1. ภาพรวม
สาธารณรัฐออสเตรีย ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางทวีปยุโรป เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและซับซ้อน จากการเป็นศูนย์กลางของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คอันยิ่งใหญ่และจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี มาสู่การเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยในปัจจุบัน ออสเตรียมีบทบาทสำคัญในการเมืองและวัฒนธรรมของยุโรปมาโดยตลอด ภูมิศาสตร์ของประเทศโดดเด่นด้วยเทือกเขาแอลป์ ทำให้มีทัศนียภาพที่งดงามและเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ประวัติศาสตร์ของออสเตรียเต็มไปด้วยเหตุการณ์สำคัญ รวมถึงการขยายอาณาเขต การปฏิรูป การเข้าร่วมสงครามโลกทั้งสองครั้ง การถูกผนวกโดยนาซีเยอรมนี และการฟื้นฟูอธิปไตยพร้อมกับการประกาศความเป็นกลางถาวรหลังสงครามโลกครั้งที่สอง การเมืองของออสเตรียเป็นระบบสหพันธ์สาธารณรัฐแบบมีผู้แทน โดยเน้นหลักการแบ่งแยกอำนาจและสิทธิมนุษยชน เศรษฐกิจของออสเตรียเป็นแบบตลาดเพื่อสังคมที่พัฒนาแล้ว โดยมีอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และภาคบริการที่แข็งแกร่ง สังคมออสเตรียมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม โดยให้ความสำคัญกับระบบการศึกษา สาธารณสุข และสวัสดิการสังคมที่มีคุณภาพ วัฒนธรรมของออสเตรียมีความรุ่มรวย โดยเฉพาะด้านดนตรีคลาสสิก ศิลปะ สถาปัตยกรรม และวรรณกรรม บทความนี้จะนำเสนอภาพรวมของออสเตรียในมิติต่างๆ โดยสะท้อนมุมมองที่ให้ความสำคัญกับพัฒนาการทางประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ความยุติธรรมทางสังคม และการวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ต่อเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และบุคคลสำคัญ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้อ่านระดับมัธยมปลายเข้าใจได้ง่าย
2. ศัพทมูลวิทยา

ชื่อประเทศออสเตรียในภาษาเยอรมันคือ Österreichเอิสเทอร์ไรช์ภาษาเยอรมัน ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษาเยอรมันสูงเก่าคำว่า Ostarrîchiโอสตาร์ริชีGerman, Old High หมายถึง "อาณาจักรทางตะวันออก" หรือ "ดินแดนทางตะวันออก" ชื่อนี้ปรากฏครั้งแรกในเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า "เอกสารออสทาร์รีชี" (Ostarrîchi-Urkundeภาษาเยอรมัน) ซึ่งออกเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 996 โดยจักรพรรดิออทโทที่ 3 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ คำว่า OstarrîchiGerman, Old High นี้เชื่อกันว่าเป็นการแปลคำในภาษาละตินสมัยกลางคือ Marchia Orientalisมาร์คิอา โอเรียนตาลิสภาษาละติน (แปลว่า "แคว้นชายแดนตะวันออก") มาเป็นภาษาถิ่นบาวาเรียในสมัยนั้น เนื่องจากในขณะนั้น พื้นที่ลุ่มแม่น้ำดานูบของออสเตรีย (ปัจจุบันคือรัฐโอแบร์เอิสเตอร์ไรช์และนีเดอร์เอิสเตอร์ไรช์) เป็นอาณาเขตทางตะวันออกสุดของแคว้นไบเอิร์น (บาเยิร์น)
ชื่อ "ออสเตรีย" (Austriaภาษาอังกฤษ) ที่ใช้ในภาษาอังกฤษและภาษาอื่น ๆ รวมถึงภาษาไทย เป็นการแผลงชื่อ Österreichภาษาเยอรมัน ให้เป็นภาษาละติน โดยปรากฏหลักฐานการใช้ชื่อในรูปภาษาละตินนี้เป็นครั้งแรกในเอกสารจากคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยนักพงศาวดารชาวออสเตรียได้ละตินนามของตนเองเป็น Austriaภาษาละติน ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นมาตรฐานในภาษาเขียนเชิงวิชาการทั่วยุโรป
คำว่า Österreichภาษาเยอรมัน ประกอบด้วยสองส่วนคือ Ost-ภาษาเยอรมัน (หรือ Ostenภาษาเยอรมัน) หมายถึง "ตะวันออก" และ -reichภาษาเยอรมัน ซึ่งหมายถึง "อาณาจักร" หรือ "ดินแดน" ส่วนคำว่า "มาร์ค" (Markภาษาเยอรมัน) ในชื่อเดิมอย่าง Ostmarkภาษาเยอรมัน (โอสมาร์ค) ซึ่งเคยใช้เรียกออสเตรียในช่วงที่ถูกผนวกเข้ากับนาซีเยอรมนีนั้น หมายถึง "เขตแดน" หรือ "แคว้นชายแดน" ซึ่งสะท้อนถึงสถานะดั้งเดิมของพื้นที่นี้ในฐานะเขตป้องกันชายแดนด้านตะวันออกของอาณาจักรแฟรงก์และจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
มีความสับสนเกิดขึ้นบ่อยครั้งระหว่างชื่อประเทศออสเตรีย (Austriaภาษาอังกฤษ) กับประเทศออสเตรเลีย (Australiaภาษาอังกฤษ) เนื่องจากความคล้ายคลึงกันทางเสียงและการสะกดในภาษาอังกฤษ แม้ว่าทั้งสองชื่อจะมีรากศัพท์มาจากภาษาละตินคำว่า austerภาษาละติน ซึ่งหมายถึง "ทิศใต้" แต่มีความหมายและการอ้างอิงทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ออสเตรียหมายถึง "อาณาจักรทางตะวันออก" ในบริบทของยุโรปกลาง ในขณะที่ออสเตรเลียมาจากคำว่า Terra Australisภาษาละติน หมายถึง "ดินแดนทางใต้" ซึ่งอ้างอิงถึงทวีปในซีกโลกใต้ ความสับสนนี้เป็นที่รู้จักกันดีและมักถูกนำไปล้อเลียนในวัฒนธรรมสมัยนิยม เช่น เสื้อยืดที่ระลึกในออสเตรียที่มีข้อความว่า "No Kangaroos in Austria" (ไม่มีจิงโจ้ในออสเตรีย) เพื่อเน้นย้ำความแตกต่าง
3. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของออสเตรียเป็นเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาที่ยาวนาน ตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานในยุคก่อนประวัติศาสตร์ การเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน การก่อตั้งรัฐชายแดน การขึ้นสู่อำนาจของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค การเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ จนถึงการเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยในปัจจุบัน แต่ละยุคสมัยมีเหตุการณ์สำคัญที่หล่อหลอมอัตลักษณ์และบทบาทของออสเตรียในเวทีโลก การทำความเข้าใจประวัติศาสตร์เหล่านี้ช่วยให้เห็นภาพรวมของพัฒนาการทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมของประเทศ รวมถึงสาเหตุและผลกระทบของเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อออสเตรียมาจนถึงทุกวันนี้
3.1. สมัยโบราณและสมัยกลาง
พื้นที่ซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศออสเตรียมีการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่ยุคหินเก่าตอนปลาย (Paleolithic period) หลักฐานสำคัญคือรูปปั้น วีนัสแห่งวิลเลนดอร์ฟ (Venus of Willendorf) ซึ่งมีอายุราว 28,000 ถึง 25,000 ปีก่อนคริสตกาล ในยุคเหล็กช่วงประมาณศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล พื้นที่นี้เป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมฮัลล์ชตัทท์ (Hallstatt culture) ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของชาวเคลต์ (Celts) เมืองฮัลล์ชตัทท์ในปัจจุบันเป็นแหล่งโบราณคดีที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของชาวเคลต์ในยุโรป ต่อมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล จักรวรรดิโรมันได้ผนวกดินแดนส่วนใหญ่ของออสเตรียปัจจุบันเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร โดยจัดตั้งเป็นมณฑลนอริคุม (Noricum) ซึ่งกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของออสเตรียและบางส่วนของสโลวีเนียในปัจจุบัน มณฑลนอริคุมดำรงอยู่จนถึงประมาณ ค.ศ. 476 ส่วนพื้นที่อื่น ๆ ของออสเตรียในปัจจุบันที่ไม่ได้อยู่ในมณฑลนอริคุม ถูกแบ่งออกเป็นมณฑลพันโนเนีย (Pannonia) ซึ่งครอบคลุมทางตะวันออกของออสเตรีย และมณฑลไรเทีย (Raetia) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่รัฐฟอร์อาร์ลแบร์คและทีโรลในปัจจุบัน เมืองการ์นุนทุม (Carnuntum) ซึ่งปัจจุบันคือเมืองเปโทรเนลล์-การ์นุนทุม ทางตะวันออกของออสเตรีย เคยเป็นค่ายทหารโรมันที่สำคัญและต่อมาได้เป็นเมืองหลวงของมณฑลพันโนเนียซูพีเรีย (Pannonia Superior) มีประชากรถึง 50,000 คนเป็นเวลานานเกือบ 400 ปี ศาสนาคริสต์เริ่มเผยแผ่เข้ามาในภูมิภาคนี้ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 4 และ 5 ในช่วงปลายสมัยจักรวรรดิโรมันตะวันตก ตามมาด้วยการอพยพเข้ามาของชนเผ่าเยอรมันหลายกลุ่มในช่วงสมัยการโยกย้ายถิ่นฐาน (Migration Period)
หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก พื้นที่นี้ถูกรุกรานครั้งแรกโดยชาวรูกี (Rugii) ซึ่งเป็นชนเผ่าเยอรมัน และได้ก่อตั้งดินแดนที่เรียกว่า "รูกิลันด์" (Rugiland) ขึ้น ในปี ค.ศ. 487 พื้นที่ส่วนใหญ่ของออสเตรียถูกพิชิตโดยโอโดอาเซอร์ (Odoacer) ทหารและรัฐบุรุษชาวอนารยชนจากลุ่มแม่น้ำดานูบตอนกลาง และได้รวมเข้ากับราชอาณาจักรอิตาลีของเขา ต่อมาในปี ค.ศ. 493 พื้นที่นี้ถูกพิชิตโดยชาวออสโตรกอท (Ostrogoths) ซึ่งเป็นชนเผ่าเยอรมันอีกกลุ่มหนึ่ง และได้ก่อตั้งอาณาจักรออสโตรกอทขึ้น หลังจากอาณาจักรออสโตรกอทร่มสลาย พื้นที่นี้ก็ถูกรุกรานโดยชาวอาลามานน์ (Alemanni) ชาวไบยูวารี (Baiuvarii) ชาวสลาฟ และชาวอาวาร์ (Avars)
ในปี ค.ศ. 788 ชาร์เลอมาญ กษัตริย์แห่งอาณาจักรแฟรงก์ ได้พิชิตดินแดนนี้ ส่งเสริมการตั้งถิ่นฐาน และนำศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแผ่ ในฐานะส่วนหนึ่งของอาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก (Eastern Francia) พื้นที่หลักที่ประกอบกันเป็นออสเตรียในปัจจุบันได้ถูกมอบให้แก่ราชวงศ์บาเบนแบร์ก (House of Babenberg) บริเวณนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ Marchia Orientalisภาษาละติน (มาร์คิอา โอเรียนตาลิส) หรือ "แคว้นชายแดนตะวันออก" และถูกมอบให้แก่เลโอโปลด์แห่งบาเบนแบร์ก ในปี ค.ศ. 976 ชื่อ "ออสเตรีย" ปรากฏครั้งแรกในเอกสารปี ค.ศ. 996 ในชื่อ Ostarrîchiโอสตาร์ริชีGerman, Old High ซึ่งหมายถึงดินแดนของแคว้นชายแดนบาเบนแบร์ก ในปี ค.ศ. 1156 เอกสารสิทธิพิเศษที่เรียกว่า พริวิเลกิอุมมินุส (Privilegium Minus) ได้ยกระดับออสเตรียขึ้นเป็นดัชชีออสเตรีย (Duchy of Austria) ในปี ค.ศ. 1192 ราชวงศ์บาเบนแบร์กยังได้ครอบครองดัชชีสตีเรีย (Duchy of Styria) อีกด้วย การปกครองของราชวงศ์บาเบนแบร์กสิ้นสุดลงเมื่อดยุกฟรีดริชที่ 2 สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1246 โดยไม่มีทายาทชาย
หลังจากนั้น พระเจ้าโอตาการ์ที่ 2 แห่งโบฮีเมีย ได้เข้าควบคุมดัชชีออสเตรีย สตีเรีย และคารินเทีย อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การปกครองของพระองค์สิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ต่อพระเจ้ารูดอล์ฟที่ 1 แห่งเยอรมนี ในยุทธการที่ดึร์นครุต (Battle on the Marchfeld) ในปี ค.ศ. 1278 ตั้งแต่นั้นมาจนถึงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ประวัติศาสตร์ของออสเตรียส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องราวของราชวงศ์ผู้ปกครอง คือ ราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค (Habsburgs)
3.2. ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คยุคต้นและอาร์ชดัชชี
หลังจากการสิ้นสุดของราชวงศ์บาเบนแบร์กและการพ่ายแพ้ของพระเจ้าโอตาการ์ที่ 2 แห่งโบฮีเมีย พระเจ้ารูดอล์ฟที่ 1 แห่งเยอรมนีจากราชวงศ์ฮาพส์บวร์คได้ยึดครองดินแดนออสเตรีย สตีเรีย และคารินเทีย และได้มอบดินแดนเหล่านี้ให้แก่โอรสของพระองค์ในปี ค.ศ. 1282 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองออสเตรียโดยราชวงศ์ฮาพส์บวร์คที่ยาวนานกว่า 600 ปี ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 และ 15 ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คได้เริ่มรวบรวมจังหวัดอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงกับดัชชีออสเตรีย
ในปี ค.ศ. 1358/1359 ดยุกรูดอล์ฟที่ 4 แห่งออสเตรีย ได้พยายามอ้างสิทธิ์ในตำแหน่ง "อาร์ชดยุก" (Archduke) ผ่านเอกสารปลอมที่เรียกว่า พริวิเลกิอุมไมอุส (Privilegium Maius) เพื่อยกระดับสถานะของออสเตรียให้ทัดเทียมกับเจ้าผู้คัดเลือกในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าในตอนแรกจะไม่ได้รับการยอมรับจากจักรพรรดิ แต่ในที่สุดตำแหน่งอาร์ชดยุกแห่งออสเตรียก็ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการโดยจักรพรรดิฟรีดริชที่ 3 (ซึ่งเป็นสมาชิกราชวงศ์ฮาพส์บวร์คเอง) ในปี ค.ศ. 1453 ทำให้ออสเตรียกลายเป็นอาร์ชดัชชีออสเตรีย (Archduchy of Austria) อย่างเป็นทางการ
ในปี ค.ศ. 1438 อัลเบิร์ตที่ 5 ดยุกแห่งออสเตรีย ได้รับเลือกเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระสัสสุระ (พ่อตา) คือจักรพรรดิซีกิสมุนท์แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าพระองค์จะทรงครองราชย์เพียงหนึ่งปี แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เกือบทั้งหมดมาจากราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค (ยกเว้นเพียงกรณีเดียว)
ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คยังเริ่มขยายดินแดนออกไปไกลจากดินแดนที่สืบทอดมาแต่เดิมผ่านนโยบายการสมรสที่ประสบความสำเร็จ ดังคำขวัญที่ว่า "ให้ผู้อื่นทำสงครามไปเถิด ส่วนเจ้า ออสเตรียผู้โชคดี จงแต่งงานเสีย" (Bella gerant alii, tu felix Austria nube!ภาษาละติน) ในปี ค.ศ. 1477 อาร์ชดยุกมักซีมีเลียนที่ 1 (ภายหลังเป็นจักรพรรดิมักซีมีเลียนที่ 1) โอรสองค์เดียวของจักรพรรดิฟรีดริชที่ 3 ได้อภิเษกสมรสกับมารีแห่งบูร์กอญ ทายาทหญิงแห่งดัชชีบูร์กอญ ทำให้ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คได้ครอบครองดินแดนส่วนใหญ่ของเนเธอร์แลนด์ ต่อมาในปี ค.ศ. 1496 ฟิลิปผู้เลอโฉม โอรสของมักซีมีเลียน ได้อภิเษกสมรสกับฆัวนา (ภายหลังรู้จักในนามฆัวนาผู้บ้าคลั่ง) ทายาทหญิงแห่งกัสติยาและอารากอน ทำให้ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คได้ครอบครองสเปนและดินแดนในอิตาลี แอฟริกา เอเชีย และโลกใหม่ที่ขึ้นกับสเปน
ในปี ค.ศ. 1526 หลังยุทธการที่โมฮาช ซึ่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 2 แห่งฮังการีและโบฮีเมียสิ้นพระชนม์โดยไม่มีทายาท แฟร์ดีนันท์ที่ 1 (พระอนุชาของจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 และพระสวามีของแอนนาแห่งโบฮีเมียและฮังการี ซึ่งเป็นพระขนิษฐาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 2) ได้อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์โบฮีเมียและฮังการี ทำให้โบฮีเมียและส่วนหนึ่งของฮังการี (ส่วนที่ไม่ได้ถูกจักรวรรดิออตโตมันยึดครอง) ตกอยู่ภายใต้การปกครองของออสเตรีย การขยายอำนาจของจักรวรรดิออตโตมันเข้ามาในฮังการีนำไปสู่ความขัดแย้งบ่อยครั้งระหว่างสองจักรวรรดิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามยาวนานระหว่างปี ค.ศ. 1593 ถึง 1606 พวกเติร์กได้บุกรุกเข้ามาในสตีเรียเกือบ 20 ครั้ง มีบันทึกว่าบางครั้งมีการ "เผาทำลาย ปล้นสะดม และจับผู้คนไปเป็นทาสหลายพันคน" ในปลายเดือนกันยายน ค.ศ. 1529 สุลต่านสุลัยมานผู้เกรียงไกรได้เปิดฉากการล้อมกรุงเวียนนาครั้งแรก ซึ่งไม่ประสบผลสำเร็จ ตามที่นักประวัติศาสตร์ออตโตมันระบุว่า เนื่องมาจากหิมะตกหนักในช่วงต้นฤดูหนาว
3.3. จักรวรรดิฮาพส์บวร์คและสมัยใหม่

จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งราชวงศ์ฮาพส์บวร์คเป็นผู้ปกครองมาอย่างยาวนาน ได้กลายเป็นศูนย์กลางอำนาจของยุโรป กรุงเวียนนาเป็นเมืองหลวงทางปกครองของจักรวรรดิฯ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 ในรัชสมัยอันยาวนานของจักรพรรดิเลโอโปลด์ที่ 1 (ครองราชย์ ค.ศ. 1658-1705) หลังจากการป้องกันกรุงเวียนนาจากการรุกรานของพวกเติร์กออตโตมันในปี ค.ศ. 1683 ได้สำเร็จภายใต้การบัญชาการของพระเจ้าจอห์นที่ 3 โซบิเอสกีแห่งโปแลนด์ สงครามมหาตุรกี (Great Turkish War) ส่งผลให้ฮังการีส่วนใหญ่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของออสเตรีย ซึ่งได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการในสนธิสัญญาคาร์โลวิทซ์ ปี ค.ศ. 1699
จักรพรรดิคาร์ลที่ 6 ทรงสละดินแดนส่วนใหญ่ที่จักรวรรดิได้มาในปีก่อนๆ เนื่องจากทรงกังวลเกี่ยวกับการสูญสิ้นสายราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค พระองค์ยินดีที่จะเสนอผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมทั้งในด้านดินแดนและอำนาจเพื่อแลกกับการยอมรับพระราชบัญญัติสิทธิการสืบราชบัลลังก์ ค.ศ. 1713 (Pragmatic Sanction of 1713) ด้วยเหตุนี้ พระราชธิดาของพระองค์คือมาเรีย เทเรซา จึงได้รับการยอมรับในฐานะทายาท เมื่อปรัสเซียเรืองอำนาจขึ้น การแข่งขันระหว่างออสเตรียกับปรัสเซียจึงเริ่มขึ้นในเยอรมนี ออสเตรียร่วมกับปรัสเซียและรัสเซียในการแบ่งโปแลนด์ครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สามในปี ค.ศ. 1772 และ 1795 ตามลำดับ
ในช่วงเวลานี้ ออสเตรียกลายเป็นแหล่งกำเนิดของดนตรีคลาสสิกและเป็นที่พำนักของนักประพันธ์เพลงหลายคน เช่น โยเซ็ฟ ไฮเดิน, ว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท, ลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน และฟรันทซ์ ชูเบิร์ต
ต่อมาออสเตรียได้เข้าร่วมสงครามกับฝรั่งเศสสมัยปฏิวัติ ซึ่งในช่วงแรกประสบความล้มเหลวอย่างมาก โดยพ่ายแพ้ติดต่อกันหลายครั้งให้กับนโปเลียน โบนาปาร์ต ส่งผลให้จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์อันเก่าแก่สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1806 สองปีก่อนหน้านั้น ในปี ค.ศ. 1804 จักรวรรดิออสเตรียได้ถูกก่อตั้งขึ้น ระหว่างปี ค.ศ. 1792 ถึง 1801 ออสเตรียมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการรบถึง 754,700 คน ในปี ค.ศ. 1814 ออสเตรียเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังพันธมิตรที่บุกฝรั่งเศสและยุติสงครามนโปเลียน ออสเตรียกลายเป็นหนึ่งในสี่อำนาจหลักของทวีปและเป็นมหาอำนาจที่ได้รับการยอมรับจากการประชุมใหญ่แห่งเวียนนาในปี ค.ศ. 1815 ในปีเดียวกันนั้น สมาพันธรัฐเยอรมัน (Deutscher Bundภาษาเยอรมัน) ได้ถูกก่อตั้งขึ้นภายใต้การนำของออสเตรีย เนื่องจากความขัดแย้งทางสังคม การเมือง และชาติพันธุ์ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ดินแดนเยอรมันจึงสั่นคลอนด้วยการปฏิวัติ ค.ศ. 1848 ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างเยอรมนีที่รวมเป็นหนึ่งเดียว
ทางเลือกต่างๆ สำหรับเยอรมนีที่รวมเป็นหนึ่ง ได้แก่ เยอรมนีใหญ่ (Großdeutschland), ออสเตรียใหญ่ (Großösterreich) หรือเพียงแค่สมาพันธรัฐเยอรมันโดยไม่มีออสเตรีย เนื่องจากออสเตรียไม่เต็มใจที่จะสละดินแดนที่พูดภาษาเยอรมันของตนให้กับสิ่งที่จะกลายเป็นจักรวรรดิเยอรมันในปี ค.ศ. 1848 มงกุฎของจักรวรรดิที่จัดตั้งขึ้นใหม่จึงถูกเสนอให้กับกษัตริย์ปรัสเซีย ฟรีดริช วิลเฮ็ล์มที่ 4 ในปี ค.ศ. 1864 ออสเตรียและปรัสเซียร่วมกันต่อสู้กับเดนมาร์กและประกันเอกราชจากเดนมาร์กของดัชชีชเลสวิชและฮ็อลชไตน์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถตกลงกันได้ว่าจะบริหารดัชชีทั้งสองอย่างไร พวกเขาจึงทำสงครามออสเตรีย-ปรัสเซียในปี ค.ศ. 1866 ออสเตรียพ่ายแพ้ต่อปรัสเซียในยุทธการที่เคอนิชเกรทซ์ และต้องออกจากสมาพันธรัฐเยอรมันและไม่ได้มีส่วนร่วมในการเมืองเยอรมันอีกต่อไป
3.4. จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี
หลังจากการพ่ายแพ้ในการปฏิวัติฮังการี ค.ศ. 1848 และความพ่ายแพ้ในสงครามออสเตรีย-ปรัสเซียในปี ค.ศ. 1866 ความจำเป็นในการปฏิรูปโครงสร้างของจักรวรรดิออสเตรียก็ชัดเจนขึ้น การประนีประนอมออสเตรีย-ฮังการี ค.ศ. 1867 (Ausgleichเอาส์ไกลช์ภาษาเยอรมัน) ได้นำไปสู่การก่อตั้งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งเป็นจักรวรรดิคู่อันประกอบด้วยจักรวรรดิออสเตรียและราชอาณาจักรฮังการี ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟที่ 1
โครงสร้างทางการเมืองของจักรวรรดิคู่นี้มีความซับซ้อน ทั้งสองส่วนของจักรวรรดิ (ออสเตรีย หรือที่เรียกว่าซิสไลทาเนีย และฮังการี หรือทรานส์ไลทาเนีย) มีรัฐสภาและรัฐบาลเป็นของตนเอง แต่มีสถาบันร่วมกันในด้านการต่างประเทศ การทหาร และการคลังร่วมบางส่วน จักรพรรดิแห่งออสเตรียทรงดำรงตำแหน่งกษัตริย์แห่งฮังการีด้วย ออสเตรีย-ฮังการีเป็นจักรวรรดิที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูงมาก ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ มากมาย เช่น ชาวเยอรมัน, ชาวฮังการี, โครแอต, เช็ก, โปล, รูซึน, เซิร์บ, สโลวัก, สโลวีน และยูเครน รวมถึงชุมชนขนาดใหญ่ของอิตาลีและโรมาเนีย
ลักษณะทางสังคมของจักรวรรดิมีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างภูมิภาคต่างๆ ออสเตรียมีการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้ากว่า ในขณะที่ฮังการียังคงมีลักษณะเป็นสังคมเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ ปัญหาชนชาติต่างๆ กลายเป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุดของจักรวรรดิ การเกิดขึ้นของลัทธิชาตินิยมในหมู่กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ทำให้การปกครองจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีเป็นไปได้ยากขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลออสเตรียพยายามที่จะประนีประนอมกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในระดับหนึ่ง เช่น การออกกฎหมายและข้อบัญญัติของซิสไลทาเนีย (Reichsgesetzblatt) ในแปดภาษา และการให้สิทธิกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่มในการมีโรงเรียนในภาษาของตนเองและใช้ภาษาแม่ในหน่วยงานราชการ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลฮังการีกลับดำเนินนโยบายการทำให้เป็นฮังการี (Magyarization) ต่อชนกลุ่มน้อยในดินแดนของตน
ความตึงเครียดทางชาติพันธุ์ระหว่างชาวเยอรมันออสเตรียกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ทวีความรุนแรงขึ้น ชาวเยอรมันออสเตรียจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการกลุ่มเยอรมันรวม (Pan-Germanism) ต้องการเสริมสร้างอัตลักษณ์เยอรมันและหวังว่าจักรวรรดิจะล่มสลายเพื่อให้สามารถผนวกออสเตรียเข้ากับเยอรมนีได้ (อันชลุส) ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์เหล่านี้ ประกอบกับแรงกดดันจากภายนอกและวิกฤตการณ์ทางการเมืองต่างๆ ทำให้สถานการณ์ของจักรวรรดิจนถึงก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความเปราะบาง
3.5. สงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสาธารณรัฐที่หนึ่ง

ภูมิหลังการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี มีจุดเริ่มต้นจากการลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุกฟรันทซ์ แฟร์ดีนันท์ รัชทายาทแห่งจักรวรรดิ ที่เมืองซาราเยโว ในวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 โดยกัฟรีโล ปรินツิพ สมาชิกกลุ่มชาตินิยมชาวเซิร์บบอสเนีย เหตุการณ์นี้ถูกใช้โดยนักการเมืองและนายทหารชั้นนำของออสเตรียเพื่อโน้มน้าวให้จักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟ ประกาศสงครามกับเซอร์เบีย ซึ่งนำไปสู่การปะทุของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอย่างรวดเร็ว
ในระหว่างสงคราม ออสเตรีย-ฮังการีต้องต่อสู้ในหลายแนวรบ ทั้งแนวรบด้านตะวันออกกับรัสเซีย แนวรบด้านใต้กับอิตาลี (ซึ่งเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรในปี ค.ศ. 1915) และแนวรบบอลข่านกับเซอร์เบียและโรมาเนีย การรบที่สำคัญที่ออสเตรีย-ฮังการีมีส่วนร่วม ได้แก่ ยุทธการที่กาลิเซีย การรุกบรูซิลอฟ และยุทธการที่คาโปเรตโต สงครามที่ยืดเยื้อและความสูญเสียมหาศาลทั้งชีวิตและทรัพยากร ทำให้จักรวรรดิอ่อนแอลงอย่างมาก ทหารออสเตรีย-ฮังการีกว่าหนึ่งล้านคนเสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ความพ่ายแพ้ในสงครามและการล่มสลายของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ ในวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1918 สมาชิกรัฐสภา (Reichsrat) ที่เป็นชาวเยอรมันของจักรวรรดิออสเตรียได้ประชุมกันที่กรุงเวียนนาในฐานะสมัชชาแห่งชาติเฉพาะกาลสำหรับเยอรมันออสเตรีย (Provisorische Nationalversammlung für Deutschösterreich) ในวันที่ 30 ตุลาคม สมัชชาได้ก่อตั้งสาธารณรัฐเยอรมันออสเตรีย (Republic of German-Austria) โดยแต่งตั้งรัฐบาลที่เรียกว่า สภาแห่งรัฐ (Staatsrat) รัฐบาลใหม่นี้ได้รับเชิญจากจักรพรรดิให้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการสงบศึกตามแผนกับอิตาลี แต่ได้งดเว้นจากการดำเนินการนี้ ทำให้ความรับผิดชอบในการสิ้นสุดสงครามในวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ตกอยู่กับจักรพรรดิและรัฐบาลของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ในวันที่ 11 พฤศจิกายน จักรพรรดิคาร์ลที่ 1 ซึ่งได้รับคำแนะนำจากรัฐมนตรีของรัฐบาลเก่าและใหม่ ได้ประกาศว่าจะไม่ทรงมีส่วนร่วมในกิจการของรัฐอีกต่อไป ในวันที่ 12 พฤศจิกายน เยอรมันออสเตรียได้ประกาศตนเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยและเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐเยอรมันใหม่ตามกฎหมาย รัฐธรรมนูญซึ่งเปลี่ยนชื่อสภาแห่งรัฐเป็นรัฐบาลสหพันธรัฐ (Bundesregierung) และสมัชชาแห่งชาติเป็นสภาแห่งชาติ (Nationalrat) ได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1920
สนธิสัญญาแซ็ง-แฌร์แม็ง-อ็อง-แล (Treaty of Saint-Germain-en-Laye) ที่ลงนามในปี ค.ศ. 1919 (สำหรับฮังการีคือสนธิสัญญาทรียานงปี ค.ศ. 1920) ได้ยืนยันและรวมระเบียบใหม่ของยุโรปกลาง ซึ่งส่วนใหญ่ได้ก่อตั้งขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ทำให้เกิดรัฐใหม่และเปลี่ยนแปลงรัฐอื่นๆ ดินแดนที่พูดภาษาเยอรมันของออสเตรียซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของออสเตรีย-ฮังการี ถูกลดขนาดลงเหลือเพียงรัฐเล็กๆ ที่ชื่อว่าสาธารณรัฐเยอรมันออสเตรีย (Republik Deutschösterreich) แม้ว่าจะไม่รวมทีโรลใต้ (South Tyrol) ที่ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาเยอรมันก็ตาม ความปรารถนาที่จะผนวกออสเตรียเข้ากับเยอรมนีเป็นความคิดเห็นที่ได้รับความนิยมในทุกแวดวงสังคมทั้งในออสเตรียและเยอรมนี สนธิสัญญาแซ็ง-แฌร์แม็งและสนธิสัญญาแวร์ซายได้ห้ามการรวมตัวระหว่างออสเตรียและเยอรมนีอย่างชัดเจน สนธิสัญญายังบังคับให้เยอรมันออสเตรียเปลี่ยนชื่อเป็น "สาธารณรัฐออสเตรีย" (Republic of Austria) ซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งสาธารณรัฐออสเตรียที่หนึ่ง (First Austrian Republic)
ชาวออสเตรียที่พูดภาษาเยอรมันกว่าสามล้านคนพบว่าตนเองอาศัยอยู่นอกสาธารณรัฐออสเตรียใหม่ในฐานะชนกลุ่มน้อยในรัฐที่ก่อตั้งขึ้นใหม่หรือขยายใหญ่ขึ้นของเชโกสโลวะเกีย ยูโกสลาเวีย ฮังการี และอิตาลี ซึ่งรวมถึงจังหวัดทีโรลใต้และโบฮีเมียเยอรมัน (German Bohemia) สถานะของโบฮีเมียเยอรมันและซูเดเทินลันท์ (Sudetenland) ภายหลังได้มีบทบาทในสงครามโลกครั้งที่สอง
ในช่วงระหว่างสงคราม สาธารณรัฐออสเตรียที่หนึ่งต้องเผชิญกับสภาวะความไม่มั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างรุนแรง อัตราเงินเฟ้อที่สูง การว่างงาน และความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างพรรคสังคมประชาธิปไตยกับพรรคคริสเตียนสังคม ทำให้สถานการณ์ในประเทศตึงเครียด ความพยายามในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินผ่านเงินกู้จากสันนิบาตชาติในปี ค.ศ. 1922 ช่วยบรรเทาวิกฤตได้เพียงชั่วคราว ก่อนที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อออสเตรีย
3.6. ออสโตรฟาสซิสต์ อันชลุส และสงครามโลกครั้งที่สอง

ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจในทศวรรษที่ 1930 ซึ่งเป็นผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ สถานการณ์ทางการเมืองในออสเตรียยิ่งทวีความตึงเครียด ความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย (พรรคสังคมประชาธิปไตย) และฝ่ายขวา (พรรคคริสเตียนสังคมและกลุ่มชาตินิยม) รุนแรงขึ้น ในปี ค.ศ. 1933 นายกรัฐมนตรีเอ็งเงิลแบร์ท ด็อลฟูส (Engelbert Dollfuss) จากพรรคคริสเตียนสังคม ได้ใช้สิ่งที่เขาเรียกว่า "การปิดตัวเองของรัฐสภา" (Selbstausschaltung des Parlaments) เพื่อสถาปนาระบอบเผด็จการแบบฟาสซิสต์ออสเตรีย (Austrofascism) ซึ่งมีแนวโน้มคล้ายกับลัทธิฟาสซิสต์อิตาลี พรรคการเมืองหลักทั้งสองในขณะนั้นต่างก็มีกองกำลังกึ่งทหารเป็นของตนเอง กองกำลัง รีพูบลิกันเชอร์ ชุทซ์บุนด์ (Republikanischer Schutzbund) ของพรรคสังคมประชาธิปไตยถูกประกาศให้เป็นองค์กรผิดกฎหมาย แต่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ จนกระทั่งเกิดสงครามกลางเมืองออสเตรีย (Austrian Civil War) ขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1934
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1934 สมาชิกหลายคนของชุทซ์บุนด์ถูกประหารชีวิต พรรคสังคมประชาธิปไตยถูกสั่งยุบ และสมาชิกจำนวนมากถูกจำคุกหรือต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ ในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1934 กลุ่มออสโตรฟาสซิสต์ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ("Maiverfassung") ซึ่งเสริมสร้างอำนาจของด็อลฟูส แต่ในวันที่ 25 กรกฎาคม ปีเดียวกัน ด็อลฟูสก็ถูกลอบสังหารในความพยายามรัฐประหารโดยกลุ่มนาซีออสเตรีย

ควร์ท ชุชนิค (Kurt Schuschnigg) ผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากด็อลฟูส ยอมรับว่าออสเตรียเป็น "รัฐเยอรมัน" และเชื่อว่าชาวออสเตรียเป็น "ชาวเยอรมันที่ดีกว่า" แต่เขาก็ต้องการให้ออสเตรียยังคงเป็นอิสระ ชุชนิคได้ประกาศให้มีการลงประชามติในวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 1938 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 13 มีนาคม เกี่ยวกับความเป็นอิสระของออสเตรียจากเยอรมนี อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1938 กลุ่มนาซีออสเตรียได้เข้ายึดอำนาจรัฐบาล ในขณะที่กองทหารเยอรมันได้เข้ายึดครองประเทศ ซึ่งเป็นการขัดขวางไม่ให้การลงประชามติของชุชนิคเกิดขึ้นได้ ในวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 1938 อันชลุส (Anschluss) หรือการผนวกออสเตรียเข้ากับเยอรมนี ได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการ สองวันต่อมา อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ซึ่งเกิดในออสเตรีย ได้ประกาศสิ่งที่เขาเรียกว่า "การรวมชาติอีกครั้ง" ของประเทศบ้านเกิดของเขากับ "ส่วนที่เหลือของจักรวรรดิไรช์เยอรมัน" ณ เฮลเดนพลัทซ์ (Heldenplatz) ในกรุงเวียนนา เขาได้จัดให้มีการลงประชามติซึ่งยืนยันการรวมชาติกับเยอรมนีในเดือนเมษายน ค.ศ. 1938

ภายใต้การปกครองของนาซี ออสเตรียถูกเรียกว่า "โอสมาร์ค" (Ostmark) จนถึงปี ค.ศ. 1942 เมื่อถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "เทือกเขาแอลป์และดานูบเกา" (Alpen- und Donau-Reichsgaue) การกดขี่ข่มเหงชาวยิวและกลุ่มอื่น ๆ ที่นาซีไม่พึงประสงค์ได้เริ่มขึ้นทันที การปล้นสะดมทรัพย์สินของชาวยิวออสเตรีย (Aryanization) เริ่มขึ้นในกลางเดือนมีนาคม และมีการจัดตั้งระบบราชการเพื่อยึดทรัพย์สินของพลเมืองยิว ในช่วงคริสทัลล์นัคท์ (Kristallnacht) หรือ "คืนกระจกแตก" ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1938 ชาวยิวและสถาบันของชาวยิว เช่น โบสถ์ยิว ถูกโจมตีอย่างรุนแรงในเวียนนา คลาเกนฟวร์ท ลินทซ์ กราทซ์ ซัลทซ์บวร์ค อินส์บรุค และเมืองอื่น ๆ ในนีเดอร์เอิสเตอร์ไรช์ ชาวออสเตรียจำนวนมากมีส่วนร่วมในอาชญากรรมของนาซี แม้ว่าชาวออสเตรียจะคิดเป็นเพียง 8% ของประชากรไรช์ที่สาม แต่นาซีที่มีชื่อเสียงที่สุดบางคนก็เป็นชาวออสเตรียโดยกำเนิด รวมถึงอดอล์ฟ ฮิตเลอร์, แอ็นสท์ คัลเทินบรุนเนอร์, อาร์ทัวร์ ไซส-อินควาร์ท, ฟรันทซ์ ชตังเกิล, อาล็อยส์ บรุนเนอร์, ฟรีดริช ไรเนอร์ และโอดีโล โกลโบตนิก รวมถึงสมาชิก หน่วยเอ็สเอ็ส กว่า 13% และเจ้าหน้าที่ 40% ในค่ายมรณะของนาซีเป็นชาวออสเตรีย ที่ค่ายกักกันหลัก ค่ายกักกันเมาเทาเซิน-กูเซิน และค่ายย่อยจำนวนมากทั่วมณฑล ชาวยิวและนักโทษคนอื่น ๆ ถูกสังหาร ทรมาน และถูกขูดรีดแรงงาน
ขบวนการต่อต้านภายในประเทศออสเตรียได้ก่อตัวขึ้น แต่ส่วนใหญ่ถูกเกสตาโพบดขยี้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่สำคัญกลุ่มหนึ่ง นำโดยบาทหลวงไฮน์ริช ไมเออร์ (Heinrich Maier) ซึ่งต่อมาถูกประหารชีวิต สามารถติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรได้ กลุ่มนี้ (กลุ่มไมเออร์-เมสเนอร์) สามารถส่งข้อมูลเกี่ยวกับโรงงานผลิตอาวุธที่ผลิตระเบิด V-1, จรวด V-2, รถถังไทเกอร์ และเครื่องบิน ซึ่งมีความสำคัญต่อความสำเร็จของปฏิบัติการธนูและปฏิบัติการไฮดรา เป้าหมายของกลุ่มต่อต้านนี้คือการทำให้นาซีเยอรมนีแพ้สงครามโดยเร็วที่สุดและสถาปนาออสเตรียที่เป็นอิสระขึ้นใหม่
กรุงเวียนนาถูกยึดครองเมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1945 ระหว่างการรุกเวียนนาของโซเวียต ก่อนการล่มสลายทั้งหมดของไรช์ที่สาม กองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรที่บุกเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอเมริกัน ได้วางแผนสำหรับ "ปฏิบัติการป้อมปราการแห่งเทือกเขาแอลป์" (Alpine Fortress Operation) ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของชาติที่คาดว่าจะเกิดขึ้นบนดินแดนออสเตรียในเทือกเขาแอลป์ตะวันออกเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม แผนนี้ไม่เคยเกิดขึ้นจริงเนื่องจากการล่มสลายอย่างรวดเร็วของไรช์
คาร์ล เร็นเนอร์ และอาด็อล์ฟ แชร์ฟ (พรรคสังคมนิยมออสเตรีย), เลโอโพลด์ คุนชาค (พรรคประชาชนออสเตรีย) และโยฮันน์ โคเปลนิก (พรรคคอมมิวนิสต์ออสเตรีย) ได้ประกาศการแยกตัวของออสเตรียออกจากไรช์ที่สามโดยคำประกาศอิสรภาพเมื่อวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1945 และจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลในกรุงเวียนนาภายใต้นายกรัฐมนตรีเร็นเนอร์ในวันเดียวกัน โดยได้รับการอนุมัติจากกองทัพแดงผู้ชนะและได้รับการสนับสนุนจากโจเซฟ สตาลิน ในปลายเดือนเมษายน ออสเตรียตะวันตกและใต้ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของนาซี ในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 กฎหมายรัฐธรรมนูญสหพันธรัฐปี 1920 ซึ่งถูกยกเลิกโดยเผด็จการด็อลฟูสเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1934 ได้รับการประกาศให้มีผลบังคับใช้อีกครั้ง จำนวนผู้เสียชีวิตทางทหารของออสเตรียทั้งหมดตั้งแต่ปี ค.ศ. 1939 ถึง 1945 คือ 260,000 คน จำนวนเหยื่อการล้างชาติชาวยิวออสเตรียทั้งหมดคือ 65,000 คน ชาวยิวออสเตรียประมาณ 140,000 คนได้หลบหนีออกนอกประเทศในปี ค.ศ. 1938-39
3.7. สาธารณรัฐที่สองและสมัยปัจจุบัน

หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ออสเตรียถูกแบ่งออกเป็นเขตยึดครองทางทหาร 4 เขตโดยฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ชนะสงคราม ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และสหภาพโซเวียต กรุงเวียนนาเองก็ถูกแบ่งออกเป็น 4 เขตเช่นกัน ออสเตรียถูกปกครองโดยคณะกรรมาธิการฝ่ายสัมพันธมิตรสำหรับออสเตรีย ตามที่กำหนดไว้ในปฏิญญามอสโก ค.ศ. 1943 มีความแตกต่างเล็กน้อยในการปฏิบัติต่อออสเตรียโดยฝ่ายสัมพันธมิตรเมื่อเทียบกับเยอรมนี โดยออสเตรียถูกมองว่าเป็น "เหยื่อรายแรก" ของการรุกรานของนาซี
รัฐบาลออสเตรีย ซึ่งประกอบด้วยพรรคสังคมประชาธิปไตย พรรคอนุรักษนิยม และพรรคคอมมิวนิสต์ ตั้งอยู่ในกรุงเวียนนาซึ่งล้อมรอบด้วยเขตยึดครองของโซเวียต รัฐบาลออสเตรียนี้ได้รับการยอมรับจากฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1945 แม้จะมีความกังวลว่าคาร์ล เร็นเนอร์ อาจเป็นหุ่นเชิดของสตาลินก็ตาม เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1946 รัฐสภาออสเตรียได้ผ่านกฎหมายการโอนกิจการของรัฐเป็นของชาติฉบับแรก และบริษัทเหมืองแร่และการผลิตประมาณ 70 แห่งถูกยึดโดยรัฐออสเตรีย กระทรวงคุ้มครองทรัพย์สินและการวางแผนเศรษฐกิจ (Ministerium für Vermögenssicherung und Wirtschaftsplanung) รับผิดชอบในการกำกับดูแลอุตสาหกรรมที่โอนเป็นของรัฐภายใต้การนำของรัฐมนตรีปีเตอร์ เคราลันด์ (พรรคประชาชนออสเตรีย)

การฟื้นฟูอธิปไตยอย่างสมบูรณ์ของออสเตรียเกิดขึ้นผ่านสนธิสัญญารัฐออสเตรีย (Austrian State Treaty) ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1955 หลังจากการเจรจาที่กินเวลาหลายปีและได้รับอิทธิพลจากสงครามเย็น สนธิสัญญานี้ทำให้กองกำลังยึดครองทั้งหมดถอนตัวออกจากออสเตรีย และรับรองออสเตรียในฐานะรัฐเอกราชและมีอธิปไตย ในวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1955 รัฐสภาออสเตรียได้ผ่านกฎหมายรัฐธรรมนูญประกาศความเป็นกลางถาวรของออสเตรีย (Declaration of Neutrality) วันนี้จึงกลายเป็นวันชาติของออสเตรียและเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์
ในยุคสงครามเย็น ออสเตรียมีบทบาทสำคัญในเวทีระหว่างประเทศในฐานะรัฐที่เป็นกลาง โดยทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างตะวันออกและตะวันตก กรุงเวียนนากลายเป็นที่ตั้งขององค์การระหว่างประเทศหลายแห่ง เช่น องค์การพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) และองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออก (OPEC) ออสเตรียประสบกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในช่วงหลังสงคราม ซึ่งมักเรียกว่า "ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ" (Wirtschaftswunder) โดยได้รับความช่วยเหลือจากแผนมาร์แชลล์
การเมืองของสาธารณรัฐที่สองมีลักษณะเฉพาะคือระบบสัดส่วนอำนาจ หรือ โปรพอร์ซ (Proporz) ซึ่งตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญส่วนใหญ่จะถูกแบ่งตามสัดส่วนระหว่างสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยออสเตรีย (SPÖ) และพรรคประชาชนออสเตรีย (ÖVP) "หอการค้า" ของกลุ่มผลประโยชน์ที่มีสมาชิกภาพภาคบังคับ (เช่น สำหรับคนงาน นักธุรกิจ เกษตรกร) มีความสำคัญอย่างมากและมักจะได้รับการปรึกษาในกระบวนการทางกฎหมาย ดังนั้นจึงแทบไม่มีกฎหมายใดผ่านออกมาโดยไม่สะท้อนถึงฉันทามติในวงกว้าง
ออสเตรียเข้าร่วมสหภาพยุโรป (EU) เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1995 หลังจากการลงประชามติในปี ค.ศ. 1994 ซึ่งได้รับความเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงข้างมากสองในสาม การเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม พรรคการเมืองหลัก SPÖ และ ÖVP มีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับสถานะความเป็นกลางทางทหารของออสเตรียในอนาคต ในขณะที่ SPÖ สนับสนุนบทบาทที่เป็นกลางในที่สาธารณะ ÖVP กลับสนับสนุนการบูรณาการที่แข็งแกร่งขึ้นในนโยบายความมั่นคงของสหภาพยุโรป แม้กระทั่งการเป็นสมาชิก NATO ในอนาคตก็ไม่ถูกตัดออกโดยนักการเมือง ÖVP บางคน ในความเป็นจริง ออสเตรียมีส่วนร่วมในนโยบายร่วมด้านการต่างประเทศและความมั่นคงของสหภาพยุโรป เข้าร่วมในภารกิจรักษาสันติภาพและการสร้างสันติภาพ และได้เป็นสมาชิกของ "พันธมิตรเพื่อสันติภาพ" ของ NATO รัฐธรรมนูญได้รับการแก้ไขตามนั้น
ในยุคปัจจุบัน ออสเตรียยังคงเผชิญกับประเด็นท้าทายสำคัญหลายประการ เช่น การจัดการกับปัญหาผู้ลี้ภัย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การรักษาระบบสวัสดิการสังคม และการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีในระดับโลก พัฒนาการทางการเมืองล่าสุดรวมถึงการเปลี่ยนแปลงในแนวร่วมรัฐบาล และการเติบโตของพรรคการเมืองฝ่ายขวา
4. ภูมิศาสตร์
ออสเตรียเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ใจกลางทวีปยุโรป ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีพื้นที่ทั้งหมด 83.88 K km2 มีพรมแดนติดกับ 8 ประเทศ ได้แก่ เยอรมนีและเช็กเกียทางทิศเหนือ สโลวาเกียและฮังการีทางทิศตะวันออก สโลวีเนียและอิตาลีทางทิศใต้ และสวิตเซอร์แลนด์และลิกเตนสไตน์ทางทิศตะวันตก ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูง โดยมีเทือกเขาแอลป์พาดผ่านพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ
4.1. ลักษณะภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ


ลักษณะภูมิประเทศของออสเตรียมีความหลากหลาย โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 เขตหลัก เขตที่ใหญ่ที่สุดคือเทือกเขาแอลป์ตะวันออก ซึ่งคิดเป็น 62% ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศ เทือกเขาแอลป์ในออสเตรียประกอบด้วยเทือกเขาแอลป์หินปูนตอนเหนือ เทือกเขาแอลป์กลางตะวันออก (ซึ่งเป็นส่วนที่สูงที่สุดและมีธารน้ำแข็งมากที่สุด) และเทือกเขาแอลป์หินปูนตอนใต้ ยอดเขาที่สูงที่สุดในออสเตรียคือ โกรสกล็อกเนอร์ (Großglockner) มีความสูง 3.80 K m ตั้งอยู่ในเทือกเขาโฮเฮอเทาเอิร์น (Hohe Tauern) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์กลางตะวันออก
บริเวณเชิงเขาของเทือกเขาแอลป์และเทือกเขาคาร์เพเทียนคิดเป็นประมาณ 12% ของพื้นที่ประเทศ ส่วนบริเวณเชิงเขาทางตะวันออกและพื้นที่รอบนอกของที่ราบพันโนเนีย (Pannonian Basin) คิดเป็นประมาณ 12% เช่นกัน พื้นที่ภูเขาที่ใหญ่เป็นอันดับสอง (แต่ต่ำกว่าเทือกเขาแอลป์มาก) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือ เรียกว่า ที่ราบสูงหินแกรนิตออสเตรีย (Austrian granite plateau) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมวลเขาสูงโบฮีเมีย (Bohemian Massif) และคิดเป็น 10% ของพื้นที่ ส่วนที่เหลืออีก 4% คือส่วนของออสเตรียในแอ่งเวียนนา (Vienna Basin)
มีเพียงประมาณหนึ่งในสี่ของพื้นที่ประเทศเท่านั้นที่ถือว่าเป็นที่ราบลุ่ม และมีเพียง 32% ของประเทศที่อยู่ต่ำกว่า 500 m เทือกเขาแอลป์ทางตะวันตกของออสเตรียค่อยๆ ลาดลงสู่ที่ราบลุ่มและที่ราบทางตะวันออกของประเทศ
แม่น้ำสายสำคัญที่สุดของออสเตรียคือ แม่น้ำดานูบ ซึ่งไหลผ่านทางตอนเหนือของประเทศจากตะวันตกไปตะวันออก เป็นระยะทางประมาณ 350 km แม่น้ำสายสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ แม่น้ำอินน์ (Inn) แม่น้ำซาลซัค (Salzach) แม่น้ำเอ็นส์ (Enns) และแม่น้ำมูร์ (Mur) ออสเตรียยังมีทะเลสาบที่สวยงามจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทะเลสาบธารน้ำแข็งในเทือกเขาแอลป์ เช่น ทะเลสาบโวลฟ์กัง (Wolfgangsee) ทะเลสาบมอนด์เซ (Mondsee) และทะเลสาบเวอร์เทอร์เซ (Wörthersee) ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดคือ ทะเลสาบนอยซีดเดิล (Neusiedler See) ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำตื้นขนาดใหญ่ทางตะวันออกของประเทศ ติดกับชายแดนฮังการี
ป่าไม้ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 47% ของพื้นที่ทั้งหมดของออสเตรีย คิดเป็นพื้นที่ป่าไม้ 3,899,150 เฮกตาร์ (ha) ในปี 2020 เพิ่มขึ้นจาก 3,775,670 เฮกตาร์ในปี 1990 ในปี 2020 ป่าที่ฟื้นฟูตามธรรมชาติครอบคลุมพื้นที่ 2,227,500 เฮกตาร์ และป่าปลูกครอบคลุมพื้นที่ 1,671,500 เฮกตาร์ ในบรรดาป่าที่ฟื้นฟูตามธรรมชาติ 2% ได้รับรายงานว่าเป็นป่าปฐมภูมิ (ประกอบด้วยพันธุ์ไม้พื้นเมืองที่ไม่มีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนของกิจกรรมของมนุษย์) และประมาณ 23% ของพื้นที่ป่าพบได้ในพื้นที่คุ้มครอง ในปี 2015 18% ของพื้นที่ป่าได้รับรายงานว่าอยู่ภายใต้การเป็นเจ้าของของรัฐ 82% เป็นของเอกชน และ 0% มีการระบุความเป็นเจ้าของเป็นอื่น ๆ หรือไม่ทราบ
ในทางภูมิศาสตร์พืช (Phytogeography) ออสเตรียจัดอยู่ในจังหวัดยุโรปกลางของภูมิภาคเซอร์คัมบอเรียล (Circumboreal Region) ภายในอาณาจักรพืชเขตหนาวเหนือ (Boreal Kingdom) ตามข้อมูลของกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ดินแดนของออสเตรียสามารถแบ่งออกเป็นสี่เขตภูมิภาคทางนิเวศวิทยา (ecoregions) ได้แก่ ป่าผสมยุโรปกลาง (Central European mixed forests) ป่าผสมพันโนเนีย (Pannonian mixed forests) ป่าสนและป่าผสมแอลป์ (Alps conifer and mixed forests) และป่าใบกว้างยุโรปตะวันตก (Western European broadleaf forests) ออสเตรียมีคะแนนเฉลี่ยดัชนีความสมบูรณ์ของภูมิทัศน์ป่าไม้ (Forest Landscape Integrity Index) ปี 2018 อยู่ที่ 3.55/10 ซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่ 149 ของโลกจาก 172 ประเทศ
ออสเตรียมีอุทยานแห่งชาติที่สำคัญหลายแห่ง เช่น อุทยานแห่งชาติโฮเฮอเทาเอิร์น (Hohe Tauern National Park) ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปกลาง และเขตอนุรักษ์ธรรมชาติอีกมากมายที่ปกป้องระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพอันอุดมสมบูรณ์ของประเทศ
4.2. สภาพภูมิอากาศ
พื้นที่ส่วนใหญ่ของออสเตรียอยู่ในเขตภูมิอากาศเย็น/อบอุ่น ซึ่งลมตะวันตกที่ชื้นมีอิทธิพลเด่นชัด เนื่องจากเกือบสามในสี่ของประเทศถูกครอบงำโดยเทือกเขาแอลป์ ภูมิอากาศแบบอัลไพน์ (alpine climate) จึงมีอิทธิพลเด่นชัดที่สุด ทางตะวันออก ซึ่งเป็นที่ราบพันโนเนียและตามหุบเขาแม่น้ำดานูบ ภูมิอากาศมีลักษณะแบบภาคพื้นทวีป โดยมีปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าพื้นที่แถบเทือกเขาแอลป์ แม้ว่าออสเตรียจะมีอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาว (-10 ถึง 0 °C) แต่อุณหภูมิในฤดูร้อนอาจค่อนข้างสูง โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงกลาง 20 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึกได้คือ 40.5 °C ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013
ตามการจำแนกประเภทภูมิอากาศแบบเคิพเพิน (Köppen Climate Classification) ออสเตรียมีภูมิอากาศประเภทต่อไปนี้: ภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้นภาคพื้นสมุทร (Cfb) ภูมิอากาศแบบภาคพื้นทวีปชื้นฤดูร้อนเย็น/อบอุ่น (Dfb) ภูมิอากาศแบบกึ่งอาร์กติก/ภูมิอากาศแบบกึ่งอัลไพน์ (Dfc) ภูมิอากาศแบบทุนดรา/ภูมิอากาศแบบอัลไพน์ (ET) และภูมิอากาศแบบพืดน้ำแข็ง (EF) สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ แม้ว่าออสเตรียอาจประสบกับฤดูหนาวที่หนาวเย็นและรุนแรงมาก แต่ส่วนใหญ่มักจะหนาวเย็นพอๆ กับเขตภูมิอากาศที่เทียบเคียงกันได้ เช่น สแกนดิเนเวียตอนใต้หรือยุโรปตะวันออก นอกจากนี้ ในพื้นที่สูง ฤดูร้อนมักจะเย็นกว่าในหุบเขา/พื้นที่ต่ำอย่างมาก ภูมิอากาศแบบกึ่งอาร์กติกและทุนดราที่พบเห็นได้รอบๆ เทือกเขาแอลป์นั้นอบอุ่นกว่าในฤดูหนาวกว่าปกติในที่อื่นๆ ส่วนหนึ่งเนื่องจากอิทธิพลของมหาสมุทรในส่วนนี้ของยุโรป
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในออสเตรียได้ก่อให้เกิดอุณหภูมิที่สูงขึ้นเกือบ 2 °C ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1880 และคาดว่าอุณหภูมิจะเพิ่มสูงขึ้นอีกในขณะที่คลื่นความร้อนจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น เหตุการณ์หยาดน้ำฟ้ารุนแรงได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น และอุทกภัยและดินถล่มที่เกี่ยวข้องอาจคุกคามความมั่นคงด้านการจัดหาไฟฟ้าของออสเตรีย ภูมิภาคภูเขาของออสเตรียมีความอ่อนไหวอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและกำลังประสบกับหิมะที่ลดลง การละลายของหิมะที่เร็วขึ้น และการสูญเสียธารน้ำแข็ง
5. การเมือง
ออสเตรียเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐแบบมีผู้แทน มีระบบรัฐสภาเป็นพื้นฐาน โดยประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง และนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล รัฐธรรมนูญของออสเตรียให้ความสำคัญกับการแบ่งแยกอำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ รวมถึงการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมือง พรรคการเมืองหลักหลายพรรคมีบทบาทในการกำหนดทิศทางการเมืองของประเทศ ออสเตรียดำเนินนโยบายต่างประเทศโดยยึดหลักความเป็นกลางถาวร และมีกองทัพสหพันธรัฐทำหน้าที่ป้องกันประเทศและภารกิจระหว่างประเทศ
5.1. โครงสร้างรัฐบาลและรัฐธรรมนูญ

ออสเตรียเป็นสหพันธ์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนตามกฎหมายรัฐธรรมนูญสหพันธรัฐปี 1920 ระบบการเมืองของสาธารณรัฐที่สองซึ่งมีเก้ารัฐสหพันธรัฐนั้นมีพื้นฐานมาจากรัฐธรรมนูญปี 1920 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมในปี 1929 และมีผลบังคับใช้อีกครั้งในวันที่ 1 พฤษภาคม 1945
ประธานาธิบดีแห่งออสเตรียเป็นประมุขแห่งรัฐ ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากคะแนนเสียงข้างมากของประชาชน โดยมีการเลือกตั้งรอบสองระหว่างผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงสุดหากจำเป็น นายกรัฐมนตรีแห่งออสเตรียเป็นหัวหน้ารัฐบาล นายกรัฐมนตรีได้รับเลือกจากประธานาธิบดีและได้รับมอบหมายให้จัดตั้งรัฐบาลตามองค์ประกอบของพรรคการเมืองในสภาล่างของรัฐสภา
รัฐบาลสามารถถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งได้โดยคำสั่งของประธานาธิบดีหรือโดยการลงมติไม่ไว้วางใจในสภาล่างของรัฐสภา คือ สภาแห่งชาติ (Nationalrat) การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีและรัฐสภาเคยเป็นข้อบังคับในออสเตรีย แต่ข้อบังคับนี้ถูกยกเลิกเป็นขั้นตอนตั้งแต่ปี 1982 ถึง 2004
รัฐสภาออสเตรียประกอบด้วยสองสภา องค์ประกอบของสภาแห่งชาติ (183 ที่นั่ง) จะถูกกำหนดทุก ๆ ห้าปี (หรือเมื่อใดก็ตามที่สภาแห่งชาติถูกยุบโดยประธานาธิบดีสหพันธรัฐตามญัตติของนายกรัฐมนตรีสหพันธรัฐ หรือโดยสภาแห่งชาติเอง) โดยการเลือกตั้งทั่วไปซึ่งพลเมืองทุกคนที่มีอายุเกิน 16 ปีมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง อายุการเลือกตั้งลดลงจาก 18 ปีในปี 2007
แม้ว่าจะมีเกณฑ์ทั่วไปที่ 4% ของคะแนนเสียงสำหรับทุกพรรคในการเลือกตั้งระดับสหพันธรัฐ (Nationalratswahlen) เพื่อเข้าร่วมในการจัดสรรที่นั่งตามสัดส่วน แต่ก็ยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งโดยตรงในเขตเลือกตั้งระดับภูมิภาค 43 แห่ง (Direktmandat)
สภาแห่งชาติเป็นสภาที่มีอำนาจเหนือกว่าในกระบวนการทางกฎหมายในออสเตรีย อย่างไรก็ตาม สภาสูงของรัฐสภา คือ สภาสหพันธ์ (Bundesrat) มีสิทธิยับยั้งที่จำกัด (สภาแห่งชาติสามารถ - ในเกือบทุกกรณี - ผ่านร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้ในที่สุดโดยการลงคะแนนเสียงเป็นครั้งที่สอง ซึ่งเรียกว่า Beharrungsbeschluss แปลตามตัวอักษรว่า "การลงคะแนนเสียงแห่งความพากเพียร") การประชุมใหญ่ตามรัฐธรรมนูญ ที่เรียกว่า Österreich-Konventภาษาเยอรมัน ได้ถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2003 เพื่อพิจารณาการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ แต่ไม่สามารถเสนอข้อเสนอที่จะได้รับเสียงข้างมากสองในสามในสภาแห่งชาติ ซึ่งเป็นคะแนนเสียงที่จำเป็นสำหรับการแก้ไขหรือปฏิรูปรัฐธรรมนูญ
ในขณะที่รัฐสภาสองสภาและรัฐบาลประกอบกันเป็นฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารตามลำดับ ศาลถือเป็นอำนาจที่สามของรัฐออสเตรีย ศาลรัฐธรรมนูญ (Verfassungsgerichtshof) มีอิทธิพลอย่างมากต่อระบบการเมืองเนื่องจากมีอำนาจในการทำให้กฎหมายและกฎหมายลำดับรองที่ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ ตั้งแต่ปี 1995 ศาลยุติธรรมแห่งยุโรปอาจลบล้างคำตัดสินของออสเตรียในทุกเรื่องที่กำหนดไว้ในกฎหมายของสหภาพยุโรป ออสเตรียยังปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป เนื่องจากอนุสัญญายุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชนเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญออสเตรีย การพัฒนาประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนเป็นหัวใจสำคัญของโครงสร้างรัฐธรรมนูญและการเมืองของออสเตรีย
5.2. พรรคการเมืองหลัก
ระบบการเมืองของออสเตรียเป็นแบบหลายพรรคการเมือง ซึ่งหมายความว่ามีพรรคการเมืองหลายพรรคที่มีโอกาสได้รับที่นั่งในรัฐสภาและมีส่วนร่วมในการจัดตั้งรัฐบาล พรรคการเมืองหลักที่มีบทบาทสำคัญในภูมิทัศน์การเมืองปัจจุบันของออสเตรีย ได้แก่:
- พรรคประชาชนออสเตรีย (Österreichische Volkspartei, ÖVP): เป็นพรรคการเมืองแนวอนุรักษนิยม-คริสเตียนประชาธิปไตย ก่อตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยสืบทอดมาจากพรรคคริสเตียนสังคมในอดีต ÖVP มีฐานเสียงหลักในกลุ่มเกษตรกร ผู้ประกอบการ และผู้มีแนวคิดอนุรักษนิยม โดยทั่วไปพรรคนี้สนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี การบูรณาการกับยุโรป และค่านิยมดั้งเดิม ในอดีต ÖVP เป็นหนึ่งในสองพรรคใหญ่ที่ผลัดกันจัดตั้งรัฐบาลมาอย่างยาวนาน
- พรรคสังคมประชาธิปไตยออสเตรีย (Sozialdemokratische Partei Österreichs, SPÖ): เป็นพรรคการเมืองแนวสังคมประชาธิปไตย ก่อตั้งขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 SPÖ มีฐานเสียงหลักในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน สหภาพแรงงาน และผู้มีแนวคิดก้าวหน้า พรรคนี้สนับสนุนนโยบายรัฐสวัสดิการ ความยุติธรรมทางสังคม และสิทธิแรงงาน SPÖ เป็นอีกหนึ่งในสองพรรคใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญในการเมืองออสเตรียมาโดยตลอด
- พรรคเสรีภาพออสเตรีย (Freiheitliche Partei Österreichs, FPÖ): เป็นพรรคการเมืองแนวประชานิยมฝ่ายขวาและชาตินิยม ก่อตั้งขึ้นในปี 1956 FPÖ มีอุดมการณ์ที่เน้นความเป็นชาติออสเตรีย การควบคุมการย้ายถิ่นฐาน และการวิพากษ์วิจารณ์สหภาพยุโรป พรรคนี้เคยเข้าร่วมรัฐบาลผสมหลายครั้ง และมีอิทธิพลสำคัญในการเมืองออสเตรีย โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา
- พรรคกรีนส์ - ดิอัลเทอร์เนทีฟกรีน (Die Grünen - Die Grüne Alternative): เป็นพรรคการเมืองแนวนิยมสิ่งแวดล้อมและก้าวหน้า ก่อตั้งขึ้นในช่วงทศวรรษ 1980 พรรคกรีนส์ให้ความสำคัญกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมทางเพศ และการต่อต้านการเลือกปฏิบัติ พรรคนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นและได้เข้าร่วมรัฐบาลผสมในระดับสหพันธรัฐเป็นครั้งแรกในปี 2020
- นีโอส - ออสเตรียใหม่และเสรีนิยมฟอรัม (NEOS - Das Neue Österreich und Liberales Forum): เป็นพรรคการเมืองแนวเสรีนิยม ก่อตั้งขึ้นในปี 2012 NEOS สนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม การปฏิรูประบบราชการ การศึกษา และการส่งเสริมความเป็นผู้ประกอบการ พรรคนี้เป็นพรรคใหม่ที่สามารถเข้ามามีบทบาทในรัฐสภาได้
พรรคการเมืองเหล่านี้แข่งขันกันในการเลือกตั้งระดับสหพันธรัฐ ระดับรัฐ และระดับท้องถิ่น การจัดตั้งรัฐบาลมักจะเป็นในรูปแบบรัฐบาลผสม เนื่องจากเป็นเรื่องยากที่พรรคใดพรรคหนึ่งจะได้รับเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภาแห่งชาติ การเปลี่ยนแปลงและการปรับขั้วทางการเมืองเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอในระบบหลายพรรคของออสเตรีย
5.3. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

นโยบายต่างประเทศของออสเตรียมีพื้นฐานสำคัญมาจากสนธิสัญญารัฐออสเตรีย ค.ศ. 1955 ซึ่งยุติการยึดครองของฝ่ายสัมพันธมิตรหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และรับรองออสเตรียในฐานะรัฐเอกราชและมีอธิปไตย ในวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1955 สมัชชาแห่งชาติออสเตรียได้ผ่านกฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่ง "ออสเตรียประกาศเจตจำนงเสรีที่จะยึดมั่นในความเป็นกลางถาวร" ส่วนที่สองของกฎหมายนี้ระบุว่า "ในอนาคตทุกเมื่อ ออสเตรียจะไม่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางทหารใด ๆ และจะไม่ยอมให้มีการจัดตั้งฐานทัพทหารต่างชาติใด ๆ บนดินแดนของตน" ตั้งแต่นั้นมา ออสเตรียได้กำหนดนโยบายต่างประเทศบนพื้นฐานของความเป็นกลาง ซึ่งมีความแตกต่างจากความเป็นกลางของสวิตเซอร์แลนด์
ออสเตรียเริ่มประเมินนิยามความเป็นกลางของตนใหม่อีกครั้งหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต โดยอนุญาตให้มีการบินผ่านน่านฟ้าสำหรับการดำเนินการที่ได้รับการคว่ำบาตรจากสหประชาชาติต่ออิรักในปี 1991 และตั้งแต่ปี 1995 ออสเตรียได้พัฒนาการมีส่วนร่วมในนโยบายร่วมด้านการต่างประเทศและความมั่นคง (CFSP) ของสหภาพยุโรป ในปีเดียวกันนั้น ออสเตรียได้เข้าร่วมโครงการพันธมิตรเพื่อสันติภาพ (Partnership for Peace) ของ NATO (แม้ว่าจะดำเนินการด้วยความระมัดระวังโดยเข้าร่วมหลังจากรัสเซียเข้าร่วมแล้วก็ตาม) และต่อมาได้เข้าร่วมในภารกิจรักษาสันติภาพในบอสเนีย ในขณะเดียวกัน ส่วนเดียวของกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าด้วยความเป็นกลางปี 1955 ที่ยังคงมีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์คือการไม่อนุญาตให้มีฐานทัพทหารต่างชาติในออสเตรีย ออสเตรียได้ลงนามในสนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์ของสหประชาชาติ ซึ่งถูกคัดค้านโดยสมาชิก NATO ทั้งหมด
ออสเตรียให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการมีส่วนร่วมในองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) และองค์การเศรษฐกิจระหว่างประเทศอื่น ๆ และมีบทบาทอย่างแข็งขันในองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE) ในฐานะรัฐผู้เข้าร่วม OSCE พันธกรณีระหว่างประเทศของออสเตรียอยู่ภายใต้การตรวจสอบตามอาณัติของคณะกรรมาธิการเฮลซิงกิแห่งสหรัฐอเมริกา
ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับเยอรมนี ซึ่งเป็นคู่ค้าและพันธมิตรทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ออสเตรียมีบทบาทในการสนับสนุนการขยายตัวของสหภาพยุโรปไปยังยุโรปตะวันออกและคาบสมุทรบอลข่านตะวันตก อย่างไรก็ตาม ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2022 ออสเตรียได้ขัดขวางการภาคยานุวัติของบัลแกเรียและโรมาเนียเข้าสู่พื้นที่เชงเกน ซึ่งก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างมากในสองประเทศดังกล่าว และโรมาเนียได้เรียกตัวเอกอัครราชทูตกลับจากกรุงเวียนนา มีการเรียกร้องให้คว่ำบาตรบริษัทออสเตรียในโรมาเนีย อย่างไรก็ตาม ณ วันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 2024 ออสเตรียได้ยกเลิกการคัดค้าน ทำให้โรมาเนียและบัลแกเรียสามารถเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเขตการเดินทางเสรีเชงเกนได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2024
ออสเตรียมีบทบาทและจุดยืนที่สำคัญในประชาคมระหว่างประเทศ โดยมักทำหน้าที่เป็นคนกลางในการเจรจาและเป็นที่ตั้งขององค์การระหว่างประเทศหลายแห่ง กรุงเวียนนาเป็นที่ตั้งของสำนักงานสหประชาชาติแห่งที่สาม (รองจากนิวยอร์กและเจนีวา) และเป็นที่ตั้งขององค์การสำคัญอื่นๆ เช่น องค์การพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) และองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออก (OPEC) ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ออสเตรียพยายามรักษาสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของชาติกับการส่งเสริมค่านิยมสากล เช่น สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และสันติภาพ โดยคำนึงถึงมุมมองของฝ่ายที่ได้รับผลกระทบและประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนอยู่เสมอ
5.4. การทหาร
กองทัพสหพันธรัฐออสเตรีย ({{lang|de-AT|link=no|Bundesheer|บุนเดิสแฮร์}}) เป็นกำลังทหารของประเทศออสเตรีย ซึ่งกำลังพลส่วนใหญ่มาจากการเกณฑ์ทหาร ชายชาวออสเตรียทุกคนที่มีอายุครบสิบแปดปีและมีสุขภาพสมบูรณ์จะต้องเข้ารับราชการทหารภาคบังคับเป็นเวลาหกเดือน ตามด้วยภาระผูกพันในกองหนุนอีกแปดปี ทั้งชายและหญิงที่มีอายุสิบหกปีมีสิทธิ์เข้ารับราชการทหารโดยสมัครใจ การคัดค้านโดยอ้างมโนธรรมเป็นที่ยอมรับตามกฎหมาย และผู้ที่อ้างสิทธินี้จะต้องปฏิบัติหน้าที่พลเรือน (Zivildienstซิวิลดีนสท์ภาษาเยอรมัน) แทนเป็นเวลาเก้าเดือน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998 สตรีอาสาสมัครได้รับอนุญาตให้เป็นทหารอาชีพได้
โครงสร้างหลักของบุนเดิสแฮร์ประกอบด้วยกองกำลังร่วม (Streitkräfteführungskommando, SKFüKdo) ซึ่งรวมถึงกองกำลังทางบก (Landstreitkräfte) กองกำลังทางอากาศ (Luftstreitkräfte) ภารกิจระหว่างประเทศ (Internationale Einsätze) และกองกำลังพิเศษ (Spezialeinsatzkräfte) นอกจากนี้ยังมีกองบัญชาการสนับสนุนภารกิจร่วม (Kommando Einsatzunterstützung; KdoEU) และศูนย์สนับสนุนการบัญชาการร่วม (Führungsunterstützungszentrum; FüUZ) เนื่องจากออสเตรียเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล จึงไม่มีกองทัพเรือ

ในปี ค.ศ. 2012 งบประมาณกลาโหมของออสเตรียคิดเป็นประมาณ 0.8% ของ GDP ปัจจุบันกองทัพมีทหารประมาณ 26,000 นาย ซึ่งในจำนวนนี้ประมาณ 12,000 นายเป็นทหารเกณฑ์ ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ประธานาธิบดีออสเตรียเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพตามตำแหน่ง แต่การบังคับบัญชากองทัพสหพันธรัฐออสเตรียดำเนินการโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2020 คือ เคลาดีอา ทันเนอร์)
นโยบายทางทหารของออสเตรียในฐานะประเทศที่เป็นกลางมีลักษณะเฉพาะ คือ การมุ่งเน้นไปที่การป้องกันตนเอง การบรรเทาสาธารณภัย และการมีส่วนร่วมในภารกิจรักษาสันติภาพระหว่างประเทศภายใต้กรอบของสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ ตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็นและการล่มสลายของ "ม่านเหล็ก" กองทัพออสเตรียได้ให้ความช่วยเหลือแก่เจ้าหน้าที่รักษาชายแดนในการป้องกันการข้ามแดนโดยผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ภารกิจนี้สิ้นสุดลงเมื่อฮังการีและสโลวาเกียเข้าร่วมเขตเชงเกนของสหภาพยุโรปในปี ค.ศ. 2008 ซึ่งเป็นการยกเลิกการควบคุมชายแดนภายในระหว่างรัฐภาคี ตามรัฐธรรมนูญออสเตรีย กองทัพอาจถูกนำไปใช้ในกรณีที่จำกัดจำนวนหนึ่งเท่านั้น โดยหลักคือเพื่อป้องกันประเทศและให้ความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉินระดับชาติ เช่น หลังเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ และอาจใช้เป็นกองกำลังตำรวจเสริมในกรณีพิเศษเท่านั้น
ภายใต้สถานะความเป็นกลางถาวรที่ประกาศด้วยตนเอง ออสเตรียมีประเพณีในการเข้าร่วมภารกิจรักษาสันติภาพและภารกิจด้านมนุษยธรรมอื่น ๆ ที่นำโดยสหประชาชาติ หน่วยบรรเทาภัยพิบัติของกองทัพออสเตรีย (AFDRU) ซึ่งเป็นหน่วยอาสาสมัครทั้งหมดที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้เชี่ยวชาญพลเรือน (เช่น ผู้ฝึกสุนัขกู้ภัย) มีชื่อเสียงในฐานะหน่วยค้นหาและกู้ภัย (SAR) ที่รวดเร็ว (เวลาการ развертываниеมาตรฐานคือ 10 ชั่วโมง) และมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน กองกำลังออสเตรียจำนวนมากประจำการอยู่ในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาและคอซอวอ ตามดัชนีสันติภาพโลกปี 2024 ออสเตรียเป็นประเทศที่สงบสุขที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก
ยุทโธปกรณ์หลักของกองทัพออสเตรียประกอบด้วยรถถัง เลพเพิร์ด 2 เครื่องบินขับไล่ยูโรไฟเตอร์ ไทฟูน และเฮลิคอปเตอร์ขนส่งแบบต่างๆ
6. เขตการปกครอง
ออสเตรียเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐที่ประกอบด้วยรัฐ (Bundesländer) ทั้งหมด 9 รัฐ แต่ละรัฐมีรัฐธรรมนูญและองค์กรปกครองของตนเอง โดยมีอำนาจในด้านต่างๆ เช่น วัฒนธรรม การศึกษา และการวางผังเมือง รัฐเหล่านี้ยังแบ่งย่อยออกเป็นเขต (Bezirke) และเมืองตามกฎหมาย (Statutarstädte) ซึ่งเป็นหน่วยการปกครองระดับท้องถิ่นที่เล็กกว่า
6.1. รัฐ
ออสเตรียเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐ ประกอบด้วย 9 รัฐ ({{lang|de-AT|link=no|Bundesländer|บุนเดิสเลนเดอร์}}) แต่ละรัฐมีรัฐธรรมนูญ รัฐสภา และรัฐบาลของตนเอง รัฐบาลสหพันธรัฐในกรุงเวียนนามีอำนาจในกิจการระดับชาติ เช่น การต่างประเทศ การป้องกันประเทศ และการเงิน ในขณะที่รัฐต่างๆ มีอำนาจในด้านการศึกษา วัฒนธรรม และการบริหารส่วนท้องถิ่น
รัฐ | เมืองหลวง | พื้นที่ | ||||
---|---|---|---|---|---|---|
บัวร์เกินลันท์ | ไอเซนชตัดท์ | 3,965 | 291,942 | 73.6 | 10.454 | 34,900 |
คารินเทีย | คลาเกินฟวร์ทอัมแวร์เทอร์เซ | 9,536 | 561,077 | 58.8 | 24.755 | 43,600 |
นีเดอร์เอิสเตอร์ไรช์ | 19,178 | 1,665,753 | 86.9 | 71.757 | 41,900 | |
ซัลทซ์บวร์ค | ซัลทซ์บวร์ค | 7,154 | 549,263 | 76.8 | 33.330 | 58,900 |
สตีเรีย | กราทซ์ | 16,401 | 1,237,298 | 75.4 | 56.152 | 44,600 |
ทีโรล | อินส์บรุค | 12,648 | 746,153 | 59.0 | 39.328 | 51,200 |
โอแบร์เอิสเตอร์ไรช์ | 11,982 | 1,465,045 | 122.3 | 76.780 | 50,700 | |
เวียนนา | 415 | 1,867,582 | 4,500 | 110.992 | 56,600 | |
ฟอร์อาร์ลแบร์ค | เบรเกินซ์ | 2,601 | 388,752 | 149.5 | 23.588 | 58,300 |
ลักษณะเด่นของแต่ละรัฐโดยสังเขป:
- บัวร์เกินลันท์ (Burgenland): ตั้งอยู่ทางตะวันออกสุดของประเทศ มีชื่อเสียงด้านการผลิตไวน์และทะเลสาบนอยซีดเดิลซึ่งเป็นมรดกโลก
- คารินเทีย (Kärnten/Carinthia): อยู่ทางใต้ มีทะเลสาบที่สวยงามหลายแห่งและเทือกเขาที่เหมาะแก่การพักผ่อน
- นีเดอร์เอิสเตอร์ไรช์ (Niederösterreich/Lower Austria): เป็นรัฐที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุด ล้อมรอบกรุงเวียนนา มีความหลากหลายทางภูมิประเทศตั้งแต่ที่ราบลุ่มแม่น้ำดานูบไปจนถึงภูเขา
- โอแบร์เอิสเตอร์ไรช์ (Oberösterreich/Upper Austria): ตั้งอยู่ทางตอนเหนือ มีเมืองลินทซ์เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและวัฒนธรรม
- ซัลทซ์บวร์ค (Salzburg): มีชื่อเสียงจากเมืองซัลทซ์บวร์คซึ่งเป็นบ้านเกิดของโมซาร์ทและเป็นมรดกโลก รวมถึงทัศนียภาพเทือกเขาแอลป์ที่งดงาม
- สตีเรีย (Steiermark/Styria): รู้จักกันในนาม "หัวใจสีเขียวของออสเตรีย" เนื่องจากมีป่าไม้และพื้นที่สีเขียวอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งผลิตไวน์และฟักทอง
- ทีโรล (Tirol/Tyrol): โดดเด่นด้วยเทือกเขาแอลป์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับกีฬาฤดูหนาวและกิจกรรมกลางแจ้ง
- ฟอร์อาร์ลแบร์ค (Vorarlberg): ตั้งอยู่ทางตะวันตกสุดของประเทศ มีพรมแดนติดกับสวิตเซอร์แลนด์และเยอรมนี มีทัศนียภาพภูเขาและทะเลสาบคอนสแตนซ์ (ทะเลสาบโบเดิน)
- เวียนนา (Wien/Vienna): เป็นทั้งเมืองหลวงและรัฐ มีสถานะเป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของประเทศ มีชื่อเสียงด้านสถาปัตยกรรม ดนตรี และศิลปะ
6.2. เมืองสำคัญ
q=เวียนนา|position=left
ออสเตรียมีเมืองสำคัญหลายแห่งที่มีบทบาททางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ นอกจากกรุงเวียนนาซึ่งเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ยังมีเมืองอื่นๆ ที่น่าสนใจดังนี้:
- เวียนนา (Wien/Vienna): เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของออสเตรีย มีประชากรประมาณ 1.9 ล้านคน (ถ้ารวมเขตปริมณฑลจะมีมากกว่า 2.6 ล้านคน) ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศบนฝั่งแม่น้ำดานูบ เวียนนาเป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการคมนาคมที่สำคัญของยุโรปกลาง มีชื่อเสียงด้านสถาปัตยกรรมที่งดงาม เช่น พระราชวังเชินบรุนน์ พระราชวังฮอฟบวร์ค และอาสนวิหารนักบุญสเทเฟน นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้จักในฐานะเมืองแห่งดนตรีคลาสสิก โดยเป็นบ้านเกิดหรือที่พำนักของนักประพันธ์เพลงชื่อดังหลายคน เช่น โมซาร์ท เบทโฮเฟิน และโยฮันน์ ชเตราสส์ เวียนนายังเป็นที่ตั้งขององค์การระหว่างประเทศหลายแห่ง เช่น สำนักงานสหประชาชาติ และโอเปก

- กราทซ์ (Graz): เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของออสเตรีย มีประชากรประมาณ 290,000 คน ตั้งอยู่ในรัฐสตีเรีย ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ กราทซ์เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่สำคัญของภูมิภาค มีมหาวิทยาลัยหลายแห่งทำให้เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวา ย่านเมืองเก่าของกราทซ์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างเรอแนซ็องส์และบารอก รวมถึงหอนาฬิกา (Uhrturm) บนเนินเขาชลอสแบร์ก (Schlossberg) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมือง
- ลินทซ์ (Linz): เป็นเมืองใหญ่อันดับสามของออสเตรีย มีประชากรประมาณ 200,000 คน เป็นเมืองหลวงของรัฐโอแบร์เอิสเตอร์ไรช์ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำดานูบ ลินทซ์เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่สำคัญ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเหล็กและเคมี นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านศิลปะและเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเป็นที่ตั้งของศูนย์ศิลปะอิเล็กทรอนิกส์อาร์ส อิเล็กทรอนิกา (Ars Electronica Center) และพิพิธภัณฑ์ศิลปะเลนทอส (Lentos Kunstmuseum)
- ซัลทซ์บวร์ค (Salzburg): มีประชากรประมาณ 155,000 คน เป็นเมืองหลวงของรัฐซัลทซ์บวร์ค ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนเยอรมนี ซัลทซ์บวร์คมีชื่อเสียงในฐานะบ้านเกิดของว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท และเป็นสถานที่จัดเทศกาลดนตรีซัลทซ์บวร์ค (Salzburg Festival) ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ย่านเมืองเก่าสถาปัตยกรรมบารอกที่สวยงามได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก ป้อมโฮเอินซัลทซ์บวร์ค (Hohensalzburg Fortress) ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่สำคัญของเมือง
- อินส์บรุค (Innsbruck): มีประชากรประมาณ 130,000 คน เป็นเมืองหลวงของรัฐทีโรล ตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขาแอลป์ อินส์บรุคเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่สำคัญ โดยเฉพาะสำหรับกีฬาฤดูหนาว เคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวถึงสองครั้ง (ค.ศ. 1964 และ 1976) สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ได้แก่ หลังคาทองคำ (Goldenes Dachl) พระราชวังฮอฟบวร์ค และกระเช้าลอยฟ้าขึ้นสู่ยอดเขานอร์ดเคทเทอ (Nordkette)
นอกจากนี้ยังมีเมืองอื่นๆ ที่มีความสำคัญในระดับภูมิภาค เช่น คลาเกินฟวร์ท (Klagenfurt) เมืองหลวงของรัฐคารินเทีย และ ซังคท์เพิลเทิน (Sankt Pölten) เมืองหลวงของรัฐนีเดอร์เอิสเตอร์ไรช์
7. เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของออสเตรียเป็นระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเพื่อสังคมที่พัฒนาแล้ว มีมาตรฐานการครองชีพสูง และมีโครงสร้างอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ออสเตรียให้ความสำคัญกับผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงสิทธิแรงงานและความเท่าเทียมทางสังคม
7.1. โครงสร้างและลักษณะทางเศรษฐกิจ

ออสเตรียมีระบบเศรษฐกิจแบบเศรษฐกิจแบบตลาดเพื่อสังคม (social market economy) ซึ่งผสมผสานหลักการของตลาดเสรีเข้ากับนโยบายทางสังคมที่เข้มแข็ง ประเทศนี้มีอันดับสูงอย่างต่อเนื่องในด้านผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ต่อหัว ซึ่งสะท้อนถึงเศรษฐกิจที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้าและมาตรฐานการครองชีพที่สูง จนถึงทศวรรษ 1980 บริษัทอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดหลายแห่งของออสเตรียเป็นของรัฐ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การแปรรูปรัฐวิสาหกิจได้ลดสัดส่วนการถือครองของรัฐลงสู่ระดับที่เทียบได้กับประเทศอื่นๆ ในยุโรป ขบวนการแรงงานมีอิทธิพลอย่างมาก โดยมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายแรงงานและการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ดัชนีเศรษฐกิจหลักที่สำคัญของออสเตรีย (ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลง):
- ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP): ในปี 2023 GDP ของออสเตรียอยู่ที่ประมาณ 477.00 B USD
- GDP ต่อหัว: อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้สูงของโลก ประมาณ 52.00 K USD (อาจแตกต่างกันตามแหล่งข้อมูลและการคำนวณ)
- อัตราเงินเฟ้อ: ผันผวนตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและนโยบายภายในประเทศ
- อัตราการว่างงาน: โดยทั่วไปค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรป
กระบวนการเติบโตทางเศรษฐกิจของออสเตรียได้รับแรงหนุนจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ซึ่งช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และการเข้าถึงตลาดเดียวของยุโรป เยอรมนีเป็นคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของออสเตรียในอดีต ทำให้เศรษฐกิจออสเตรียอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจเยอรมัน อย่างไรก็ตาม การเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปได้ช่วยให้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับเศรษฐกิจอื่นๆ ในสหภาพยุโรป สินค้านำเข้าของออสเตรียอย่างน้อย 67% มาจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอื่นๆ
วิกฤตการณ์การเงิน ค.ศ. 2007-2008 ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจออสเตรียเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ธนาคาร Hypo Alpe-Adria-Bank International ต้องได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลในเดือนธันวาคม 2009 เนื่องจากปัญหาด้านสินเชื่อ สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันยังคงเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอก เช่น ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ และการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการค้าโลก
จุดแข็งของเศรษฐกิจออสเตรีย ได้แก่ แรงงานที่มีทักษะสูง โครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาแล้ว เสถียรภาพทางการเมืองและสังคม และภาคการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนอาจรวมถึงการพึ่งพาการส่งออกในระดับสูง และความท้าทายในการรักษาระบบสวัสดิการสังคมที่มีค่าใช้จ่ายสูง
7.2. อุตสาหกรรมหลัก
เศรษฐกิจของออสเตรียมีโครงสร้างที่หลากหลาย โดยมีภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการเป็นหลัก อุตสาหกรรมหลักที่สำคัญของประเทศ ได้แก่:
- อุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing): เป็นภาคส่วนที่สำคัญและมีเทคโนโลยีขั้นสูง
- เครื่องจักรและอุปกรณ์ (Machinery and Equipment): ออสเตรียมีชื่อเสียงในการผลิตเครื่องจักรที่มีคุณภาพสูงสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น เครื่องจักรกลการเกษตร เครื่องจักรก่อสร้าง และเครื่องมืออุตสาหกรรม
- ชิ้นส่วนยานยนต์ (Automotive Components): แม้ออสเตรียจะไม่มีแบรนด์รถยนต์เป็นของตัวเองในระดับโลก แต่ก็เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่และเป็นซัพพลายเออร์สำคัญให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมนีและประเทศอื่นๆ ในยุโรป โดยเฉพาะเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง
- เหล็กและเหล็กกล้า (Iron and Steel): อุตสาหกรรมเหล็กกล้าของออสเตรียมีประวัติศาสตร์ยาวนานและยังคงมีความสำคัญ โดยมีการผลิตเหล็กกล้าคุณภาพสูงสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ บริษัท Voestalpine เป็นหนึ่งในผู้ผลิตเหล็กชั้นนำของโลก
- เคมีภัณฑ์ (Chemicals): อุตสาหกรรมเคมีผลิตสินค้าหลากหลายประเภท ตั้งแต่เคมีภัณฑ์พื้นฐานไปจนถึงผลิตภัณฑ์เฉพาะทาง เช่น พลาสติกและเภสัชภัณฑ์
- อิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้า (Electronics and Electrical Equipment): รวมถึงการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุตสาหกรรม และเครื่องใช้ไฟฟ้า
- ภาคบริการ (Services): เป็นภาคส่วนที่ใหญ่ที่สุดและมีการจ้างงานมากที่สุด
- การเงินและประกันภัย (Financial Services and Insurance): กรุงเวียนนาเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญ โดยมีธนาคารและสถาบันการเงินหลายแห่ง
- เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technology - ICT): ภาค ICT กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีการพัฒนาซอฟต์แวร์ บริการด้านไอที และอุตสาหกรรมเกม
- การท่องเที่ยว (Tourism): เป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญอย่างยิ่ง สร้างรายได้และมีการจ้างงานจำนวนมาก (จะกล่าวถึงในหัวข้อย่อยถัดไป)
- การค้าปลีกและค้าส่ง (Retail and Wholesale Trade): เป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจภายในประเทศ
- การขนส่งและโลจิสติกส์ (Transport and Logistics): ด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ใจกลางยุโรป ออสเตรียจึงเป็นศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญ
- เกษตรกรรมและป่าไม้ (Agriculture and Forestry): แม้จะมีสัดส่วนต่อ GDP ไม่มากเท่าอุตสาหกรรมหรือบริการ แต่ก็ยังมีความสำคัญในระดับภูมิภาคและสำหรับการผลิตอาหารภายในประเทศ
- เกษตรกรรม: ผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ ธัญพืช ผลิตภัณฑ์จากนม เนื้อสัตว์ และไวน์ ออสเตรียให้ความสำคัญกับการเกษตรแบบอินทรีย์
- ป่าไม้: ด้วยพื้นที่ป่าไม้ที่กว้างขวาง อุตสาหกรรมป่าไม้และการแปรรูปไม้จึงมีความสำคัญ มีการผลิตไม้แปรรูป กระดาษ และผลิตภัณฑ์จากไม้ต่างๆ
แต่ละอุตสาหกรรมมีส่วนช่วยในการเติบโตทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และการส่งออกของออสเตรีย รัฐบาลออสเตรียให้การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา (R&D) และนวัตกรรมเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมในตลาดโลก
7.3. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในเสาหลักทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของออสเตรีย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 9% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในปี 2007 และมีบทบาทสำคัญในการสร้างรายได้และการจ้างงานทั่วประเทศ ด้วยทัศนียภาพทางธรรมชาติที่งดงาม มรดกทางวัฒนธรรมที่ร่ำรวย และโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวที่พัฒนาอย่างดี ทำให้ออสเตรียเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
ทรัพยากรการท่องเที่ยวหลัก:
- ธรรมชาติและทิวทัศน์:
- เทือกเขาแอลป์: ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักทั้งในฤดูหนาวสำหรับกีฬา สกีและสโนว์บอร์ด และในฤดูร้อนสำหรับการเดินป่า การปีนเขา และจักรยานภูเขา ภูมิภาคที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ทีโรล ซัลทซ์บวร์ค และคารินเทีย
- ทะเลสาบ: ออสเตรียมีทะเลสาบที่สวยงามมากมาย เช่น ทะเลสาบโวลฟ์กัง (Wolfgangsee) ทะเลสาบฮัลล์ชตัทท์ (Hallstätter See) และทะเลสาบแวร์เทอร์เซ (Wörthersee) ซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับการพักผ่อนและกิจกรรมทางน้ำ
- อุทยานแห่งชาติ: เช่น อุทยานแห่งชาติโฮเฮอเทาเอิร์น (Hohe Tauern) เสนอประสบการณ์ธรรมชาติที่บริสุทธิ์และความหลากหลายทางชีวภาพ
- มรดกทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์:
- เมืองประวัติศาสตร์: เวียนนา ซัลทซ์บวร์ค กราทซ์ และอินส์บรุค เป็นเมืองที่มีสถาปัตยกรรมที่งดงาม พระราชวัง โบสถ์ พิพิธภัณฑ์ และย่านเมืองเก่าที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
- ดนตรีและศิลปะ: ออสเตรียเป็นที่รู้จักในฐานะ "เมืองหลวงแห่งดนตรีคลาสสิก" มีสถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ต โรงละครโอเปร่า และเทศกาลดนตรีที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น เทศกาลซัลทซ์บวร์ค
- ปราสาทและป้อมปราการ: มีปราสาทและป้อมปราการเก่าแก่มากมายกระจายอยู่ทั่วประเทศ สะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยาวนาน
สถิตินักท่องเที่ยวและรายได้:
ในปี 2007 ออสเตรียต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 20.8 ล้านคน ทำให้ติดอันดับที่ 12 ของโลกในด้านจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้า และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวระหว่างประเทศถึง 18.90 B USD ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 9 ของโลก แม้ตัวเลขเหล่านี้จะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละปี แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต่อเศรษฐกิจของประเทศ
นโยบายการท่องเที่ยวของรัฐบาล:
รัฐบาลออสเตรียให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการรักษาคุณภาพของแหล่งท่องเที่ยว การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การตลาดและการประชาสัมพันธ์ในระดับนานาชาติ และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่เน้นประสบการณ์ทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการประชุมสัมมนา (MICE) การท่องเที่ยวออสเตรีย (Austrian National Tourist Office) เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในการทำการตลาดออสเตรียในฐานะจุดหมายปลายทางท่องเที่ยว
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของออสเตรียมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองต่อแนวโน้มการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวอิสระ (FIT) ความสนใจในการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ และความต้องการการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
7.4. การคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐาน

ออสเตรียมีเครือข่ายการคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมที่พัฒนาอย่างดี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชากร
เครือข่ายการคมนาคม:
- ถนน (Roads): ออสเตรียมีเครือข่ายถนนที่ครอบคลุมและมีคุณภาพสูง ประกอบด้วยทางหลวงพิเศษ (Autobahnen) และถนนสายหลัก (Bundesstraßen) ที่เชื่อมต่อเมืองสำคัญและภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ รวมถึงเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากเป็นประเทศทางผ่านที่สำคัญในยุโรป การจราจรบนทางหลวงจึงค่อนข้างหนาแน่น โดยเฉพาะเส้นทางที่ผ่านเทือกเขาแอลป์
- ทางรถไฟ (Railways): การขนส่งทางรถไฟในออสเตรียดำเนินการโดยการรถไฟสหพันธรัฐออสเตรีย (Österreichische Bundesbahnen, ÖBB) เป็นหลัก ซึ่งให้บริการรถไฟโดยสารและรถไฟขนส่งสินค้าที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ เครือข่ายทางรถไฟเชื่อมโยงเมืองสำคัญทั่วประเทศและมีเส้นทางระหว่างประเทศไปยังประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่ง ระบบรถไฟชานเมือง (S-Bahn) ให้บริการในเขตเมืองใหญ่ เช่น เวียนนา
- การบิน (Aviation): ท่าอากาศยานนานาชาติเวียนนา (Vienna International Airport) เป็นท่าอากาศยานหลักและเป็นศูนย์กลางการบินที่สำคัญในยุโรปกลาง นอกจากนี้ยังมีท่าอากาศยานนานาชาติอื่นๆ ในเมืองสำคัญ เช่น ซัลทซ์บวร์ค อินส์บรุค กราทซ์ และลินทซ์ ซึ่งให้บริการเที่ยวบินทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ
- การขนส่งทางน้ำ (Waterways): แม่น้ำดานูบเป็นเส้นทางน้ำที่สำคัญสำหรับการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเทกอง ท่าเรือหลักบนแม่น้ำดานูบ ได้แก่ ท่าเรือเวียนนา ท่าเรือลินทซ์ และท่าเรือเครมส์
โครงสร้างพื้นฐานทางสังคมที่สำคัญ:
- การจัดหาพลังงาน (Energy Supply): ออสเตรียพึ่งพาไฟฟ้าพลังน้ำเป็นแหล่งพลังงานหลัก โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศ เขื่อนและโรงไฟฟ้าพลังน้ำจำนวนมากตั้งอยู่บนแม่น้ำสายต่างๆ โดยเฉพาะในแถบเทือกเขาแอลป์ นอกจากนี้ ออสเตรียยังส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนอื่นๆ เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานชีวมวล ซึ่งรวมกันแล้วคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 62.89% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด (ข้อมูลปี 2006) ในปี 1972 ออสเตรียเริ่มก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ซเว็นเทินดอร์ฟริมแม่น้ำดานูบ แต่หลังจากการลงประชามติในปี 1978 ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่คัดค้านการใช้พลังงานนิวเคลียร์ รัฐสภาจึงได้ผ่านกฎหมายห้ามการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในการผลิตไฟฟ้า แม้ว่าโรงไฟฟ้าจะสร้างเสร็จแล้วก็ตาม
- การสื่อสาร (Communications): ออสเตรียมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารที่ทันสมัย ทั้งเครือข่ายโทรศัพท์พื้นฐาน โทรศัพท์เคลื่อนที่ และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ
- ทรัพยากรน้ำ (Water Resources): ออสเตรียมีแหล่งน้ำจืดที่อุดมสมบูรณ์และมีคุณภาพสูง ระบบการจัดการน้ำและการประปามีประสิทธิภาพ ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาดและปลอดภัย
เมื่อเทียบกับประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป ออสเตรียมีความอุดมสมบูรณ์ทางนิเวศวิทยา ความสามารถทางชีวภาพ (biocapacity) หรือทุนธรรมชาติทางชีวภาพของออสเตรียสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกมากกว่าสองเท่า ในปี 2016 ออสเตรียมีความสามารถทางชีวภาพ 3.8 เฮกตาร์สากล (global hectares) ต่อคนภายในอาณาเขตของตน เทียบกับค่าเฉลี่ยของโลกที่ 1.6 เฮกตาร์สากลต่อคน ในทางตรงกันข้าม ในปี 2016 ชาวออสเตรียใช้ความสามารถทางชีวภาพ 6.0 เฮกตาร์สากล ซึ่งเท่ากับรอยเท้าทางนิเวศวิทยา (ecological footprint) ของการบริโภคของออสเตรีย ซึ่งหมายความว่าชาวออสเตรียใช้ความสามารถทางชีวภาพมากกว่าที่ออสเตรียมีอยู่ประมาณ 60% ส่งผลให้ออสเตรียมีการขาดดุลความสามารถทางชีวภาพ
8. สังคม
สังคมออสเตรียมีลักษณะผสมผสานระหว่างค่านิยมดั้งเดิมกับความทันสมัย โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต การศึกษา สาธารณสุข และสวัสดิการสังคม ประเทศนี้มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ และมีนโยบายที่มุ่งเน้นการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและการเคารพสิทธิของชนกลุ่มน้อย
8.1. ประชากร
ประชากรของออสเตรีย ณ เดือนเมษายน ค.ศ. 2024 ตามการประมาณการของสำนักงานสถิติออสเตรีย (Statistik Austria) อยู่ที่ประมาณ 9,170,647 คน ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเวียนนาซึ่งเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุด มีประชากรมากกว่า 2 ล้านคน คิดเป็นประมาณหนึ่งในสี่ของประชากรทั้งประเทศ
ดัชนีทางประชากรศาสตร์ที่สำคัญ (ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลง):
- ความหนาแน่นของประชากร: ประมาณ 109 คนต่อตารางกิโลเมตร (ค.ศ. 2021)
- อัตราการเพิ่มขึ้นของประชากร: ได้รับอิทธิพลจากทั้งอัตราการเกิด อัตราการเสียชีวิต และการย้ายถิ่นฐานสุทธิ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การย้ายถิ่นฐานมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มขึ้นของประชากร
- อัตราการเกิด: ในปี ค.ศ. 2017 อัตราการเจริญพันธุ์รวม (TFR) อยู่ที่ 1.52 คนต่อสตรีหนึ่งคน ซึ่งต่ำกว่าอัตราการทดแทนประชากร (2.1) และยังคงต่ำกว่าระดับสูงสุดที่ 4.83 คนต่อสตรีหนึ่งคนในปี ค.ศ. 1873 อย่างมาก ในปี ค.ศ. 2015 42.1% ของทารกเกิดจากสตรีที่ไม่ได้สมรส
- อัตราการเสียชีวิต: ผันแปรตามโครงสร้างอายุและปัจจัยด้านสุขภาพ
- อายุขัยเฉลี่ย: ในปี ค.ศ. 2016 อายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 81.5 ปี (ชาย 78.9 ปี, หญิง 84.3 ปี)
โครงสร้างประชากรของออสเตรียมีลักษณะเป็นสังคมผู้สูงอายุ โดยมีสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ออสเตรียติดอันดับที่ 14 ของโลกในด้านประชากรที่อายุมากที่สุดในปี ค.ศ. 2020 โดยมีอายุเฉลี่ย 44.5 ปี
สำนักงานสถิติออสเตรียคาดการณ์ว่าประชากรจะเพิ่มขึ้นเป็น 10.55 ล้านคนภายในปี ค.ศ. 2080 สาเหตุหลักมาจากการย้ายถิ่นฐาน ในช่วงต้นปี ค.ศ. 2024 มีผู้พำนักอาศัยที่เกิดในต่างประเทศจำนวน 1.8 ล้านคนในออสเตรีย คิดเป็น 22.3% ของประชากรทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีผู้สืบเชื้อสายจากผู้อพยพที่เกิดในต่างประเทศมากกว่า 620,100 คน
แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงประชากรที่สำคัญ ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของประชากรในเขตเมือง การลดลงของประชากรในพื้นที่ชนบทบางแห่ง และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครอบครัว เช่น ขนาดครอบครัวเล็กลง และการแต่งงานช้าลง
8.2. กลุ่มชาติพันธุ์
สังคมออสเตรียมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากการย้ายถิ่นฐานและการผสมผสานทางวัฒนธรรม ในอดีตก่อนปี 1945 ชาวออสเตรียส่วนใหญ่มองว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มชาติพันธุ์เยอรมัน อย่างไรก็ตาม หลังสงครามโลกครั้งที่สองและลัทธิชาติสังคมนิยม (Nazism) ออสเตรียได้ประกาศอิสรภาพจากเยอรมนีในปี 1945 และอัตลักษณ์ชาติออสเตรียก็ได้รับความนิยมตั้งแต่นั้นมา ปัจจุบันชาวออสเตรียส่วนใหญ่ไม่ถือว่าตนเองเป็นชาวเยอรมัน แต่เป็นชาวออสเตรียที่มีเชื้อชาติออสเตรีย ชาวออสเตรียในปัจจุบันอาจถูกอธิบายว่าเป็นสัญชาติหรือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เยอรมานิกที่เอกพันธ์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับชาวเยอรมัน ชาวลิกเตนสไตน์ และชาวสวิสที่พูดภาษาเยอรมันในประเทศเพื่อนบ้าน ปัจจุบัน 91.1% ของประชากรถือว่าเป็นชาวออสเตรียเชื้อสายออสเตรีย
กลุ่มชาติพันธุ์หลักอื่นๆ และชนกลุ่มน้อยในออสเตรีย ได้แก่:
- ชาวเติร์ก: เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้อพยพที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรีย มีจำนวนประมาณ 350,000 คน ส่วนใหญ่เข้ามาในฐานะแรงงานข้ามชาติ (Gastarbeiter) ในช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 และได้ตั้งรกรากอย่างถาวร อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มการย้ายถิ่นฐานล่าสุด จำนวนชาวโรมาเนียได้แซงหน้าจำนวนชาวตุรกีในประเทศ
- กลุ่มจากอดีตยูโกสลาเวีย: รวมถึง ชาวเซิร์บ ชาวโครแอต ชาวบอสนีแอก ชาวมาซิโดเนีย และชาวสโลวีน คิดเป็นประมาณ 5.1% ของประชากรทั้งหมดของออสเตรีย หลายคนอพยพเข้ามาในช่วงสงครามยูโกสลาเวียในทศวรรษ 1990
- ชาวโรมานี: สภายุโรปประเมินว่ามีชาวโรมานีประมาณ 25,000 คนอาศัยอยู่ในออสเตรีย ตั้งแต่ปี 1994 ชาวโรมานีและซินติได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเป็นชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ในออสเตรีย
- ชนกลุ่มน้อยดั้งเดิม: รัฐคารินเทียเป็นที่อยู่ของชนกลุ่มน้อยชาวสโลวีนที่พูดภาษาสโลวีน (ชาวสโลวีนคารินเทีย) จำนวนประมาณ 13,000 ถึง 40,000 คน ในขณะที่รัฐบูร์เกนลันท์ทางตะวันออกสุด (เดิมเป็นส่วนหนึ่งของฮังการีในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี) มีชนกลุ่มน้อยที่พูดภาษาฮังการีและโครเอเชีย (ประมาณ 30,000 คน) อย่างมีนัยสำคัญ ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ได้รับการยอมรับและมีสิทธิพิเศษตามสนธิสัญญารัฐออสเตรียปี 1955
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้อพยพจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงผู้ที่มาจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอื่นๆ ประเทศในยุโรปตะวันออก เอเชีย และแอฟริกา ออสเตรียมีภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ในฐานะประเทศที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์มาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี นโยบายพหุวัฒนธรรมในปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมความเข้าใจระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย การแก้ไขปัญหาสิทธิของชนกลุ่มน้อย และการต่อต้านการเลือกปฏิบัติ ประเด็นเกี่ยวกับผู้อพยพและการรวมกลุ่มทางสังคมยังคงเป็นหัวข้อสำคัญในการอภิปรายทางการเมืองและสังคมในออสเตรีย
8.3. ภาษา

ภาษาราชการของออสเตรียคือ ภาษาเยอรมัน ซึ่งได้รับการรับรองตามมาตรา 8 ของรัฐธรรมนูญสหพันธรัฐตั้งแต่ปี 1920 ภาษาเยอรมันแบบออสเตรีย (Austrian German) ซึ่งเป็นสำเนียงหนึ่งของภาษาเยอรมันมาตรฐานสูง (Standard High German) เป็นภาษาที่ใช้ในการเขียนเป็นหลักในออสเตรียและทีโรลใต้ของอิตาลี ภาษาเยอรมันแบบออสเตรียได้รับการกำหนดมาตรฐานตั้งแต่กระทรวงศึกษาธิการ วิทยาศาสตร์ และการวิจัย ตีพิมพ์พจนานุกรม Österreichisches Wörterbuch (พจนานุกรมออสเตรีย) ในปี 1951 แม้ว่าจะใช้เป็นหลักในด้านการศึกษา สิ่งพิมพ์ ประกาศ และเว็บไซต์ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ภาษาพูดที่ใช้กันทั่วไปในชีวิตประจำวันของชาวออสเตรียไม่ใช่ภาษาเยอรมันแบบออสเตรียที่สอนในโรงเรียน แต่เป็นภาษาบาวาเรีย (Bavarian) และภาษาอาเลมันนิก (Alemannic) ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นหรือกลุ่มภาษาถิ่นของภาษาเยอรมันสูง (Upper German) ที่มีความแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค และอาจมีความยากง่ายในการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน รวมถึงการทำความเข้าใจโดยผู้พูดภาษาถิ่นเยอรมันที่ไม่ใช่ของออสเตรียด้วย โดยรวมแล้ว ภาษาเยอรมันหรือภาษาถิ่นเยอรมันจึงเป็นภาษาแม่ของประชากร 88.6% ซึ่งรวมถึงพลเมืองที่เกิดในเยอรมนี 2.5% ที่อาศัยอยู่ในออสเตรีย
ภาษาอื่นๆ ที่มีผู้พูดในออสเตรีย ได้แก่:
- ภาษาตุรกี: 2.28%
- ภาษาเซอร์เบีย: 2.21%
- ภาษาโครเอเชีย: 1.63%
- ภาษาอังกฤษ: 0.73%
- ภาษาฮังการี: 0.51%
- ภาษาบอสเนีย: 0.43%
- ภาษาโปแลนด์: 0.35%
- ภาษาแอลเบเนีย: 0.35%
- ภาษาสโลวีเนีย: 0.31% (เป็นภาษาของชนกลุ่มน้อยที่ได้รับการยอมรับในรัฐคารินเทียและสตีเรีย)
- ภาษาเช็ก: 0.22%
- ภาษาอาหรับ: 0.22%
- ภาษาโรมาเนีย: 0.21%
รัฐคารินเทียของออสเตรียเป็นที่อยู่ของชนกลุ่มน้อยที่พูดภาษาสโลวีเนีย (Carinthian Slovenes) จำนวนมาก ในขณะที่รัฐบูร์เกินลันท์ทางตะวันออกสุด (เดิมเป็นส่วนหนึ่งของฮังการีในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี) มีชนกลุ่มน้อยที่พูดภาษาฮังการีและภาษาโครเอเชีย (Burgenland Croatian) จำนวนมาก ภาษาโครเอเชียบูร์เกินลันท์ ภาษาฮังการี และภาษาสโลวีเนียได้รับการยอมรับให้เป็นภาษาราชการนอกเหนือจากภาษาเยอรมันในบางส่วนของคารินเทียและบูร์เกินลันท์ โดยมีสถานะทางกฎหมายและพื้นที่การใช้ภาษาที่กำหนดไว้
การศึกษาภาษาต่างประเทศเป็นส่วนสำคัญในระบบการศึกษาของออสเตรีย โดยภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศที่สอนกันอย่างแพร่หลายที่สุด
จากการสำรวจสำมะโนประชากรที่เผยแพร่โดยสำนักงานสถิติออสเตรียในปี 2001 มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่ในออสเตรียทั้งหมด 710,926 คน กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดคือชาวต่างชาติจากอดีตยูโกสลาเวียจำนวน 283,334 คน (ในจำนวนนี้ 135,336 คนพูดภาษาเซอร์เบีย; 105,487 คนพูดภาษาโครเอเชีย; 31,591 คนพูดภาษาบอสเนีย - รวมเป็นผู้พูดภาษาแม่ชาวออสเตรีย 272,414 คน บวกกับผู้พูดภาษาสโลวีเนีย 6,902 คน และผู้พูดภาษามาซิโดเนีย 4,018 คน)
8.4. ศาสนา
จากการสำรวจในปี 2021 ศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในออสเตรียคือโรมันคาทอลิก (55.2%) ตามมาด้วยผู้ที่ไม่มีศาสนา (22.4%) และศาสนาอิสลาม (8.3%) ศาสนาคริสต์นิกายอื่นๆ ที่สำคัญได้แก่ อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ (4.9%) โปรเตสแตนต์ (3.8%) และคาทอลิกเก่า (0.1%) รวมถึงกลุ่มคริสเตียนอื่นๆ (4.2%) นอกจากนี้ยังมีผู้นับถือศาสนาพุทธ (0.3%) ศาสนาฮินดู (0.1%) ศาสนายูดาห์ (0.1%) และศาสนาอื่นๆ (0.7%)
ในอดีต ออสเตรียเป็นประเทศที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิกอย่างเข้มแข็ง เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิฮาพส์บวร์ค ซึ่งสนับสนุนนิกายโรมันคาทอลิกอย่างแข็งขัน แม้ว่าในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ชาวออสเตรียจำนวนมากได้เปลี่ยนไปนับถือนิกายอื่น ๆ (โดยเฉพาะลัทธิลูเทอแรน) เนื่องจากการการปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์ (เริ่มในปี 1517) ได้แพร่หลายไปทั่วยุโรป แต่ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คก็ได้ดำเนินมาตรการการปฏิรูปคาทอลิก (Counter-Reformation) ตั้งแต่ปี 1527 และปราบปรามนิกายอีแวนเจลิคัลของออสเตรียอย่างรุนแรง ทำให้มีชาวออสเตรียเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังคงนับถือโปรเตสแตนต์
อย่างน้อยตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ซึ่งเป็นเวลาหลายสิบปีหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิฮาพส์บวร์คและการเปลี่ยนแปลงของออสเตรียเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐ ศาสนาคริสต์ (ยกเว้นคริสตจักรออร์โธดอกซ์) ได้เสื่อมถอยลงอย่างต่อเนื่อง และมีการแพร่หลายของศาสนาอื่น ๆ ซึ่งกระบวนการนี้เด่นชัดเป็นพิเศษในกรุงเวียนนา ซึ่งมีประชากรต่างชาติและผู้อพยพจำนวนมาก
ในปี 2001 ประชากรออสเตรียประมาณ 74% ลงทะเบียนเป็นโรมันคาทอลิก ในขณะที่ประมาณ 5% ระบุตนเองว่าเป็นโปรเตสแตนต์ ชาวคริสต์ออสเตรียทั้งโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ (เฉพาะชาวลูเทอแรนและชาวปฏิรูป) มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าสมาชิกภาคบังคับ (คำนวณจากรายได้ - ประมาณ 1%) ให้กับคริสตจักรของตน การชำระเงินนี้เรียกว่า Kirchenbeitrag ("เงินบริจาคทางศาสนา")
ตั้งแต่ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 จำนวนผู้นับถือศาสนาและผู้เข้าโบสถ์ลดลง ข้อมูลสำหรับปี 2023 แสดงจำนวนสมาชิกคริสตจักรคาทอลิก 4,638,000 คน หรือประมาณ 50% ของประชากรทั้งหมดของออสเตรีย แต่การเข้าโบสถ์ในวันอาทิตย์มีเพียง 347,000 คน หรือ 3.7% ของประชากรทั้งหมดของออสเตรีย นอกจากนี้ คริสตจักรลูเทอแรนยังบันทึกการสูญเสียผู้นับถือ 74,421 คนระหว่างปี 2001 ถึง 2016
การสำรวจสำมะโนประชากรปี 2001 รายงานว่าประมาณ 12% ของประชากรประกาศตนว่าไม่มีศาสนา ตามข้อมูลของคริสตจักร ส่วนแบ่งนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็น 20% ในปี 2015 และเพิ่มขึ้นอีกเป็น 22.4% (1,997,700 คน) ในปี 2021
จากประชากรที่เหลือ ประมาณ 340,000 คนลงทะเบียนเป็นสมาชิกของชุมชนมุสลิมต่างๆ ในปี 2001 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากตุรกี บอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา และคอซอวอ จำนวนชาวมุสลิมเพิ่มขึ้นสองเท่าในรอบสิบห้าปีถึงปี 2016 เป็น 700,000 คน และสูงถึง 745,600 คนในปี 2021 ในปีเดียวกันนั้น ผู้อยู่อาศัยในออสเตรียอีก 436,700 คน (ส่วนใหญ่เป็นชาวเซิร์บ) เป็นสมาชิกของคริสตจักรอีสเทิร์นออร์โธดอกซ์ 26,600 คนเป็นชาวพุทธ 10,100 คนเป็นชาวฮินดู ประมาณ 21,800 คนเป็นพยานพระยะโฮวาที่แข็งขัน และ 5,400 คนเป็นชาวยิว
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนาในออสเตรียมีลักษณะเป็นความร่วมมือ รัฐให้การยอมรับและสนับสนุนทางการเงินแก่คริสตจักรและชุมชนศาสนาที่ได้รับการยอมรับตามกฎหมายหลายแห่ง เสรีภาพในการนับถือศาสนาได้รับการรับรองในรัฐธรรมนูญ ศาสนามีอิทธิพลต่อสังคมและวัฒนธรรมออสเตรียในหลายด้าน ตั้งแต่สถาปัตยกรรมไปจนถึงเทศกาลและประเพณีต่างๆ
ตามการสำรวจของยูโรบารอมิเตอร์ปี 2010:
- 44% ของพลเมืองออสเตรีย "เชื่อว่ามีพระเจ้า"
- 38% "เชื่อว่ามีวิญญาณหรือพลังชีวิตบางอย่าง"
- 12% "ไม่เชื่อว่ามีวิญญาณ พระเจ้า หรือพลังชีวิตใดๆ"
8.5. การศึกษา
การศึกษาในออสเตรียเป็นความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างรัฐบาลสหพันธรัฐและรัฐต่างๆ การเข้าเรียนในโรงเรียนเป็นภาคบังคับเป็นเวลาเก้าปี โดยปกติจนถึงอายุสิบห้าปี
- การศึกษาก่อนวัยเรียน (Pre-school education): หรือที่เรียกว่า Kindergartenภาษาเยอรมัน ในภาษาเยอรมันแบบออสเตรีย ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีค่าใช้จ่ายในรัฐต่างๆ เปิดสอนสำหรับเด็กทุกคนที่มีอายุระหว่างสามถึงหกปี แม้จะเป็นทางเลือก แต่ก็ถือเป็นส่วนปกติของการศึกษาของเด็กเนื่องจากมีอัตราการเข้าเรียนสูง ขนาดชั้นเรียนสูงสุดคือประมาณ 30 คน โดยแต่ละชั้นเรียนจะได้รับการดูแลโดยครูผู้ทรงคุณวุฒิหนึ่งคนและผู้ช่วยหนึ่งคน
- การศึกษาประถมศึกษา (Primary education): หรือ Volksschuleภาษาเยอรมัน ใช้เวลาสี่ปี เริ่มตั้งแต่อายุหกขวบ ขนาดชั้นเรียนสูงสุดคือ 30 คน แต่อาจต่ำถึง 15 คน โดยทั่วไปคาดว่าชั้นเรียนหนึ่งจะได้รับการสอนโดยครูคนเดียวตลอดสี่ปี และความผูกพันที่มั่นคงระหว่างครูกับนักเรียนถือว่ามีความสำคัญต่อสวัสดิภาพของเด็ก การอ่าน การเขียน และคณิตศาสตร์ (3Rs) เป็นวิชาหลักในตารางสอน โดยมีการจัดสรรเวลาน้อยกว่าสำหรับงานโครงงานเมื่อเทียบกับในสหราชอาณาจักร เด็กๆ ทำงานเป็นรายบุคคล และสมาชิกทุกคนในชั้นเรียนปฏิบัติตามแผนการทำงานเดียวกัน ไม่มีการแบ่งกลุ่มตามความสามารถ (streaming) เวลาเข้าเรียนมาตรฐานคือ 8.00 น. ถึง 12.00 น. หรือ 13.00 น. โดยมีการพักสิบหรือสิบห้านาทีทุกชั่วโมง เด็กๆ จะได้รับการบ้านทุกวันตั้งแต่ปีแรก ในอดีตไม่มีช่วงพักกลางวัน โดยเด็กๆ จะกลับบ้านไปรับประทานอาหาร อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนมารดาที่ทำงาน โรงเรียนประถมศึกษาจึงเริ่มให้บริการดูแลก่อนเข้าเรียนและช่วงบ่ายมากขึ้น
- การศึกษามัธยมศึกษา (Secondary education): แบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก การเข้าเรียนขึ้นอยู่กับความสามารถของนักเรียนซึ่งพิจารณาจากผลการเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา
- กึมนาซิอุม (Gymnasium): สำหรับนักเรียนที่มีความสามารถสูงกว่า ในปีสุดท้ายจะมีการสอบ มาทูรา (Matura) ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำหรับการเข้าศึกษาระดับมหาวิทยาลัย
- Hauptschule: เตรียมความพร้อมนักเรียนสำหรับการศึกษาสายอาชีพ แต่ก็สามารถศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นได้หลายประเภท เช่น Höhere Technische Lehranstaltภาษาเยอรมัน (HTL - สถาบันอุดมศึกษาทางเทคนิค), Handelsakademieภาษาเยอรมัน (HAK - สถาบันพาณิชยกรรม), Höhere Bundeslehranstalt für wirtschaftliche Berufeภาษาเยอรมัน (HBLA - สถาบันอุดมศึกษาสำหรับธุรกิจเศรษฐกิจ) เป็นต้น การเข้าเรียนในสถาบันอุดมศึกษาเหล่านี้ก็นำไปสู่การสอบมาทูราเช่นกัน
- บางโรงเรียนมุ่งหวังที่จะรวมการศึกษาที่มีในกึมนาซิอุมและเฮาป์ชูเลอเข้าด้วยกัน และเป็นที่รู้จักในชื่อ Gesamtschulenภาษาเยอรมัน
- นอกจากนี้ การตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนภาษาอังกฤษทำให้กึมนาซิอุมบางแห่งเสนอหลักสูตรสองภาษา ซึ่งนักเรียนที่มีความสามารถทางภาษาจะเรียนตามหลักสูตรที่ปรับเปลี่ยน โดยส่วนหนึ่งของเวลาเรียนจะสอนเป็นภาษาอังกฤษ
เช่นเดียวกับโรงเรียนประถมศึกษา การเรียนที่กึมนาซิอุมเริ่มเวลา 8.00 น. และดำเนินต่อไปโดยมีช่วงพักสั้นๆ จนถึงเวลาอาหารกลางวันหรือช่วงบ่ายต้นๆ โดยเด็กๆ จะกลับบ้านมารับประทานอาหารกลางวันสาย นักเรียนที่อายุมากกว่ามักจะเข้าเรียนเพิ่มเติมหลังจากพักรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งโดยทั่วไปจะรับประทานที่โรงเรียน ในระดับประถมศึกษา นักเรียนทุกคนปฏิบัติตามแผนการทำงานเดียวกัน มีการเน้นการบ้านและการทดสอบบ่อยครั้ง ผลการเรียนที่น่าพอใจในรายงานปลายปี ("Zeugnis") เป็นเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการเลื่อนชั้น ("aufsteigen") นักเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดจะต้องสอบซ่อมในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ผู้ที่ผลการเรียนยังไม่เป็นที่น่าพอใจจะต้องเรียนซ้ำชั้น ("sitzenbleiben") ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักเรียนจะเรียนซ้ำชั้นมากกว่าหนึ่งปี หลังจากเรียนจบสองปีแรก นักเรียนจะเลือกเรียนในสองสาย คือ "Gymnasium" (เน้นศิลปศาสตร์เล็กน้อย) หรือ "Realgymnasium" (เน้นวิทยาศาสตร์เล็กน้อย) แม้ว่าโรงเรียนหลายแห่งจะเปิดสอนทั้งสองสาย แต่บางแห่งก็ไม่เปิดสอน ส่งผลให้นักเรียนบางคนต้องย้ายโรงเรียนเป็นครั้งที่สองเมื่ออายุ 12 ปี เมื่ออายุ 14 ปี นักเรียนอาจเลือกที่จะเรียนต่อในสองสายนี้หรือเปลี่ยนไปเรียนสายอาชีพ ซึ่งอาจจะต้องย้ายโรงเรียนอีกครั้ง
มหาวิทยาลัยเวียนนา - การอุดมศึกษา (Higher education): ระบบมหาวิทยาลัยของออสเตรียเคยเปิดรับนักศึกษาทุกคนที่สอบผ่านการสอบมาทูราจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ร่างกฎหมายปี 2006 อนุญาตให้มีการสอบคัดเลือกสำหรับสาขาวิชาต่างๆ เช่น แพทยศาสตร์ ในปี 2001 ได้มีการกำหนดค่าเล่าเรียนภาคบังคับ (Studienbeitragภาษาเยอรมัน) จำนวน €363.36 ต่อภาคการศึกษาสำหรับมหาวิทยาลัยของรัฐทุกแห่ง ตั้งแต่ปี 2008 สำหรับนักศึกษาสหภาพยุโรปทุกคน การศึกษาไม่มีค่าใช้จ่าย ตราบใดที่ไม่เกินระยะเวลาที่กำหนด (ระยะเวลาที่คาดว่าจะสำเร็จการศึกษาบวกกับระยะเวลาผ่อนผันอีกสองภาคการศึกษา) เมื่อเกินระยะเวลาที่กำหนด จะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมประมาณ €363.36 ต่อภาคการศึกษา มีข้อยกเว้นเพิ่มเติมบางประการสำหรับค่าธรรมเนียม เช่น สำหรับนักศึกษาที่มีรายได้ต่อปีมากกว่าประมาณ €5000 ในทุกกรณี จะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมภาคบังคับจำนวน €20.20 สำหรับสหภาพนักศึกษาและค่าประกัน มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ได้แก่ มหาวิทยาลัยเวียนนา มหาวิทยาลัยกราทซ์ และมหาวิทยาลัยอินส์บรุค
วิทยาเขตของมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และธุรกิจเวียนนา นโยบายการศึกษาของออสเตรียมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษา การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการวิจัยทางวิชาการ
อุทยานวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยลินทซ์ (JKU)
8.6. สาธารณสุขและสวัสดิการ
ออสเตรียมีระบบสาธารณสุขและสวัสดิการสังคมที่ครอบคลุมและมีคุณภาพสูง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศนี้มีมาตรฐานการครองชีพที่ดี
ระบบสาธารณสุข:
- ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Insurance): ชาวออสเตรียเกือบทุกคนอยู่ภายใต้ระบบประกันสุขภาพภาคบังคับ ซึ่งให้การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่หลากหลาย การเงินสำหรับระบบนี้มาจากเงินสมทบของนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล
- ระดับการบริการทางการแพทย์: ออสเตรียมีเครือข่ายโรงพยาบาล แพทย์ และสถานพยาบาลที่มีคุณภาพสูงกระจายอยู่ทั่วประเทศ ผู้ป่วยสามารถเลือกแพทย์และโรงพยาบาลได้ค่อนข้างอิสระ บริการทางการแพทย์ครอบคลุมตั้งแต่การดูแลเบื้องต้น การรักษาเฉพาะทาง ไปจนถึงการฟื้นฟูสมรรถภาพ
- สถานการณ์โรคภัยไข้เจ็บที่สำคัญ: เช่นเดียวกับประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ออสเตรียเผชิญกับความท้าทายจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็ง และเบาหวาน อย่างไรก็ตาม ระบบสาธารณสุขมุ่งเน้นการป้องกันและควบคุมโรคเหล่านี้
- บุคลากรทางการแพทย์: ออสเตรียมีจำนวนแพทย์ต่อประชากรในอัตราที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ในกลุ่มประเทศ OECD (5.2 คนต่อ 1,000 คน) ในปี 2017 มีโรงพยาบาล 271 แห่ง และแพทย์ 45,596 คน โดยประมาณ 54% ทำงานในโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม มีความกังวลเกี่ยวกับจำนวนพยาบาลและสัดส่วนแพทย์ที่ใกล้เกษียณอายุ
แม้ว่าออสเตรียจะมีดัชนีสุขภาพที่ 0.9 และอายุขัยเฉลี่ย 81 ปี แต่ประเทศยังคงเผชิญกับปัญหาสุขภาพหลายประการ ตัวอย่างเช่น 2 ใน 5 ของชาวออสเตรียมีภาวะเรื้อรัง มะเร็งเป็นปัญหาใหญ่ในประเทศ โดยมีผู้เสียชีวิตจากภาวะนี้ประมาณ 21,500 คนในปี 2019 โดยมีมะเร็งปอดเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตจากมะเร็ง ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับปัจจัยเสี่ยงหลายประการในประชากรของประเทศ เนื่องจากคาดว่า 40% ของการเสียชีวิตในประเทศเกิดจากการสูบบุหรี่ ความเสี่ยงด้านอาหาร แอลกอฮอล์ การออกกำลังกายน้อย และมลพิษทางอากาศ หนึ่งในบริการสุขภาพที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุดในสหภาพยุโรปตั้งอยู่ในออสเตรีย ในปี 2019 ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพต่อหัวอยู่ในอันดับที่สามในสหภาพยุโรป ค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพสูงกว่าค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรป
นโยบายสวัสดิการหลัก:
- ระบบประกันสังคม (Social Insurance System): ครอบคลุมการประกันสุขภาพ การประกันอุบัติเหตุ การประกันการว่างงาน และระบบบำนาญ
- บำนาญ (Pensions): ระบบบำนาญของออสเตรียให้หลักประกันรายได้แก่ผู้สูงอายุหลังเกษียณอายุ
- สวัสดิการการว่างงาน (Unemployment Benefits): ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ตกงานและกำลังหางานใหม่
- การสนับสนุนครอบครัว (Family Support): มีมาตรการสนับสนุนครอบครัวหลากหลายรูปแบบ เช่น เงินช่วยเหลือบุตร การลาคลอดและลาเลี้ยงดูบุตร และบริการดูแลเด็ก
รัฐบาลออสเตรียให้ความสำคัญกับการรักษาความยั่งยืนของระบบสาธารณสุขและสวัสดิการ ควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นใจว่าประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกัน ประเด็นท้าทายที่สำคัญคือการจัดการกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นอันเนื่องมาจากอายุขัยที่ยืนยาวขึ้นและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์
9. วัฒนธรรม
ออสเตรียมีมรดกทางวัฒนธรรมที่ร่ำรวยและหลากหลาย ซึ่งสะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานและการเป็นศูนย์กลางของยุโรปมาหลายศตวรรษ วัฒนธรรมออสเตรียมีชื่อเสียงโดดเด่นในหลายด้าน โดยเฉพาะดนตรี ศิลปะ สถาปัตยกรรม วรรณกรรม และอาหารการกิน
9.1. ดนตรี


ออสเตรียมีประวัติศาสตร์ทางดนตรีที่ยิ่งใหญ่และยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะศูนย์กลางของดนตรีคลาสสิกตะวันตก กรุงเวียนนาได้รับการขนานนามว่าเป็น "เมืองหลวงแห่งดนตรีโลก" เนื่องจากเป็นที่พำนักและสร้างสรรค์ผลงานของนักประพันธ์เพลงระดับโลกจำนวนมาก
นักประพันธ์เพลงที่มีชื่อเสียงชาวออสเตรียหรือผู้ที่สร้างผลงานสำคัญในออสเตรีย ได้แก่:
- โยเซ็ฟ ไฮเดิน (Joseph Haydn): "บิดาแห่งซิมโฟนี" และ "บิดาแห่งควอร์เท็ตเครื่องสาย"
- ว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart): อัจฉริยะนักประพันธ์เพลงผู้สร้างสรรค์ผลงานหลากหลายประเภท ทั้งโอเปร่า ซิมโฟนี คอนแชร์โต และเชมเบอร์มิวสิก เกิดที่ซัลทซ์บวร์คแต่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในเวียนนา
- ฟรันทซ์ ชูเบิร์ต (Franz Schubert): นักประพันธ์เพลงยุคโรแมนติกตอนต้น มีชื่อเสียงด้านเพลงขับร้อง (Lieder) และซิมโฟนี
- อันโทน บรุคเนอร์ (Anton Bruckner): นักประพันธ์เพลงยุคโรแมนติกตอนปลาย เป็นที่รู้จักจากซิมโฟนีขนาดใหญ่และดนตรีศาสนา
- โยฮันน์ ชเตราสส์ ผู้พ่อ (Johann Strauss I) และ โยฮันน์ ชเตราสส์ ผู้ลูก (Johann Strauss II): "ราชาเพลงวอลทซ์" ทั้งสองพ่อลูกมีชื่อเสียงจากเพลงวอลทซ์และเพลงเต้นรำอื่นๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง
- กุสตาฟ มาห์เลอร์ (Gustav Mahler): นักประพันธ์เพลงและวาทยกรยุคโรแมนติกตอนปลายถึงสมัยใหม่ตอนต้น มีชื่อเสียงจากซิมโฟนีและเพลงขับร้อง
- สมาชิกของ Second Viennese School (สำนักเวียนนาที่สอง) เช่น อาร์โนลด์ เชินแบร์ค (Arnold Schoenberg), อัลบัน แบร์ค (Alban Berg), และอันโทน เวเบิร์น (Anton Webern) ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกดนตรีแบบสิบสองเสียง (twelve-tone technique)
วงดนตรีและสถาบันดนตรีที่สำคัญของออสเตรีย ได้แก่:
- วงดุริยางค์เวียนนาฟิลฮาร์มอนิก (Vienna Philharmonic Orchestra): หนึ่งในวงออร์เคสตราที่ดีที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดในโลก
- โรงอุปรากรแห่งรัฐเวียนนา (Vienna State Opera): โรงอุปรากรชั้นนำของโลก มีการแสดงโอเปร่าและบัลเลต์คุณภาพสูง
- มูซิค ферайн (Musikverein) และ คอนツェิร์ทเฮาส์ (Konzerthaus): หอแสดงคอนเสิร์ตที่มีชื่อเสียงในกรุงเวียนนา
- มหาวิทยาลัยศิลปะการแสดงและดนตรีเวียนนา (University of Music and Performing Arts Vienna): สถาบันดนตรีชั้นนำที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน
เทศกาลดนตรีที่สำคัญ ได้แก่:
- เทศกาลซัลทซ์บวร์ค (Salzburg Festival): เทศกาลดนตรีและละครที่มีชื่อเสียงระดับโลก จัดขึ้นในช่วงฤดูร้อนที่เมืองซัลทซ์บวร์ค
- เทศกาลเบรเกินซ์ (Bregenz Festival): เทศกาลโอเปร่ากลางแจ้งที่จัดขึ้นบนเวทีลอยน้ำในทะเลสาบคอนสแตนซ์
ดนตรีพื้นบ้านของออสเตรียก็มีความหลากหลายและเป็นเอกลักษณ์ เช่น เพลงโยเดล และดนตรีสำหรับเต้นรำพื้นเมือง
9.2. ศิลปะและสถาปัตยกรรม
ออสเตรียมีมรดกทางศิลปะและสถาปัตยกรรมที่รุ่มรวยและหลากหลาย ซึ่งสะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานและอิทธิพลทางวัฒนธรรมที่ผสมผสานกัน
ศิลปะ:
ออสเตรียได้สร้างศิลปินที่มีชื่อเสียงมากมายในหลากหลายยุคสมัย กระแสศิลปะที่สำคัญและจิตรกรที่มีชื่อเสียง ได้แก่:
- ยุคบารอก (Baroque): มีจิตรกรเช่น โยฮันน์ มิชาเอล รอตต์ไมร์ (Johann Michael Rottmayr) และพอล โทรเกอร์ (Paul Troger) ที่สร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมฝาผนังและภาพวาดประดับโบสถ์และพระราชวังอย่างโอ่อ่า
- ยุคบีดเดอร์ไมเออร์ (Biedermeier): ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 ศิลปะเน้นภาพเหมือน ภาพทิวทัศน์ และฉากชีวิตประจำวันที่เรียบง่ายแต่แฝงด้วยความรู้สึก จิตรกรสำคัญคือ เฟอร์ดินานด์ เกออร์ก วัลด์มึลเลอร์ (Ferdinand Georg Waldmüller)
- เวียนนาซีเซสชัน (Vienna Secession): ปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 เป็นยุคทองของศิลปะออสเตรียสมัยใหม่ มีจิตรกรคนสำคัญคือ:
- กุสตาฟ คลิมท์ (Gustav Klimt): ผู้นำกลุ่มเวียนนาซีเซสชัน มีชื่อเสียงจากภาพวาดที่ใช้สีทองอร่ามและลวดลายประดับอันเป็นเอกลักษณ์ เช่น ภาพ "The Kiss"
- เอกอน ชีเลอ (Egon Schiele): จิตรกรแนวเอ็กซ์เพรสชันนิซึม มีชื่อเสียงจากภาพเหมือนตนเองและภาพบุคคลที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกอย่างรุนแรงและบิดเบี้ยว
- อ็อสคาร์ คอคอชคา (Oskar Kokoschka): อีกหนึ่งจิตรกรแนวเอ็กซ์เพรสชันนิซึม ที่มีผลงานโดดเด่นด้านภาพเหมือนและภาพทิวทัศน์
สถาปัตยกรรม:
สถาปัตยกรรมของออสเตรียมีความหลากหลายตั้งแต่ยุคโรมาเนสก์ กอทิก เรอแนซ็องส์ บารอก ไปจนถึงสถาปัตยกรรมสมัยใหม่และร่วมสมัย- สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์และกอทิก: เห็นได้จากโบสถ์และปราสาทเก่าแก่หลายแห่ง เช่น อาสนวิหารนักบุญสเทเฟน (Stephansdom) ในกรุงเวียนนา (ส่วนที่เป็นหอคอยและโครงสร้างหลักเป็นแบบกอทิก)
- สถาปัตยกรรมบารอก: เป็นยุคที่รุ่งเรืองมากในออสเตรีย มีการสร้างพระราชวัง โบสถ์ และอาคารสาธารณะที่หรูหราและโอ่อ่ามากมาย สถาปนิกคนสำคัญในยุคนี้ ได้แก่ โยฮันน์ แบร์นฮาร์ท ฟิชเชอร์ ฟอน แอร์ลัค (Johann Bernhard Fischer von Erlach) และโยฮันน์ ลูคัส ฟอน ฮิลเดบรันดท์ (Johann Lukas von Hildebrandt) ผลงานชิ้นเอก เช่น พระราชวังเชินบรุนน์ (Schönbrunn Palace) และพระราชวังเบลเวเดียร์ (Belvedere Palace) ในกรุงเวียนนา
- สถาปัตยกรรมสมัยใหม่: ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 สถาปนิกออสเตรียมีบทบาทสำคัญในการพัฒนารูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่
- ออทโท วากเนอร์ (Otto Wagner): หนึ่งในผู้บุกเบิกสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในเวียนนา ผลงานของเขามีอิทธิพลต่อการออกแบบอาคารสาธารณะและสถานีรถไฟใต้ดิน
- โยเซฟ ฮอฟมันน์ (Josef Hoffmann) และ อดอล์ฟ โลส (Adolf Loos): สถาปนิกคนสำคัญอีกสองคนที่มีแนวคิดแตกต่างกัน โฮฟมันน์เป็นผู้ร่วมก่อตั้งเวิร์คชตัทเทอ (Wiener Werkstätte) ซึ่งเน้นงานฝีมือและการออกแบบตกแต่งภายใน ส่วนโลสมีชื่อเสียงจากแนวคิด "Ornament and Crime" ที่ต่อต้านการประดับประดาที่มากเกินไป
- สถาปัตยกรรมร่วมสมัย: ออสเตรียยังคงมีสถาปนิกที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ เช่น ฮันส์ ฮอลไลน์ (Hans Hollein) ผู้ได้รับรางวัลพริตซ์เกอร์ และกลุ่มสถาปนิก Coop Himmelb(l)au ที่มีผลงานแนวดีคอนสตรัคติวิสต์
พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่สำคัญในออสเตรีย ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะ (Kunsthistorisches Museum) พิพิธภัณฑ์เลโอโปลด์ (Leopold Museum) และพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่มูลนิธิลุดวิก (MUMOK) ในกรุงเวียนนา
9.3. วรรณกรรม

วรรณกรรมออสเตรียมีประวัติศาสตร์อันยาวนานและได้สร้างนักเขียนที่มีชื่อเสียงและผลงานที่โดดเด่นมากมาย ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนทางวัฒนธรรมและสังคมของประเทศ
นักเขียนและผลงานเด่นที่เป็นตัวแทนของออสเตรีย (รวมถึงนักเขียนที่เกิดในดินแดนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีและสร้างผลงานเป็นภาษาเยอรมัน):
- ฟรันทซ์ กริลพาร์ทเซอร์ (Franz Grillparzer) (1791-1872): นักเขียนบทละครคนสำคัญในศตวรรษที่ 19 ผลงานของเขามักเกี่ยวข้องกับประเด็นทางประวัติศาสตร์และจิตวิทยา
- อาดัลแบร์ท ชติฟเตอร์ (Adalbert Stifter) (1805-1868): นักเขียนและจิตรกร มีชื่อเสียงจากนวนิยายและเรื่องสั้นที่บรรยายธรรมชาติและความเรียบง่ายของชีวิตชนบท
- แบร์ทา ฟ็อน ซุทเนอร์ (Bertha von Suttner) (1843-1914): นักประพันธ์และนักรณรงค์สันติภาพชาวออสเตรีย-โบฮีเมีย ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพคนแรกที่เป็นสตรี ผลงานสำคัญคือ Die Waffen nieder! (วางอาวุธ!)
- อาร์ทัวร์ ชนิทซ์เลอร์ (Arthur Schnitzler) (1862-1931): นักเขียนบทละครและนักประพันธ์ มีชื่อเสียงจากผลงานที่สำรวจจิตใจของมนุษย์และความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมในสังคมเวียนนาช่วงปลายศตวรรษ
- ฮูโก ฟอน ฮอฟมันสทาล (Hugo von Hofmannsthal) (1874-1929): กวี นักเขียนบทละคร และนักเขียนเรียงความ เป็นบุคคลสำคัญในขบวนการวรรณกรรมเวียนนาสมัยใหม่ (Wiener Moderne)
- ไรเนอร์ มาเรีย ริลเคอ (Rainer Maria Rilke) (1875-1926): หนึ่งในกวีภาษาเยอรมันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เกิดในปราก (ขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของออสเตรีย-ฮังการี) ผลงานของเขามีความลึกซึ้งทางปรัชญาและสุนทรียศาสตร์
- ฟรันทซ์ คาฟคา (Franz Kafka) (1883-1924): นักเขียนนวนิยายและเรื่องสั้นชาวโบฮีเมียเชื้อสายยิวที่เขียนเป็นภาษาเยอรมัน เกิดในปราก ผลงานของเขามีลักษณะเฉพาะตัว โดดเด่นด้วยบรรยากาศแปลกแยก ความรู้สึกผิด และความไร้เหตุผลของระบบราชการ แม้คาฟคาจะเกิดในเช็ก แต่ผลงานของเขามักถูกจัดอยู่ในกลุ่มวรรณกรรมภาษาเยอรมันปราก ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมออสเตรีย-ฮังการี
- โรแบร์ท มูซิล (Robert Musil) (1880-1942): นักเขียนนวนิยายคนสำคัญ ผลงานชิ้นเอกคือ Der Mann ohne Eigenschaften (ชายผู้ไร้คุณสมบัติ) ซึ่งวิเคราะห์สังคมและวัฒนธรรมยุโรปในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
- ชเตฟาน ซไวค์ (Stefan Zweig) (1881-1942): นักเขียนนวนิยาย เรื่องสั้น บทละคร และชีวประวัติที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ผลงานของเขามักเน้นการวิเคราะห์ทางจิตวิทยาและความขัดแย้งทางศีลธรรม
- โยเซ็ฟ โรท (Joseph Roth) (1894-1939): นักข่าวและนักเขียนนวนิยาย มีชื่อเสียงจากผลงานที่สะท้อนการล่มสลายของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี
- โทมัส เบิร์นฮาร์ด (Thomas Bernhard) (1931-1989): นักเขียนบทละครและนักประพันธ์ที่มีสไตล์เฉพาะตัว มักวิพากษ์วิจารณ์สังคมออสเตรียอย่างรุนแรง
- อินเกบอร์ก บัคมันน์ (Ingeborg Bachmann) (1926-1973): กวีและนักเขียนคนสำคัญ ผลงานของเธอมักเกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องภาษา ความทรงจำ และอัตลักษณ์ของผู้หญิง
- เพเทอร์ ฮันท์เคอ (Peter Handke) (เกิด 1942): นักเขียนบทละคร นักประพันธ์ และผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี 2019 ผลงานของเขามักท้าทายขนบธรรมเนียมทางวรรณกรรม
- เอ็ลฟรีเดอ เยลิเนค (Elfriede Jelinek) (เกิด 1946): นักเขียนบทละครและนักประพันธ์สตรี ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี 2004 ผลงานของเธอมักวิพากษ์วิจารณ์สังคม ปิตาธิปไตย และลัทธิฟาสซิสต์อย่างเผ็ดร้อน
กระแสวรรณกรรมที่สำคัญในออสเตรีย ได้แก่ วรรณกรรมยุคบีเดอร์ไมเออร์ (Biedermeier) วรรณกรรมเวียนนาสมัยใหม่ (Wiener Moderne) และวรรณกรรมหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่พยายามประมวลผลอดีตของนาซีและอัตลักษณ์ของออสเตรียใหม่ วรรณกรรมออสเตรียร่วมสมัยยังคงมีความหลากหลายและมีชีวิตชีวา โดยมีนักเขียนรุ่นใหม่ที่สร้างสรรค์ผลงานที่น่าสนใจและได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ
9.4. ภาพยนตร์และละครเวที
ออสเตรียมีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีส่วนร่วมสำคัญในด้านภาพยนตร์และละครเวที ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ
ภาพยนตร์ (Cinema):
ประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ออสเตรียเริ่มต้นตั้งแต่ยุคภาพยนตร์เงียบ โดยมีผู้บุกเบิกเช่น ซัชชา โคโลวรัท (Sascha Kolowrat) ในช่วงระหว่างสงคราม ผู้กำกับชาวออสเตรียหลายคนได้อพยพไปฮอลลีวูดและสร้างชื่อเสียงในระดับโลก เช่น:
- ฟริทซ์ ลัง (Fritz Lang): ผู้กำกับคนสำคัญของภาพยนตร์เอ็กซ์เพรสชันนิสม์เยอรมันและภาพยนตร์นัวร์ของฮอลลีวูด (เกิดในเวียนนา)
- บิลลี ไวล์เดอร์ (Billy Wilder): ผู้กำกับและนักเขียนบทภาพยนตร์ระดับตำนานของฮอลลีวูด เจ้าของผลงานคลาสสิกมากมาย (เกิดในซูคา เบสกิดซกา ซึ่งขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของออสเตรีย-ฮังการี)
- โยเซฟ ฟอน สเติร์นเบิร์ก (Josef von Sternberg): ผู้กำกับที่มีชื่อเสียงจากผลงานที่ร่วมงานกับมาร์เลเนอ ดีทริช
- เฟรด ซินเนอมันน์ (Fred Zinnemann): ผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่อง High Noon และ A Man for All Seasons
ในออสเตรียเอง ผู้กำกับเช่น วิลลี ฟอร์สท์ (Willi Forst) และแอ็นสท์ มาริชคา (Ernst Marischka) (ผู้กำกับภาพยนตร์ชุด Sissi ที่โด่งดัง) ได้สร้างสรรค์ภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มประเทศผู้ใช้ภาษาเยอรมัน
ภาพยนตร์ออสเตรียร่วมสมัยได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติมากขึ้น โดยมีผู้กำกับที่มีผลงานโดดเด่น เช่น:
- มิชาเอล ฮาเนเกอ (Michael Haneke): ผู้กำกับที่มีชื่อเสียงจากภาพยนตร์ที่สำรวจด้านมืดของสังคมและความสัมพันธ์ของมนุษย์ ผลงานของเขาได้รับรางวัลมากมาย รวมถึงรางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์กาน สองครั้ง และรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมสำหรับเรื่อง Amour
- อุลริช ไซเดิล (Ulrich Seidl): ผู้กำกับที่มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์ มักนำเสนอภาพชีวิตจริงที่สมจริงและ провокацион
- ชเตฟัน รูโซวิทซ์กี (Stefan Ruzowitzky): ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง The Counterfeiters (Die Fälscher) ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมในปี 2008
นักแสดงชาวออสเตรียที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ ได้แก่ เฮดี ลามาร์ (Hedy Lamarr), อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ (Arnold Schwarzenegger) ซึ่งต่อมาเป็นผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย, และคริสท็อฟ วัลทซ์ (Christoph Waltz) ผู้ได้รับรางวัลออสการ์ถึงสองครั้ง
เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวียนนา (Viennale) เป็นเทศกาลภาพยนตร์ที่สำคัญที่สุดของออสเตรีย ซึ่งจัดขึ้นทุกปี
ละครเวที (Theatre):
ออสเตรียมีประเพณีละครเวทีที่แข็งแกร่งและมีชีวิตชีวา โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงเวียนนา
- โรงละครบวร์ค (Burgtheater): ถือเป็นหนึ่งในโรงละครที่พูดภาษาเยอรมันที่สำคัญที่สุดในโลก ก่อตั้งขึ้นในปี 1741 มีบทบาทสำคัญในการนำเสนอผลงานละครคลาสสิกและร่วมสมัยของนักเขียนบทละครชาวออสเตรียและต่างชาติ
- โรงละครในเดอร์โยเซฟชตัดท์ (Theater in der Josefstadt) และ โรงละครประชาชน (Volkstheater): เป็นโรงละครที่มีชื่อเสียงอีกสองแห่งในกรุงเวียนนา
นักเขียนบทละครชาวออสเตรียที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ฟรันทซ์ กริลพาร์ทเซอร์ (Franz Grillparzer), โยฮันน์ เนสทรอย (Johann Nestroy), อาร์ทัวร์ ชนิทซ์เลอร์ (Arthur Schnitzler), โทมัส เบิร์นฮาร์ด (Thomas Bernhard), และเอ็ลฟรีเดอ เยลิเนค (Elfriede Jelinek)
นักแสดงละครเวทีชาวออสเตรียที่มีชื่อเสียง เช่น อ็อทโท เช็งค์ (Otto Schenk) ซึ่งเป็นทั้งนักแสดงและผู้กำกับโอเปร่า และเคลาส์ มาเรีย บรันเดาเออร์ (Klaus Maria Brandauer) ซึ่งประสบความสำเร็จทั้งในละครเวทีและภาพยนตร์
ละครเพลง (Musical theatre) ก็ได้รับความนิยมในออสเตรีย โดยมีการแสดงละครเพลงบรอดเวย์และละครเพลงที่สร้างสรรค์ขึ้นในประเทศเอง
9.5. วิทยาศาสตร์และปรัชญา

ออสเตรียเป็นแหล่งกำเนิดและศูนย์กลางของนักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงระดับโลกจำนวนมาก ซึ่งมีส่วนสำคัญในการพัฒนาความรู้และความคิดในหลากหลายสาขา
วิทยาศาสตร์:
- ฟิสิกส์ (Physics):
- ลูทวิช โบลทซ์มันน์ (Ludwig Boltzmann): ผู้บุกเบิกกลศาสตร์สถิติและอุณหพลศาสตร์
- แอ็นสท์ มัค (Ernst Mach): นักฟิสิกส์และนักปรัชญา ผู้มีอิทธิพลต่อทฤษฎีสัมพัทธภาพ (เลขมัคตั้งชื่อตามเขา)
- วิคทอร์ ฟรันทซ์ เฮ็ส (Victor Franz Hess): ผู้ค้นพบรังสีคอสมิก ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์
- คริสทีอัน ด็อพเพลอร์ (Christian Doppler): ผู้ค้นพบปรากฏการณ์ดอปเปลอร์
- ลีเซอ ไมท์เนอร์ (Lise Meitner): นักฟิสิกส์ผู้มีบทบาทสำคัญในการค้นพบฟิชชันนิวเคลียร์
- แอร์วีน ชเรอดิงเงอร์ (Erwin Schrödinger): หนึ่งในผู้ก่อตั้งกลศาสตร์ควอนตัม ผู้พัฒนาสมการคลื่นของชเรอดิงเงอร์ ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์
- ว็อล์ฟกัง เพาลี (Wolfgang Pauli): นักฟิสิกส์ทฤษฎี ผู้มีส่วนสำคัญในกลศาสตร์ควอนตัม (หลักการกีดกันของเพาลี) ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์
- ปัจจุบัน: อันโทน ไซลิงเงอร์ (Anton Zeilinger) และเพเทอร์ ซอลเลอร์ (Peter Zoller) มีชื่อเสียงด้านการพัฒนาที่สำคัญในทัศนศาสตร์ควอนตัมและสารสนเทศควอนตัม
- ชีววิทยาและการแพทย์ (Biology and Medicine):
- เกรกอร์ เม็นเดิล (Gregor Mendel): "บิดาแห่งพันธุศาสตร์" ผู้ค้นพบกฎการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
- ค็อนราท โลเร็นทส์ (Konrad Lorenz): หนึ่งในผู้ก่อตั้งพฤติกรรมวิทยา ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์
- คาร์ล ลันท์ชไตเนอร์ (Karl Landsteiner): ผู้ค้นพบระบบหมู่โลหิต ABO ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์
- ซีคมุนท์ ฟร็อยท์ (Sigmund Freud): ผู้ก่อตั้งจิตวิเคราะห์
- อัลเฟรท แอดเลอร์ (Alfred Adler): ผู้ก่อตั้งจิตวิทยาปัจเจกบุคคล (Individual Psychology)
- ฮันส์ อัสแพร์เกอร์ (Hans Asperger): กุมารแพทย์ผู้ศึกษาออทิซึม (กลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์ตั้งชื่อตามเขา)
- วิคทอร์ ฟรังเคิล (Viktor Frankl): นักประสาทวิทยาและจิตแพทย์ ผู้ก่อตั้งการบำบัดด้วยความหมาย (Logotherapy)
- อิกนาซ เซ็มเมิลไวส์ (Ignaz Semmelweis): แพทย์ผู้บุกเบิกการล้างมือเพื่อป้องกันการติดเชื้อ (เกิดในจักรวรรดิออสเตรีย ปัจจุบันคือฮังการี)
- คณิตศาสตร์ (Mathematics):
- ควร์ท เกอเดิล (Kurt Gödel): นักตรรกศาสตร์และนักคณิตศาสตร์ ผู้มีชื่อเสียงจากทฤษฎีบทความไม่สมบูรณ์ของเกอเดิล
ปรัชญา:
- ลูทวิช วิทเคนชไตน์ (Ludwig Wittgenstein): หนึ่งในนักปรัชญาที่ทรงอิทธิพลที่สุดในศตวรรษที่ 20 มีผลงานสำคัญในด้านปรัชญาภาษา ตรรกศาสตร์ และปรัชญาจิต
- คาร์ล ป็อปเปอร์ (Karl Popper): นักปรัชญาวิทยาศาสตร์และปรัชญาสังคม มีชื่อเสียงจากแนวคิดเรื่องการพิสูจน์ว่าเป็นเท็จ (falsification) และสังคมเปิด
- สำนักเวียนนา (Vienna Circle): กลุ่มนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ที่มีอิทธิพลในช่วงทศวรรษ 1920 และ 1930 ซึ่งส่งเสริมแนวคิดปฏิฐานนิยมเชิงตรรกะ (logical positivism)
เศรษฐศาสตร์:
- สำนักออสเตรีย (Austrian School of Economics): สำนักคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่เน้นปัจเจกนิยม อัตวิสัย และกระบวนการตลาด นักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญ ได้แก่ คาร์ล เม็งเงอร์ (Carl Menger), อ็อยเกน ฟ็อน เบิม-บาแวร์ค (Eugen von Böhm-Bawerk), ลูทวิช ฟ็อน มีเซส (Ludwig von Mises), และฟรีดริช ฮาเย็ค (Friedrich Hayek) ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์
- โยเซ็ฟ ชุมเพเทอร์ (Joseph Schumpeter): นักเศรษฐศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงจากแนวคิดเรื่องการทำลายล้างอย่างสร้างสรรค์ (creative destruction) และบทบาทของผู้ประกอบการ
ออสเตรียได้รับการจัดอันดับที่ 17 ในดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index) ในปี 2024 ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งในด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
9.6. วัฒนธรรมอาหาร


อาหารออสเตรียได้รับอิทธิพลมาจากอาหารของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งเป็นศูนย์รวมของหลากหลายวัฒนธรรม อาหารออสเตรียจึงเป็นการผสมผสานระหว่างประเพณีท้องถิ่นกับอิทธิพลจากฮังการี เช็ก เยอรมัน อิตาลี และคาบสมุทรบอลข่าน อาหารออสเตรียส่วนใหญ่เป็นประเพณีของ "อาหารชาววัง" (Hofküche) ที่สืบทอดกันมาหลายศตวรรษ มีชื่อเสียงในด้านความหลากหลายของเนื้อวัวและเนื้อหมูที่ปรุงอย่างสมดุล และผักนานาชนิด นอกจากนี้ยังมีประเพณี "Mehlspeisen" (อาหารประเภทแป้งและของหวาน) ที่มีชื่อเสียง ซึ่งสร้างสรรค์ขนมอร่อยๆ มากมาย
อาหารคาวที่เป็นเอกลักษณ์:
- วีเนอร์ชนิทเซล (Wiener Schnitzel): เนื้อลูกวัวชุบเกล็ดขนมปังทอด เป็นอาหารประจำชาติอย่างไม่เป็นทางการของออสเตรีย
- ทาเฟลชปิทซ์ (Tafelspitz): เนื้อวัวส่วนสะโพกต้ม เสิร์ฟพร้อมซอสแอปเปิลฮอร์สแรดิชและเครื่องเคียงต่างๆ
- ชไวนส์บราเทิน (Schweinsbraten): หมูย่างสไตล์ออสเตรีย มักเสิร์ฟพร้อมกะหล่ำปลีเปรี้ยว (Sauerkraut) และเกี๊ยว (Knödel)
- กูลาช (Gulasch): สตูว์เนื้อรสเผ็ดร้อน ได้รับอิทธิพลจากฮังการี
- เนอเดิล (Knödel): เกี๊ยวหลากหลายชนิด ทั้งแบบคาว (ทำจากขนมปังหรือมันฝรั่ง) และแบบหวาน
- คัสแพ็ทซเลอ (Käsespätzle): พาสต้าไข่เส้นเล็กๆ คลุกเคล้ากับชีสและหัวหอมเจียว
- คาร์นท์เนอร์ คาสนูดเดิล (Kärntner Kasnudeln): พาสต้าทรงครึ่งวงกลมสอดไส้ชีสควาร์ก มันฝรั่ง สมุนไพร และเปปเปอร์มินต์ ต้มและเสิร์ฟพร้อมซอสเนย เป็นอาหารพื้นเมืองของรัฐคารินเทีย
- เห็ดชานตาเรล (Eierschwammerl): เห็ดชานตาเรลเป็นที่นิยมนำมาประกอบอาหารหลากหลายเมนูในช่วงฤดูของมัน
ของหวานและขนมอบที่เป็นเอกลักษณ์:
- ซาเคอร์ทอร์เทอ (Sachertorte): เค้กช็อกโกแลตสอดไส้แยมแอปริคอต เคลือบด้วยช็อกโกแลตเข้มข้น เป็นเค้กที่มีชื่อเสียงที่สุดของเวียนนา
- อาเฟลสตรูเดิล (Apfelstrudel): พายแอปเปิลแบบม้วน ทำจากแป้งบางๆ สอดไส้แอปเปิล ลูกเกด และซินนามอน
- ท็อปเฟินสตรูเดิล (Topfenstrudel): สตรูเดิลสอดไส้ชีสควาร์ก (Topfen)
- มิลลิรามสตรูเดิล (Millirahmstrudel): สตรูเดิลครีมนม
- ไคเซอร์ชมาร์เริน (Kaiserschmarrn): แพนเค้กฉีกเป็นชิ้นๆ คลุกน้ำตาลไอซิ่ง มักเสิร์ฟพร้อมแยมผลไม้หรือลูกพลัมตุ๋น
- ครัปเฟิน (Krapfen): โดนัทสอดไส้แยมแอปริคอตหรือคัสตาร์ด เป็นที่นิยมในช่วงเทศกาลคาร์นิวัล
- ลินเซอร์ทอร์เทอ (Linzer Torte): ทาร์ตที่ทำจากแป้งอัลมอนด์หรือเฮเซลนัท สอดไส้แยมราสเบอร์รีหรือแยมเรดเคอร์แรนต์ เป็นขนมที่มีชื่อเสียงจากเมืองลินทซ์
- โมซาร์ทคูเกิล (Mozartkugel): ช็อกโกแลตทรงกลมสอดไส้พิสตาชิโอ มาร์ซิแพน และนูกัต เป็นของที่ระลึกยอดนิยมจากซัลทซ์บวร์ค
- ขนมปังกรอบมันเนอร์ (Mannerschnitten): เวเฟอร์สอดไส้ครีมเฮเซลนัทที่เป็นที่นิยม
เครื่องดื่ม:
- กาแฟ (Coffee): วัฒนธรรมร้านกาแฟ (Kaffeehauskultur) ของเวียนนาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้โดยยูเนสโก ชาวออสเตรียบริโภคกาแฟเฉลี่ยมากกว่า 8 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งสูงเป็นอันดับหกของโลก
- ไวน์ (Wine): ออสเตรียมีแหล่งผลิตไวน์ที่สำคัญในรัฐนีเดอร์เอิสเตอร์ไรช์ บัวร์เกินลันท์ สตีเรีย และเวียนนา องุ่นพันธุ์ กรือเนอร์ เฟลท์ลีเนอร์ (Grüner Veltliner) ให้ผลผลิตไวน์ขาวที่โดดเด่นที่สุดของออสเตรีย และ ซไวเกลท์ (Zweigelt) เป็นองุ่นพันธุ์แดงที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายที่สุด
- เบียร์ (Beer): เบียร์เป็นที่นิยมดื่มกันทั่วไป ประเภทที่นิยมที่สุดคือ เบียร์ลาเกอร์ (รู้จักกันในชื่อ Märzen ในออสเตรีย) Zwicklbier (เบียร์ที่ไม่ผ่านการกรอง) และเบียร์ข้าวสาลี (wheat beer) ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและอีสเตอร์จะมีเบียร์บ็อค (bock beer) ให้บริการด้วย
- มอสท์ (Most): เครื่องดื่มคล้ายไซเดอร์หรือเพอร์รี ผลิตกันอย่างแพร่หลายในรัฐโอแบร์เอิสเตอร์ไรช์ นีเดอร์เอิสเตอร์ไรช์ สตีเรีย และคารินเทีย
- ชแนปส์ (Schnapps): บรั่นดีผลไม้ที่มีแอลกอฮอล์สูงถึง 60% ทำจากผลไม้หลากหลายชนิด เช่น แอปริคอตและผลโรแวนเบอร์รี โรงกลั่นชแนปส์ขนาดเล็กของเอกชนมีประมาณ 20,000 แห่งในออสเตรีย ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาเรียกว่า Selbstgebrannter หรือ Hausbrand
- อัลม์ดูดเลอร์ (Almdudler): น้ำอัดลมสมุนไพรที่เป็นที่นิยมอย่างมากในออสเตรีย เป็นทางเลือกแทนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- สเปซี (Spezi): เครื่องดื่มผสมระหว่างโคล่ากับแฟนต้ารสส้ม หรือ Frucade ที่เป็นที่รู้จักในท้องถิ่น
- เรดบูล (Red Bull): เครื่องดื่มชูกำลังที่ขายดีที่สุดในโลก ถูกคิดค้นโดยดีทริช มาเทชิทซ์ (Dietrich Mateschitz) ผู้ประกอบการชาวออสเตรีย
อาหารและวัฒนธรรมการกินที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละภูมิภาคก็มีความน่าสนใจ เช่น อาหารทะเลสาบในแถบซัลทซ์คัมเมอร์กูท หรืออาหารที่ใช้น้ำมันเมล็ดฟักทองในรัฐสตีเรีย
9.7. มรดกโลก
ออสเตรียมีแหล่งมรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยยูเนสโก (UNESCO) หลายแห่ง ซึ่งสะท้อนถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมและธรรมชาติอันโดดเด่นของประเทศ แหล่งมรดกโลกเหล่านี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอนุรักษ์มรดกของมนุษยชาติ
แหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติในออสเตรีย (ข้อมูล ณ ปีล่าสุดที่ตรวจสอบ):
- ศูนย์กลางประวัติศาสตร์นครซัลทซ์บวร์ค (Historic Centre of the City of Salzburg) (ขึ้นทะเบียน ค.ศ. 1996): เมืองซัลทซ์บวร์คเป็นที่รู้จักในฐานะบ้านเกิดของโมซาร์ทและมีสถาปัตยกรรมบารอกที่งดงาม มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในฐานะนครรัฐทางศาสนาที่เป็นอิสระ
- พระราชวังและสวนเชินบรุนน์ (Palace and Gardens of Schönbrunn) (ขึ้นทะเบียน ค.ศ. 1996): พระราชวังฤดูร้อนของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คในกรุงเวียนนา เป็นผลงานชิ้นเอกของสถาปัตยกรรมบารอกและมีสวนที่กว้างใหญ่สวยงาม
- ภูมิทัศน์วัฒนธรรมฮัลล์ชตัทท์-ดัคชไตน์/ซัลทซ์คัมเมอร์กูท (Hallstatt-Dachstein / Salzkammergut Cultural Landscape) (ขึ้นทะเบียน ค.ศ. 1997): ภูมิภาคที่มีทัศนียภาพงดงามของภูเขาและทะเลสาบ มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์จากการทำเหมืองเกลือมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ (วัฒนธรรมฮัลล์ชตัทท์)
- ทางรถไฟสายเซ็มเมอริง (Semmering Railway) (ขึ้นทะเบียน ค.ศ. 1998): เส้นทางรถไฟสายภูเขาแห่งแรกของโลกที่สร้างขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เป็นความสำเร็จทางวิศวกรรมที่โดดเด่นและกลมกลืนกับภูมิทัศน์ธรรมชาติ
- นครกราทซ์ - ศูนย์กลางประวัติศาสตร์และชลอสเอ็กเกนแบร์ก (City of Graz - Historic Centre and Schloss Eggenberg) (ขึ้นทะเบียน ค.ศ. 1999, ขยาย ค.ศ. 2010): เมืองกราทซ์มีศูนย์กลางประวัติศาสตร์ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี ซึ่งแสดงถึงการผสมผสานของอิทธิพลทางวัฒนธรรมต่างๆ และปราสาทเอ็กเกนแบร์ก (Schloss Eggenberg) ที่มีความสำคัญทางศิลปะและประวัติศาสตร์
- ภูมิทัศน์วัฒนธรรมวาเคา (Wachau Cultural Landscape) (ขึ้นทะเบียน ค.ศ. 2000): หุบเขาแม่น้ำดานูบระหว่างเมืองเมลค์และเมืองเครมส์ มีทัศนียภาพที่สวยงามของไร่องุ่น ปราสาทเก่าแก่ และหมู่บ้านที่มีเสน่ห์
- ศูนย์กลางประวัติศาสตร์เวียนนา (Historic Centre of Vienna) (ขึ้นทะเบียน ค.ศ. 2001): กรุงเวียนนามีบทบาทสำคัญในฐานะเมืองหลวงของจักรวรรดิฮาพส์บวร์คและเป็นศูนย์กลางทางดนตรีและวัฒนธรรมของยุโรป (หมายเหตุ: แหล่งมรดกโลกนี้ถูกจัดอยู่ใน "บัญชีมรดกโลกที่ตกอยู่ในภาวะอันตราย" ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2017 เนื่องจากการวางแผนโครงการก่อสร้างอาคารสูง)
- ภูมิทัศน์วัฒนธรรมทะเลสาบแฟร์เทอ/นอยซีดเลอร์เซ (Fertö / Neusiedlersee Cultural Landscape) (ขึ้นทะเบียน ค.ศ. 2001, ร่วมกับฮังการี): ทะเลสาบสเต็ปป์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปกลาง มีความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์
- แหล่งที่อยู่อาศัยแบบเรือนเสาเข็มยุคก่อนประวัติศาสตร์โดยรอบเทือกเขาแอลป์ (Prehistoric Pile Dwellings around the Alps) (ขึ้นทะเบียน ค.ศ. 2011, ร่วมกับอีก 5 ประเทศ): แหล่งโบราณคดีที่แสดงถึงการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในยุคหินใหม่และยุคสำริดรอบทะเลสาบและพื้นที่ชุ่มน้ำในเทือกเขาแอลป์ ออสเตรียมีแหล่งเรือนเสาเข็ม 5 แห่งที่ได้รับการขึ้นทะเบียน
- ป่าบีชโบราณและป่าบีชปฐมภูมิแห่งเทือกเขาคาร์เพเทียนและภูมิภาคอื่นของยุโรป (Ancient and Primeval Beech Forests of the Carpathians and Other Regions of Europe) (ขึ้นทะเบียน ค.ศ. 2007, ขยาย ค.ศ. 2011, 2017, 2021, ร่วมกับอีกหลายประเทศ): แสดงถึงกระบวนการทางนิเวศวิทยาและวิวัฒนาการของป่าบีชในยุโรป ออสเตรียมีพื้นที่ป่าบีชในอุทยานแห่งชาติ Kalkalpen ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน
- พรมแดนของจักรวรรดิโรมัน - ระบบป้องกันชายแดนดานูบ (ส่วนตะวันตก) (Frontiers of the Roman Empire - The Danube Limes (Western Segment)) (ขึ้นทะเบียน ค.ศ. 2021, ร่วมกับเยอรมนีและสโลวาเกีย): ส่วนหนึ่งของระบบป้องกันชายแดนอันกว้างใหญ่ของจักรวรรดิโรมันตามแนวแม่น้ำดานูบ
- เมืองสปาใหญ่แห่งยุโรป (The Great Spa Towns of Europe) (ขึ้นทะเบียน ค.ศ. 2021, ร่วมกับอีก 6 ประเทศ): เมืองบาเดินไบวีน (Baden bei Wien) ของออสเตรียเป็นหนึ่งใน 11 เมืองสปาที่ได้รับการขึ้นทะเบียน ซึ่งแสดงถึงวัฒนธรรมสปาของยุโรปที่เฟื่องฟูตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 20
แหล่งมรดกโลกเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติที่ต้องได้รับการอนุรักษ์และส่งต่อไปยังคนรุ่นหลัง
9.8. เทศกาลและวันหยุดนักขัตฤกษ์
ออสเตรียมีเทศกาลและวันหยุดนักขัตฤกษ์มากมายที่สะท้อนถึงวัฒนธรรม ประเพณี และศาสนาของประเทศ วันหยุดเหล่านี้เป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับครอบครัว ชุมชน และการเฉลิมฉลองต่างๆ
วันหยุดนักขัตฤกษ์ (Public Holidays):
- 1 มกราคม: วันขึ้นปีใหม่ (Neujahr)
- 6 มกราคม: วันสมโภชพระคริสต์แสดงองค์ (Heilige Drei Könige / Epiphany): วันระลึกถึงการมาเยือนของโหราจารย์สามคนต่อพระกุมารเยซู
- วันจันทร์อีสเตอร์ (Ostermontag): วันจันทร์หลังวันอีสเตอร์ (เป็นวันหยุดที่เปลี่ยนแปลงได้ตามปฏิทินศาสนา)
- 1 พฤษภาคม: วันแรงงาน (Tag der Arbeit / Staatsfeiertag)
- วันพระคริสต์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ (Christi Himmelfahrt): 40 วันหลังวันอีสเตอร์ (วันพฤหัสบดี เป็นวันหยุดที่เปลี่ยนแปลงได้)
- วันจันทร์เทศกาลเพนเทคอสต์ (Pfingstmontag): วันจันทร์หลังวันอาทิตย์เทศกาลเพนเทคอสต์ (เป็นวันหยุดที่เปลี่ยนแปลงได้)
- วันคอร์ปัสคริสตี (Fronleichnam): วันพฤหัสบดีที่สองหลังเทศกาลเพนเทคอสต์ (เป็นวันหยุดที่เปลี่ยนแปลงได้)
- 15 สิงหาคม: วันอัสสัมชัญ (Mariä Himmelfahrt): วันระลึกถึงการยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณของพระแม่มารี
- 26 ตุลาคม: วันชาติออสเตรีย (Nationalfeiertag): วันระลึกถึงการประกาศความเป็นกลางถาวรของออสเตรียในปี 1955
- 1 พฤศจิกายน: วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย (Allerheiligen)
- 8 ธันวาคม: วันสมโภชพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล (Mariä Empfängnis): ร้านค้าส่วนใหญ่มักจะปิดในวันนี้ แม้ว่าจะมีการอนุญาตให้เปิดได้ในบางกรณี
- 25 ธันวาคม: คริสต์มาส (Christtag / Weihnachten)
- 26 ธันวาคม: วันนักบุญสเทเฟน (Stefanitag / St. Stephen's Day)
เทศกาลและประเพณีที่สำคัญ (ไม่จำเป็นต้องเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์):
- ช่วงเทศกาลจุติ (Advent): สี่สัปดาห์ก่อนคริสต์มาส เป็นช่วงเวลาแห่งการเตรียมตัวและการเฉลิมฉลอง มีตลาดคริสต์มาส (Christkindlmärkte) ที่มีชื่อเสียงหลายแห่งทั่วประเทศ
- วันนักบุญนิโคลัส (Nikolaustag) (6 ธันวาคม): เด็กดีจะได้รับของขวัญจากนักบุญนิโคลัส
- คริสต์มาสอีฟ (Heiliger Abend) (24 ธันวาคม): เป็นวันสำคัญสำหรับการเฉลิมฉลองคริสต์มาสในครอบครัว มีการรับประทานอาหารเย็นร่วมกันและแลกเปลี่ยนของขวัญ
- ซิลเวสเตอร์ (Silvester) (31 ธันวาคม): วันสิ้นปี มีการเฉลิมฉลองด้วยการจุดพลุและงานเลี้ยงต่างๆ
- คาร์นิวัล (Fasching): เทศกาลก่อนเริ่มเทศกาลมหาพรต มีขบวนพาเหรด การแต่งกายแฟนซี และงานเลี้ยงรื่นเริง โดยเฉพาะในบางภูมิภาค
- เทศกาลเก็บเกี่ยว (Erntedankfest): จัดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเพื่อขอบคุณสำหรับการเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร
- เทศกาลซัลทซ์บวร์ค (Salzburger Festspiele): เทศกาลดนตรีและละครที่มีชื่อเสียงระดับโลก จัดขึ้นในช่วงฤดูร้อนที่เมืองซัลทซ์บวร์ค
- เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวียนนา (Viennale): เทศกาลภาพยนตร์ที่สำคัญของออสเตรีย
- เทศกาลท้องถิ่นต่างๆ: แต่ละภูมิภาคและเมืองมักมีเทศกาลและประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เช่น เทศกาล Narzissenfest ในภูมิภาค Ausseerland-Salzkammergut
ประเพณีและเทศกาลเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของชีวิตทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวออสเตรีย สะท้อนให้เห็นถึงความผูกพันกับศาสนา ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติ
10. กีฬา
กีฬาเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวออสเตรีย ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นภูเขา ทำให้กีฬาฤดูหนาวเป็นที่นิยมอย่างมาก แต่ก็มีกีฬาประเภทอื่นๆ ที่ได้รับความสนใจเช่นกัน ออสเตรียมีผลงานที่โดดเด่นในการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติหลายประเภท และได้สร้างนักกีฬาที่มีชื่อเสียงมากมาย
10.1. กีฬาหลัก


กีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในออสเตรีย ได้แก่:
- สกีลงเขา (Alpine Skiing): ถือเป็นกีฬาประจำชาติของออสเตรียอย่างแท้จริง ด้วยภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาแอลป์ ทำให้การเล่นสกีเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ออสเตรียเป็นประเทศที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งในกีฬาประเภทนี้ และได้สร้างนักสกีระดับตำนานมากมาย เช่น อันเนอมารี โมเซอร์-เพริลล์, ฟรันทซ์ คลัมเมอร์, แฮร์มัน ไมเออร์, โทนี ไซเลอร์, เบ็นยามิน ไรช์, มาร์ลีส์ ชิลด์, และมาร์เซล ฮีร์เชอร์ การแข่งขันสกีชิงแชมป์โลกและเวิลด์คัพที่จัดขึ้นในออสเตรียดึงดูดผู้คนจำนวนมาก
- ฟุตบอล (Football/Soccer): เป็นกีฬาประเภททีมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในออสเตรีย บุนเดิสลีกาออสเตรีย (Austrian Bundesliga) เป็นลีกฟุตบอลอาชีพสูงสุดของประเทศ ทีมที่มีชื่อเสียง ได้แก่ เอสเค ราพีทวีน, เอฟเค ออสเตรียวีน, เร็ดบุลซัลทซ์บวร์ค, และสตวร์มกราทซ์ ฟุตบอลทีมชาติออสเตรียเคยประสบความสำเร็จในอดีต โดยได้อันดับ 3 ในฟุตบอลโลก 1954 และอันดับ 4 ในฟุตบอลโลก 1934
- ฮอกกี้น้ำแข็ง (Ice Hockey): เป็นกีฬาฤดูหนาวประเภททีมที่ได้รับความนิยมสูง โดยเฉพาะในบางภูมิภาค เอเบิลฮอกกี้ลีก (ICE Hockey League หรือชื่อเดิม Erste Bank Eishockey Liga - EBEL) เป็นลีกฮอกกี้น้ำแข็งอาชีพระดับนานาชาติที่รวมทีมจากออสเตรียและประเทศเพื่อนบ้าน
- สกีข้ามทุ่ง (Cross-country skiing), ไบแอธลอน (Biathlon), และสกีกระโดดไกล (Ski Jumping): เป็นกีฬาฤดูหนาวอื่นๆ ที่ได้รับความนิยมและออสเตรียมีนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก เช่น อันเดรียส โกลด์แบร์เกอร์, โทมัส มอร์เกินชแตร์น, และเกรกอร์ ชลีเรินเซาเออร์ ในกีฬาสกีกระโดดไกล
- ฟอร์มูลาวัน (Formula One): ออสเตรียมีนักขับรถสูตรหนึ่งที่มีชื่อเสียง เช่น นิกิ เลาดา แชมป์โลก 3 สมัย และแกร์ฮาร์ท แบร์เกอร์ สนามเรดบูลริง (Red Bull Ring) ในรัฐสตีเรียเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันออสเตรียนกรังด์ปรีซ์
- เทนนิส (Tennis): โทมัส มุสเตอร์ อดีตนักเทนนิสอันดับ 1 ของโลก และแชมป์เฟรนช์โอเพน 1995 เป็นนักกีฬาเทนนิสที่ประสบความสำเร็จที่สุดของออสเตรีย โดมินิก ทีม ผู้ชนะยูเอสโอเพน 2020 ก็เป็นนักเทนนิสชาวออสเตรียที่มีชื่อเสียงเช่นกัน
- บาสเกตบอล (Basketball) และ อเมริกันฟุตบอล (American Football): เป็นกีฬาที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยมีลีกอาชีพในประเทศ
ออสเตรียมีภาพลักษณ์ในฐานะประเทศที่แข็งแกร่งด้านกีฬาฤดูหนาว ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนในชาติ แต่ยังส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย กีฬามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาจิตสำนึกของชาติและส่งเสริมความเชื่อมั่นในตนเองของชาติในช่วงปีแรกๆ ของสาธารณรัฐที่สองหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การแข่งขันจักรยาน Tour of Austria และความสำเร็จทางกีฬา เช่น การที่ทีมฟุตบอลชาติได้อันดับสามในฟุตบอลโลกปี 1954 และผลงานของโทนี ไซเลอร์ และทีม "Kitzbühel Miracle Team" ที่เหลือในทศวรรษ 1950
10.2. การเข้าร่วมและการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันระดับนานาชาติ
ออสเตรียมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติที่สำคัญ และยังเคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรายการใหญ่ๆ หลายครั้ง ซึ่งสะท้อนถึงความผูกพันกับกีฬาและความสามารถในการจัดการแข่งขันระดับโลก
ผลงานของคณะนักกีฬาออสเตรียในการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ:
- โอลิมปิก (Olympic Games):
- โอลิมปิกฤดูหนาว: ออสเตรียเป็นหนึ่งในชาติที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์โอลิมปิกฤดูหนาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกีฬาสกีลงเขา ซึ่งนักกีฬาออสเตรียได้รับเหรียญรางวัลเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีผลงานที่โดดเด่นในกีฬาอื่นๆ เช่น สกีกระโดดไกล ลูจ บอบสเล และสโนว์บอร์ด
- โอลิมปิกฤดูร้อน: แม้จะไม่ได้โดดเด่นเท่าโอลิมปิกฤดูหนาว แต่ก็มีนักกีฬาออสเตรียที่ประสบความสำเร็จในกีฬาฤดูร้อน เช่น เรือใบ ยูโด ว่ายน้ำ และกรีฑา
- ฟุตบอลโลก (FIFA World Cup): ฟุตบอลทีมชาติออสเตรียเคยมีช่วงเวลาที่รุ่งเรือง โดยเฉพาะในทศวรรษ 1930 (ทีมมหัศจรรย์ - Wunderteam) และทศวรรษ 1950 ผลงานที่ดีที่สุดคือการคว้าอันดับ 3 ในฟุตบอลโลก 1954 ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และอันดับ 4 ในฟุตบอลโลก 1934 ที่ประเทศอิตาลี ออสเตรียยังเข้าร่วมฟุตบอลโลก 1978 และทำผลงานได้ถึงอันดับ 7
- ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (UEFA European Championship): ออสเตรียเป็นเจ้าภาพร่วมกับสวิตเซอร์แลนด์ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ออสเตรียได้เข้าร่วมการแข่งขันรอบสุดท้ายในฐานะเจ้าภาพร่วม ทีมชาติออสเตรียผ่านเข้ารอบสุดท้ายในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 และฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 (ซึ่งสามารถผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้เป็นครั้งแรก)
- การแข่งขันชิงแชมป์โลกและเวิลด์คัพในกีฬาอื่นๆ: นักกีฬาออสเตรียประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในการแข่งขันชิงแชมป์โลกและเวิลด์คัพในกีฬาฤดูหนาวต่างๆ เช่น สกีลงเขา สกีกระโดดไกล สโนว์บอร์ด และลูจ
การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระดับนานาชาติที่สำคัญ:
- โอลิมปิกฤดูหนาว: เมืองอินส์บรุค เมืองหลวงของรัฐทีโรล เคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวถึงสองครั้ง ได้แก่:
- โอลิมปิกฤดูหนาว 1964
- โอลิมปิกฤดูหนาว 1976 (อินส์บรุคได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพแทนเมืองเดนเวอร์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งถอนตัว)
- โอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาว: อินส์บรุคเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาวครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ในปี โอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาว 2012
- ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 (UEFA Euro 2008): ออสเตรียเป็นเจ้าภาพร่วมกับสวิตเซอร์แลนด์ โดยใช้สนามแข่งขันในเมืองเวียนนา อินส์บรุค ซัลทซ์บวร์ค และคลาเกินฟวร์ท
- การแข่งขันสกีชิงแชมป์โลก (FIS Alpine World Ski Championships): ออสเตรียเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรายการนี้หลายครั้งในรีสอร์ทสกีที่มีชื่อเสียง เช่น ซังคท์อันโทน คิทซ์บือเอล และชลัดมิง
- การแข่งขันสกีกระโดดไกล (FIS Ski Jumping World Cup): สนามสกีกระโดดไกลที่มีชื่อเสียงในออสเตรีย เช่น แบร์กอีเซลชันเซอในอินส์บรุค เป็นส่วนหนึ่งของรายการ โฟร์ฮิลส์ทัวร์นาเมนต์ (Four Hills Tournament) ที่มีชื่อเสียง
การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติไม่เพียงแต่ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศ แต่ยังกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอีกด้วย