1. ชีวิตช่วงต้นและการศึกษา
จอห์น ราลี มอตต์ มีพื้นเพมาจากครอบครัวที่ย้ายถิ่นฐานตั้งแต่ยังเด็ก และได้เริ่มต้นการศึกษาที่มหาวิทยาลัยอัปเปอร์ไอโอวา ก่อนที่จะย้ายไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่เขาเริ่มสนใจและมีส่วนร่วมในกิจกรรมเผยแผ่ศาสนา
1.1. การเกิดและวัยเด็ก
มอตต์เกิดเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1865 ที่ลิฟวิงสตัน แมนเนอร์ ซัลลิแวนเคาน์ตี รัฐนิวยอร์ก และในเดือนกันยายนปีเดียวกัน ครอบครัวของเขาก็ได้ย้ายไปอยู่ยังโพสต์วิลล์ รัฐไอโอวา เมื่ออายุได้ 2 ขวบ เขาและครอบครัวรวมถึงพ่อของเขาที่ชื่อจอห์น สติท มูตก็ได้ย้ายไปโพสต์วิลล์ รัฐไอโอวา และเมื่ออายุ 13 ปี มอตต์ได้เข้าร่วมคริสตจักรเมธอดิสต์
1.2. การศึกษาและอิทธิพลช่วงต้น
ในปี ค.ศ. 1881 มอตต์ได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยอัปเปอร์ไอโอวา ซึ่งเขาศึกษาวิชาประวัติศาสตร์และเป็นนักโต้วาทีที่ได้รับรางวัล หลังจากนั้นเขาก็ย้ายไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ และได้รับปริญญาตรีในปี ค.ศ. 1888 เขาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ในปี ค.ศ. 1885 ขณะอายุได้ 20 ปี และที่นี่เองเขาได้เริ่มงานเผยแผ่ศาสนา เขายังได้รับอิทธิพลจากอาร์เธอร์ แทปแพน เพียร์สัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มขบวนการนักศึกษาอาสาสมัครเพื่อพันธกิจต่างประเทศที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1886 ในช่วงเวลาที่ศึกษาที่คอร์เนลล์ มอตต์ยังได้รับเลือกเป็นรองประธานสมาคมคริสเตียนหนุ่ม (YMCA) สาขาคอร์เนลล์ด้วย นอกจากนี้ เขายังได้รับการดลใจจากการเทศนาของดไวต์ ไลแมน มูดี และเอ. ที. เพียร์สัน ในค่ายฤดูร้อนสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยที่เมานต์ฮาร์มอน รัฐแมสซาชูเซตส์ ทำให้เขาสละความฝันที่จะเป็นนักการเมืองและตัดสินใจอุทิศตนเพื่อพันธกิจ สิ่งนี้เป็นรากฐานของขบวนการนักศึกษาอาสาสมัครเพื่อพันธกิจต่างประเทศ
2. อาชีพและกิจกรรมพันธกิจคริสตจักรสัมพันธ์
จอห์น อาร์. มอตต์มีอาชีพที่กว้างขวาง โดยมีบทบาทสำคัญในองค์กรคริสเตียนและองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ตลอดจนความพยายามในการส่งเสริมสันติภาพและความเข้าใจระหว่างประเทศ
2.1. บทบาทผู้นำคริสเตียนช่วงต้น
หลังจากสำเร็จการศึกษาจากคอร์เนลล์ มอตต์ได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการของสมาคมคริสเตียนหนุ่ม (YMCA) ของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา และได้เดินทางเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยทั้งหมดในสองประเทศนี้ เขาเป็นผู้นำที่รับใช้มายาวนานใน YMCA และตั้งแต่ปี ค.ศ. 1895 ถึง ค.ศ. 1920 มอตต์ดำรงตำแหน่งเลขาธิการทั่วไปของสหพันธ์นักศึกษาคริสเตียนโลก (WSCF) และตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920 ถึง ค.ศ. 1928 มอตต์ยังดำรงตำแหน่งประธาน WSCF อีกด้วย ในปี ค.ศ. 1926 เขาได้รับเลือกเป็นประธานคณะกรรมการระหว่างประเทศของ YMCA
2.2. บทบาทในการประชุมมิชชันนารีโลก

ในปี ค.ศ. 1910 มอตต์ ซึ่งเป็นฆราวาสเมธอดิสต์ชาวอเมริกัน ได้เป็นประธานในการประชุมมิชชันนารีโลกปี ค.ศ. 1910 ที่เอดินบะระ ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญในขบวนการมิชชันนารีโปรเตสแตนต์สมัยใหม่ และบางคนกล่าวว่ายังเป็นหมุดหมายของขบวนการคริสตจักรสัมพันธ์สมัยใหม่ด้วย หลังจากการประชุมปิดลง มอตต์ได้จัดตั้งคณะกรรมการต่อเนื่องและเป็นประธานคณะกรรมการนี้ เพื่อถ่ายทอดเจตนารมณ์และผลลัพธ์ของการประชุมไปทั่วโลก ซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งสภาแห่งคริสตจักรโลก
2.3. การมีส่วนร่วมในขบวนการคริสตจักรสัมพันธ์
มอตต์มีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดในการก่อตั้งสภาแห่งคริสตจักรโลก (WCC) ในปี ค.ศ. 1948 ซึ่งองค์กรนี้ได้เลือกเขาเป็นประธานกิตติมศักดิ์ตลอดชีพ นอกจากนี้ เขายังทำงานร่วมกับโรเบิร์ต แฮลโลเวลล์ การ์ดิเนอร์ ที่ 3 เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับคริสตจักรออร์โธดอกซ์รัสเซียและอาร์คบิชอปทิคอน หลังจากการปฏิวัติรัสเซีย นักประวัติศาสตร์บางคนยกย่องเขาว่าเป็น "ผู้นำคริสเตียนที่เดินทางมากที่สุดและได้รับความไว้วางใจจากทั่วโลกมากที่สุดในยุคของเขา" สำหรับความพยายามของเขาในด้านพันธกิจและคริสตจักรสัมพันธ์ รวมถึงสันติภาพ
2.4. ความพยายามเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศและรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
มอตต์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี ค.ศ. 1946 โดยได้รับรางวัลร่วมกับเอมิลี กรีน บาลช ผู้ต่อต้านสงครามอย่างเด็ดขาด รางวัลนี้เป็นการยกย่องผลงานของเขาในการจัดตั้งและเสริมสร้างองค์กรนักศึกษาคริสเตียนโปรเตสแตนต์ระหว่างประเทศที่ทำงานเพื่อส่งเสริมสันติภาพและความเข้าใจระหว่างประเทศ เขายังได้รับการยกย่องจากงานช่วยเหลือหลังสงครามโลกครั้งที่สองอีกด้วย
2.5. การเผยแพร่ไปทั่วโลกและการมีส่วนร่วมในเอเชีย

มอตต์มีการเดินทางระหว่างประเทศอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการเดินทางสู่เอเชียระหว่างเดือนตุลาคม ค.ศ. 1912 ถึงพฤษภาคม ค.ศ. 1913 ซึ่งเขาได้จัดการประชุมระดับภูมิภาคและระดับชาติถึง 18 ครั้ง รวมถึงในศรีลังกา อินเดีย พม่า มาลายา จีน เกาหลี และญี่ปุ่น
เขาเดินทางมาเกาหลีหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี ค.ศ. 1907 เขาได้เทศนาต่อหน้าผู้คน 6,000 คน โดยมียุน ชิ-โฮเป็นผู้แปล และได้ทำนายว่าในอนาคตเกาหลีจะกลายเป็นประเทศคริสเตียนแห่งตะวันออก (เยรูซาเลมแห่งตะวันออก) เขายังช่วยในการก่อตั้งสภาแห่งคริสตจักรในเกาหลีด้วย
มอตต์ได้เดินทางมาญี่ปุ่นรวม 10 ครั้ง และเมื่อมาเยือนในปี ค.ศ. 1913 ในฐานะประธานคณะกรรมการต่อเนื่องของการประชุมเอดินบะระ เขาได้เสนอแนวคิดการร่วมมือเผยแผ่ศาสนาแก่ผู้นำคริสตจักรญี่ปุ่นและบริจาคเงินจำนวน 20.00 K JPY เพื่อสนับสนุนแนวคิดนี้ ด้วยเหตุนี้ คริสตจักรในญี่ปุ่นจึงร่วมมือกันวางแผนการประชุมเผยแผ่ศาสนาทั่วประเทศเป็นเวลาสามปี ซึ่งเรียกว่า "การเผยแพร่ศาสนาทั่วประเทศแบบร่วมมือ" โครงการนี้ดำเนินการตั้งแต่ปี ค.ศ. 1914 ถึง ค.ศ. 1917 สามารถระดมผู้เข้าร่วมประชุมได้ถึง 777,000 คน และมีผู้ตัดสินใจเข้าร่วมศรัทธา 27,000 คน ซึ่งส่งผลให้คริสตจักรญี่ปุ่นก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในยุคไทโช นอกจากนี้ ในการเยือนญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1925 และ 1926 เขายังได้บรรยายในที่ประชุมซึ่งมีผู้นำในวงการเศรษฐกิจและการเมืองญี่ปุ่นเข้าร่วม ซึ่งสร้างอิทธิพลอย่างมาก เขาได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์瑞宝章จากรัฐบาลญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1929

3. ปรัชญาและงานเขียน
ปรัชญาและงานเขียนของจอห์น อาร์. มอตต์ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเขาในการประกาศพระกิตติคุณและส่งเสริมความเป็นเอกภาพในหมู่คริสเตียนทั่วโลก
3.1. ความเชื่อหลักและวิสัยทัศน์
จอห์น อาร์. มอตต์ เชื่อมั่นในแนวคิดการเผยแผ่ศาสนาและขบวนการคริสตจักรสัมพันธ์ โดยเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของศาสนาคริสต์ในกิจการระหว่างประเทศ สโลแกนที่มีชื่อเสียงของเขาคือ "การประกาศพระกิตติคุณแก่โลกในรุ่นนี้" (The Evangelization of the World in this Generationการประกาศพระกิตติคุณแก่โลกในรุ่นนี้ภาษาอังกฤษ) ซึ่งเป็นแก่นกลางของวิสัยทัศน์พันธกิจของเขา
3.2. ผลงานตีพิมพ์ที่สำคัญ
ผลงานเขียนและบทความสำคัญของมอตต์ได้แสดงออกถึงวิสัยทัศน์ของเขาอย่างชัดเจนและมีอิทธิพลอย่างมากต่อโลกคริสเตียน หนังสือสำคัญของเขาได้แก่:
- การประกาศพระกิตติคุณแก่โลกในรุ่นนี้ (The Evangelization of the World in This Generationการประกาศพระกิตติคุณแก่โลกในรุ่นนี้ภาษาอังกฤษ) (ค.ศ. 1900)
- ชั่วโมงแห่งการตัดสินใจของพันธกิจคริสเตียน (The Decisive Hour of Christian Missionsชั่วโมงแห่งการตัดสินใจของพันธกิจคริสเตียนภาษาอังกฤษ) (ค.ศ. 1910)
- สหพันธ์นักศึกษาคริสเตียนโลก (World Student Christian Federationสหพันธ์นักศึกษาคริสเตียนโลกภาษาอังกฤษ) (ค.ศ. 1920)
- ความร่วมมือและพันธกิจโลก (Cooperation and the World Missionความร่วมมือและพันธกิจโลกภาษาอังกฤษ) (ค.ศ. 1935)
- ชาวเมธอดิสต์รวมใจเพื่อการกระทำ (Methodists United for Actionชาวเมธอดิสต์รวมใจเพื่อการกระทำภาษาอังกฤษ) (ค.ศ. 1939)
- การเผยแพร่พระกิตติคุณที่ยิ่งใหญ่กว่า (The Larger Evangelismการเผยแพร่พระกิตติคุณที่ยิ่งใหญ่กว่าภาษาอังกฤษ) (ค.ศ. 1945)
- ภาวะผู้นำในอนาคตของคริสตจักร (The Future Leadership of the Churchภาวะผู้นำในอนาคตของคริสตจักรภาษาอังกฤษ) (ค.ศ. 1909)
- ห้าทศวรรษและมุมมองข้างหน้า (Five decades and a forward viewห้าทศวรรษและมุมมองข้างหน้าภาษาอังกฤษ) (ค.ศ. 1939) ซึ่งเป็นอัตชีวประวัติของเขา
4. ชีวิตส่วนตัว
4.1. ครอบครัวและความสัมพันธ์
มอตต์แต่งงานสองครั้ง ภรรยาคนแรกของเขาคือไลลา เอดา ไวต์ (Leila Ada White) พวกเขาแต่งงานกันในปี ค.ศ. 1891 และมีบุตรชายสองคนและบุตรสาวสองคน รวมถึงไอรีน มอตต์ โบส (Irene Mott Bose) ซึ่งเป็นนักสังคมสงเคราะห์ในอินเดีย และเป็นภรรยาของวิเวียน โบส ผู้พิพากษาศาลสูงสุดของอินเดีย; จอห์น ลิฟวิงสโตน มอตต์ (John Livingstone Mott) ซึ่งได้รับเหรียญเงินไกซาร์-ไอ-ฮินด์ (Kaisar-i-Hind) ในปี ค.ศ. 1931 จากผลงานของเขากับ YMCA ในอินเดีย; และเฟรเดอริก ดอดจ์ มอตต์ (Frederick Dodge Mott) ซึ่งทำงานด้านการวางแผนสุขภาพในแคนาดา และเป็นตัวแทนของแคนาดาในองค์การอนามัยโลก
หลังจากไลลา มอตต์เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1952 มอตต์ได้แต่งงานใหม่ในปี ค.ศ. 1953 กับแอ็กเนส ปีเตอร์ (Agnes Peter) ซึ่งเป็นทายาทของมาร์ธา คัสติส วอชิงตัน
4.2. เหตุการณ์สำคัญ
ในปี ค.ศ. 1912 มอตต์และเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งได้รับการเสนอให้เดินทางฟรีบนเรือ ไททานิก โดยเจ้าหน้าที่ของไวต์สตาร์ไลน์ ผู้สนใจในงานของพวกเขา แต่ทั้งสองปฏิเสธและเลือกเดินทางด้วยเรือที่ธรรมดากว่าคือเรือ เอสเอส แลปแลนด์ ตามชีวประวัติที่เขียนโดย ซี. ฮาวเวิร์ด ฮอปกินส์ ในนครนิวยอร์ก ชายทั้งสองได้ยินข่าวที่เกิดขึ้นกับเรือ ไททานิก และมองหน้ากันก่อนจะกล่าวว่า "พระเจ้าผู้ทรงแสนดีคงมีงานให้เราทำอีกมาก"
5. ช่วงปลายของชีวิตและการเสียชีวิต
5.1. การเกษียณและปีสุดท้าย
ในปี ค.ศ. 1954 มอตต์เข้าร่วมการประชุมสภาแห่งคริสตจักรโลกที่เมืองเอวานสตัน รัฐอิลลินอยส์ ขณะอายุ 89 ปี และได้กล่าวว่า "ถ้าจอห์น มอตต์เสียชีวิตไปแล้ว ก็ขอให้จดจำเขาในฐานะผู้ประกาศพระกิตติคุณ" เอกสารส่วนตัวของเขาถูกเก็บรักษาไว้ที่ห้องสมุดวิทยาลัยศาสนศาสตร์เยล
5.2. การเสียชีวิต
จอห์น ราลี มอตต์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1955 ที่ออร์แลนโด รัฐฟลอริดา ขณะอายุ 89 ปี
6. มรดกและการประเมิน
ชีวิตและผลงานของจอห์น อาร์. มอตต์ ได้รับการประเมินทางประวัติศาสตร์และสังคมที่หลากหลาย ซึ่งสะท้อนถึงอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของเขาต่อขบวนการคริสเตียนและสันติภาพโลก
6.1. ความสำคัญทางประวัติศาสตร์
จอห์น ราลี มอตต์ มีอิทธิพลอย่างมหาศาลต่อพันธกิจคริสเตียน ขบวนการคริสตจักรสัมพันธ์ และสันติภาพระหว่างประเทศ เขาถือเป็นหนึ่งในบุคคลทางศาสนาที่มีอิทธิพลมากที่สุดในศตวรรษที่ 20 ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างความเป็นเอกภาพและการส่งเสริมความเข้าใจข้ามวัฒนธรรม
6.2. การยอมรับเชิงบวก
มอตต์ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากผลงานของเขา โดยเฉพาะการได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี ค.ศ. 1946 และเครื่องราชอิสริยาภรณ์瑞宝章จากรัฐบาลญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1929 นอกจากนี้ นักประวัติศาสตร์ยังยกย่องเขาว่าเป็น "ผู้นำคริสเตียนที่เดินทางมากที่สุดและได้รับความไว้วางใจจากทั่วโลกมากที่สุดในยุคของเขา"
6.3. การวิพากษ์วิจารณ์และข้อถกเถียง
ในข้อมูลที่รวบรวมได้ ไม่มีข้อวิพากษ์วิจารณ์หรือข้อถกเถียงใด ๆ ที่สำคัญเกี่ยวกับจอห์น ราลี มอตต์ ที่ปรากฏอยู่ในเอกสารต้นฉบับ
7. เกียรติยศและอนุสรณ์
เกียรติยศ อนุสรณ์ และสถาบันต่าง ๆ ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่จอห์น อาร์. มอตต์ และเพื่อเป็นการระลึกถึงมรดกที่เขาทิ้งไว้
7.1. เกียรติยศและรางวัล
จอห์น ราลี มอตต์ได้รับรางวัลและการยกย่องที่สำคัญทั้งในขณะมีชีวิตอยู่และหลังเสียชีวิต ได้แก่:
- รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ในปี ค.ศ. 1946
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์瑞宝章 (Order of the Sacred Treasure) จากรัฐบาลญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1929
- บุตรชายของเขา จอห์น ลิฟวิงสโตน มอตต์ ได้รับเหรียญเงินไกซาร์-ไอ-ฮินด์ (Kaisar-i-Hind) ในปี ค.ศ. 1931 จากผลงานของเขากับ YMCA ในอินเดีย
7.2. อนุสรณ์สถานและสถาบัน
เพื่อเป็นการระลึกถึงมรดกของเขา จอห์น ราลี มอตต์ ได้รับการบรรจุชื่ออย่างเป็นทางการในปฏิทินพิธีกรรมของคริสตจักรเอพิสโกพัลในปี ค.ศ. 2022 โดยมีวันฉลองตรงกับวันที่ 3 ตุลาคม นอกจากนี้ โรงเรียนมัธยมปลายในเขตการศึกษาชุมชนโพสต์วิลล์ในเมืองโพสต์วิลล์ รัฐไอโอวา ก็ได้รับการตั้งชื่อตามเขาด้วย