1. ภาพรวม

โรแบร์โต เดอ ปิญโญ เดอ ซูซ่า (Robert de Pinho de Souzaโรแบร์โต เดอ ปิญโญ เดอ ซูซ่าPortuguese; เกิด 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524) ซึ่งรู้จักกันในชื่อ โรแบร์โต เป็นอดีตนักฟุตบอลชาวบราซิล ผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้าตลอดอาชีพของเขา เขาเป็นที่รู้จักจากความสามารถในการทำประตูและบทบาทสำคัญในหลายสโมสรทั้งในทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป และทวีปเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เขาประสบความสำเร็จกับคลับ อัตลาส ในเม็กซิโก และพีเอสวี ไอนด์โฮเฟน ในเนเธอร์แลนด์ รวมถึงบทบาทสำคัญในการช่วยให้เรอัล เบติสรอดพ้นจากการตกชั้นในลาลีกา นอกจากนี้ เขายังมีส่วนร่วมในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และยูฟ่าคัพ รวมถึงการเป็นผู้เล่นคนสำคัญของเซ ปัลไมรัสในช่วงปี พ.ศ. 2552-2553 แม้จะเผชิญกับคำวิพากษ์วิจารณ์ในบางช่วงเวลา เขาก็สามารถตอบสนองด้วยผลงานที่โดดเด่นในสนาม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความเป็นมืออาชีพของเขา
2. ชีวิตช่วงต้นและการเริ่มต้นอาชีพ
โรแบร์โตเริ่มต้นเส้นทางอาชีพนักฟุตบอลของเขาในบ้านเกิดที่บราซิล ก่อนจะย้ายไปเล่นในต่างแดนและสร้างชื่อเสียงในลีกต่างๆ
2.1. ชีวิตช่วงต้นและภูมิหลัง
โรแบร์โตเกิดเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524 ที่เมืองซัลวาดอร์ รัฐบาเอีย ประเทศบราซิล เขามีชื่อเต็มว่า โรแบร์โต เดอ ปิญโญ เดอ ซูซ่า และมีชื่อเล่นสั้นๆ ว่า 'โรแบร์โต' ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการฟุตบอล
2.2. การเปิดตัวในอาชีพและสโมสรแรกเริ่ม
โรแบร์โตเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลอาชีพในปี พ.ศ. 2542 กับสโมสรกอริชีบา เอฟซีในประเทศบราซิล ซึ่งเขาลงสนาม 34 นัดและทำได้ 11 ประตู ในปี พ.ศ. 2544 เขาได้ย้ายไปร่วมทีมโบตาโฟโก เอฟซี (รัฐเซาเปาลู) และหลังจากนั้นได้ย้ายไปเล่นในสวิตเซอร์แลนด์กับสโมสรแซร์เวตต์ เอฟซีในช่วงปี พ.ศ. 2544-2545 โดยลงเล่น 19 นัด ยิง 8 ประตู ต่อมาในปี พ.ศ. 2545-2546 เขากลับมายังบราซิลเพื่อร่วมทีมอาเด ซาวไคตาโน และในปี พ.ศ. 2546 เขาถูกยืมตัวไปเล่นให้กับสปาร์ตัก มอสโกในรัสเซียเป็นระยะเวลาสั้นๆ โดยลงสนาม 12 นัดและยิงได้ 3 ประตู
3. สโมสรในยุโรปและเม็กซิโกที่สำคัญ
หลังจากเริ่มต้นอาชีพในบราซิลและสวิตเซอร์แลนด์ โรแบร์โตได้สร้างผลงานอันโดดเด่นในสโมสรสำคัญหลายแห่งทั่วยุโรปและเม็กซิโก
3.1. เอฟซี สปาร์ตัก มอสโก และ คลับ อัตลาส
หลังจากการยืมตัวไปสปาร์ตัก มอสโกในรัสเซียซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่นานนัก โรแบร์โตได้กลับสู่ทวีปอเมริกาและเซ็นสัญญากับคลับ อัตลาสในเม็กซิโกในปี พ.ศ. 2547 เขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาลแรกกับอัตลาส โดยยิงได้ 16 ประตูจากการลงสนาม 21 นัดใน กลาอูซูรา (Clausura) 2004 และยังคงรักษาฟอร์มการเล่นได้ดีใน อาเปอร์ตูรา (Apertura) 2004 โดยเป็นผู้นำทีมเข้าสู่รอบรองชนะเลิศของลิกีญา (Liguilla) ก่อนจะถูกอูนัม ปูมัส (UNAM Pumas) เขี่ยตกรอบ
3.2. พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2548 โรแบร์โตย้ายจากคลับ อัตลาสไปร่วมทีมพีเอสวี ไอนด์โฮเฟนในเนเธอร์แลนด์ด้วยค่าตัวประมาณ 2.00 M GBP ในช่วงเวลาที่เขาอยู่กับพีเอสวี เขาลงเล่นในลีกไป 32 นัดและทำได้ 7 ประตู นอกจากนี้ เขายังมีบทบาทสำคัญในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรอบก่อนรองชนะเลิศกับออแล็งปิก ลียอแน (Olympique Lyonnais) ซึ่งเขายิงลูกโทษตัดสินที่ส่งทีมเข้าสู่รอบรองชนะเลิศพบกับเอซี มิลาน แม้ว่าจะไม่ค่อยมีโอกาสสร้างความประทับใจมากนักในเกมแชมเปียนส์ลีก แต่เขาก็แสดงฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในนัดที่สองกับทีมยักษ์ใหญ่จากอิตาลีที่ฟิลิปส์ สตาดิโอน (Philips Stadion) ซึ่งพีเอสวีชนะไป 3-1 แต่ตกรอบด้วยกฎประตูทีมเยือน ในเกมนั้น เขามีโอกาสทำประตูจากลูกยิงไกลที่เฉียดเสาประตูฝั่งซ้ายของมิลานไปอย่างน่าเสียดาย
3.3. เรอัล เบติส
ในช่วงตลาดซื้อขายเดือนมกราคม พ.ศ. 2549 โรแบร์โตถูกพีเอสวี ไอนด์โฮเฟนปล่อยให้เรอัล เบติสในสเปนยืมตัวเป็นเวลา 1 ปีครึ่ง ด้วยค่าธรรมเนียม 1.00 M EUR การมาของเขาเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เบติสสามารถรอดพ้นจากการตกชั้นได้สำเร็จ โดยเขายิงได้ 7 ประตูในลาลีกา ซึ่งรวมถึง 2 ประตูในชัยชนะ 2-1 เหนือบิยาร์เรอัล ซีเอฟ ที่สนามเอล มาดริกัล (Estadio El Madrigal) และลูกโทษที่ช่วยให้ทีมชนะ 2-1 เหนือคู่แข่งตลอดกาลอย่างเซบิยา เอฟซี ที่สนามมานูเอล รูอิซ เด โลเปรา (Manuel Ruiz de Lopera) นอกจากนี้ โรแบร์โตยังยิงได้ 1 ประตูในยูฟ่าคัพกับอาแซด อัลค์มาร์ ด้วยอาการบาดเจ็บของเพื่อนร่วมชาติและเพื่อนร่วมทีมอย่างริการ์ดู ออลีเวย์รา ทำให้ความสำคัญของโรแบร์โตต่อเบติสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเขาก็จบฤดูกาลในฐานะผู้ทำประตูสูงสุดของสโมสร อย่างไรก็ตาม ฤดูกาลที่สองของเขาทำผลงานได้ไม่ดีนัก (แม้จะยังคงทำได้ 9 ประตูจากการลงสนาม 29 นัด) และในที่สุดเขาก็ออกจากเรอัล เบติสในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2550 แม้ว่าเบติสจะใช้สิทธิ์ซื้อขาดโรแบร์โตจากพีเอสวีในราคา 3.25 M EUR เมื่อวันที่ 4 เมษายน (มีผลในวันที่ 1 กรกฎาคม) แต่โรแบร์โตปฏิเสธที่จะเซ็นสัญญา ทำให้การย้ายทีมล้มเหลว เขาจึงย้ายไปร่วมทีมอัล-อิติฮัด (เจดดาห์)ในฐานะผู้เล่นอิสระ ศาลอนุญาโตตุลาการกีฬา (CAS) ได้ตัดสินว่าแม้การย้ายทีมจะล้มเหลว แต่เรอัล เบติสยังคงต้องจ่ายเงินชดเชยจำนวน 1.56 M EUR ให้แก่พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของสัญญาและสิทธิ์ของนักฟุตบอลในวงการฟุตบอลอาชีพ
4. กลับสู่ทวีปอเมริกาและเอเชีย
หลังจากประสบความสำเร็จในลีกยุโรป โรแบร์โตได้กลับมาเล่นในทวีปอเมริกาอีกครั้ง และยังขยายเส้นทางอาชีพไปในลีกเอเชียด้วย
4.1. อาชีพค้าแข้งในสโมสรเม็กซิโก (ช่วงที่สอง)
ในวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2550 โรแบร์โตได้เซ็นสัญญากับทีมอัล-อิติฮัด (เจดดาห์)ในซาอุดีอาระเบีย และในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2550 สื่อเม็กซิกันได้ประกาศการย้ายตัวของโรแบร์โตไปยังสโมสรซีเอฟ มอนเตร์เรย์ในเม็กซิโก ซึ่งเขาได้จับคู่ในแนวรุกกับกองหน้าชาวชิลีอย่างอุมเบร์โต ซัวโซ (Humberto Suazo) ในช่วงที่เขาเล่นให้กับเตโคส ยูเอจี (Tecos UAG) เขาก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง โดยจบฤดูกาลด้วย 5 ประตู เตโคสถูกคัดออกในรอบก่อนรองชนะเลิศ และโรแบร์โตได้ย้ายไปยังคลับ อาเมริกา (Club America) ต่อมาในวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554 มีการประกาศว่าโรแบร์โตได้เซ็นสัญญากับปวยบลา เอฟซี (Puebla Fútbol Club) ซึ่งเป็นข่าวที่เผยแพร่ในงาน "2011 ซูเปอร์ ซัมเมอร์ ดราฟต์" ที่กังกุน (Cancun) และในปี พ.ศ. 2556 เขากลับไปเล่นในเม็กซิโกอีกครั้งกับคลับ เนคากซา โดยลงสนาม 12 นัดและยิงได้ถึง 11 ประตู
4.2. อาชีพค้าแข้งในสโมสรบราซิล
ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2552 โรแบร์โตเข้าร่วมทีมเซ ปัลไมรัส (Sociedade Esportiva Palmeiras) และในฤดูกาล 2009 ของกังเปโอนาตู บราซีเลย์รู แซรีอา (Campeonato Brasileiro Série A) เขายิงได้ 5 ประตูจากการลงสนาม 12 นัด โดยทั้งหมดเป็นการลงสนามในฐานะตัวสำรอง ในปี พ.ศ. 2552 เขามีบทบาทที่ดีในฐานะตัวสำรองในลีก กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีม ในปี พ.ศ. 2553 โรแบร์โตยังคงอยู่กับเซ ปัลไมรัสและกลายเป็นกองหน้าตัวหลักของทีม ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เขาทำสองประตูจากลูกโหม่งในเกมกับคู่แข่งร่วมรัฐเซาเปาลู เอฟซี (São Paulo FC) ซึ่งปัลไมรัสชนะไป 2-0 ถือเป็นการทำผลงานที่ยอดเยี่ยมหลังจากที่เขาเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ในช่วงต้นกังเปโอนาตู เปาลิสตา (Campeonato Paulista) ซึ่งเขายิงได้ 5 ประตูแล้วในตอนนั้น วันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553 โรแบร์โตทำแฮตทริกแบบสมบูรณ์แบบ (Perfect Hat-trick) ในเกมกับซานโตส เอฟซี (Santos FC) และปัลไมรัสชนะไป 4-3 เกมนี้เป็นที่จดจำด้วยการฉลองประตูในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ณ สิ้นสุดเกมนี้ โรแบร์โตเป็นที่รู้จักในฉายา "เบลด ดู ปาเลสตรา" (Blade do Palestra) เนื่องมาจากความคล้ายคลึงกับนักแสดงเวสลีย์ สไนปส์ ผู้รับบทเป็นตัวละครเบลด (ตัวละคร) ในภาพยนตร์ไตรภาคชุดนั้น วันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ครูเซย์โร อีซี (Cruzeiro Esporte Clube) ได้เซ็นสัญญากับกองหน้าของเซ ปัลไมรัส แต่เขามาในรูปแบบการยืมตัว 6 เดือนจากซีเอฟ มอนเตร์เรย์ นอกจากนี้ โรแบร์โตยังได้เล่นให้กับสโมสรอื่นๆ ในบราซิลอีกมากมาย ได้แก่ อีซี บาเอีย (EC Bahia) ในปี พ.ศ. 2554, อาวาย เอฟซี (Avai FC) ในปี พ.ศ. 2554, เซอารา เอสซี (Ceará SC) ในปี พ.ศ. 2555, บัว อีซี (Boa EC) ในปี พ.ศ. 2556, ฟอร์ตาเลซา อีซี (Fortaleza EC) ในปี พ.ศ. 2556-2557, ซามไปโย คอร์เรีย เอฟซี (Sampaio Corrêa FC) ในปี พ.ศ. 2557, อีซี วิตอเรีย (EC Vitória) ในปี พ.ศ. 2558, ปารานา คลับ (Paraná Clube) ในปี พ.ศ. 2559, โอเอสเต้ เอฟซี (Oeste FC) ในปี พ.ศ. 2560, เกรมิโอ โอซาสโก ออดักซ์ (Grêmio Osasco Audax) ในปี พ.ศ. 2561, ซานตาครูซ เอฟซี (Santa Cruz FC) ในปี พ.ศ. 2561, โปรตุเกซา (Portuguesa) ในปี พ.ศ. 2561 และฟลอเรสตา อีซี (Floresta EC) ในปี พ.ศ. 2561
4.3. อาชีพค้าแข้งในสโมสรเอเชีย
นอกจากการเล่นในบราซิลและเม็กซิโกแล้ว โรแบร์โตยังมีประสบการณ์ค้าแข้งในทวีปเอเชียด้วย โดยในปี พ.ศ. 2546 เขาได้เข้าร่วมทีมคาวาซากิ ฟรอนตาเลในเจลีกของญี่ปุ่นในเดือนกรกฎาคม โดยถูกคาดหวังให้เป็นตัวหลักในการเลื่อนชั้นสู่เจลีก 1 ในช่วงที่เขาอยู่กับทีม เขาลงสนามในเจลีก 2 ไป 16 นัดและทำได้ 6 ประตู อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่สามารถทำผลงานได้ตามความคาดหวัง และได้แยกทางกับสโมสรเมื่อสิ้นสุดปี พ.ศ. 2546 ต่อมาในวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554 โรแบร์โตได้ย้ายไปร่วมทีมเจจู ยูไนเต็ด เอฟซี (Jeju United FC) ในเคลีกของเกาหลีใต้ ซึ่งเขาลงสนาม 13 นัดและทำได้ 3 ประตู นอกจากนี้ เขายังเคยเล่นให้กับอัล-อิติฮัด (เจดดาห์)ในซาอุดีอาระเบียในปี พ.ศ. 2550
5. อาชีพระหว่างประเทศ
โรแบร์โตมีโอกาสได้เป็นตัวแทนของบราซิลในระดับทีมชาติเยาวชน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเขาตั้งแต่ช่วงต้นอาชีพ
5.1. ทีมชาติระดับเยาวชน
โรแบร์โตถูกเรียกตัวติดทีมชาติบราซิลในระดับเยาวชน โดยเขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติบราซิลรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี ที่เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกเยาวชนอายุไม่เกิน 20 ปี 2001 รวมถึงมีประสบการณ์กับทีมชาติบราซิลรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเขาในฐานะนักฟุตบอลดาวรุ่ง
6. รูปแบบการเล่นและฉายา
โรแบร์โตเป็นที่รู้จักจากรูปแบบการเล่นในตำแหน่งกองหน้าที่มีประสิทธิภาพ และได้รับฉายาที่น่าสนใจซึ่งสะท้อนถึงบุคลิกภาพของเขา
6.1. รูปแบบการเล่นและฉายา
โรแบร์โตเล่นในตำแหน่งกองหน้า เขามีความสามารถในการทำประตูที่หลากหลาย ทั้งการใช้ลูกโหม่งและการยิงประตูที่เด็ดขาด นอกจากนี้ เขายังเป็นที่รู้จักจากการทำแฮตทริกแบบสมบูรณ์แบบได้ ในช่วงที่เขาเล่นให้กับเซ ปัลไมรัส โรแบร์โตได้รับฉายาว่า "เบลด ดู ปาเลสตรา" (Blade do Palestra) ซึ่งเกิดจากความคล้ายคลึงกับนักแสดงเวสลีย์ สไนปส์ ผู้รับบทเป็นตัวละครเบลด (ตัวละคร) ในภาพยนตร์ไตรภาคชุดนั้น ฉายานี้สะท้อนถึงภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งและเด็ดขาดของเขาในสนาม
7. สถิติอาชีพ
สถิติการเล่นของโรแบร์โตแสดงให้เห็นถึงความสม่ำเสมอและจำนวนการลงสนามที่มากมายตลอดอาชีพค้าแข้งของเขา
7.1. ผลงานสโมสร
สโมสร | ประเทศ | ปี | ลงสนาม | ทำประตู |
---|---|---|---|---|
กอริชีบา เอฟซี | บราซิล | 1999-2000 | 34 | 11 |
โบตาโฟโก เอฟซี (รัฐเซาเปาลู) | บราซิล | 2001 | 7 | 7 |
แซร์เวตต์ เอฟซี | สวิตเซอร์แลนด์ | 2001-2002 | 19 | 8 |
อาเด ซาวไคตาโน | บราซิล | 2002-2003 | 12 | 3 |
สปาร์ตัก มอสโก | รัสเซีย | 2003 | 12 | 3 |
คาวาซากิ ฟรอนตาเล | ญี่ปุ่น | 2003 | 16 | 6 |
คลับ อัตลาส | เม็กซิโก | 2004 | 44 | 33 |
พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน | เนเธอร์แลนด์ | 2005 | 15 | 7 |
เรอัล เบติส | สเปน | 2006-2007 | 81 | 21 |
อัล-อิติฮัด (เจดดาห์) | ซาอุดีอาระเบีย | 2007 | 19 | 9 |
ซีเอฟ มอนเตร์เรย์ | เม็กซิโก | 2008 | 16 | 12 |
เตโคส ยูเอจี | เม็กซิโก | 2008 | 19 | 5 |
คลับ อาเมริกา | เม็กซิโก | 2009 | 17 | 4 |
เซ ปัลไมรัส | บราซิล | 2009-2010 | 35 | 19 |
ครูเซย์โร อีซี | บราซิล | 2010 | 14 | 3 |
อีซี บาเอีย | บราซิล | 2011 | 12 | 4 |
ปวยบลา เอฟซี | เม็กซิโก | 2011 | 3 | 4 |
อาวาย เอฟซี | บราซิล | 2011 | ข้อมูลไม่ระบุ | ข้อมูลไม่ระบุ |
เจจู ยูไนเต็ด เอฟซี | เกาหลีใต้ | 2012 | 13 | 3 |
เซอารา เอสซี | บราซิล | 2012 | 16 | 5 |
คลับ เนคากซา | เม็กซิโก | 2013 | 12 | 11 |
บัว อีซี | บราซิล | 2013 | 3 | 2 |
ฟอร์ตาเลซา อีซี | บราซิล | 2013-2014 | 22 | 10 |
ซามไปโย คอร์เรีย เอฟซี | บราซิล | 2014 | 8 | 1 |
อีซี วิตอเรีย | บราซิล | 2015 | 11 | 2 |
ปารานา คลับ | บราซิล | 2016 | 10 | 3 |
กซีรา ยูไนเต็ด เอฟซี | มอลตา | 2016 | 6 | 1 |
โอเอสเต้ เอฟซี | บราซิล | 2017 | 26 | 6 |
เกรมิโอ โอซาสโก ออดักซ์ | บราซิล | 2018 | 13 | 2 |
ซานตาครูซ เอฟซี | บราซิล | 2018 | 6 | 6 |
โปรตุเกซา | บราซิล | 2018 | 6 | 1 |
ฟลอเรสตา อีซี | บราซิล | 2018 | ข้อมูลไม่ระบุ | ข้อมูลไม่ระบุ |
รวม | 527 | 212 |
8. มรดกและการประเมิน
ตลอดอาชีพค้าแข้งของโรแบร์โต เขาได้รับทั้งคำชื่นชมและคำวิจารณ์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเส้นทางที่เต็มไปด้วยความท้าทายและความสำเร็จ
8.1. มรดกและการประเมิน
ในช่วงเวลาที่โรแบร์โตเล่นให้กับเซ ปัลไมรัส เขามีบทบาทสำคัญในฐานะผู้เล่นสำรองและกลายเป็นกองหน้าตัวหลักของทีมในปี พ.ศ. 2553 ซึ่งเป็นช่วงที่เขาทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ การทำสองประตูจากลูกโหม่งในเกมสำคัญกับเซาเปาลู เอฟซี และการทำแฮตทริกแบบสมบูรณ์แบบกับซานโตส เอฟซี แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำประตูที่โดดเด่นและเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถของเขาในการตอบสนองต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ด้วยผลงานในสนาม นอกจากนี้ บทบาทของเขาในการช่วยให้เรอัล เบติสรอดพ้นจากการตกชั้นและการเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของสโมสรก็เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ถึงคุณค่าที่เขานำมาสู่ทีม แม้ว่าอาชีพของเขาจะมีการย้ายสโมสรบ่อยครั้งและต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ เช่น ข้อพิพาทเรื่องการย้ายทีม แต่เขาก็ทิ้งมรดกไว้ในฐานะกองหน้าผู้มากประสบการณ์ที่สามารถปรับตัวและสร้างผลงานได้ในหลากหลายลีกและวัฒนธรรมฟุตบอล