1. ภาพรวม
จักรพรรดินีซีตาแห่งบูร์บง-ปาร์มาทรงเป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ในฐานะพระมเหสีของจักรพรรดิคาร์ลที่ 1 พระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี พระชนมชีพของพระองค์เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ตั้งแต่การประสูติในราชวงศ์ที่ถูกปลดจากอำนาจ การอภิเษกสมรสที่นำพาพระองค์สู่บัลลังก์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การเผชิญหน้ากับการล่มสลายของจักรวรรดิ และช่วงเวลาแห่งการลี้ภัยอันยาวนาน พระองค์ทรงเป็นชาวคาทอลิกที่เคร่งครัด ทรงยึดมั่นในศรัทธาและหน้าที่ตลอดพระชนมชีพ แม้ต้องเผชิญกับความยากลำบากนานัปการหลังการสวรรคตของพระราชสวามีเมื่อทรงเป็นม่ายตั้งแต่อายุยังน้อย พระองค์ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีของราชวงศ์ที่พลัดถิ่น และทรงอุทิศพระองค์ให้กับการเลี้ยงดูพระโอรสธิดาจำนวนมาก รวมถึงงานการกุศลต่าง ๆ ความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของพระองค์ในการรักษาเกียรติภูมิของราชวงศ์และความพยายามในการนำสันติภาพมาสู่ยุโรปได้ทิ้งมรดกที่สำคัญไว้ในประวัติศาสตร์ ซึ่งนำไปสู่กระบวนการพิจารณาเพื่อยกย่องพระองค์เป็นบุญราศีในเวลาต่อมา
2. วัยเยาว์และภูมิหลัง
เจ้าหญิงซีตาแห่งบูร์บง-ปาร์มาทรงมีพระชนมชีพในวัยเยาว์ภายใต้บริบททางสังคมที่หล่อหลอมตัวตนของพระองค์ให้เป็นผู้มีความศรัทธาและเข้มแข็ง แม้จะประสูติในราชวงศ์ที่เคยเรืองอำนาจแต่ได้สูญเสียราชบัลลังก์ไปแล้วก็ตาม
2.1. การประสูติและครอบครัว
เจ้าหญิงซีตาแห่งบูร์บง-ปาร์มาพระราชสมภพเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1892 ณ วิลลาปีอานอเร จังหวัดลุกกา ประเทศอิตาลี พระนามว่า ซีตา (Zita) ตั้งตามชื่อของนักบุญซีตาผู้โด่งดังที่ซึ่งอาศัยอยู่ในแคว้นตอสคานาสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 13 ซึ่งถือเป็นพระนามที่ค่อนข้างแปลกในยุคนั้น


พระองค์เป็นพระธิดาพระองค์ที่สามและพระราชบุตรพระองค์ที่ห้าในโรแบร์โตที่ 1 ดยุกแห่งปาร์มา และพระชายาพระองค์ที่สอง อิงฟังตามารีอา อันตอนียูแห่งโปรตุเกส ผู้ซึ่งเป็นพระราชธิดาในพระเจ้ามีแกลแห่งโปรตุเกสและพระมเหสีเจ้าหญิงอาเดิลไฮท์แห่งเลอเวนชไตน์-แวร์ทไฮม์-โรเซินแบร์ค พระบิดาของเจ้าหญิงซีตาทรงถูกขับออกจากราชบัลลังก์เมื่อทรงพระเยาว์ เนื่องจากการเคลื่อนไหวในการรวมชาติอิตาลีที่เกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1859 พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของพระโอรสและธิดา 12 พระองค์ จากการอภิเษกสมรสครั้งแรกกับเจ้าหญิงมารีอา ปีอาแห่งซิซิลีทั้งสอง ซึ่งในจำนวนนี้หกพระองค์ทรงมีปัญหาพัฒนาการทางด้านจิตใจและสามพระองค์สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ดยุกโรแบร์โตทรงเป็นม่ายใน ค.ศ. 1882 และอีกสองปีต่อมาทรงอภิเษกสมรสกับอิงฟังตามารีอา อันตอนียูแห่งโปรตุเกส พระมารดาในเจ้าหญิงซีตา การอภิเษกสมรสครั้งที่สองนี้ได้ให้กำเนิดพระโอรสและธิดาเพิ่มอีก 12 พระองค์ โดยเจ้าหญิงซีตาเป็นพระธิดาพระองค์ที่ 17 ในจำนวนพระโอรสธิดาจำนวนทั้งหมด 24 พระองค์ของดยุกโรแบร์โต
พระองค์และครอบครัวเสด็จแปรพระราชฐานประทับทั้งที่วิลลาปีอานอเร ซึ่งเป็นทรัพย์สินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองปิเอตราซานตาและเมืองวีอาเรจจีโอ และปราสาทชวาร์เซาในภูมิภาคโลเวอร์ออสเตรีย เป็นหลัก เจ้าหญิงซีตาทรงเจริญพระชนม์ในพระราชฐานทั้งสองแห่งนี้ ครอบครัวของเจ้าหญิงประทับในออสเตรียเป็นส่วนใหญ่และจะย้ายไปประทับที่เมืองปีอานอเรในช่วงฤดูหนาวและกลับมาในฤดูร้อน ในการเดินทางจะต้องใช้รถไฟขบวนพิเศษที่มีจำนวนสิบหกตู้เพื่อรองรับสมาชิกในครอบครัวและสิ่งของเครื่องใช้ของทุกพระองค์ได้ทั้งหมด
2.2. การศึกษา
เจ้าหญิงซีตาและพระเชษฐา พระเชษฐภคินี พระอนุชาและพระขนิษฐาได้รับการอภิบาลให้ตรัสภาษาอิตาลี ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาสเปน ภาษาโปรตุเกส และภาษาอังกฤษ พระองค์ทรงเล่าว่า: "พวกเราเติบโตมาแบบนานาชาติ เสด็จพ่อคิดว่าท่านเป็นฝรั่งเศสอย่างแรกเลย และใช้เวลาประทับอยู่กับพวกพี่ ๆ ที่ช็องบอร์ ซึ่งคือพระราชฐานของเสด็จพ่อริมแม่น้ำลัวร์ ข้าพเจ้าเคยถามเสด็จพ่อครั้งหนึ่งว่าพวกเราจะแนะนำตัวเองเช่นไรดี ท่านกล่าวกลับว่า 'พวกเราเป็นเจ้านายชาวฝรั่งเศสที่ปกครองดินแดนในอิตาลี' แต่ที่จริงแล้ว ในพี่น้องจำนวนยี่สิบสี่คน มีเพียงข้าพเจ้าและพี่น้องอีกสองเท่านั้นคนที่เกิดในอิตาลีจริง ๆ"
เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้สิบพรรษา เจ้าหญิงซีตาทรงเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนประจำแห่งหนึ่งในเมืองซันแบร์ค ภูมิภาคโอเบอร์ไบเอิร์น ซึ่งเน้นการศึกษาและการสอนศาสนาที่เคร่งครัด พระองค์ต้องเสด็จกลับพระราชฐานอย่างกะทันหันในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1907 อันเนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของพระบิดา พระอัยยิกาฝ่ายพระมารดาคือเจ้าหญิงอาเดิลไฮท์แห่งเลอเวนชไตน์-แวร์ทไฮม์-โรเซินแบร์คจึงส่งพระองค์และเจ้าหญิงฟรันเซสกา พระเชษฐภคินีไปประทับในสำนักชีที่ไอล์ออฟไวต์จนพระองค์สำเร็จการศึกษา เหล่าพระโอรสธิดาในราชวงศ์ซึ่งเป็นคาทอลิกที่เคร่งครัด ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจนานัปการแก่คนยากจน เช่น ในเมืองชวาร์เซา ครอบครัวของเจ้าหญิงซีตาได้นำผ้าที่เหลือมาทำฉลองพระองค์ พระองค์และเจ้าหญิงฟรันเซสกาทรงแจกจ่ายอาหาร เสื้อผ้าและยารักษาโรคแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากในเมืองปีอานอเร พระเชษฐภคินีสามพระองค์ทรงเป็นแม่ชี และครั้งหนึ่งพระองค์ทรงเคยคิดที่จะดำเนินรอยตาม แต่ด้วยพระพลานามัยที่ไม่ค่อยแข็งแรง พระองค์จึงทรงเข้ารับการรักษาแบบดั้งเดิมในสปาของทวีปยุโรปเป็นเวลาสองปี
3. การอภิเษกสมรสและชีวิตในราชสำนัก
การอภิเษกสมรสของเจ้าหญิงซีตากับอาร์ชดยุกคาร์ลได้นำพาพระองค์เข้าสู่บทบาทสำคัญในราชสำนักออสเตรีย-ฮังการี ทั้งในฐานะพระชายาของรัชทายาทและจักรพรรดินีในช่วงเวลาแห่งความผันผวนทางประวัติศาสตร์
3.1. การหมั้นและการอภิเษกสมรส
บริเวณใกล้เคียงของปราสาทชวาร์เซาเป็นคือ วิลลาวอร์ทโฮลซ์ ที่ประทับของอาร์ชดัชเชสมารีอา เทเรซีอาแห่งออสเตรีย พระมาตุจฉาของเจ้าหญิงซีตา พระองค์เป็นพระมารดาเลี้ยงของอาร์ชดยุกอ็อทโทแห่งออสเตรีย ซึ่งสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1906 และพระอัยยิกาเลี้ยงของอาร์ชดยุกคาร์ลแห่งออสเตรีย-เอ็สเทอ ซึ่งในขณะนั้นเป็นรัชทายาทลำดับที่สองแห่งราชบัลลังก์ออสเตรีย-ฮังการี พระธิดาสองพระองค์ของอาร์ชดัชเชสมารีอา เทเรซีอาแห่งออสเตรียเป็นพระญาติของเจ้าหญิงซีตา และอาร์ชดยุกคาร์ล ทั้งสองพระองค์ทรงพบกันเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์และไม่ได้เจอกันอีกเป็นเวลาเกือบสิบปี เนื่องจากต่างก็ไปศึกษาเล่าเรียน ในปี ค.ศ. 1909 กองร้อยดรากูนของอาร์ชดยุกคาร์ลได้ประจำการที่เมืองบรันไดส์ นาต ลาเบม จากที่นั่นพระองค์เสด็จไปเยี่ยมพระมาตุจฉาที่เมืองฟรันติชโกวี ลาซเน ในช่วงนี้เองที่อาร์ชดยุกคาร์ลและเจ้าหญิงซีตาทรงสร้างความคุ้นเคยกันอีกครั้ง อาร์ชดยุกคาร์ลทรงอยู่ภายใต้ความกดดันเรื่องการอภิเษกสมรส เนื่องจากอาร์ชดยุกฟรันทซ์ แฟร์ดีนันท์ พระปิตุลา ทรงอภิเษกสมรสต่างฐานันดรศักดิ์กับสามัญชน ทำให้พระโอรสธิดาของพระองค์หมดสิทธิสืบราชสมบัติ และเจ้าหญิงซีตาทรงมาจากสายราชตระกูลที่เหมาะสม

เจ้าหญิงทรงเล่าต่อมาในภายหลังว่า "เราสองคนดีใจมากที่พบกันอีกครั้งและกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ความรู้สึกส่วนของข้าพเจ้าพัฒนาขึ้นเป็นลำดับตลอดเวลาสองปี พระองค์ดูเหมือนจะตัดสินใจได้เร็วมากกว่า และชัดเจนมากขึ้นเมื่อในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 1910 ได้มีข่าวลือแพร่สะพัดออกไปว่าข้าพเจ้าได้หมั้นกับอินฟันเตไฆเม ดยุกแห่งมาดริด ซึงเป็นญาติสายห่างจากสเปน เมื่อทราบเรื่องนี้ อาร์ชดยุกคาร์ลได้รีบเสด็จมาจากกองร้อยที่ประจำการอยู่ที่เมืองบรันไดส์และพบแกรนด์ดัชเชสมารีอา เทเรซีอา พระอัยยิกา ซึ่งเป็นเสด็จป้าของข้าพเจ้าและทีปรึกษาเรื่องการอภิเษกสมรส พระองค์ตรัสถามว่าข่าวลือเป็นจริงหรือไม่และเมื่อทรงทราบว่าไม่เป็นจริง จึงตรัสตอบว่า 'งั้นหม่อมฉันควรจะช้าไม่ได้เสียแล้ว มิเช่นนั้นซีตาจะหมั้นกับคนอื่นแทน'"
อาร์ชดยุกคาร์ลเสด็จไปยังวิลลาปีอานอเร่เพื่อสู่ขอเจ้าหญิงซีตา และราชสำนักออสเตรียได้ประกาศพิธีหมั้นเมื่อในวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1911 ซึ่งเป็นวันฉลองนักบุญปาดัว พระองค์ทรงเล่าว่าหลังจากพิธีหมั้นแล้ว พระองค์ทรงแสดงความกังวลกับอาร์ชดยุกคาร์ลเกี่ยวกับโชคชะตาของจักรวรรดิออสเตรีย รวมทั้งความท้าท้ายของพระราชวงศ์ด้วย

ทั้งสองพระองค์อภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1911 ณ ปราสาทชวาร์เซา ประเทศออสเตรีย โดยมีจักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟ ขณะนั้นพระชนมพรรษา 81 พรรษา เสด็จมาเข้าร่วมพิธีด้วยความโล่งพระทัยเมื่อเห็นรัชทายาทอภิเษกสมรสกับเจ้าสาวที่เหมาะสม และยังคงมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ ถึงกับสามารถกล่าวนำดื่มอวยพรในงานเลี้ยงพระกระยาหารเช้าของวันอภิเษกสมรสได้ จากนั้นไม่นานเจ้าหญิงซีตาทรงพระครรภ์พระโอรสและอาร์ชดยุกอ็อทโท ประสูติในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1912 และตามมาด้วยพระราชโอรสธิดาอีกเจ็ดพระองค์ในอีกทศวรรษต่อมา
3.2. การเป็นเจ้าหญิงรัชทายาท
ในเวลานั้น อาร์ชดยุกคาร์ลมีพระชนมายุยี่สิบเศษและไม่ทรงคาดคิดว่าจะได้เป็นรัชทายาทในราชบัลลังก์ในเวลาอันใกล้ โดยเฉพาะขณะที่อาร์ชดยุกฟรันทซ์ แฟร์ดีนันท์ ยังมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 เมื่ออาร์ชดยุกฟรันทซ์ แฟร์ดีนันท์และเจ้าหญิงโซฟี พระชายา ถูกลอบปลงพระชนม์ที่เมืองซาราเยโว โดยกลุ่มชาตินิยมชาวเซิร์บในแคว้นบอสเนีย อาร์ชดยุกคาร์ลและอาร์ชดัชเชสซีตาทรงทราบข่าวจากโทรเลขในวันเดียวกัน พระองค์ตรัสถึงพระสวามีว่า "แม้ว่าจะเป็นวันที่อากาศแจ่มใส ข้าพเจ้าเห็นพระพักตร์ของพระองค์ซีดขาวในแสงแดด" การลอบปลงพระชนม์ครั้งนี้เป็นชนวนเหตุให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1
ในสงครามที่ตามมา อาร์ชดยุกคาร์ลทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นนายพลแห่งกองทัพออสเตรีย-ฮังการี บัญชาการกองร้อยที่ 20 เตรียมพร้อมรบในเมืองไทรอล สงครามสร้างความลำบากใจแก่อาร์ชดัชเชสซีตาเป็นอย่างมาก เนื่องจากพระเชษฐาและพระอนุชาหลายพระองค์สู้รบในฝ่ายตรงข้ามกัน โดยเจ้าชายเฟลิกซ์ และเจ้าชายเรอเน ทรงเข้าร่วมกองทัพออสเตรีย ในขณะที่เจ้าชายซิกซ์ทัส และเจ้าชายซาเวรีโอ ซึ่งประทับอยู่ในประเทศฝรั่งเศสก่อนสงคราม ได้เข้าร่วมกองทัพเบลเยียม นอกจากนี้ ประเทศอิตาลีซึ่งเป็นบ้านเกิดของอาร์ชดัชเชสซีตา ได้เข้าร่วมสงครามต่อต้านออสเตรียในปี ค.ศ. 1915 และเป็นเหตุให้ข่าวลือของอาร์ชดัชเชสซีตา "ที่เป็นอิตาลี" เริ่มเป็นที่ซุบซิบกัน แม้แต่ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1917 เคานต์อ็อทโท ฟ็อน เวเดิล-ยาร์ลสแบร์ก ทูตเยอรมันประจำกรุงเวียนนา เขียนจดหมายไปยังราชสำนักในกรุงเบอร์ลินว่า "จักรพรรดินีทรงสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์อิตาลี... ประชาชนไม่เชื่อชาวอิตาลีและเหล่าญาติของพระนางสักเท่าใดนัก"

ตามพระราชโองการของจักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟ อาร์ชดัชเชสซีตาและพระราชโอรสธิดาเสด็จออกจากพระราชฐานในเมืองเฮ็ทเซ็นดอร์ฟไปประทับในพระราชวังเชินบรุน พระองค์ปฏิบัติพระราชภารกิจอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการร่วมกับจักรพรรดิเป็นเวลาหลายชั่วโมง ซึ่งพระองค์ตรัสเล่าถึงเรื่องความกลัวต่อเหตุการณ์ในอนาคตแก่อาร์ชดัชเชสซีตา จักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟ เสด็จสวรรคตด้วยโรคหลอดพระวาโยอักเสบและพระปัปผาสะบวมเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 ขณะมีพระชนมพรรษา 86 พรรษา อาร์ชดัชเชสซีตาทรงเล่าในภายหลังว่า "ข้าพเจ้าจำรูปร่างพ่วงพีของเจ้าชายล็อบโควิตซ์ก้าวเข้ามาหาสวามีของข้าพเจ้า และด้วยน้ำตาที่เอ่อเต็มสองตา ได้ทำสัญลักษณ์รูปไม้กางเขนบนหน้าผากของคาร์ล แล้วพูดว่า 'ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดประทานพรแก่ฝ่าพระบาท' นับเป็นครั้งแรกที่ได้ยินการใช้พระอิสริยยศกษัตริย์กับเราทั้งสอง"
3.3. การดำรงตำแหน่งจักรพรรดินีและสมเด็จพระราชินี
จักรพรรดินีซีตาทรงขึ้นดำรงตำแหน่งจักรพรรดินีและสมเด็จพระราชินีในช่วงเวลาที่จักรวรรดิเผชิญกับความท้าทายจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และทรงมีบทบาทสำคัญในการดำเนินพระราชกรณียกิจต่าง ๆ

จักรพรรดิคาร์ลและจักรพรรดินีซีตาทรงทำพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1916 ณ กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ต่อจากนั้นมีพิธีพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารฉลองการครองราชสมบัติ แต่ไม่นานงานสังสรรค์ได้สิ้นสุดลง ด้วยสองพระองค์ทรงตระหนักว่าไม่ควรจัดงานเฉลิมฉลองอย่างเอิกเกริกในช่วงสงครามอันเลวร้าย เมื่อเริ่มต้นรัชกาลแล้ว จักรพรรดิคาร์ลไม่ได้เสด็จออกนอกกรุงเวียนนาบ่อยนัก จึงได้มีรับสั่งให้ติดตั้งสายโทรศัพท์จากเมืองบาเดิน (ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการทหารในพระองค์) มายังพระราชวังฮอฟบวร์ค พระองค์ทรงโทรศัพท์หาพระจักรพรรดินีซีตาหลายครั้งเมื่อใดที่ประทับห่างไกลกัน จักรพรรดินีทรงมีอิทธิพลต่อพระราชสวามีอยู่บ้างและมีโอกาสร่วมในการเข้าเฝ้าของอัครมหาเสนาบดีหรือการประชุมทางการทหารอย่างไม่โจ่งแจ้งมากนัก และพระองค์ยังทรงมีความสนพระทัยในนโยบายด้านสังคมเป็นพิเศษ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องของกิจการทหารยกให้เป็นสิทธิของจักรพรรดิคาร์ลแต่เพียงผู้เดียว ด้วยความแข็งขันและแน่วแน่ พระองค์ได้โดยเสด็จพระราชสวามีไปยังมณฑลต่าง ๆ และแนวรบ รวมทั้งอุทิศพระวรกายให้กับพระราชกรณียกิจการกุศลและการเสด็จเยี่ยมโรงพยาบาลของผู้ได้รับบาดเจ็บจากสงคราม
3.3.1. กรณีพิพาทซิกซ์ตัส
ในขณะนี้ สงครามโลกได้ก้าวย่างเข้าสู่ปีที่สี่ และเจ้าชายซิกซ์ทัส พระเชษฐาในจักรพรรดินีซีตา ซึ่งร่วมรบในกองทัพเบลเยียม เป็นผู้เสนอญัตติสำคัญเบื้องหลังแผนการให้จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีสร้างสันติภาพกับฝรั่งเศส จักรพรรดิคาร์ลทรงเริ่มติดต่อกับเจ้าชายซิกซ์ทัสผ่านทางเส้นสายในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่เป็นกลาง และจักรพรรดินีซีตามีพระราชหัตถเลขาเชิญพระเชษฐามายังกรุงเวียนนา โดยมีอิงฟังตามารีอา อันตอนียู พระมารดาเป็นผู้ส่งจดหมายให้ด้วยพระองค์เอง
เจ้าชายซิกซ์ทัสเสด็จมาพร้อมด้วยเงื่อนไขที่เห็นชอบจากประเทศฝรั่งเศสเพื่อการเจรจา เช่น การคืนเมืองอัลซาส-ลอร์แรนให้กับฝรั่งเศส (ซึ่งผนวกกับประเทศเยอรมนีภายหลังจากสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียเมื่อปี ค.ศ. 1870) การคืนเอกราชให้กับประเทศเบลเยียม และราชอาณาจักรเซอร์เบีย และการมอบเมืองคอนสแตนติโนเปิลให้แก่ประเทศรัสเซีย จักรพรรดิคาร์ลทรงเห็นชอบด้วยในหลักการกับประเด็นสามข้อแรกและมีพระราชหัตถเลขาถึงเจ้าชายซิกซ์ทัสลงวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1917 ซึ่งเป็น "ข้อความที่เป็นความลับและไม่เป็นทางการ" ที่จะส่งไปยังประธานาธิบดีแห่งฝรั่งเศส โดยระบุว่า "ข้าพเจ้าจะใช้ทุกวิถีทางและอิทธิพลส่วนตัวทั้งหมดของข้าพเจ้า" ในที่สุดความพยายามในการทูตระดับพระราชวงศ์ไม่ประสบผลสำเร็จ ประเทศเยอรมนีปฏิเสธการเจรจาเรื่องดินแดนอัลซาสและลอแรน และลังเลที่จะยุติสงครามเมื่อเห็นว่าการล่มสลายของจักรวรรดิรัสเซียรออยู่ตรงหน้า เจ้าชายซิกซ์ทัสทรงพยายามต่อไป โดยเข้าพบกับเดวิด ลอยด์ จอร์จ ในกรุงลอนดอน เกี่ยวกับเรื่องความต้องการดินแดนออสเตรียของประเทศอิตาลีตามสนธิสัญญาลอนดอน ค.ศ. 1915 แต่นายกรัฐมนตรีอังกฤษไม่สามารถโน้มน้าวให้นายทหารอังกฤษสร้างสันติภาพกับออสเตรียได้ จักรพรรดินีซีตาสามารถสร้างความสำเร็จด้วยพระองค์เองในช่วงเวลานี้ โดยหยุดยั้งแผนการของเยอรมันที่จะส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดยังพระราชฐานของพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระราชินีแห่งเบลเยียมในวันเฉลิมพระนามของทั้งสองพระองค์
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1918 หลังจากการลงนามสนธิสัญญาเบรสท์-ลิตอฟสก์ระหว่างเยอรมนีกับรัสเซีย อ็อทโทคาร์ แซร์นิน รัฐมนตรีต่างประเทศของออสเตรียได้กล่าวปราศรัยโจมตีนายจอร์จ เคลม็องโซ นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศสที่กำลังเข้ามาร่วมประชุมว่าเป็นอุปสรรคสำคัญในการสร้างสันติภาพระหว่างฝ่ายมหาอำนาจกลาง นายเคลม็องโซรู้สึกโมโหอย่างมากและได้นำจดหมายลงวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1917 ของจักรพรรดิคาร์ล ที่ค้นเจอออกมาตีพิมพ์ ในไม่ช้า พระชนม์ชีพของเจ้าชายซิกซ์ทัสดูเหมือนจะตกอยู่ในอันตรายและเกิดความกลัวกันว่าเยอรมนีอาจจะเข้ายึดครองออสเตรีย เคานต์แซร์นินได้เร่งให้จักรพรรดิส่ง "คำมั่นสัญญา" ไปยังเหล่าพันธมิตรของออสเตรียว่า เจ้าชายซิกซ์ทัสมิได้ทรงรับพระบรมราชานุญาตให้แสดงจดหมายฉบับนั้นต่อรัฐบาลฝรั่งเศส ไม่มีการกล่าวถึงประเทศเบลเยียมเลย และนายเคลม็องได้โกหกการพูดถึงเรื่องดินแดนอัลซาส เคานต์แซร์นินได้ติดต่อกับสถานทูตเยอรมันมาโดยตลอดระยะที่เกิดวิกฤตการณ์ครั้งนี้ และพยายามโน้มน้าวให้จักรพรรดิสละราชสมบัติเนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เขาจึงได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศไป
4. การสิ้นสุดของจักรวรรดิและการลี้ภัย
ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีได้ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อชีวิตของจักรพรรดินีซีตาและพระราชวงศ์ ซึ่งต้องเผชิญกับการล่มสลายของอำนาจและการเริ่มต้นชีวิตในต่างแดน
4.1. การล่มสลายของจักรวรรดิและการเริ่มต้นการลี้ภัย
ในชาวงเวลานี้ สงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังจะสิ้นสุดลงกับจักรพรรดิที่ทรงพร้อมรบ สหภาพคณะมนตรีเช็กได้สาบานตนในการตั้งเป็นรัฐเอกราชเชโกสโลวาเกีย ภายใตัจักรวรรดิราชวงศ์ฮาพส์บวร์คเมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1918 แต่กองทัพเยอรมันยังคงแสดงแสนยานุภาพก่อความรุนแรงในสงครามอาเมียง และเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 พระเจ้าซาร์เฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งบัลแกเรีย ได้แยกตัวออกจากพันธมิตรในฝ่ายมหาอำนาจกลางและฟ้องร้องเพื่อสันติภาพด้วยตนเอง จักรพรรดินีซีตาประทับอยู่กับจักรพรรดิคาร์ลเมื่อทรงได้รับโทรเลขเรื่องการล่มสลายของราชอาณาจักรบัลแกเรีย พระองค์ทรงเล่าว่า "ทำให้มีความเร่งด่วนมากขึ้นในการเจรจาเพื่อสันติภาพกับมหาอำนาจตะวันตกในขณะที่ยังมีเรื่องให้เจรจากันอยู่" ในวันที่ 16 ตุลาคม จักรพรรดิทรงออก "แถลงการณ์ประชาชน" เสนอให้มีการปรับโครงสร้างจักรวรรดิบนแนวทางตามแบบสหพันธรัฐโดยแต่ละเชื้อชาติจะมีรัฐเป็นของตนเอง แต่แต่ละประเทศพยายามแยกตัวออกไปและจักรวรรดิจึงล่มสลายโดยสิ้นเชิง

เมื่อทรงปล่อยให้พระราชโอรสธิดาอยู่ทีพระราชวังเกอเดลโล ประเทศฮังการีแล้ว จักรพรรดิคาร์ลและจักรพรรดินีซีตาเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระราชวังเชินบรุนน์ ในเวลานี้รัฐมนตรีต่าง ๆ ได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐใหม่ "เยอรมัน-ออสเตรีย" และในวันที่ 11 พฤศจิกายน คณะรัฐมนตรีพร้อมกับโฆษกประจำองค์จักรพรรดิได้เตรียมแถลงการณ์เพื่อให้พระองค์ลงพระปรมาภิไธย เมื่อทอดพระเนตรเห็นครั้งแรก จักรพรรดินีซีตาเข้าพระทัยว่าเป็นแถลงการณ์เพื่อสละราชสมบัติและมีพระราชดำรัสอันเป็นที่เลื่องลือว่า "พระประมุขจะสละราชสมบัติไม่ได้ พระองค์อาจถูกปลดออกราชสมบัติได้... ไม่เป็นไร เพราะเป็นอำนาจบังคับ แต่จะให้สละราชสมบัติอย่างนั้นหรือ ไม่มีวัน ไม่มีวัน ไม่มีวันอย่างเด็ดขาด ข้าพเจ้าจะยอมตายข้างพวกท่านเสียดีกว่า แล้วก็ยังคงมีอ็อทโทอยู่อีก หากพวกท่านสังหารพวกเราทั้งหมด จะยังคงมีสมาชิกราชวงศ์ฮาพส์บวร์คคนอื่นเหลืออยู่ดี" จักรพรรดิพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ตีพิมพ์เอกสารเผยแพร่สู่สาธารณชน และพระองค์พร้อมทั้งครอบครัวและข้าราชบริพารในราชสำนักเสด็จออกจากตำหนักล่าสัตว์ในเมืองเอ็กคาร์ทเซา ซึ่งใกล้กับชายแดนประเทศฮังการีและสโลวาเกีย หลังจากนั้นได้มีการประกาศก่อตั้งสาธารณรัฐเยอรมัน-ออสเตรียในวันต่อมา
4.2. การลี้ภัยในสวิตเซอร์แลนด์และมาเดรา
หลังจากช่วงหลายเดือนที่ยากลำบากในเมืองเอ็กคาร์ทเซา เหล่าพระราชวงศ์ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน เจ้าชายซิกซ์ทัสได้เข้าพบกับสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 และขอให้พระองค์ทรงช่วยเหลือสมาชิกราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค สมเด็จพระเจ้าจอร์จทรงรู้สึกเห็นใจกับคำขอร้องนี้ เนื่องจากเพิ่งไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ที่พระญาติสนิทของพระองค์ในรัสเซียถูกสังหารโดยกลุ่มปฏิวัติ และให้สัญญาว่า "ข้าพเจ้าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นโดยทันที"
สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ทรงส่งนายทหารอังกฤษหลายนายไปช่วยเหลือจักรพรรดิคาร์ลและพระราชวงศ์ นำโดยร้อยโทเอ็ดเวิร์ด ลิสเล สตรัทท์ ผู้เป็นหลานชายของลอร์ด เบลเปอร์ และอดีตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอินส์บรุค ในวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 1919 ได้มีคำสั่งจากกระทรวงกลาโหมให้ "นำจักรพรรดิออกจากออสเตรียโดยด่วน" แม้มีความยุ่งยากบางประการ สตรัทท์ได้จัดรถไฟพระที่นั่งไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และสามารถให้พระองค์เสด็จออกนอกประเทศอย่างสมพระเกียรติและไม่มีการสละราชสมบัติ จักรพรรดิคาร์ล จักรพรรดินีซีตา พระราชโอรสธิดาและเหล่าข้าราชบริพารเสด็จออกจากประเทศออสเตรียในวันที่ 24 มีนาคม โดยมีกองทหารอังกฤษจากกองร้อยปืนใหญ่เกียรติยศภายใต้การบัญชาการของสตรัทท์คอยคุ้มกัน

ที่ประทับแห่งแรกระหว่างการลี้ภัยของครอบครัวเป็นปราสาทวาร์เท็กในเมืองรอสชาช รัฐซังคท์กัลเลิน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นทรัพย์สินของราชวงศ์บูร์บง-ปาร์มา แต่องค์กรรัฐบาลของสวิส ซึ่งกังวลเกี่ยวกับนัยแอบแฝงของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คที่ประทับอยู่ใกล้กับชายแดนออสเตรีย ได้บังคับให้สมาชิกทุกพระองค์ย้ายไปประทับทางด้านฝั่งตะวันตกของประเทศแทน ในอีกหนึ่งเดือนต่อมา ครอบครัวจักรพรรดิจึงได้ย้ายไปประทับที่วิลลาปรังแฌ็ง ใกล้กับทะเลสาบเจนีวา โดยดำรงพระชนม์ชีพอย่างเงียบสงบ ชีวิตอันสงบมีอันต้องสิ้นสุดลงโดยทันทีในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1920 เมื่อนายมิคลอส ฮอร์ธี ได้รับเลือกให้เป็นผู้สำเร็จราชการ หลังจากช่วงเวลาแห่งความไร้เสถียรภาพในประเทศฮังการี จักรพรรดิคาร์ลยังคงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งฮังการีโดยทางปฏิบัติ (พระเจ้ากาโรยที่ 4) แต่ฮอร์ธีได้ส่งผู้แทนมาเข้าเฝ้าพระองค์ที่วิลลาปรังแฌ็ง เพื่อกราบทูลไม่ให้เสด็จไปยังฮังการีจนกว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ จะสงบลงแล้ว หลังจากสนธิสัญญาทรีอานง ความทะเยอทะยานของฮอร์ธีก็เพิ่มมากขึ้น จักรพรรดิคาร์ลทรงเป็นกังวลและขอความช่วยเหลือจากร้อยโทสตรัทท์ให้พาพระองค์เสด็จไปยังฮังการี พระองค์ทรงพยายามเข้าควบคุมสถานการณ์อยู่สองครั้ง โดยครั้งแรกในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1921 และอีกครั้งในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1921 แต่ล้มเหลวหมดทุกครั้ง แม้ว่าจะได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากจักรพรรดินีซีตา ซึ่งทรงยืนกรานที่จะโดยเสด็จจักรพรรดิคาร์ลด้วยรถไฟพระที่นั่งเป็นครั้งสุดท้ายไปยังกรุงบูดาเปสต์ด้วย
จักรพรรดิคาร์ลและจักรพรรดินีซีตาประทับอยู่ที่ปราสาทตาตร ซึ่งเป็นที่พำนักของเคานต์เอสเตอร์ฮาซี จนกว่าจะสามารถหาที่ลี้ภัยถาวรที่เหมาะสมได้ มีการแนะนำให้ประทับลี้ภัยที่มอลตาแต่ได้รับการปฏิเสธจากลอร์ด เคอร์ซัน รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ และดินแดนฝรั่งเศสก็ได้ถูกห้ามเนื่องจากความเป็นไปได้ในการสมคบคิดวางแผนร้ายของพระเชษฐาและพระอนุชาในจักรพรรดินีซีตาในนามจักรพรรดิ ในที่สุดสถานที่ลี้ภัยถาวรจึงเป็นเกาะมาเดราของโปรตุเกส ในวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1921 ทั้งสองพระองค์เสด็จโดยรถไฟพระที่นั่งจากเมืองทิฮานีไปที่เมืองบาฮา ซึ่งมีเรือตรวจการณ์เอชเอ็มเอส โกลว์เวิร์มรอรับเสด็จอยู่ และได้เสด็จมาถึงเมืองฟุงฌาล ประเทศโปรตุเกส ในวันที่ 19 พฤศจิกายน ส่วนพระราชโอรสธิดายังคงประทับที่ปราสาทวาร์เท็กในประเทศสวิตเซอร์แลนด์กับอาร์ชดัชเชสมารีอา เทเรซีอา พระราชอัยยิกาในจักรพรรดิคาร์ล แต่จักรพรรดินีซีตาได้เสด็จไปพบกับพระราชโอรสธิดาทุกพระองค์ในเมืองซูริค เมื่ออาร์ชดยุกโรแบร์ท พระราชโอรสทรงเข้ารับการผ่าตัดโรคไส้ติ่งอักเสบ พระราชโอรสธิดาทุกพระองค์เสด็จไปประทับร่วมกับพระราชบิดาและพระราชมารดาที่เกาะมาเดราในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1922
จักรพรรดิคาร์ลมีพระพลานามัยไม่ดีมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง หลังจากเสด็จไปซื้อของเล่นให้กับอาร์ชดยุกคาร์ล ลูทวิช พระราชโอรสในวันที่อากาศเย็นจัดในเมืองฟุงฌาล พระองค์ประชวรด้วยโรคหลอดพระวาโยอักเสบ และลุกลามกลายเป็นโรคพระปัปผาสะบวมอย่างรวดเร็ว ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีการรักษาด้วยการแพทย์สมัยใหม่ได้ พระราชโอรสธิดาและข้าราชบริพารหลายคนล้มป่วยด้วยเช่นกัน และจักรพรรดินีซีตา (ซึ่งในขณะนั้นมีพระครรภ์แปดเดือน) ทรงรักษาพยาบาลทุกพระองค์ จักรพรรดิมีพระอาการแย่ลงเป็นลำดับและเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1922 ขณะมีพระชนมพรรษา 34 พรรษา โดยมีพระราชดำรัสสุดท้ายกับจักรพรรดินีว่า "เรารักเจ้ามากเหลือเกิน" หลังจากงานพระศพเสร็จสิ้น ผู้ร่วมงานคนหนึ่งได้กล่าวถึงจักรพรรดินีซีตาว่า "สตรีผู้นี้ควรเป็นที่ชื่นชมจริง ๆ พระองค์ไม่สูญเสียความสุขุมเยือกเย็นแม้แต่สักวินาทีเดียวเลย พระองค์ทรงทักทายผู้คนรอบด้านและพูดคุยกับคนทีมาช่วยเหลืองานพระศพด้วย ทุกคนประทับใจเสน่ห์ของพระองค์กันทุกคน" จักรพรรดินีซีตาทรงฉลองพระองค์สีดำไว้ทุกข์ให้กับพระราชสวามีตลอดระยะ 67 ปีของการเป็นม่าย
4.3. การลี้ภัยในเบลเยียม, อเมริกาเหนือ และที่อื่นๆ
หลังจากการเสด็จสวรรคตของจักรพรรดิคาร์ล อดีตราชวงศ์ออสเตรียจะต้องย้ายอีกครั้งในไม่ช้า พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 13 แห่งสเปนได้พยายามติดต่อกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษผ่านทางเอกอัครราชทูตสเปนในกรุงลอนดอน ซึ่งอนุญาตให้จักรพรรดินีซีตาและพระโอรสธิดาเจ็ดพระองค์ (จะเป็นแปดในอีกไม่นาน) ประทับในประเทศสเปนได้ สมเด็จพระราชาธิบดีอัลฟอนโซทรงส่งเรือรบหลวง อินฟันตา อิซาเบล ไปยังเมืองฟุงฌาลเพื่อรับทุกพระองค์มายังเมืองกาดิซ เมื่อมาถึงแล้วได้เสด็จไปยังพระราชวังปาร์โดในกรุงมาดริด ซึ่งอีกต่อมาไม่นานจักรพรรดินีซีตาได้ประสูติพระราชธิดาพระองค์สุดท้ายคือ อาร์ชดัชเชสเอลีซาเบ็ท พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 13 พระราชทานปาลาซิโอ อูรีบาร์เร็นที่เมืองเลเกิติโอบนอ่าวบิสเคย์ให้เป็นที่ลี้ภัยแก่พระญาติในราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค สร้างความซาบซึ้งแก่จักรพรรดินีซีตาซึ่งไม่ประสงค์จะเป็นภาระอันหนักอึ้งแก่ประเทศที่ให้ที่หลบภัยแก่พระองค์ จักรพรรดินีประทับอยู่ในเมืองเลเกิติโออีกเป็นระยะเวลาหกปี และได้เริ่มต้นการเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่พระโอรสธิดาอย่างเต็มที่ ทุกพระองค์ดำรงพระชนม์ชีพด้วยการเงินที่จำกัด โดยมีรายได้หลักจากทรัพย์สินส่วนพระองค์ในออสเตรีย ไร้องุ่นในเมืองโยฮันนิสแบร์กในหุบเขาไรน์ และเงินที่เรี่ยไรได้ด้วยความสมัครใจ แต่ส่วนสมาชิกในราชวงศ์ฮาพส์บวร์คที่ลี้ภัยพระองค์อื่น ๆ อ้างสิทธิในเงินจำนวนมาก และมีการยื่นคำร้องขอความช่วยเหลือจากอดีตข้าราชการในราชสำนักด้วย

ในปี ค.ศ. 1929 พระราชโอรสธิดาหลายพระองค์เจริญพระชนมายุใกล้จะเข้ามหาวิทยาลัยและครอบครัวได้พยายามจะย้ายไปประทับที่อื่นซึงมีบรรยากาศทางการศึกษาที่น่าอภิรมย์มากกว่าสเปน ในเดือนกันยายนปีนั้น ทุกพระองค์ทรงย้ายไปประทับที่ปราสาทในหมู่บ้านสตีน็อคเคอร์ซีล ใกล้กับกรุงบรัสเซลส์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสมาชิกหลายพระองค์ในราชวงศ์ จักรพรรดินีซีตายังคงดำเนินการล็อบบี้ทางการเมืองในนามราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค แม้แต่หยั่งเชิงสายสัมพันธ์กับมุสโสลินีในประเทศอิตาลี นอกจากนี้ยังมีหนทางในการฟื้นฟูราชวงศ์ฮาพส์บวร์คภายใต้นายกรัฐมนตรีออสเตรียสองคนคือ เอ็งเกลแบร์ต ดอลฟุส และเคิร์ท ชุสชนิก และด้วยการเสด็จเยือนออสเตรียหลายครั้งของมกุฎราชกุมารอ็อทโทอีกด้วย การเริ่มต้นทั้งหมดมีอันต้องสิ้นสุดลงทันทีด้วยการผนวกออสเตรียเป็นส่วนหนึ่งของนาซีเยอรมนีในปี ค.ศ. 1938 ในฐานะผู้ลี้ภัย ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คเป็นผู้นำการต่อต้านนาซีในออสเตรีย แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างผู้นิยมระบอบกษัตริย์และระบอบสังคมนิยม
ด้วยการรุกรานเบลเยียมของนาซีเยอรมนีในวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 จักรพรรดินีซีตาและครอบครัวทรงกลายเป็นผู้ลี้ภัยสงคราม ทุกพระองค์ทรงรอดจากการถูกสังหารอย่างฉิวเฉียดจากการโดนระเบิดที่ปราสาทอย่างจังโดยเครื่องบินทิ้งระเบิดของเยอรมันและเสด็จหนีไปยังปราสาทที่ประทับของเจ้าชายซาเวียร์ในเมืองบอสซ์ ประเทศฝรั่งเศส จากนั้นราชวงศ์ฮาพส์บวร์คได้เสด็จหนีไปยังชายแดนสเปน ซึ่งไปถึงในวันที่ 18 พฤษภาคม ในวันที่ 12 มิถุนายน อังตอนียู ซาลาซาร์ ผู้ปกครองโปรตุเกส ได้ออกคำสั่งไปยังสถานกงสุลโปรตุเกสในฝรั่งเศสให้จัดหาหนังสือเดินทางโปรตุเกสให้กับอิงฟังตามารีอา อันตอนียูแห่งโปรตุเกส ดัชเชสแห่งปาร์มา ด้วยหนังสือเดินทางโปรตุเกสเหล่านี้ ครอบครัวจึงสามารถขอวีซ่าได้โดยไม่สร้างปัญหาให้กับการวางตัวเป็นกลางของรัฐบาลโปรตุเกส ด้วยวิธีนี้ เจ้าหญิงซีตาแห่งบูร์บง-ปาร์มา พระธิดาของมารีอา อันตอนียู และเจ้าชายอ็อทโท พระโอรส จึงได้รับวีซ่าเนื่องจากเป็นผู้สืบเชื้อสายจากพลเมืองโปรตุเกส
พวกเขาได้ย้ายต่อไปยังโปรตุเกสและประทับอยู่ในเมืองกาชไกช์ ไม่นานหลังจากนั้น อาร์ชดยุกคาร์ลก็ได้รับแจ้งจากซาลาซาร์ว่าอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้เรียกร้องให้ส่งตัวพระองค์เป็นผู้ร้ายข้ามแดน ซาลาซาร์แจ้งว่าข้อเรียกร้องดังกล่าวจะถูกปฏิเสธ แต่ก็บอกเป็นนัยว่าความปลอดภัยของพระองค์ยังคงไม่แน่นอน ในวันที่ 9 กรกฎาคม รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้อนุมัติวีซ่าให้กับครอบครัว หลังจากเดินทางอย่างเสี่ยงภัย พวกเขาเดินทางมาถึงนครนิวยอร์กในวันที่ 27 กรกฎาคม โดยมีญาติอยู่ในลองไอส์แลนด์ และนวร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ ครั้งหนึ่ง จักรพรรดินีซีตาและพระโอรสธิดาหลายพระองค์เคยประทับในฐานะแขกรับเชิญระยะยาวที่ทักซิโดพาร์ค รัฐนิวยอร์ก
ผู้ลี้ภัยราชวงศ์ออสเตรียได้ตั้งถิ่นฐานในเกแบ็ก ซึ่งมีข้อดีคือเป็นพื้นที่ที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส (พระโอรสธิดาที่ยังทรงพระเยาว์ยังไม่คล่องภาษาอังกฤษ) และยังคงศึกษาต่อเป็นภาษาฝรั่งเศสที่มหาวิทยาลัยลาวาล เนื่องจากพวกเขาถูกตัดขาดจากเงินทุนในยุโรปทั้งหมด การเงินจึงตึงตัวกว่าที่เคยเป็นมา ครั้งหนึ่ง จักรพรรดินีซีตาถึงกับต้องทำสลัดและอาหารผักโขมจากใบแดนดิไลออน อย่างไรก็ตาม พระโอรสทุกพระองค์ทรงมีส่วนร่วมในความพยายามทำสงคราม อ็อทโท ทรงส่งเสริมบทบาทของราชวงศ์ในยุโรปหลังสงครามและเข้าพบกับแฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์เป็นประจำ โรแบร์ท ทรงเป็นผู้แทนของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คในลอนดอน คาร์ล ลูทวิช และเฟลิกซ์ ทรงเข้าร่วมกองทัพสหรัฐ โดยรับราชการร่วมกับญาติหลายคนในสายเมาเรอร์ที่เติบโตในอเมริกา รูด็อล์ฟ ทรงลักลอบเข้าออสเตรียในช่วงท้ายของสงครามเพื่อช่วยจัดระเบียบการต่อต้าน ในปี ค.ศ. 1945 จักรพรรดินีซีตาทรงฉลองวันพระราชสมภพในวันแรกของสันติภาพ คือวันที่ 9 พฤษภาคม พระองค์ทรงใช้เวลาสองปีต่อมาในการเดินทางไปทั่วสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเพื่อระดมทุนช่วยเหลือออสเตรียและฮังการีที่ได้รับความเสียหายจากสงคราม
5. ชีวิตส่วนพระองค์และความเชื่อ
จักรพรรดินีซีตาทรงเป็นผู้ที่มีศรัทธาอันแรงกล้าในศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการดำเนินชีวิตส่วนพระองค์และการเลี้ยงดูพระโอรสธิดา รวมถึงการอุทิศพระองค์เพื่อกิจกรรมทางสังคมและการกุศล
5.1. ศรัทธาและครอบครัว
จักรพรรดินีซีตาทรงเป็นที่รู้จักจากความศรัทธาอันลึกซึ้งในศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ตลอดพระชนมชีพพระองค์ทรงยึดมั่นในหลักคำสอนและคุณค่าทางศาสนาอย่างเคร่งครัด ความเชื่อนี้เป็นแรงผลักดันสำคัญในการตัดสินใจและดำเนินชีวิตของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเลี้ยงดูพระโอรสธิดาทั้งแปดพระองค์หลังจากการสวรรคตของพระราชสวามีเมื่อพระองค์ทรงเป็นม่ายตั้งแต่อายุเพียง 29 พรรษา พระองค์ทรงเลี้ยงดูบุตรหลานด้วยความรักและความเข้มงวด ปลูกฝังให้พวกเขามีความศรัทธาในศาสนาและยึดมั่นในคุณธรรมเช่นเดียวกับพระองค์

พระองค์ทรงเชื่อในเทวสิทธิ์ของกษัตริย์อย่างแรงกล้า และทรงเชื่อว่าการดำรงอยู่ของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงคัดค้านการสละราชสมบัติของพระราชสวามีอย่างถึงที่สุด และทรงเชื่อมั่นเสมอว่าสักวันหนึ่งราชวงศ์ฮาพส์บวร์คจะกลับคืนสู่บัลลังก์อีกครั้ง หลังจากการสวรรคตของจักรพรรดิคาร์ลที่ 1 พระองค์ทรงตรัสกับมกุฎราชกุมารอ็อทโท พระโอรสว่า "ตอนนี้เจ้าได้เป็นจักรพรรดิและพระราชาแล้ว" และทรงถือว่าอ็อทโทได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิแห่งออสเตรียแล้วอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ เมื่อทรงทราบว่าอ็อทโทได้ปฏิญาณตนเป็นพลเมืองที่ซื่อสัตย์ต่อสาธารณรัฐออสเตรียในปี ค.ศ. 1961 พระองค์ทรงตกใจและไม่สามารถพูดอะไรได้เลย
5.2. กิจกรรมทางสังคมและการกุศล
ตลอดพระชนมชีพ จักรพรรดินีซีตาทรงมีบทบาทสำคัญในกิจกรรมทางสังคมและการกุศล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและช่วงเวลาแห่งการลี้ภัย พระองค์ทรงอุทิศพระองค์เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยสงครามอย่างแข็งขัน ทรงเสด็จเยี่ยมโรงพยาบาลเพื่อดูแลผู้ได้รับบาดเจ็บจากสงครามด้วยพระองค์เอง นอกจากนี้ยังทรงให้ความสำคัญกับการดูแลเด็กกำพร้าและผู้ยากไร้ ทรงจัดหาอาหาร เสื้อผ้า และยารักษาโรคให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือในเมืองปีอานอเร และทรงนำผ้าที่เหลือมาทำเป็นเสื้อผ้าเพื่อแจกจ่ายแก่ผู้ด้อยโอกาส กิจกรรมเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเมตตาและความมุ่งมั่นของพระองค์ในการบรรเทาทุกข์แก่ประชาชน แม้ในยามที่พระองค์เองก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากจากการพลัดถิ่นและข้อจำกัดทางการเงิน
6. ช่วงบั้นปลายพระชนมชีพและการสวรรคต
ช่วงบั้นปลายพระชนมชีพของจักรพรรดินีซีตาเป็นการผสมผสานระหว่างการกลับคืนสู่มาตุภูมิเดิมอย่างจำกัด การอุทิศพระองค์เพื่อครอบครัวและศรัทธา และการจากไปอย่างสงบ
6.1. การเสด็จนิวัตออสเตรียและช่วงปีสุดท้าย
หลังจากช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนและฟื้นฟูพระวรกาย จักรพรรดินีซีตาทรงเดินทางกลับยุโรปเป็นประจำเพื่อเข้าร่วมพิธีอภิเษกสมรสของพระโอรสธิดาหลายพระองค์ พระองค์ตัดสินพระทัยย้ายกลับมาประทับในทวีปยุโรปอย่างถาวรในปี ค.ศ. 1952 ที่ลักเซมเบิร์ก เพื่อดูแลพระมารดาที่ทรงชราภาพแล้ว มารีอา อันตอนียู เสด็จสวรรคตเมื่อพระชนมายุ 96 พรรษาในปี ค.ศ. 1959 ต่อมาบิชอปแห่งคูร์ได้เสนอให้จักรพรรดินีซีตาย้ายไปประทับในที่พำนักที่ท่านดูแลอยู่ (ซึ่งเดิมเป็นปราสาทของเคานต์ เดอ ซาลิส) ที่เมืองซีเซอร์ส รัฐเกราบึนเดิน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจากปราสาทมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการมาเยี่ยมเยียนของพระราชวงศ์ขนาดใหญ่ของพระองค์ และมีโบสถ์เล็ก ๆ อยู่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับจักรพรรดินีซีตาผู้เคร่งศาสนา พระองค์จึงทรงตอบรับด้วยความยินดี

จักรพรรดินีซีตาทรงใช้เวลาในช่วงบั้นปลายพระชนมชีพกับพระราชวงศ์ แม้ว่าข้อจำกัดในการเข้าประเทศออสเตรียของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คจะถูกยกเลิกไปแล้ว แต่กฎนี้ใช้ได้เฉพาะกับผู้ที่เกิดหลังวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1919 เท่านั้น ทำให้จักรพรรดินีซีตาไม่สามารถเข้าร่วมพิธีพระศพของพระธิดาอาเดิลไฮท์ในปี ค.ศ. 1972 ซึ่งสร้างความเจ็บปวดให้แก่พระองค์เป็นอย่างมาก พระองค์ยังทรงมีส่วนร่วมในความพยายามที่จะให้พระราชสวามี "จักรพรรดิแห่งสันติภาพ" ได้รับการประกาศเป็นบุญราศี ในปี ค.ศ. 1982 ข้อจำกัดดังกล่าวได้ถูกผ่อนปรนลง และพระองค์ได้เสด็จกลับออสเตรียหลังจากที่ทรงจากไปนานถึงหกทศวรรษ ในอีกไม่กี่ปีต่อมา จักรพรรดินีทรงเสด็จเยือนมาตุภูมิเดิมของออสเตรียหลายครั้ง และยังทรงปรากฏพระองค์ในรายการโทรทัศน์ของออสเตรียด้วย ในการสัมภาษณ์ชุดหนึ่งกับหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์โครเนน ไซตุง ในกรุงเวียนนา จักรพรรดินีซีตาทรงแสดงความเชื่อว่าการสิ้นพระชนม์ของมกุฎราชกุมารรูด็อล์ฟแห่งออสเตรียและพระสนมแมรี เวทเซรา ที่มายเยอร์ลิง ในปี ค.ศ. 1889 ไม่ใช่การฆ่าตัวตายคู่ แต่เป็นการฆาตกรรมโดยสายลับฝรั่งเศสหรือออสเตรีย
6.2. การสวรรคตและพิธีพระศพ
หลังจากฉลองวันพระราชสมภพครบรอบ 90 พรรษา ซึ่งพระองค์ทรงได้รับการรายล้อมด้วยพระราชวงศ์จำนวนมาก สุขภาพที่เคยแข็งแรงของจักรพรรดินีซีตาเริ่มทรุดโทรมลง พระองค์ทรงเป็นต้อกระจกที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ในพระเนตรทั้งสองข้าง การรวมญาติครั้งสำคัญครั้งสุดท้ายของพระองค์เกิดขึ้นที่เมืองซีเซอร์สในปี ค.ศ. 1987 เมื่อพระโอรสธิดาและพระนัดดาทรงมาร่วมฉลองวันพระราชสมภพครบรอบ 95 พรรษาของพระองค์ ขณะเสด็จเยือนพระธิดาในช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1988 พระองค์ทรงประชวรด้วยโรคปอดบวมและประทับอยู่บนพระแท่นบรรทมเป็นส่วนใหญ่ตลอดฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ในที่สุด พระองค์ทรงเรียกอ็อทโท มาเข้าเฝ้าในช่วงต้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 1989 และตรัสว่าพระองค์กำลังจะสวรรคต อ็อทโทและสมาชิกราชวงศ์คนอื่น ๆ ได้เดินทางมายังข้างพระแท่นบรรทมและผลัดเปลี่ยนกันอยู่เป็นเพื่อนจนกระทั่งพระองค์เสด็จสวรรคตในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 1989 สิริพระชนมายุ 96 พรรษา พระองค์ทรงเป็นพระราชบุตรพระองค์สุดท้ายที่ยังทรงพระชนม์อยู่ของโรแบร์โตที่ 1 ดยุกแห่งปาร์มา จากการอภิเษกสมรสทั้งสองครั้ง
งานพระศพของพระองค์จัดขึ้นที่เวียนนาในวันที่ 1 เมษายน รัฐบาลอนุญาตให้จัดขึ้นบนแผ่นดินออสเตรียโดยมีค่าใช้จ่ายที่ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คเป็นผู้รับผิดชอบเอง พระศพของจักรพรรดินีซีตาถูกอัญเชิญไปยังสุสานหลวงใต้โบสถ์คาปูชิน โดยใช้รถพระศพคันเดียวกับที่เคยใช้ในพิธีพระบรมศพของจักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟในปี ค.ศ. 1916 มีสมาชิกราชวงศ์ฮาพส์บวร์คและบูร์บง-ปาร์มามากกว่า 200 พระองค์เข้าร่วม และมีผู้เข้าร่วมพิธีประมาณ 6,000 คน รวมถึงนักการเมืองชั้นนำ เจ้าหน้าที่รัฐ และผู้แทนระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงผู้แทนจากสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ตามธรรมเนียมโบราณ จักรพรรดินีทรงขอให้พระหทัยของพระองค์ซึ่งถูกบรรจุในโกศ อยู่ที่อารามมูรีในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระหทัยของพระราชสวามีมานานหลายทศวรรษ การทำเช่นนี้ทำให้จักรพรรดินีซีตาทรงมั่นใจว่าเมื่อสวรรคตแล้ว พระองค์และพระราชสวามีจะยังคงอยู่เคียงข้างกัน
เมื่อขบวนผู้ไว้อาลัยมาถึงประตูสุสานหลวง พนักงานผู้ประกาศซึ่งเคาะประตูในพิธี "การรับเข้า" ตามธรรมเนียม ได้แนะนำพระองค์ว่า "ซีตา สมเด็จพระจักรพรรดินีและสมเด็จพระราชินี"
7. การประเมินและมรดก
จักรพรรดินีซีตาทรงทิ้งมรดกที่สำคัญไว้ในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านศรัทธาและบทบาททางการเมืองที่ซับซ้อนของพระองค์
7.1. การยกย่องเป็นบุญราศีและนักบุญ
หลังจากที่พระองค์เสด็จสวรรคตไปแล้ว 20 ปี ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2009 มงซินญอร์อีฟส์ เลอ โซซ์ บิชอปแห่งเลอ ม็อง ประเทศฝรั่งเศส ได้เริ่มกระบวนการการยกย่องเป็นบุญราศีของจักรพรรดินีซีตาในระดับสังฆมณฑล จักรพรรดินีซีตาทรงเคยใช้เวลาหลายเดือนในแต่ละปีในสังฆมณฑลเลอ ม็อง ที่อารามนักบุญเซซีเลีย, โซเลมส์ ซึ่งพระเชษฐภคินีสามพระองค์ของพระองค์ทรงเป็นแม่ชี
ผู้ดำเนินการในกรณีนี้คือสมาคมฝรั่งเศสเพื่อการยกย่องเป็นบุญราศีของจักรพรรดินีซีตา โดยมีอเล็กซานเดอร์ เลออนฮาร์ดท์ เป็นผู้เสนอเรื่อง และนอร์เบิร์ต นากี นักเทววิทยาคาทอลิกเป็นรองผู้เสนอเรื่องสำหรับฮังการี บรูโน บอนเนต์ เป็นผู้พิพากษาศาล และฟรองซัวส์ สคริฟ เป็นผู้ส่งเสริมความยุติธรรม ด้วยการเริ่มต้นกระบวนการนี้ จักรพรรดินีผู้ล่วงลับจึงได้รับการขนานนามว่า "ผู้รับใช้พระเป็นเจ้า"
7.2. การประเมินทางประวัติศาสตร์
จักรพรรดินีซีตาทรงเป็นผู้ที่เชื่อในเทวสิทธิ์ของกษัตริย์อย่างแรงกล้า ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงคัดค้านการสละราชสมบัติของพระราชสวามีอย่างถึงที่สุด และทรงเชื่อมั่นเสมอว่าสักวันหนึ่งราชวงศ์ฮาพส์บวร์คจะกลับคืนสู่บัลลังก์อีกครั้ง หลังจากการสวรรคตของจักรพรรดิคาร์ลที่ 1 พระองค์ทรงตรัสกับมกุฎราชกุมารอ็อทโท พระโอรสว่า "ตอนนี้เจ้าได้เป็นจักรพรรดิและพระราชาแล้ว" และทรงถือว่าอ็อทโทได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิแห่งออสเตรียแล้วอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ เมื่อทรงทราบว่าอ็อทโทได้ปฏิญาณตนเป็นพลเมืองที่ซื่อสัตย์ต่อสาธารณรัฐออสเตรียในปี ค.ศ. 1961 พระองค์ทรงตกใจและไม่สามารถพูดอะไรได้เลย อย่างไรก็ตาม พระโอรสธิดาของจักรพรรดิคาร์ลและจักรพรรดินีซีตาทรงมีสิทธิ์ในการสืบราชบัลลังก์ในประเทศสเปน, เบลเยียม และลักเซมเบิร์ก ผ่านการอภิเษกสมรส ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คอาจกลับมามีบทบาทในฐานะพระประมุขในอนาคต โดยไม่จำเป็นต้องเป็นการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ในออสเตรีย
8. พระราชโอรสและพระราชธิดา
จักรพรรดิคาร์ลที่ 1 และจักรพรรดินีซีตา มีพระราชโอรสและธิดารวมทั้งสิ้น 8 พระองค์ ดังนี้

พระนาม | ประสูติ | สิ้นพระชนม์ | หมายเหตุ |
---|---|---|---|
มกุฎราชกุมารอ็อทโท | 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1912 | 4 กรกฎาคม ค.ศ. 2011 | อภิเษกสมรส (ค.ศ. 1951) กับเจ้าหญิงเรกีนาแห่งซัคเซิน-ไมนิงเงิน (6 มกราคม ค.ศ. 1925 - 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010) มีพระบุตร 7 พระองค์ พระนัดดา 22 องค์ และพระปนัดดา 10 คน |
อาร์ชดัชเชสอาเดิลไฮท์ | 3 มกราคม ค.ศ. 1914 | 2 ตุลาคม ค.ศ. 1971 | ไม่ได้อภิเษกสมรส ไม่มีพระบุตร |
อาร์ชดยุกโรแบร์ทแห่งออสเตรีย-เอ็สเทอ | 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1915 | 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1996 | อภิเษกสมรส (ค.ศ. 1953) กับเจ้าหญิงมาร์เกรีตาแห่งซาวอย-ออสตา (7 เมษายน ค.ศ. 1930 - 10 มกราคม ค.ศ. 2022) มีพระบุตร 5 พระองค์ พระนัดดา 19 องค์ และพระปนัดดา 3 คน |
อาร์ชดยุกเฟลิกซ์แห่งออสเตรีย | 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1916 | 6 กันยายน ค.ศ. 2011 | อภิเษกสมรส (ค.ศ. 1952) กับเจ้าหญิงอันนา ออยเยนีแห่งอาเรินแบร์ค (5 กรกฎาคม ค.ศ. 1925 - 9 มิถุนายน ค.ศ. 1997) มีพระโอรส-ธิดา 7 พระองค์ และพระนัดดาอีก 22 องค์ |
อาร์ชดยุกคาร์ล ลูทวิช | 10 มีนาคม ค.ศ. 1918 | 11 ธันวาคม ค.ศ. 2007 | อภิเษกสมรส (ค.ศ. 1950) กับเจ้าหญิงอียอล็องด์แห่งลีญ (ประสูติ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1923) มีพระบุตร 4 พระองค์ พระนัดดา 19 องค์ และพระปนัดดา 10 คน |
อาร์ชดยุกรูด็อล์ฟ | 5 กันยายน ค.ศ. 1919 | 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2010 | อภิเษกสมรส (ค.ศ. 1953) กับเคาน์เตสเซนียา เชอร์นีเชฟ-เบโซบราซอฟ (11 มิถุนายน ค.ศ. 1929 - 20 กันยายน ค.ศ. 1968) มีพระบุตร 4 พระองค์ พระนัดดา 13 องค์ และพระปนัดดา 3 คน อภิเษกสมรส (ครั้งที่สอง) (ค.ศ. 1971) กับเจ้าหญิงกาบรีเอเลอแห่งแวร์เดอ (ประสูติ 11 กันยายน ค.ศ. 1940) มีพระธิดา 1 พระองค์ และพระนัดดา 3 องค์ |
อาร์ชดัชเชสชาร์ล็อทเทอ | 1 มีนาคม ค.ศ. 1921 | 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1989 | อภิเษกสมรส (ค.ศ. 1956) กับดยุกเกออร์คแห่งเมคเลินบวร์ค (5 ตุลาคม ค.ศ. 1899 - 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1963) ไม่มีพระบุตร |
อาร์ชดัชเชสเอลีซาเบ็ท | 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1922 | 6 มกราคม ค.ศ. 1993 | อภิเษกสมรส (ค.ศ. 1949) กับเจ้าชายไฮน์ริชแห่งลีชเทินชไตน์ (5 สิงหาคม ค.ศ. 1916 - 17 เมษายน ค.ศ. 1991) มีพระบุตร 5 พระองค์ พระนัดดา 7 องค์ และพระปนัดดา 6 คน |
9. พระราชวงศ์
จักรพรรดินีซีตาทรงมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติอันซับซ้อนกับราชวงศ์ต่าง ๆ ในยุโรป ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทสำคัญของราชวงศ์บูร์บง-ปาร์มาในเครือข่ายราชวงศ์ของทวีป
ซีตาแห่งบูร์บง-ปาร์มา | พระราชบิดา: | พระอัยกาฝ่ายพระราชบิดา: | พระปัยกาฝ่ายพระราชบิดา: |
---|---|---|---|
พระปัยยิกาฝ่ายพระราชบิดา: | |||
พระอัยยิกาฝ่ายพระราชบิดา: | พระปัยกาฝ่ายพระราชบิดา: | ||
พระปัยยิกาฝ่ายพระราชบิดา: | |||
พระราชมารดา: | พระอัยกาฝ่ายพระราชมารดา: | พระปัยกาฝ่ายพระราชมารดา: | |
พระปัยยิกาฝ่ายพระราชมารดา: | |||
พระอัยยิกาฝ่ายพระราชมารดา: | พระปัยกาฝ่ายพระราชมารดา: | ||
พระปัยยิกาฝ่ายพระราชมารดา: |