเขาหิมาลัยทางตอนเหนือ ที่ราบลุ่มแม่น้ำอันกว้างใหญ่ และที่ราบสูงเดคคานทางตอนใต้ ภูมิอากาศแตกต่างกันไปตั้งแต่แบบร้อนชื้นจนถึงแบบภูเขาสูง และเป็นที่ตั้งของความหลากหลายทางชีวภาพที่อุดมสมบูรณ์ ระบบการเมืองของอินเดียเป็นแบบสหพันธรัฐที่มีรัฐบาลกลางและรัฐบาลระดับรัฐ โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐในทางพิธีการ และนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล เศรษฐกิจของอินเดียเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยมีภาคบริการเป็นหลัก ตามด้วยภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม แม้จะมีความก้าวหน้า อินเดียยังคงเผชิญกับความท้าทายทางสังคมและเศรษฐกิจ เช่น ความยากจน และความเหลื่อมล้ำ สังคมอินเดียมีความซับซ้อนด้วยระบบวรรณะที่มีมาแต่โบราณ และความหลากหลายทางกลุ่มชาติพันธุ์ ภาษา และศาสนา อินเดียมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนาอวกาศและเทคโนโลยีสารสนเทศ วัฒนธรรมของอินเดียนั้นรุ่มรวยและมีชีวิตชีวา ปรากฏในศิลปะ สถาปัตยกรรม วรรณกรรม ดนตรี ภาพยนตร์ และอาหาร
2. ชื่อเรียก
ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการของอินเดียตามรัฐธรรมนูญคือ भारतภารต (Bhārat; พารัต)ภาษาฮินดี ในภาษาฮินดี และ "India" (อินเดีย) ในภาษาอังกฤษ ชื่อ "อินเดีย" (India) มีที่มาจากคำว่า "สินธุ" (Sindhu) ซึ่งเป็นชื่อเรียกแม่น้ำสินธุในภาษาสันสกฤตโบราณ ชาวกรีกโบราณเรียกชาวอินเดียว่า "อินดอย" (ἸνδοίIndoiGreek, Ancient) ซึ่งหมายถึง "ผู้คนแห่งแม่น้ำสินธุ" ชื่อนี้แพร่หลายผ่านทางภาษาเปอร์เซียโบราณ (Hinduš) กรีกโบราณ (Indos) และละติน (India) จนกลายเป็นชื่อที่ใช้ในระดับสากล
คำว่า "ภารต" (भारतภารต (Bhārat; พารัต)ภาษาฮินดี) ซึ่งปรากฏทั้งในมหากาพย์ของอินเดียและในรัฐธรรมนูญอินเดีย ถูกใช้ในภาษาต่าง ๆ ของอินเดียในรูปแบบที่หลากหลาย เป็นการตีความสมัยใหม่ของชื่อทางประวัติศาสตร์ "ภารตวรรษ" (Bharatavarsha) ซึ่งเดิมใช้เรียกอินเดียตอนเหนือเป็นหลัก "ภารต" เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในฐานะชื่อเรียกอินเดียในภาษาท้องถิ่น ชื่อนี้มีความเชื่อมโยงกับตำนานของท้าวภรตจักรพรรดิในตำนาน ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบรรพบุรุษของชาวอารยันในอินเดีย และมีความสำคัญทางวัฒนธรรมและการเมืองในฐานะสัญลักษณ์แห่งเอกภาพและความภาคภูมิใจของชาติ
อีกชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกอินเดียในประวัติศาสตร์คือ "ฮินดูสถาน" (ہندوستانฮินดูสถาน (Hindustān; ฮิน-ดุส-ถาน)ภาษาเปอร์เซีย) เป็นคำในภาษาเปอร์เซียกลางที่หมายถึง "ดินแดนแห่งชาวฮินดู" และเริ่มเป็นที่นิยมในคริสต์ศตวรรษที่ 13 โดยถูกใช้อย่างกว้างขวางตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโมกุล ความหมายของ "ฮินดูสถาน" นั้นแตกต่างกันไป อาจหมายถึงภูมิภาคที่ครอบคลุมอนุทวีปอินเดียตอนเหนือ (ปัจจุบันคืออินเดียตอนเหนือและปากีสถาน) หรือหมายถึงอินเดียเกือบทั้งหมด ชื่อเรียกเหล่านี้สะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานและความหลากหลายทางวัฒนธรรมของอินเดีย รวมถึงการต่อสู้ทางอุดมการณ์และการเมืองในการนิยามอัตลักษณ์ของชาติ
3. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของอนุทวีปอินเดียครอบคลุมระยะเวลากว่าห้าพันปี เริ่มตั้งแต่การก่อตั้งอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุอันเก่าแก่ จนถึงการเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ที่มีความซับซ้อนทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์อินเดียเป็นเรื่องราวของการหลอมรวมและการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีอารยธรรม ศาสนา และจักรวรรดิต่าง ๆ ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมามีบทบาทสำคัญ และทิ้งมรดกอันยาวนานไว้ในภูมิภาคนี้
3.1. สมัยโบราณ

ประวัติศาสตร์อินเดียโบราณเริ่มต้นด้วยอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ซึ่งรุ่งเรืองในช่วงประมาณ 2,500-1,900 ปีก่อนคริสตกาล ในบริเวณที่ปัจจุบันคือประเทศปากีสถานและอินเดียตะวันตก เป็นอารยธรรมเมืองแห่งแรกในเอเชียใต้ มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองสำคัญเช่น โมเฮนโจ-ดาโร ฮารัปปา และโลธัล อารยธรรมนี้มีลักษณะเด่นคือการวางผังเมืองที่ก้าวหน้า ระบบการเขียน (ที่ยังถอดความไม่ได้) และการค้าขายที่กว้างขวาง
หลังจากการเสื่อมถอยของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ก็เข้าสู่สมัยพระเวท (ประมาณ 1,500-500 ปีก่อนคริสตกาล) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชาวอารยันอพยพเข้ามาในอนุทวีปอินเดีย ยุคนี้เป็นรากฐานของศาสนาฮินดู โดยมีการรจนาคัมภีร์พระเวท ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดของศาสนาฮินดู สังคมในยุคพระเวทมีการแบ่งชั้นวรรณะที่ชัดเจน และเริ่มมีการก่อตัวของรัฐขนาดเล็กที่เรียกว่า "ชนบท"

ราวศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล เป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงทางศาสนาและปรัชญา ศาสดาสำคัญสองท่านคือ พระโคตมพุทธเจ้า ผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธ และพระมหาวีระ ผู้ปฏิรูปศาสนาเชน ได้เผยแผ่คำสอนที่ท้าทายพิธีกรรมและระบบวรรณะของศาสนาพราหมณ์ (ศาสนาฮินดูในยุคแรก) ศาสนาทั้งสองนี้เน้นหลักอหิงสาและการหลุดพ้นจากสังสารวัฏ
การรวมตัวทางการเมืองครั้งสำคัญเกิดขึ้นในสมัยจักรวรรดิโมริยะ (ประมาณ 322-185 ปีก่อนคริสตกาล) ก่อตั้งโดยพระเจ้าจันทรคุปตเมารยะ จักรวรรดิโมริยะขยายอาณาเขตครอบคลุมอนุทวีปอินเดียเกือบทั้งหมดภายใต้การปกครองของพระเจ้าอโศกมหาราช (ครองราชย์ 268-232 ปีก่อนคริสตกาล) พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเป็นผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ ทรงเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธและเผยแผ่หลักธรรมคำสอนไปทั่วราชอาณาจักรและนอกอาณาจักร ทำให้ศาสนาพุทธเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก
หลังการล่มสลายของจักรวรรดิโมริยะ อินเดียเข้าสู่ยุคแห่งความแตกแยกทางการเมือง มีราชวงศ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นและเสื่อมลง เช่น จักรวรรดิสาตวาหนะ และจักรวรรดิกุษาณะ ต่อมาในศตวรรษที่ 4 จักรวรรดิคุปตะ (ประมาณ ค.ศ. 320-550) สามารถรวมอินเดียตอนเหนือได้อีกครั้ง ยุคคุปตะถือเป็นยุคทองของอารยธรรมอินเดีย มีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านศิลปะ วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ และวรรณกรรมภาษาสันสกฤต ศาสนาฮินดูได้รับการฟื้นฟูและกลายเป็นศาสนาหลักอีกครั้ง มีการสร้างวัดฮินดูที่งดงามมากมาย ในช่วงปลายยุคโบราณ ฐานะทางสังคมของสตรีเริ่มเสื่อมถอยลง และความเชื่อเรื่องชนชั้นจัณฑาล (ผู้ที่ถูกมองว่าไร้ชนชั้นและไม่ควรแตะต้อง) ก็กลายเป็นระบบความเชื่อที่จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นระเบียบ
3.2. สมัยกลาง

ยุคกลางของอินเดีย (ประมาณ ค.ศ. 600-1200) มีลักษณะเด่นคือการปกครองโดยอาณาจักรระดับภูมิภาคและความหลากหลายทางวัฒนธรรม พระเจ้าหรรษวรรธนะแห่งกเนาช์ ซึ่งปกครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ-คงคาตั้งแต่ ค.ศ. 606 ถึง 647 พยายามขยายอำนาจลงใต้แต่พ่ายแพ้ต่อผู้ปกครองราชวงศ์จาลุกยะแห่งเดคคาน เมื่อผู้สืบทอดของพระองค์พยายามขยายอำนาจไปทางตะวันออก ก็พ่ายแพ้ต่อกษัตริย์ราชวงศ์ปาละแห่งเบงกอล เมื่อราชวงศ์จาลุกยะพยายามขยายอำนาจลงใต้ ก็พ่ายแพ้ต่อราชวงศ์ปัลลวะจากทางใต้ ซึ่งต่อมาก็ถูกต่อต้านโดยราชวงศ์ปาณฑยะและราชวงศ์โจฬะจากทางใต้สุด ไม่มีผู้ปกครองคนใดในยุคนี้สามารถสร้างจักรวรรดิและควบคุมดินแดนที่อยู่นอกเหนืออาณาเขตหลักของตนได้อย่างสม่ำเสมอ ในช่วงเวลานี้ ชนเผ่าเลี้ยงสัตว์ซึ่งที่ดินของพวกเขาถูกถางเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจเกษตรกรรม ได้ถูกผนวกเข้ากับสังคมวรรณะ เช่นเดียวกับชนชั้นปกครองใหม่ที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม ส่งผลให้ระบบวรรณะเริ่มแสดงความแตกต่างในระดับภูมิภาค
ในศตวรรษที่ 6 และ 7 บทสวดบูชาครั้งแรกถูกแต่งขึ้นในภาษาทมิฬ ซึ่งเป็นแบบอย่างไปทั่วอินเดียและนำไปสู่การฟื้นฟูศาสนาฮินดูและการพัฒนาภาษาใหม่ ๆ ทั้งหมดในอนุทวีปอินเดีย ราชวงศ์อินเดียทั้งเล็กและใหญ่ และวัดที่พวกเขาอุปถัมภ์ ดึงดูดประชาชนจำนวนมากไปยังเมืองหลวง ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ เมืองวัดขนาดต่าง ๆ เริ่มปรากฏขึ้นทุกหนทุกแห่งเมื่ออินเดียเข้าสู่ยุคเมืองอีกครั้ง ในศตวรรษที่ 8 และ 9 อิทธิพลของวัฒนธรรมและระบบการเมืองอินเดียใต้ได้แพร่หลายไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีพ่อค้า นักวิชาการ และบางครั้งกองทัพอินเดียเข้ามามีส่วนร่วมในการถ่ายทอดนี้ ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ริเริ่มด้วยการเดินทางไปศึกษาในสถาบันศาสนาของอินเดียและแปลคัมภีร์พุทธและฮินดูเป็นภาษาของตน
หลังศตวรรษที่ 10 กลุ่มชนเผ่าเร่ร่อนมุสลิมจากเอเชียกลาง ซึ่งใช้ทหารม้าที่รวดเร็วและกองทัพขนาดใหญ่ที่รวมกันด้วยชาติพันธุ์และศาสนา ได้บุกรุกที่ราบทางตะวันตกเฉียงเหนือของเอเชียใต้อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งก่อตั้งรัฐสุลต่านเดลีในปี ค.ศ. 1206 รัฐสุลต่านนี้ควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของอินเดียตอนเหนือและรุกรานอินเดียตอนใต้หลายครั้ง แม้ว่าในช่วงแรกจะสร้างความปั่นป่วนให้กับชนชั้นสูงของอินเดีย แต่รัฐสุลต่านก็ปล่อยให้ประชากรส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่มุสลิมปฏิบัติตามกฎหมายและประเพณีของตนเอง การขับไล่ผู้รุกรานชาวมองโกลในศตวรรษที่ 13 ช่วยให้อินเดียรอดพ้นจากการทำลายล้างที่เกิดขึ้นในเอเชียตะวันตกและกลาง ทำให้เกิดการอพยพของทหาร นักปราชญ์ นักบวช พ่อค้า ศิลปิน และช่างฝีมือจากภูมิภาคนั้นเข้ามาในอนุทวีป สร้างวัฒนธรรมอินโด-อิสลามแบบผสมผสานขึ้นในภาคเหนือ การรุกรานและการอ่อนแอลงของอาณาจักรในอินเดียใต้โดยรัฐสุลต่านเดลี ได้ปูทางไปสู่การก่อตั้งจักรวรรดิวิชัยนคร ซึ่งเป็นอาณาจักรฮินดูที่เข้มแข็งและมีอิทธิพลต่อสังคมอินเดียใต้เป็นเวลานาน จักรวรรดิวิชัยนครรับเอาประเพณีลัทธิไศวะที่แข็งแกร่งและสร้างเทคโนโลยีทางทหารของรัฐสุลต่านขึ้นมาใหม่ จนสามารถควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของคาบสมุทรอินเดียได้
4. สมัยใหม่ตอนต้น

ในต้นศตวรรษที่ 16 อินเดียตอนเหนือซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของชาวมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ ได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของนักรบจากเอเชียกลางรุ่นใหม่ที่มีความคล่องตัวและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่า จักรวรรดิโมกุลที่ก่อตั้งขึ้นมานั้นไม่ได้ทำลายล้างสังคมท้องถิ่นที่ตนเข้ามาปกครอง แต่กลับสร้างความสมดุลและสันติภาพผ่านระบบการบริหารใหม่และชนชั้นปกครองที่มีความหลากหลายและเปิดกว้าง นำไปสู่การปกครองที่เป็นระบบ มีศูนย์กลาง และเป็นเอกภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยพระเจ้าอักบัร จักรวรรดิโมกุลได้รวมอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลเข้าด้วยกันผ่านความจงรักภักดีต่อจักรพรรดิผู้มีสถานะเกือบเทียบเท่าเทพเจ้า ซึ่งแสดงออกผ่านวัฒนธรรมแบบเปอร์เซีย นโยบายเศรษฐกิจของรัฐโมกุลซึ่งรายได้ส่วนใหญ่มาจากเกษตรกรรมและการกำหนดให้ชำระภาษีเป็นเงินสกุลเงินที่ได้รับการควบคุมอย่างดี ทำให้ชาวนาและช่างฝีมือเข้าสู่ตลาดขนาดใหญ่ขึ้น สันติภาพที่ค่อนข้างมั่นคงที่จักรวรรดิรักษาไว้ได้ในช่วงส่วนใหญ่ของศตวรรษที่ 17 เป็นปัจจัยสำคัญในการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอินเดีย ส่งผลให้มีการอุปถัมภ์งานจิตรกรรม รูปแบบวรรณกรรม สิ่งทอ และสถาปัตยกรรมโมกุลที่โดดเด่น เช่น ทัชมาฮาล
กลุ่มสังคมใหม่ที่เหนียวแน่นในอินเดียตอนเหนือและตะวันตก เช่น ชาวมราฐา ชาวราชปุต และชาวซิกข์ ได้รับแรงบันดาลใจทางทหารและการปกครองในสมัยโมกุล ซึ่งไม่ว่าจะผ่านความร่วมมือหรือความขัดแย้ง ก็ทำให้พวกเขาได้รับการยอมรับและประสบการณ์ทางทหาร การขยายตัวทางการค้าในสมัยโมกุลก่อให้เกิดชนชั้นสูงทางการค้าและการเมืองใหม่ของอินเดียตามชายฝั่งทางใต้และตะวันออกของอินเดีย เมื่อจักรวรรดิเสื่อมสลายลง ชนชั้นสูงเหล่านี้จำนวนมากสามารถแสวงหาและควบคุมกิจการของตนเองได้

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 เมื่อเส้นแบ่งระหว่างการครอบงำทางการค้าและการเมืองเริ่มเลือนลางลง บริษัทการค้าของยุโรปหลายแห่ง รวมถึงบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ ได้ตั้งสถานีการค้าตามชายฝั่ง การควบคุมทะเล ทรัพยากรที่มากกว่า และการฝึกทหารและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่าของบริษัทอินเดียตะวันออก ทำให้บริษัทนี้สามารถแสดงแสนยานุภาพทางทหารได้มากขึ้น และดึงดูดชนชั้นสูงของอินเดียบางส่วน ปัจจัยเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้บริษัทสามารถควบคุมภูมิภาคเบงกอลได้ภายในปี ค.ศ. 1765 และกีดกันบริษัทอื่น ๆ ของยุโรปออกไป การเข้าถึงความมั่งคั่งของเบงกอลและขนาดกองทัพที่แข็งแกร่งขึ้นในภายหลัง ทำให้บริษัทสามารถผนวกหรือปราบปรามพื้นที่ส่วนใหญ่ของอินเดียได้ภายในทศวรรษ 1820 จากนั้นอินเดียก็ไม่ได้ส่งออกสินค้าหัตถกรรมดังเช่นที่เคยทำมาเป็นเวลานาน แต่กลับกลายเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบให้กับจักรวรรดิอังกฤษ นักประวัติศาสตร์หลายคนถือว่านี่คือจุดเริ่มต้นของยุคอาณานิคมของอินเดีย ในช่วงเวลานี้ อำนาจทางเศรษฐกิจของบริษัทอินเดียตะวันออกถูกจำกัดอย่างรุนแรงโดยรัฐสภาอังกฤษ และบริษัทได้กลายเป็นหน่วยงานหนึ่งของการบริหารของอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทจึงเริ่มเข้าสู่ขอบเขตที่ไม่ใช่เศรษฐกิจอย่างมีสติมากขึ้น รวมถึงการศึกษา การปฏิรูปสังคม และวัฒนธรรม
4.1. สมัยใหม่


นักประวัติศาสตร์ถือว่ายุคสมัยใหม่ของอินเดียเริ่มต้นขึ้นในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1848 ถึง 1885 การแต่งตั้งลอร์ดดัลฮูซีเป็นผู้สำเร็จราชการของบริษัทอินเดียตะวันออกในปี ค.ศ. 1848 ได้ปูทางไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นสำหรับรัฐสมัยใหม่ ซึ่งรวมถึงการรวมอำนาจอธิปไตยและการกำหนดเขตแดน การสำรวจประชากร และการศึกษาของพลเมือง การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เช่น รถไฟ คลอง และโทรเลข ถูกนำเข้ามาไม่นานหลังจากที่เริ่มใช้ในยุโรป อย่างไรก็ตาม ความไม่พอใจต่อบริษัทก็เพิ่มมากขึ้นในช่วงเวลานี้และก่อให้เกิดกบฏอินเดีย ค.ศ. 1857 การกบฏนี้เกิดจากความไม่พอใจและการรับรู้ที่หลากหลาย รวมถึงการปฏิรูปสังคมแบบอังกฤษที่รุกล้ำ การเก็บภาษีที่ดินอย่างรุนแรง และการปฏิบัติต่อเจ้าของที่ดินและเจ้าชายบางคนอย่างสรุป ทำให้เกิดความวุ่นวายในหลายภูมิภาคของอินเดียตอนเหนือและตอนกลาง และสั่นคลอนรากฐานการปกครองของบริษัท แม้ว่าการกบฏจะถูกปราบปรามลงในปี ค.ศ. 1858 แต่ก็นำไปสู่การยุบบริษัทอินเดียตะวันออกและการบริหารอินเดียโดยตรงโดยรัฐบาลอังกฤษ (บริติชราช) ผู้ปกครองใหม่ประกาศใช้รัฐเดี่ยวและระบบรัฐสภาแบบอังกฤษอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่จำกัด พวกเขายังปกป้องเจ้าชายและเจ้าของที่ดินเพื่อเป็นหลักประกันระบบศักดินาต่อความไม่สงบในอนาคต ในทศวรรษต่อมา ชีวิตสาธารณะค่อย ๆ ปรากฏขึ้นทั่วอินเดีย ซึ่งในที่สุดก็นำไปสู่การก่อตั้งพรรคคองเกรสแห่งชาติอินเดียในปี ค.ศ. 1885
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการค้าเกษตรกรรมในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 มีความพ่ายแพ้ทางเศรษฐกิจ และเกษตรกรรายย่อยจำนวนมากต้องพึ่งพาตลาดที่ห่างไกล มีการเพิ่มขึ้นของภาวะข้าวยากหมากแพงขนาดใหญ่ และแม้จะมีความเสี่ยงในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ผู้เสียภาษีชาวอินเดียต้องแบกรับ แต่ก็มีการสร้างงานในภาคอุตสาหกรรมสำหรับชาวอินเดียน้อยมาก อย่างไรก็ตาม ก็มีผลกระทบที่ดีเช่นกัน การเพาะปลูกเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัญจาบที่เพิ่งสร้างคลองส่งน้ำ นำไปสู่การผลิตอาหารที่เพิ่มขึ้นเพื่อการบริโภคภายในประเทศ เครือข่ายรถไฟช่วยบรรเทาภาวะข้าวยากหมากแพงได้อย่างมาก ลดต้นทุนการขนส่งสินค้า และช่วยอุตสาหกรรมที่เพิ่งเริ่มต้นของชาวอินเดีย
หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งมีชาวอินเดียประมาณหนึ่งล้านคนเข้าร่วมรบ ก็เริ่มยุคใหม่ ซึ่งมีลักษณะเด่นคือการปฏิรูปของอังกฤษ แต่ก็มีการออกกฎหมายที่กดขี่ การเรียกร้องการปกครองตนเองที่แข็งกร้าวขึ้นของชาวอินเดีย และการเริ่มต้นของขบวนการไม่ร่วมมือแบบอหิงสา ซึ่งมหาตมา คานธีจะกลายเป็นผู้นำและสัญลักษณ์ที่ยั่งยืน ในช่วงทศวรรษ 1930 การปฏิรูปกฎหมายอย่างช้า ๆ ถูกตราขึ้นโดยอังกฤษ พรรคคองเกรสแห่งชาติอินเดียชนะการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น ทศวรรษต่อมาเต็มไปด้วยวิกฤตการณ์: การมีส่วนร่วมของอินเดียในสงครามโลกครั้งที่สอง การผลักดันครั้งสุดท้ายของพรรคคองเกรสเพื่อการไม่ร่วมมือ และการเพิ่มขึ้นของลัทธิชาตินิยมของชาวมุสลิม ทั้งหมดนี้สิ้นสุดลงด้วยการได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1947 แต่ก็ถูกลดทอนด้วยการแบ่งแยกอินเดียออกเป็นสองรัฐคือ อินเดียและปากีสถาน ซึ่งมาพร้อมกับการสูญเสียชีวิตจำนวนมากและการอพยพโยกย้ายถิ่นฐานอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
อินเดียเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 ปกครองด้วยระบบรัฐสภาแบบประชาธิปไตย เป็นสังคมพหุนิยม หลากหลายภาษาและหลายชาติพันธุ์ ประชากรอินเดียเพิ่มขึ้นจาก 361 ล้านคนในปี ค.ศ. 1951 เป็นเกือบ 1.4 พันล้านคนในปี ค.ศ. 2022 ในช่วงเวลานี้ รายได้ต่อหัวเล็กน้อยเพิ่มขึ้นจาก 64 USD ต่อปีเป็น 2.60 K USD และอัตราการรู้หนังสือเพิ่มขึ้นจาก 16.6% เป็น 74% อินเดียซึ่งเป็นประเทศที่ค่อนข้างยากจนในปี ค.ศ. 1951 ได้กลายเป็นเศรษฐกิจหลักที่เติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นศูนย์กลางบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มีชนชั้นกลางที่กำลังขยายตัว ภาพยนตร์และดนตรีของอินเดียมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ อินเดียได้ลดอัตราความยากจนลง แม้จะต้องแลกมาด้วยความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น อินเดียเป็นรัฐผู้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์และมีค่าใช้จ่ายทางทหารสูง อินเดียมีข้อพิพาทเรื่องแคชเมียร์กับประเทศเพื่อนบ้านคือปากีสถานและจีน ซึ่งยังไม่ได้รับการแก้ไขมาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20 ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมที่อินเดียเผชิญอยู่ ได้แก่ ความไม่เท่าเทียมทางเพศ ภาวะทุพโภชนาการในเด็ก และระดับมลพิษทางอากาศที่เพิ่มสูงขึ้น ที่ดินของอินเดียมีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมหาศาล โดยมีจุดความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญสี่แห่ง สัตว์ป่าของอินเดียซึ่งตามธรรมเนียมแล้วได้รับการปฏิบัติด้วยความอดทนในวัฒนธรรมของตน ได้รับการสนับสนุนในป่าเหล่านี้และที่อื่น ๆ ในแหล่งที่อยู่อาศัยที่ได้รับการคุ้มครอง
5. ภูมิศาสตร์
อินเดียครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของอนุทวีปอินเดีย ตั้งอยู่บนแผ่นเปลือกโลกอินเดีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นอินโด-ออสเตรเลีย กระบวนการทางธรณีวิทยาที่สำคัญของอินเดียเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 75 ล้านปีก่อน เมื่อแผ่นเปลือกโลกอินเดีย ซึ่งขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของมหาทวีปกอนด์วานาทางใต้ เริ่มเคลื่อนตัวไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเนื่องจากการขยายตัวของพื้นทะเลทางตะวันตกเฉียงใต้ และต่อมาทางใต้และตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะเดียวกัน เปลือกโลกมหาสมุทรเททิสอันกว้างใหญ่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ก็เริ่มมุดตัวลงใต้แผ่นยูเรเชีย กระบวนการคู่ขนานเหล่านี้ ซึ่งขับเคลื่อนโดยการพาความร้อนในเนื้อโลก ได้สร้างมหาสมุทรอินเดียและทำให้เปลือกโลกภาคพื้นทวีปอินเดียชนเข้ากับยูเรเชียและยกตัวขึ้นเป็นเทือกเขาหิมาลัย ทางใต้ของเทือกเขาหิมาลัยที่กำลังก่อตัว การเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกได้สร้างร่องลึกรูปพระจันทร์เสี้ยวขนาดใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยตะกอนจากแม่น้ำอย่างรวดเร็ว และปัจจุบันกลายเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ-คงคา แผ่นเปลือกโลกอินเดียดั้งเดิมปรากฏตัวครั้งแรกเหนือตะกอนในทิวเขาอะราวัลลีโบราณ ซึ่งทอดยาวจากสันเขาเดลีไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ทางตะวันตกคือทะเลทรายธาร์ ซึ่งการแผ่ขยายไปทางตะวันออกถูกสกัดกั้นโดยทิวเขาอะราวัลลี

แผ่นเปลือกโลกอินเดียที่เหลืออยู่คือคาบสมุทรอินเดีย ซึ่งเป็นส่วนที่เก่าแก่และมีเสถียรภาพทางธรณีวิทยามากที่สุดของอินเดีย ทอดยาวไปทางเหนือถึงเทือกเขาสัตปุระและเทือกเขาวินธัยในอินเดียตอนกลาง เทือกเขาคู่ขนานเหล่านี้ทอดยาวจากชายฝั่งทะเลอาหรับในรัฐคุชราตทางตะวันตก ไปจนถึงที่ราบสูงโชตนาคปุระที่อุดมด้วยถ่านหินในรัฐฌาร์ขัณฑ์ทางตะวันออก ทางใต้ แผ่นดินคาบสมุทรที่เหลืออยู่คือที่ราบสูงเดคคาน ถูกขนาบทางตะวันตกและตะวันออกด้วยเทือกเขาริมชายฝั่งที่เรียกว่าเทือกเขากัทส์ตะวันตกและเทือกเขากัทส์ตะวันออก ที่ราบสูงนี้มีหินที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ บางส่วนมีอายุมากกว่าหนึ่งพันล้านปี ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์เช่นนี้ อินเดียจึงตั้งอยู่ทางเหนือของเส้นศูนย์สูตรระหว่างละติจูด 6° 44′ และ 35° 30′ เหนือ และลองจิจูด 68° 7′ และ 97° 25′ ตะวันออก
แนวชายฝั่งของอินเดียมีความยาว 7.52 K km โดย 5.42 K km เป็นของคาบสมุทรอินเดีย และ 2.09 K km เป็นของหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ และลักษทวีป จากแผนภูมิอุทกศาสตร์ของกองทัพเรืออินเดีย แนวชายฝั่งแผ่นดินใหญ่ประกอบด้วย: หาดทราย 43%; ชายฝั่งหิน รวมถึงหน้าผา 11%; และที่ลุ่มราบน้ำขึ้นถึงหรือชายฝั่งที่เป็นหนองบึง 46%
แม่น้ำสายหลักที่ไหลมาจากเทือกเขาหิมาลัยและไหลผ่านอินเดียส่วนใหญ่ ได้แก่ แม่น้ำคงคาและแม่น้ำพรหมบุตร ซึ่งทั้งสองสายไหลลงสู่อ่าวเบงกอล สาขาสำคัญของแม่น้ำคงคา ได้แก่ แม่น้ำยมุนาและแม่น้ำโกสี ซึ่งมีความลาดชันต่ำมากเนื่องจากการทับถมของตะกอนเป็นเวลานาน ทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงและการเปลี่ยนแปลงเส้นทางน้ำ แม่น้ำสายหลักในคาบสมุทรซึ่งมีความลาดชันสูงกว่าทำให้ไม่เกิดน้ำท่วม ได้แก่ แม่น้ำโคทาวรี แม่น้ำมหานที แม่น้ำกาเวรี และแม่น้ำกฤษณะ ซึ่งไหลลงสู่อ่าวเบงกอลเช่นกัน และแม่น้ำนรมทาและแม่น้ำตัปตี ซึ่งไหลลงสู่ทะเลอาหรับ ลักษณะชายฝั่งที่สำคัญ ได้แก่ พื้นที่ชุ่มน้ำรันน์ออฟกัจฉ์ทางตะวันตกของอินเดีย และสามเหลี่ยมปากแม่น้ำซุนดาร์บันส์ที่เกิดจากการทับถมของตะกอนทางตะวันออกของอินเดีย ซึ่งอินเดียใช้ร่วมกับบังกลาเทศ อินเดียมีหมู่เกาะสองแห่ง: ลักษทวีป ซึ่งเป็นหมู่เกาะปะการังนอกชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย และหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ ซึ่งเป็นแนวภูเขาไฟในทะเลอันดามัน
5.1. ภูมิประเทศและธรณีวิทยา
ภูมิประเทศหลักของอินเดียมีความหลากหลายอย่างมาก ประกอบด้วยเทือกเขาสูง ที่ราบกว้างใหญ่ ที่ราบสูง และแนวชายฝั่งยาว
- เทือกเขาหิมาลัย: ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ เป็นแนวกำแพงธรรมชาติที่กั้นอินเดียออกจากส่วนอื่น ๆ ของเอเชีย เป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญหลายสาย และเป็นที่ตั้งของยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกหลายแห่ง (แม้ว่ายอดที่สูงที่สุดอย่างยอดเขาเอเวอเรสต์จะไม่ได้อยู่ในอินเดีย)
- ที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ-คงคา: เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำอันกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเทือกเขาหิมาลัย เกิดจากการทับถมของตะกอนจากแม่น้ำสินธุ แม่น้ำคงคา และแม่น้ำพรหมบุตร เป็นแหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญและเป็นที่ตั้งของประชากรหนาแน่นที่สุดในอินเดีย
- ที่ราบสูงเดคคาน: ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนใต้ของอินเดีย เป็นที่ราบสูงโบราณที่เกิดจากการยกตัวของแผ่นเปลือกโลก ขนาบด้วยเทือกเขากัทส์ตะวันตกและเทือกเขากัทส์ตะวันออก ซึ่งเป็นแนวเขาริมชายฝั่ง
- กระบวนการก่อตัวทางธรณีวิทยา: อินเดียตั้งอยู่บนแผ่นเปลือกโลกอินเดีย ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของมหาทวีปกอนด์วานา การเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกนี้ไปทางเหนือและชนเข้ากับแผ่นเปลือกโลกยูเรเชียเมื่อหลายล้านปีก่อน ทำให้เกิดการยกตัวของเทือกเขาหิมาลัย
- แม่น้ำสายหลัก: แม่น้ำคงคาเป็นแม่น้ำที่ศักดิ์สิทธิ์และสำคัญที่สุดของอินเดีย ไหลจากเทือกเขาหิมาลัยลงสู่อ่าวเบงกอล แม่น้ำพรหมบุตรเป็นอีกสายหนึ่งที่สำคัญ ไหลผ่านทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียลงสู่อ่าวเบงกอลเช่นกัน แม่น้ำสินธุซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมอินเดียโบราณ ปัจจุบันส่วนใหญ่อยู่ในปากีสถาน แม่น้ำสายสำคัญอื่น ๆ ในคาบสมุทร ได้แก่ แม่น้ำโคทาวรี แม่น้ำกฤษณะ และแม่น้ำกาเวรี ซึ่งไหลลงสู่อ่าวเบงกอล และแม่น้ำนรมทาและแม่น้ำตัปตี ซึ่งไหลลงสู่ทะเลอาหรับ
- แนวชายฝั่ง: อินเดียมีแนวชายฝั่งยาวประมาณ 7.52 K km ประกอบด้วยชายฝั่งทะเลอาหรับทางตะวันตกและชายฝั่งอ่าวเบงกอลทางตะวันออก มีลักษณะหลากหลายตั้งแต่หาดทราย ชายฝั่งหิน ไปจนถึงป่าชายเลน
5.2. ภูมิอากาศ
ภูมิอากาศของอินเดียได้รับอิทธิพลอย่างมากจากเทือกเขาหิมาลัยและทะเลทรายธาร์ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนลมมรสุมทั้งฤดูร้อนและฤดูหนาวที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม เทือกเขาหิมาลัยป้องกันลมหนาวจากเอเชียกลาง ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ของอนุทวีปอินเดียอุ่นกว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ในละติจูดเดียวกัน ทะเลทรายธาร์มีบทบาทสำคัญในการดึงดูดลมมรสุมฤดูร้อนตะวันตกเฉียงใต้ที่เต็มไปด้วยความชื้น ซึ่งระหว่างเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม จะนำฝนส่วนใหญ่มาสู่อินเดีย
ภูมิอากาศหลัก 4 ประเภทที่เด่นชัดในอินเดีย ได้แก่
- ภูมิอากาศแบบร้อนชื้น: พบได้ในแถบชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ และบางส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกชุกตลอดทั้งปี
- ภูมิอากาศแบบแห้งแล้งเขตร้อน: ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของคาบสมุทรอินเดีย มีลักษณะฤดูร้อนที่ร้อนและแห้งแล้ง และฤดูฝนที่สั้นกว่า
- ภูมิอากาศแบบชุ่มชื้นกึ่งเขตร้อน: พบได้ในที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ-คงคาทางตอนเหนือ มีฤดูร้อนที่ร้อนจัดและฤดูหนาวที่หนาวเย็น
- ภูมิอากาศแบบภูเขา: พบได้ในเทือกเขาหิมาลัย อุณหภูมิและความชื้นจะแตกต่างกันไปตามระดับความสูง โดยพื้นที่สูงจะมีอากาศหนาวเย็นและมีหิมะปกคลุม
ความแตกต่างของภูมิอากาศในแต่ละภูมิภาคเห็นได้ชัดเจน ตัวอย่างเช่น ในขณะที่ภาคใต้มีอุณหภูมิค่อนข้างคงที่ตลอดทั้งปี ภาคเหนือจะมีอุณหภูมิแตกต่างกันมากระหว่างฤดูร้อนและฤดูหนาว ลักษณะสำคัญตามฤดูกาล ได้แก่
- ฤดูร้อน (มีนาคม-พฤษภาคม): อากาศร้อนและแห้งแล้งในพื้นที่ส่วนใหญ่ อุณหภูมิอาจสูงถึง 40 °C หรือมากกว่าในบางพื้นที่
- ฤดูมรสุม (มิถุนายน-กันยายน): ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้นำฝนมาสู่พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นฤดูเพาะปลูกที่สำคัญ
- หลังฤดูมรสุม (ตุลาคม-พฤศจิกายน): อากาศเริ่มเย็นลงและแห้งขึ้น
- ฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์): อากาศเย็นและแห้งในภาคเหนือ โดยเฉพาะในเทือกเขาหิมาลัยอาจมีหิมะตกหนัก
อุณหภูมิในอินเดียเพิ่มขึ้น 0.7 °C ระหว่างปี 1901 ถึง 2018 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมักถูกมองว่าเป็นสาเหตุ การละลายของธารน้ำแข็งหิมาลัยส่งผลกระทบต่ออัตราการไหลของแม่น้ำสายหลักในหิมาลัย รวมถึงแม่น้ำคงคาและพรหมบุตร จากการคาดการณ์ในปัจจุบัน จำนวนและความรุนแรงของภัยแล้งในอินเดียจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายในสิ้นศตวรรษนี้
5.3. ความหลากหลายทางชีวภาพ



อินเดียเป็นหนึ่งใน 17 ประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพขนาดใหญ่ (megadiverse country) ซึ่งหมายถึงประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงและมีสปีชีส์เฉพาะถิ่น (indigenous หรือ endemic) จำนวนมาก อินเดียเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 8.6%, นก 13.7%, สัตว์เลื้อยคลาน 7.9%, สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก 6%, ปลา 12.2% และพืชดอก 6.0% ของสปีชีส์ทั้งหมดในโลก พืชในอินเดียหนึ่งในสามเป็นสปีชีส์เฉพาะถิ่น อินเดียยังมีจุดความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity hotspots) 4 แห่งจากทั้งหมด 34 แห่งทั่วโลก ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยอย่างมีนัยสำคัญในขณะที่มีสปีชีส์เฉพาะถิ่นสูง
ป่าไม้ที่หนาแน่นที่สุดของอินเดีย เช่น ป่าชื้นเขตร้อนของหมู่เกาะอันดามัน เทือกเขากัทส์ตะวันตก และอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 3% ของผืนดิน ป่าที่มีความหนาแน่นปานกลาง ซึ่งมีความหนาแน่นของเรือนยอดระหว่าง 40% ถึง 70% ครอบคลุมพื้นที่ 9.39% ของผืนดิน ส่วนใหญ่เป็นป่าสนแถบเทือกเขาหิมาลัย ป่าผลัดใบชื้นที่มีต้นสาละ (sal) ในอินเดียตะวันออก และป่าสักผลัดใบแห้งในอินเดียตอนกลางและตอนใต้ อินเดียมีเขตป่าละเมาะตามธรรมชาติสองแห่ง แห่งหนึ่งในที่ราบสูงเดคคานทางตะวันออกของเทือกเขากัทส์ตะวันตก และอีกแห่งหนึ่งในส่วนตะวันตกของที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ-คงคา ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่อุดมสมบูรณ์ด้วยระบบชลประทาน ทำให้ลักษณะดั้งเดิมของป่าหนามไม่ปรากฏให้เห็นอีกต่อไป
ในบรรดาพืชพื้นเมืองที่โดดเด่นของอนุทวีปอินเดีย ได้แก่ ต้นสะเดา (Azadirachta indica) ซึ่งมีรสฝาดและใช้กันอย่างแพร่หลายในยาสมุนไพรพื้นบ้านของอินเดีย และโพ (Ficus religiosa) ที่เขียวชอุ่ม ซึ่งปรากฏบนตราประทับโบราณของโมเฮนโจ-ดาโร และเป็นต้นไม้ที่พระโคตมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ตามพระไตรปิฎกภาษาบาลี
สปีชีส์จำนวนมากของอินเดียสืบเชื้อสายมาจากสิ่งมีชีวิตในมหาทวีปกอนด์วานา ซึ่งอินเดียแยกตัวออกมาเมื่อกว่า 100 ล้านปีก่อน การชนกันของอินเดียกับยูเรเชียในภายหลังทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนสปีชีส์จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม การปะทุของภูเขาไฟและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภายหลังทำให้สปีชีส์เฉพาะถิ่นของอินเดียจำนวนมากสูญพันธุ์ไป ต่อมา สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้เข้ามาในอินเดียจากเอเชียผ่านทางช่องทางสัตวภูมิศาสตร์สองแห่งที่ขนาบข้างเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งส่งผลให้สปีชีส์เฉพาะถิ่นในหมู่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมของอินเดียลดลงเหลือ 12.6% เทียบกับ 45.8% ในหมู่สัตว์เลื้อยคลาน และ 55.8% ในหมู่สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ในบรรดาสปีชีส์เฉพาะถิ่น ได้แก่ ลิงใบไม้มีฮู้ด (hooded leaf monkey) ที่เปราะบาง และคางคกเบดโดม (Beddome's toad) ที่ถูกคุกคาม ซึ่งพบในเทือกเขากัทส์ตะวันตก
อินเดียมีสัตว์ที่ถูกคุกคามตามการจัดประเภทขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) 172 สปีชีส์ หรือ 2.9% ของสปีชีส์ที่ถูกคุกคามทั้งหมด ซึ่งรวมถึงเสือโคร่งเบงกอลที่ใกล้สูญพันธุ์ และโลมาแม่น้ำคงคา สปีชีส์ที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง ได้แก่ จระเข้ปากแหลมอินเดีย (gharial) นกกระเรียนอินเดีย (great Indian bustard) และอีแร้งเทาหลังขาว (Indian white-rumped vulture) ซึ่งเกือบสูญพันธุ์จากการกินซากวัวที่ได้รับการรักษาด้วยยาไดโคลฟีแนค (diclofenac) การรุกล้ำของมนุษย์ที่แพร่หลายและทำลายระบบนิเวศอย่างรุนแรงในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้สัตว์ป่าของอินเดียตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่ง เพื่อตอบสนองต่อปัญหานี้ ระบบอุทยานแห่งชาติและพื้นที่คุ้มครอง ซึ่งก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 1935 ได้รับการขยายอย่างมาก ในปี 1972 อินเดียได้ออกพระราชบัญญัติคุ้มครองสัตว์ป่า ค.ศ. 1972 และโครงการอนุรักษ์เสือโคร่ง (Project Tiger) เพื่อปกป้องพื้นที่ป่าที่สำคัญ พระราชบัญญัติอนุรักษ์ป่าไม้ได้ถูกตราขึ้นในปี 1980 และมีการแก้ไขเพิ่มเติมในปี 1988 อินเดียมีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามากกว่าห้าร้อยแห่ง และเขตสงวนชีวมณฑลสิบแปดแห่ง ซึ่งสี่แห่งเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายเขตสงวนชีวมณฑลโลก พื้นที่ชุ่มน้ำเจ็ดสิบห้าแห่งได้รับการขึ้นทะเบียนภายใต้อนุสัญญาแรมซาร์
6. การเมืองการปกครอง
อินเดียเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐที่มีระบบรัฐสภา ปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญอินเดีย ซึ่งเป็นเอกสารทางกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นสาธารณรัฐรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน ระบบสหพันธรัฐในอินเดียกำหนดการกระจายอำนาจระหว่างสหภาพ (รัฐบาลกลาง) และรัฐต่าง ๆ รัฐธรรมนูญอินเดีย ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1950 เดิมระบุว่าอินเดียเป็น "สาธารณรัฐประชาธิปไตยที่มีอำนาจอธิปไตย" ลักษณะนี้ได้รับการแก้ไขในปี 1971 เป็น "สาธารณรัฐประชาธิปไตย สังคมนิยม ฆราวาส ที่มีอำนาจอธิปไตย" รูปแบบการปกครองของอินเดีย ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วถูกอธิบายว่าเป็น "กึ่งสหพันธรัฐ" ที่มีศูนย์กลางที่แข็งแกร่งและรัฐที่อ่อนแอ ได้เติบโตเป็นสหพันธรัฐมากขึ้นตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1990 อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
6.1. การเมือง

อินเดียเป็นสาธารณรัฐระบบรัฐสภาที่มีระบบหลายพรรคการเมือง ประกอบด้วยพรรคการเมืองระดับชาติที่ได้รับการยอมรับ 6 พรรค รวมถึงพรรคคองเกรสแห่งชาติอินเดีย (INC) และพรรคภารตียชนตา (BJP) และพรรคระดับภูมิภาคมากกว่า 50 พรรค พรรคคองเกรสถือเป็นพรรคสายกลางในวัฒนธรรมการเมืองอินเดีย ส่วนพรรค BJP ถือเป็นพรรคฝ่ายขวา
ในช่วงส่วนใหญ่ระหว่างปี ค.ศ. 1950 ซึ่งอินเดียกลายเป็นสาธารณรัฐครั้งแรก จนถึงปลายทศวรรษ 1980 พรรคคองเกรสครองเสียงข้างมากในรัฐสภาอินเดีย อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่นั้นมา พรรคคองเกรสได้แบ่งปันเวทีการเมืองกับพรรค BJP มากขึ้น รวมถึงพรรคระดับภูมิภาคที่ทรงอิทธิพลซึ่งมักจะผลักดันให้เกิดรัฐบาลผสมหลายพรรคในระดับศูนย์กลาง
ในการเลือกตั้งทั่วไปสามครั้งแรกของสาธารณรัฐอินเดียในปี 1951, 1957 และ 1962 พรรคคองเกรสที่นำโดยชวาหระลาล เนห์รูชนะการเลือกตั้งอย่างง่ายดาย เมื่อเนห์รูถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1964 ลาล บะฮาดูร์ ศาสตรีได้เป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงสั้น ๆ หลังจากที่เขาถึงแก่อสัญกรรมอย่างกะทันหันในปี ค.ศ. 1966 อินทิรา คานธี บุตรสาวของเนห์รูได้สืบทอดตำแหน่ง และนำพรรคคองเกรสชนะการเลือกตั้งในปี 1967 และ 1971 หลังจากการไม่พอใจของสาธารณชนต่อสถานการณ์ฉุกเฉินที่เธอประกาศในปี ค.ศ. 1975 พรรคคองเกรสพ่ายแพ้การเลือกตั้งในปี 1977 พรรคชนตะ ซึ่งเป็นพรรคใหม่ในขณะนั้นและคัดค้านสถานการณ์ฉุกเฉิน ได้รับการเลือกตั้งเข้ามา รัฐบาลของพรรคชนตะดำรงอยู่ได้เพียงสองปีกว่า มีนายกรัฐมนตรีสองคนในช่วงเวลานี้คือ โมรารชี เทสาอี และ จรัญ สิงห์ พรรคคองเกรสได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามามีอำนาจอีกครั้งในปี ค.ศ. 1980 และมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำในปี ค.ศ. 1984 เมื่ออินทิรา คานธีถูกลอบสังหาร ราชีพ คานธี บุตรชายของเธอได้สืบทอดตำแหน่ง และชนะการเลือกตั้งทั่วไปในปี เดียวกันนั้นอย่างง่ายดาย พรรคคองเกรสพ่ายแพ้การเลือกตั้งอีกครั้งในปี 1989 เมื่อแนวร่วมแห่งชาติ ซึ่งนำโดยพรรคชนตาดาลที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ร่วมกับแนวร่วมฝ่ายซ้าย ชนะการเลือกตั้ง รัฐบาลนั้นก็มีอายุค่อนข้างสั้นเช่นกัน คือน้อยกว่าสองปี มีนายกรัฐมนตรีสองคนในช่วงเวลานี้คือ วี.พี. สิงห์ และ จันทร เชกขระ มีการเลือกตั้งอีกครั้งในปี 1991 ไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากเด็ดขาด พรรคคองเกรสในฐานะพรรคเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุด สามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่นำโดยพี.วี. นรสิงห์ ราว

ช่วงเวลาสองปีแห่งความวุ่นวายทางการเมืองตามมาหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปในปี 1996 พันธมิตรที่มีอายุสั้นหลายกลุ่มได้แบ่งปันอำนาจในระดับศูนย์กลาง พรรค BJP จัดตั้งรัฐบาลในช่วงสั้น ๆ ในปี 1996 ตามมาด้วยแนวร่วมสหรัฐสองกลุ่มที่ค่อนข้างมีอายุยืนยาว ซึ่งต้องอาศัยการสนับสนุนจากภายนอก มีนายกรัฐมนตรีสองคนในช่วงเวลานี้คือ เอช.ดี. เทเวศ โคฑา และ ไอ.เค. คุชราล ในปี 1998 พรรค BJP สามารถจัดตั้งพันธมิตรที่ประสบความสำเร็จคือ พันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติ (NDA) นำโดยอฏัล พิหารี วาชเปยี NDA กลายเป็นรัฐบาลผสมที่ไม่ใช่พรรคคองเกรสชุดแรกที่ดำรงตำแหน่งครบวาระห้าปี ในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2004 ไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากเด็ดขาดอีกครั้ง แต่พรรคคองเกรสกลายเป็นพรรคเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุด และจัดตั้งพันธมิตรที่ประสบความสำเร็จอีกครั้งคือ พันธมิตรเอกภาพก้าวหน้า (UPA) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพรรคฝ่ายซ้ายและสมาชิกรัฐสภาที่ต่อต้านพรรค BJP UPA กลับมามีอำนาจอีกครั้งในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2009 ด้วยจำนวน ส.ส. ที่เพิ่มขึ้น และไม่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากภายนอกจากพรรคคอมมิวนิสต์ของอินเดียอีกต่อไป ในปีนั้น มันโมหัน สิงห์ กลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกนับตั้งแต่ชวาหระลาล เนห์รู ในปี 1957 และ 1962 ที่ได้รับเลือกตั้งซ้ำให้ดำรงตำแหน่งติดต่อกันเป็นวาระห้าปี ในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2014 พรรค BJP กลายเป็นพรรคการเมืองแรกนับตั้งแต่ปี 1984 ที่ชนะเสียงข้างมากและปกครองโดยไม่ต้องอาศัยการสนับสนุนจากพรรคอื่น ๆ ในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2019 พรรค BJP ชนะอีกครั้งด้วยเสียงข้างมาก ในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2024 พรรค BJP ไม่สามารถได้เสียงข้างมาก และพันธมิตร NDA ที่นำโดย BJP ได้จัดตั้งรัฐบาล นเรนทระ โมที อดีตมุขยมนตรีของรัฐคุชราต ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 14 ของอินเดียในวาระที่สามของเขาตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 2014
6.2. รัฐบาล

อินเดียเป็นสหพันธ์ที่มีระบบรัฐสภา ปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญอินเดีย ซึ่งเป็นเอกสารทางกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นสาธารณรัฐรัฐธรรมนูญ ระบบสหพันธรัฐในอินเดียกำหนดการกระจายอำนาจระหว่างสหภาพ (รัฐบาลกลาง) และรัฐต่าง ๆ รัฐธรรมนูญอินเดีย ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1950 เดิมระบุว่าอินเดียเป็น "สาธารณรัฐประชาธิปไตยที่มีอำนาจอธิปไตย" ลักษณะนี้ได้รับการแก้ไขในปี 1971 เป็น "สาธารณรัฐประชาธิปไตย สังคมนิยม ฆราวาส ที่มีอำนาจอธิปไตย" รูปแบบการปกครองของอินเดีย ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วถูกอธิบายว่าเป็น "กึ่งสหพันธรัฐ" ที่มีศูนย์กลางที่แข็งแกร่งและรัฐที่อ่อนแอ ได้เติบโตเป็นสหพันธรัฐมากขึ้นตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1990 อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
รัฐบาลอินเดียประกอบด้วยสามฝ่ายคือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ ประธานาธิบดีอินเดียเป็นประมุขแห่งรัฐในพิธีการ ซึ่งได้รับการเลือกตั้งทางอ้อมสำหรับวาระห้าปีโดยคณะผู้เลือกตั้งที่ประกอบด้วยสมาชิกรัฐสภาและสภานิติบัญญัติของรัฐ นายกรัฐมนตรีอินเดียเป็นหัวหน้ารัฐบาลและใช้อำนาจบริหารส่วนใหญ่ ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี โดยตามธรรมเนียมแล้วจะได้รับการสนับสนุนจากพรรคหรือพันธมิตรทางการเมืองที่มีเสียงข้างมากในสภาล่างของรัฐสภา ฝ่ายบริหารของรัฐบาลอินเดียประกอบด้วยประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี และคณะรัฐมนตรีสหภาพ ซึ่งมีคณะรัฐมนตรีเป็นคณะกรรมการบริหาร นำโดยนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งใด ๆ จะต้องเป็นสมาชิกของสภาใดสภาหนึ่งของรัฐสภา ในระบบรัฐสภาของอินเดีย ฝ่ายบริหารอยู่ภายใต้ฝ่ายนิติบัญญัติ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อสภาล่างของรัฐสภา ข้าราชการพลเรือนทำหน้าที่เป็นผู้บริหารถาวร และการตัดสินใจทั้งหมดของฝ่ายบริหารจะถูกดำเนินการโดยพวกเขา
6.3. ฝ่ายนิติบัญญัติ
ฝ่ายนิติบัญญัติของอินเดียคือรัฐสภาแบบสองสภา ดำเนินการภายใต้ระบบรัฐสภาแบบเวสต์มินสเตอร์ ประกอบด้วยสภาสูงเรียกว่าราชยสภา (สภาแห่งรัฐ) และสภาล่างเรียกว่าโลกสภา (สภาประชาชน) ราชยสภาเป็นองค์กรถาวรที่มีสมาชิก 245 คน ซึ่งดำรงตำแหน่งวาระหกปีแบบเหลื่อมกัน โดยมีการเลือกตั้งทุก 2 ปี สมาชิกส่วนใหญ่ได้รับการเลือกตั้งทางอ้อมโดยสภานิติบัญญัติของรัฐและดินแดนสหภาพในจำนวนที่ได้สัดส่วนกับส่วนแบ่งประชากรของรัฐนั้น ๆ ในประชากรระดับชาติ สมาชิกโลกสภา 543 คน ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากการลงคะแนนเสียงของประชาชนในหมู่พลเมืองที่มีอายุอย่างน้อย 18 ปี พวกเขาเป็นตัวแทนของเขตเลือกตั้งสมาชิกเดียวเป็นเวลาห้าปี รัฐธรรมนูญอินเดียในอดีตอนุญาตให้มีการเสนอชื่อชาวแองโกล-อินเดียนให้ดำรงตำแหน่งสองที่นั่งในโลกสภา บทบัญญัตินี้ถูกยกเลิกในปี 2019 ที่นั่งจำนวนหนึ่งจากแต่ละรัฐถูกสงวนไว้สำหรับผู้สมัครจากวรรณะที่กำหนดและชนเผ่าที่กำหนดตามสัดส่วนประชากรของพวกเขาภายในรัฐนั้น ๆ
6.4. ฝ่ายตุลาการ
อินเดียมีระบบฝ่ายตุลาการแบบเอกภาพสามชั้นที่เป็นอิสระ ประกอบด้วยศาลฎีกา ซึ่งมีประธานศาลฎีกาเป็นประมุข ศาลสูง 25 ศาล และศาลพิจารณาคดีจำนวนมาก ศาลฎีกามีเขตอำนาจศาลชั้นต้นเหนือคดีที่เกี่ยวข้องกับสิทธิขั้นพื้นฐานและข้อพิพาทระหว่างรัฐกับรัฐบาลกลาง และมีเขตอำนาจศาลอุทธรณ์เหนือศาลสูง ศาลฎีกามีอำนาจทั้งในการยกเลิกกฎหมายของสหภาพหรือของรัฐที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และทำให้การกระทำใด ๆ ของรัฐบาลที่ถือว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ
7. การแบ่งเขตการปกครอง
อินเดียเป็นสหพันธรัฐที่ประกอบด้วย 28 รัฐ และ 8 ดินแดนสหภาพ ทุกรัฐ รวมถึงดินแดนสหภาพชัมมูและกัศมีร์ ปุทุจเจรี และดินแดนเมืองหลวงแห่งชาติเดลี มีสภานิติบัญญัติและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบบการปกครองแบบเวสต์มินสเตอร์ ดินแดนสหภาพที่เหลืออีกห้าแห่งถูกปกครองโดยตรงโดยรัฐบาลกลางผ่านผู้บริหารที่ได้รับการแต่งตั้ง ในปี ค.ศ. 1956 ภายใต้พระราชบัญญัติการจัดระเบียบรัฐ รัฐต่าง ๆ ได้รับการจัดระเบียบใหม่ตามพื้นฐานทางภาษา ปัจจุบันมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากกว่าสองแสนห้าหมื่นแห่งในระดับเมือง นคร ตำบล อำเภอ และหมู่บ้าน
7.1. รัฐและดินแดนสหภาพ
รัฐ
- อานธรประเทศ
- อรุณาจัลประเทศ
- อัสสัม
- พิหาร
- ฉัตตีสครห์
- กัว
- คุชราต
- หรยาณา
- หิมาจัลประเทศ
- ฌาร์ขัณฑ์
- กรณาฏกะ
- เกรละ
- มัธยประเทศ
- มหาราษฏระ
- มณีปุระ
- เมฆาลัย
- มิโซรัม
- นาคาแลนด์
- โอฑิศา
- ปัญจาบ
- ราชสถาน
- สิกขิม
- ทมิฬนาฑู
- เตลังคานา
- ตริปุระ
- อุตตรประเทศ
- อุตตราขัณฑ์
- เบงกอลตะวันตก
ดินแดนสหภาพ
- ก. หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์
- ข. จัณฑีครห์
- ค. ดาดราและนครหเวลีและดามันและดีอู
- ง. ชัมมูและกัศมีร์
- จ. ลาดัก
- ฉ. ลักษทวีป
- ช. ดินแดนเมืองหลวงแห่งชาติเดลี
- ซ. ปุทุจเจรี
อินเดียเป็นสหพันธ์ที่ประกอบด้วย 28 รัฐและ 8 ดินแดนสหภาพ แต่ละรัฐมีลักษณะทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมที่โดดเด่น ตัวอย่างเช่น รัฐราชสถานทางตะวันตกเฉียงเหนือเป็นที่รู้จักจากทะเลทรายธาร์และพระราชวังอันงดงาม รัฐเกรละทางใต้มีชื่อเสียงด้านทางน้ำลึกลับและชายหาดที่สวยงาม รัฐหิมาจัลประเทศทางตอนเหนือเป็นที่ตั้งของเทือกเขาหิมาลัยและเป็นที่นิยมสำหรับการเดินป่าและทัศนียภาพอันงดงาม รัฐเบงกอลตะวันตกทางตะวันออกเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและเป็นที่ตั้งของเมืองโกลกาตา ดินแดนสหภาพหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์เป็นหมู่เกาะในอ่าวเบงกอลที่มีชื่อเสียงด้านความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล ในขณะที่ลาดักทางตอนเหนือเป็นดินแดนที่สูงและแห้งแล้ง มีวัฒนธรรมทิเบตที่เข้มแข็ง
7.2. เมืองสำคัญ
เมืองสำคัญหลายแห่งในอินเดียทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม
- นิวเดลี: เมืองหลวงของอินเดีย เป็นศูนย์กลางทางการเมืองและการบริหารที่สำคัญ มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และสถาบันของรัฐบาลหลายแห่ง
- มุมไบ: เมืองหลวงทางการเงินและศูนย์กลางความบันเทิงของอินเดีย เป็นที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดและอุตสาหกรรมภาพยนตร์บอลลีวูด นอกจากนี้ยังเป็นเมืองท่าที่สำคัญ
- โกลกาตา: เคยเป็นเมืองหลวงของบริติชอินเดีย เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและปัญญาชนที่สำคัญ มีชื่อเสียงด้านวรรณกรรม ศิลปะ และสถาปัตยกรรมยุคอาณานิคม
- เจนไน: เมืองหลวงของรัฐทมิฬนาฑู เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการดูแลสุขภาพที่สำคัญ นอกจากนี้ยังมีชื่อเสียงด้านดนตรีและการเต้นรำแบบดั้งเดิม
เมืองเหล่านี้และเมืองใหญ่อื่น ๆ เช่น เบงคลูรู (ศูนย์กลางเทคโนโลยีสารสนเทศ) ไฮเดอราบาด (ศูนย์กลางเทคโนโลยีชีวภาพและยา) และปูเน (ศูนย์กลางการศึกษาและอุตสาหกรรม) มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของอินเดีย
8. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

8.1. นโยบายต่างประเทศ
นโยบายต่างประเทศของอินเดียมีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์การเป็นผู้นำในขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Non-Aligned Movement - NAM) ในช่วงสงครามเย็น ซึ่งสะท้อนถึงความปรารถนาที่จะรักษาความเป็นอิสระในการตัดสินใจและไม่ผูกพันกับกลุ่มอำนาจใด ๆ ในปัจจุบัน อินเดียยังคงยึดมั่นในหลักการพหุภาคีนิยม (multilateralism) และความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์ (strategic autonomy) แต่ได้ปรับนโยบายให้สอดคล้องกับพลวัตของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
หลักการสำคัญทางการทูตปัจจุบันของอินเดียรวมถึง:
- นโยบายมองตะวันออก (Look East Policy) และ ปฏิบัติการตะวันออก (Act East Policy): เดิมมุ่งเน้นการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมกับประเทศในอาเซียน ปัจจุบันได้พัฒนาเป็นนโยบายปฏิบัติการตะวันออกที่ครอบคลุมความร่วมมือด้านความมั่นคง การป้องกันประเทศ และการเชื่อมโยงในระดับที่กว้างขึ้น รวมถึงเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก
- เพื่อนบ้านมาก่อน (Neighbourhood First Policy): ให้ความสำคัญสูงสุดกับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียใต้ผ่านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติ
- SAGAR (Security and Growth for All in the Region): นโยบายที่มุ่งเน้นความมั่นคงและการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย ผ่านความร่วมมือทางทะเล การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการรับมือกับภัยคุกคามร่วมกัน
- การทูตเชิงเศรษฐกิจ: ส่งเสริมการค้า การลงทุน และการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดีย
แนวโน้มทางการทูตล่าสุดของอินเดียแสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในเวทีระดับภูมิภาคและระดับโลก อินเดียเป็นสมาชิกของกลุ่มความร่วมมือที่สำคัญ เช่น BRICS, SCO, G20, และQuad สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างระเบียบโลกที่สมดุลและครอบคลุมมากขึ้น อินเดียยังคงให้ความสำคัญกับการปฏิรูปองค์การระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อให้สะท้อนความเป็นจริงของโลกในศตวรรษที่ 21 ได้ดียิ่งขึ้น
8.2. ความสัมพันธ์กับประเทศสำคัญ

อินเดียมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและหลากหลายกับประเทศสำคัญต่าง ๆ ทั่วโลก โดยมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้:
- ปากีสถาน: ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและปากีสถานยังคงตึงเครียด โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ข้อพิพาทแคชเมียร์ ซึ่งเป็นผลพวงจากการแบ่งแยกอินเดียในปี 1947 ข้อพิพาทนี้ได้นำไปสู่สงครามหลายครั้งและการเผชิญหน้าทางทหารอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพลเรือนในพื้นที่ชายแดน ทำให้เกิดการพลัดถิ่น การละเมิดสิทธิมนุษยชน และความไม่มั่นคงในภูมิภาค อินเดียยืนยันว่าแคชเมียร์เป็นส่วนหนึ่งของตนโดยสมบูรณ์ ในขณะที่ปากีสถานสนับสนุนการตัดสินใจด้วยตนเองของชาวแคชเมียร์ ประเด็นการก่อการร้ายข้ามพรมแดนยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในการปรับปรุงความสัมพันธ์
- จีน: ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและจีนมีทั้งความร่วมมือและการแข่งขัน ข้อพิพาทชายแดนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขในเทือกเขาหิมาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคลาดักและอรุณาจัลประเทศ ยังคงเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและนำไปสู่การเผชิญหน้าทางทหารเป็นระยะ ๆ นอกจากนี้ การขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการทหารของจีนในภูมิภาคเอเชียใต้และมหาสมุทรอินเดีย รวมถึงโครงการแถบและเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ก็สร้างความกังวลให้กับอินเดีย อย่างไรก็ตาม ทั้งสองประเทศยังคงเป็นพันธมิตรทางการค้าที่สำคัญและร่วมมือกันในเวทีระหว่างประเทศบางแห่ง เช่น กลุ่ม BRICS
- สหรัฐอเมริกา: ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นในด้านกลาโหม ความมั่นคง การต่อต้านการก่อการร้าย การค้า และเทคโนโลยี อินเดียถูกมองว่าเป็นหุ้นส่วนสำคัญในการรักษาสมดุลอำนาจในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความเห็นต่างในประเด็นทางการค้าบางประการและนโยบายต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับประเทศที่สาม
- รัสเซีย: อินเดียและรัสเซียมีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความร่วมมือทางการทหารและพลังงาน รัสเซียยังคงเป็นผู้จัดหาอาวุธรายใหญ่ที่สุดของอินเดีย อย่างไรก็ตาม ความใกล้ชิดที่เพิ่มขึ้นของรัสเซียกับจีนและความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นของอินเดียกับสหรัฐอเมริกาได้สร้างความซับซ้อนใหม่ในความสัมพันธ์นี้
- ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียใต้: อินเดียดำเนินนโยบาย "เพื่อนบ้านมาก่อน" โดยมุ่งเน้นการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศในซาร์ก (SAARC) เช่น เนปาล ภูฏาน บังกลาเทศ ศรีลังกา และมัลดีฟส์ ผ่านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์กับบางประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เนปาลและมัลดีฟส์ อาจมีความตึงเครียดเป็นครั้งคราวเนื่องจากประเด็นทางการเมืองภายในและอิทธิพลของมหาอำนาจภายนอก

8.3. กิจกรรมในองค์การระหว่างประเทศ
อินเดียมีบทบาทอย่างแข็งขันในองค์การระหว่างประเทศหลายแห่ง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการเป็นผู้เล่นระดับโลกที่มีความรับผิดชอบและส่งเสริมระเบียบโลกที่ตั้งอยู่บนหลักการพหุภาคีนิยม
- สหประชาชาติ (UN): อินเดียเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งสหประชาชาติและมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในทุกด้านของงานขององค์การ รวมถึงการรักษาสันติภาพ การพัฒนาที่ยั่งยืน สิทธิมนุษยชน และการลดอาวุธ อินเดียได้ส่งกำลังทหารและตำรวจจำนวนมากเข้าร่วมในภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติทั่วโลก และเป็นผู้สนับสนุนอย่างแข็งขันในการปฏิรูปคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อให้มีความเป็นตัวแทนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- องค์การการค้าโลก (WTO): อินเดียเป็นสมาชิกที่แข็งขันขององค์การการค้าโลกและมีบทบาทสำคัญในการเจรจาการค้าพหุภาคี อินเดียสนับสนุนระบบการค้าที่เป็นธรรมและสมดุลซึ่งคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ความมั่นคงทางอาหาร และทรัพย์สินทางปัญญา
- สมาคมเอเชียใต้เพื่อความร่วมมือระดับภูมิภาค (SAARC): ในฐานะประเทศที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียใต้ อินเดียมีบทบาทนำในซาร์ก โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างอินเดียและปากีสถานมักเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าขององค์การ
- กลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS): อินเดียเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งกลุ่ม BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน แอฟริกาใต้) ซึ่งเป็นเวทีสำหรับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ขนาดใหญ่ในการประสานนโยบายและส่งเสริมความร่วมมือในประเด็นที่สำคัญระดับโลก เช่น การปฏิรูปสถาบันการเงินระหว่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาที่ยั่งยืน
- จี 20 (G20): อินเดียเป็นสมาชิกของกลุ่ม G20 ซึ่งเป็นเวทีหลักสำหรับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ อินเดียมีบทบาทในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจโลกและส่งเสริมการเติบโตที่ครอบคลุมและยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของประเทศกำลังพัฒนา
นอกเหนือจากองค์การเหล่านี้ อินเดียยังมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในเวทีอื่น ๆ เช่น การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS), องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) (ในฐานะสมาชิกเต็มรูปแบบตั้งแต่ปี 2017), และ BIMSTEC ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างความเชื่อมโยงและความร่วมมือในระดับภูมิภาคที่กว้างขวางขึ้น
9. การป้องกันประเทศ
โครงสร้างกองทัพอินเดีย กำลังรบหลัก นโยบายป้องกันประเทศ และสถานะการเป็นรัฐผู้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ เป็นองค์ประกอบสำคัญของยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติของอินเดีย
9.1. กองทัพอินเดีย
กองทัพอินเดียเป็นหนึ่งในกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประกอบด้วยสามเหล่าทัพหลักคือ กองทัพบกอินเดีย กองทัพเรืออินเดีย และกองทัพอากาศอินเดีย นอกจากนี้ยังมีหน่วยยามฝั่งอินเดียซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาความมั่นคงทางทะเล
- โครงสร้างและการบังคับบัญชา: ประธานาธิบดีอินเดียเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพอินเดียในทางพิธีการ แต่การควบคุมและการบริหารงานจริงอยู่ภายใต้กระทรวงกลาโหมและคณะรัฐมนตรีความมั่นคงที่นำโดยนายกรัฐมนตรี กองทัพอินเดียเป็นกองทัพอาสาสมัครทั้งหมด
- ขนาดและกำลังพล: กองทัพอินเดียมีกำลังพลประจำการมากกว่า 1.4 ล้านนาย และมีกำลังพลสำรองอีกจำนวนมาก
- ยุทโธปกรณ์หลัก: อินเดียมีโครงการพัฒนาและจัดซื้อยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงรถถังประจัญบานหลัก เครื่องบินขับไล่ เรือรบ และเรือดำน้ำ อินเดียพยายามส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศภายในประเทศผ่านนโยบาย "Make in India" แต่ยังคงพึ่งพาการนำเข้าอาวุธจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะจากรัสเซีย ฝรั่งเศส อิสราเอล และสหรัฐอเมริกา
- ภารกิจ: ภารกิจหลักของกองทัพอินเดียคือการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศ การรักษาความมั่นคงภายในประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง เช่น ชัมมูและกัศมีร์ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ กองทัพอินเดียยังมีบทบาทสำคัญในภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติทั้งในและต่างประเทศ และการรักษาเส้นทางคมนาคมทางทะเลที่สำคัญในมหาสมุทรอินเดีย
9.2. นโยบายอาวุธนิวเคลียร์
อินเดียเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์
- ประวัติการพัฒนา: อินเดียเริ่มโครงการนิวเคลียร์อย่างลับ ๆ หลังจากการทดลองนิวเคลียร์ของจีนในปี 1964 และได้ทำการทดลองนิวเคลียร์ครั้งแรกอย่างสันติ (Smiling Buddha) ในปี 1974 ต่อมาในปี 1998 อินเดียได้ทำการทดลองนิวเคลียร์อีกหลายครั้ง (ปฏิบัติการศักติ) และประกาศตนเป็นรัฐผู้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์อย่างเป็นทางการ
- หลักการนิวเคลียร์: นโยบายนิวเคลียร์ของอินเดียตั้งอยู่บนหลักการ "การป้องปรามขั้นต่ำที่น่าเชื่อถือ" (Credible Minimum Deterrence) และ "นโยบายไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน" (No First Use - NFU) อย่างไรก็ตาม มีการถกเถียงกันภายในประเทศเกี่ยวกับความยืดหยุ่นของนโยบาย NFU โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับภัยคุกคามจากประเทศเพื่อนบ้าน อินเดียกำลังพัฒนาขีดความสามารถในการตอบโต้นิวเคลียร์แบบไตรภาค (Nuclear Triad) ซึ่งประกอบด้วยขีปนาวุธภาคพื้นดิน เรือดำน้ำติดขีปนาวุธ และเครื่องบินทิ้งระเบิดที่สามารถติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ได้
- ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและเสถียรภาพในภูมิภาค: การเป็นรัฐผู้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ของอินเดียได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางยุทธศาสตร์ในเอเชียใต้และทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันทางอาวุธนิวเคลียร์ในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับปากีสถานซึ่งเป็นรัฐผู้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์เช่นกัน อินเดียไม่ได้เป็นภาคีของสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) แต่ได้เข้าร่วมในข้อตกลงนิวเคลียร์พลเรือนกับสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ ซึ่งเปิดทางให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและเชื้อเพลิงนิวเคลียร์สำหรับพลเรือนได้
10. เศรษฐกิจ



เศรษฐกิจอินเดียมีลักษณะผสมผสานระหว่างเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม อุตสาหกรรมสมัยใหม่ และภาคบริการที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา อินเดียได้ดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจหลายครั้ง ทำให้เศรษฐกิจเปิดกว้างและมีการแข่งขันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม อินเดียยังคงเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมหลายประการ รวมถึงความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม การดำเนินนโยบายที่คำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและการพัฒนาที่ยั่งยืนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตทางเศรษฐกิจของอินเดีย
10.1. โครงสร้างและแนวโน้มเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจอินเดียเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในโลก
- ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP): อินเดียมี GDP ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเมื่อวัดตามภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ (PPP) และมีขนาดใหญ่เมื่อวัดตามอัตราแลกเปลี่ยนตลาด (nominal) เศรษฐกิจอินเดียประกอบด้วยภาคบริการ ภาคอุตสาหกรรม และภาคเกษตรกรรม โดยภาคบริการมีสัดส่วนมากที่สุดใน GDP
- อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ: ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา อินเดียมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างสูง โดยได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศ การลงทุน และการส่งออก อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตอาจมีความผันผวนตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและปัจจัยภายในประเทศ
- ประวัติการเปิดเสรีทางตลาดและการปฏิรูปเศรษฐกิจ: อินเดียเริ่มดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งสำคัญในปี 1991 โดยลดการควบคุมของภาครัฐ เปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ และส่งเสริมการค้าเสรี การปฏิรูปเหล่านี้ได้ช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของอินเดีย
- สถานการณ์ปัจจุบัน: เศรษฐกิจอินเดียยังคงเติบโต แต่เผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น อัตราเงินเฟ้อ การขาดดุลการคลัง และความเปราะบางต่อปัจจัยภายนอก รัฐบาลอินเดียพยายามส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การผลิต และเทคโนโลยี เพื่อรักษาการเติบโตในระยะยาว
- การกระจายรายได้และประเด็นความเหลื่อมล้ำ: แม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมจะเติบโต แต่การกระจายรายได้ในอินเดียยังคงมีความเหลื่อมล้ำสูง ความมั่งคั่งกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนจำนวนน้อย ในขณะที่ประชากรจำนวนมากยังคงเผชิญกับความยากจนและขาดโอกาสทางเศรษฐกิจ ประเด็นความเหลื่อมล้ำทางเพศ ภูมิภาค และวรรณะยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข
10.2. อุตสาหกรรมหลัก
ภาคอุตสาหกรรมหลักของอินเดียมีความหลากหลายและมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยครอบคลุมทั้งภาคเกษตรกรรม การผลิต และบริการ
10.2.1. เกษตรกรรม
ภาคเกษตรกรรมยังคงเป็นแหล่งจ้างงานหลักสำหรับประชากรส่วนใหญ่ของอินเดีย แม้ว่าสัดส่วนใน GDP จะลดลงก็ตาม
- ผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญ: อินเดียเป็นผู้ผลิตข้าว ข้าวสาลี อ้อย ฝ้าย ชา เครื่องเทศ และผลไม้รายใหญ่ของโลก นอกจากนี้ยังมีการผลิตนมและผลิตภัณฑ์จากนมเป็นจำนวนมาก
- เทคโนโลยีการเกษตร: มีการนำเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่มาใช้เพิ่มขึ้น เช่น การใช้พันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตสูง ปุ๋ยเคมี และระบบชลประทาน อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ยังไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรรายย่อย
- นโยบายการเกษตร: รัฐบาลอินเดียมีนโยบายสนับสนุนภาคเกษตรกรรมหลายประการ เช่น การให้เงินอุดหนุนปัจจัยการผลิต การประกันราคาพืชผล และการส่งเสริมการส่งออก
- ความสำคัญของเศรษฐกิจในชนบท: ภาคเกษตรกรรมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจในชนบท ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรส่วนใหญ่ของอินเดีย
- ประเด็นปัญหาของเกษตรกรรายย่อย: เกษตรกรรายย่อยในอินเดียเผชิญกับปัญหาหลายประการ เช่น การขาดแคลนที่ดินทำกิน การเข้าไม่ถึงสินเชื่อและตลาด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และหนี้สิน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และนำไปสู่ปัญหาสังคมอื่น ๆ
10.2.2. อุตสาหกรรมการผลิต

ภาคการผลิตของอินเดียมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีความหลากหลายมากขึ้น
- การพัฒนาและความสามารถในการแข่งขัน: อุตสาหกรรมการผลิตที่สำคัญของอินเดีย ได้แก่ ยานยนต์ สิ่งทอ เคมีภัณฑ์ เภสัชภัณฑ์ และอิเล็กทรอนิกส์ อินเดียพยายามส่งเสริมภาคการผลิตผ่านนโยบาย "Make in India" เพื่อดึงดูดการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
- สภาพแรงงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: ภาคการผลิตสร้างงานจำนวนมาก แต่ก็เผชิญกับความท้าทายด้านสภาพแรงงาน เช่น ค่าจ้างต่ำ สวัสดิการที่ไม่เพียงพอ และความปลอดภัยในการทำงาน นอกจากนี้ การขยายตัวของภาคการผลิตยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหามลพิษทางอากาศและน้ำ และการจัดการของเสียอุตสาหกรรม
10.2.3. อุตสาหกรรมบริการ
ภาคบริการเป็นภาคเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดของอินเดีย
- การเติบโตและอิทธิพลระดับโลก: อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และการจ้างงานกระบวนการทางธุรกิจ (BPO) ของอินเดียมีชื่อเสียงระดับโลกและเป็นแหล่งรายได้สำคัญจากการส่งออก อินเดียเป็นศูนย์กลางการพัฒนาซอฟต์แวร์และการให้บริการ IT แก่บริษัทต่างชาติจำนวนมาก
- การพัฒนาบุคลากรและทักษะ: การเติบโตของภาคบริการขึ้นอยู่กับการพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะสูง อินเดียมีสถาบันอุดมศึกษาและสถาบันฝึกอบรมจำนวนมากที่ผลิตบุคลากรด้าน IT และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายในการยกระดับคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาทักษะให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
ภาคบริการอื่น ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ การท่องเที่ยว การเงิน การธนาคาร การค้าปลีก และการดูแลสุขภาพ
10.3. พลังงาน

ความต้องการพลังงานของอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามการเติบโตทางเศรษฐกิจและจำนวนประชากร
- แหล่งพลังงานหลัก: อินเดียยังคงพึ่งพาถ่านหินเป็นแหล่งพลังงานหลักในการผลิตไฟฟ้า รองลงมาคือน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งส่วนใหญ่ต้องนำเข้า พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานน้ำ กำลังได้รับการส่งเสริมและมีบทบาทเพิ่มขึ้น
- นโยบายพลังงาน: นโยบายพลังงานของอินเดียมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน การลดการพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิล และการส่งเสริมพลังงานสะอาดเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
- สถานการณ์อุปสงค์อุปทาน: อุปทานพลังงานในอินเดียยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไฟฟ้า ซึ่งนำไปสู่ปัญหาไฟฟ้าดับในบางพื้นที่
- ความท้าทายด้านความมั่นคงทางพลังงานและความยั่งยืน: อินเดียเผชิญกับความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น การลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก และการเข้าถึงพลังงานของประชากรทุกกลุ่ม การลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
10.4. การคมนาคมขนส่ง

โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของอินเดียมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงมีความท้าทายในการรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
- ทางรถไฟ: เครือข่ายรถไฟของอินเดียเป็นหนึ่งในเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นรูปแบบการขนส่งที่สำคัญสำหรับผู้โดยสารและสินค้า มีการลงทุนในการปรับปรุงรางรถไฟ หัวรถจักร และสถานี รวมถึงการพัฒนารถไฟความเร็วสูง
- ถนน: เครือข่ายถนนของอินเดียมีความยาวครอบคลุมทั่วประเทศ แต่คุณภาพของถนนยังคงแตกต่างกันไป มีการก่อสร้างทางหลวงและทางด่วนใหม่เพื่อปรับปรุงการเชื่อมโยงระหว่างเมืองสำคัญ
- การบิน: อุตสาหกรรมการบินของอินเดียเติบโตอย่างรวดเร็ว มีท่าอากาศยานนานาชาติหลายแห่งที่รองรับเที่ยวบินทั้งในและต่างประเทศ และมีสายการบินต้นทุนต่ำหลายแห่งที่ให้บริการ
- ท่าเรือ: อินเดียมีท่าเรือสำคัญหลายแห่งตามแนวชายฝั่ง ซึ่งมีความสำคัญต่อการค้าทางทะเล มีการลงทุนในการขยายและปรับปรุงท่าเรือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับสินค้า
- แผนการพัฒนา: รัฐบาลอินเดียมีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ในโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เช่น โครงการทางหลวงแห่งชาติ โครงการรถไฟความเร็วสูง และการพัฒนาท่าเรือ เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและปรับปรุงการเชื่อมโยงภายในประเทศ
- การเข้าถึงของประชาชน: แม้ว่าจะมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แต่การเข้าถึงการคมนาคมขนส่งที่มีคุณภาพและราคาไม่แพงยังคงเป็นความท้าทายสำหรับประชากรบางกลุ่ม โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและห่างไกล
10.5. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นภาคส่วนที่สำคัญของเศรษฐกิจอินเดีย สร้างรายได้และการจ้างงานจำนวนมาก
- แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ: อินเดียมีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย ตั้งแต่โบราณสถานและมรดกโลก เช่น ทัชมาฮาล หมู่ถ้ำอชันตาและเอลโลรา และป้อมอัครา ไปจนถึงแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เช่น เทือกเขาหิมาลัย ชายหาดในกัว และทางน้ำในเกรละ นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและศาสนาที่สำคัญ เช่น เมืองพาราณสี และสถานที่แสวงบุญทางพุทธศาสนา
- สถานการณ์อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว: อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของอินเดียมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศเดินทางมาเยือนเพิ่มขึ้น รัฐบาลอินเดียมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น "Incredible India"
- ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม: การท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้กับประเทศและสร้างงานในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร การขนส่ง และการค้าปลีก นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและมรดกท้องถิ่น
- การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน: มีความพยายามในการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่มีความรับผิดชอบ
10.6. ความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคม

แม้ว่าอินเดียจะมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจอย่างมาก แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญหลายประการ:
- ความยากจน: ประชากรจำนวนมากยังคงอาศัยอยู่ใต้เส้นความยากจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบทและในกลุ่มเปราะบางทางสังคม รัฐบาลมีโครงการขจัดความยากจนหลายโครงการ แต่ปัญหายังคงมีความซับซ้อน
- ความเหลื่อมล้ำทางรายได้: ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนยังคงกว้าง ความมั่งคั่งกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนจำนวนน้อย ในขณะที่คนส่วนใหญ่มีรายได้ต่ำและเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจได้จำกัด
- การทุจริต: การทุจริตคอร์รัปชันยังคงเป็นปัญหาสำคัญในทุกระดับของสังคมและภาครัฐ ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของประชาชน
- การว่างงาน: โดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาวและผู้มีการศึกษา การสร้างงานที่มีคุณภาพและเพียงพอต่อจำนวนประชากรวัยทำงานที่เพิ่มขึ้นยังคงเป็นความท้าทาย
- การเข้าถึงบริการพื้นฐานของกลุ่มเปราะบาง: กลุ่มเปราะบาง เช่น สตรี เด็ก ชนกลุ่มน้อย และผู้พิการ ยังคงเผชิญกับอุปสรรคในการเข้าถึงบริการพื้นฐาน เช่น การศึกษา สาธารณสุข และน้ำสะอาด
- ความพยายามในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้: รัฐบาลอินเดียได้ดำเนินนโยบายและโครงการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เช่น โครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า การส่งเสริมการศึกษาภาคบังคับ การพัฒนาทักษะแรงงาน และการเสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันธรรมาภิบาล อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคมและความมุ่งมั่นทางการเมืองที่ต่อเนื่อง
11. สังคม
สังคมอินเดียมีความหลากหลายและซับซ้อนอย่างยิ่ง โดยมีลักษณะเด่นคือความหลากหลายทางประชากร กลุ่มชาติพันธุ์ ภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม ซึ่งอยู่ร่วมกันภายใต้กรอบของรัฐฆราวาสและประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม สังคมอินเดียยังคงเผชิญกับความท้าทายจากระบบวรรณะที่หยั่งรากลึก ปัญหาสังคมต่าง ๆ และความเหลื่อมล้ำในหลายมิติ การทำความเข้าใจลักษณะทางสังคมเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเข้าใจอินเดียในปัจจุบัน
11.1. ประชากร

อินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยมีจำนวนประชากรประมาณ 1.4 พันล้านคน (ข้อมูลปี 2023)
- ขนาดประชากรและอัตราการเพิ่มขึ้น: ประชากรอินเดียยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าอัตราการเพิ่มขึ้นจะชะลอตัวลงบ้างในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
- ความหนาแน่นของประชากร: อินเดียมีความหนาแน่นของประชากรสูง โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่และที่ราบลุ่มแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์
- สถานการณ์การกลายเป็นเมือง: การขยายตัวของเมืองเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดปัญหาความแออัด การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน และปัญหาสิ่งแวดล้อมในเขตเมือง
- โครงสร้างอายุ: อินเดียมีประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมาก ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายในการพัฒนาประเทศ
- อัตราส่วนเพศ: อินเดียเผชิญกับปัญหาความไม่สมดุลของอัตราส่วนเพศ โดยมีจำนวนผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ซึ่งเป็นผลมาจากการเลือกปฏิบัติทางเพศและการทำแท้งทารกเพศหญิง
- สถานะของชาวอินเดียโพ้นทะเล (Diaspora): ชาวอินเดียโพ้นทะเลมีจำนวนมากและกระจายอยู่ทั่วโลก มีบทบาทสำคัญในการส่งเงินกลับประเทศและเป็นสะพานเชื่อมทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ
11.2. กลุ่มชาติพันธุ์
อินเดียเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางกลุ่มชาติพันธุ์อย่างมาก ซึ่งเป็นผลมาจากประวัติศาสตร์การอพยพและการผสมผสานทางวัฒนธรรมอันยาวนาน กลุ่มชาติพันธุ์หลัก ๆ ได้แก่:
- อินโด-อารยัน: เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือ ตอนกลาง และตะวันตกของประเทศ พูดภาษาในกลุ่มอินโด-อารยัน เช่น ภาษาฮินดี เบงกาลี มราฐี คุชราต ปัญจาบ และโอริยา
- ดราวิเดียน: เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมของอนุทวีปอินเดีย ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ พูดภาษาในกลุ่มดราวิเดียน เช่น ภาษาทมิฬ เตลูกู กันนาดา และมลยาฬัม
- กลุ่มชนเผ่าจีน-ทิเบต: อาศัยอยู่ในแถบเทือกเขาหิมาลัยและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย พูดภาษาในกลุ่มจีน-ทิเบต
- กลุ่มชนเผ่าออสโตรเอเชียติก: เป็นกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองขนาดเล็ก กระจายตัวอยู่ในบางพื้นที่ของอินเดียตะวันออกและตอนกลาง
- กลุ่มชนเผ่าพื้นเมือง (Adivasi): เป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มชนเผ่าดั้งเดิมที่หลากหลาย ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าเขาและห่างไกลทั่วประเทศ พวกเขามีวัฒนธรรมและภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และมักเผชิญกับปัญหาการถูกกีดกันทางสังคมและเศรษฐกิจ ประเด็นเกี่ยวกับสิทธิของชนกลุ่มน้อยและชนเผ่าพื้นเมืองยังคงเป็นความท้าทายสำคัญในอินเดีย รวมถึงการต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดิน ทรัพยากร และการรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม
11.3. ภาษา

อินเดียเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางภาษาอย่างมาก โดยมีภาษาและภาษาถิ่นหลายร้อยภาษาที่พูดกันทั่วประเทศ
- ภาษาฮินดีและภาษาอังกฤษ: ภาษาฮินดีในอักษรเทวนาครีเป็นภาษาราชการของสหพันธรัฐอินเดีย ในขณะที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการเพิ่มเติมและใช้กันอย่างแพร่หลายในด้านการบริหาร การศึกษา และธุรกิจ
- ภาษาราชการของแต่ละรัฐ: แต่ละรัฐในอินเดียมีสิทธิกำหนดภาษาราชการของตนเอง ซึ่งอาจเป็นภาษาฮินดี ภาษาอังกฤษ หรือภาษาท้องถิ่นอื่น ๆ
- ภาษาที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ: รัฐธรรมนูญอินเดียรับรองภาษา 22 ภาษา (Scheduled Languages) ซึ่งเป็นภาษาที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมและมีผู้พูดจำนวนมาก ภาษาเหล่านี้มีสิทธิได้รับการส่งเสริมและพัฒนาจากภาครัฐ
- ความสำคัญของภาษาในการรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม: ภาษาเป็นองค์ประกอบสำคัญของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในอินเดีย การรักษาและส่งเสริมความหลากหลายทางภาษาจึงมีความสำคัญต่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมพหุวัฒนธรรม
ภาษา | จำนวนผู้พูดภาษาแม่ | สัดส่วนผู้พูดภาษาแม่ | จำนวนผู้พูดภาษาที่สอง | จำนวนผู้พูดภาษาที่สาม | จำนวนผู้พูดทั้งหมด | สัดส่วนผู้พูดทั้งหมดต่อประชากร |
---|---|---|---|---|---|---|
ภาษาฮินดี | 528.35 | 43.63 | 139 | 24 | 692 | 57.1 |
ภาษาอังกฤษ | 0.26 | 0.02 | 83 | 46 | 129 | 10.6 |
ภาษาเบงกอล | 97.24 | 8.30 | 9 | 1 | 107 | 8.9 |
ภาษามราฐี | 83.03 | 7.09 | 13 | 3 | 99 | 8.2 |
ภาษาเตลูกู | 81.13 | 6.93 | 12 | 1 | 95 | 7.8 |
ภาษาทมิฬ | 69.03 | 5.89 | 7 | 1 | 77 | 6.3 |
ภาษาอูรดู | 50.77 | 4.34 | 11 | 1 | 63 | 5.2 |
ภาษาคุชราต | 55.49 | 4.74 | 4 | 1 | 60 | 5.0 |
ภาษากันนาดา | 43.71 | 3.73 | 14 | 1 | 59 | 4.94 |
ภาษาโอริยา | 37.52 | 3.20 | 5 | 0.39 | 43 | 3.56 |
ภาษาปัญจาบ | 33.12 | 2.83 | 2.23 | 0.72 | 36.6 | 3.0 |
ภาษามลยาฬัม | 34.84 | 2.97 | 0.5 | 0.21 | 36 | 2.9 |
ภาษาสันสกฤต | 0.024 | 0.002 | 0.123 | 0.196 | 0.319 | 0.026 |
11.4. ศาสนา
อินเดียเป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาสำคัญหลายศาสนาและเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางศาสนาสูง จากการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2011 พบว่าศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในอินเดียคือศาสนาฮินดู (79.8%) รองลงมาคือศาสนาอิสลาม (14.2%) ศาสนาคริสต์ (2.3%) ศาสนาซิกข์ (1.7%) ศาสนาพุทธ (0.7%) และศาสนาเชน (0.4%) นอกจากนี้ยังมีผู้นับถือศาสนาอื่น ๆ เช่น ศาสนาโซโรอัสเตอร์ ศาสนายูดาห์ และความเชื่อดั้งเดิมของชนเผ่าต่าง ๆ รวมถึงผู้ที่ไม่มีศาสนาหรือไม่ได้ระบุศาสนา (รวมประมาณ 0.9%)
- ศาสนาฮินดู: เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในอินเดีย มีความเชื่อและพิธีกรรมที่หลากหลาย ไม่มีศาสดาหรือคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เพียงเล่มเดียว แต่ยึดถือคัมภีร์พระเวท อุปนิษัท ปุราณะ และมหากาพย์ต่าง ๆ เป็นสำคัญ
- ศาสนาอิสลาม: เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากเป็นอันดับสอง อินเดียมีประชากรมุสลิมมากเป็นอันดับสามของโลก ศาสนาอิสلامเข้ามาในอินเดียผ่านการค้าและการพิชิตดินแดน
- ศาสนาคริสต์: มีผู้นับถือประมาณ 2.3% เชื่อกันว่าศาสนาคริสต์เข้ามาในอินเดียตั้งแต่สมัยอัครทูต และมีการเผยแผ่มากขึ้นในยุคอาณานิคม
- ศาสนาซิกข์: มีผู้นับถือประมาณ 1.7% ก่อตั้งโดยคุรุ นานักเทพในศตวรรษที่ 15 ในภูมิภาคปัญจาบ เน้นความเสมอภาคและการรับใช้สังคม
- ศาสนาพุทธ: มีผู้นับถือประมาณ 0.7% แม้ว่าศาสนาพุทธจะถือกำเนิดในอินเดียและเคยรุ่งเรืองอย่างมาก แต่ปัจจุบันมีผู้นับถือจำนวนไม่มากนัก ส่วนใหญ่อยู่ในบางภูมิภาคและในกลุ่มผู้เปลี่ยนศาสนาใหม่ (Neo-Buddhists)
- ศาสนาเชน: มีผู้นับถือประมาณ 0.4% เป็นศาสนาโบราณที่เน้นหลักอหิงสา (การไม่เบียดเบียน) และการบำเพ็ญตนอย่างเคร่งครัด
อินเดียเป็นรัฐฆราวาส (secular state) ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งรับรองเสรีภาพในการนับถือศาสนาของพลเมืองทุกคน อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งและความตึงเครียดระหว่างศาสนายังคงเป็นประเด็นทางสังคมและการเมืองที่สำคัญในอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างชาวฮินดูและชาวมุสลิม การส่งเสริมความเข้าใจและความสมานฉันท์ระหว่างศาสนาจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมพหุศาสนาของอินเดีย

11.5. ระบบวรรณะ
ระบบวรรณะเป็นลักษณะทางสังคมที่ซับซ้อนและหยั่งรากลึกในประวัติศาสตร์อินเดีย มีอิทธิพลอย่างมากต่อโครงสร้างทางสังคม ความสัมพันธ์ และโอกาสในชีวิตของผู้คน
- ประวัติศาสตร์และโครงสร้าง: ระบบวรรณะมีต้นกำเนิดมาจากสมัยพระเวท โดยแบ่งสังคมออกเป็น 4 วรรณะหลักตามลำดับชั้นทางสังคมและความบริสุทธิ์ทางพิธีกรรม ได้แก่ พราหมณ์ (นักบวชและปราชญ์) กษัตริย์ (นักรบและผู้ปกครอง) แพศย์ (พ่อค้าและเกษตรกร) และศูทร (ผู้ใช้แรงงานและผู้รับใช้) นอกเหนือจาก 4 วรรณะนี้ ยังมีกลุ่ม "อวรรณะ" หรือ "จัณฑาล" (ปัจจุบันเรียกว่า "ดาลิต") ซึ่งถูกมองว่าอยู่นอกระบบวรรณะและถูกกีดกันทางสังคมอย่างรุนแรง ในทางปฏิบัติ ระบบวรรณะมีความซับซ้อนกว่านั้นมาก โดยมีการแบ่งย่อยออกเป็น "ชาติ" (jatis) หรือกลุ่มอาชีพตามสายเลือดอีกหลายพันกลุ่ม
- อิทธิพลต่อสังคมปัจจุบัน: แม้ว่ารัฐธรรมนูญอินเดียจะห้ามการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของวรรณะและมีกฎหมายคุ้มครองสิทธิของกลุ่มดาลิตและวรรณะต่ำอื่น ๆ แต่ระบบวรรณะยังคงมีอิทธิพลอย่างมากต่อสังคมอินเดียในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบทและในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน อาชีพ และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
- ปัญหาการเลือกปฏิบัติที่ยังคงอยู่: กลุ่มดาลิตและวรรณะต่ำอื่น ๆ ยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติ ความรุนแรง และการกีดกันทางสังคมในหลายรูปแบบ พวกเขามักถูกจำกัดการเข้าถึงทรัพยากร โอกาสทางการศึกษาและการจ้างงาน และต้องเผชิญกับอคติทางสังคม
- กฎหมายและมาตรการในการต่อต้านการเลือกปฏิบัติ: รัฐบาลอินเดียได้ออกมาตรการหลายอย่างเพื่อต่อต้านการเลือกปฏิบัติทางวรรณะ เช่น การสำรองที่นั่งในสถาบันการศึกษาและหน่วยงานราชการสำหรับกลุ่มดาลิตและวรรณะที่ด้อยโอกาสอื่น ๆ (Scheduled Castes and Scheduled Tribes) และการออกกฎหมายลงโทษผู้กระทำการเลือกปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้กฎหมายและการเปลี่ยนแปลงทัศนคติทางสังคมยังคงเป็นความท้าทายสำคัญ
11.6. การศึกษา

ระบบการศึกษาของอินเดียมีขนาดใหญ่และมีความหลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงอุดมศึกษา และมีความพยายามในการขยายโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึง
- ระบบการศึกษา: ระบบการศึกษาของอินเดียแบ่งออกเป็นระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย และอุดมศึกษา มีทั้งโรงเรียนรัฐบาลและเอกชน สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการของรัฐบาลกลางและรัฐบาลของแต่ละรัฐ
- อัตราการรู้หนังสือ: อัตราการรู้หนังสือของอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่ยังคงมีความแตกต่างระหว่างเพศ ภูมิภาค และกลุ่มทางสังคม อัตราการรู้หนังสือของสตรีและในพื้นที่ชนบทยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ
- สถาบันอุดมศึกษา: อินเดียมีสถาบันอุดมศึกษาจำนวนมาก รวมถึงมหาวิทยาลัย วิทยาลัย และสถาบันเฉพาะทาง สถาบันที่มีชื่อเสียงระดับโลก ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีอินเดีย (IITs) และสถาบันการจัดการอินเดีย (IIMs)
- นโยบายการศึกษา: รัฐบาลอินเดียมีนโยบายส่งเสริมการศึกษาหลายประการ เช่น สิทธิในการศึกษาภาคบังคับสำหรับเด็กอายุ 6-14 ปี โครงการอาหารกลางวันในโรงเรียน และการให้ทุนการศึกษา
- ความท้าทายในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ: แม้ว่าจะมีการขยายโอกาสทางการศึกษา แต่การเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพยังคงเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลและสำหรับกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ปัญหาการขาดแคลนครูที่มีคุณภาพ โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงพอ และหลักสูตรที่ไม่ทันสมัยยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ
- ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา: ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษายังคงเป็นปัญหาใหญ่ในอินเดีย โดยมีความแตกต่างอย่างมากในด้านคุณภาพและโอกาสทางการศึกษาระหว่างโรงเรียนรัฐบาลและเอกชน ระหว่างเมืองและชนบท และระหว่างกลุ่มทางสังคมต่าง ๆ
11.7. สาธารณสุขและการแพทย์
สถานการณ์สาธารณสุขและการแพทย์ของอินเดียมีความก้าวหน้าอย่างมากในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ
- สถานการณ์สาธารณสุข: อินเดียมีความก้าวหน้าในการลดอัตราการเสียชีวิตของทารกและเด็ก การควบคุมโรคติดต่อบางชนิด และการเพิ่มอายุขัยเฉลี่ยของประชากร อย่างไรก็ตาม อินเดียยังคงเผชิญกับภาระโรคทั้งโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ เช่น วัณโรค กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันเสื่อม มาลาเรีย โรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็ง และเบาหวาน
- การเข้าถึงบริการทางการแพทย์: การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพยังคงเป็นความท้าทายสำหรับประชากรส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและสำหรับกลุ่มผู้ด้อยโอกาส อินเดียมีทั้งสถานพยาบาลของรัฐและเอกชน แต่สถานพยาบาลของรัฐมักมีทรัพยากรจำกัดและมีผู้ใช้บริการจำนวนมาก ในขณะที่สถานพยาบาลเอกชนมีค่าใช้จ่ายสูง
- โรคภัยไข้เจ็บหลัก: โรคติดต่อยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ ควบคู่ไปกับการเพิ่มขึ้นของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการมีอายุยืนยาวขึ้น
- นโยบายสาธารณสุขของรัฐบาล: รัฐบาลอินเดียมีนโยบายและโครงการต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงระบบสาธารณสุข เช่น โครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Ayushman Bharat) การส่งเสริมสุขภาพแม่และเด็ก และการควบคุมโรคติดต่อ
- ความท้าทายในการพัฒนาระบบสุขภาพถ้วนหน้า: การพัฒนาระบบสุขภาพถ้วนหน้าที่ครอบคลุมและมีคุณภาพยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญของอินเดีย แต่เผชิญกับความท้าทายด้านงบประมาณ บุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่เพียงพอ และโครงสร้างพื้นฐานที่จำกัด การเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขมูลฐานและการส่งเสริมสุขภาพเชิงป้องกันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
11.8. ปัญหาสังคม
อินเดียเผชิญกับปัญหาสังคมที่ซับซ้อนและหลากหลาย ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยทางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการเมือง ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและความก้าวหน้าของประเทศโดยรวม:
- ปัญหาสิทธิมนุษยชน: แม้ว่ารัฐธรรมนูญอินเดียจะรับรองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน แต่ยังคงมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในหลายรูปแบบ เช่น การเลือกปฏิบัติทางวรรณะและศาสนา ความรุนแรงต่อสตรีและชนกลุ่มน้อย การใช้ความรุนแรงโดยเจ้าหน้าที่รัฐ และการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก
- สิทธิสตรีและความรุนแรงทางเพศ: สตรีในอินเดียยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติและความไม่เท่าเทียมในหลายด้าน รวมถึงการเข้าถึงการศึกษา การจ้างงาน และการมีส่วนร่วมทางการเมือง ความรุนแรงทางเพศต่อสตรี เช่น การข่มขืนกระทำชำเรา การล่วงละเมิดทางเพศ และความรุนแรงในครอบครัว ยังคงเป็นปัญหาที่รุนแรงและต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
- มลภาวะสิ่งแวดล้อม: อินเดียเผชิญกับปัญหามลภาวะสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง ทั้งมลพิษทางอากาศจากยานยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม มลพิษทางน้ำจากการปล่อยน้ำเสียที่ไม่ผ่านการบำบัด และปัญหาขยะ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนและการบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมยังคงเป็นความท้าทาย
- ปัญหาอนามัย: การเข้าถึงน้ำสะอาดและสุขอนามัยที่ถูกสุขลักษณะยังคงเป็นปัญหาสำหรับประชากรจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและชุมชนแออัด ส่งผลให้เกิดโรคติดต่อทางน้ำและอาหาร
- ความขัดแย้งในระดับภูมิภาค: อินเดียมีความขัดแย้งภายในประเทศในหลายพื้นที่ เช่น ความขัดแย้งในแคชเมียร์ ความไม่สงบจากกลุ่มติดอาวุธนักซาไลท์-มาโออิสต์ในบางรัฐ และความตึงเครียดระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และศาสนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- การก่อการร้าย: อินเดียเผชิญกับภัยคุกคามจากการก่อการร้ายทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของประเทศ
- ประเด็นสิทธิของกลุ่มหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+): แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าในการยอมรับสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ มากขึ้น เช่น การยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 377 ที่เอาผิดกับการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน แต่กลุ่ม LGBTQ+ ในอินเดียยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติ อคติทางสังคม และความรุนแรง การสร้างความตระหนักรู้และการส่งเสริมความเท่าเทียมทางกฎหมายและสังคมยังคงเป็นสิ่งจำเป็น
12. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

อินเดียมีประวัติศาสตร์อันยาวนานในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน โดยมีความสำเร็จที่โดดเด่นในหลายสาขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนาอวกาศและเทคโนโลยีสารสนเทศ
- ประวัติการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี: อินเดียโบราณมีความก้าวหน้าทางคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และการแพทย์ ตัวอย่างเช่น แนวคิดเรื่องเลขศูนย์และระบบทศนิยมมีต้นกำเนิดในอินเดีย ในยุคอาณานิคม การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นไปอย่างจำกัด แต่หลังได้รับเอกราช อินเดียได้ให้ความสำคัญกับการสร้างสถาบันวิจัยและพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
- สาขาการวิจัยหลักและผลสำเร็จ: อินเดียมีการวิจัยและพัฒนาในหลายสาขา เช่น
- เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT): อินเดียเป็นศูนย์กลางระดับโลกในด้านบริการซอฟต์แวร์และการจ้างงานกระบวนการทางธุรกิจ (BPO) เมืองสำคัญเช่น เบงคลูรู ไฮเดอราบาด และปูเน เป็นที่ตั้งของบริษัท IT ชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ
- เทคโนโลยีชีวภาพและเภสัชภัณฑ์: อินเดียเป็นผู้ผลิตยาชื่อสามัญ (generic drugs) รายใหญ่ของโลก และมีความก้าวหน้าในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ
- พลังงานนิวเคลียร์: อินเดียมีโครงการพลังงานนิวเคลียร์เพื่อพลเรือนและมีอาวุธนิวเคลียร์
- นาโนเทคโนโลยี วัสดุศาสตร์ และสาขาอื่น ๆ: มีการวิจัยและพัฒนาในสาขาที่ทันสมัยเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง
- ความสำเร็จในสาขาการพัฒนาอวกาศ: นับเป็นความภาคภูมิใจที่สำคัญของอินเดีย (รายละเอียดในหัวข้อย่อยถัดไป)
12.1. การพัฒนาอวกาศ
อินเดียมีความก้าวหน้าอย่างมากในด้านการพัฒนาอวกาศ โดยมีองค์การวิจัยอวกาศอินเดีย (Indian Space Research Organisation - ISRO) เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อน
- องค์การวิจัยอวกาศอินเดีย (ISRO): ISRO ก่อตั้งขึ้นในปี 1969 มีหน้าที่รับผิดชอบในการออกแบบ พัฒนา และส่งดาวเทียมและยานอวกาศ รวมถึงการพัฒนาจรวดขนส่งดาวเทียม
- การปล่อยดาวเทียมสำคัญ: ISRO ประสบความสำเร็จในการปล่อยดาวเทียมหลายประเภท ทั้งดาวเทียมสื่อสาร ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา และดาวเทียมนำทาง อินเดียสามารถปล่อยดาวเทียมได้เองโดยใช้จรวดขนส่งที่พัฒนาขึ้นภายในประเทศ เช่น จรวดนำส่งดาวเทียมขั้วโลก (PSLV - Polar Satellite Launch Vehicle) และจรวดนำส่งดาวเทียมพ้องคาบโลก (GSLV - Geosynchronous Satellite Launch Vehicle)
- โครงการสำรวจอวกาศ:
- จันทรยาน (Chandrayaan): โครงการสำรวจดวงจันทร์ของอินเดีย จันทรยาน-1 (Chandrayaan-1) ที่ปล่อยในปี 2008 ประสบความสำเร็จในการค้นพบโมเลกุลของน้ำบนดวงจันทร์ จันทรยาน-2 (Chandrayaan-2) ที่ปล่อยในปี 2019 แม้ว่ายานลงจอดจะประสบปัญหา แต่ยานโคจรยังคงทำงานได้ดี จันทรยาน-3 (Chandrayaan-3) ประสบความสำเร็จในการลงจอดบริเวณขั้วใต้ของดวงจันทร์ในปี 2023 ทำให้อินเดียเป็นประเทศที่สี่ที่สามารถส่งยานอวกาศลงจอดบนดวงจันทร์ได้สำเร็จ และเป็นประเทศแรกที่ลงจอดบริเวณขั้วใต้
- มังคลายาน (Mangalyaan - Mars Orbiter Mission): โครงการสำรวจดาวอังคารของอินเดีย ปล่อยยานในปี 2013 และเข้าสู่วงโคจรรอบดาวอังคารได้สำเร็จในปี 2014 ทำให้อินเดียเป็นประเทศแรกในเอเชียและประเทศที่สี่ของโลกที่ส่งยานอวกาศไปถึงดาวอังคารได้สำเร็จ และเป็นประเทศแรกที่ทำสำเร็จในครั้งแรก
- โครงการอื่น ๆ: ISRO มีแผนสำหรับภารกิจสำรวจอวกาศอื่น ๆ ในอนาคต เช่น ภารกิจสำรวจดวงอาทิตย์ (อาทิตยะ-แอล1) และภารกิจส่งมนุษย์ขึ้นสู่อวกาศ (โครงการกากันยาน)
- ผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ: การพัฒนาอวกาศของอินเดียไม่เพียงแต่สร้างความภาคภูมิใจในระดับชาติ แต่ยังมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ เช่น การสื่อสาร การพยากรณ์อากาศ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การเกษตร และการป้องกันประเทศ
13. วัฒนธรรม

วัฒนธรรมอินเดียมีความหลากหลายและอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง เป็นผลมาจากการผสมผสานของอารยธรรม ประเพณี ศาสนา และภาษาที่แตกต่างกันมาเป็นเวลาหลายพันปี ครอบคลุมตั้งแต่ศิลปะ สถาปัตยกรรม วรรณกรรม ดนตรี นาฏศิลป์ ไปจนถึงอาหารการกิน เครื่องแต่งกาย และเทศกาลต่าง ๆ วัฒนธรรมอินเดียยังคงมีชีวิตชีวาและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับอิทธิพลจากทั้งประเพณีดั้งเดิมและวัฒนธรรมสมัยนิยมจากทั่วโลก
13.1. ศิลปะและสถาปัตยกรรม
ศิลปะและสถาปัตยกรรมของอินเดียมีความโดดเด่นและหลากหลาย สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรมอันยาวนานของประเทศ
- ศิลปะทัศนศิลป์:


- จิตรกรรม: จิตรกรรมอินเดียมีความหลากหลายตั้งแต่ภาพวาดในถ้ำยุคก่อนประวัติศาสตร์ (เช่น ถ้ำภีมเบฏกา) จิตรกรรมฝาผนังในวัดและพระราชวัง (เช่น จิตรกรรมอชันตา) จุลจิตรกรรม (miniature painting) ในสมัยโมกุลและราชปุต จิตรกรรมพื้นบ้าน (folk painting) ของแต่ละภูมิภาค (เช่น มธุพนี, วารลี) ไปจนถึงจิตรกรรมสมัยใหม่และร่วมสมัย
- ประติมากรรม: ประติมากรรมอินเดียมีความรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยมีตัวอย่างที่โดดเด่น เช่น ประติมากรรมจากอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ประติมากรรมโมริยะ (เสาอโศก) ประติมากรรมคันธาระ (ได้รับอิทธิพลจากกรีก) ประติมากรรมคุปตะ (พระพุทธรูปสารนาถ) ประติมากรรมสมัยโจฬะ (รูปหล่อสำริดพระศิวะนาฏราช) และประติมากรรมในวัดฮินดูและวัดเชนทั่วประเทศ


- รูปแบบสถาปัตยกรรมหลัก:
- สถาปัตยกรรมวัดฮินดู: มีรูปแบบที่หลากหลายตามยุคสมัยและภูมิภาค โดยมีลักษณะเด่นคือหอสูง (ศิขร หรือ วิมาน) มณฑป (โถงประกอบพิธีกรรม) และการประดับประดาด้วยประติมากรรมและภาพแกะสลักที่วิจิตรบรรจง
- สถาปัตยกรรมพุทธ: รวมถึงสถูป (เช่น สถูปสาญจี) เจดีย์ วิหาร (ห้องโถงสำหรับพระสงฆ์) และคูหา (ถ้ำที่สร้างขึ้นสำหรับจำพรรษา เช่น ถ้ำอชันตาและเอลโลรา)
- สถาปัตยกรรมเชน: มีความคล้ายคลึงกับสถาปัตยกรรมฮินดู แต่เน้นความเรียบง่ายและความสมมาตร วัดเชนมักสร้างด้วยหินอ่อนและมีการแกะสลักที่ละเอียดอ่อน
จักรพรรดิชะฮันคีร์ต้อนรับเจ้าชายคุรรัมที่อัชเมร์หลังเสด็จกลับจากสงครามเมวาร์ โดย พลจันท์ ราว ค.ศ. 1635 พระกฤษณะเป่าขลุ่ยให้เหล่านางโกปี จิตรกรรมกางครา ค.ศ. 1775-1785 - สถาปัตยกรรมอิสลาม (อินโด-อิสลามิก): พัฒนาขึ้นในสมัยรัฐสุลต่านเดลีและจักรวรรดิโมกุล มีลักษณะเด่นคือโดม โค้งแหลม หออะซาน (มินาเร่ต์) และการใช้ลวดลายเรขาคณิตและอักษรอาหรับประดับตกแต่ง ตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดคือ ทัชมาฮาล นอกจากนี้ยังมีป้อมปราการ สุสาน และมัสยิดที่สวยงามอีกมากมาย
- สถาปัตยกรรมซิกข์: มีศูนย์กลางอยู่ที่หริมันทิรสาหิบ (วิหารทองคำ) ในเมืองอมฤตสระ มีลักษณะเด่นคือโดมทองคำ สระน้ำศักดิ์สิทธิ์ และการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมฮินดูและอิสลาม
- สถาปัตยกรรมยุคอาณานิคม: สร้างขึ้นในสมัยบริติชราช มีการผสมผสานระหว่างรูปแบบตะวันตก (เช่น นีโอคลาสสิก กอทิก) กับองค์ประกอบของสถาปัตยกรรมอินเดีย (อินโด-ซาราเซนิก) พบเห็นได้ในอาคารราชการ สถานีรถไฟ และอาคารสาธารณะหลายแห่ง
- สถาปัตยกรรมสมัยใหม่และร่วมสมัย: สถาปนิกอินเดียสมัยใหม่ได้สร้างสรรค์ผลงานที่ผสมผสานระหว่างประเพณีและความทันสมัย โดยคำนึงถึงบริบททางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม
13.2. วรรณกรรม
วรรณกรรมของอินเดียมีความหลากหลายและเก่าแก่ มีรากฐานมาจากประเพณีมุขปาฐะและพัฒนามาเป็นวรรณกรรมลายลักษณ์อักษรที่รุ่มรวย
- วรรณกรรมคลาสสิก:
- วรรณกรรมสันสกฤต: เป็นวรรณกรรมที่เก่าแก่และทรงอิทธิพลที่สุดของอินเดีย รวมถึงคัมภีร์พระเวท (ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท อาถรรพเวท) อุปนิษัท ปุราณะ และมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่สองเรื่องคือ รามายณะ (เรื่องราวของพระราม) และ มหาภารตะ (เรื่องราวของสงครามระหว่างตระกูลเการพและปาณฑพ ซึ่งรวมถึงภควัทคีตา) นอกจากนี้ยังมีบทละครของกาลิทาส (เช่น ศกุนตลา) และกวีนิพนธ์มหาคัมภีร์ (Mahākāvya)
- วรรณกรรมทมิฬสังคัม: เป็นวรรณกรรมคลาสสิกของภาษาทมิฬทางใต้ของอินเดีย (ประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 300) ประกอบด้วยบทกวีเกี่ยวกับความรัก สงคราม และชีวิตประจำวัน
- วรรณกรรมบาลีและปรากฤต: เป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนาและศาสนาเชน รวมถึงพระไตรปิฎกและอรรถกถาต่าง ๆ
- วรรณกรรมในภาษาท้องถิ่นต่าง ๆ : นอกจากวรรณกรรมสันสกฤตและทมิฬแล้ว อินเดียยังมีวรรณกรรมที่รุ่งเรืองในภาษาท้องถิ่นอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ภาษาฮินดี เบงกาลี มราฐี เตลูกู กันนาดา มลยาฬัม อูรดู และปัญจาบ วรรณกรรมเหล่านี้สะท้อนถึงวัฒนธรรมและประเพณีของแต่ละภูมิภาค
- นักเขียนและผลงานสำคัญในวรรณกรรมอินเดียสมัยใหม่: วรรณกรรมอินเดียสมัยใหม่เริ่มพัฒนาขึ้นในศตวรรษที่ 19 ภายใต้อิทธิพลของวรรณกรรมตะวันตกและการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง นักเขียนสำคัญในยุคนี้ได้แก่ รพินทรนาถฐากุร (ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมคนแรกของเอเชีย) เปรมจันท์ อาร์. เค. นารายัณ มุลก์ ราช อานันท์ และซัลมัน รัชดี
- แนวโน้มวรรณกรรมร่วมสมัย: วรรณกรรมอินเดียร่วมสมัยมีความหลากหลายทั้งในด้านรูปแบบ เนื้อหา และภาษา มีนักเขียนรุ่นใหม่ที่สร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงประเด็นทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมที่ซับซ้อนของอินเดียในปัจจุบัน วรรณกรรมอินเดียที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ (Indian English Literature) ก็ได้รับความนิยมและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
13.3. ศิลปะการแสดง

ศิลปะการแสดงของอินเดียมีความหลากหลายและมีชีวิตชีวา สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรมอันยาวนานของประเทศ
- ดนตรี:
- ดนตรีคลาสสิกของอินเดีย: แบ่งออกเป็นสองระบบหลักคือ ดนตรีฮินดูสถาน (Hindustani music) ทางตอนเหนือของอินเดีย และดนตรีการนาฏกะ (Carnatic music) ทางตอนใต้ของอินเดีย ทั้งสองระบบมีรากฐานมาจากคัมภีร์นาฏยศาสตร์และสามเวท มีลักษณะเด่นคือการใช้ราคะ (Raga - โครงสร้างทำนอง) และตาล (Tala - โครงสร้างจังหวะ)
- ดนตรีพื้นบ้าน: อินเดียมีดนตรีพื้นบ้านที่หลากหลายตามแต่ละภูมิภาคและกลุ่มชาติพันธุ์ สะท้อนถึงวิถีชีวิต ประเพณี และความเชื่อท้องถิ่น เช่น เพลงประกอบการเต้นรำ เพลงกล่อมเด็ก เพลงเฉลิมฉลอง และเพลงสวดบูชา
- ดนตรีสมัยนิยม: รวมถึงเพลงจากภาพยนตร์ (Filmi music) ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากทั่วประเทศ และดนตรีป๊อปอินเดีย (Indipop) ที่ผสมผสานระหว่างดนตรีอินเดียและตะวันตก
- นาฏศิลป์:
- นาฏศิลป์ดั้งเดิม (Classical Dance): สังคีตนาฏกอากาเดมี (Sangeet Natak Akademi) ของอินเดียได้รับรองนาฏศิลป์ 8 รูปแบบเป็นนาฏศิลป์คลาสสิก ได้แก่ ภารตนาฏยัม (ทมิฬนาฑู) กถัก (อุตตรประเทศ) กถักกฬิและโมหินียาฏฏัม (เกรละ) กุจีปุรี (อานธรประเทศ) มณีปุรี (มณีปุระ) โอฑิสซี (โอริสสา) และสาตริยา (อัสสัม) นาฏศิลป์เหล่านี้มักมีเนื้อหาเกี่ยวกับเทพปกรณัมฮินดูและมีท่ารำที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อน
- นาฏศิลป์พื้นบ้าน: มีความหลากหลายตามแต่ละภูมิภาค เช่น ภางครา (ปัญจาบ) การ์บา (คุชราต) พิหุ (อัสสัม) และฉาอู (เบงกอลตะวันตก ฌาร์ขัณฑ์ โอริสสา)
- นาฏศิลป์สมัยนิยม: รวมถึงการเต้นรำในภาพยนตร์และมิวสิกวิดีโอ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากทั้งนาฏศิลป์อินเดียและตะวันตก
- การละคร: การละครอินเดียมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ตั้งแต่ละครสันสกฤตโบราณ (เช่น ละครของกาลิทาส) ละครพื้นบ้าน (เช่น ยักษคานะ ชาตรา นวตังกี) ไปจนถึงละครสมัยใหม่และร่วมสมัย ละครอินเดียมักผสมผสานระหว่างการแสดง ดนตรี และการเต้นรำ
13.4. ภาพยนตร์
อุตสาหกรรมภาพยนตร์อินเดีย หรือที่รู้จักกันในชื่อ "บอลลีวูด" (สำหรับภาพยนตร์ภาษาฮินดี) และชื่อเรียกอื่น ๆ ตามภาษาในแต่ละภูมิภาค เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุดในโลก
- ประวัติศาสตร์: ภาพยนตร์อินเดียเริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยมีภาพยนตร์เงียบเรื่องแรกคือ "ราชาหริศจันทร" (Raja Harishchandra) ในปี 1913 ภาพยนตร์เสียงเรื่องแรกคือ "อาลัมอารา" (Alam Ara) ในปี 1931 ยุคทองของภาพยนตร์อินเดียอยู่ในช่วงทศวรรษ 1940-1960
- ลักษณะเฉพาะ: ภาพยนตร์อินเดียมักมีลักษณะเฉพาะคือการผสมผสานระหว่างดนตรี การเต้นรำ และเรื่องราวที่เน้นอารมณ์ความรู้สึก (masala film) เนื้อหามักเกี่ยวกับความรัก ครอบครัว สังคม และศาสนา ภาพยนตร์อินเดียมีหลากหลายประเภท ตั้งแต่ภาพยนตร์โรแมนติก ดราม่า แอ็คชั่น ตลก ไปจนถึงภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์และเทพปกรณัม
- ผลงานสำคัญ: มีภาพยนตร์อินเดียจำนวนมากที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติและได้รับรางวัลในเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ ผู้กำกับและนักแสดงชาวอินเดียหลายคนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก
- อิทธิพลระดับนานาชาติ: ภาพยนตร์อินเดียมีอิทธิพลอย่างมากต่อวัฒนธรรมสมัยนิยมในหลายประเทศ โดยเฉพาะในเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา และในหมู่ชาวอินเดียโพ้นทะเลทั่วโลก
- บอลลีวูด (ภาพยนตร์ภาษาฮินดี): เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมภาพยนตร์อินเดีย ตั้งอยู่ในเมืองมุมไบ ผลิตภาพยนตร์จำนวนมากที่สุดและมีรายได้สูงสุด
- ภาพยนตร์ในภาษาอื่น ๆ: นอกจากภาพยนตร์ภาษาฮินดีแล้ว อินเดียยังมีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่แข็งแกร่งในภาษาอื่น ๆ เช่น ภาษาทมิฬ (Kollywood) ภาษาเตลูกู (Tollywood) ภาษามลยาฬัม ภาษากันนาดา และภาษาเบงกาลี ภาพยนตร์เหล่านี้มีเอกลักษณ์และกลุ่มผู้ชมของตนเอง และบางครั้งก็ประสบความสำเร็จในระดับชาติและนานาชาติเช่นกัน
13.5. อาหาร


อาหารอินเดียมีชื่อเสียงทั่วโลกในด้านรสชาติที่เข้มข้น การใช้เครื่องเทศที่หลากหลาย และความแตกต่างตามแต่ละภูมิภาค
- ประเภทของอาหารอินเดียที่มีชื่อเสียงระดับโลก:
- แกง (Curry): เป็นคำที่ใช้เรียกอาหารประเภทน้ำแกงที่มีเครื่องเทศเป็นส่วนประกอบหลัก มีความหลากหลายมากทั้งในด้านรสชาติ วัตถุดิบ และวิธีการปรุง
- นาน (Naan): เป็นขนมปังแบนที่อบในเตาทันดูร์ (tandoor) นิยมรับประทานกับแกง
- ไก่ทันดูรี (Tandoori Chicken): ไก่หมักเครื่องเทศและโยเกิร์ตแล้วนำไปย่างในเตาทันดูร์
- ข้าวหมก (Biryani): ข้าวหุงกับเครื่องเทศและเนื้อสัตว์หรือผัก
- ซาโมซา (Samosa): ของว่างรูปสามเหลี่ยมทอด สอดไส้มันฝรั่ง ถั่วลันเตา และเครื่องเทศ
- ลัสซี (Lassi): เครื่องดื่มที่ทำจากโยเกิร์ต ปั่นกับน้ำตาลหรือผลไม้
- ลักษณะเฉพาะของอาหารแต่ละภูมิภาค:
- อาหารอินเดียเหนือ: เน้นการใช้ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนยใส (ghee) และโยเกิร์ต มีอาหารประเภทเนื้อสัตว์ค่อนข้างมาก (ยกเว้นเนื้อวัว) นิยมรับประทานขนมปัง (เช่น นาน โรตี จาปาตี) เป็นอาหารหลัก
- อาหารอินเดียใต้: เน้นการใช้ข้าวเป็นอาหารหลัก มะพร้าว และเครื่องเทศรสเผ็ดร้อน มีอาหารมังสวิรัติหลากหลายชนิด นิยมรับประทานกับซัมบาร์ (แกงถั่วเลนทิล) และรัสม (ซุปมะขาม)
- อาหารอินเดียตะวันออก: มีความคล้ายคลึงกับอาหารอินเดียเหนือและอาหารเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เน้นการใช้ปลาและข้าว มีขนมหวานที่ทำจากนมที่มีชื่อเสียง
- อาหารอินเดียตะวันตก: มีความหลากหลายเนื่องจากได้รับอิทธิพลจากหลายวัฒนธรรม อาหารคุชราตมีรสหวานนำและเป็นมังสวิรัติเป็นส่วนใหญ่ อาหารมหาราษฏระมีรสเผ็ดร้อนและใช้มะพร้าวเป็นส่วนประกอบ
- วัฒนธรรมอาหาร: การรับประทานอาหารร่วมกันเป็นครอบครัวมีความสำคัญในวัฒนธรรมอินเดีย อาหารมักเสิร์ฟในถาลิ (thali) ที่มีอาหารหลายชนิดวางรวมกัน การใช้มือกินอาหารเป็นเรื่องปกติในหลายพื้นที่
- การใช้เครื่องเทศหลัก: เครื่องเทศเป็นหัวใจสำคัญของอาหารอินเดีย เครื่องเทศที่ใช้กันทั่วไป ได้แก่ ขมิ้น ยี่หร่า ผักชี พริก กระวานเทศ กานพลู อบเชย ลูกผักชี และขิง
- ความหลากหลายของอาหารมังสวิรัติ: อินเดียมีอาหารมังสวิรัติที่หลากหลายและอร่อยมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เนื่องจากประชากรจำนวนมากเป็นมังสวิรัติด้วยเหตุผลทางศาสนาและวัฒนธรรม
13.6. เครื่องแต่งกาย


เครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมของอินเดียมีความหลากหลายและสวยงาม สะท้อนถึงวัฒนธรรม ประเพณี และสภาพภูมิอากาศของแต่ละภูมิภาค
- ประเภทและวิธีการสวมใส่เครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิม:
- ส่าหรี (Sari): เป็นเครื่องแต่งกายสำหรับสตรีที่รู้จักกันดีที่สุด เป็นผ้าผืนยาวประมาณ 5-9 หลา ที่พันรอบตัวและพาดชายผ้าไว้บนไหล่ วิธีการนุ่งส่าหรีมีความแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค
- โธตี (Dhoti): เป็นเครื่องแต่งกายสำหรับบุรุษ เป็นผ้าผืนยาวที่พันรอบเอวและขาคล้ายกางเกง
- ลุนกี (Lungi): เป็นผ้าโสร่งสำหรับบุรุษ นิยมสวมใส่ในอินเดียใต้และบางส่วนของอินเดียตะวันออก
- ซัลวาร์ กะมีซ (Salwar Kameez): เป็นชุดที่ประกอบด้วยกางเกงขายาว (ซัลวาร์) และเสื้อตัวยาว (กะมีซ) สวมใส่โดยสตรีในอินเดียเหนือและปากีสถาน
- เลเฮนกา โชลี (Lehenga Choli): เป็นชุดที่ประกอบด้วยกระโปรงยาว (เลเฮนกา) และเสื้อสั้น (โชลี) สวมใส่โดยสตรีในงานเทศกาลและงานแต่งงาน
- กุรตะ (Kurta): เป็นเสื้อตัวยาวหลวม ๆ สวมใส่ได้ทั้งบุรุษและสตรี มักสวมคู่กับโธตี ซัลวาร์ หรือปาจามา
- เชอร์วานี (Sherwani): เป็นเสื้อคลุมยาวสำหรับบุรุษ มักสวมใส่ในงานที่เป็นทางการและงานแต่งงาน
- ลักษณะเฉพาะของแต่ละภูมิภาค: เครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมมีความแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค เช่น ส่าหรีของรัฐเบงกอลตะวันตกจะมีลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า "ส่าหรีเบงกาลี" ในขณะที่ทางใต้จะนิยมส่าหรีที่ทำจากผ้าไหม
- ความสำคัญทางวัฒนธรรม: เครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมมีความสำคัญทางวัฒนธรรมและมักเกี่ยวข้องกับประเพณี ศาสนา และสถานะทางสังคม
- การเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตการแต่งกายของชาวอินเดียสมัยใหม่: ในปัจจุบัน ชาวอินเดียจำนวนมากโดยเฉพาะในเขตเมืองนิยมสวมใส่เสื้อผ้าแบบตะวันตกในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมยังคงได้รับความนิยมในงานเทศกาล งานแต่งงาน และโอกาสพิเศษอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีการผสมผสานระหว่างเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมและสมัยใหม่เข้าด้วยกัน (Indo-Western fusion)
13.7. สื่อสารมวลชน
สื่อสารมวลชนในประเทศอินเดียมีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูลข่าวสาร ความบันเทิง และการแสดงความคิดเห็นแก่สาธารณชน มีความหลากหลายและเติบโตอย่างรวดเร็ว
- หนังสือพิมพ์: อินเดียมีตลาดหนังสือพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีหนังสือพิมพ์จำนวนมากทั้งภาษาอังกฤษและภาษาท้องถิ่น หนังสือพิมพ์มีอิทธิพลอย่างมากต่อความคิดเห็นของสาธารณชนและการเมือง
- การกระจายเสียง (วิทยุและโทรทัศน์):
- วิทยุ: ออลอินเดียเรดิโอ (All India Radio - AIR) เป็นสถานีวิทยุของรัฐบาลกลาง นอกจากนี้ยังมีสถานีวิทยุเอกชนจำนวนมากที่ให้บริการในเมืองใหญ่
- โทรทัศน์: ดูร์ดาร์ชาน (Doordarshan) เป็นสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลกลาง มีช่องรายการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมและเคเบิลทีวีจำนวนมากทั้งของรัฐและเอกชน ซึ่งนำเสนอรายการที่หลากหลาย เช่น ข่าว ละคร ภาพยนตร์ รายการบันเทิง และกีฬา
- อินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์: การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์ในอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลายเป็นช่องทางสำคัญในการรับข่าวสาร การแสดงความคิดเห็น และการเชื่อมต่อทางสังคม อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายในด้านการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ชนบทและการจัดการกับข่าวปลอมและข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
สื่อสารมวลชนในอินเดียมีความเป็นอิสระในระดับหนึ่ง แต่ก็เผชิญกับความท้าทายจากแรงกดดันทางการเมืองและผลประโยชน์ทางธุรกิจ การแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมสื่อยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพของเนื้อหาข่าวสาร
13.8. เทศกาลและวันหยุดนักขัตฤกษ์
อินเดียเป็นดินแดนแห่งเทศกาล มีการเฉลิมฉลองเทศกาลทางศาสนาและวัฒนธรรมที่หลากหลายตลอดทั้งปี สะท้อนถึงความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรมของประเทศ
- ทิวาลี (Diwali): หรือเทศกาลแห่งแสงสว่าง เป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของชาวฮินดู เชน และซิกข์ เฉลิมฉลองชัยชนะของความดีเหนือความชั่ว มีการจุดประทีป ประดับไฟ และแลกเปลี่ยนของขวัญ
- โฮลี (Holi): หรือเทศกาลแห่งสีสัน เป็นเทศกาลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ มีการสาดสีและน้ำใส่กันอย่างสนุกสนาน
- อีดิลฟิฏริ (Eid al-Fitr) และ อีดิลอัฎฮา (Eid al-Adha): เป็นเทศกาลสำคัญของชาวมุสลิม อีดิลฟิฏริเป็นการเฉลิมฉลองสิ้นสุดเดือนรอมฎอน (การถือศีลอด) ส่วนอีดิลอัฎฮาเป็นการรำลึกถึงความเสียสละของศาสดาอิบราฮิม
- คริสต์มาส (Christmas): เป็นเทศกาลสำคัญของชาวคริสต์ เฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู
- คุรุ ปูรับ (Guru Purab): เป็นเทศกาลสำคัญของชาวซิกข์ เฉลิมฉลองวันประสูติของคุรุทั้งสิบองค์
- วิสาขบูชา (Buddha Purnima): เป็นเทศกาลสำคัญของชาวพุทธ เฉลิมฉลองวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า
- มหาวีระ ชยันตี (Mahavir Jayanti): เป็นเทศกาลสำคัญของชาวเชน เฉลิมฉลองวันประสูติของพระมหาวีระ
- เทศกาลเก็บเกี่ยว: เช่น โปนกัล (Pongal) ในรัฐทมิฬนาฑู โอนัม (Onam) ในรัฐเกรละ ไพศาขี (Vaisakhi) ในปัญจาบ เป็นการเฉลิมฉลองความอุดมสมบูรณ์และการเก็บเกี่ยวพืชผล
- วันสาธารณรัฐ (Republic Day - 26 มกราคม): เฉลิมฉลองการประกาศใช้รัฐธรรมนูญอินเดีย มีการสวนสนามครั้งใหญ่ในกรุงนิวเดลี
- วันเอกราช (Independence Day - 15 สิงหาคม): เฉลิมฉลองการได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักร
- คานธีชยันตี (Gandhi Jayanti - 2 ตุลาคม): เฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดของมหาตมา คานธี บิดาแห่งชาติอินเดีย
นอกจากนี้ยังมีเทศกาลและวันหยุดนักขัตฤกษ์อื่น ๆ อีกมากมายที่เฉลิมฉลองในระดับภูมิภาคและท้องถิ่น สะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของอินเดีย
13.9. กีฬา

กีฬาในประเทศอินเดียมีความหลากหลายและเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมและสังคม
- คริกเกต: เป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอินเดีย ทีมคริกเกตชาติอินเดียประสบความสำเร็จอย่างสูงในระดับนานาชาติ รวมถึงการชนะการแข่งขันคริกเกตชิงแชมป์โลก ลีกคริกเกตอาชีพในประเทศ อินเดียนพรีเมียร์ลีก (IPL) เป็นหนึ่งในลีกกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก
- ฮอกกี้สนาม: เคยเป็นกีฬาประจำชาติของอินเดีย (แม้ว่าปัจจุบันจะไม่มีกีฬาประจำชาติอย่างเป็นทางการ) ทีมฮอกกี้สนามชายของอินเดียเคยครองความยิ่งใหญ่ในกีฬาโอลิมปิก โดยคว้าเหรียญทองได้หลายสมัย
- ฟุตบอล: ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในบางภูมิภาค เช่น เบงกอลตะวันตก กัว และเกรละ ลีกฟุตบอลอาชีพ อินเดียนซูเปอร์ลีก (ISL) ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง
- กีฬาพื้นเมือง:
- กาบัดดี (Kabaddi): เป็นกีฬาประเภททีมที่ต้องใช้พละกำลังและความคล่องแคล่ว มีต้นกำเนิดในอินเดียโบราณ ลีกกาบัดดีอาชีพ โปรลีกกาบัดดี (Pro Kabaddi League) ได้รับความนิยมอย่างมาก
- โคโค (Kho Kho): เป็นกีฬาประเภททีมอีกชนิดหนึ่งที่คล้ายกับกาบัดดี
- มวยปล้ำ (Pehlwani หรือ Kushti): เป็นกีฬามวยปล้ำแบบดั้งเดิมของอินเดีย
- กีฬาอื่น ๆ: กีฬาอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยมในอินเดีย ได้แก่ แบดมินตัน (อินเดียมีนักแบดมินตันระดับโลกหลายคน) เทนนิส ยิงปืน มวยสากล และกรีฑา
- ผลงานในการแข่งขันระดับนานาชาติ: อินเดียมีส่วนร่วมในการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติที่สำคัญ เช่น โอลิมปิก เอเชียนเกมส์ และกีฬาเครือจักรภพ และประสบความสำเร็จในการคว้าเหรียญรางวัลในหลายชนิดกีฬา
- ความสำคัญของกีฬาในสังคมอินเดีย: กีฬามีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพ ความสามัคคี และความภาคภูมิใจในชาติ นอกจากนี้ยังเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้และโอกาสทางอาชีพจำนวนมาก