1. ภาพรวม
ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในภูมิภาคตะวันออกกลางและโลกมุสลิม ตั้งอยู่บนพื้นที่ส่วนใหญ่ของคาบสมุทรอาหรับ มีประวัติศาสตร์ยาวนานย้อนไปถึงอารยธรรมโบราณและการถือกำเนิดของศาสนาอิสลาม การรวมชาติซาอุดีอาระเบียสมัยใหม่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1932 โดยราชวงศ์ซะอูด ซึ่งยังคงปกครองประเทศในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศนี้เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาน้ำมันได้นำไปสู่ความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความจำเป็นในการกระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจภายใต้แผน "ซาอุดีวิชั่น 2030" ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอย่างกว้างขวาง รวมถึงการส่งเสริมสิทธิสตรีและการเปิดเสรีทางสังคมบางประการ
ในทางการเมือง ซาอุดีอาระเบียยังคงเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชที่อำนาจรวมศูนย์อยู่ที่กษัตริย์และราชวงศ์ซะอูด โดยมีศาสนาอิสลามนิกายวะฮาบีย์เป็นอุดมการณ์หลักของรัฐ แม้จะมีการปฏิรูปบางอย่าง เช่น การจัดตั้งสภาที่ปรึกษาและการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น แต่การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนยังคงมีจำกัด สถานการณ์สิทธิมนุษยชนยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเสรีภาพในการแสดงออก สิทธิสตรี (แม้จะมีการพัฒนาบ้าง) และการปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยทางศาสนาและแรงงานข้ามชาติ ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซาอุดีอาระเบียมีบทบาทสำคัญในองค์กรระหว่างประเทศ เช่น โอเปกและสภาความร่วมมืออ่าว และมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับมหาอำนาจและประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความตึงเครียดกับอิหร่านและการแทรกแซงในสงครามเยเมนซึ่งส่งผลกระทบด้านมนุษยธรรมอย่างรุนแรง การปฏิรูปภายใต้ "ซาอุดีวิชั่น 2030" กำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ แต่ความท้าทายในด้านการสร้างความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์นิยมทางศาสนา การเปิดเสรีทางสังคม และการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยอย่างแท้จริงยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม
2. ชื่อประเทศ
ชื่อประเทศซาอุดีอาระเบียในภาษาอาหรับคือ ٱلْمَمْلَكَة ٱلْعَرَبِيَّة ٱلسُّعُوْدِيَّةอัลมัมละกะฮ์ อัลอะเราะบียะฮ์ อัสซุอูดียะฮ์ภาษาอาหรับ ซึ่งแปลตามตัวอักษรได้ว่า "ราชอาณาจักรอาหรับของราชวงศ์ซะอูด" ชื่อนี้ได้รับการประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1932 ภายหลังการรวมแคว้นฮิญาซและนัจญด์เข้าด้วยกันโดยสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลอะซีซ อิบน์ ซะอูด ผู้ก่อตั้งรัฐซาอุดีอาระเบียสมัยใหม่
คำว่า "ซาอุดี" (Saudiซาอุดีภาษาอังกฤษ) มาจากคำว่า "อัสซุอูดียะฮ์" (ٱلسُّعُوْدِيَّةอัสซุอูดียะฮ์ภาษาอาหรับ) ซึ่งเป็นคำคุณศัพท์ที่เรียกว่า นิสบะฮ์ (نسبةนิสบะฮ์ภาษาอาหรับ) ในภาษาอาหรับ เกิดจากการนำชื่อราชวงศ์ผู้ปกครองคือ ราชวงศ์ซะอูด (آل سعودอาล ซุอูดภาษาอาหรับ) มาผัน การใช้ชื่อราชวงศ์ในชื่อประเทศเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าประเทศนี้ถือเป็นสมบัติส่วนพระองค์ของราชวงศ์ซะอูด คำว่า "อาล ซุอูด" นั้นเกิดจากการเติมคำว่า "อาล" (آلอาลภาษาอาหรับ) ซึ่งมีความหมายว่า "ตระกูลของ..." หรือ "ราชวงศ์ของ..." เข้าไปหน้าพระนามของบรรพบุรุษ ในกรณีนี้คือ ซะอูด อิบน์ มุฮัมมัด อิบน์ มุกริน (سعود بن محمد بن مقرنซะอูด อิบน์ มุฮัมมัด อิบน์ มุกรินภาษาอาหรับ) ซึ่งเป็นพระราชบิดาของมุฮัมมัด อิบน์ ซะอูด (محمد بن سعودมุฮัมมัด อิบน์ ซะอูดภาษาอาหรับ) ผู้ก่อตั้งรัฐซาอุดีที่หนึ่งในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ดังนั้น ชื่อประเทศ "ซาอุดีอาระเบีย" จึงมีความหมายถึง "ดินแดนอาหรับที่เป็นของราชวงศ์ซะอูด"
3. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของซาอุดีอาระเบียครอบคลุมช่วงเวลาอันยาวนาน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในคาบสมุทรอาหรับ การรุ่งเรืองของอารยธรรมโบราณ การกำเนิดของศาสนาอิสลามและการขยายตัวของรัฐเคาะลีฟะฮ์ การปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน จนถึงการก่อตั้งรัฐซาอุดีสมัยใหม่โดยราชวงศ์ซะอูด และเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 และ 21 ที่หล่อหลอมให้ซาอุดีอาระเบียเป็นดังเช่นปัจจุบัน

3.1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์และยุคโบราณ
มีหลักฐานว่ามีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในคาบสมุทรอาหรับย้อนหลังไปได้ถึงประมาณ 125,000 ปีที่แล้ว การศึกษาในปี 2011 พบว่ามนุษย์สมัยใหม่กลุ่มแรกที่แพร่กระจายไปทางตะวันออกทั่วเอเชียได้ออกจากแอฟริกาเมื่อประมาณ 75,000 ปีที่แล้ว ผ่านช่องแคบบาบเอลมันเดบซึ่งเชื่อมต่อระหว่างจะงอยแอฟริกาและอาระเบีย คาบสมุทรอาหรับถือเป็นศูนย์กลางในการทำความเข้าใจวิวัฒนาการและการแพร่กระจายของมนุษยชาติ อาระเบียมีการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงในยุคควอเทอร์นารี ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางวิวัฒนาการและประชากรศาสตร์อย่างลึกซึ้ง อาระเบียมีบันทึกทางโบราณคดีที่สมบูรณ์ในยุคหินเก่าตอนต้น และจำนวนแหล่งโบราณคดีคล้ายวัฒนธรรมโอลโดวานในภูมิภาคนี้บ่งชี้ถึงบทบาทสำคัญที่อาระเบียมีในการตั้งถิ่นฐานของโฮมินินยุคแรกในยูเรเชีย
ในยุคหินใหม่ วัฒนธรรมที่โดดเด่นเช่น อัลมะกัร ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ในบริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของนัจญด์ในปัจจุบัน ได้เจริญรุ่งเรือง อัลมะกัรอาจถือได้ว่าเป็น "การปฏิวัติยุคหินใหม่" ในด้านความรู้และทักษะหัตถกรรมของมนุษย์ วัฒนธรรมนี้มีลักษณะเด่นคือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมแรก ๆ ของโลกที่มีการเลี้ยงสัตว์อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะม้า ในเดือนพฤศจิกายน 2017 มีการค้นพบภาพสลักหินที่ชูวัยมิส ทางตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบีย แสดงภาพการล่าสัตว์ที่มีสุนัข (คล้ายสุนัขคานาอัน) สวมปลอกคอ ภาพสลักเหล่านี้มีอายุมากกว่า 8,000 ปี ทำให้เป็นภาพสุนัขที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
เมื่อสิ้นสุดสหัสวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล อาระเบียเข้าสู่ยุคสัมฤทธิ์ มีการใช้โลหะอย่างแพร่หลาย และยุคนี้มีลักษณะเด่นคือหลุมฝังศพสูง 2 m ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการมีอยู่ของวัดจำนวนมากที่มีประติมากรรมตั้งอยู่อย่างอิสระหลายชิ้นซึ่งเดิมทาสีแดง ในเดือนพฤษภาคม 2021 นักโบราณคดีประกาศว่าแหล่งโบราณคดีอะเชอเลียนอายุ 350,000 ปีชื่อ อันนะซีม ในแคว้นฮาอิล อาจเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดทางตอนเหนือของซาอุดีอาระเบีย มีการค้นพบโบราณวัตถุ 354 ชิ้น รวมถึงขวานหินและเครื่องมือหิน ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเพณีการทำเครื่องมือของมนุษย์ยุคแรกสุดที่อาศัยอยู่ในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้
วัฒนธรรมการตั้งถิ่นฐานที่เก่าแก่ที่สุดในซาอุดีอาระเบียย้อนไปถึงยุคอุบัยด์ที่โดซารียะฮ์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเริ่มมีสภาพแห้งแล้งอาจทำให้สิ้นสุดระยะการตั้งถิ่นฐานนี้ เนื่องจากมีหลักฐานทางโบราณคดีน้อยมากจากสหัสวรรษต่อมา การตั้งถิ่นฐานในภูมิภาคนี้เริ่มขึ้นอีกครั้งในสมัยดิลมุนเมื่อต้นสหัสวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล บันทึกจากอูรุกกล่าวถึงสถานที่ชื่อดิลมุน ซึ่งหลายครั้งเกี่ยวข้องกับทองแดง และในสมัยต่อมาเป็นแหล่งไม้ที่นำเข้ามาในเมโสโปเตเมียตอนใต้ นักวิชาการเสนอว่าดิลมุนเดิมทีหมายถึงจังหวัดทางตะวันออกของซาอุดีอาระเบีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื่อมโยงกับแหล่งตั้งถิ่นฐานสำคัญของดิลมุนคือ อุมม์ อันนุสซี และอุมม์ อัรรอมัฎในแผ่นดิน และตารูตบนชายฝั่ง เป็นไปได้ว่าเกาะตารูตเป็นท่าเรือหลักและเมืองหลวงของดิลมุน แผ่นจารึกดินเผาของเมโสโปเตเมียชี้ให้เห็นว่าในยุคแรกของดิลมุน มีโครงสร้างทางการเมืองแบบลำดับชั้น ในปี 1966 การขุดค้นที่ตารูตได้ค้นพบสุสานโบราณซึ่งมีรูปปั้นขนาดใหญ่ย้อนไปถึงสมัยดิลมุน (กลางสหัสวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล) รูปปั้นนี้สร้างขึ้นในท้องถิ่นภายใต้อิทธิพลอย่างมากของเมโสโปเตเมียต่อหลักการทางศิลปะของดิลมุน
ภายในปี 2200 ก่อนคริสตกาล ศูนย์กลางของดิลมุนได้ย้ายจากตารูตและแผ่นดินใหญ่ของซาอุดีอาระเบียไปยังเกาะบาห์เรนด้วยเหตุผลที่ไม่ทราบแน่ชัด และมีการตั้งถิ่นฐานที่พัฒนาอย่างสูงที่นั่น ซึ่งมีการค้นพบหมู่วิหารที่สร้างอย่างประณีตและเนินฝังศพหลายพันแห่งที่มีอายุย้อนไปถึงยุคนี้
ในช่วงปลายยุคสัมฤทธิ์ ผู้คนและดินแดนที่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ (มีเดียนและชาวมีเดียน) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบียได้รับการบันทึกไว้อย่างดีในคัมภีร์ไบเบิล โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ตะบูก และทอดยาวจากวาดีอะเราะบะฮ์ทางตอนเหนือไปจนถึงบริเวณอัลวัจฮ์ทางตอนใต้ เมืองหลวงของมีเดียนคือ กูรัยยะฮ์ ประกอบด้วยป้อมปราการขนาดใหญ่ที่มีกำแพงล้อมรอบ ครอบคลุมพื้นที่ 35 ha และด้านล่างเป็นที่ตั้งถิ่นฐานที่มีกำแพงล้อมรอบอีก 15 ha เมืองนี้มีประชากรมากถึง 12,000 คน คัมภีร์ไบเบิลเล่าถึงสงครามสองครั้งของอิสราเอลกับมีเดียน ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 11 ก่อนคริสตกาล ทางการเมือง ชาวมีเดียนถูกอธิบายว่ามีโครงสร้างแบบกระจายอำนาจ นำโดยกษัตริย์ห้าองค์ (เอวี, เรเคม, ซูร์, ฮูร์ และเรบา) ซึ่งชื่อเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นชื่อสถานที่ตั้งถิ่นฐานสำคัญของชาวมีเดียน เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่ามีเดียนหมายถึงสมาพันธรัฐของชนเผ่าต่าง ๆ โดยส่วนที่ตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ในฮิญาซ ขณะที่กลุ่มชนเร่ร่อนในเครือจะต้อนปศุสัตว์และบางครั้งก็ปล้นสะดมไปไกลถึงปาเลสไตน์ ชาวมีเดียนเร่ร่อนเป็นหนึ่งในกลุ่มแรก ๆ ที่ใช้ประโยชน์จากการเลี้ยงอูฐ ทำให้พวกเขาสามารถเดินทางผ่านภูมิประเทศที่ทุรกันดารของภูมิภาคได้
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล อาณาจักรใหม่ได้ปรากฏขึ้นทางตะวันตกเฉียงเหนือของอาระเบีย เริ่มต้นจากการเป็นรัฐเล็ก ๆ ของเดดาน ซึ่งพัฒนามาเป็นอาณาจักรลิห์ยาน ในช่วงเวลานี้ เดดานได้กลายเป็นอาณาจักรที่ครอบคลุมอาณาเขตที่กว้างขวางกว่าเดิมมาก ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล ด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คึกคักระหว่างภาคใต้และภาคเหนือ ลิห์ยานจึงได้รับอิทธิพลอย่างมาก ซึ่งสอดคล้องกับตำแหน่งทางยุทธศาสตร์บนเส้นทางการค้าคาราวาน ชาวลิห์ยานปกครองอาณาเขตอันกว้างใหญ่จากยัษริบ (มะดีนะฮ์) ทางตอนใต้ และบางส่วนของเลแวนต์ทางตอนเหนือ ในสมัยโบราณ อ่าวอะเกาะบะฮ์เคยถูกเรียกว่าอ่าวลิห์ยาน ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงอิทธิพลอันกว้างขวางที่ลิห์ยานได้รับ
ชาวลิห์ยานตกอยู่ภายใต้การปกครองของนะบะฏียะฮ์ประมาณปี 65 ก่อนคริสตกาล เมื่อพวกเขายึดครองเฮกรา จากนั้นจึงเดินทัพไปยังตัยมาอ์ และไปยังเมืองหลวงเดดานในปี 9 ก่อนคริสตกาล ชาวนะบะฏียะฮ์ปกครองพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของอาระเบียจนกระทั่งอาณาเขตของพวกเขาถูกผนวกเข้ากับจักรวรรดิโรมัน ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นอาระเบียเพทราเอีย และยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของโรมันจนถึงปี ค.ศ. 630
3.2. การรุ่งอรุณของศาสนาอิสลามและยุคกลาง

ไม่นานก่อนการมาถึงของศาสนาอิสลาม นอกเหนือจากชุมชนการค้าในเมือง (เช่น มักกะฮ์และมะดีนะฮ์) พื้นที่ส่วนใหญ่ที่จะกลายเป็นซาอุดีอาระเบียในปัจจุบันนั้นเต็มไปด้วยสังคมชนเผ่าเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน ศาสดามุฮัมมัดแห่งศาสนาอิสลามประสูติที่มักกะฮ์ประมาณปี ค.ศ. 570 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 7 มุฮัมมัดได้รวบรวมชนเผ่าต่าง ๆ ในคาบสมุทรและสร้างรัฐศาสนาอิสลามที่เป็นหนึ่งเดียว หลังจากการอสัญกรรมของท่านในปี ค.ศ. 632 สาวกของท่านได้ขยายอาณาเขตภายใต้การปกครองของมุสลิมออกไปนอกอาระเบีย โดยพิชิตดินแดนจากคาบสมุทรไอบีเรียทางตะวันตกไปจนถึงบางส่วนของเอเชียกลางและเอเชียใต้ทางตะวันออกภายในเวลาไม่กี่ทศวรรษ อาระเบียกลายเป็นภูมิภาคชายขอบทางการเมืองของโลกมุสลิมมากขึ้นเมื่อจุดสนใจเปลี่ยนไปยังดินแดนที่เพิ่งพิชิตได้ใหม่
ชาวอาหรับที่มาจากซาอุดีอาระเบียในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮิญาซ ได้ก่อตั้งรัฐเคาะลีฟะฮ์รอชิดูน (ค.ศ. 632-661), อุมัยยะฮ์ (ค.ศ. 661-750), อับบาซียะฮ์ (ค.ศ. 750-1517) และฟาฏิมียะฮ์ (ค.ศ. 909-1171) ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 10 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 มักกะฮ์และมะดีนะฮ์อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ปกครองอาหรับท้องถิ่นที่เรียกว่าชะรีฟแห่งมักกะฮ์ แต่ส่วนใหญ่แล้วชะรีฟจะให้ความสวามิภักดิ์ต่อผู้ปกครองของหนึ่งในจักรวรรดิอิสลามที่สำคัญซึ่งตั้งอยู่ในแบกแดด ไคโร หรืออิสตันบูล พื้นที่ส่วนใหญ่ที่เหลือซึ่งต่อมากลายเป็นซาอุดีอาระเบียได้กลับคืนสู่การปกครองแบบชนเผ่าตามประเพณี

ในช่วงส่วนใหญ่ของคริสต์ศตวรรษที่ 10 กลุ่มกัรมะเฏาะอ์นิกายอิสมาอีลี-ชีอะฮ์เป็นกองกำลังที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอ่าวเปอร์เซีย ในปี ค.ศ. 930 กลุ่มกัรมะเฏาะอ์ได้ปล้นสะดมมักกะฮ์ ทำให้โลกมุสลิมโกรธแค้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขโมยหินดำของพวกเขา ในปี ค.ศ. 1077-1078 ชัยค์อาหรับชื่อ อับดุลลอฮ์ บิน อะลี อัลอุยูนี ได้เอาชนะกลุ่มกัรมะเฏาะอ์ในบาห์เรนและอัลฮะซาอ์ด้วยความช่วยเหลือจากจักรวรรดิเซลจุคและก่อตั้งราชวงศ์อุยูนิด รัฐเอมิเรตอุยูนิดต่อมาได้ขยายอาณาเขตจากนัจญด์ไปจนถึงทะเลทรายซีเรีย พวกเขาถูกโค่นล้มโดยอุศฟูริดในปี ค.ศ. 1253 การปกครองของอุศฟูริดอ่อนแอลงหลังจากผู้ปกครองเปอร์เซียแห่งออร์มุสยึดครองบาห์เรนและเกาะฏีฟในปี ค.ศ. 1320 รัฐบริวารของออร์มุสคือราชวงศ์ญัรวานิดนิกายชีอะฮ์ได้เข้ามาปกครองอาระเบียตะวันออกในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ญับริดเข้าควบคุมภูมิภาคนี้หลังจากโค่นล้มราชวงศ์ญัรวานิดในคริสต์ศตวรรษที่ 15 และปะทะกับออร์มุสเป็นเวลากว่าสองทศวรรษเพื่อแย่งชิงรายได้ทางเศรษฐกิจของภูมิภาค จนกระทั่งในที่สุดก็ตกลงที่จะจ่ายส่วยในปี ค.ศ. 1507 ชนเผ่าอัลมุนตะฟิกต่อมาได้เข้าครอบครองภูมิภาคนี้และอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน ชนเผ่าบะนีคอลิดต่อมาได้ก่อกบฏต่อต้านพวกเขาในคริสต์ศตวรรษที่ 17 และเข้าควบคุมอำนาจ การปกครองของพวกเขาขยายจากอิรักไปจนถึงโอมานในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด และพวกเขาก็อยู่ภายใต้การปกครองของออตโตมันเช่นกัน
3.3. สมัยจักรวรรดิออตโตมัน
ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 จักรวรรดิออตโตมันได้ผนวกรวมชายฝั่งทะเลแดงและอ่าวเปอร์เซีย (คือ ฮิญาซ, อะซีร และอัลอะห์ซาอ์) เข้ากับจักรวรรดิ และอ้างสิทธิ์ในการปกครองเหนือดินแดนภายใน เหตุผลหนึ่งคือเพื่อขัดขวางความพยายามของโปรตุเกสที่จะโจมตีทะเลแดง (ดังนั้นจึงรวมถึงฮิญาซ) และมหาสมุทรอินเดีย ระดับการควบคุมของออตโตมันเหนือดินแดนเหล่านี้แตกต่างกันไปในช่วงสี่ศตวรรษต่อมา ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งหรือความอ่อนแอของอำนาจส่วนกลางของจักรวรรดิ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีส่วนทำให้เกิดความไม่แน่นอนในภายหลัง เช่น ข้อพิพาทกับทรานส์จอร์แดนเกี่ยวกับการรวมซันจักแห่งมะอาน รวมถึงเมืองมะอานและอะเกาะบะฮ์
3.4. การก่อตั้งราชวงศ์ซะอูดและการรวมชาติ
การปรากฏตัวของราชวงศ์ที่จะกลายเป็นราชวงศ์ซะอูด หรือที่รู้จักกันในนาม อาล ซะอูด เริ่มต้นที่เมืองอัดดิรอียะฮ์ในนัจญด์ตอนกลางของอาระเบีย ด้วยการขึ้นครองตำแหน่งเอมีร์ของมุฮัมมัด อิบน์ ซะอูดเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1727 ในปี ค.ศ. 1744 เขาได้ร่วมมือกับผู้นำทางศาสนา มุฮัมมัด อิบน์ อับดุลวะฮ์ฮาบ ผู้ก่อตั้งขบวนการวะฮาบีย์ ซึ่งเป็นรูปแบบที่เคร่งครัดของศาสนาอิสลามนิกายซุนนี พันธมิตรนี้เป็นแรงผลักดันทางอุดมการณ์ให้กับการขยายตัวของซาอุดี และยังคงเป็นรากฐานของการปกครองของราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียในปัจจุบัน
รัฐเอมิเรตดิรอียะฮ์ซึ่งก่อตั้งขึ้นในพื้นที่รอบ ๆ กรุงรียาดได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วและควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของดินแดนซาอุดีอาระเบียในปัจจุบันในช่วงสั้น ๆ โดยได้เข้าปล้นสะดมกัรบะลาอ์ในปี ค.ศ. 1802 และยึดครองมักกะฮ์ในปี ค.ศ. 1803 ในปี ค.ศ. 1818 รัฐนี้ถูกทำลายโดยอุปราชออตโตมันแห่งอียิปต์ มุฮัมมัด อะลี พาชา รัฐเอมิเรตนัจญด์ที่เล็กกว่ามากก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1824 ตลอดช่วงที่เหลือของคริสต์ศตวรรษที่ 19 อาล ซะอูดได้แข่งขันกับราชวงศ์อาหรับอื่น ๆ คือ ราชวงศ์เราะชีด ซึ่งปกครองรัฐเอมิเรตญะบัลชัมมัร เพื่อควบคุมดินแดนภายในที่จะกลายเป็นซาอุดีอาระเบีย ภายในปี ค.ศ. 1891 อาล เราะชีดได้รับชัยชนะและอาล ซะอูดถูกขับไล่ให้ลี้ภัยไปยังคูเวต

ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 จักรวรรดิออตโตมันยังคงควบคุมหรือมีอำนาจปกครองเหนือพื้นที่ส่วนใหญ่ของคาบสมุทร ภายใต้อำนาจปกครองนี้ อาระเบียถูกปกครองโดยกลุ่มผู้ปกครองชนเผ่า โดยมีชะรีฟแห่งมักกะฮ์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดและปกครองฮิญาซ ในปี ค.ศ. 1902 อับดุลอะซีซ พระโอรสของอับดุรเราะห์มาน บิน ฟัยศ็อล หรือที่รู้จักกันในภายหลังว่า อิบน์ ซะอูด ได้ยึดครองกรุงรียาดคืนมา ทำให้ราชวงศ์อาล ซะอูดกลับคืนสู่นัจญด์ ก่อตั้ง "รัฐซาอุดีที่สาม" คือ รัฐเอมิเรตนัจญด์และฮะซาอ์ อิบน์ ซะอูดได้รับการสนับสนุนจากอิควาน ซึ่งเป็นกองทัพชนเผ่าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวะฮาบีย์และนำโดยฟัยศ็อล อัดดะวีช กองทัพนี้เติบโตอย่างรวดเร็วหลังจากการก่อตั้งในปี ค.ศ. 1912 ด้วยความช่วยเหลือของอิควาน อิบน์ ซะอูดได้ยึดครองอัลอะห์ซาอ์จากออตโตมันในปี ค.ศ. 1913
ในปี ค.ศ. 1916 ด้วยการสนับสนุนและส่งเสริมจากบริเตนใหญ่ (ซึ่งกำลังต่อสู้กับออตโตมันในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง) ชะรีฟแห่งมักกะฮ์ ฮุซัยน์ บิน อะลี ได้นำกบฏอาหรับต่อต้านจักรวรรดิออตโตมันเพื่อสร้างรัฐอาหรับที่เป็นปึกแผ่น แม้ว่าการกบฏจะล้มเหลวในวัตถุประสงค์ แต่ชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งส่งผลให้สิ้นสุดอำนาจปกครองและการควบคุมของออตโตมันในอาระเบีย และฮุซัยน์ บิน อะลีได้กลายเป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรฮิญาซ
อิบน์ ซะอูดหลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วมในการกบฏอาหรับ และยังคงต่อสู้กับอาล เราะชีดต่อไป หลังจากการพ่ายแพ้ครั้งสุดท้ายของอาล เราะชีด เขาก็ได้รับตำแหน่งสุลต่านแห่งนัจญด์ในปี ค.ศ. 1921 ด้วยความช่วยเหลือของอิควาน ราชอาณาจักรฮิญาซถูกพิชิตในปี ค.ศ. 1924-25 และในวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1926 อิบน์ ซะอูดได้ประกาศตนเป็นกษัตริย์แห่งฮิญาซ ในอีกห้าปีต่อมา เขาได้บริหารสองส่วนของราชอาณาจักรคู่ของเขาเป็นหน่วยแยกจากกัน
หลังจากการพิชิตฮิญาซ เป้าหมายของผู้นำอิควานได้เปลี่ยนไปเป็นการขยายอาณาเขตของวะฮาบีย์ไปยังรัฐในอารักขาของอังกฤษคือ ทรานส์จอร์แดน อิรัก และคูเวต และเริ่มบุกโจมตีดินแดนเหล่านั้น สิ่งนี้ได้รับการต่อต้านจากอิบน์ ซะอูด เนื่องจากเขามองเห็นอันตรายจากการเผชิญหน้าโดยตรงกับอังกฤษ ในขณะเดียวกัน อิควานเริ่มไม่พอใจนโยบายภายในประเทศของอิบน์ ซะอูด ซึ่งดูเหมือนจะสนับสนุนการปรับปรุงให้ทันสมัยและการเพิ่มจำนวนชาวต่างชาติที่ไม่ใช่มุสลิมในประเทศ เป็นผลให้พวกเขาหันมาต่อต้านอิบน์ ซะอูด และหลังจากการต่อสู้เป็นเวลาสองปี พวกเขาพ่ายแพ้ในปี ค.ศ. 1929 ที่ยุทธการที่ซะบิลลา ซึ่งผู้นำของพวกเขาถูกสังหารหมู่ ในนามของอิบน์ ซะอูด เจ้าชายฟัยศ็อลได้ประกาศการรวมชาติเมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1932 และราชอาณาจักรฮิญาซและนัจญด์ได้รวมกันเป็นราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย วันนั้นปัจจุบันเป็นวันหยุดประจำชาติที่เรียกว่าวันชาติซาอุดีอาระเบีย
3.5. คริสต์ศตวรรษที่ 20

ราชอาณาจักรใหม่พึ่งพารายได้จากการเกษตรที่จำกัดและรายได้จากการแสวงบุญ ในปี ค.ศ. 1938 ได้มีการค้นพบแหล่งน้ำมันสำรองจำนวนมหาศาลในภูมิภาคอัลอะห์ซาอ์ตามแนวชายฝั่งอ่าวเปอร์เซีย และการพัฒนาแหล่งน้ำมันอย่างเต็มรูปแบบเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1941 ภายใต้การควบคุมของซาอุดีอารามโก (บริษัทน้ำมันอาหรับอเมริกัน) ซึ่งควบคุมโดยสหรัฐอเมริกา น้ำมันทำให้ซาอุดีอาระเบียมีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและมีอิทธิพลทางการเมืองอย่างมากในระดับนานาชาติ ชีวิตทางวัฒนธรรมพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฮิญาซ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของหนังสือพิมพ์และวิทยุ อย่างไรก็ตาม การหลั่งไหลเข้ามาของแรงงานต่างชาติจำนวนมากในอุตสาหกรรมน้ำมันได้เพิ่มความรู้สึกเกลียดกลัวชาวต่างชาติที่มีอยู่ก่อนแล้ว ในขณะเดียวกัน รัฐบาลก็เริ่มมีการใช้จ่ายอย่างสิ้นเปลืองและฟุ่มเฟือยมากขึ้น ในช่วงทศวรรษ 1950 สิ่งนี้ได้นำไปสู่การขาดดุลงบประมาณจำนวนมากและการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศมากเกินไป ในปี ค.ศ. 1953 ซะอูดขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งซาอุดีอาระเบีย ในปี ค.ศ. 1964 พระองค์ถูกปลดออกจากตำแหน่งเพื่อสนับสนุนฟัยศ็อล พระอนุชาต่างมารดา หลังจากการแข่งขันที่รุนแรงซึ่งเกิดจากความสงสัยในหมู่ราชวงศ์เกี่ยวกับความสามารถของซะอูด ในปี ค.ศ. 1972 ซาอุดีอาระเบียได้เข้าควบคุมกิจการของอารามโก 20% ซึ่งเป็นการลดการควบคุมของสหรัฐฯ เหนือน้ำมันซาอุดีอาระเบีย ในปี ค.ศ. 1973 ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้นำในการคว่ำบาตรน้ำมันต่อประเทศตะวันตกที่สนับสนุนอิสราเอลในสงครามยมคิปปูร์กับอียิปต์และซีเรีย ส่งผลให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นสี่เท่า ในปี ค.ศ. 1975 ฟัยศ็อลถูกลอบปลงพระชนม์โดยพระนัดดาของพระองค์คือ เจ้าชายฟัยศ็อล บิน มุซาอิด และคอลิด พระอนุชาต่างมารดาของพระองค์ได้สืบทอดราชบัลลังก์

ในปี ค.ศ. 1976 ซาอุดีอาระเบียกลายเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก รัชสมัยของคอลิดเห็นความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมในอัตราที่รวดเร็วอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานและระบบการศึกษาของประเทศ ในด้านนโยบายต่างประเทศ มีการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1979 เกิดเหตุการณ์สองครั้งที่สร้างความกังวลอย่างมากต่อรัฐบาล และมีอิทธิพลระยะยาวต่อนโยบายต่างประเทศและภายในประเทศของซาอุดีอาระเบีย เหตุการณ์แรกคือการปฏิวัติอิหร่าน มีความหวาดกลัวว่าชนกลุ่มน้อยชีอะฮ์ในแคว้นตะวันออก (ซึ่งเป็นที่ตั้งของแหล่งน้ำมันด้วย) อาจก่อกบฏภายใต้อิทธิพลของเพื่อนร่วมศาสนาชาวอิหร่านของตน มีการลุกฮือต่อต้านรัฐบาลหลายครั้งในภูมิภาค เช่น การลุกฮือที่เกาะฏีฟในปี 1979 เหตุการณ์ที่สองคือการยึดมัสยิดใหญ่ในมักกะฮ์โดยกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง กลุ่มติดอาวุธที่เกี่ยวข้องส่วนหนึ่งโกรธแค้นสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นการทุจริตและลักษณะที่ไม่เป็นอิสลามของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย รัฐบาลสามารถควบคุมมัสยิดคืนได้หลังจาก 10 วัน และผู้ที่ถูกจับกุมได้ถูกประหารชีวิต ส่วนหนึ่งของการตอบสนองของราชวงศ์คือการบังคับใช้การปฏิบัติตามบรรทัดฐานทางศาสนาและสังคมแบบดั้งเดิมที่เข้มงวดมากขึ้นในประเทศ (เช่น การปิดโรงภาพยนตร์) และการให้อุละมาอ์มีบทบาทมากขึ้นในรัฐบาล ทั้งสองมาตรการไม่ประสบความสำเร็จทั้งหมด เนื่องจากลัทธิอิสลามยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ในปี ค.ศ. 1980 ซาอุดีอาระเบียได้ซื้อผลประโยชน์ของอเมริกาในอารามโก กษัตริย์คอลิดสิ้นพระชนม์ด้วยอาการหัวใจวายในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1982 พระองค์ได้รับการสืบทอดราชบัลลังก์โดยพระอนุชาของพระองค์คือ ฟะฮัด ซึ่งได้เพิ่มพระอิสริยยศ "ผู้อภิบาลสองมหามัสยิดศักดิ์สิทธิ์" เข้าไปในพระนามของพระองค์ในปี ค.ศ. 1986 เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันอย่างมากจากกลุ่มศาสนานิยมหัวรุนแรงให้หลีกเลี่ยงการใช้คำว่า "ความสง่างาม (majesty)" ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งอื่นใดนอกจากพระเจ้า ฟะฮัดยังคงพัฒนาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาและเพิ่มการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ทางทหารของอเมริกาและอังกฤษ ความมั่งคั่งมหาศาลที่เกิดจากรายได้น้ำมันเริ่มมีผลกระทบต่อสังคมซาอุดีอาระเบียมากยิ่งขึ้น นำไปสู่การปรับปรุงให้ทันสมัยทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว (แต่ไม่ใช่ทางวัฒนธรรม) การขยายตัวของเมือง การศึกษามวลชน และการสร้างสื่อใหม่ ๆ สิ่งนี้และการมีอยู่ของคนงานต่างชาติจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อบรรทัดฐานและค่านิยมแบบดั้งเดิมของซาอุดีอาระเบีย แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในชีวิตทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ แต่อำนาจทางการเมืองยังคงถูกผูกขาดโดยราชวงศ์ ซึ่งนำไปสู่ความไม่พอใจในหมู่ชาวซาอุดีอาระเบียจำนวนมากที่เริ่มมองหาการมีส่วนร่วมในรัฐบาลที่กว้างขึ้น
ในช่วงทศวรรษ 1980 ซาอุดีอาระเบียและคูเวตใช้จ่ายเงิน 25.00 B USD เพื่อสนับสนุนซัดดัม ฮุสเซนในสงครามอิรัก-อิหร่าน (ค.ศ. 1980-1988) อย่างไรก็ตาม ซาอุดีอาระเบียประณามการบุกครองคูเวตในปี 1990 และขอให้สหรัฐอเมริกาเข้ามาแทรกแซง กษัตริย์ฟะฮัดอนุญาตให้กองกำลังอเมริกันและพันธมิตรประจำการในซาอุดีอาระเบีย พระองค์เชิญรัฐบาลคูเวตและพลเมืองจำนวนมากให้อยู่ในซาอุดีอาระเบีย แต่ขับไล่พลเมืองของเยเมนและจอร์แดนเนื่องจากรัฐบาลของพวกเขาสนับสนุนอิรัก ในปี ค.ศ. 1991 กองกำลังซาอุดีอาระเบียมีส่วนร่วมทั้งในการทิ้งระเบิดในอิรักและการบุกทางบกที่ช่วยปลดปล่อยคูเวต ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อสงครามอ่าว (ค.ศ. 1990-1991)
ความสัมพันธ์ของซาอุดีอาระเบียกับตะวันตกเป็นหนึ่งในประเด็นที่นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของการก่อการร้ายอิสลามในซาอุดีอาระเบีย เช่นเดียวกับการโจมตีของผู้ก่อการร้ายอิสลามในประเทศตะวันตกโดยชาวซาอุดีอาระเบีย โอซามา บิน ลาเดนเคยเป็นพลเมืองซาอุดีอาระเบีย (จนกระทั่งถูกถอดสัญชาติในปี 1994) และเป็นผู้รับผิดชอบต่อเหตุระเบิดสถานทูตสหรัฐในปี 1998ในแอฟริกาตะวันออก และเหตุระเบิดเรือยูเอสเอส โคล ใกล้ท่าเรือเอเดน ประเทศเยเมน ในปี 2000 ผู้ก่อการร้าย 15 คนจากผู้ก่อการที่เกี่ยวข้องกับวินาศกรรม 11 กันยายนเป็นชาวซาอุดีอาระเบีย ชาวซาอุดีอาระเบียจำนวนมากที่ไม่สนับสนุนผู้ก่อการร้ายอิสลามก็ยังคงไม่พอใจอย่างมากกับนโยบายของรัฐบาล
ลัทธิอิสลามไม่ใช่แหล่งเดียวของความเป็นปรปักษ์ต่อรัฐบาล แม้จะร่ำรวยมากในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 แต่เศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบียก็ใกล้จะหยุดนิ่ง ภาษีที่สูงและการเพิ่มขึ้นของการว่างงานมีส่วนทำให้เกิดความไม่พอใจและสะท้อนให้เห็นในการเพิ่มขึ้นของความไม่สงบในหมู่พลเรือนและความไม่พอใจต่อราชวงศ์ เพื่อเป็นการตอบสนอง กษัตริย์ฟะฮัดได้ริเริ่มการปฏิรูปที่จำกัดจำนวนหนึ่ง ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1992 พระองค์ได้นำ "กฎหมายพื้นฐาน" มาใช้ ซึ่งเน้นย้ำถึงหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ปกครอง ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1993 สภาที่ปรึกษาได้เปิดทำการ ประกอบด้วยประธานและสมาชิก 60 คน ซึ่งทั้งหมดได้รับการแต่งตั้งโดยกษัตริย์ ฟะฮัดแสดงให้เห็นชัดเจนว่าพระองค์ไม่ได้คำนึงถึงประชาธิปไตย โดยตรัสว่า "ระบบที่ตั้งอยู่บนการเลือกตั้งไม่สอดคล้องกับหลักความเชื่ออิสลามของเรา ซึ่ง [อนุมัติ] การปกครองโดยการปรึกษาหารือ [ชูรอ]"
ในปี ค.ศ. 1995 ฟะฮัดประชวรด้วยโรคหลอดเลือดสมอง และมกุฎราชกุมารอับดุลลอฮ์ ได้รับบทบาทเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์โดยพฤตินัย อย่างไรก็ตาม พระราชอำนาจของพระองค์ถูกขัดขวางโดยความขัดแย้งกับพระอนุชาและพระเชษฐาร่วมพระมารดาของฟะฮัด (ซึ่งรู้จักกันในนาม "เจ็ดสหายซุดัยรี")
3.6. คริสต์ศตวรรษที่ 21
สัญญาณของความไม่พอใจรวมถึงเหตุการณ์ระเบิดและความรุนแรงด้วยอาวุธในปี 2003 และ 2004 ในกรุงรียาด ญิดดะฮ์ ยันบูอ์ และคุบัร ในเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2005 ได้มีการจัดการเลือกตั้งเทศบาลทั่วประเทศเป็นครั้งแรกในซาอุดีอาระเบีย ผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้มีส่วนร่วม
ในปี 2005 กษัตริย์ฟะฮัดสิ้นพระชนม์และอับดุลลอฮ์ขึ้นครองราชย์ พระองค์ยังคงดำเนินนโยบายปฏิรูปน้อยที่สุดและปราบปรามการประท้วง กษัตริย์ได้ริเริ่มการปฏิรูปเศรษฐกิจโดยมีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมันของประเทศ: การลดกฎระเบียบอย่างจำกัด การส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ และการแปรรูป ในเดือนกุมภาพันธ์ 2009 อับดุลลอฮ์ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในรัฐบาล ทั้งในด้านตุลาการ กองทัพ และกระทรวงต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงสถาบันเหล่านี้ให้ทันสมัย รวมถึงการเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ระดับสูงในฝ่ายตุลาการและมุตะวีน (ตำรวจศาสนา) ด้วยบุคคลที่มีแนวคิดปานกลางมากขึ้น และการแต่งตั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการหญิงคนแรกของประเทศ
เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2011 ผู้ประท้วงหลายร้อยคนรวมตัวกันที่ญิดดะฮ์เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อโครงสร้างพื้นฐานที่ย่ำแย่ของเมืองหลังเกิดอุทกภัยที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 11 คน ซึ่งเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ที่หาได้ยาก ตำรวจยุติการชุมนุมหลังจากผ่านไปประมาณ 15 นาที และจับกุมผู้คนไป 30 ถึง 50 คน
ตั้งแต่ปี 2011 ซาอุดีอาระเบียได้รับผลกระทบจากการประท้วงอาหรับสปริงของตนเอง เพื่อเป็นการตอบสนอง กษัตริย์อับดุลลอฮ์ได้ประกาศเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2011 ถึงชุดสวัสดิการสำหรับพลเมืองมูลค่า 36.00 B USD โดย 10.70 B USD จัดสรรไว้สำหรับที่อยู่อาศัย ไม่มีการปฏิรูปทางการเมืองใด ๆ รวมอยู่ด้วย แม้ว่านักโทษบางคนที่ถูกฟ้องในคดีอาชญากรรมทางการเงินจะได้รับการอภัยโทษก็ตาม กษัตริย์อับดุลลอฮ์ยังได้ประกาศชุดมาตรการมูลค่า 93.00 B USD ซึ่งรวมถึงบ้านใหม่ 500,000 หลัง มูลค่า 67.00 B USD นอกเหนือจากการสร้างงานด้านความมั่นคงใหม่ 60,000 ตำแหน่ง แม้ว่าการเลือกตั้งเทศบาลสำหรับผู้ชายเท่านั้นจะจัดขึ้นในวันที่ 29 กันยายน 2011 แต่กษัตริย์อับดุลลอฮ์ก็อนุญาตให้ผู้หญิงลงคะแนนเสียงและได้รับเลือกตั้งในการเลือกตั้งเทศบาลปี 2015 และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าสู่สภาชูรออีกด้วย
4. ภูมิศาสตร์


ซาอุดีอาระเบียครอบครองพื้นที่ประมาณร้อยละ 80 ของคาบสมุทรอาหรับ (คาบสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลก) ตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 16° ถึง 33° เหนือ และลองจิจูด 34° ถึง 56° ตะวันออก เนื่องจากพรมแดนทางตะวันออกเฉียงใต้และทางใต้ของประเทศกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และโอมานไม่ได้มีการทำเครื่องหมายไว้อย่างแม่นยำ ขนาดที่แน่นอนของประเทศจึงยังไม่เป็นที่กำหนด สำนักงานสถิติแห่งสหประชาชาติประมาณการพื้นที่ไว้ที่ 2.15 M km2 และจัดให้ซาอุดีอาระเบียเป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 12 ของโลก ในทางภูมิศาสตร์ ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลางและบนแผ่นอาหรับ
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของซาอุดีอาระเบียส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายอาหรับ กึ่งทะเลทราย ป่าละเมาะ สเตปป์ เทือกเขาหลายแห่ง ทุ่งลาวาภูเขาไฟ และที่ราบสูง รุบอุลคอลี ("ส่วนที่ว่างเปล่า") ขนาด 647.50 K km2 ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเป็นทะเลทรายทรายที่ต่อเนื่องกันที่ใหญ่ที่สุดในโลก แม้ว่าจะมีทะเลสาบในประเทศ แต่ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกตามขนาดพื้นที่ที่ไม่มีแม่น้ำถาวร อย่างไรก็ตาม วาดี ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ไม่ถาวร มีจำนวนมากทั่วทั้งราชอาณาจักร พื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์พบได้ในแหล่งตะกอนน้ำพาในวาดี แอ่ง และโอเอซิส มีเกาะประมาณ 1,300 เกาะในทะเลแดงและอ่าวอาหรับ
ลักษณะภูมิประเทศที่สำคัญคือที่ราบสูงตอนกลางซึ่งยกตัวสูงขึ้นอย่างฉับพลันจากทะเลแดงและค่อย ๆ ลาดลงสู่นัจญด์และไปยังอ่าวอาหรับ บริเวณชายฝั่งทะเลแดงมีที่ราบชายฝั่งแคบ ๆ เรียกว่า ติฮามะฮ์ ซึ่งขนานไปกับหน้าผาสูงชัน แคว้นอะซีรทางตะวันตกเฉียงใต้เป็นภูเขาและเป็นที่ตั้งของญะบัลฟัรวะอ์ สูง 3.00 K m ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดในประเทศ ซาอุดีอาระเบียเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟที่สงบแล้วกว่า 2,000 ลูก ทุ่งลาวาในฮิญาซ หรือที่รู้จักกันในชื่อภาษาอาหรับว่า ฮัรเราะฮ์ (เอกพจน์คือ ฮัรเราะฮ์) เป็นหนึ่งในภูมิภาคหินบะซอลต์แอลคาไลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 180.00 K km2
ยกเว้นภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ เช่น อะซีร ซาอุดีอาระเบียมีภูมิอากาศแบบทะเลทราย โดยมีอุณหภูมิในตอนกลางวันสูงมากในฤดูร้อนและอุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็วในตอนกลางคืน อุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูร้อนอยู่ที่ประมาณ 45 °C แต่อาจสูงถึง 54 °C ในฤดูหนาว อุณหภูมิไม่ค่อยลดลงต่ำกว่า 0 °C ยกเว้นพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศ ซึ่งมีหิมะตกทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภูเขาของแคว้นตะบูก อุณหภูมิต่ำสุดที่บันทึกได้คือ -12 °C วัดได้ที่ฏุร็อยฟ์ ในบรรดารัฐอ่าว ซาอุดีอาระเบียมีแนวโน้มที่จะมีหิมะตกบ่อยที่สุด
ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ความร้อนจะอยู่ในระดับปานกลาง อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 29 °C ปริมาณน้ำฝนรายปีต่ำมาก ภูมิภาคทางใต้แตกต่างกันตรงที่ได้รับอิทธิพลจากมรสุมมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งโดยปกติจะเกิดขึ้นระหว่างเดือนตุลาคมถึงมีนาคม ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 300 mm เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 60 ของปริมาณน้ำฝนรายปี
4.1. ลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศ
ซาอุดีอาระเบียมีลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายและที่ราบสูงแห้งแล้ง ทางตะวันตกมีเทือกเขาฮิญาซและเทือกเขาอะซีรทอดตัวยาวขนานกับชายฝั่งทะเลแดง โดยมีจุดสูงสุดคือ ญะบัลเซาดา (Jabal Sawda) สูงประมาณ 3.00 K m ส่วนทางตะวันออกเป็นที่ราบชายฝั่งอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันที่สำคัญ ทะเลทรายที่สำคัญ ได้แก่ ทะเลทรายอันนุฟูดทางตอนเหนือ และทะเลทรายรุบอุลคอลี (Rub' al Khali) หรือ "ส่วนที่ว่างเปล่า" (Empty Quarter) ทางตอนใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในทะเลทรายทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ภูมิอากาศโดยทั่วไปเป็นแบบทะเลทราย คือร้อนจัดในเวลากลางวันและหนาวเย็นในเวลากลางคืน ฤดูร้อนอุณหภูมิอาจสูงถึง 50 °C ในขณะที่ฤดูหนาวอุณหภูมิอาจลดลงต่ำกว่าจุดเยือกแข็งในบางพื้นที่ ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีน้อยมาก โดยส่วนใหญ่จะตกในช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ บริเวณชายฝั่งทะเลแดงและอ่าวเปอร์เซียมีความชื้นสูงกว่าในแผ่นดิน
4.2. ความหลากหลายทางชีวภาพ


ซาอุดีอาระเบียเป็นที่ตั้งของเขตภูมินิเวศทางบก 5 แห่ง ได้แก่ ทะเลทรายหมอกชายฝั่งคาบสมุทรอาหรับ, ทุ่งหญ้าสะวันนาเชิงเขาอาหรับตะวันตกเฉียงใต้, ป่าดิบเขาอาหรับตะวันตกเฉียงใต้, ทะเลทรายอาหรับ และ ทะเลทรายและกึ่งทะเลทรายเขตร้อนนูโบ-ซินเดียนทะเลแดง สัตว์ป่าประกอบด้วย เสือดาวอาระเบีย, หมาป่าอาหรับ, ไฮยีน่าลายแถบ, พังพอน, ลิงบาบูน, กระต่ายป่าแหลม, แมวทราย และ หนูเจอร์บัว สัตว์เช่น กาเซลล์, ออริกซ์, เสือดาว และเสือชีตาห์ เคยมีจำนวนค่อนข้างมากจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อการล่าสัตว์อย่างกว้างขวางทำให้สัตว์เหล่านี้ลดจำนวนลงจนเกือบสูญพันธุ์ สิงโตเอเชียซึ่งมีความสำคัญทางวัฒนธรรมเคยพบในซาอุดีอาระเบียจนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก่อนที่จะถูกล่าจนสูญพันธุ์ในป่า นกประกอบด้วย เหยี่ยว (ซึ่งถูกจับและฝึกเพื่อการล่าสัตว์), อินทรี, เหยี่ยว, แร้ง, นกกระทาทราย และนกปรอด มีงูหลายชนิด ซึ่งหลายชนิดมีพิษ สัตว์เลี้ยงประกอบด้วย ม้าอาหรับในตำนาน, อูฐอาหรับ, แกะ, แพะ, วัว, ลา, ไก่ เป็นต้น
ทะเลแดงเป็นระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์และหลากหลาย โดยมีปลามากกว่า 1,200 ชนิด ซึ่งประมาณร้อยละ 10 เป็นสัตว์เฉพาะถิ่น นอกจากนี้ยังมีปลาทะเลลึก 42 ชนิด ความหลากหลายที่อุดมสมบูรณ์นี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากพืดหินปะการังยาว 2.00 K km ที่ทอดตัวตามแนวชายฝั่ง แนวปะการังชายฝั่งเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากปะการังแข็งสกุล Acropora และ Porites แนวปะการังเหล่านี้ก่อตัวเป็นแท่นและบางครั้งเป็นลากูนตามแนวชายฝั่ง และบางครั้งก็มีลักษณะอื่น ๆ เช่นทรงกระบอก (เช่น หลุมสีน้ำเงินที่ดาฮับ) แนวปะการังชายฝั่งเหล่านี้ยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลน้ำลึก รวมถึงฉลาม 44 ชนิด มีแนวปะการังนอกชายฝั่งหลายแห่งรวมถึงอะทอลล์หลายแห่ง การก่อตัวของแนวปะการังนอกชายฝั่งที่แปลกตาหลายแห่งขัดต่อรูปแบบการจำแนกแนวปะการังแบบคลาสสิก (เช่น ของดาร์วิน) และโดยทั่วไปเชื่อว่าเกิดจากกิจกรรมการแปรสัณฐานในระดับสูงซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพื้นที่
พืชพรรณส่วนใหญ่ประกอบด้วยสมุนไพร พืช และไม้พุ่มที่ต้องการน้ำน้อย สะท้อนถึงสภาพทะเลทรายที่โดดเด่นของประเทศ อินทผลัม (Phoenix dactylifera) แพร่หลายทั่วไป
ความพยายามในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในซาอุดีอาระเบียกำลังเผชิญกับความท้าทายจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ซึ่งมักนำไปสู่การทำลายถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติและมลภาวะ รัฐบาลได้จัดตั้งพื้นที่คุ้มครองหลายแห่งและดำเนินโครงการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความจำเป็นในการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์ โดยคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว การส่งเสริมความตระหนักรู้ของสาธารณชนเกี่ยวกับความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพและการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นในการอนุรักษ์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าความพยายามเหล่านี้จะประสบความสำเร็จ
4.3. ทรัพยากรน้ำ
ซาอุดีอาระเบียเป็นหนึ่งในประเทศที่ขาดแคลนน้ำมากที่สุดในโลก เนื่องจากตั้งอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบทะเลทรายและมีปริมาณน้ำฝนต่ำมาก แหล่งน้ำหลักของประเทศมาจากน้ำบาดาล ซึ่งเป็นทรัพยากรที่ไม่สามารถหมุนเวียนได้และกำลังลดลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากการสูบน้ำมาใช้ในปริมาณมากเพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค เพื่อรับมือกับปัญหาการขาดแคลนน้ำ รัฐบาลซาอุดีอาระเบียได้ลงทุนอย่างมากในเทคโนโลยีการกลั่นน้ำทะเล ทำให้เป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำทะเลกลั่นรายใหญ่ที่สุดของโลก อย่างไรก็ตาม กระบวนการกลั่นน้ำทะเลใช้พลังงานสูงและมีค่าใช้จ่ายมาก นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปล่อยน้ำเกลือเข้มข้นกลับสู่ทะเล
มาตรการอื่น ๆ ในการจัดการทรัพยากรน้ำรวมถึงการส่งเสริมการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพในภาคเกษตรกรรม การนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ และการค้นหาแหล่งน้ำบาดาลใหม่ ๆ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่ในการสร้างความมั่นคงทางน้ำในระยะยาวท่ามกลางการเติบโตของประชากรและความต้องการน้ำที่เพิ่มขึ้น การพัฒนาแหล่งน้ำทางเลือก เช่น การเก็บเกี่ยวน้ำฝนและการจัดการน้ำแบบบูรณาการ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
5. การเมือง
ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาล อำนาจทางการเมืองส่วนใหญ่รวมศูนย์อยู่ที่ราชวงศ์ซะอูด กฎหมายพื้นฐานของประเทศอิงตามหลักศาสนาอิสลามนิกายวะฮาบีย์ ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อระบบกฎหมายและสังคมโดยรวม


5.1. โครงสร้างรัฐบาล
ซาอุดีอาระเบียปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาล พระองค์ทรงมีอำนาจสูงสุดทั้งในฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ กฎหมายพื้นฐานของประเทศ ซึ่งประกาศใช้ในปี ค.ศ. 1992 ทำหน้าที่คล้ายรัฐธรรมนูญ โดยระบุว่าคัมภีร์กุรอานและซุนนะฮ์ (แบบอย่างของศาสดามุฮัมมัด) เป็นธรรมนูญสูงสุดของประเทศ
ฝ่ายบริหารประกอบด้วยคณะรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งและเป็นประธานการประชุมด้วยพระองค์เอง สมาชิกคณะรัฐมนตรีส่วนใหญ่เป็นสมาชิกราชวงศ์ซะอูดหรือบุคคลใกล้ชิด
ฝ่ายนิติบัญญัติคือสภาที่ปรึกษา (Majlis ash-Shura) ประกอบด้วยสมาชิก 150 คนที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ มีหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่พระมหากษัตริย์และคณะรัฐมนตรีในเรื่องกฎหมายและนโยบายต่าง ๆ แต่ไม่มีอำนาจในการออกกฎหมายโดยตรง แม้ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจะมีการเพิ่มบทบาทของสภาในการตรวจสอบร่างกฎหมายและนโยบายของรัฐบาล แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายยังคงอยู่ที่พระมหากษัตริย์
ฝ่ายตุลาการอิงตามกฎหมายชะรีอะฮ์ (กฎหมายอิสลาม) ผู้พิพากษา (กอฎี) ได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์และได้รับการฝึกอบรมด้านศาสนศาสตร์อิสลาม ไม่มีระบบประมวลกฎหมายที่เป็นทางการ และคำตัดสินมักขึ้นอยู่กับการตีความกฎหมายชะรีอะฮ์ของผู้พิพากษาแต่ละคน ศาลสูงสุดคือสภาตุลาการสูงสุด (Supreme Judicial Council)
แม้ว่าโครงสร้างรัฐบาลจะรวมอำนาจไว้ที่พระมหากษัตริย์ แต่ในทางปฏิบัติ การตัดสินใจสำคัญมักจะผ่านการปรึกษาหารือกับสมาชิกราชวงศ์อาวุโส ผู้นำศาสนา (อุละมาอ์) และผู้นำชนเผ่า อย่างไรก็ตาม กระบวนการนี้ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนทั่วไปยังมีจำกัดมาก
5.2. ราชวงศ์
ราชวงศ์ซะอูด (آل سعودอาล ซุอูดภาษาอาหรับ) เป็นราชวงศ์ที่ปกครองซาอุดีอาระเบียมาตั้งแต่การก่อตั้งรัฐซาอุดีที่หนึ่งในศตวรรษที่ 18 ประวัติของราชวงศ์มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับมุฮัมมัด อิบน์ อับดุลวะฮ์ฮาบ ผู้ก่อตั้งขบวนการวะฮาบีย์ ซึ่งเป็นแนวคิดทางศาสนาที่เคร่งครัดและเป็นอุดมการณ์หลักของรัฐซาอุดีอาระเบีย
การสืบทอดราชบัลลังก์ในซาอุดีอาระเบียเป็นไปตามระบบอาวุโสในหมู่พระราชโอรสของสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลอะซีซ อิบน์ ซะอูด ผู้ก่อตั้งประเทศ อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 2006 ได้มีการจัดตั้งสภาสวามิภักดิ์ (Allegiance Council) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกราชวงศ์อาวุโส เพื่อมีส่วนร่วมในการคัดเลือกมกุฎราชกุมารและรองมกุฎราชกุมาร การเปลี่ยนแปลงนี้มีขึ้นเพื่อสร้างความมั่นคงในการสืบทอดราชบัลลังก์ในระยะยาว เมื่อพระราชโอรสรุ่นแรกของกษัตริย์อับดุลอะซีซเริ่มมีพระชนมายุมากขึ้น ปัจจุบัน สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด ทรงเป็นประมุข และพระโอรสของพระองค์คือ มุฮัมมัด บิน ซัลมาน ทรงดำรงตำแหน่งมกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการสืบทอดราชบัลลังก์ไปยังคนรุ่นใหม่
สมาชิกราชวงศ์ซะอูดมีอิทธิพลอย่างมากทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ พวกเขาดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล กองทัพ และหน่วยงานของรัฐ นอกจากนี้ ราชวงศ์ยังควบคุมทรัพย์สินและทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมหาศาลของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมัน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของซาอุดีอาระเบีย
ภายในราชวงศ์ซะอูดเองก็มีกลุ่มอำนาจต่าง ๆ ที่แข่งขันกันเพื่ออิทธิพลและการควบคุม กลุ่มที่สำคัญกลุ่มหนึ่งคือ "เจ็ดสหายซุดัยรี" (Sudairi Seven) ซึ่งหมายถึงพระราชโอรสเจ็ดพระองค์ของกษัตริย์อับดุลอะซีซที่ประสูติจากพระมเหสีพระองค์เดียวกันคือ ฮัศศอฮ์ บินต์ อะห์มัด อัสซุดัยรี (Hussa bint Ahmed Al Sudairi) กลุ่มนี้เคยมีอิทธิพลอย่างมากในอดีต แต่บทบาทของพวกเขาได้ลดลงตามกาลเวลาและการเปลี่ยนแปลงในราชวงศ์ ปัจจุบัน มกุฎราชกุมารมุฮัมมัด บิน ซัลมาน ได้รวบอำนาจและเสริมสร้างฐานอำนาจของตนเองอย่างแข็งขัน ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจภายในราชวงศ์อย่างมีนัยสำคัญ
5.3. บทบาททางการเมืองของศาสนา
ศาสนาอิสลามนิกายวะฮาบีย์ (หรือที่ผู้สนับสนุนเรียกว่า "สะละฟีย์") มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเมืองและสังคมของซาอุดีอาระเบีย ถือเป็นศาสนาประจำชาติและเป็นรากฐานของระบบกฎหมายและการปกครองของประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ซะอูดและสถาบันศาสนาวะฮาบีย์ย้อนกลับไปถึงศตวรรษที่ 18 เมื่อมุฮัมมัด อิบน์ ซะอูด ผู้ก่อตั้งรัฐซาอุดีที่หนึ่ง ได้ทำพันธสัญญากับมุฮัมมัด อิบน์ อับดุลวะฮ์ฮาบ ผู้ก่อตั้งขบวนการวะฮาบีย์ พันธสัญญานี้ยังคงเป็นรากฐานสำคัญของความชอบธรรมทางการเมืองของราชวงศ์ซะอูดมาจนถึงปัจจุบัน
อุละมาอ์ (นักปราชญ์อิสลาม) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สนับสนุนแนวคิดวะฮาบีย์ มีอิทธิพลอย่างมากต่อการกำหนดนโยบายสาธารณะ กฎหมาย และบรรทัดฐานทางสังคม พวกเขามีบทบาทสำคัญในระบบตุลาการ การศึกษา และการควบคุมศีลธรรมทางสังคม สภาอุละมาอ์อาวุโส (Council of Senior Scholars) เป็นองค์กรศาสนาสูงสุดที่มีอำนาจในการออกฟัตวา (คำวินิจฉัยทางศาสนา) และให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสนา
ตำรวจศาสนา หรือที่รู้จักในชื่อ "ฮัยอะฮ์" (Haia) หรือ "คณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมและป้องกันความชั่วร้าย" (Committee for the Promotion of Virtue and the Prevention of Vice) เคยมีบทบาทอย่างมากในการบังคับใช้กฎหมายชะรีอะฮ์ในที่สาธารณะ เช่น การแต่งกายที่เหมาะสม การแยกเพศ การละหมาดตามเวลา และการห้ามดื่มสุรา อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภายใต้การปฏิรูปของมกุฎราชกุมารมุฮัมมัด บิน ซัลมาน อำนาจของตำรวจศาสนาได้ถูกลดทอนลงอย่างมีนัยสำคัญ พวกเขาถูกห้ามไม่ให้จับกุมหรือไล่ตามผู้ต้องสงสัย และบทบาทของพวกเขาได้เปลี่ยนไปเป็นการให้คำแนะนำและรายงานการละเมิดไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการเปิดเสรีทางสังคมและลดอิทธิพลของกลุ่มศาสนาหัวอนุรักษ์ แม้ว่าศาสนาจะยังคงมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของชาวซาอุดีอาระเบีย แต่อิทธิพลทางการเมืองโดยตรงของสถาบันศาสนาบางส่วนกำลังได้รับการทบทวนและปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศในปัจจุบัน
5.4. ระบบตุลาการ
ระบบตุลาการของซาอุดีอาระเบียอิงตามกฎหมายชะรีอะฮ์ (กฎหมายอิสลาม) โดยมีคัมภีร์กุรอานและซุนนะฮ์ (แบบอย่างของศาสดามุฮัมมัด) เป็นแหล่งที่มาหลักของกฎหมาย ผู้พิพากษา (กอฎี) ได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนศาสตร์อิสลาม โดยทั่วไปจะยึดตามแนวทางของสำนักกฎหมายฮันบะลี ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สำนักกฎหมายหลักของนิกายซุนนี และมีชื่อเสียงในด้านการตีความคัมภีร์กุรอานและหะดีษอย่างเคร่งครัด
ไม่มีระบบประมวลกฎหมายที่เป็นทางการและครอบคลุมเหมือนในหลายประเทศ คำตัดสินของศาลมักขึ้นอยู่กับการตีความกฎหมายชะรีอะฮ์ของผู้พิพากษาแต่ละคน ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่แน่นอนและความแตกต่างในคำตัดสินของคดีที่คล้ายคลึงกัน อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 2021 ซาอุดีอาระเบียได้ประกาศแผนการปฏิรูประบบตุลาการครั้งใหญ่ ซึ่งรวมถึงการจัดทำประมวลกฎหมายเพื่อลดความคลาดเคลื่อนและเพิ่มความโปร่งใส
องค์ประกอบของศาลในซาอุดีอาระเบียมีหลายระดับ เริ่มจากศาลชั้นต้น (General Courts) ซึ่งพิจารณาคดีแพ่งและอาญา ศาลชะรีอะฮ์เฉพาะทาง เช่น ศาลครอบครัว ศาลแรงงาน และศาลพาณิชย์ ศาลอุทธรณ์ (Courts of Appeal) และศาลฎีกา (Supreme Court) ซึ่งเป็นศาลสูงสุด นอกจากนี้ยังมีศาลพิเศษ เช่น ศาลความมั่นคงแห่งรัฐ (State Security Court) ที่พิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายและความมั่นคงของชาติ
บทลงโทษที่สำคัญในระบบตุลาการซาอุดีอาระเบียรวมถึงโทษประหารชีวิต ซึ่งสามารถใช้กับความผิดร้ายแรงหลายประเภท เช่น ฆาตกรรม การก่อการร้าย การค้ายาเสพติด การข่มขืน และการละทิ้งศาสนาอิสลาม วิธีการประหารชีวิตที่ใช้คือการตัดศีรษะ การขว้างหิน (สำหรับการผิดประเวณี) หรือการยิงเป้า นอกจากนี้ยังมีการลงโทษทางร่างกายอื่น ๆ เช่น การโบย (แม้ว่าการโบยจะถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการในปี 2020) และการตัดมือ (สำหรับการลักทรัพย์)
แนวโน้มการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมล่าสุดรวมถึงความพยายามในการเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสของศาล การปรับปรุงการฝึกอบรมผู้พิพากษา การนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการยุติธรรม และการส่งเสริมสิทธิของผู้ต้องหา เช่น สิทธิในการมีทนายความ อย่างไรก็ตาม กลุ่มสิทธิมนุษยชนยังคงวิพากษ์วิจารณ์ระบบตุลาการของซาอุดีอาระเบียในหลายประเด็น รวมถึงการขาดความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการ การพิจารณาคดีที่ไม่เป็นธรรม และการใช้บทลงโทษที่โหดร้าย
5.5. สิทธิมนุษยชน
สถานการณ์สิทธิมนุษยชนโดยรวมในซาอุดีอาระเบียยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวลอย่างยิ่งและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากประชาคมระหว่างประเทศ แม้จะมีความพยายามในการปฏิรูปบางประการภายใต้แผน "ซาอุดีวิชั่น 2030" แต่การละเมิดสิทธิมนุษยชนยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายด้าน
สิทธิสตรี: แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกบางประการ เช่น การอนุญาตให้ผู้หญิงขับรถยนต์ การเข้าชมสนามกีฬา และการผ่อนคลายกฎระเบียบบางอย่างเกี่ยวกับระบบผู้พิทักษ์ชาย แต่สตรีในซาอุดีอาระเบียยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติอย่างเป็นระบบ พวกเธอยังคงต้องการการอนุญาตจากผู้พิทักษ์ชายในหลาย ๆ ด้านของชีวิต เช่น การแต่งงาน การเดินทาง (แม้จะมีการผ่อนปรนบ้าง) และการเข้าถึงบริการสุขภาพบางอย่าง สิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมืองและทางเศรษฐกิจยังคงมีจำกัด และกฎหมายครอบครัวยังคงให้สิทธิแก่ผู้ชายมากกว่าผู้หญิงในเรื่องการหย่าร้าง การดูแลบุตร และมรดก ความรุนแรงในครอบครัวยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญ
เสรีภาพในการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุม: เสรีภาพเหล่านี้ถูกจำกัดอย่างเข้มงวด การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ราชวงศ์ หรือศาสนาอิสลามอาจนำไปสู่การจับกุม การคุมขัง และการดำเนินคดี นักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักข่าว และนักเคลื่อนไหวทางสังคมจำนวนมากถูกจำคุกเพียงเพราะใช้สิทธิในการแสดงออกอย่างสันติ การเซ็นเซอร์สื่อและอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องปกติ การสมาคมและการชุมนุมที่ไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
เสรีภาพทางศาสนา: ศาสนาอิสลามนิกายวะฮาบีย์เป็นศาสนาประจำชาติ และการนับถือศาสนาอื่นที่ไม่ใช่อิสลามในที่สาธารณะเป็นสิ่งต้องห้าม ชาวชีอะฮ์ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยทางศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติในด้านการจ้างงาน การศึกษา และการประกอบศาสนกิจ การเปลี่ยนจากศาสนาอิสลามไปนับถือศาสนาอื่น (การละทิ้งศาสนา) ถือเป็นความผิดที่มีโทษถึงประหารชีวิต
โทษประหารชีวิตและการลงโทษที่โหดร้าย: ซาอุดีอาระเบียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการประหารชีวิตสูงที่สุดในโลก โทษประหารชีวิตสามารถใช้กับความผิดหลากหลายประเภท รวมถึงอาชญากรรมที่ไม่รุนแรง เช่น การค้ายาเสพติด วิธีการประหารชีวิต ได้แก่ การตัดศีรษะ การขว้างหิน และการยิงเป้า การลงโทษทางร่างกายอื่น ๆ เช่น การตัดอวัยวะ (สำหรับการลักทรัพย์) และการโบย (แม้จะมีการยกเลิกการโบยอย่างเป็นทางการในปี 2020) ยังคงมีอยู่และถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
สิทธิแรงงานข้ามชาติ: แรงงานข้ามชาติจำนวนมากในซาอุดีอาระเบียต้องเผชิญกับการละเมิดสิทธิภายใต้ระบบกะฟาละฮ์ (ระบบนายจ้างค้ำประกัน) ซึ่งผูกมัดแรงงานไว้กับนายจ้างและจำกัดความสามารถในการเปลี่ยนงานหรือเดินทางออกนอกประเทศ พวกเขามักต้องทำงานในสภาพที่เลวร้าย ได้รับค่าจ้างต่ำหรือไม่ได้รับค่าจ้าง ถูกยึดหนังสือเดินทาง และถูกล่วงละเมิดทางร่างกายและทางเพศ การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมสำหรับแรงงานข้ามชาติยังมีจำกัด
สิทธิของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+): การรักร่วมเพศถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายในซาอุดีอาระเบียและมีโทษถึงประหารชีวิต บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติ การคุกคาม และความรุนแรงจากทั้งภาครัฐและสังคม
การประเมินจากประชาคมระหว่างประเทศยังคงวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในซาอุดีอาระเบียอย่างต่อเนื่อง องค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกร้องให้รัฐบาลซาอุดีอาระเบียดำเนินการปฏิรูปอย่างแท้จริงเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนทุกคน รวมถึงการยกเลิกโทษประหารชีวิต การยุติการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย การประกันเสรีภาพในการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุม การเคารพเสรีภาพทางศาสนา การยกเลิกระบบผู้พิทักษ์ชาย และการคุ้มครองสิทธิของแรงงานข้ามชาติและชนกลุ่มน้อย
6. เขตการปกครอง
ซาอุดีอาระเบียแบ่งการปกครองออกเป็น 13 แคว้น (مناطق إداريةมะนาฏิก อิดารียะฮ์ภาษาอาหรับ; เอกพจน์: منطقة إداريةมินเฏาะเกาะฮ์ อิดารียะฮ์ภาษาอาหรับ) ซึ่งทำหน้าที่เป็นหน่วยการปกครองระดับบนสุด แต่ละแคว้นจะแบ่งย่อยออกเป็นเขตผู้ว่าราชการ (محافظاتมุฮาฟะเซาะฮ์ภาษาอาหรับ; เอกพจน์: محافظةมุฮาฟะเซาะฮ์ภาษาอาหรับ) และเขตผู้ว่าราชการเหล่านี้จะแบ่งย่อยลงไปอีกเป็นอำเภอ (مراكزมะรอกิซภาษาอาหรับ; เอกพจน์: مركزมัรกัซภาษาอาหรับ) เมืองหลวงของแคว้นทั้ง 13 แห่งมีสถานะเป็นเทศบาล (أمانةอะมานะฮ์ภาษาอาหรับ) และมีนายกเทศมนตรี (أمينอะมีนภาษาอาหรับ) เป็นหัวหน้า
รายชื่อแคว้นทั้ง 13 ของซาอุดีอาระเบียมีดังนี้:
- แคว้นอัลเกาะศีม
- แคว้นรียาด (ที่ตั้งของเมืองหลวง)
- แคว้นตะบูก
- แคว้นอัลมะดีนะฮ์
- แคว้นอัลเญาฟ์
- แคว้นชายแดนตอนเหนือ
- แคว้นฮาอิล
- แคว้นอัลบาฮะฮ์
- แคว้นญาซาน
- แคว้นนัจญ์รอน
- แคว้นมักกะฮ์ (ที่ตั้งของนครศักดิ์สิทธิ์มักกะฮ์และญิดดะฮ์)
- แคว้นอะซีร
- แคว้นตะวันออก (เป็นแคว้นที่ใหญ่ที่สุดและเป็นแหล่งน้ำมันหลัก)
6.1. เมืองสำคัญ
ซาอุดีอาระเบียมีเมืองสำคัญหลายแห่งที่มีบทบาททางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และศาสนาที่แตกต่างกันไป
- รียาด (الرياضอัรริยาฎภาษาอาหรับ) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของซาอุดีอาระเบีย ตั้งอยู่ในแคว้นรียาดบนที่ราบสูงตอนกลางของคาบสมุทรอาหรับ กรุงรียาดเป็นศูนย์กลางทางการเมือง การบริหาร และการเงินของประเทศ มีประชากรมากกว่า 7 ล้านคน เป็นที่ตั้งของพระราชวัง ศูนย์ราชการ สถานทูตต่างประเทศ และบริษัทข้ามชาติจำนวนมาก เมืองนี้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา มีอาคารสูงทันสมัย ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และโครงสร้างพื้นฐานที่ก้าวหน้า ย่านการเงินคิงอับดุลลอฮ์ เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง
- ญิดดะฮ์ (جدةญิดดะฮ์ภาษาอาหรับ) เป็นเมืองท่าสำคัญและเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของซาอุดีอาระเบีย ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลแดงในแคว้นมักกะฮ์ มีประชากรประมาณ 4 ล้านคน ญิดดะฮ์เป็นประตูสู่สองนครศักดิ์สิทธิ์คือมักกะฮ์และมะดีนะฮ์ และเป็นศูนย์กลางทางการค้าและเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ มีท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในทะเลแดงและเป็นที่ตั้งของสถานกงสุลต่างประเทศจำนวนมาก เมืองนี้มีชื่อเสียงด้านสถาปัตยกรรมแบบฮิญาซดั้งเดิม ตลาดเก่า (ซูก) และคอร์นิช (ถนนเลียบชายทะเล) ที่สวยงาม
- มักกะฮ์ (مكة المكرمةมักกะฮ์ อัลมุกัรเราะมะฮ์ภาษาอาหรับ) เป็นนครศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในศาสนาอิสลาม ตั้งอยู่ในแคว้นมักกะฮ์ เป็นสถานที่ประสูติของศาสดามุฮัมมัดและเป็นที่ตั้งของกะอ์บะฮ์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการประกอบพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์ ชาวมุสลิมทั่วโลกหันหน้าไปทางกะอ์บะฮ์เมื่อทำการละหมาด ในแต่ละปีมีผู้แสวงบุญหลายล้านคนเดินทางมายังมักกะฮ์ ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเขตนครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
- มะดีนะฮ์ (المدينة المنورةอัลมะดีนะฮ์ อัลมุเนาวะเราะฮ์ภาษาอาหรับ) เป็นนครศักดิ์สิทธิ์อันดับสองในศาสนาอิสลาม ตั้งอยู่ในแคว้นอัลมะดีนะฮ์ เป็นสถานที่ที่ศาสดามุฮัมมัดอพยพ (ฮิจเราะห์) มาจากมักกะฮ์ และเป็นที่ตั้งของมัสยิดอันนะบะวี (มัสยิดของศาสดา) ซึ่งเป็นที่ฝังพระศพของศาสดามุฮัมมัด มะดีนะฮ์เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ศาสนาอิสลามที่สำคัญและเป็นจุดหมายปลายทางของผู้แสวงบุญ เช่นเดียวกับมักกะฮ์ ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเขตนครศักดิ์สิทธิ์ส่วนกลาง
เมืองสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ อัดดัมมาม ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมน้ำมันในแคว้นตะวันออก, อัฏฏออิฟ เมืองพักผ่อนบนภูเขาใกล้กับมักกะฮ์, และตะบูก เมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และยุทธศาสตร์
7. การต่างประเทศ
นโยบายต่างประเทศของซาอุดีอาระเบียมีพื้นฐานมาจากการรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน การส่งเสริมบทบาทในโลกอิสลาม และการรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคตะวันออกกลาง ประเทศมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับประเทศสำคัญและมีบทบาทในองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง
7.1. แนวนโยบายต่างประเทศ
แนวนโยบายต่างประเทศของซาอุดีอาระเบียมีลักษณะเด่นหลายประการ:
- การทูตที่อิงกับน้ำมัน: ในฐานะผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ซาอุดีอาระเบียใช้น้ำมันเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ประเทศมีบทบาทนำในองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออก (OPEC) ในการกำหนดนโยบายการผลิตและราคาน้ำมัน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก รายได้จากน้ำมันยังช่วยให้ซาอุดีอาระเบียสามารถให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศพันธมิตรและสนับสนุนกลุ่มต่าง ๆ ในภูมิภาคได้
- บทบาทในโลกอิสลาม: ซาอุดีอาระเบียเป็นที่ตั้งของสองนครศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในศาสนาอิสลามคือมักกะฮ์และมะดีนะฮ์ ทำให้ประเทศมีบทบาทสำคัญในโลกอิสลาม กษัตริย์ซาอุดีอาระเบียทรงดำรงตำแหน่ง "ผู้อภิบาลสองมหามัสยิดศักดิ์สิทธิ์" (Custodian of the Two Holy Mosques) ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้สนับสนุนหลักขององค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) และพยายามส่งเสริมความเป็นเอกภาพในหมู่ประเทศมุสลิม อย่างไรก็ตาม การเผยแพร่แนวคิดวะฮาบีย์ ซึ่งเป็นแนวคิดทางศาสนาที่เคร่งครัดของซาอุดีอาระเบีย ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีส่วนทำให้เกิดความแตกแยกและส่งเสริมแนวคิดสุดโต่งในบางพื้นที่
- จุดยืนทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง: ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้เล่นสำคัญในภูมิภาคตะวันออกกลาง และมักมีบทบาทในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งหรือสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในความขัดแย้งเหล่านั้น นโยบายต่างประเทศของซาอุดีอาระเบียมุ่งเน้นไปที่การรักษาเสถียรภาพในภูมิภาค (ตามมุมมองของซาอุดีอาระเบีย) การต่อต้านอิทธิพลของอิหร่าน ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญในภูมิภาค และการสนับสนุนระบอบการปกครองที่เป็นมิตร ประเทศมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประเทศสมาชิกสภาความร่วมมืออ่าว (GCC) อื่น ๆ แต่ก็มีความตึงเครียดเป็นครั้งคราว
- ความสัมพันธ์กับมหาอำนาจ: ซาอุดีอาระเบียมีความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ที่ยาวนานกับสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความมั่นคงและพลังงาน อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้มีความซับซ้อนและเผชิญกับความท้าทายในบางครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นสิทธิมนุษยชนและการเมืองในภูมิภาค นอกจากนี้ ซาอุดีอาระเบียยังพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่หลากหลายกับมหาอำนาจอื่น ๆ เช่น จีนและรัสเซีย เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มทางเลือกทางการทูต
โดยรวมแล้ว นโยบายต่างประเทศของซาอุดีอาระเบียเป็นการผสมผสานระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ อุดมการณ์ทางศาสนา และการพิจารณาทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งมักนำไปสู่การดำเนินนโยบายที่ระมัดระวังแต่ก็พร้อมที่จะใช้เครื่องมือต่าง ๆ รวมถึงการทูต เศรษฐกิจ และการทหาร เพื่อบรรลุเป้าหมายของตน
7.2. ความสัมพันธ์กับประเทศสำคัญ
ซาอุดีอาระเบียมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและหลากหลายกับประเทศสำคัญต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งมีทั้งพันธมิตรและความขัดแย้ง ดังนี้:
- สหรัฐอเมริกา: ความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอเมริกาเป็นความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ที่ยาวนานและสำคัญที่สุดประเทศหนึ่งของซาอุดีอาระเบีย โดยมีพื้นฐานมาจากผลประโยชน์ร่วมกันในด้านพลังงาน (น้ำมัน) และความมั่นคงในภูมิภาค สหรัฐฯ เป็นผู้จัดหาอาวุธรายใหญ่ให้กับซาอุดีอาระเบีย และทั้งสองประเทศมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในการต่อต้านการก่อการร้าย อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้มีความตึงเครียดเป็นระยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นสิทธิมนุษยชนในซาอุดีอาระเบีย การแทรกแซงของซาอุดีอาระเบียในสงครามเยเมน และบทบาทของซาอุดีอาระเบียในเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน การเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ ต่อภูมิภาคตะวันออกกลาง เช่น ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ก็ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์นี้เช่นกัน ผลกระทบของความสัมพันธ์นี้ต่อสิทธิมนุษยชนและเสถียรภาพในภูมิภาคมักเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ โดยนักวิจารณ์ชี้ว่าการสนับสนุนของสหรัฐฯ ทำให้ซาอุดีอาระเบียสามารถละเลยประเด็นสิทธิมนุษยชนและดำเนินนโยบายที่ก้าวร้าวในภูมิภาคได้
- อิหร่าน: ความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดีอาระเบียและอิหร่านเต็มไปด้วยความตึงเครียดและการแข่งขันเพื่ออิทธิพลในภูมิภาค ทั้งสองประเทศมีความแตกต่างทางอุดมการณ์ (ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้นำโลกซุนนี ในขณะที่อิหร่านเป็นผู้นำโลกชีอะฮ์) และสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามในความขัดแย้งหลายแห่งในตะวันออกกลาง เช่น ซีเรีย เยเมน และเลบานอน ความขัดแย้งนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อเสถียรภาพในภูมิภาคและสิทธิมนุษยชนของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามตัวแทน ในปี 2016 ซาอุดีอาระเบียตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่านหลังจากผู้ประท้วงชาวอิหร่านโจมตีสถานทูตซาอุดีอาระเบียในกรุงเตหะรานเพื่อตอบโต้การประหารชีวิตนักบวชชีอะฮ์ชาวซาอุดีอาระเบีย อย่างไรก็ตาม ในปี 2023 ด้วยการไกล่เกลี่ยของจีน ทั้งสองประเทศได้ตกลงที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงในพลวัตของภูมิภาค
- ประเทศอาหรับเพื่อนบ้าน: ซาอุดีอาระเบียมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประเทศสมาชิกสภาความร่วมมืออ่าว (GCC) อื่น ๆ เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต บาห์เรน และโอมาน โดยมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความมั่นคง อย่างไรก็ตาม ก็มีความตึงเครียดเป็นครั้งคราว เช่น ความขัดแย้งกับกาตาร์ในปี 2017-2021 ซึ่งซาอุดีอาระเบียและพันธมิตรได้ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตและปิดล้อมกาตาร์ ความสัมพันธ์กับอิรักมีความซับซ้อน โดยทั้งสองประเทศเคยมีความขัดแย้งกันในอดีต แต่ก็มีความพยายามในการปรับปรุงความสัมพันธ์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์กับเยเมนได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแทรกแซงทางทหารของซาอุดีอาระเบียในสงครามกลางเมืองเยเมน ซึ่งก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมที่ร้ายแรงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
- ความสัมพันธ์กับประเทศไทย: ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบียเคยมีความตึงเครียดเป็นเวลานานหลายทศวรรษหลังจากเหตุการณ์คดีเพชรซาอุในปี 1989 ซึ่งนำไปสู่การลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตและการจำกัดการเดินทางของคนไทยไปยังซาอุดีอาระเบีย อย่างไรก็ตาม ในปี 2022 ทั้งสองประเทศได้ประกาศฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสใหม่สำหรับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว
- ความสัมพันธ์กับประเทศญี่ปุ่น: ญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าที่สำคัญของซาอุดีอาระเบีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านพลังงาน ญี่ปุ่นนำเข้าน้ำมันดิบจำนวนมากจากซาอุดีอาระเบีย และทั้งสองประเทศมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีในหลาย ๆ ด้าน ซาอุดีอาระเบียมองว่าญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภายใต้แผน "ซาอุดีวิชั่น 2030"
ผลกระทบของความสัมพันธ์เหล่านี้ต่อสิทธิมนุษยชนและเสถียรภาพในภูมิภาคมักเป็นประเด็นที่ซับซ้อน การเป็นพันธมิตรกับมหาอำนาจตะวันตกอาจทำให้ซาอุดีอาระเบียได้รับการปกป้องจากการวิพากษ์วิจารณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในระดับหนึ่ง ในขณะที่ความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อิหร่านและเยเมน ได้นำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางและความไร้เสถียรภาพในภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์เหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิหร่าน อาจมีผลกระทบที่สำคัญต่ออนาคตของตะวันออกกลาง
7.3. กิจกรรมในองค์การระหว่างประเทศ
ซาอุดีอาระเบียเป็นสมาชิกและมีบทบาทอย่างแข็งขันในองค์การระหว่างประเทศหลายแห่ง ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญทางเศรษฐกิจ การเมือง และศาสนาของประเทศในเวทีโลก:
- สหประชาชาติ (UN): ซาอุดีอาระเบียเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งสหประชาชาติในปี ค.ศ. 1945 ประเทศมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ของ UN รวมถึงการรักษาสันติภาพ การพัฒนา และสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตาม ซาอุดีอาระเบียมักถูกวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรสิทธิมนุษยชนและประเทศสมาชิกบางประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนภายในประเทศ
- องค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออก (OPEC): ซาอุดีอาระเบียเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งและเป็นผู้มีอิทธิพลมากที่สุดใน OPEC องค์กรนี้มีบทบาทสำคัญในการประสานงานนโยบายน้ำมันของประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดน้ำมันโลกและผลประโยชน์ของประเทศสมาชิก ซาอุดีอาระเบียมักถูกมองว่าเป็น "ผู้ผลิตแบบสวิง" (swing producer) ที่สามารถเพิ่มหรือลดการผลิตน้ำมันเพื่อส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก
- สภาความร่วมมืออ่าว (GCC): ซาอุดีอาระเบียเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งและเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจและอิทธิพลทางการเมืองมากที่สุดใน GCC ซึ่งเป็นองค์กรความร่วมมือระดับภูมิภาคของ 6 ประเทศอาหรับในอ่าวเปอร์เซีย (ซาอุดีอาระเบีย, คูเวต, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, กาตาร์, บาห์เรน, และโอมาน) GCC มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงระหว่างประเทศสมาชิก
- องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC): ซาอุดีอาระเบียเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งและมีบทบาทนำใน OIC ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก UN ประกอบด้วยประเทศสมาชิก 57 ประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม OIC มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความเป็นเอกภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศมุสลิมในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม สำนักงานใหญ่ของ OIC ตั้งอยู่ที่เมืองญิดดะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย
นอกจากนี้ ซาอุดีอาระเบียยังเป็นสมาชิกขององค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ เช่น สันนิบาตอาหรับ, กลุ่ม 20 (G20), กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF), และธนาคารโลก ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของประเทศในเศรษฐกิจและการเมืองโลก การมีส่วนร่วมในองค์กรเหล่านี้ช่วยให้ซาอุดีอาระเบียสามารถส่งเสริมผลประโยชน์ของตน สร้างพันธมิตร และมีอิทธิพลต่อนโยบายระหว่างประเทศในประเด็นต่าง ๆ ที่สำคัญ
7.4. การประเมินและข้อโต้เถียงในประชาคมระหว่างประเทศ
ซาอุดีอาระเบียเผชิญกับการประเมินและข้อโต้เถียงมากมายจากประชาคมระหว่างประเทศในหลายประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องสิทธิมนุษยชน บทบาทในความขัดแย้งระดับภูมิภาค และการสนับสนุนอุดมการณ์ทางศาสนาที่ถูกมองว่าสุดโต่ง
- การสนับสนุนการก่อการร้าย: ข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงที่สุดประการหนึ่งคือการที่ซาอุดีอาระเบียถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนทางการเงินและอุดมการณ์แก่กลุ่มก่อการร้ายอิสลามหัวรุนแรงทั่วโลก รวมถึงอัลกออิดะฮ์และไอซิส แม้ว่ารัฐบาลซาอุดีอาระเบียจะปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้อย่างแข็งขันและชี้ให้เห็นถึงความพยายามในการต่อต้านการก่อการร้าย แต่การเผยแพร่แนวคิดวะฮาบีย์ ซึ่งเป็นแนวคิดทางศาสนาที่เคร่งครัดของซาอุดีอาระเบีย ถูกมองว่ามีส่วนทำให้เกิดการเติบโตของกลุ่มสุดโต่งในหลายพื้นที่ การที่พลเมืองซาอุดีอาระเบียจำนวนหนึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายนยิ่งทำให้ข้อกล่าวหานี้รุนแรงขึ้น มุมมองของผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อการร้ายมักชี้ไปที่ความเชื่อมโยงระหว่างอุดมการณ์วะฮาบีย์กับการกระทำของกลุ่มก่อการร้าย
- การแทรกแซงในสงครามกลางเมืองเยเมน: การที่ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้นำพันธมิตรอาหรับในการแทรกแซงทางทหารในเยเมนตั้งแต่ปี 2015 เพื่อต่อต้านกลุ่มกบฏฮูษี ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากประชาคมระหว่างประเทศ การโจมตีทางอากาศของพันธมิตรได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อพลเรือนจำนวนมาก ทำลายโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ และทำให้เกิดวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก องค์กรสิทธิมนุษยชนได้บันทึกการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศโดยทุกฝ่ายในความขัดแย้ง รวมถึงการโจมตีโรงพยาบาล โรงเรียน และตลาดโดยพันธมิตรที่นำโดยซาอุดีอาระเบีย การปิดล้อมท่าเรือและสนามบินของเยเมนโดยพันธมิตรยังทำให้สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมเลวร้ายลงไปอีก ท่าทีของรัฐบาลซาอุดีอาระเบียคือการยืนยันว่าการแทรกแซงมีความจำเป็นเพื่อฟื้นฟูรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายของเยเมนและต่อต้านอิทธิพลของอิหร่านในภูมิภาค
- สถานการณ์สิทธิมนุษยชนภายในประเทศ: ดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อก่อนหน้า ซาอุดีอาระเบียเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนภายในประเทศ รวมถึงการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุม การเลือกปฏิบัติต่อสตรีและชนกลุ่มน้อยทางศาสนา การใช้โทษประหารชีวิตอย่างกว้างขวาง และการปฏิบัติต่อแรงงานข้ามชาติ การสังหารนักข่าวชาวซาอุดีอาระเบีย ญะมาล คอชุกญี ในสถานกงสุลซาอุดีอาระเบียในอิสตันบูลในปี 2018 ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศเสื่อมเสียลงไปอีก รัฐบาลซาอุดีอาระเบียอ้างว่ากำลังดำเนินการปฏิรูปเพื่อปรับปรุงสถานการณ์สิทธิมนุษยชน แต่กลุ่มสิทธิมนุษยชนมองว่าการปฏิรูปเหล่านี้ยังไม่เพียงพอและมักเป็นเพียงการสร้างภาพลักษณ์
- การฟอกขาวภาพลักษณ์ผ่านกีฬา (Sportswashing): ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซาอุดีอาระเบียได้ลงทุนอย่างมากในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติและการซื้อสโมสรกีฬาที่มีชื่อเสียง ซึ่งถูกมองว่าเป็นความพยายามในการ "ฟอกขาวภาพลักษณ์" (Sportswashing) เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนและปรับปรุงภาพลักษณ์ของประเทศในสายตาประชาคมระหว่างประเทศ
ท่าทีของรัฐบาลซาอุดีอาระเบียต่อประเด็นเหล่านี้มักเป็นการปฏิเสธข้อกล่าวหา อ้างอธิปไตยแห่งชาติ และชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการปฏิรูป อย่างไรก็ตาม ประชาคมระหว่างประเทศยังคงกดดันให้ซาอุดีอาระเบียดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชนและปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบต่อพลเรือนในความขัดแย้งและสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
8. การทหาร

กองทัพซาอุดีอาระเบีย ประกอบด้วยหลายหน่วยงานหลัก ได้แก่ กองทัพบก กองทัพอากาศ กองทัพเรือ กองกำลังป้องกันภัยทางอากาศ และกองกำลังขีปนาวุธทางยุทธศาสตร์ นอกจากนี้ยังมีกองกำลังพิทักษ์ชาติ (Saudi Arabian National Guard - SANG) ซึ่งเป็นกองกำลังกึ่งทหารที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาความมั่นคงภายในและป้องกันราชวงศ์ และกองกำลังกึ่งทหารอื่น ๆ ภายใต้กระทรวงมหาดไทย เช่น กองกำลังรักษาชายแดน และกองกำลังรักษาความปลอดภัยของสถานที่สำคัญ รวมถึงหน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐ เช่น กองกำลังความมั่นคงพิเศษและกองกำลังฉุกเฉิน
ซาอุดีอาระเบียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการใช้จ่ายทางทหารสูงที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ โดยคิดเป็นประมาณร้อยละ 7-8 ของGDP ในปี 2023 สถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) จัดให้ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่มีการใช้จ่ายทางทหารมากเป็นอันดับห้าของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา รัสเซีย อินเดีย และจีน และเป็นผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่อันดับสองของโลกในช่วงปี 2019-2023 โดยรับอาวุธส่งออกจากสหรัฐฯ ถึงร้อยละ 15 การใช้จ่ายด้านกลาโหมและความมั่นคงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 โดยมีมูลค่าประมาณ 78.40 B USD ในปี 2019 ซาอุดีอาระเบียมีคลังแสงอาวุธที่ทันสมัยและมีเทคโนโลยีสูง ทำให้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการติดอาวุธหนาแน่นที่สุดในโลก
พันธมิตรทางทหารที่สำคัญของซาอุดีอาระเบียคือสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้จัดหาอาวุธและการฝึกอบรมหลักให้กับกองทัพซาอุดีอาระเบีย ซาอุดีอาระเบียยังมีความสัมพันธ์ทางทหารที่ยาวนานกับปากีสถาน และมีการคาดการณ์ว่าซาอุดีอาระเบียอาจให้ทุนสนับสนุนโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของปากีสถานอย่างลับ ๆ และพยายามที่จะซื้ออาวุธนิวเคลียร์จากปากีสถานในอนาคต
บทบาททางทหารของซาอุดีอาระเบียมีความโดดเด่นในการแทรกแซงสงครามกลางเมืองในเยเมนตั้งแต่ปี 2015 ซึ่งนำโดยซาอุดีอาระเบียเพื่อสนับสนุนรัฐบาลเยเมนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลต่อสู้กับกลุ่มกบฏฮูษี การแทรกแซงนี้รวมถึงการโจมตีทางอากาศอย่างกว้างขวางและการส่งกำลังภาคพื้นดินเข้าไปในเยเมน การใช้จ่ายทางทหารที่สูงและการแทรกแซงในความขัดแย้งได้ส่งผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจต่อซาอุดีอาระเบีย รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติเกี่ยวกับผลกระทบด้านมนุษยธรรมในเยเมน การพัฒนากองทัพและการจัดซื้ออาวุธยังคงเป็นส่วนสำคัญของนโยบายความมั่นคงของซาอุดีอาระเบีย ท่ามกลางความตึงเครียดในภูมิภาคและความท้าทายด้านความมั่นคงต่าง ๆ
9. เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบียเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลางและใหญ่เป็นอันดับที่ 18 ของโลก โดยมีพื้นฐานหลักมาจากอุตสาหกรรมน้ำมัน ประเทศนี้เป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกและมีปริมาณน้ำมันสำรองที่พิสูจน์แล้วมากเป็นอันดับสองของโลก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกำลังพยายามกระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจภายใต้แผน "ซาอุดีวิชั่น 2030" เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันและส่งเสริมภาคส่วนอื่น ๆ เช่น การท่องเที่ยว การเงิน และเทคโนโลยี

9.1. น้ำมันและทรัพยากรธรรมชาติ
ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในตลาดพลังงานโลก เนื่องจากมีปริมาณน้ำมันสำรองที่พิสูจน์แล้วมากเป็นอันดับสองของโลกรองจากเวเนซุเอลา โดยคาดว่ามีปริมาณสำรองประมาณ 260-270 พันล้านบาร์เรล ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณหนึ่งในห้าของปริมาณน้ำมันสำรองทั้งหมดของโลก ประเทศนี้เป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับสามของโลก (รองจากสหรัฐอเมริกาและรัสเซียในบางช่วงเวลา) และเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกมาอย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมน้ำมันเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจซาอุดีอาระเบีย โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 42 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ร้อยละ 90 ของรายได้จากการส่งออก และร้อยละ 70 ของรายได้ภาครัฐ บริษัทน้ำมันแห่งชาติ ซาอุดีอารามโก (Saudi Aramco) เป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกและมีบทบาทสำคัญในการผลิตและส่งออกน้ำมันของประเทศ
ผลกระทบของอุตสาหกรรมน้ำมันต่อเศรษฐกิจของประเทศมีทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ ในด้านบวก รายได้จากน้ำมันได้ช่วยให้ซาอุดีอาระเบียสามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา และบริการสาธารณสุขได้อย่างรวดเร็ว และสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศและราชวงศ์ อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาน้ำมันมากเกินไปทำให้เศรษฐกิจมีความเปราะบางต่อความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก และยังทำให้การพัฒนาภาคส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจเป็นไปได้ช้า
นอกจากน้ำมันแล้ว ซาอุดีอาระเบียยังมีทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ ที่สำคัญ เช่น แก๊สธรรมชาติ ซึ่งมีปริมาณสำรองมากเป็นอันดับหกของโลก และมีการผลิตและส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีแหล่งแร่ธาตุอื่น ๆ เช่น ทองคำ ฟอสเฟต บอกไซต์ และสังกะสี ซึ่งรัฐบาลกำลังพยายามส่งเสริมการทำเหมืองแร่เพื่อเพิ่มความหลากหลายทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ขนาดของอุตสาหกรรมเหล่านี้ยังเล็กกว่าอุตสาหกรรมน้ำมันและแก๊สธรรมชาติมาก
9.2. แผนพัฒนาเศรษฐกิจ (ซาอุดีวิชั่น 2030)
"ซาอุดีวิชั่น 2030" (Saudi Vision 2030) เป็นแผนยุทธศาสตร์ชาติที่ครอบคลุมและมีความทะเยอทะยาน ซึ่งเปิดตัวโดยมกุฎราชกุมารมุฮัมมัด บิน ซัลมานในปี ค.ศ. 2016 โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันของประเทศ สร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจ และพัฒนาภาคส่วนสาธารณะ เช่น สาธารณสุข การศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน นันทนาการ และการท่องเที่ยว
เนื้อหาหลักของซาอุดีวิชั่น 2030 ประกอบด้วยสามเสาหลัก ได้แก่ เศรษฐกิจที่เฟื่องฟู (A Vibrant Economy) สังคมที่มีชีวิตชีวา (A Vibrant Society) และ ประเทศชาติที่มีความทะเยอทะยาน (An Ambitious Nation)
- เศรษฐกิจที่เฟื่องฟู: มุ่งเน้นการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชน การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ การพัฒนาอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่น้ำมัน เช่น การท่องเที่ยว การเงิน เทคโนโลยี และพลังงานหมุนเวียน การสร้างงานสำหรับพลเมืองซาอุดีอาระเบีย และการเพิ่มสัดส่วนการส่งออกที่ไม่ใช่น้ำมัน โครงการสำคัญภายใต้เสาหลักนี้รวมถึงการพัฒนาเมืองใหม่นีอุม (NEOM) ซึ่งเป็นเมืองอัจฉริยะแห่งอนาคต และการแปรรูปรัฐวิสาหกิจบางส่วน รวมถึงการเสนอขายหุ้นบางส่วนของบริษัทน้ำมันแห่งชาติซาอุดีอารามโก
- สังคมที่มีชีวิตชีวา: มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน การส่งเสริมวัฒนธรรมและนันทนาการ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชน การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสตรีในสังคมและเศรษฐกิจ และการพัฒนาภาคการศึกษาและสาธารณสุข การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญภายใต้เสาหลักนี้รวมถึงการอนุญาตให้ผู้หญิงขับรถ การเปิดโรงภาพยนตร์ และการจัดกิจกรรมบันเทิงต่าง ๆ
- ประเทศชาติที่มีความทะเยอทะยาน: มุ่งเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพของภาครัฐ การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน การส่งเสริมความโปร่งใสและความรับผิดชอบ และการเสริมสร้างบทบาทของซาอุดีอาระเบียในเวทีระหว่างประเทศ
เป้าหมายสำคัญของซาอุดีวิชั่น 2030 รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนของภาคเอกชนใน GDP จากร้อยละ 40 เป็นร้อยละ 65 การเพิ่มการลงทุนจากต่างประเทศโดยตรงจากร้อยละ 3.8 ของ GDP เป็นร้อยละ 5.7 การลดอัตราการว่างงานจากร้อยละ 11.6 เป็นร้อยละ 7 และการเพิ่มสัดส่วนการมีส่วนร่วมของสตรีในกำลังแรงงานจากร้อยละ 22 เป็นร้อยละ 30
สถานะการดำเนินการของซาอุดีวิชั่น 2030 มีความคืบหน้าในหลายด้าน เช่น การปฏิรูปทางเศรษฐกิจและสังคม การดึงดูดการลงทุน และการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม แผนนี้ยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ รวมถึงความผันผวนของราคาน้ำมัน การระบาดของโควิด-19 ความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนทัศนคติและวัฒนธรรมองค์กร และความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม
ผลกระทบทางสังคมของซาอุดีวิชั่น 2030 เป็นประเด็นที่ซับซ้อน ในด้านหนึ่ง แผนนี้ได้นำไปสู่การเปิดเสรีทางสังคมมากขึ้นและการเพิ่มโอกาสสำหรับสตรีและเยาวชน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสิทธิแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแรงงานข้ามชาติ ความเท่าเทียมทางเพศและโอกาสที่แท้จริง และปัญหาสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ การสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ การเปิดเสรีทางสังคม และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับซาอุดีวิชั่น 2030
9.3. อุตสาหกรรมหลัก
นอกเหนือจากอุตสาหกรรมน้ำมันและแก๊สธรรมชาติซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจซาอุดีอาระเบียแล้ว ประเทศยังพยายามพัฒนาภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพื่อสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจและลดการพึ่งพาน้ำมันภายใต้แผน "ซาอุดีวิชั่น 2030" อุตสาหกรรมหลักนอกเหนือจากน้ำมัน ได้แก่:
- เกษตรกรรม: แม้ว่าซาอุดีอาระเบียจะมีสภาพอากาศแห้งแล้ง แต่รัฐบาลได้ลงทุนอย่างมากในการพัฒนาภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำใต้ดินหรือใช้น้ำจากการกลั่นน้ำทะเล พืชผลสำคัญ ได้แก่ อินทผลัม (ซาอุดีอาระเบียเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอินทผลัมรายใหญ่ที่สุดของโลก) ข้าวสาลี (แม้ว่าการผลิตจะลดลงเพื่ออนุรักษ์น้ำ) ผัก และผลไม้ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงปศุสัตว์ เช่น อูฐ แกะ และแพะ อย่างไรก็ตาม ภาคเกษตรกรรมยังคงเผชิญกับความท้าทายจากการขาดแคลนน้ำและการแข่งขันจากสินค้านำเข้า ศักยภาพในการพัฒนาขึ้นอยู่กับการนำเทคโนโลยีการเกษตรที่ใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพมาใช้และการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
- การท่องเที่ยว (รวมถึงการแสวงบุญ): การท่องเที่ยวเป็นภาคส่วนที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง การแสวงบุญฮัจญ์และอุมเราะฮ์ที่นครมักกะฮ์และมะดีนะฮ์ดึงดูดชาวมุสลิมหลายล้านคนจากทั่วโลกในแต่ละปี และเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญ รัฐบาลกำลังพยายามส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ไม่ใช่ศาสนาด้วย โดยการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ เช่น เมืองนีอุม (NEOM) โครงการทะเลแดง (Red Sea Project) และการอนุรักษ์แหล่งมรดกทางวัฒนธรรม การเปิดเสรีทางสังคมและการออกวีซ่านักท่องเที่ยวเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามนี้ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาการท่องเที่ยวต้องเผชิญกับความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์วัฒนธรรมและศาสนา การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอ และการฝึกอบรมบุคลากร
- การเงิน: ภาคการเงินของซาอุดีอาระเบียมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินอื่น ๆ ให้บริการที่หลากหลาย ตลาดหลักทรัพย์ซาอุดีอาระเบีย (Tadawul) เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง รัฐบาลกำลังพยายามส่งเสริมให้ซาอุดีอาระเบียเป็นศูนย์กลางทางการเงินในภูมิภาค โดยการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech)
- การผลิต: ภาคนอกเหนือจากน้ำมันและปิโตรเคมี ภาครัฐบาลกำลังพยายามส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตในสาขาอื่น ๆ เช่น วัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์โลหะ อาหารและเครื่องดื่ม และยา อย่างไรก็ตาม ภาคการผลิตยังคงมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมน้ำมัน และต้องเผชิญกับการแข่งขันจากสินค้านำเข้าราคาถูก ศักยภาพในการพัฒนาขึ้นอยู่กับการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทักษะแรงงาน และการส่งเสริมนวัตกรรม
อุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการพัฒนา ได้แก่ การทำเหมืองแร่ (นอกเหนือจากน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ) พลังงานหมุนเวียน (โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์) และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ความสำเร็จในการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับความสามารถของซาอุดีอาระเบียในการดึงดูดการลงทุน การพัฒนานวัตกรรม และการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้ออำนวย
9.4. แรงงานและแรงงานต่างชาติ
ตลาดแรงงานของซาอุดีอาระเบียมีลักษณะเฉพาะคือการพึ่งพาแรงงานต่างชาติในระดับสูงมาเป็นเวลานาน ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็พยายามส่งเสริมนโยบายการจ้างงานคนในชาติ (Saudization) เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของพลเมืองซาอุดีอาระเบียในกำลังแรงงาน
- การพึ่งพาแรงงานต่างชาติ: แรงงานต่างชาติมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจซาอุดีอาระเบีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเอกชนและงานที่ต้องใช้ทักษะต่ำถึงปานกลาง เช่น งานก่อสร้าง งานบริการ งานแม่บ้าน และงานในภาคเกษตรกรรม แรงงานเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากประเทศในเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศอาหรับอื่น ๆ การพึ่งพาแรงงานต่างชาติมีสาเหตุหลายประการ รวมถึงการขาดแคลนทักษะในหมู่พลเมืองซาอุดีอาระเบียสำหรับงานบางประเภท ทัศนคติทางสังคมที่ไม่ส่งเสริมการทำงานในบางภาคส่วน และความพร้อมของแรงงานต่างชาติที่มีค่าจ้างต่ำกว่า
- นโยบายการจ้างงานคนในชาติ (Saudization หรือ Nitaqat): รัฐบาลซาอุดีอาระเบียได้ดำเนินนโยบาย Saudization มาเป็นเวลาหลายปี โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มอัตราการจ้างงานของพลเมืองซาอุดีอาระเบียในภาคเอกชน นโยบายนี้กำหนดโควตาการจ้างงานคนในชาติสำหรับบริษัทต่าง ๆ และให้สิทธิประโยชน์แก่บริษัทที่ปฏิบัติตามโควตา ในขณะที่ลงโทษบริษัทที่ไม่ปฏิบัติตาม แม้ว่านโยบายนี้จะประสบความสำเร็จในการเพิ่มจำนวนพลเมืองซาอุดีอาระเบียที่ทำงานในภาคเอกชนบ้าง แต่ก็ยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ รวมถึงการขาดทักษะที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ทัศนคติเกี่ยวกับการทำงาน และความแตกต่างของค่าจ้างระหว่างพลเมืองซาอุดีอาระเบียและแรงงานต่างชาติ
- สิทธิของแรงงานข้ามชาติ: สิทธิของแรงงานข้ามชาติในซาอุดีอาระเบียเป็นประเด็นที่น่ากังวลมาโดยตลอด องค์กรสิทธิมนุษยชนได้บันทึกการละเมิดสิทธิแรงงานจำนวนมาก รวมถึงการไม่จ่ายค่าจ้างหรือจ่ายค่าจ้างล่าช้า การยึดหนังสือเดินทาง การทำงานในสภาพที่เลวร้ายและเป็นอันตราย การถูกจำกัดการเดินทาง และการถูกล่วงละเมิดทางร่างกายและทางเพศ ระบบกะฟาละฮ์ (kafala system) หรือระบบนายจ้างค้ำประกัน ซึ่งผูกมัดแรงงานไว้กับนายจ้างและจำกัดความสามารถในการเปลี่ยนงานหรือเดินทางออกนอกประเทศ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นต้นเหตุของการละเมิดสิทธิเหล่านี้ แม้ว่ารัฐบาลซาอุดีอาระเบียจะได้ดำเนินการปฏิรูปบางประการเพื่อปรับปรุงการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติ แต่การบังคับใช้กฎหมายและการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมยังคงเป็นความท้าทาย
- ประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวข้อง: การพึ่งพาแรงงานต่างชาติและการดำเนินนโยบาย Saudization ได้ก่อให้เกิดประเด็นทางสังคมหลายประการ รวมถึงความตึงเครียดทางสังคมระหว่างพลเมืองซาอุดีอาระเบียและแรงงานต่างชาติ ผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม และความท้าทายในการสร้างความสมดุลระหว่างความต้องการแรงงานของภาคเอกชนและการสร้างงานที่มีคุณภาพสำหรับพลเมืองซาอุดีอาระเบีย การส่งเสริมการศึกษาและการฝึกอบรมทักษะที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน การปรับเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับการทำงาน และการปรับปรุงการคุ้มครองสิทธิแรงงานเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ในระยะยาว
10. สังคม
สังคมซาอุดีอาระเบียมีลักษณะผสมผสานระหว่างความเป็นอนุรักษ์นิยมทางศาสนาและประเพณีดั้งเดิม กับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจที่รวดเร็วอันเนื่องมาจากการค้นพบน้ำมันและการเปิดรับอิทธิพลจากภายนอกมากขึ้น
10.1. องค์ประกอบของประชากร
ตามข้อมูลล่าสุด (แม้ว่าการสำรวจสำมะโนประชากรอย่างเป็นทางการอาจมีข้อมูลที่แตกต่างกันในแต่ละปี) ซาอุดีอาระเบียมีประชากรประมาณ 32.2 ล้านคน (ข้อมูลปี 2022 จากการสำรวจสำมะโนประชากร) ซึ่งรวมทั้งพลเมืองซาอุดีอาระเบียและผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศแต่ไม่ได้ถือสัญชาติซาอุดีอาระเบีย (ส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างชาติ)
- อัตราการเติบโตของประชากร: ซาอุดีอาระเบียเคยมีอัตราการเติบโตของประชากรที่สูงมาก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอัตราการเติบโตเริ่มชะลอตัวลงบ้าง
- โครงสร้างอายุ: ประชากรซาอุดีอาระเบียมีลักษณะเป็นประชากรวัยหนุ่มสาว โดยมีสัดส่วนเยาวชน (ผู้มีอายุต่ำกว่า 25 ปี) สูงมาก ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราการเกิดที่สูงในอดีต โครงสร้างอายุนี้ก่อให้เกิดทั้งโอกาสและความท้าทายในด้านการศึกษา การจ้างงาน และการให้บริการทางสังคม
- สัดส่วนระหว่างพลเมืองและแรงงานต่างชาติ: แรงงานต่างชาติคิดเป็นสัดส่วนที่สำคัญของประชากรทั้งหมด โดยประมาณการณ์ว่าอาจสูงถึงหนึ่งในสามของประชากรทั้งหมด แรงงานเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากประเทศในเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศอาหรับอื่น ๆ การพึ่งพาแรงงานต่างชาติในระดับสูงเป็นลักษณะเด่นของเศรษฐกิจซาอุดีอาระเบีย
- องค์ประกอบทางชาติพันธุ์: ประชากรส่วนใหญ่ของซาอุดีอาระเบียเป็นชาวอาหรับ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของโลกอิสลามและมีการติดต่อค้าขายมาเป็นเวลานาน จึงมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์อยู่บ้าง รวมถึงผู้ที่มีเชื้อสายแอฟริกัน เอเชียใต้ และเปอร์เซีย นอกจากนี้ แรงงานต่างชาติจำนวนมากยังเพิ่มความหลากหลายทางชาติพันธุ์ในประเทศอีกด้วย แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ถือสัญชาติซาอุดีอาระเบียก็ตาม
10.2. ภาษา
ภาษาอาหรับ (العربيةอัลอะเราะบียะฮ์ภาษาอาหรับ) เป็นภาษาราชการของซาอุดีอาระเบีย และเป็นภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน การศึกษา สื่อสารมวลชน และการบริหารราชการ ภาษาอาหรับที่ใช้เป็นภาษาเขียนมาตรฐานคือภาษาอาหรับมาตรฐานสมัยใหม่ (Modern Standard Arabic - MSA) ซึ่งมีพื้นฐานมาจากภาษาอาหรับคลาสสิก (ภาษาของคัมภีร์กุรอาน)
นอกจากภาษาอาหรับมาตรฐานแล้ว ยังมีภาษาอาหรับถิ่น (dialects) ที่หลากหลายซึ่งพูดกันในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ ภาษาถิ่นหลัก ๆ ได้แก่:
- ภาษาอาหรับนัจญ์ดี (Najdi Arabic): พูดกันในภูมิภาคตอนกลางของประเทศ รวมถึงกรุงรียาด
- ภาษาอาหรับฮิญาซ (Hejazi Arabic): พูดกันในภูมิภาคตะวันตก รวมถึงนครมักกะฮ์และมะดีนะฮ์
- ภาษาอาหรับอ่าว (Gulf Arabic): พูดกันในภูมิภาคตะวันออกตามแนวชายฝั่งอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งคล้ายกับภาษาถิ่นที่พูดในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น คูเวต บาห์เรน และกาตาร์
- ภาษาอาหรับใต้: มีภาษาถิ่นย่อย ๆ อีกหลายภาษาที่พูดกันในภูมิภาคทางใต้ของประเทศ
ภาษาถิ่นเหล่านี้มีความแตกต่างกันในด้านคำศัพท์ การออกเสียง และไวยากรณ์ แต่โดยทั่วไปแล้วผู้พูดภาษาถิ่นต่าง ๆ ยังสามารถสื่อสารกันได้ในระดับหนึ่ง
เนื่องจากมีแรงงานต่างชาติจำนวนมากในซาอุดีอาระเบีย จึงมีการใช้ภาษาอื่น ๆ อย่างแพร่หลายในชุมชนชาวต่างชาติ ภาษาที่ใช้กันมากในหมู่แรงงานต่างชาติ ได้แก่ ภาษาอังกฤษ (ซึ่งใช้เป็นภาษาธุรกิจและในภาคส่วนบริการบางแห่ง) ภาษาอูรดู ภาษาฮินดี ภาษาเบงกอล ภาษาตากาล็อก ภาษาอินโดนีเซีย และภาษาอื่น ๆ จากประเทศต้นทางของแรงงาน
ภาษาอังกฤษมีการสอนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย และมีความสำคัญมากขึ้นในฐานะภาษาที่สอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคธุรกิจและการท่องเที่ยว
10.3. ศาสนา

ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติของซาอุดีอาระเบีย และมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อทุกด้านของชีวิตในประเทศ ทั้งในด้านกฎหมาย การเมือง สังคม และวัฒนธรรม ประชากรเกือบทั้งหมดของซาอุดีอาระเบียเป็นชาวมุสลิม โดยส่วนใหญ่เป็นนิกายซุนนี
- นิกายซุนนีวะฮาบีย์: รูปแบบของศาสนาอิสลามนิกายซุนนีที่โดดเด่นและเป็นทางการในซาอุดีอาระเบียคือแนวคิดวะฮาบีย์ (หรือที่ผู้สนับสนุนเรียกว่า "สะละฟีย์") ซึ่งก่อตั้งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยมุฮัมมัด อิบน์ อับดุลวะฮ์ฮาบ แนวคิดนี้เน้นการยึดมั่นในคัมภีร์กุรอานและซุนนะฮ์ (แบบอย่างของศาสดามุฮัมมัด) อย่างเคร่งครัด และปฏิเสธการตีความหรือการปฏิบัติทางศาสนาที่ถือว่าเบี่ยงเบนไปจากหลักการดั้งเดิม รัฐบาลซาอุดีอาระเบียให้การสนับสนุนแนวคิดวะฮาบีย์อย่างเป็นทางการ และแนวคิดนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อระบบกฎหมาย การศึกษา และบรรทัดฐานทางสังคม
- นิกายชีอะฮ์: มีชนกลุ่มน้อยชาวชีอะฮ์ในซาอุดีอาระเบีย โดยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในแคว้นตะวันออก โดยเฉพาะในเมืองเกาะฏีฟและอัลอะห์ซาอ์ ชาวชีอะฮ์ในซาอุดีอาระเบียส่วนใหญ่เป็นนิกายชีอะฮ์สิบสองอิมาม (Twelver Shia) และมีชนกลุ่มน้อยอิสมาอีลี (Ismaili) ในแคว้นนัจญ์รอนทางตอนใต้ ชาวชีอะฮ์มักเผชิญกับการเลือกปฏิบัติในด้านต่าง ๆ รวมถึงการจ้างงาน การศึกษา และการประกอบศาสนกิจ รัฐบาลซาอุดีอาระเบียมีความระแวงต่อชาวชีอะฮ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการปฏิวัติอิหร่านในปี 1979 และความตึงเครียดกับอิหร่านซึ่งเป็นประเทศชีอะฮ์
- กลุ่มศาสนาอื่น ๆ : การนับถือศาสนาอื่นที่ไม่ใช่อิสลามในที่สาธารณะเป็นสิ่งต้องห้ามในซาอุดีอาระเบีย ไม่มีโบสถ์คริสต์ วัด หรือศาสนสถานอื่น ๆ ที่ไม่ใช่มัสยิดได้รับอนุญาตให้สร้างขึ้นในประเทศ ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม (ส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างชาติ) สามารถประกอบศาสนกิจของตนได้เฉพาะในที่ส่วนตัวเท่านั้น การเปลี่ยนจากศาสนาอิสลามไปนับถือศาสนาอื่น (การละทิ้งศาสนา) ถือเป็นความผิดทางอาญาที่มีโทษถึงประหารชีวิต
- ข้อจำกัดในการประกอบศาสนกิจ: แม้แต่สำหรับชาวมุสลิมเอง การประกอบศาสนกิจก็อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล การเทศนาในมัสยิดต้องได้รับการอนุมัติจากทางการ และกิจกรรมทางศาสนาที่ไม่สอดคล้องกับแนวคิดวะฮาบีย์อาจถูกจำกัดหรือห้ามปราม
- ผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชน: การที่รัฐบาลให้การสนับสนุนแนวคิดทางศาสนาเฉพาะกลุ่มและจำกัดเสรีภาพทางศาสนาของกลุ่มอื่น ๆ ได้นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ การเลือกปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยทางศาสนา การขาดเสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือความเชื่อ และการลงโทษผู้ที่ละทิ้งศาสนาอิสลามถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
แม้ว่ารัฐบาลซาอุดีอาระเบียจะเริ่มมีการผ่อนปรนทางสังคมบางประการภายใต้แผน "ซาอุดีวิชั่น 2030" แต่อิทธิพลของศาสนาอิสลามนิกายวะฮาบีย์ยังคงแข็งแกร่ง และเสรีภาพทางศาสนายังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวล
10.4. การศึกษา

ระบบการศึกษาในซาอุดีอาระเบียได้รับการพัฒนาอย่างมากในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับการขยายโอกาสทางการศึกษาและการยกระดับคุณภาพการศึกษา การศึกษาเป็นภาคบังคับและไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับพลเมืองซาอุดีอาระเบียตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษา
ระบบการศึกษาแบ่งออกเป็นหลายระดับ:
- ระดับประถมศึกษา (Elementary Education): 6 ปี
- ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (Intermediate Education): 3 ปี
- ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (Secondary Education): 3 ปี ซึ่งนักเรียนสามารถเลือกเรียนในสายสามัญ สายอาชีวศึกษาและเทคนิค หรือสายศาสนา
- ระดับอุดมศึกษา (Higher Education): รวมถึงมหาวิทยาลัย วิทยาลัย และสถาบันทางเทคนิคต่าง ๆ
มหาวิทยาลัยหลัก ๆ ในซาอุดีอาระเบีย ได้แก่:
- มหาวิทยาลัยคิงซะอูด (King Saud University) ในกรุงรียาด เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ
- มหาวิทยาลัยอิสลามแห่งมะดีนะฮ์ (Islamic University of Madinah) ในนครมะดีนะฮ์ เน้นการสอนด้านศาสนาอิสลาม
- มหาวิทยาลัยคิงอับดุลอะซีซ (King Abdulaziz University) ในเมืองญิดดะฮ์
- มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคิงอับดุลลอฮ์ (King Abdullah University of Science and Technology - KAUST) เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาที่เน้นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในซาอุดีอาระเบียที่มีการเรียนการสอนแบบสหศึกษา (ชายหญิงเรียนร่วมกัน)
- มหาวิทยาลัยเจ้าหญิงนูรอ บินต์ อับดุรเราะห์มาน (Princess Nourah bint Abdulrahman University) เป็นมหาวิทยาลัยสตรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ความพยายามในการปฏิรูปการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของแผน "ซาอุดีวิชั่น 2030" โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงคุณภาพการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และพัฒนานวัตกรรม การปฏิรูปเหล่านี้รวมถึงการปรับปรุงหลักสูตร การฝึกอบรมครู การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนการสอน และการส่งเสริมการวิจัย
ลักษณะของการศึกษาศาสนายังคงมีความสำคัญอย่างยิ่งในระบบการศึกษาของซาอุดีอาระเบีย วิชาศาสนาอิสลามเป็นวิชาบังคับในทุกระดับการศึกษา และเนื้อหาส่วนใหญ่เน้นแนวคิดวะฮาบีย์ ซึ่งเป็นแนวคิดทางศาสนาที่รัฐบาลให้การสนับสนุน อย่างไรก็ตาม มีความพยายามในการปรับปรุงเนื้อหาตำราเรียนศาสนาเพื่อลดทัศนคติที่ส่งเสริมความเกลียดชังและส่งเสริมความอดทนอดกลั้นมากขึ้น
แม้จะมีความก้าวหน้าในการขยายโอกาสทางการศึกษา แต่ระบบการศึกษายังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ รวมถึงการยกระดับคุณภาพการศึกษาให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล การลดช่องว่างทางการศึกษาระหว่างเพศและภูมิภาค และการผลิตบัณฑิตที่มีทักษะตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานในศตวรรษที่ 21


10.5. สาธารณสุข

ซาอุดีอาระเบียมีระบบสาธารณสุขแห่งชาติที่รัฐบาลเป็นผู้ให้บริการหลักแก่พลเมืองโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย กระทรวงสาธารณสุข (Ministry of Health - MOH) เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในการให้บริการด้านการป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสมรรถภาพ ระบบสาธารณสุขของประเทศได้รับการพัฒนาอย่างมากในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีการลงทุนในโรงพยาบาล คลินิก และบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- สถานะการบริการทางการแพทย์: ซาอุดีอาระเบียมีโรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์ที่ทันสมัยจำนวนมาก ทั้งที่เป็นของรัฐและเอกชน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ มีการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้ามาใช้ และมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้งชาวซาอุดีอาระเบียและชาวต่างชาติให้บริการ อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพอาจยังมีความแตกต่างกันระหว่างในเมืองและในชนบท
- โรคภัยไข้เจ็บที่สำคัญ: เช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลก ซาอุดีอาระเบียกำลังเผชิญกับภาระโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases - NCDs) ที่เพิ่มสูงขึ้น เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน (ซาอุดีอาระเบียมีอัตราผู้ป่วยเบาหวานสูงมาก) มะเร็ง และโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยเสี่ยง เช่น การรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ การขาดการออกกำลังกาย และการสูบบุหรี่ นอกจากนี้ โรคติดต่อบางชนิด เช่น กลุ่มอาการของโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (MERS-CoV) ก็ยังคงเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่ต้องเฝ้าระวัง
- อายุขัยเฉลี่ย: อายุขัยเฉลี่ยของประชากรซาอุดีอาระเบียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 75-78 ปี ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของโลก
- นโยบายสาธารณสุขของรัฐบาล: รัฐบาลซาอุดีอาระเบียให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผน "ซาอุดีวิชั่น 2030" นโยบายสาธารณสุขมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพของบริการทางการแพทย์ การส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค การเพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการให้บริการด้านสุขภาพ และการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการวิจัยทางการแพทย์และการนำนวัตกรรมมาใช้ในการดูแลสุขภาพ
แม้จะมีความก้าวหน้าอย่างมาก แต่ระบบสาธารณสุขของซาอุดีอาระเบียยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ชาวซาอุดีอาระเบียในบางสาขา ความจำเป็นในการปรับปรุงการเข้าถึงบริการในพื้นที่ห่างไกล และการรับมือกับภาระโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เพิ่มสูงขึ้น
10.6. สถานภาพและสิทธิสตรี

สถานภาพและสิทธิสตรีในซาอุดีอาระเบียเป็นประเด็นที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้ว่าในอดีตผู้หญิงซาอุดีอาระเบียจะอยู่ภายใต้ข้อจำกัดทางสังคมและกฎหมายที่เข้มงวดมาก แต่ปัจจุบันเริ่มมีการปฏิรูปที่มุ่งส่งเสริมบทบาทและสิทธิของผู้หญิงมากขึ้น ภายใต้มุมมองเสรีนิยมสังคม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ถือเป็นก้าวสำคัญ แต่ก็ยังคงมีข้อจำกัดและความท้าทายอีกมาก
สถานภาพทางสังคมแบบดั้งเดิมและระบบผู้พิทักษ์ชาย:
ตามประเพณีและกฎหมายที่อิงตามการตีความศาสนาอิสลามแบบอนุรักษ์นิยม ผู้หญิงซาอุดีอาระเบียเคยอยู่ภายใต้ระบบผู้พิทักษ์ชาย (male guardianship system) อย่างเคร่งครัด ซึ่งหมายความว่าผู้หญิงจำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากผู้พิทักษ์ชาย (เช่น บิดา สามี พี่ชาย หรือบุตรชาย) ในการตัดสินใจเรื่องสำคัญต่าง ๆ ในชีวิต เช่น การแต่งงาน การเดินทาง การศึกษา การทำงาน การเข้ารับการรักษาพยาบาลบางประเภท และการติดต่อกับหน่วยงานราชการ ระบบนี้จำกัดอิสรภาพและความสามารถในการตัดสินใจด้วยตนเองของผู้หญิงอย่างมาก
มาตรการส่งเสริมสิทธิสตรีล่าสุด:
ภายใต้การนำของมกุฎราชกุมารมุฮัมมัด บิน ซัลมาน และแผน "ซาอุดีวิชั่น 2030" ได้มีการผลักดันการปฏิรูปทางสังคมหลายประการที่ส่งผลดีต่อสิทธิสตรี ได้แก่:
- การอนุญาตให้ขับรถ: ในปี 2018 ซาอุดีอาระเบียยกเลิกคำสั่งห้ามผู้หญิงขับรถ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการเปลี่ยนแปลงและช่วยเพิ่มความคล่องตัวและอิสระในการเดินทางของผู้หญิง
- การผ่อนคลายกฎระเบียบฮิญาบ: แม้ว่าการแต่งกายแบบอิสลาม (เช่น อะบายา) ยังคงเป็นบรรทัดฐานทางสังคม แต่การบังคับใช้กฎระเบียบเกี่ยวกับฮิญาบ (ผ้าคลุมศีรษะ) ได้ผ่อนคลายลงบ้างในบางพื้นที่ และผู้หญิงมีอิสระในการเลือกสวมใส่มากขึ้น
- การเพิ่มโอกาสทางการศึกษาและการทำงาน: รัฐบาลส่งเสริมให้ผู้หญิงได้รับการศึกษาในระดับที่สูงขึ้นและเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น มีการเปิดสาขาอาชีพใหม่ ๆ ให้กับผู้หญิง และสัดส่วนผู้หญิงในกำลังแรงงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- การยกเลิกข้อกำหนดผู้พิทักษ์ชายในบางกรณี: มีการยกเลิกข้อกำหนดที่ต้องได้รับอนุญาตจากผู้พิทักษ์ชายในบางเรื่อง เช่น การสมัครงาน การเข้ารับการศึกษา และการเดินทางออกนอกประเทศ (สำหรับผู้หญิงที่มีอายุเกิน 21 ปี)
- การส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะ: ผู้หญิงได้รับอนุญาตให้เข้าชมการแข่งขันกีฬาในสนามกีฬาและเข้าร่วมกิจกรรมบันเทิงต่าง ๆ มากขึ้น
ข้อจำกัดที่ยังคงมีอยู่จากมุมมองเสรีนิยมสังคม:
แม้จะมีการปฏิรูปที่สำคัญ แต่จากมุมมองเสรีนิยมสังคม สิทธิสตรีในซาอุดีอาระเบียยังคงมีข้อจำกัดหลายประการ:
- ระบบผู้พิทักษ์ชายยังคงมีอิทธิพล: แม้จะมีการผ่อนคลายในบางด้าน แต่ระบบผู้พิทักษ์ชายยังคงมีผลบังคับใช้ในเรื่องสำคัญ เช่น การแต่งงาน และผู้หญิงยังคงต้องการการอนุญาตจากผู้พิทักษ์ชายในหลายสถานการณ์
- กฎหมายครอบครัวที่ยังคงให้สิทธิผู้ชายมากกว่า: ในเรื่องการหย่าร้าง การดูแลบุตร และมรดก กฎหมายยังคงให้สิทธิแก่ผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
- การมีส่วนร่วมทางการเมืองที่จำกัด: แม้ว่าผู้หญิงจะได้รับสิทธิในการลงคะแนนเสียงและสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น แต่บทบาททางการเมืองในระดับชาติยังคงมีจำกัดมาก
- เสรีภาพในการแสดงออกและการสมาคม: นักปกป้องสิทธิสตรีและนักเคลื่อนไหวทางสังคมยังคงเผชิญกับการคุกคาม การจับกุม และการจำคุก หากพวกเธอวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือเรียกร้องสิทธิที่นอกเหนือไปจากที่รัฐบาลอนุญาต
- ความรุนแรงในครอบครัว: แม้จะมีกฎหมายต่อต้านความรุนแรงในครอบครัว แต่การบังคับใช้กฎหมายและการให้ความคุ้มครองแก่ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อยังคงเป็นความท้าทาย
โดยสรุป สถานภาพและสิทธิสตรีในซาอุดีอาระเบียกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน มีความก้าวหน้าที่สำคัญในการส่งเสริมสิทธิและบทบาทของผู้หญิงในหลาย ๆ ด้าน แต่ก็ยังคงมีข้อจำกัดและความท้าทายอีกมากที่ต้องได้รับการแก้ไขเพื่อให้บรรลุความเท่าเทียมทางเพศอย่างแท้จริงตามมาตรฐานสากลและมุมมองเสรีนิยมสังคม
11. วัฒนธรรม
วัฒนธรรมซาอุดีอาระเบียมีรากฐานมาจากศาสนาอิสลามและประเพณีอาหรับโบราณ โดยมีวิถีชีวิตที่เน้นครอบครัวเป็นศูนย์กลางและการปฏิบัติตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้มีการเปิดรับอิทธิพลจากภายนอกและความทันสมัยมากขึ้น ทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมดั้งเดิมและวัฒนธรรมสมัยนิยม
11.1. วิถีชีวิตและประเพณี

วิถีชีวิตของชาวซาอุดีอาระเบียโดยทั่วไปมีความผูกพันอย่างใกล้ชิดกับหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตประจำวัน
- ชีวิตประจำวันที่อิงตามกฎหมายอิสลาม: การละหมาดวันละห้าครั้งเป็นกิจวัตรสำคัญของชาวมุสลิม และร้านค้าและธุรกิจต่าง ๆ มักจะปิดทำการในช่วงเวลาละหมาด การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเนื้อสุกรเป็นสิ่งต้องห้ามตามหลักศาสนาอิสลาม
- เครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิม: ผู้ชายซาอุดีอาระเบียส่วนใหญ่นิยมสวมใส่ชุด โต๊ป (thobe) ซึ่งเป็นเสื้อคลุมยาวสีขาว และสวม กุฏระฮ์ (ghutra) ซึ่งเป็นผ้าคลุมศีรษะลายตารางหมากรุกสีแดง-ขาว หรือสีขาวล้วน โดยมี อิกอล (agal) ซึ่งเป็นเชือกสีดำรัดทับ สำหรับผู้หญิง การแต่งกายในที่สาธารณะจะต้องสวมใส่ชุด อะบายา (abaya) ซึ่งเป็นเสื้อคลุมยาวสีดำที่ปกปิดร่างกายทั้งหมด และส่วนใหญ่มักจะคลุมศีรษะด้วย ฮิญาบ (hijab) หรือ นิกอบ (niqab) ซึ่งเป็นการคลุมใบหน้าเหลือไว้เพียงดวงตา
- วัฒนธรรมอาหาร: อาหารซาอุดีอาระเบียมีความหลากหลายและได้รับอิทธิพลจากประเทศเพื่อนบ้านในตะวันออกกลาง อาหารจานหลักที่รู้จักกันดีคือ กับซะฮ์ (kabsa) ซึ่งเป็นข้าวหมกที่ปรุงกับเนื้อแกะ ไก่ หรือปลา และ มันดี (mandi) ซึ่งเป็นข้าวหมกที่ปรุงด้วยวิธีการอบแบบดั้งเดิม อินทผลัมเป็นผลไม้ที่มีความสำคัญและบริโภคกันอย่างแพร่หลาย การดื่มกาแฟอาหรับ (เกาะฮ์วะฮ์) เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการต้อนรับแขก
- วัฒนธรรมที่เน้นครอบครัวเป็นศูนย์กลาง: ครอบครัวมีความสำคัญอย่างยิ่งในสังคมซาอุดีอาระเบีย ความผูกพันในครอบครัวมีความแน่นแฟ้น และการให้ความเคารพผู้สูงอายุถือเป็นค่านิยมที่สำคัญ การรวมญาติและการพบปะสังสรรค์ในหมู่ญาติมิตรเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์และเทศกาลทางศาสนา
ประเพณีอื่น ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ การต้อนรับแขกด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การให้เกียรติซึ่งกันและกัน และการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น
11.2. ศิลปะและวัฒนธรรมสมัยนิยม
ศิลปะและวัฒนธรรมสมัยนิยมในซาอุดีอาระเบียกำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนา โดยมีการผสมผสานระหว่างศิลปะแบบดั้งเดิมและการเปิดรับอิทธิพลจากภายนอกมากขึ้น
- ดนตรีและการเต้นรำแบบดั้งเดิม: ดนตรีและการเต้นรำเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมซาอุดีอาระเบียมาอย่างยาวนาน การเต้นรำที่รู้จักกันดีที่สุดคือ อัรเฎาะฮ์ (ardah) ซึ่งเป็นการเต้นรำหมู่ของผู้ชายพร้อมดาบ ประกอบด้วยการขับร้องบทกวีและเสียงกลอง เป็นการแสดงออกถึงความภาคภูมิใจและความกล้าหาญ นอกจากนี้ยังมีดนตรีและการเต้นรำพื้นบ้านอื่น ๆ ที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค
- ลักษณะของทัศนศิลป์: ทัศนศิลป์แบบดั้งเดิมของซาอุดีอาระเบียได้รับอิทธิพลจากศิลปะอิสลาม ซึ่งมักเน้นลวดลายเรขาคณิต ลายดอกไม้ และอักษรวิจิตรอาหรับ (calligraphy) การสร้างภาพเหมือนของมนุษย์หรือสัตว์ไม่เป็นที่นิยมในศิลปะอิสลามแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ศิลปะร่วมสมัยในซาอุดีอาระเบียได้เริ่มมีการพัฒนาและเติบโตขึ้น โดยมีศิลปินรุ่นใหม่ที่สร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบที่หลากหลายและท้าทายขนบธรรมเนียมเดิม
- การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมภาพยนตร์: โรงภาพยนตร์เคยถูกสั่งปิดในซาอุดีอาระเบียเป็นเวลานานหลายทศวรรษ แต่ในปี 2018 ได้มีการอนุญาตให้เปิดโรงภาพยนตร์อีกครั้ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปทางสังคมภายใต้แผน "ซาอุดีวิชั่น 2030" การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ได้สร้างความตื่นเต้นและเปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับผู้สร้างภาพยนตร์และผู้ชมในประเทศ
- สถานะของสื่อมวลชน (โทรทัศน์, อินเทอร์เน็ต): โทรทัศน์เป็นสื่อที่มีอิทธิพลอย่างมากในซาอุดีอาระเบีย โดยมีช่องรายการทั้งของรัฐและเอกชนที่นำเสนอข่าวสาร สาระบันเทิง และรายการศาสนา อินเทอร์เน็ตและการสื่อสารสังคมออนไลน์มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นช่องทางสำคัญในการรับข่าวสารและการแสดงความคิดเห็นของประชาชน อย่างไรก็ตาม
- ปัญหาการเซ็นเซอร์: สื่อมวลชนและเนื้อหาทางอินเทอร์เน็ตในซาอุดีอาระเบียยังคงอยู่ภายใต้การตรวจพิจารณา (เซ็นเซอร์) อย่างเข้มงวด เนื้อหาที่ถูกมองว่าขัดต่อศีลธรรมอันดีงาม ศาสนา หรือความมั่นคงของชาติอาจถูกสั่งห้ามหรือลบออก การเซ็นเซอร์นี้เป็นข้อจำกัดสำคัญต่อเสรีภาพในการแสดงออกและเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรสิทธิมนุษยชน
โดยรวมแล้ว ศิลปะและวัฒนธรรมสมัยนิยมในซาอุดีอาระเบียกำลังพัฒนาไปในทิศทางที่เปิดกว้างมากขึ้น แต่ก็ยังคงเผชิญกับความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์วัฒนธรรมดั้งเดิม การเปิดรับอิทธิพลจากภายนอก และการเคารพในเสรีภาพในการแสดงออก
11.3. กีฬา

กีฬาเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในซาอุดีอาระเบีย ทั้งในแง่ของการเล่นและการชม โดยมีกีฬาหลายประเภทที่ได้รับความสนใจจากประชาชน
- ฟุตบอล: ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในซาอุดีอาระเบีย ฟุตบอลทีมชาติซาอุดีอาระเบียประสบความสำเร็จในระดับเอเชีย โดยเคยชนะเลิศการแข่งขันเอเชียนคัพหลายครั้ง และได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกหลายสมัย ลีกฟุตบอลอาชีพในประเทศ (Saudi Professional League) ก็ได้รับความนิยมอย่างสูงและดึงดูดนักฟุตบอลชื่อดังจากต่างชาติมาร่วมทีม
- กีฬาแบบดั้งเดิม: กีฬาแบบดั้งเดิมยังคงมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมซาอุดีอาระเบีย ได้แก่ การแข่งอูฐ ซึ่งเป็นกีฬาเก่าแก่และเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยมีการจัดการแข่งขันใหญ่ ๆ หลายรายการทั่วประเทศ และ การเหยี่ยว (Falconry) ซึ่งเป็นการฝึกเหยี่ยวเพื่อใช้ในการล่าสัตว์ เป็นกีฬาที่ต้องใช้ทักษะและความอดทนสูง และถือเป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรมของชาวอาหรับ
- ความพยายามในการขยายการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในกีฬา: ในอดีต การมีส่วนร่วมของผู้หญิงในกีฬาถูกจำกัดอย่างมากด้วยเหตุผลทางศาสนาและวัฒนธรรม อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้เริ่มส่งเสริมให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในกีฬามากขึ้น มีการอนุญาตให้ผู้หญิงเข้าชมการแข่งขันกีฬาในสนามกีฬา การจัดตั้งทีมกีฬาหญิง และการส่งเสริมการออกกำลังกายในหมู่ผู้หญิง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปทางสังคมภายใต้แผน "ซาอุดีวิชั่น 2030"
- สถานะการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ: ซาอุดีอาระเบียมีความพยายามที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติมากขึ้น เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ตัวอย่างเช่น การจัดการแข่งขันรถแข่งฟอร์มูลาอี การแข่งขันมวยสากลชิงแชมป์โลก และการแข่งขันกอล์ฟรายการใหญ่
- ข้อกล่าวหาเรื่องการฟอกขาวภาพลักษณ์ผ่านกีฬา (Sportswashing): การลงทุนอย่างมหาศาลในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาและการซื้อสโมสรกีฬาที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศของซาอุดีอาระเบีย ได้นำไปสู่ข้อกล่าวหาเรื่อง "การฟอกขาวภาพลักษณ์ผ่านกีฬา" (Sportswashing) นักวิจารณ์มองว่านี่เป็นความพยายามที่จะเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนภายในประเทศและปรับปรุงภาพลักษณ์ของประเทศในสายตาประชาคมระหว่างประเทศโดยใช้กีฬาเป็นเครื่องมือ
โดยรวมแล้ว กีฬามีบทบาทสำคัญในสังคมซาอุดีอาระเบีย และกำลังมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีความพยายามที่จะส่งเสริมความหลากหลายของชนิดกีฬา การมีส่วนร่วมของประชาชน และการยกระดับมาตรฐานการแข่งขันให้ทัดเทียมระดับนานาชาติ

11.4. มรดกทางวัฒนธรรม

ซาอุดีอาระเบียมีมรดกทางวัฒนธรรมที่หลากหลายและยาวนาน ซึ่งสะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของคาบสมุทรอาหรับและการเป็นศูนย์กลางของศาสนาอิสลาม
- แหล่งมรดกโลกของยูเนสโกที่สำคัญ:
- มะดาอินศอเลียะห์ (Mada'in Salih หรือ Hegra): เป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญทางตอนเหนือของประเทศ ประกอบด้วยสุสานของชาวนะบะฏียะฮ์ที่แกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงบนหน้าผาหินทราย คล้ายกับเมืองเพทราในจอร์แดน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งแรกของซาอุดีอาระเบียในปี 2008
- เขตอัตตุรัยฟ์ในอัดดิรอียะฮ์ (At-Turaif District in ad-Dir'iyah): ตั้งอยู่ใกล้กรุงรียาด เป็นเมืองหลวงแห่งแรกของรัฐซาอุดีที่หนึ่งในศตวรรษที่ 18 ประกอบด้วยซากปรักหักพังของพระราชวัง ป้อมปราการ และอาคารบ้านเรือนที่สร้างด้วยอิฐดินเหนียว สะท้อนถึงสถาปัตยกรรมแบบนัจญ์ดั้งเดิม ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 2010
- ญิดดะฮ์ประวัติศาสตร์ ประตูสู่มักกะฮ์ (Historic Jeddah, the Gate to Makkah): เมืองเก่าของญิดดะฮ์เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของสถาปัตยกรรมแบบฮิญาซ ซึ่งผสมผสานอิทธิพลจากวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่เข้ามาติดต่อค้าขายและแสวงบุญ อาคารบ้านเรือนสร้างด้วยหินปะการังและมีระเบียงไม้แกะสลักที่สวยงาม (รอชาน) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 2014
- ศิลปะบนหินในแคว้นฮาอิล (Rock Art in the Hail Region): ประกอบด้วยภาพสลักบนหินจำนวนมากที่มีอายุย้อนไปหลายพันปี แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต สัตว์ป่า และสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของผู้คนในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 2015
- โอเอซิสอัลอะห์ซาอ์ ภูมิทัศน์วัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลง (Al-Ahsa Oasis, an Evolving Cultural Landscape): เป็นโอเอซิสที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประกอบด้วยสวนปาล์ม แหล่งน้ำพุ และชุมชนโบราณ สะท้อนถึงการปรับตัวของมนุษย์เข้ากับสภาพแวดล้อมแบบทะเลทรายและการพัฒนาเกษตรกรรมในภูมิภาคนี้มาเป็นเวลานาน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 2018
- พื้นที่วัฒนธรรมฮิมา (Ḥimā Cultural Area): ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ เป็นแหล่งภาพสลักบนหินที่มีความหลากหลายและมีอายุย้อนไปหลายพันปี แสดงให้เห็นถึงเส้นทางการค้าคาราวานโบราณและวิวัฒนาการของอักษรอาหรับ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 2021
- อุรูกบะนีมะอาริฎ ('Uruq Bani Ma'arid): พื้นที่คุ้มครองขนาดใหญ่ทางตอนใต้ของประเทศ เป็นส่วนหนึ่งของทะเลทรายรุบอุลคอลี มีความสำคัญทางนิเวศวิทยาและเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหายาก เช่น ออริกซ์อาหรับ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของซาอุดีอาระเบียในปี 2023
- ปัญหาการทำลายแหล่งโบราณคดีอิสลามยุคแรก: ในอดีต แนวคิดวะฮาบีย์ที่เคร่งครัดได้นำไปสู่การทำลายแหล่งโบราณคดีและศาสนสถานอิสลามยุคแรกหลายแห่งในนครมักกะฮ์และมะดีนะฮ์ เนื่องจากถูกมองว่าอาจนำไปสู่การตั้งภาคีต่อพระเจ้า (ชิริก) การกระทำนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากนักวิชาการและชาวมุสลิมทั่วโลกว่าเป็นการทำลายมรดกทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ
- ความพยายามในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม: ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลซาอุดีอาระเบียได้ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมมากขึ้น โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผน "ซาอุดีวิชั่น 2030" มีการจัดตั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการอนุรักษ์ การบูรณะแหล่งโบราณคดี และการส่งเสริมความตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังมีความพยายามในการเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติเพิ่มเติมให้ยูเนสโกพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
12. รายพระนามพระมหากษัตริย์
ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียสมัยใหม่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1932 โดยสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลอะซีซ อิบน์ ซะอูด (ครองราชย์ ค.ศ. 1932-1953) พระองค์ทรงเป็นผู้นำในการรวมแคว้นต่าง ๆ ในคาบสมุทรอาหรับเข้าด้วยกัน และวางรากฐานการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชที่อิงกับศาสนาอิสลามนิกายวะฮาบีย์ แม้ว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้สร้างชาติและนำพาประเทศผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ในรัชสมัยของพระองค์ยังไม่มีการพัฒนาด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนมากนัก
- สมเด็จพระราชาธิบดีซะอูด บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด (ครองราชย์ ค.ศ. 1953-1964): พระราชโอรสองค์โตของกษัตริย์อับดุลอะซีซ ทรงสืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากพระราชบิดา รัชสมัยของพระองค์เผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจและการบริหารจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ราชวงศ์และประชาชน จนในที่สุดพระองค์ทรงถูกปลดออกจากตำแหน่งโดยสภาอุละมาอ์และสมาชิกราชวงศ์อาวุโส ในด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนยังไม่มีความก้าวหน้าที่สำคัญ
- สมเด็จพระราชาธิบดีฟัยศ็อล บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด (ครองราชย์ ค.ศ. 1964-1975): พระอนุชาต่างมารดาของกษัตริย์ซะอูด ทรงขึ้นครองราชย์หลังจากกษัตริย์ซะอูดถูกปลด พระองค์ทรงเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และดำเนินนโยบายปฏิรูปหลายด้าน รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจ การศึกษา และโครงสร้างพื้นฐาน ทรงมีบทบาทสำคัญในการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤตการณ์น้ำมัน ค.ศ. 1973 อย่างไรก็ตาม ในรัชสมัยของพระองค์ยังคงไม่มีการเปิดกว้างทางการเมือง และสิทธิมนุษยชนยังคงถูกจำกัด พระองค์ทรงถูกลอบปลงพระชนม์ในปี 1975
- สมเด็จพระราชาธิบดีคอลิด บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด (ครองราชย์ ค.ศ. 1975-1982): พระอนุชาต่างมารดาของกษัตริย์ฟัยศ็อล ทรงสืบทอดราชบัลลังก์ต่อ รัชสมัยของพระองค์เป็นช่วงที่ซาอุดีอาระเบียมีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจอย่างมากจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น มีการลงทุนในโครงการพัฒนาขนาดใหญ่จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
- สมเด็จพระราชาธิบดีฟะฮัด บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด (ครองราชย์ ค.ศ. 1982-2005): พระอนุชาต่างมารดาของกษัตริย์คอลิด ทรงเป็นหนึ่งใน "เจ็ดสหายซุดัยรี" ที่มีอิทธิพล รัชสมัยของพระองค์เผชิญกับความท้าทายหลายประการ รวมถึงราคาน้ำมันที่ตกต่ำ สงครามอ่าว และการเติบโตของกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง พระองค์ทรงดำเนินนโยบายที่ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกา ในปี 1992 ทรงประกาศใช้กฎหมายพื้นฐาน ซึ่งทำหน้าที่คล้ายรัฐธรรมนูญ และจัดตั้งสภาที่ปรึกษา แต่ยังคงไม่มีการเลือกตั้งในระดับชาติ และสิทธิมนุษยชนยังคงถูกจำกัดอย่างเข้มงวด
- สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลอฮ์ บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด (ครองราชย์ ค.ศ. 2005-2015): พระอนุชาต่างมารดาของกษัตริย์ฟะฮัด ทรงขึ้นครองราชย์หลังจากกษัตริย์ฟะฮัดสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงริเริ่มการปฏิรูปบางประการ รวมถึงการส่งเสริมการศึกษา การลดอำนาจของตำรวจศาสนา และการอนุญาตให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปเหล่านี้เป็นไปอย่างช้า ๆ และเผชิญกับการต่อต้านจากกลุ่มอนุรักษ์นิยม สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนโดยรวมยังคงไม่ดีนัก
- สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด (ครองราชย์ ค.ศ. 2015-ปัจจุบัน): พระอนุชาต่างมารดาของกษัตริย์อับดุลลอฮ์ ทรงขึ้นครองราชย์หลังจากกษัตริย์อับดุลลอฮ์สิ้นพระชนม์ รัชสมัยของพระองค์โดดเด่นด้วยการขึ้นสู่อำนาจของพระโอรสคือ มุฮัมมัด บิน ซัลมาน ซึ่งดำรงตำแหน่งมกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรี และเป็นผู้ผลักดันแผนปฏิรูป "ซาอุดีวิชั่น 2030" ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจและเปิดเสรีทางสังคม มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายประการ เช่น การอนุญาตให้ผู้หญิงขับรถและการเปิดโรงภาพยนตร์ อย่างไรก็ตาม รัชสมัยนี้ยังเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในเรื่องการปราบปรามผู้เห็นต่าง การละเมิดสิทธิมนุษยชน และการแทรกแซงในสงครามเยเมน การประเมินผลกระทบของพระองค์ต่อประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และความก้าวหน้าทางสังคมยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง โดยนักวิจารณ์มองว่าแม้จะมีการเปิดเสรีทางสังคมบางประการ แต่อำนาจทางการเมืองยังคงรวมศูนย์และมีการกดขี่ปราบปรามผู้เห็นต่างอย่างรุนแรง
โดยสรุป ตลอดประวัติศาสตร์ซาอุดีอาระเบียสมัยใหม่ พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของประเทศ แต่การพัฒนาด้านประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และความก้าวหน้าทางสังคมที่แท้จริงยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญและเผชิญกับข้อจำกัดจากโครงสร้างอำนาจแบบสมบูรณาญาสิทธิราชและอิทธิพลของกลุ่มอนุรักษ์นิยมทางศาสนา การประเมินผลกระทบของแต่ละพระองค์จึงต้องพิจารณาในบริบทที่ซับซ้อนนี้ และมักมีความเห็นที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับมุมมองและค่านิยมของผู้ประเมิน