1. ประวัติช่วงต้นและการศึกษา
เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เกิดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2516 ที่อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนสามคนของนายสุริยาและนางริสม เสนาเมือง เขามีพี่สาวสองคน ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2525 ครอบครัวของเขาย้ายกลับไปภูมิลำเนาเดิมที่อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ทำให้เขาถูกนับว่าเป็นชาวจังหวัดขอนแก่นโดยสมบูรณ์
เขาเริ่มศึกษาที่โรงเรียนบ้านหนองแดง อำเภอกุมภวาปี จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จากนั้นย้ายมาศึกษาต่อชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนน้ำพองศึกษา อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น จนสำเร็จชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนจะย้ายมาศึกษาต่อที่กรุงเทพมหานครในระดับอนุปริญญา สาขาการบัญชี ที่โรงเรียนพาณิชยการกรุงเทพ และสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการ จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ นอกจากนี้ เขายังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการการกีฬา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
ก่อนที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เกียรติศักดิ์เคยรับราชการเป็นร้อยตำรวจโทในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยสอบผ่านการคัดเลือกเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร แต่ด้วยความรักในกีฬาฟุตบอล เขาจึงตัดสินใจผันตัวมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพอย่างเต็มตัว
2. เส้นทางอาชีพนักฟุตบอล
เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง มีเส้นทางอาชีพนักฟุตบอลที่ยาวนานและประสบความสำเร็จอย่างสูง ทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ เขาเป็นกองหน้าที่ทำประตูได้อย่างสม่ำเสมอ และสร้างสถิติสำคัญมากมายให้กับวงการฟุตบอลไทย
2.1. อาชีพในระดับสโมสร
เกียรติศักดิ์เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับธนาคารกรุงไทยในปี พ.ศ. 2534 โดยลงสนามไป 145 นัด ทำได้ 121 ประตู และช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ถ้วย ก. ในปี พ.ศ. 2532 และถ้วย ข. ในปี พ.ศ. 2536 (ข้อมูลจากแหล่งไทยระบุปี 2532 และ 2536 ซึ่งอาจเป็นปีที่ได้รับรางวัล ไม่ใช่ปีที่เล่น)
หลังจากนั้น เขาย้ายไปเล่นให้กับราชประชาในสองช่วงเวลา (พ.ศ. 2538-2539 และ พ.ศ. 2543-2544) โดยทำได้ 32 ประตูจาก 27 นัด และ 29 ประตูจาก 26 นัด ตามลำดับ ในปี พ.ศ. 2539 ขณะเล่นให้กับราชประชา เขาสามารถทำประตูได้ถึง 127 ประตูจาก 71 นัด ซึ่งเป็นสถิติการทำประตูสูงสุดในหนึ่งฤดูกาล แม้จะไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการก็ตาม
ในปี พ.ศ. 2540-2541 เกียรติศักดิ์เล่นให้กับเพื่อนตำรวจ ทำได้ 27 ประตูจาก 25 นัด และคว้าแชมป์กีฬากองทัพไทยในปี พ.ศ. 2541 ต่อมาในปี พ.ศ. 2541-2542 เขาย้ายไปเล่นในประเทศมาเลเซียกับปะลิส ทำได้ 22 ประตูจาก 21 นัด และพาทีมคว้ารองแชมป์มาเลเซียซูเปอร์ลีกในปี พ.ศ. 2542
ในปี พ.ศ. 2542-2543 เกียรติศักดิ์ได้ย้ายไปเล่นในประเทศอังกฤษกับฮัดเดอส์ฟีลด์ทาวน์ แต่ไม่ได้รับโอกาสลงสนามในทีมชุดใหญ่เลยแม้แต่นัดเดียว ซึ่งสตีฟ บรูซ ผู้จัดการทีมในขณะนั้นมองว่าเป็นเพียงการสร้างกระแสประชาสัมพันธ์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ทีมสามารถคว้ารองแชมป์ดิวิชั่น 1 อังกฤษในปี พ.ศ. 2543
หลังจากนั้น เขากลับมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเล่นให้กับสิงคโปร์อาร์มฟอร์ซ (ปัจจุบันคือ วอร์ริเออร์ส เอฟซี) ในปี พ.ศ. 2544-2545 ทำได้ 18 ประตูจาก 20 นัด และพาทีมคว้าแชมป์เอส.ลีกในปี พ.ศ. 2545
จุดสูงสุดในอาชีพนักฟุตบอลระดับสโมสรของเกียรติศักดิ์คือการย้ายไปร่วมทีมฮหว่างอัญซาลายในประเทศเวียดนาม ระหว่างปี พ.ศ. 2545-2549 เขาทำได้ถึง 102 ประตูจาก 75 นัด และเป็นกำลังสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์วี-ลีกได้ถึงสองสมัยติดต่อกัน (พ.ศ. 2546, พ.ศ. 2547) รวมถึงแชมป์เวียดนามซูเปอร์คัพสองสมัย (พ.ศ. 2546, พ.ศ. 2547) และอันดับสามในอาเซียนคลับแชมเปียนชิพ พ.ศ. 2548 ในช่วงท้ายของการเป็นนักฟุตบอลที่ฮหว่างอัญซาลาย เขายังรับบทบาทเป็นผู้เล่น-ผู้ช่วยผู้ฝึกสอน และต่อมาเป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีมอีกด้วย เพื่อเป็นการยกย่องความสำเร็จของเขา สโมสรฮหว่างอัญซาลายได้ประกาศแขวนเสื้อหมายเลข 13 ซึ่งเป็นเบอร์เสื้อของเกียรติศักดิ์อย่างถาวร
เกียรติศักดิ์ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 หลังจากลงเล่นนัดสุดท้ายให้กับทีมชาติไทยในนัดกระชับมิตรกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่สนามศุภชลาศัย โดยเสมอกัน 1-1
2.2. อาชีพในระดับทีมชาติ
เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เริ่มต้นเส้นทางกับฟุตบอลทีมชาติไทยชุดเยาวชนในปี พ.ศ. 2533 โดยติดทีมชาติไทยชุดเยาวชนไปแข่งขันที่ประเทศมาเลเซีย และระหว่างปี พ.ศ. 2533-2535 เขาลงเล่นให้ทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี จำนวน 11 นัด ทำได้ 5 ประตู
ในปี พ.ศ. 2536 เขาถูกเรียกติดทีมชาติไทยชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 24 และเมอร์ไลออนคัพ ที่ประเทศสิงคโปร์ เขาทำประตูแรกให้กับทีมชาติไทยชุดบีในวันที่ 9 กันยายน ซึ่งช่วยให้ทีมชนะโปแลนด์ 1-0 และทำประตูสุดท้ายให้กับทีมชาติไทยชุดใหญ่ ซึ่งเป็นประตูที่ 100 ของเขากับทีมชาติ (หากนับเฉพาะนัดที่พบกับทีมชาติจะอยู่ที่ 85 ประตู) ในวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ในการแข่งขันคิงส์คัพ ครั้งที่ 37 ซึ่งไทยชนะสิงคโปร์ 2-0
เกียรติศักดิ์เป็นกำลังสำคัญของทีมชาติไทยชุดที่คว้าเหรียญทองซีเกมส์ได้ถึง 4 สมัยติดต่อกัน ได้แก่ ครั้งที่ 17 (พ.ศ. 2536), ครั้งที่ 18 (พ.ศ. 2538), ครั้งที่ 19 (พ.ศ. 2540) และ ครั้งที่ 20 (พ.ศ. 2542) นอกจากนี้ เขายังพาทีมชาติไทยคว้าแชมป์ไทเกอร์คัพ (ปัจจุบันคือ เอเอฟเอฟ แชมเปียนชิพ) ได้ 3 สมัย (พ.ศ. 2539, พ.ศ. 2543, พ.ศ. 2545) และคว้ารองแชมป์ในปี พ.ศ. 2550 เขายังคว้าแชมป์คิงส์คัพได้ 3 สมัย (พ.ศ. 2537, พ.ศ. 2543, พ.ศ. 2549) และแชมป์อินโดนีเซียนอินดิเพนเดนซ์คัพในปี พ.ศ. 2537
ในเอเชียนเกมส์ เกียรติศักดิ์พาทีมชาติไทยจบอันดับ 4 สองสมัยติดต่อกัน ได้แก่ ครั้งที่ 13 (พ.ศ. 2541) และ ครั้งที่ 14 (พ.ศ. 2545) ในเอเชียนเกมส์ 1998 รอบก่อนรองชนะเลิศ เกียรติศักดิ์ยิงประตูขึ้นนำเกาหลีใต้ ก่อนที่ธวัชชัย ดำรงค์อ่องตระกูลจะทำประตูโกลเดนโกลให้ทีมชาติไทยผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศไปได้
เกียรติศักดิ์เคยทำแฮตทริก (ยิง 3 ประตูขึ้นไปในหนึ่งนัด) ให้กับทีมชาติไทยมาแล้ว 4 ครั้ง ได้แก่:
- ฟุตบอลชายซีเกมส์ครั้งที่ 20 นัดที่ไทยชนะฟิลิปปินส์ 9-0 เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 (ยิง 4 ประตู)
- นัดกระชับมิตรที่ไทยชนะคูเวต 5-4 เมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2544 (ยิง 3 ประตู)
- ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก นัดที่ไทยชนะปากีสถาน 6-0 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2544 (ยิง 4 ประตู)
- ไทเกอร์คัพ 2002 รอบแบ่งกลุ่ม นัดที่ไทยชนะลาว 5-0 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2545 (ยิง 3 ประตู)
สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) บันทึกว่าเกียรติศักดิ์เป็นผู้ทำประตูสูงสุดให้แก่ทีมชาติไทยชุดใหญ่ที่ 71 ประตู จากการลงเล่น 134 นัด ในการแข่งขันอย่างเป็นทางการที่รับรองโดยฟีฟ่า นอกจากนี้ สื่อชั้นนำของประเทศอังกฤษอย่าง "เดอะ มิเรอร์" ยังเคยจัดอันดับให้เกียรติศักดิ์ติดอันดับ 10 ของนักเตะที่ยิงประตูสูงสุดในนามทีมชาติอีกด้วย เมื่อเขาทำประตูได้ เขามักจะแสดงความดีใจด้วยการกระโดดตีลังกา ทำให้เขาได้รับฉายาว่า "จอมตีลังกา"
3. เส้นทางอาชีพผู้ฝึกสอน

หลังจากยุติบทบาทนักฟุตบอล เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ได้เริ่มต้นเส้นทางอาชีพใหม่ในฐานะผู้ฝึกสอนฟุตบอล ซึ่งเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงไม่แพ้สมัยเป็นนักฟุตบอล
3.1. อาชีพผู้ฝึกสอนระดับสโมสร
เกียรติศักดิ์เริ่มงานผู้ฝึกสอนครั้งแรกในปี พ.ศ. 2549 โดยรับตำแหน่งผู้จัดการทีมฮหว่างอัญซาลายในวี-ลีกของประเทศเวียดนาม ขณะที่เขายังเป็นผู้เล่นให้กับสโมสรแห่งนี้ด้วย ในช่วงเวลาที่สองของการคุมทีมฮหว่างอัญซาลายในปี พ.ศ. 2553 เขานำทีมจบอันดับ 7 ในวี-ลีก และพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเวียดนามคัพแต่แพ้ซงลามเหงะอาน 0-1 ที่สนามกีฬาท้งเญิ้ต
ในปี พ.ศ. 2551 เกียรติศักดิ์กลับมายังประเทศไทยเพื่อรับหน้าที่หัวหน้าผู้ฝึกสอนให้กับจุฬาฯ-สินธนา (ปัจจุบันคือ บีบีซียู) ซึ่งเพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก โดยทีมจบฤดูกาลในอันดับที่ 8
ในปี พ.ศ. 2551-2552 เกียรติศักดิ์ย้ายไปคุมทีมชลบุรีในไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก เขาพาทีมจบฤดูกาลด้วยอันดับ 2 ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุดที่สโมสรเคยทำได้ในขณะนั้น และยังพาทีมเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายของรายการเอเอฟซีคัพ อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้ เขาก็ประกาศลาออกจากตำแหน่ง
ในปี พ.ศ. 2554 เกียรติศักดิ์กลับมาเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนให้กับบีบีซียูอีกครั้งในไทยลีกดิวิชั่น 1 เขาพาทีมจบอันดับ 3 ของฤดูกาล ทำให้สโมสรได้เลื่อนชั้นขึ้นไปแข่งขันในไทยพรีเมียร์ลีก แต่ในฤดูกาลนั้น บีบีซียูชนะเพียงนัดเดียวจากสิบนัดแรก ทำให้เกียรติศักดิ์ลาออกในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2555
หลังจากนั้นไม่นาน เกียรติศักดิ์เข้ารับงานหัวหน้าผู้ฝึกสอนให้กับบางกอก เอฟซีในไทยลีกดิวิชั่น 1 ซึ่งขณะนั้นอยู่ในอันดับท้ายตาราง แต่เขาสามารถพาทีมจบฤดูกาลในอันดับที่ 10 ทำให้สโมสรรอดพ้นจากการตกชั้น
ในปี พ.ศ. 2560 เกียรติศักดิ์ได้คุมทีมการท่าเรือในไทยลีก 1 แต่ก็ลาออกเนื่องจากผลงานไม่ดี หลังจากคุมทีมได้เพียง 3 เดือน
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 เกียรติศักดิ์กลับมาคุมทีมฮหว่างอัญซาลายอีกครั้งด้วยสัญญา 2 ปี ในฤดูกาลแรก (พ.ศ. 2564) เขานำทีมทำผลงานได้อย่างโดดเด่น โดยรั้งอันดับ 1 ในตารางคะแนนวี-ลีกด้วย 29 คะแนนจาก 12 นัด (ชนะ 9 เสมอ 1 แพ้ 1) และไม่แพ้ใครติดต่อกัน 11 นัด ก่อนที่ฤดูกาลจะถูกยกเลิกเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้ทีมไม่ได้รับรางวัลแชมป์ แต่ก็มีสิทธิ์ไปเล่นเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก เขายังพาทีมคว้าแชมป์ถ้วยจักรพรรดิกวางจุงในปี พ.ศ. 2565 เกียรติศักดิ์ตัดสินใจออกจากฮหว่างอัญซาลายในเดือนมกราคม พ.ศ. 2567
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2567 เกียรติศักดิ์เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนให้กับกงอันฮานอยในวี-ลีก เขานำทีมชนะ 3 นัดแรก แต่หลังจากนั้นผลงานก็ไม่สม่ำเสมอ เขาตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2567 หลังจากคุมทีมได้ไม่ถึง 5 เดือน
นอกจากนี้ เกียรติศักดิ์ยังเป็นผู้ริเริ่มแนวคิดในการก่อตั้งสถาบันฟุตบอลฮหว่างอัญซาลาย-เจเอ็มจี ในปี พ.ศ. 2549 โดยเขาได้แนะนำให้ด่วน เหงียน ดึ๊ก ประธานสโมสรฮหว่างอัญซาลาย ลงทุนกับการพัฒนาเยาวชน หลังจากที่ได้ไปเยี่ยมชมสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด และอาร์เซนอล เจเอ็มจี
3.2. อาชีพผู้ฝึกสอนระดับทีมชาติ
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2556 สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์แต่งตั้งให้เกียรติศักดิ์เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี นัดแรกที่คุมทีมคือการแข่งขันกระชับมิตรกับอยุธยา เอฟซีในวันที่ 12 มกราคม ซึ่งทีมชนะ 1-0
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2556 เกียรติศักดิ์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ฝึกสอนชั่วคราวของทีมชาติไทยชุดใหญ่ แทนที่วินฟรีด เชเฟอร์ นัดแรกที่คุมทีม "ช้างศึก" คือการแข่งขันกระชับมิตรกับจีนในวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556 ซึ่งไทยชนะจีน 5-1 นับเป็นชัยชนะที่ทำประตูได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ไทยเคยเอาชนะจีนได้
ในฐานะหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี เกียรติศักดิ์พาทีมคว้าเหรียญทองซีเกมส์ 2013 ที่กรุงเนปยีดอ ประเทศพม่า โดยในรอบชิงชนะเลิศ ทีมชาติไทยชนะอินโดนีเซีย 1-0 ซึ่งเป็นการเพิ่มเหรียญทองซีเกมส์ให้กับเขา หลังจากที่เคยคว้ามาแล้ว 4 เหรียญในฐานะผู้เล่น (พ.ศ. 2536-2542) เขายังนำทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีเข้าถึงรอบรองชนะเลิศเอเชียนเกมส์ 2014 และจบอันดับ 4
ในปี พ.ศ. 2557 ด้วยความสำเร็จในเอเชียนเกมส์ เกียรติศักดิ์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนถาวรของทีมชาติไทยเพื่อแข่งขันเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 โดยใช้ผู้เล่นอายุน้อยส่วนใหญ่จากทีมรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีชุดเดิม เขานำทีมคว้าแชมป์ได้สำเร็จด้วยสกอร์รวม 4-3 เหนือมาเลเซียในรอบชิงชนะเลิศ ทำให้เขากลายเป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่คว้าแชมป์เอเอฟเอฟ แชมเปียนชิพได้ทั้งในฐานะผู้เล่นและผู้จัดการทีม
ในปี พ.ศ. 2558 ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบที่ 2 ทีมชาติไทยถูกจับสลากอยู่ในกลุ่มเดียวกับอิรัก, เวียดนาม และจีนไทเป ภายใต้การคุมทีมของเกียรติศักดิ์ ทีมจบเป็นแชมป์กลุ่มด้วย 14 คะแนนจาก 6 นัด ทำให้ไทยผ่านเข้าสู่รอบคัดเลือก รอบสุดท้าย
ในปี พ.ศ. 2559 เกียรติศักดิ์นำทีมชาติไทยป้องกันแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016ได้สำเร็จ หลังจากชนะทุกนัดในเส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศ ในวันที่ 14 ธันวาคม ไทยแพ้อินโดนีเซีย 1-2 ที่สนามปากันซารีในนัดแรกของรอบชิงชนะเลิศ อย่างไรก็ตาม ทีมชาติไทยสามารถกลับมาคว้าถ้วยแชมป์ได้ด้วยการชนะ 2-0 ที่ราชมังคลากีฬาสถานในวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2559 ทำให้คว้าแชมป์ระดับภูมิภาคเป็นสมัยที่ 5 เกียรติศักดิ์กลายเป็นผู้จัดการทีมคนที่สามที่สามารถป้องกันแชมป์เอเอฟเอฟ แชมเปียนชิพได้สำเร็จ ต่อจากปีเตอร์ วิธ และราดอยโก อัฟราโมวิช เขายังพาทีมคว้าแชมป์คิงส์คัพ ครั้งที่ 44 ในปี พ.ศ. 2559 ซึ่งเป็นแชมป์คิงส์คัพครั้งแรกในรอบ 9 ปีของทีมชาติไทย
เกียรติศักดิ์ยังคงคุมทีมชาติไทยในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย อย่างไรก็ตาม ทีมเก็บได้เพียง 1 คะแนนจาก 7 นัดของการแข่งขัน หลังจากแพ้ญี่ปุ่น 0-4 ที่ไซตามะ สเตเดียม 2002 ในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2560 สามวันต่อมา เกียรติศักดิ์ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติไทย หลังจากคุมทีมมา 4 ปี โดยเขาให้เหตุผลว่าผู้บริหารสมาคมฟุตบอล "หลงผิด" ที่คิดว่าทีมชาติไทยจะทำผลงานได้ดีในรอบคัดเลือกสุดท้าย
4. รางวัลและเกียรติประวัติ
เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ได้รับรางวัลและเกียรติประวัติมากมายตลอดเส้นทางอาชีพ ทั้งในฐานะนักฟุตบอลและผู้ฝึกสอน ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถและความสำเร็จอันโดดเด่นของเขา
4.1. รางวัลในฐานะนักฟุตบอล
ทีมชาติไทย
- เอเอฟเอฟ แชมเปียนชิพ: ชนะเลิศ 1996, 2000, 2002
- เหรียญทองซีเกมส์: 1993, 1995, 1997, 1999
- คิงส์คัพ: 1994, 2000, 2006
- อินโดนีเซียนอินดิเพนเดนซ์คัพ: 1994
- อันดับสี่เอเชียนเกมส์: 1998, 2002
ระดับสโมสร
- ธนาคารกรุงไทย:
- ถ้วย ก. ชนะเลิศ: 1989
- ถ้วย ข. ชนะเลิศ: 1993
- ตำรวจ:
- กีฬากองทัพไทย ชนะเลิศ: 1998
- ปะลิส:
- มาเลเซียซูเปอร์ลีก รองชนะเลิศ: 1999
- ฮัดเดอส์ฟีลด์ทาวน์:
- ดิวิชั่น 1 อังกฤษ รองชนะเลิศ: 2000
- สิงคโปร์อาร์มฟอร์ซ:
- เอส.ลีก ชนะเลิศ: 2002
- ฮหว่างอัญซาลาย:
- วี-ลีก ชนะเลิศ: 2003, 2004
- เวียดนามซูเปอร์คัพ ชนะเลิศ: 2003, 2004
รางวัลส่วนบุคคล
- ผู้เล่นทรงคุณค่าเอเอฟเอฟ แชมเปียนชิพ: 2000
- ผู้เล่นต่างชาติยอดเยี่ยมวี-ลีก: 2003, 2004
- เอเอฟซี ออลสตาร์: 2000
- รางวัลดาวซัลโว ฟุตบอลเขตการศึกษาแห่งประเทศไทย: 1987
- รางวัลดาวซัลโว ซีเกมส์ครั้งที่ 20: 1999
- ผู้เป็นแบบอย่างที่ดีต่อสังคมไทย "คนต้นแบบ" โดยสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ: 2000
- นักกีฬายอดเยี่ยม อีเอสพีเอ็น: 2000
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยม อีเอสพีเอ็น: 2000
- รางวัลดาราเอเชีย: 2001
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยม คมชัดลึกอวอร์ด ครั้งที่ 1: 2001
- นักฟุตบอลดีเด่น ซันโย: 2001
- เข็มเกียรติยศ ผู้ทำคุณประโยชน์แก่ฟุตบอลเวียดนาม จากรัฐมนตรีกีฬาประเทศเวียดนาม: 2005
4.2. รางวัลในฐานะผู้ฝึกสอน
ทีมชาติไทย
- เอเอฟเอฟ แชมเปียนชิพ: ชนะเลิศ 2014, 2016
- คิงส์คัพ: ชนะเลิศ 2016
ทีมชาติไทย U-23
- เหรียญทองซีเกมส์: 2013
- อันดับสี่เอเชียนเกมส์: 2014
ระดับสโมสร
- ชลบุรี:
- ถ้วย ก. ชนะเลิศ: 2009
- ฮหว่างอัญซาลาย:
- เวียดนามคัพ รองชนะเลิศ: 2010
- ถ้วยจักรพรรดิกวางจุง ชนะเลิศ: 2565
รางวัลส่วนบุคคล
- ผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมเอเอฟเอฟ: 2015, 2017
- ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนวี-ลีก: มกราคม 2021, มีนาคม 2021, เมษายน 2021, กรกฎาคม 2022
- ผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยม สยามกีฬาอวอร์ดส์ ครั้งที่ 8: 2014
- ผู้ฝึกสอนนักกีฬาสมัครเล่นดีเด่น วันกีฬาแห่งชาติ: 2014, 2015
- ผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยม สยามโกลเดนอวอร์ดส์: 2014
- ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาพลศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง: 2015
- บุคคลแห่งปี สำนักข่าวเนชั่น: 2015
- เอ็มไทยท็อปทอล์กอะเบาต์ 2015 สาขาบุคคลชายที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด: 2015
- Fever Awards 2016 รางวัลนักกีฬาฟีเวอร์ปี 2016
5. ชีวิตส่วนตัว
เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง นับถือศาสนาพุทธ เช่นเดียวกับชาวไทยส่วนใหญ่ เขาแต่งงานกับอัสราภา วุฒิเวทย์ ในปี พ.ศ. 2545 และมีบุตรสาวด้วยกันสามคน ได้แก่ อธิชา (น้องเพิร์ธ), มุกตาภา (น้องพราว) และกฤตยา (น้องเพิร์ล)
ชื่อเล่น "ซิโก้" ที่แฟนบอลและสื่อมวลชนใช้เรียกนั้น มาจากชื่อเล่น "โก้" ของเขาเอง ซึ่งเพื่อนๆ ได้นำไปเปรียบเทียบกับซีโก นักฟุตบอลชาวบราซิลที่เป็นไอดอลของเกียรติศักดิ์ นอกจากความสามารถด้านฟุตบอลแล้ว เขายังมีความสามารถด้านภาษา โดยสามารถพูดเวียดนามได้อย่างคล่องแคล่ว หลังจากใช้ชีวิตและทำงานในประเทศเวียดนามเพียงไม่กี่ปี
เกียรติศักดิ์ยังคงมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคมและธุรกิจต่างๆ หลังจากแขวนสตั๊ด ในปี พ.ศ. 2543 เขาได้ร่วมดำเนินโครงการ "ฟุตบอลเพื่อน้อง" เพื่อบริจาคอุปกรณ์กีฬาและสื่อการเรียนการสอนแก่นักเรียนในชนบท และในปี พ.ศ. 2544 ได้เขียนหนังสือชื่อ "ล้านกำลังใจให้ใครคนหนึ่ง"
ในปี พ.ศ. 2546 เกียรติศักดิ์ได้ก่อตั้ง "บริษัท สปอร์ตฮีโร่ จำกัด" ร่วมกับอัสราภา ภรรยา ด้วยทุนจดทะเบียน 1.00 M THB เพื่อดำเนินธุรกิจจัดการแข่งขันกีฬาและผลิตสื่อโฆษณาต่างๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 เขายังเป็นผู้จัดการแข่งขันฟุตบอลนักเรียนอายุไม่เกิน 18 ปี "สปอนเซอร์ ซิโก้ ยูธ ทัวร์นาเมนต์" เป็นประจำทุกปี เพื่อค้นหานักฟุตบอลเยาวชนที่มีความสามารถโดดเด่นให้กับวงการฟุตบอล
ในปี พ.ศ. 2549 เกียรติศักดิ์ได้เขียนหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองชื่อ "เสนาเมือง ชีวิตตีลังกา" (ฉบับภาษาไทย) และ "KIATISUK" (ฉบับภาษาเวียดนาม) เขายังเป็นผู้ให้การสนับสนุนกิจการของมูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 และได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณจากชมรมเชียร์ไทยในปี พ.ศ. 2550 รวมถึงรางวัลสุดยอดคนต้นแบบเมืองขอนแก่นในปี พ.ศ. 2551
ในปี พ.ศ. 2564 เกียรติศักดิ์ได้เข้าร่วมการประมูลเสื้อพร้อมลายเซ็นของเขา โดยระดมเงินได้รวม 210.00 M VND เพื่อสมทบทุนกองทุนวัคซีนโควิด-19 ในนครโฮจิมินห์ เวียดนาม ก่อนหน้านี้ เขายังเคยระดมเงินเกือบ 200.00 M VND จากการประมูลเสื้อเพื่อบริจาคให้กับกองทุนป้องกันโรคระบาดในประเทศไทย
6. อิทธิพลและวัฒนธรรมสมัยนิยม
เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการฟุตบอลไทย ทั้งในฐานะนักฟุตบอลและผู้ฝึกสอน สถานะของเขาในฐานะวีรบุรุษของชาติทำให้เขาเป็นที่รู้จักและเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักฟุตบอลรุ่นใหม่และแฟนบอลชาวไทย
เขาเป็นนักฟุตบอลไทยคนแรกที่ปรากฏตัวในวิดีโอเกม โดยปรากฏในเกม FIFA 98 Road to World Cup ของบริษัท อีเอ ในฐานะตัวสำรองของทีมชาติไทย สวมเสื้อหมายเลข 13 และในเกม เวิลด์ซอกเกอร์ จิคเคียว วินนิ่ง อีเลฟเว่น 2000: ยู-23 เมดัล เฮโนะ โชเซ็น (World Soccer Jikkyou Winning Eleven 2000: U-23 Medal Heno Chousen) ของค่ายโคนามิ ในฐานะผู้เล่นทีมชาติไทยชุดอายุต่ำกว่า 23 ปี โดยมีชื่อในเกมว่า "เซนามูรัน" (セナムランภาษาญี่ปุ่น)
เกียรติศักดิ์เคยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับวงการฟุตบอลเวียดนามก่อนการจับสลากเอเอฟเอฟ แชมเปียนชิพ 2018 โดยกล่าวว่า "คนไทยกำลังฝันถึงการไปฟุตบอลโลก แต่คนเวียดนามแค่อยากเอาชนะไทยให้ได้" และ "ผมคิดว่าเวียดนามต้องใช้เวลาอีกประมาณ 10 ปีถึงจะตามทันไทยได้" ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับแฟนบอลเวียดนาม อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ฟุตบอลเวียดนามประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในปี พ.ศ. 2561 เขาก็ได้ออกมาถอนคำพูดดังกล่าว โดยกล่าวว่า "ตอนนี้ฟุตบอลของทั้งสองประเทศอยู่ในระดับเดียวกันแล้ว" และภายหลังได้ชี้แจงว่าคำพูดดังกล่าวเป็นเพียงการสื่อสารเพื่อกระตุ้นนักฟุตบอลของเขาเอง ไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกฟุตบอลเวียดนามแต่อย่างใด
7. สถิติอาชีพ
7.1. สถิติการทำประตูในระดับนานาชาติ
ตารางต่อไปนี้แสดงรายการประตูที่เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ทำได้ในการแข่งขันระดับนานาชาติให้กับทีมชาติไทย
# | วันที่ | สนาม | คู่แข่ง | คะแนน | ผลการแข่งขัน | รายการแข่งขัน |
---|---|---|---|---|---|---|
1. | 11 เมษายน 2536 | โกเบ, ญี่ปุ่น | ศรีลังกา | 1-0 | ชนะ | ฟุตบอลโลก 1994 รอบคัดเลือก |
2. | 5 พฤษภาคม 2536 | ดูไบ, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ | บังกลาเทศ | 4-1 | ชนะ | ฟุตบอลโลก 1994 รอบคัดเลือก |
3. | 7 มิถุนายน 2536 | สิงคโปร์ | พม่า | 2-0 | ชนะ | ซีเกมส์ 1993 |
4. | 13 มิถุนายน 2536 | สิงคโปร์ | ลาว | 4-1 | ชนะ | ซีเกมส์ 1993 |
5. | 20 มิถุนายน 2536 | สิงคโปร์ | พม่า | 4-3 | ชนะ | ซีเกมส์ 1993 |
6. | 9 ตุลาคม 2537 | ฮิโรชิมา, ญี่ปุ่น | มาเลเซีย | 1-1 | เสมอ | เอเชียนเกมส์ 1994 |
7. | 12 ธันวาคม 2538 | เชียงใหม่, ไทย | กัมพูชา | 9-0 | ชนะ | ซีเกมส์ 1995 |
8. | 12 ธันวาคม 2538 | เชียงใหม่, ไทย | กัมพูชา | 9-0 | ชนะ | ซีเกมส์ 1995 |
9. | 16 กุมภาพันธ์ 2539 | กรุงเทพ, ไทย | ฟินแลนด์ | 5-2 | ชนะ | คิงส์คัพ 1996 |
10. | 27 มิถุนายน 2539 | กรุงเทพ, ไทย | มัลดีฟส์ | 8-0 | ชนะ | เอเชียนคัพ 1996 รอบคัดเลือก |
11. | 27 มิถุนายน 2539 | กรุงเทพ, ไทย | มัลดีฟส์ | 8-0 | ชนะ | เอเชียนคัพ 1996 รอบคัดเลือก |
12. | 29 มิถุนายน 2539 | กรุงเทพ, ไทย | พม่า | 5-1 | ชนะ | เอเชียนคัพ 1996 รอบคัดเลือก |
13. | 7 กรกฎาคม 2539 | สิงคโปร์ | พม่า | 7-1 | ชนะ | เอเชียนคัพ 1996 รอบคัดเลือก |
14. | 7 กรกฎาคม 2539 | สิงคโปร์ | พม่า | 7-1 | ชนะ | เอเชียนคัพ 1996 รอบคัดเลือก |
15. | 9 กรกฎาคม 2539 | สิงคโปร์ | สิงคโปร์ | 2-2 | เสมอ | เอเชียนคัพ 1996 รอบคัดเลือก |
16. | 2 กันยายน 2539 | สิงคโปร์ | ฟิลิปปินส์ | 5-0 | ชนะ | ไทเกอร์คัพ 1996 |
17. | 6 กันยายน 2539 | สิงคโปร์ | บรูไน | 6-0 | ชนะ | ไทเกอร์คัพ 1996 |
18. | 13 กันยายน 2539 | สิงคโปร์ | เวียดนาม | 4-2 | ชนะ | ไทเกอร์คัพ 1996 |
19. | 15 กันยายน 2539 | สิงคโปร์ | มาเลเซีย | 1-0 | ชนะ | ไทเกอร์คัพ 1996 |
20. | 8 ธันวาคม 2539 | ดูไบ, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ | อิหร่าน | 1-3 | แพ้ | เอเชียนคัพ 1996 |
21. | 15 มีนาคม 2540 | กรุงเทพ, ไทย | ญี่ปุ่น | 3-1 | ชนะ | กระชับมิตร |
22. | 15 มีนาคม 2540 | กรุงเทพ, ไทย | ญี่ปุ่น | 3-1 | ชนะ | กระชับมิตร |
23. | 7 ตุลาคม 2540 | จาการ์ตา, อินโดนีเซีย | บรูไน | 6-0 | ชนะ | ซีเกมส์ 1997 |
24. | 7 ตุลาคม 2540 | จาการ์ตา, อินโดนีเซีย | บรูไน | 6-0 | ชนะ | ซีเกมส์ 1997 |
25. | 12 ตุลาคม 2540 | จาการ์ตา, อินโดนีเซีย | กัมพูชา | 4-0 | ชนะ | ซีเกมส์ 1997 |
26. | 16 ตุลาคม 2540 | จาการ์ตา, อินโดนีเซีย | เวียดนาม | 2-1 | ชนะ | ซีเกมส์ 1997 |
27. | 16 ตุลาคม 2540 | จาการ์ตา, อินโดนีเซีย | เวียดนาม | 2-1 | ชนะ | ซีเกมส์ 1997 |
28. | 22 มีนาคม 2541 | กรุงเทพ, ไทย | คาซัคสถาน | 1-0 | ชนะ | กระชับมิตร |
29. | 21 ตุลาคม 2541 | กรุงเทพ, ไทย | เติร์กเมนิสถาน | 3-3 | เสมอ | กระชับมิตร |
30. | 2 ธันวาคม 2541 | กรุงเทพ, ไทย | ฮ่องกง | 5-0 | ชนะ | เอเชียนเกมส์ 1998 |
31. | 2 ธันวาคม 2541 | กรุงเทพ, ไทย | ฮ่องกง | 5-0 | ชนะ | เอเชียนเกมส์ 1998 |
32. | 14 ธันวาคม 2541 | กรุงเทพ, ไทย | เกาหลีใต้ | 2-1 | ชนะ | เอเชียนเกมส์ 1998 |
33. | 23 กุมภาพันธ์ 2542 | กรุงเทพ, ไทย | เกาหลีเหนือ | 2-2 | เสมอ | คิงส์คัพ 1999 |
34. | 16 มิถุนายน 2542 | กรุงเทพ, ไทย | นิวซีแลนด์ | 2-2 | เสมอ | กระชับมิตร |
35. | 16 มิถุนายน 2542 | กรุงเทพ, ไทย | นิวซีแลนด์ | 2-2 | เสมอ | กระชับมิตร |
36. | 30 กรกฎาคม 2542 | บันดาร์เซอรีเบอกาวัน, บรูไน | ฟิลิปปินส์ | 9-0 | ชนะ | ซีเกมส์ 1999 |
37. | 30 กรกฎาคม 2542 | บันดาร์เซอรีเบอกาวัน, บรูไน | ฟิลิปปินส์ | 9-0 | ชนะ | ซีเกมส์ 1999 |
38. | 30 กรกฎาคม 2542 | บันดาร์เซอรีเบอกาวัน, บรูไน | ฟิลิปปินส์ | 9-0 | ชนะ | ซีเกมส์ 1999 |
39. | 30 กรกฎาคม 2542 | บันดาร์เซอรีเบอกาวัน, บรูไน | ฟิลิปปินส์ | 9-0 | ชนะ | ซีเกมส์ 1999 |
40. | 1 สิงหาคม 2542 | บันดาร์เซอรีเบอกาวัน, บรูไน | ลาว | 4-1 | ชนะ | ซีเกมส์ 1999 |
41. | 8 สิงหาคม 2542 | บันดาร์เซอรีเบอกาวัน, บรูไน | พม่า | 7-0 | ชนะ | ซีเกมส์ 1999 |
42. | 8 สิงหาคม 2542 | บันดาร์เซอรีเบอกาวัน, บรูไน | พม่า | 7-0 | ชนะ | ซีเกมส์ 1999 |
43. | 6 พฤศจิกายน 2543 | เชียงใหม่, ไทย | พม่า | 3-1 | ชนะ | ไทเกอร์คัพ 2000 |
44. | 10 พฤศจิกายน 2543 | เชียงใหม่, ไทย | อินโดนีเซีย | 4-1 | ชนะ | ไทเกอร์คัพ 2000 |
45. | 12 พฤศจิกายน 2543 | เชียงใหม่, ไทย | ฟิลิปปินส์ | 2-0 | ชนะ | ไทเกอร์คัพ 2000 |
46. | 16 พฤศจิกายน 2543 | เชียงใหม่, ไทย | มาเลเซีย | 2-0 | ชนะ | ไทเกอร์คัพ 2000 |
47. | 23 มกราคม 2544 | กรุงเทพ, ไทย | คูเวต | 5-4 | ชนะ | กระชับมิตร |
48. | 23 มกราคม 2544 | กรุงเทพ, ไทย | คูเวต | 5-4 | ชนะ | กระชับมิตร |
49. | 23 มกราคม 2544 | กรุงเทพ, ไทย | คูเวต | 5-4 | ชนะ | กระชับมิตร |
50. | 17 กุมภาพันธ์ 2544 | กรุงเทพ, ไทย | กาตาร์ | 2-0 | ชนะ | คิงส์คัพ 2001 |
51. | 17 กุมภาพันธ์ 2544 | กรุงเทพ, ไทย | กาตาร์ | 2-0 | ชนะ | คิงส์คัพ 2001 |
52. | 13 พฤษภาคม 2544 | เบรุต, เลบานอน | ศรีลังกา | 4-2 | ชนะ | ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก |
53. | 13 พฤษภาคม 2544 | เบรุต, เลบานอน | ศรีลังกา | 4-2 | ชนะ | ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก |
54. | 17 พฤษภาคม 2544 | เบรุต, เลบานอน | เลบานอน | 2-1 | ชนะ | ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก |
55. | 26 พฤษภาคม 2544 | กรุงเทพ, ไทย | ศรีลังกา | 3-0 | ชนะ | ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก |
56. | 26 พฤษภาคม 2544 | กรุงเทพ, ไทย | ศรีลังกา | 3-0 | ชนะ | ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก |
57. | 28 พฤษภาคม 2544 | กรุงเทพ, ไทย | ปากีสถาน | 6-0 | ชนะ | ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก |
58. | 28 พฤษภาคม 2544 | กรุงเทพ, ไทย | ปากีสถาน | 6-0 | ชนะ | ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก |
59. | 28 พฤษภาคม 2544 | กรุงเทพ, ไทย | ปากีสถาน | 6-0 | ชนะ | ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก |
60. | 28 พฤษภาคม 2544 | กรุงเทพ, ไทย | ปากีสถาน | 6-0 | ชนะ | ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก |
61. | 13 สิงหาคม 2544 | สิงคโปร์ | สิงคโปร์ | 5-0 | ชนะ | กระชับมิตร |
62. | 13 สิงหาคม 2544 | สิงคโปร์ | สิงคโปร์ | 5-0 | ชนะ | กระชับมิตร |
63. | 6 กันยายน 2544 | มานามา, บาห์เรน | บาห์เรน | 1-1 | เสมอ | ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก |
64. | 18 ธันวาคม 2545 | สิงคโปร์ | ลาว | 5-1 | ชนะ | ไทเกอร์คัพ 2002 |
65. | 18 ธันวาคม 2545 | สิงคโปร์ | ลาว | 5-1 | ชนะ | ไทเกอร์คัพ 2002 |
66. | 18 ธันวาคม 2545 | สิงคโปร์ | ลาว | 5-1 | ชนะ | ไทเกอร์คัพ 2002 |
67. | 31 มีนาคม 2547 | ซานา, เยเมน | เยเมน | 3-0 | ชนะ | ฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก |
68. | 9 มิถุนายน 2547 | กรุงเทพ, ไทย | เกาหลีเหนือ | 1-4 | แพ้ | ฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก |
69. | 26 ธันวาคม 2549 | กรุงเทพ, ไทย | สิงคโปร์ | 2-0 | ชนะ | คิงส์คัพ 2006 |
70. | 26 ธันวาคม 2549 | กรุงเทพ, ไทย | สิงคโปร์ | 2-0 | ชนะ | คิงส์คัพ 2006 |
7.2. สถิติอาชีพผู้ฝึกสอน
ตารางต่อไปนี้สรุปสถิติการคุมทีมของเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ในฐานะผู้ฝึกสอน (ข้อมูลถึงวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2567)
ทีม | สัญชาติ | ตั้งแต่ | ถึง | แข่ง | ชนะ | เสมอ | แพ้ | ได้ | เสีย | ผลต่าง | % ชนะ |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ฮหว่างอัญซาลาย | เวียดนาม | 1 มกราคม 2549 | 30 มิถุนายน 2549 | 25 | 10 | 6 | 9 | 25 | 24 | +1 | 40.00 |
จุฬาฯ-สินธนา | ไทย | 1 มกราคม 2551 | 30 พฤศจิกายน 2551 | 18 | 7 | 7 | 4 | 36 | 22 | +14 | 38.89 |
ชลบุรี | ไทย | 1 มกราคม 2552 | 30 พฤศจิกายน 2552 | 46 | 28 | 11 | 7 | 87 | 42 | +45 | 60.87 |
ฮหว่างอัญซาลาย | เวียดนาม | 1 มกราคม 2553 | 30 พฤศจิกายน 2553 | 31 | 12 | 9 | 10 | 39 | 32 | +7 | 38.71 |
บีบีซียู | ไทย | 9 ธันวาคม 2553 | 21 พฤษภาคม 2555 | 49 | 21 | 14 | 14 | 54 | 44 | +10 | 42.86 |
บางกอก | ไทย | 20 มิถุนายน 2555 | 31 ธันวาคม 2555 | 21 | 7 | 5 | 9 | 31 | 33 | -2 | 33.33 |
ทีมชาติไทย U-23 | ไทย | 12 มกราคม 2556 | 22 ธันวาคม 2559 | 40 | 28 | 7 | 5 | 83 | 28 | +55 | 70.00 |
ทีมชาติไทย (รักษาการ) | ไทย | 1 พฤษภาคม 2556 | 30 มิถุนายน 2556 | 1 | 1 | 0 | 0 | 5 | 1 | +4 | 100.00 |
ทีมชาติไทย | ไทย | 10 กุมภาพันธ์ 2557 | 31 มีนาคม 2560 | 42 | 21 | 7 | 14 | 66 | 53 | +13 | 50.00 |
การท่าเรือ | ไทย | 23 มิถุนายน 2560 | 20 กันยายน 2560 | 10 | 1 | 3 | 6 | 12 | 19 | -7 | 10.00 |
ฮหว่างอัญซาลาย | เวียดนาม | 20 พฤศจิกายน 2563 | 11 มกราคม 2567 | 74 | 24 | 28 | 22 | 82 | 79 | +3 | 32.43 |
กงอันฮานอย | เวียดนาม | 16 มกราคม 2567 | 14 พฤษภาคม 2567 | 11 | 6 | 1 | 4 | 16 | 12 | +4 | 54.55 |
รวม | 368 | 166 | 98 | 104 | 536 | 389 | +147 | 45.11 |