1. ภาพรวม
ประเทศลาว หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (ສາທາລະນະລັດ ປະຊາທິປະໄຕ ປະຊາຊົນລາວสาทาละนะลัด ปะซาทิปะไต ปะซาซนลาวภาษาลาว) เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีพรมแดนติดต่อกับจีนและพม่าทางทิศเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือ, เวียดนามทางทิศตะวันออก, กัมพูชาทางทิศใต้, และประเทศไทยทางทิศตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ มีเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดคือเวียงจันทน์ ลาวมีประวัติศาสตร์และเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมาจากอาณาจักรล้านช้าง ซึ่งดำรงอยู่ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 13 ถึง 18 และเคยเป็นหนึ่งในอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการค้าทางบกที่สำคัญ ก่อนจะเผชิญความขัดแย้งภายในและแตกออกเป็นสามอาณาจักรคือ อาณาจักรหลวงพระบาง, อาณาจักรเวียงจันทน์, และอาณาจักรจำปาศักดิ์ ซึ่งต่อมาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสยามและฝรั่งเศสตามลำดับ ในปี ค.ศ. 1893 ดินแดนลาวส่วนใหญ่ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินโดจีนของฝรั่งเศส และได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1953 ในฐานะราชอาณาจักรลาว ภายหลังสงครามกลางเมืองที่ยาวนาน พรรคประชาชนปฏิวัติลาวซึ่งเป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้เข้ายึดอำนาจในปี ค.ศ. 1975 และสถาปนาประเทศเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ปกครองด้วยระบบพรรคการเมืองเดียวตามแนวทางลัทธิมาร์กซ์-เลนิน
ในปัจจุบัน ลาวมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจผ่านการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ทางรถไฟลาว-จีน และโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ เพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงในภูมิภาคและส่งออกพลังงาน อย่างไรก็ตาม การพัฒนาดังกล่าวก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สิน สิ่งแวดล้อม และผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่น ลาวยังคงเผชิญกับความท้าทายด้านสิทธิมนุษยชน การจำกัดเสรีภาพของพลเมือง และความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยเฉพาะต่อกลุ่มชาติพันธุ์และผู้เห็นต่างทางการเมือง ประเทศลาวมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูง ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์หลักสามกลุ่มคือ ลาวลุ่ม ลาวเทิง และลาวสูง ซึ่งแต่ละกลุ่มมีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเป็นศาสนาหลักและมีอิทธิพลอย่างสูงต่อวัฒนธรรมและสังคมลาว แม้ว่าประเทศจะเปิดรับการลงทุนและมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด และเผชิญกับความท้าทายในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน การศึกษา และสาธารณสุข
2. ชื่อประเทศ
คำว่า ลาว ในภาษาอังกฤษ (Laos) ได้รับการบัญญัติโดยฝรั่งเศส เมื่อครั้งรวมสามราชอาณาจักรลาวในอินโดจีนของฝรั่งเศสเข้าด้วยกันในปี ค.ศ. 1893 โดยตั้งชื่อประเทศตามกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดคือ ชาวลาว และใช้เป็นรูปพหูพจน์ ในภาษาอังกฤษ ตัวอักษร "s" ในคำว่า Laos จะออกเสียง ไม่ได้เป็นอักษรเงียบ
ชื่ออย่างเป็นทางการในปัจจุบันคือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (ສາທາລະນະລັດ ປະຊາທິປະໄຕ ປະຊາຊົນລາວสาทาละนะลัด ปะซาทิปะไต ปะซาซนลาวภาษาลาว) หรือย่อว่า สปป.ลาว (ສປປ ລາວสปป.ลาวภาษาลาว) ส่วนชื่อเรียกโดยทั่วไปในภาษาลาวคือ เมืองลาว (ເມືອງລາວเมืองลาวภาษาลาว) หรือ ประเทศลาว (ປະເທດລາວปะเทดลาวภาษาลาว) ซึ่งทั้งสองคำมีความหมายว่า "ประเทศของชาวลาว" ในอดีตช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ถึง 18 ดินแดนแห่งนี้เป็นที่รู้จักในนาม อาณาจักรล้านช้าง ซึ่งหมายถึง "ดินแดนแห่งช้างล้านตัว" สะท้อนถึงความยิ่งใหญ่และทรัพยากรในอดีต
ในภาษาไทย ราชบัณฑิตยสถาน (ปัจจุบันคือราชบัณฑิตยสภา) กำหนดให้ใช้ "ลาว" เป็นชื่อประเทศ และ "ชาวลาว" หรือ "ลาว" เป็นคำเรียกประชาชน ส่วนในภาษาจีนแผ่นดินใหญ่จะใช้ชื่อว่า "老挝เหล่าวัวChinese" (Lǎowō) และเรียกโดยย่อว่า "老เหล่าChinese" (Lǎo) ขณะที่ในไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซีย และสิงคโปร์ จะใช้ชื่อว่า "寮國เหลียวกั๋วChinese" (Liáoguó) และเรียกโดยย่อว่า "寮เหลียวChinese" (Liáo) ซึ่งชาวจีนในประเทศลาวเองก็นิยมใช้คำว่า "寮" เช่นกัน ดังจะเห็นได้จากชื่อโรงเรียนสอนภาษาจีน "โรงเรียนเหลียวโต" (寮都學校เหลียวตูเสี้ยวเซี่ยวChinese) ในนครหลวงเวียงจันทน์
3. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ลาวมีความเป็นมายาวนาน เริ่มตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ การก่อตั้งอาณาจักรโบราณ จนถึงการสถาปนาอาณาจักรล้านช้างอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเอกลักษณ์และวัฒนธรรมลาวในปัจจุบัน ต่อมาอาณาจักรล้านช้างได้แตกแยกออกเป็นสามส่วนและเผชิญกับการครอบงำจากสยามและอิทธิพลของฝรั่งเศส จนกระทั่งตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 หลังจากนั้น ลาวได้ผ่านช่วงเวลาแห่งการต่อสู้เพื่อเอกราช การได้รับเอกราช การเผชิญกับสงครามกลางเมืองอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ และการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ในปี พ.ศ. 2518 ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาประเทศในรูปแบบใหม่ภายใต้การนำของพรรคประชาชนปฏิวัติลาว
3.1. สมัยก่อนประวัติศาสตร์และอาณาจักรยุคแรกเริ่ม

หลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่ามีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในดินแดนลาวมาเป็นเวลานานหลายหมื่นปี ในปี ค.ศ. 2009 มีการค้นพบกะโหลกศีรษะมนุษย์โบราณที่ถ้ำผาลิง ในเทือกเขาอันนัมทางตอนเหนือของลาว ซึ่งมีอายุอย่างน้อย 46,000 ปี ทำให้เป็นฟอสซิลมนุษย์สมัยใหม่ที่เก่าแก่ที่สุดที่พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ ยังพบเครื่องมือหินแบบวัฒนธรรมโห่อบิ่ญ ในพื้นที่ทางตอนเหนือของลาว ซึ่งมีอายุย้อนไปถึงยุคสมัยไพลสโตซีนตอนปลาย
การก่อตัวของชุมชนและรัฐเริ่มแรกในดินแดนลาวได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมโดยรอบ เช่น จีนและอินเดีย หลักฐานทางโบราณคดีชี้ให้เห็นว่าสังคมเกษตรกรรมได้พัฒนาขึ้นในช่วงสหัสวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล มีการค้นพบไหหินบรรจุกระดูกและสุสานประเภทอื่น ๆ ที่บ่งบอกถึงสังคมที่มีความซับซ้อน โดยมีการปรากฏของวัตถุสำริดประมาณ 1,500 ปีก่อนคริสตกาล และเครื่องมือเหล็กเป็นที่รู้จักตั้งแต่ 700 ปีก่อนคริสตกาล
ตามหลักฐานทางภาษาศาสตร์และประวัติศาสตร์อื่น ๆ กลุ่มชนที่พูดภาษาไทได้อพยพจากแถบกว่างซีในประเทศจีนลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้สู่ดินแดนลาวและไทยในปัจจุบัน ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 8 ถึง 10 ก่อนการรวมตัวเป็นอาณาจักรล้านช้าง ดินแดนลาวเคยถูกควบคุมโดยอาณาจักรมอญและจักรวรรดิเขมร
3.2. อาณาจักรล้านช้าง

ประวัติศาสตร์ของประเทศลาวสามารถสืบย้อนไปถึงอาณาจักรล้านช้าง (ລ້ານຊ້າງล้านซ้างภาษาลาว หมายถึง "ดินแดนแห่งช้างล้านตัว") ซึ่งก่อตั้งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 14 โดยพระเจ้าฟ้างุ้ม เจ้าชายลาวผู้ซึ่งพระบิดาถูกเนรเทศออกจากจักรวรรดิเขมร พระเจ้าฟ้างุ้ม พร้อมด้วยกองทัพเขมร 10,000 นาย ได้พิชิตดินแดนของเจ้าลาวต่าง ๆ ในลุ่มแม่น้ำโขง และสถาปนานครเชียงทอง (ปัจจุบันคือหลวงพระบาง) เป็นราชธานี พระองค์สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ลาวโบราณที่สืบย้อนไปถึงขุนบรม และได้ทรงนำพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทมาเป็นศาสนาประจำอาณาจักร
อาณาจักรล้านช้างเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในรัชสมัยของพระเจ้าสามแสนไท (ครองราชย์ ค.ศ. 1373-1417) โอรสของพระเจ้าฟ้างุ้ม ซึ่งในยุคนี้ล้านช้างได้กลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม หลังจากพระองค์สวรรคตในปี ค.ศ. 1421 ล้านช้างก็เข้าสู่ยุคแห่งความขัดแย้งภายในและการแย่งชิงอำนาจเป็นเวลานานเกือบศตวรรษ
ในปี ค.ศ. 1520 พระยาโพธิสาลราชเสด็จขึ้นครองราชย์ และได้ย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบางมายังเวียงจันทน์ เพื่อหลีกเลี่ยงการรุกรานของพม่า ต่อมาในรัชสมัยของสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช (ครองราชย์ ค.ศ. 1548-1571) พระองค์ได้ทรงสร้างพระธาตุหลวง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของลาวในปัจจุบัน หลังจากสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชหายสาบสูญไปในระหว่างการเดินทางไปทำศึกที่กัมพูชา อาณาจักรล้านช้างก็ตกอยู่ในภาวะไม่มั่นคงนานกว่า 70 ปี มีทั้งการรุกรานจากพม่าและสงครามกลางเมือง
อาณาจักรล้านช้างกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช (ครองราชย์ ค.ศ. 1637-1694) ซึ่งถือเป็นยุคทองของล้านช้าง มีการขยายอาณาเขตและมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับชาติตะวันตก แต่เมื่อพระองค์สวรรคตโดยไม่มีรัชทายาทที่ชัดเจน อาณาจักรล้านช้างก็อ่อนแอลงและแตกแยกออกเป็น 3 อาณาจักรคือ อาณาจักรหลวงพระบาง, อาณาจักรเวียงจันทน์ และอาณาจักรจำปาศักดิ์ ในช่วงปี ค.ศ. 1707
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ทั้งสามอาณาจักรลาวต่างตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสยาม เจ้าอนุวงศ์ กษัตริย์แห่งเวียงจันทน์ พยายามกอบกู้เอกราชจากสยามในปี ค.ศ. 1826 แต่ไม่สำเร็จ ส่งผลให้เวียงจันทน์ถูกทำลายอย่างหนัก และดินแดนลาวส่วนใหญ่ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ในช่วงเวลานั้น การกวาดต้อนผู้คนถือเป็นเป้าหมายสำคัญในการสงครามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการทัพของสยามในลาวในปี ค.ศ. 1876 ก็ถูกมองว่าเป็นการ "ล่าทาสครั้งใหญ่"
3.3. การตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสและการได้รับเอกราช


ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ดินแดนลาวซึ่งขณะนั้นส่วนใหญ่อยู่ภายใต้อำนาจของสยาม ได้เผชิญกับการแผ่ขยายอิทธิพลของฝรั่งเศส ซึ่งได้เข้าครอบครองเวียดนามและกัมพูชาแล้ว ในปี ค.ศ. 1893 หลังจากวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 สยามจำต้องยกดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส ซึ่งฝรั่งเศสได้รวบรวมดินแดนเหล่านี้เข้ากับอาณาจักรหลวงพระบาง (ซึ่งขณะนั้นเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส) และสถาปนาเป็นส่วนหนึ่งของอินโดจีนของฝรั่งเศส เรียกว่า "ลาวในอารักขาของฝรั่งเศส" (French Protectorate of Laos) เมืองเวียงจันทน์ได้รับการฟื้นฟูขึ้นเป็นเมืองหลวงอีกครั้ง
ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ลาวไม่ได้มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมากนัก ผลผลิตหลักคือดีบุก ยางพารา และกาแฟ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อย (ไม่เกิน 1%) ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของอินโดจีนฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1940 มีชาวฝรั่งเศสอาศัยอยู่ในลาวประมาณ 600 คน ฝรั่งเศสได้ส่งเสริมให้ชาวเวียดนามอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานและทำงานในลาวเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ภายในปี ค.ศ. 1943 ประชากรชาวเวียดนามมีจำนวนเกือบ 40,000 คน กลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ในบางเมืองของลาว เช่น เวียงจันทน์ (53%) ท่าแขก (85%) และปากเซ (62%) ยกเว้นหลวงพระบางที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวลาว ชาวเวียดนามเหล่านี้ยังมีสิทธิเลือกผู้นำของตนเอง ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1945 ฝรั่งเศสได้ร่างแผนการย้ายชาวเวียดนามจำนวนหนึ่งไปยังสามพื้นที่ คือ ที่ราบเวียงจันทน์, เขตสุวรรณเขต, และที่ราบสูงบอละเวน แต่แผนการนี้ต้องถูกระงับไปเนื่องจากการรุกรานอินโดจีนของญี่ปุ่น มาร์ติน สจวร์ต-ฟอกซ์ นักประวัติศาสตร์ ได้ให้ความเห็นว่าหากแผนการนี้สำเร็จ ชาวลาวอาจสูญเสียการควบคุมประเทศของตนเองไปแล้ว การพัฒนาระบบราชการและการศึกษาเป็นไปอย่างจำกัด โดยเน้นที่การผลิตบุคลากรเพื่อรับใช้การปกครองอาณานิคม
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้เข้ายึดครองอินโดจีนของฝรั่งเศส รวมถึงลาวด้วย เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 1945 กลุ่มชาตินิยมได้ประกาศให้ลาวเป็นอิสระอีกครั้ง โดยมีหลวงพระบางเป็นเมืองหลวง และในวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1945 กองทหารญี่ปุ่นสองกองพันได้เข้ายึดครองเมือง ญี่ปุ่นพยายามบังคับให้สมเด็จพระเจ้าศรีสว่างวงศ์ (กษัตริย์แห่งหลวงพระบาง) ประกาศเอกราชของลาว แต่ในวันที่ 8 เมษายน พระองค์ได้ประกาศยุติสถานะการเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศสแทน จากนั้นกษัตริย์ได้ส่งเจ้าชายกินดาวงศ์เป็นตัวแทนของลาวไปยังกองกำลังสัมพันธมิตร และเจ้าชายศรีสว่างวัฒนาเป็นตัวแทนไปยังญี่ปุ่น เมื่อญี่ปุ่นยอมจำนน กลุ่มชาตินิยมลาวบางกลุ่ม (รวมถึงเจ้าชายเพชรราช) ได้ประกาศเอกราชของลาว แต่หลังจากญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงคราม ฝรั่งเศสได้พยายามกลับเข้ามาปกครองลาวอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม กระแสชาตินิยมในลาวได้เติบโตขึ้น ขบวนการลาวอิสระได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านการปกครองของฝรั่งเศส
ในช่วงสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง พรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนได้ก่อตั้งองค์การเอกราชปะเทดลาวขึ้น ปะเทดลาวได้เริ่มทำสงครามต่อต้านกองกำลังอาณานิคมฝรั่งเศสด้วยความช่วยเหลือจากองค์การเอกราชของเวียดนามคือเวียดมินห์ ในปี ค.ศ. 1950 ฝรั่งเศสถูกบีบให้มอบเอกราชบางส่วนแก่ลาวในฐานะ "รัฐสมทบ" ภายในสหภาพฝรั่งเศส ฝรั่งเศสยังคงควบคุมโดยพฤตินัยจนถึงวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1953 เมื่อลาวได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์ในฐานะราชอาณาจักรลาว ปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศยังคงไม่มั่นคง และได้นำไปสู่สงครามกลางเมืองลาวในเวลาต่อมา
3.4. สงครามกลางเมืองและการสถาปนาระบอบคอมมิวนิสต์

ภายหลังได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1954 ราชอาณาจักรลาวต้องเผชิญกับความขัดแย้งทางการเมืองภายในอย่างรุนแรง ซึ่งนำไปสู่สงครามกลางเมืองลาวที่ยืดเยื้อตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959 ถึง 1975 สงครามนี้เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งในวงกว้างของสงครามเย็น โดยมีมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซง ฝ่ายรัฐบาลราชอาณาจักรลาว (กองทัพบกราชอาณาจักรลาว) ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรตะวันตก ขณะที่ขบวนการปะเทดลาว ซึ่งเป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์ ได้รับการสนับสนุนจากเวียดนามเหนือและสหภาพโซเวียต
สงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่งเกิดขึ้นทั่วอินโดจีนฝรั่งเศส และในที่สุดก็นำไปสู่ความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสและการลงนามในข้อตกลงสันติภาพสำหรับลาวที่การประชุมเจนีวาปี 1954 ในปี ค.ศ. 1960 ท่ามกลางการก่อกบฏหลายครั้งในราชอาณาจักรลาว การต่อสู้ได้ปะทุขึ้นระหว่างกองทัพราชอาณาจักรลาว (RLA) กับกองโจรปะเทดลาวที่ได้รับการสนับสนุนจากคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือและสหภาพโซเวียต รัฐบาลเฉพาะกาลแห่งชาติชุดที่สองที่ก่อตั้งโดยเจ้าชายสุวรรณภูมาในปี ค.ศ. 1962 ไม่ประสบความสำเร็จ และสถานการณ์ได้กลายเป็นสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐบาลราชอาณาจักรลาวกับปะเทดลาว ฝ่ายปะเทดลาวได้รับการสนับสนุนทางทหารจากกองทัพประชาชนเวียดนาม (PAVN) และเวียดกง
สาเหตุหลักของสงครามกลางเมืองเกิดจากความแตกแยกทางอุดมการณ์ระหว่างฝ่ายนิยมเจ้า (ฝ่ายขวา) ฝ่ายเป็นกลาง และฝ่ายคอมมิวนิสต์ (ฝ่ายซ้าย) ความพยายามในการจัดตั้งรัฐบาลผสมหลายครั้งประสบความล้มเหลว เนื่องจากความไม่ไว้วางใจและการแทรกแซงจากต่างชาติ สถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อลาวกลายเป็นสมรภูมิสำคัญในสงครามเวียดนาม เนื่องจากเวียดนามเหนือใช้ดินแดนลาวเป็นเส้นทางส่งกำลังบำรุงที่เรียกว่า เส้นทางโฮจิมินห์ ไปยังเวียดนามใต้
สหรัฐอเมริกาได้ดำเนินการทิ้งระเบิดทางอากาศอย่างหนักต่อกองกำลัง PAVN/ปะเทดลาว เพื่อป้องกันการล่มสลายของรัฐบาลกลางราชอาณาจักรลาว และเพื่อปฏิเสธการใช้เส้นทางโฮจิมินห์ในการโจมตีกองกำลังสหรัฐฯ ในเวียดนามใต้ ระหว่างปี ค.ศ. 1964 ถึง 1973 สหรัฐฯ ได้ทิ้งระเบิดใส่ลาวถึง 2 ล้านตัน เกือบเท่ากับระเบิด 2.1 ล้านตันที่สหรัฐฯ ทิ้งใส่ยุโรปและเอเชียตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ลาวกลายเป็นประเทศที่ถูกทิ้งระเบิดหนักที่สุดในประวัติศาสตร์เมื่อเทียบกับขนาดประชากร เดอะนิวยอร์กไทมส์ ตั้งข้อสังเกตว่านี่คือ "เกือบหนึ่งตันสำหรับทุกคนในลาว" ปฏิบัติการลับของซีไอเอในลาว หรือที่เรียกว่า "สงครามลับ" (Secret War) มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนกองกำลังชาวม้งและกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ให้ต่อสู้กับฝ่ายปะเทดลาวและเวียดนามเหนือ
ระเบิดประมาณ 80 ล้านลูกไม่ระเบิดและยังคงกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ วัตถุระเบิดที่ยังไม่ระเบิด (UXO) รวมถึงระเบิดลูกปรายและทุ่นระเบิด ทำให้ชาวลาวเสียชีวิตหรือพิการประมาณ 50 คนทุกปี เนื่องจากผลกระทบของระเบิดลูกปรายในช่วงสงครามนี้ ลาวจึงเป็นผู้สนับสนุนอนุสัญญาว่าด้วยระเบิดลูกปรายเพื่อห้ามใช้อาวุธดังกล่าว และเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐภาคีครั้งแรกของอนุสัญญาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2010
สงครามกลางเมืองส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชาชนลาว ทำให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และพลัดถิ่นจำนวนมาก เศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศได้รับความเสียหายอย่างหนัก ในที่สุด เมื่อสหรัฐอเมริกาถอนกำลังออกจากเวียดนามและไซ่ง่อนแตกในปี ค.ศ. 1975 ฝ่ายปะเทดลาวก็สามารถยึดอำนาจได้อย่างสมบูรณ์ สมเด็จพระเจ้าศรีสว่างวัฒนา พระมหากษัตริย์องค์สุดท้าย ทรงสละราชสมบัติในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1975 พระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ถูกส่งไปค่ายสัมมนาและเชื่อว่าสิ้นพระชนม์ที่นั่น มีผู้เสียชีวิตระหว่าง 20,000 ถึง 62,000 คนในช่วงสงครามกลางเมือง และมีการสถาปนา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ขึ้น ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของพรรคประชาชนปฏิวัติลาว เหตุการณ์นี้ถือเป็นการสิ้นสุดของระบอบกษัตริย์ที่ยาวนานหลายศตวรรษในลาว และเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของประเทศภายใต้การปกครองแบบพรรคเดียว
มุมมองของฝ่ายต่าง ๆ ต่อเหตุการณ์นี้มีความแตกต่างกัน ฝ่ายชนะมองว่าเป็นการปลดแอกประเทศจากการครอบงำของจักรวรรดินิยมและเป็นการสร้างสังคมที่เท่าเทียม ขณะที่ฝ่ายแพ้และผู้ลี้ภัยจำนวนมากมองว่าเป็นการสูญเสียเสรีภาพและเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมดั้งเดิม ความขัดแย้งที่ยังคงคุกรุ่น โดยเฉพาะกับกลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่เคยร่วมรบกับสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัญหาตกค้างมาจนถึงปัจจุบัน
3.5. สมัยสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ภายหลังการสถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปี ค.ศ. 1975 ประเทศลาวได้เข้าสู่ยุคการปกครองภายใต้พรรคประชาชนปฏิวัติลาว ซึ่งเป็นพรรคการเมืองเดียวตามแนวทางสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ในช่วงแรก รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของไกสอน พมวิหาน ได้ดำเนินนโยบายตามแบบอย่างของสหภาพโซเวียตและเวียดนาม โดยเน้นการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง การปฏิรูปที่ดิน และการสร้างสังคมแบบสังคมนิยม มีการส่งบุคคลที่เกี่ยวข้องกับระบอบเก่าจำนวนมากไป "สัมมนา" หรือเข้าค่ายดัดสันดาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและสร้างความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนจำนวนไม่น้อย
ลาวได้ลงนามในข้อตกลงที่ให้สิทธิเวียดนามในการส่งกองกำลังติดอาวุธเข้ามาประจำการและแต่งตั้งที่ปรึกษาเพื่อช่วยดูแลประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างลาวและเวียดนามได้รับการทำให้เป็นทางการผ่านสนธิสัญญาที่ลงนามในปี ค.ศ. 1977 ซึ่งได้กำหนดทิศทางนโยบายต่างประเทศของลาวตั้งแต่นั้นมา และเป็นพื้นฐานสำหรับการมีส่วนร่วมของเวียดนามในทุกระดับของชีวิตทางการเมืองและเศรษฐกิจของลาว ในปี ค.ศ. 1979 เวียดนามได้ขอให้ลาว ยุติความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งนำไปสู่การโดดเดี่ยวทางการค้าโดยจีน สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่น ๆ ในปี ค.ศ. 1979 มีทหารPAVN ประมาณ 50,000 นายประจำการอยู่ในลาว และมีเจ้าหน้าที่พลเรือนเวียดนามมากถึง 6,000 คน รวมถึง 1,000 คนที่สังกัดโดยตรงกับกระทรวงต่าง ๆ ในเวียงจันทน์
ในช่วงทศวรรษ 1980 ลาวเผชิญกับความยากลำบากทางเศรษฐกิจอย่างหนัก อันเนื่องมาจากการบริหารแบบรวมศูนย์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ การตัดความช่วยเหลือจากชาติตะวันตก และผลกระทบจากสงครามที่ยาวนาน ประกอบกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียตซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลัก ทำให้รัฐบาลลาวต้องปรับเปลี่ยนนโยบาย ในปี ค.ศ. 1986 ได้มีการประกาศนโยบาย "จินตนาการใหม่" (ຈິນຕະນາການໃໝ່จินตะนากานใหม่ภาษาลาว) หรือการปฏิรูปเศรษฐกิจ โดยค่อย ๆ เปิดรับระบบกลไกตลาดเสรีมากขึ้น ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ และลดการควบคุมของรัฐในภาคเศรษฐกิจ การปฏิรูปนี้ช่วยให้เศรษฐกิจลาวเริ่มฟื้นตัวและเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มกบฏม้งและกองทัพประชาชนลาวยังคงดำเนินต่อไปในหลายพื้นที่ของลาว รวมถึงในเขตทหารปิดไซสมบูน เขตทหารปิดไซสมบูนใกล้แขวงเวียงจันทน์และแขวงเชียงขวาง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 ถึง 1996 สหรัฐอเมริกาได้ตั้งถิ่นฐานใหม่ให้แก่ผู้ลี้ภัยชาวลาวประมาณ 250,000 คนจากประเทศไทย ซึ่งรวมถึงชาวม้ง 130,000 คน
ในช่วงทศวรรษ 1990 และ 2000 ลาวได้กระชับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะไทย เวียดนาม และจีน และได้เข้าเป็นสมาชิกอาเซียนในปี ค.ศ. 1997 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ และเส้นทางรถไฟลาว-จีน (เปิดให้บริการวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 2021) ซึ่งเป็นโครงการสำคัญของหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) เป็นนโยบายสำคัญที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เพื่อเปลี่ยนลาวจากประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล (landlocked) ให้เป็นประเทศเชื่อมโยงทางบก (land-linked) ในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม โครงการพัฒนาขนาดใหญ่เหล่านี้ก็นำมาซึ่งความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินที่เพิ่มสูงขึ้น ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น รวมถึงการพึ่งพาจีนมากขึ้น
ในด้านการเมือง ลาวยังคงปกครองด้วยระบบพรรคเดียว ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนยังคงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติ โดยเฉพาะเรื่องเสรีภาพในการแสดงออก การรวมกลุ่ม การจำกัดสิทธิของชนกลุ่มน้อย และปัญหาการบังคับบุคคลให้สูญหาย แม้จะมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจ แต่การพัฒนาประชาธิปไตยยังคงเป็นไปอย่างเชื่องช้า สถานการณ์ความขัดแย้งกับกลุ่มชาติพันธุ์ม้งบางส่วนที่เคยต่อต้านรัฐบาลยังคงมีอยู่บ้างในบางพื้นที่ แม้ว่าจะลดความรุนแรงลงมากแล้วก็ตาม
ปัจจุบัน ลาวกำลังเผชิญกับความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการพัฒนาที่ยั่งยืน การแก้ไขปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวม รวมถึงการรับมือกับอิทธิพลจากภายนอกและการรักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติในสภาวะแวดล้อมระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป
4. ภูมิศาสตร์
ประเทศลาวเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ตั้งอยู่ในใจกลางคาบสมุทรอินโดจีน มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 236.80 K km2 (พื้นดิน 230.80 K km2 และพื้นน้ำ 6.00 K km2) โดยมีพรมแดนติดต่อกับ 5 ประเทศ คือ จีนทางทิศเหนือ (ยาว 423 km), เวียดนามทางทิศตะวันออก (ยาว 2.13 K km), กัมพูชาทางทิศใต้ (ยาว 541 km), ไทยทางทิศตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ (ยาว 1.75 K km), และพม่าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (ยาว 235 km) รวมความยาวชายแดนทั้งสิ้น 5.08 K km ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงและที่ราบสูง มีแม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านประเทศและเป็นพรมแดนธรรมชาติที่สำคัญ
4.1. ลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศ

ภูมิประเทศของลาวส่วนใหญ่ประกอบด้วยภูเขาสูงและที่ราบสูง โดยภูเบี้ยเป็นยอดเขาที่สูงที่สุด มีความสูง 2.82 K m (หรือ 2.82 K m) ภูมิประเทศของลาวสามารถแบ่งออกเป็น 3 เขตหลัก ได้แก่:
1. เขตภูเขาสูง: พื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ย 1.50 K m ขึ้นไป ส่วนใหญ่อยู่ทางภาคเหนือ
2. เขตที่ราบสูง: พื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเฉลี่ย 1.00 K m เช่น ที่ราบสูงเชียงขวาง (เมืองพวน), ที่ราบสูงนากาย (แขวงคำม่วน), และที่ราบสูงบอละเวน (ภาคใต้)
3. เขตที่ราบลุ่ม: เป็นที่ราบตามแนวฝั่งแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขาต่าง ๆ เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดและเป็นแหล่งเกษตรกรรมสำคัญ เช่น ที่ราบลุ่มเวียงจันทน์ ที่ราบลุ่มสุวรรณเขต และที่ราบจำปาศักดิ์
พื้นที่เขตภูเขาสูงและที่ราบสูงรวมกันคิดเป็น 3 ใน 4 ของพื้นที่ประเทศทั้งหมด ลาวยังคงมีดัชนีความสมบูรณ์ของภูมิทัศน์ป่าไม้ (Forest Landscape Integrity Index) ปี 2019 อยู่ที่ 5.59/10 ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 98 จาก 172 ประเทศทั่วโลก
ประเทศลาวมีลักษณะภูมิอากาศแบบมรสุมเขตร้อน (Tropical Savanna climate) ซึ่งได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมเป็นหลัก ทำให้มีฤดูกาลที่ชัดเจน 3 ฤดู (ตามธรรมเนียมท้องถิ่น) หรือ 2 ฤดูหลัก (ตามหลักอุตุนิยมวิทยา):
- ฤดูฝน (ประมาณเดือนพฤษภาคม - ตุลาคม): ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้มีฝนตกชุก ปริมาณน้ำฝนคิดเป็น 75-90% ของปริมาณน้ำฝนทั้งปี
- ฤดูแล้ง (ประมาณเดือนพฤศจิกายน - เมษายน): ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ
- ฤดูหนาว (หรือฤดูแล้งที่เย็น ประมาณเดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธ์): อากาศเย็นและแห้ง โดยเฉพาะในเขตภูเขาสูงทางภาคเหนือ
- ฤดูร้อน (หรือฤดูแล้งที่ร้อน ประมาณเดือนมีนาคม - เมษายน/พฤษภาคม): เป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายฤดู อากาศจะร้อนและแห้งแล้ง อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ระหว่าง 26 °C ถึง 28 °C แต่ในฤดูร้อนอุณหภูมิอาจสูงถึง 40 °C
อุณหภูมิเฉลี่ยประจำปีสูงถึง 15 °C ถึง 30 °C และความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนมีประมาณ 10 °C จำนวนชั่วโมงที่มีแสงแดดต่อปีประมาณ 2,300-2,400 ชั่วโมง (เฉลี่ย 6.3-6.5 ชั่วโมงต่อวัน) ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศเฉลี่ย 70-85%
ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ โดยเขตเทือกเขาทางใต้ได้รับน้ำฝนเฉลี่ยปีละ 300 cm ขณะที่แขวงเชียงขวาง หลวงพระบาง และไชยบุรี ได้รับเพียง 100 cm ถึง 150 cm ส่วนแขวงเวียงจันทน์และแขวงสุวรรณเขตได้รับประมาณ 150 cm ถึง 200 cm
4.2. แม่น้ำสายสำคัญและทรัพยากรธรรมชาติ

แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำสายหลักและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศลาว โดยไหลผ่านประเทศเป็นระยะทางประมาณ 1.83 K km ทำหน้าที่เป็นเส้นชีวิตทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม แม่น้ำโขงและสาขาต่าง ๆ เป็นแหล่งน้ำสำคัญสำหรับการเกษตร การประมง การคมนาคมขนส่ง และเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าพลังน้ำที่สำคัญ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศ นอกจากนี้ แม่น้ำโขงยังเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างลาวกับไทยและพม่า แม่น้ำสายสำคัญอื่น ๆ ได้แก่:
- แม่น้ำอู (แขวงพงสาลี-แขวงหลวงพระบาง) ยาว 448 km
- แม่น้ำงึม (แขวงเชียงขวาง-นครหลวงเวียงจันทน์) ยาว 353 km
- แม่น้ำเซบั้งเหียง (แขวงสุวรรณเขต) ยาว 338 km
- แม่น้ำทา (แขวงหลวงน้ำทา-แขวงบ่อแก้ว) ยาว 325 km
- แม่น้ำเซกอง (แขวงสาละวัน-แขวงเซกอง-แขวงอัตตะปือ) ยาว 320 km
- แม่น้ำเซบั้งไฟ (แขวงคำม่วน-แขวงสุวรรณเขต) ยาว 239 km
- แม่น้ำแบ่ง (แขวงอุดมไซ) ยาว 215 km
- แม่น้ำเซโดน (แขวงสาละวัน-แขวงจำปาศักดิ์) ยาว 192 km
- แม่น้ำเซละนอง (แขวงสุวรรณเขต) ยาว 115 km
- แม่น้ำกะดิ่ง (แขวงบอลิคำไซ) ยาว 103 km
- แม่น้ำคาน (แขวงหัวพัน-แขวงหลวงพระบาง) ยาว 90 km
ทรัพยากรน้ำถือเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่าที่สุดของลาว ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูงและมีแม่น้ำหลายสาย ทำให้ลาวมีศักยภาพสูงในการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ ซึ่งรัฐบาลลาวได้ตั้งเป้าหมายที่จะเป็น "แบตเตอรี่แห่งเอเชีย" มีศักยภาพผลิตได้ประมาณ 18,000 MW และมีแผนส่งออกประมาณ 8,000 MW ไปยังไทยและเวียดนาม
นอกจากทรัพยากรน้ำแล้ว ลาวยังมีทรัพยากรแร่ธาตุที่สำคัญหลายชนิด เช่น ทองคำ ทองแดง ดีบุก ยิปซัม ตะกั่ว หินเกลือ เหล็ก ถ่านหินลิกไนต์ สังกะสี และอัญมณี มีการค้นพบแหล่งแร่กว่า 540 แห่ง อย่างไรก็ตาม การสำรวจและพัฒนาทรัพยากรแร่ธาตุเหล่านี้ยังอยู่ในระยะเริ่มต้นและเผชิญกับความท้าทายด้านการลงทุนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ทรัพยากรป่าไม้ก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศปกคลุมด้วยป่าไม้ (ประมาณ 55% ของพื้นที่ประเทศ) ซึ่งเป็นแหล่งของไม้มีค่าหลายชนิด เช่น ไม้สัก ไม้ประดู่ และไม้แดง อย่างไรก็ตาม ปัญหาการลักลอบตัดไม้และการทำลายป่าเพื่อขยายพื้นที่เกษตรกรรมยังคงเป็นปัญหาที่น่ากังวล
ประเทศลาวเป็นหนึ่งในสี่ประเทศในภูมิภาคปลูกฝิ่นที่เรียกว่า "สามเหลี่ยมทองคำ" จากข้อมูลของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2007 พื้นที่ปลูกฝิ่นอยู่ที่ 15 km2 ลดลงจาก 18 km2 ในปี ค.ศ. 2006
4.3. สัตว์ป่าและปัญหาสิ่งแวดล้อม

ประเทศลาวมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ด้วยพื้นที่ป่าไม้ที่กว้างใหญ่และสภาพภูมิประเทศที่หลากหลาย ทำให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าและพืชพรรณนานาชนิด สัตว์ป่าที่สำคัญและบางชนิดใกล้สูญพันธุ์ ได้แก่ เสือโคร่งอินโดจีน, ช้างเอเชีย, กระทิง, วัวแดง, สมเสร็จมลายู, เก้ง, กวางผา, และนกนานาชนิด นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดใหม่ ๆ ในลาว เช่น เสาลา (วัวหวูกว่าง) และกระต่ายอันนัม รวมถึงหนูหินลาว (ขะหยิว) ซึ่งเคยเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว
พืชพรรณในลาวมีความหลากหลายเช่นกัน ตั้งแต่ป่าดิบชื้น ป่าเบญจพรรณ ไปจนถึงป่าสนบนภูเขาสูง มีพืชสมุนไพรและกล้วยไม้หายากหลายชนิด ในปี ค.ศ. 1993 รัฐบาลลาวได้ประกาศให้พื้นที่ 21% ของประเทศเป็นเขตสงวนความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (National Biodiversity Conservation Area - NBCA) เพื่อคุ้มครองระบบนิเวศและสัตว์ป่า
อย่างไรก็ตาม ลาวกำลังเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงหลายประการ:
- การตัดไม้ทำลายป่า: การลักลอบตัดไม้ การทำไร่เลื่อนลอย และการขยายพื้นที่เกษตรกรรมเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้อย่างรวดเร็ว ป่าไม้ส่วนใหญ่ในลาวเป็นป่าเขตร้อน ซึ่งโดยทั่วไปประกอบด้วยต้นไม้ที่ผลัดใบในฤดูแล้ง น้อยกว่าหนึ่งในสามของป่าไม้ยังคงเป็นป่าดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ป่าเหล่านี้กำลังตกอยู่ในอันตรายจากการตัดไม้อย่างเกินขนาดในหลายพื้นที่ เช่น ภาคใต้และตะวันออกเฉียงใต้ อันตรายอีกประการหนึ่งมาในรูปแบบของการแผ้วถางป่าตามประเพณีโดยใช้วิธีการตัดและเผาโดยชนเผ่าบนภูเขาบางกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อปลูกข้าวไร่ แต่ยังรวมถึงข้าวโพดหรือฝิ่นด้วย
- การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ: การทำลายถิ่นที่อยู่และการล่าสัตว์ป่าทำให้สัตว์หลายชนิดตกอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์
- ผลกระทบจากการสร้างเขื่อน: การสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำจำนวนมากส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศแม่น้ำ การอพยพของปลา และวิถีชีวิตของชุมชนริมน้ำ
- มลพิษจากเหมืองแร่: การทำเหมืองแร่บางแห่งก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำและดิน
- ปัญหาขยะและมลพิษในเมือง: การขยายตัวของเมืองและการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นนำมาซึ่งปัญหาขยะและน้ำเสีย
- ระเบิดที่ไม่ระเบิด (UXO): ระเบิดจำนวนมหาศาลที่ตกค้างจากสมัยสงครามยังคงเป็นอันตรายต่อชีวิตและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาที่ดิน
ความท้าทายเหล่านี้ต้องการการจัดการและการวางแผนที่ยั่งยืนเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ
5. การเมืองการปกครอง
ประเทศลาวปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์แบบพรรคการเมืองเดียวคือ พรรคประชาชนปฏิวัติลาว ซึ่งมีบทบาทชี้นำประเทศในทุกด้าน โครงสร้างอำนาจรัฐประกอบด้วยประธานประเทศ นายกรัฐมนตรี และสภาแห่งชาติ แม้จะมีการปฏิรูปเศรษฐกิจไปสู่ระบบตลาด แต่การเมืองยังคงรวมศูนย์อำนาจและเผชิญกับความท้าทายด้านสิทธิมนุษยชนและความขัดแย้งทางชาติพันธุ์

เลขาธิการใหญ่พรรคประชาชนปฏิวัติลาว และประธานประเทศ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2021

นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2022
5.1. โครงสร้างรัฐบาลและระบบการเมือง
ประเทศลาวปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ โดยมีพรรคประชาชนปฏิวัติลาว (LPRP) เป็นพรรคการเมืองเดียวที่มีอำนาจตามกฎหมายและเป็นองค์กรชี้นำรัฐในทุกระดับตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ เลขาธิการใหญ่พรรคฯ ถือเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดโดยพฤตินัย
โครงสร้างอำนาจรัฐประกอบด้วย:
- ประธานประเทศ: เป็นประมุขแห่งรัฐ มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี ได้รับเลือกจากสภาแห่งชาติ ประธานประเทศคนปัจจุบันคือ ทองลุน สีสุลิด (ณ เดือนมีนาคม ค.ศ. 2021) ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคฯ ด้วย
- นายกรัฐมนตรี: เป็นหัวหน้ารัฐบาล ได้รับการแต่งตั้งจากประธานประเทศโดยความเห็นชอบของสภาแห่งชาติ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือ สอนไซ สีพันดอน (ณ เดือนธันวาคม ค.ศ. 2022)
- สภาแห่งชาติ: เป็นองค์กรนิติบัญญัติสูงสุด มีสภาเดียว สมาชิกมาจากการเลือกตั้ง มีวาระ 5 ปี ทำหน้าที่ออกกฎหมาย อนุมัติงบประมาณ และตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล สภาแห่งชาติชุดปัจจุบันมีสมาชิก 164 คน
- ศาลประชาชนสูงสุด: เป็นองค์กรตุลาการสูงสุด
- คณะรัฐมนตรี: บริหารประเทศภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี
รัฐธรรมนูญฉบับแรกของลาวที่เขียนโดยฝรั่งเศสและเป็นแบบราชาธิปไตยประกาศใช้เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1947 และประกาศให้ลาวเป็นรัฐเอกราชในเครือสหภาพฝรั่งเศส รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1957 ได้ตัดการอ้างอิงถึงสหภาพฝรั่งเศสออกไป ขณะที่ความสัมพันธ์ด้านการศึกษา สาธารณสุข และเทคนิคกับอดีตเจ้าอาณานิคมยังคงอยู่ เอกสารฉบับปี ค.ศ. 1957 ถูกยกเลิกในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1975 เมื่อมีการประกาศตั้งสาธารณรัฐประชาชนคอมมิวนิสต์ มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปี ค.ศ. 1991 ซึ่งบัญญัติให้พรรคประชาชนปฏิวัติลาวมี "บทบาทนำ"
กระบวนการทางการเมืองในลาวถูกควบคุมโดยพรรคประชาชนปฏิวัติลาว การเลือกตั้งสภาแห่งชาติจัดขึ้นทุก 5 ปี แต่ผู้สมัครส่วนใหญ่ต้องได้รับการอนุมัติจากพรรคฯ แม้จะมีการปฏิรูปเศรษฐกิจไปสู่ระบบตลาดมากขึ้น แต่ระบบการเมืองยังคงเป็นแบบรวมศูนย์อำนาจและไม่เปิดกว้างต่อการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนหรือพรรคการเมืองอื่น
5.2. สิทธิมนุษยชน
สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในลาวยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวลและถูกวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรระหว่างประเทศและนักเคลื่อนไหว แม้รัฐธรรมนูญลาว (ฉบับปี 1991 แก้ไขปี 2003) จะรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานบางประการ เช่น ความเสมอภาคระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ (มาตรา 8) ความเท่าเทียมทางเพศ เสรีภาพในการนับถือศาสนา เสรีภาพในการพูด สื่อ และการชุมนุม แต่ในทางปฏิบัติมีการจำกัดสิทธิอย่างกว้างขวาง รัฐบาลควบคุมสื่ออย่างเข้มงวด และการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือพรรคประชาชนปฏิวัติลาวอาจนำไปสู่การคุกคามหรือการลงโทษ
ประเด็นสิทธิมนุษยชนที่สำคัญในลาว ได้แก่:
- การจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกและสื่อ: สื่อมวลชนถูกควบคุมโดยรัฐ การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตถูกจำกัด และมีการตรวจสอบเนื้อหาออนไลน์ ผู้ที่แสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอาจเผชิญกับการคุกคาม
- สิทธิของชนกลุ่มน้อย: โดยเฉพาะชาวม้งบางกลุ่มที่เคยร่วมมือกับสหรัฐฯ ในช่วงสงครามกลางเมือง ยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติและการละเมิดสิทธิ มีรายงานการปะทะกันระหว่างกองกำลังรัฐบาลกับกลุ่มติดอาวุธม้งในบางพื้นที่ แม้จะลดน้อยลงแล้วก็ตาม
- ปัญหาการบังคับบุคคลให้สูญหาย: มีกรณีของนักเคลื่อนไหวและผู้เห็นต่างทางการเมืองที่ถูกบังคับให้สูญหาย เช่น กรณีของสมบัด สมพอน นักพัฒนาสังคมคนสำคัญที่หายตัวไปในปี ค.ศ. 2012 และยังไม่ทราบชะตากรรม
- เสรีภาพในการนับถือศาสนา: แม้รัฐธรรมนูญจะรับรองเสรีภาพทางศาสนา แต่กลุ่มศาสนาที่ไม่ได้รับการรับรองจากรัฐ โดยเฉพาะชาวคริสต์บางกลุ่ม อาจเผชิญกับการจำกัดกิจกรรมและการคุกคาม
- สิทธิแรงงาน: การคุ้มครองสิทธิแรงงานยังอ่อนแอ ปัญหาการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมบางประเภท
- การขาดกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรม: ระบบตุลาการยังขาดความเป็นอิสระและอยู่ภายใต้อิทธิพลของพรรคฯ ผู้ถูกกล่าวหายากที่จะได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม
- โทษประหารชีวิต: แม้จะไม่มีการประหารชีวิตมาหลายปี แต่โทษประหารชีวิตยังคงมีอยู่ในกฎหมายสำหรับความผิดร้ายแรงบางประเภท
- การค้ามนุษย์: ลาวถูกระบุว่าเป็นประเทศต้นทางของการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็กหญิงจากกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ตกเป็นเหยื่อการค้าประเวณี
เมื่อวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 2009 ลาวได้ให้สัตยาบันต่อกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) หลังจากลงนามในสนธิสัญญาดังกล่าวเป็นเวลา 9 ปี นโยบายที่ระบุไว้ของรัฐบาลลาวและผู้บริจาคระหว่างประเทศยังคงมุ่งเน้นไปที่การบรรลุการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและการลดความยากจน ดัชนีประชาธิปไตย ของ ดิ อีโคโนมิสต์ ในปี 2016 จัดให้ลาวเป็น "ระบอบเผด็จการ" ซึ่งอยู่ในอันดับต่ำสุดในบรรดา 9 ประเทศอาเซียนที่รวมอยู่ในการศึกษานี้
ความท้าทายในการพัฒนาประชาธิปไตยและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในลาวยังคงมีอยู่มาก รัฐบาลลาวมักอ้างถึงความจำเป็นในการรักษาเสถียรภาพของชาติและความเป็นเอกภาพของพรรคฯ ในการจำกัดสิทธิบางประการ มุมมองของผู้ได้รับผลกระทบและมาตรฐานสากลด้านสิทธิมนุษยชนมักถูกละเลยหรือให้ความสำคัญน้อยกว่า
5.3. ความขัดแย้งกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง

ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลลาวกับกลุ่มชาติพันธุ์ม้งบางส่วนมีรากฐานทางประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนและยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ช่วงสงครามกลางเมืองลาว (ค.ศ. 1959-1975) ชาวม้งจำนวนมากได้รับการสนับสนุนจากซีไอเอของสหรัฐฯ ให้จัดตั้งกองกำลังพิเศษ (Special Guerrilla Units - SGU) เพื่อต่อสู้กับขบวนการปะเทดลาวและกองทัพเวียดนามเหนือในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของลาว หรือที่เรียกว่า "สงครามลับ" (Secret War)
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ค.ศ. 1975 เมื่อพรรคประชาชนปฏิวัติลาวเข้ายึดอำนาจ ชาวม้งที่เคยร่วมรบกับฝ่ายรัฐบาลเก่าและสหรัฐฯ ถูกมองว่าเป็นศัตรูของระบอบใหม่ รัฐบาลใหม่ได้ดำเนินนโยบายปราบปรามกลุ่มต่อต้าน รวมถึงชาวม้งที่ยังคงจับอาวุธต่อสู้ในพื้นที่ห่างไกล โดยเฉพาะในแขวงเชียงขวางและเขตพิเศษไซสมบูน หนังสือพิมพ์คอมมิวนิสต์ฉบับหนึ่งในปี ค.ศ. 1977 ได้ประกาศว่าพรรคฯ จะตามล่า "ผู้ร่วมมือกับอเมริกัน" และครอบครัวของพวกเขา "จนถึงรากสุดท้าย"
สาเหตุของการปะทะและความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมาจากหลายปัจจัย:
- การตอบโต้ทางการเมือง: รัฐบาลลาวมองว่ากลุ่มม้งที่ต่อต้านเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติและอุดมการณ์คอมมิวนิสต์
- การสูญเสียและการพลัดถิ่น: ชาวม้งจำนวนมาก (ประมาณ 200,000 คน) ต้องอพยพลี้ภัยไปยังประเทศไทยและประเทศที่สาม เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย เพื่อหลีกหนีการปราบปราม สหรัฐฯ ได้รับผู้ลี้ภัยชาวลาวประมาณ 250,000 คน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นชาวม้ง 130,000 คน
- การละเมิดสิทธิมนุษยชน: มีรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวม้งที่ถูกจับกุมหรือที่ยังคงหลบซ่อนอยู่ในป่า
- ปัญหาการกลับคืนถิ่น: ผู้ลี้ภัยชาวม้งที่ถูกส่งตัวกลับประเทศลาวบางส่วนอ้างว่าถูกเลือกปฏิบัติและได้รับการปฏิบัติที่โหดร้ายจากเจ้าหน้าที่ลาว ในปี ค.ศ. 1989 สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) โดยการสนับสนุนของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้จัดทำแผนปฏิบัติการที่ครอบคลุม (Comprehensive Plan of Action) เพื่อจัดการกับผู้ลี้ภัยอินโดจีน รวมถึงชาวลาวและม้งในไทย ลาวตกลงที่จะรับผู้ลี้ภัย 60,000 คนกลับประเทศ อย่างไรก็ตาม มีข้อกล่าวหาเรื่องการบังคับส่งตัวกลับ และนายวือ มาย (Vue Mai) อดีตทหารม้งและผู้นำค่ายผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดในไทย ซึ่งถูกสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเทพฯ ชักชวนให้กลับลาวเพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จของโครงการ ได้หายตัวไปในเวียงจันทน์ในปี ค.ศ. 1993 และเชื่อว่าถูกกองกำลังความมั่นคงลาวจับกุม
สถานการณ์ปัจจุบันของผู้ลี้ภัยและผู้ได้รับผลกระทบยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวล แม้ว่าความรุนแรงของการปะทะจะลดลงมากแล้วก็ตาม ชาวม้งที่ยังคงหลบซ่อนอยู่ในป่ามีจำนวนน้อยลง กลุ่มสุดท้ายที่สำคัญกลุ่มหนึ่งได้ออกมาจากป่าในปี ค.ศ. 2003 และในปี ค.ศ. 2004-2005 ชาวม้งหลายพันคนได้หลบหนีจากป่าในลาวไปยังค่ายผู้ลี้ภัยชั่วคราวในจังหวัดเพชรบูรณ์ ประเทศไทย ความพยายามในการตั้งถิ่นฐานใหม่ของผู้ลี้ภัยม้งในสหรัฐฯ เผชิญอุปสรรคจากกฎหมายเช่น รัฐบัญญัติความรักปิตุภูมิ (Patriot Act) และ รัฐบัญญัติเรียลไอดี (Real ID Act) ซึ่งจัดประเภททหารผ่านศึกม้งในสงครามลับว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
มีความพยายามในการแก้ไขปัญหาจากหลายฝ่าย รวมถึงการให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาแก่ชุมชนชาวม้งในลาว และการตั้งถิ่นฐานใหม่ของผู้ลี้ภัยในประเทศที่สาม มุมมองจากนานาชาติ โดยเฉพาะองค์กรสิทธิมนุษยชน สหภาพยุโรป UNHCR และรัฐบาลบางประเทศ ยังคงเรียกร้องให้รัฐบาลลาวเคารพสิทธิมนุษยชนของชาวม้งและให้การปฏิบัติที่เป็นธรรมต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในอดีต อย่างไรก็ตาม ปัญหาความไม่ไว้วางใจและความแตกต่างทางประวัติศาสตร์ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในการสร้างความปรองดองที่ยั่งยืน
6. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
นโยบายต่างประเทศของลาวเน้นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านและประเทศมหาอำนาจ เพื่อรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และเสริมสร้างบทบาทในเวทีระหว่างประเทศ ลาวเป็นสมาชิกขององค์กรระหว่างประเทศที่สำคัญหลายแห่ง เช่น อาเซียนและสหประชาชาติ
6.1. ภาพรวมนโยบายต่างประเทศ

นโยบายต่างประเทศของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมีพื้นฐานอยู่บนหลักการสันติภาพ เอกราช มิตรภาพ และความร่วมมือกับทุกประเทศ โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างทางระบบการเมืองและสังคม ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ค.ศ. 1975 ในช่วงแรก ลาวมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับกลุ่มประเทศสังคมนิยม โดยเฉพาะเวียดนามและสหภาพโซเวียต และมีท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์ต่อชาติตะวันตก โดยลาวพึ่งพาสหภาพโซเวียตในการให้ความช่วยเหลือจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตาม หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตและการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การเมืองโลก ลาวได้ปรับนโยบายต่างประเทศให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยมุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกประเทศเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติและการพัฒนาประเทศ เป้าหมายหลักของนโยบายต่างประเทศลาว ได้แก่:
- การรักษาเอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดน
- การสร้างสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
- การส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความร่วมมือในภูมิภาคและโลก
- การยกระดับบทบาทและภาพลักษณ์ของลาวในเวทีระหว่างประเทศ
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศของลาว ได้แก่ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางของคาบสมุทรอินโดจีน การเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ความจำเป็นในการพึ่งพาความช่วยเหลือและการลงทุนจากต่างประเทศ และความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์กับประเทศเพื่อนบ้านและมหาอำนาจ ลาวให้ความสำคัญกับการทูตเชิงเศรษฐกิจ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน และการมีส่วนร่วมในกลไกความร่วมมือระดับภูมิภาคและอนุภูมิภาค เช่น อาเซียน กรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง (Mekong River Commission, Greater Mekong Subregion) และกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation)
การฟื้นตัวจากความโดดเดี่ยวระหว่างประเทศของลาวเกิดขึ้นผ่านการขยายความสัมพันธ์กับประเทศอื่น ๆ รวมถึงรัสเซีย จีน ไทย ออสเตรเลีย เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น และสวิตเซอร์แลนด์ ความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐอเมริกาได้รับการปรับให้เป็นปกติในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2004 ผ่านกฎหมายที่ได้รับอนุมัติจากสภาคองเกรส
6.2. ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน
ประเทศลาวมีพรมแดนติดกับ 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม จีน พม่า และกัมพูชา ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อลาวในทุกมิติ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
- เวียดนาม: ลาวและเวียดนามมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและพิเศษมายาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ช่วงการต่อสู้เพื่อเอกราชและสงครามกลางเมือง ซึ่งทั้งสองประเทศต่างให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน มีการลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในปี ค.ศ. 1977 ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความสัมพันธ์ทวิภาคี ความร่วมมือครอบคลุมทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การศึกษา และวัฒนธรรม เวียดนามเป็นหนึ่งในคู่ค้าและนักลงทุนรายใหญ่ของลาว และให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาแก่ลาวอย่างต่อเนื่อง
- จีน: ความสัมพันธ์ระหว่างลาวกับจีนได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและการลงทุน จีนเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในลาว โดยเฉพาะในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ทางรถไฟลาว-จีน เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ และเขตเศรษฐกิจพิเศษ ความร่วมมือทางการเมืองและความมั่นคงก็มีความใกล้ชิดมากขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาจีนที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินและอิทธิพลของจีนในลาว
- ไทย: ลาวและไทยมีความผูกพันทางประวัติศาสตร์ ภาษา และวัฒนธรรมที่ใกล้ชิด ความสัมพันธ์ทวิภาคีครอบคลุมหลายด้าน ทั้งการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การเชื่อมโยงคมนาคม และความร่วมมือตามแนวชายแดน ไทยเป็นคู่ค้าและนักลงทุนที่สำคัญของลาว และเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวลาว อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ในอดีตเคยมีความตึงเครียดบ้างในบางประเด็น เช่น ปัญหาชายแดนและผู้ลี้ภัย แต่ปัจจุบันมีความร่วมมือที่ดีขึ้น
- กัมพูชา: ลาวและกัมพูชามีความสัมพันธ์ฉันมิตรที่ดี มีความร่วมมือในกรอบอาเซียนและอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง มีการส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกัน แม้จะเคยมีปัญหาเรื่องการปักปันเขตแดนอยู่บ้าง แต่ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการเจรจา
- พม่า: ความสัมพันธ์ระหว่างลาวกับพม่าเป็นไปอย่างราบรื่น มีความร่วมมือในกรอบอาเซียนและการแก้ไขปัญหายาเสพติดข้ามชาติ การค้าชายแดนและการไปมาหาสู่กันของประชาชนตามแนวชายแดนมีอยู่บ้าง แต่ไม่มากเท่ากับประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ
ความท้าทายในความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ การบริหารจัดการชายแดน ปัญหาการค้ามนุษย์ ยาเสพติด และผลกระทบจากการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ข้ามพรมแดน เช่น เขื่อนในแม่น้ำโขง ลาวพยายามดำเนินนโยบายสมดุลเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกประเทศเพื่อนบ้านและส่งเสริมความร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน
6.3. ความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจ
ความสัมพันธ์ระหว่างลาวกับประเทศมหาอำนาจหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา รัสเซีย และจีน (ในฐานะมหาอำนาจโลก) มีความสำคัญและส่งผลกระทบต่อลาวในหลายมิติ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
- จีน: ในปัจจุบัน จีนถือเป็นมหาอำนาจที่มีอิทธิพลต่อลาวมากที่สุด โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและการลงทุน จีนเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในลาว และเป็นผู้ให้กู้รายใหญ่ในโครงการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น ทางรถไฟลาว-จีน ความสัมพันธ์ทางการเมืองและความมั่นคงก็มีความใกล้ชิดมากขึ้นภายใต้กรอบความร่วมมือ "ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันลาว-จีน" (Community of Shared Future) ลาวสนับสนุนนโยบาย "จีนเดียว" และมีส่วนร่วมในโครงการ "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" (Belt and Road Initiative - BRI) ของจีน อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาจีนที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สิน อธิปไตย และผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม
- สหรัฐอเมริกา: ความสัมพันธ์ระหว่างลาวกับสหรัฐฯ มีประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อน ในช่วงสงครามกลางเมืองลาว สหรัฐฯ ได้ให้การสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลราชอาณาจักรลาวและปฏิบัติการทางทหารลับในลาว ซึ่งรวมถึงการทิ้งระเบิดอย่างหนัก ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ค.ศ. 1975 ความสัมพันธ์ได้หยุดชะงักไป แต่ได้ค่อย ๆ ฟื้นฟูขึ้นในช่วงทศวรรษ 1990 ปัจจุบัน สหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือแก่ลาวในด้านการเก็บกู้ระเบิดที่ไม่ระเบิด (UXO) การพัฒนาชนบท สาธารณสุข และการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนยังมีจำกัด ความสัมพันธ์ยังคงเผชิญกับความท้าทายจากความแตกต่างทางระบบการเมืองและประเด็นสิทธิมนุษยชน
- รัสเซีย: ในฐานะผู้สืบทอดสหภาพโซเวียต รัสเซียยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลาว สหภาพโซเวียตเคยเป็นผู้สนับสนุนหลักของลาวในช่วงหลังปี ค.ศ. 1975 ทั้งด้านเศรษฐกิจ การทหาร และการศึกษา ปัจจุบัน ความร่วมมือระหว่างลาวกับรัสเซียครอบคลุมด้านการเมือง การทหาร (การฝึกอบรมบุคลากร การจัดซื้ออาวุธ) พลังงาน และวัฒนธรรม รัสเซียยังคงให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนลาว และมีความร่วมมือในเวทีระหว่างประเทศ
ลาวดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบ "เพื่อนมิตรกับทุกประเทศ" และพยายามรักษาสมดุลในความสัมพันธ์กับมหาอำนาจต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกครอบงำและเพื่อแสวงหาผลประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศ ลาวให้ความสำคัญกับการทูตแบบหลายฝ่ายและการมีส่วนร่วมในองค์กรระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างบทบาทและรักษาผลประโยชน์ของตนในเวทีโลก
6.4. ความสัมพันธ์กับประเทศไทย


ความสัมพันธ์ระหว่างลาวและไทยมีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้งและยาวนาน ทั้งในมิติทางประวัติศาสตร์ เชื้อชาติ ภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม ประชาชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขงมีความคล้ายคลึงและสามารถสื่อสารกันได้อย่างเข้าใจ ทำให้มีความสัมพันธ์ในระดับประชาชนที่แน่นแฟ้น
- ด้านการเมือง:** ในอดีต ความสัมพันธ์ทางการเมืองเคยมีความตึงเครียดบ้าง โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็นและความขัดแย้งทางอุดมการณ์ รวมถึงปัญหาเขตแดน เช่น กรณีพิพาทบ้านร่มเกล้า อย่างไรก็ตาม ภายหลังการปรับเปลี่ยนนโยบายของทั้งสองประเทศ ความสัมพันธ์ได้พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงอย่างสม่ำเสมอ และมีความร่วมมือในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี เช่น อาเซียนและกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง
- ด้านเศรษฐกิจ:** ไทยเป็นคู่ค้าและนักลงทุนรายใหญ่ที่สำคัญของลาว การค้าชายแดนมีความคึกคัก สินค้าไทยเป็นที่นิยมในตลาดลาว ขณะที่ลาวส่งออกสินค้าเกษตรและพลังงานไฟฟ้ามายังไทยเป็นหลัก มีการลงทุนของภาคเอกชนไทยในลาวหลายสาขา เช่น พลังงาน เกษตรกรรม การบริการ และอุตสาหกรรมเบา
- ด้านสังคมและวัฒนธรรม:** มีความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ศาสนา และการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ประชาชนลาวจำนวนมากเดินทางมารับการรักษาพยาบาลและศึกษาต่อในประเทศไทย ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยก็นิยมเดินทางไปท่องเที่ยวในลาวเช่นกัน มีการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมร่วมกันเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ
- ด้านประชาชน:** การไปมาหาสู่กันระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศเป็นไปอย่างสะดวก โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน มีการสมรสข้ามแดนและความสัมพันธ์ทางเครือญาติที่แน่นแฟ้น
- ประเด็นความร่วมมือและข้อพิพาทที่สำคัญ:**
โดยรวมแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างลาวและไทยในปัจจุบันถือว่ามีความใกล้ชิดและมีพลวัตสูง โดยเน้นการส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกันและความร่วมมือในทุกระดับ ในปี ค.ศ. 2019 มุน แจ-อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ได้เดินทางเยือนลาวและให้คำมั่นสัญญาว่าจะให้เงินทุนสนับสนุนการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง ในปี ค.ศ. 2023 เกาหลีใต้ได้กำหนดนโยบายที่จะขยายความร่วมมือกับลาวเพื่อสนับสนุนให้ลาวหลุดพ้นจากสถานะประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุดภายในปี ค.ศ. 2026
6.5. องค์การระหว่างประเทศ
ประเทศลาวมีบทบาทและการมีส่วนร่วมในองค์การระหว่างประเทศที่สำคัญหลายแห่ง โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมผลประโยชน์แห่งชาติ รักษาความมั่นคง สร้างความร่วมมือในการพัฒนา และยกระดับสถานะของประเทศในเวทีโลก องค์การระหว่างประเทศที่ลาวเป็นสมาชิกและมีความสำคัญ ได้แก่:
- อาเซียน (ASEAN): ลาวเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1997 การเป็นสมาชิกอาเซียนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อลาวทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคง ลาวได้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกิจกรรมต่าง ๆ ของอาเซียน และเคยดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนมาแล้ว ความร่วมมือในกรอบอาเซียนช่วยให้ลาวสามารถรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาค และมีเสียงในเวทีระหว่างประเทศมากขึ้น
- สหประชาชาติ (UN): ลาวเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1955 ลาวมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ของสหประชาชาติ รวมถึงการส่งเสริมสันติภาพ การพัฒนาที่ยั่งยืน และสิทธิมนุษยชน ลาวได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่าง ๆ ของสหประชาชาติ เช่น โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP), กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF), และองค์การอนามัยโลก (WHO) ในการพัฒนาประเทศ
- องค์การการค้าโลก (WTO): ลาวได้ยื่นขอเป็นสมาชิกในปี ค.ศ. 1997 และเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 การเป็นสมาชิก WTO ช่วยให้ลาวสามารถเข้าถึงตลาดโลกได้กว้างขึ้น และต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นการส่งเสริมการปฏิรูปเศรษฐกิจภายในประเทศ
- องค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส (La Francophonie): ลาวเป็นสมาชิกขององค์การนี้ สะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมกับฝรั่งเศส และเป็นการส่งเสริมการใช้ภาษาฝรั่งเศสและความร่วมมือกับประเทศสมาชิกอื่น ๆ
- ขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (NAM): ลาวเป็นสมาชิกของขบวนการนี้ ซึ่งเป็นเวทีสำหรับประเทศกำลังพัฒนาในการแสดงจุดยืนที่เป็นอิสระและไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในเวทีการเมืองโลก
- ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB): ลาวเป็นสมาชิกและได้รับความช่วยเหลือทางการเงินและทางเทคนิคจาก ADB ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและลดความยากจน
- ข้อตกลงการค้าเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Trade Agreement - APTA)
- การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (East Asia Summit - EAS): ลาวเข้าร่วมการประชุมครั้งแรกในปี ค.ศ. 2005
- กรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion - GMS): ลาวเป็นสมาชิกที่แข็งขันในกรอบความร่วมมือนี้ ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจ การเชื่อมโยงคมนาคม และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในอนุภูมิภาค
- คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission - MRC): ลาวร่วมมือกับไทย กัมพูชา และเวียดนาม ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน
การมีส่วนร่วมในองค์การระหว่างประเทศเหล่านี้ช่วยให้ลาวสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ความช่วยเหลือทางเทคนิค ตลาด และความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศและการบรรลุเป้าหมายแห่งชาติ
7. กองทัพ

กองทัพประชาชนลาว (ກອງທັບປະຊາຊົນລາວกองทับปะซาซนลาวภาษาลาว) เป็นกองกำลังทหารหลักของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกระทรวงป้องกันประเทศ และมีประธานประเทศเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองทัพประชาชนลาวมีบทบาทสำคัญในการปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และระบอบการปกครองสังคมนิยมของประเทศ
- โครงสร้าง:** กองทัพประชาชนลาวประกอบด้วย 3 เหล่าทัพหลัก คือ
1. กองทัพบกประชาชนลาว: เป็นเหล่าทัพที่ใหญ่ที่สุด มีกำลังพลหลักในการป้องกันประเทศทางภาคพื้นดิน
2. กองทัพอากาศประชาชนลาว: มีหน้าที่ป้องกันน่านฟ้าและสนับสนุนการปฏิบัติการของเหล่าทัพอื่น
3. กองทัพเรือประชาชนลาว: เนื่องจากลาวไม่มีทางออกสู่ทะเล กองทัพเรือจึงมีบทบาทจำกัด โดยเน้นการปฏิบัติการในแม่น้ำโขงและแหล่งน้ำภายในประเทศ
- กำลังพล:** ข้อมูลในปี ค.ศ. 2020 ระบุว่า กองทัพประชาชนลาวมีกำลังพลประจำการประมาณ 29,100 นาย โดยส่วนใหญ่เป็นทหารบก (ประมาณ 25,600 นาย) และทหารอากาศ (ประมาณ 3,500 นาย) นอกจากนี้ยังมีกองกำลังกึ่งทหารและอาสาสมัครป้องกันตนเอง (Self-Defense Militia Forces) ซึ่งมีจำนวนประมาณ 100,000 นาย ทำหน้าที่สนับสนุนการป้องกันในระดับท้องถิ่น ลาวมีระบบการเกณฑ์ทหาร
- อาวุธยุทโธปกรณ์หลัก:** อาวุธยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่ของกองทัพประชาชนลาวมีที่มาจากอดีตสหภาพโซเวียตและรัสเซีย จีน และเวียดนาม รวมถึงอาวุธที่ยึดได้จากสมัยสงครามกลางเมือง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการจัดซื้ออาวุธและยุทโธปกรณ์ใหม่ ๆ จากรัสเซียและจีนบ้างเพื่อปรับปรุงความทันสมัยของกองทัพ
- นโยบายด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ:** นโยบายความมั่นคงของลาวเน้นการป้องกันตนเอง การรักษาเสถียรภาพภายในประเทศ และการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้านและมหาอำนาจ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาประเทศ ลาวยังคงให้ความสำคัญกับการควบคุมพื้นที่ชายแดน การป้องกันการแทรกซึมของกลุ่มต่อต้าน และการแก้ไขปัญหายาเสพติด งบประมาณด้านกลาโหมในปี ค.ศ. 2006 อยู่ที่ประมาณ 13.30 M USD
- ความร่วมมือทางทหารกับต่างประเทศ:** ลาวมีความร่วมมือทางทหารกับหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเวียดนาม ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมายาวนาน รวมถึงการฝึกอบรมบุคลากรและการแลกเปลี่ยนทางทหาร นอกจากนี้ ลาวยังมีความร่วมมือทางทหารกับรัสเซียและจีน ซึ่งรวมถึงการจัดซื้ออาวุธ การฝึกอบรม และการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กองทัพประชาชนจีนได้เพิ่มการมีส่วนร่วมกับกองทัพลาว ลาวมีส่วนร่วมในการฝึกซ้อมทางทหารร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศคู่เจรจาอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงในภูมิภาค
8. การแบ่งเขตการปกครอง
ประเทศลาวมีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็นระดับต่าง ๆ เพื่อความสะดวกในการบริหารประเทศ โครงสร้างหลักประกอบด้วย แขวง (เทียบเท่าจังหวัดในประเทศไทย) และนครหลวง (เมืองหลวง) ซึ่งแบ่งย่อยลงไปเป็นเมือง (เทียบเท่าอำเภอ) และบ้าน (เทียบเท่าหมู่บ้าน)
ปัจจุบัน ประเทศลาวแบ่งออกเป็น **17 แขวง** (ແຂວງแขวงภาษาลาว) และ **1 นครหลวง** (ນະຄອນຫຼວງนะคอนหลวงภาษาลาว) คือ นครหลวงเวียงจันทน์
รายชื่อแขวงและนครหลวง มีดังนี้:
ลำดับ | ชื่อภาษาไทย | ชื่อภาษาลาว | เมืองเอก (เมืองหลวงของแขวง) | พื้นที่ (ตร.กม.) | ประชากร (ค.ศ. 2018 โดยประมาณ) |
---|---|---|---|---|---|
1 | แขวงพงสาลี | ແຂວງຜົ້ງສາລີแขวงผ้งสาลีภาษาลาว | เมืองพงสาลี | 16,270 | 189,777 |
2 | แขวงหลวงน้ำทา | ແຂວງຫຼວງນ້ຳທາแขวงหลวงน้ำทาภาษาลาว | เมืองหลวงน้ำทา | 9,325 | 192,392 |
3 | แขวงอุดมไซ | ແຂວງອຸດົມໄຊแขวงอุดมไซภาษาลาว | เมืองไซ | 15,370 | 334,702 |
4 | แขวงบ่อแก้ว | ແຂວງບໍ່ແກ້ວแขวงบ่อแก้วภาษาลาว | เมืองห้วยทราย | 6,196 | 196,641 |
5 | แขวงหลวงพระบาง | ແຂວງຫຼວງພະບາງแขวงหลวงพระบางภาษาลาว | เมืองหลวงพระบาง | 16,875 | 459,189 |
6 | แขวงหัวพัน | ແຂວງຫົວພັນแขวงหัวพันภาษาลาว | เมืองซำเหนือ | 16,500 | 306,247 |
7 | แขวงไชยบุรี | ແຂວງໄຊຍະບູລີแขวงไซยะบูลีภาษาลาว | เมืองไชยบุรี | 16,389 | 411,893 |
8 | แขวงเชียงขวาง | ແຂວງຊຽງຂວາງแขวงเชียงขวางภาษาลาว | เมืองโพนสะหวัน (เมืองแปก) | 15,880 | 261,686 |
9 | แขวงเวียงจันทน์ | ແຂວງວຽງຈັນแขวงเวียงจันภาษาลาว | เมืองโพนโฮง | 15,927 | 450,475 |
10 | นครหลวงเวียงจันทน์ | ນະຄອນຫຼວງວຽງຈັນนะคอนหลวงเวียงจันภาษาลาว | เวียงจันทน์ (เมืองจันทบุรี) | 3,920 | 906,859 |
11 | แขวงบอลิคำไซ | ແຂວງບໍລິຄໍາໄຊแขวงบอลิคำไซภาษาลาว | เมืองปากซัน | 14,863 | 303,794 |
12 | แขวงคำม่วน | ແຂວງຄໍາມ່ວນแขวงคำม่วนภาษาลาว | เมืองท่าแขก | 16,315 | 420,950 |
13 | แขวงสุวรรณเขต | ແຂວງສະຫວັນນະເຂດแขวงสะหวันนะเขดภาษาลาว | เมืองไกสอน พมวิหาน (เมืองคันธบุรี) | 21,774 | 1,037,553 |
14 | แขวงสาละวัน | ແຂວງສາລະວັນแขวงสาละวันภาษาลาว | เมืองสาละวัน | 10,691 | 426,991 |
15 | แขวงเซกอง | ແຂວງເຊກອງแขวงเซกองภาษาลาว | เมืองเซกอง (เมืองละมาม) | 7,665 | 124,570 |
16 | แขวงจำปาศักดิ์ | ແຂວງຈໍາປາສັກแขวงจำปาสักภาษาลาว | เมืองปากเซ | 15,415 | 733,582 |
17 | แขวงอัตตะปือ | ແຂວງອັດຕະປືแขวงอัตตะปือภาษาลาว | เมืองอัตตะปือ (เมืองสามักคีไซ) | 10,320 | 153,656 |
18 | แขวงไชยสมบูรณ์ | ແຂວງໄຊສົມບູນแขวงไซสมบูนภาษาลาว | เมืองอะนุวง | 8,300 | 102,041 |
แต่ละแขวงและนครหลวงจะแบ่งออกเป็น **เมือง** (ເມືອງเมืองภาษาลาว) และแต่ละเมืองจะแบ่งย่อยลงไปอีกเป็น **บ้าน** (ບ້ານบ้านภาษาลาว) ซึ่งเป็นหน่วยการปกครองระดับเล็กที่สุด "บ้าน" ที่เป็นเขตเมืองมักจะเรียกว่าเมืองเล็ก ๆ (town)
การบริหารในระดับแขวงมี "เจ้าแขวง" เป็นหัวหน้า ในระดับเมืองมี "เจ้าเมือง" เป็นหัวหน้า และในระดับบ้านมี "นายบ้าน" เป็นหัวหน้า ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลางหรือผ่านกระบวนการเห็นชอบในระดับท้องถิ่นตามที่กฎหมายกำหนด แขวงไชยสมบูรณ์จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 2013
9. เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของลาวเป็นระบบเศรษฐกิจที่กำลังพัฒนา โดยเปลี่ยนผ่านจากระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนจากส่วนกลางไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นตลาดมากขึ้นนับตั้งแต่การใช้นโยบาย "จินตนาการใหม่" ในปี ค.ศ. 1986 ภาคเกษตรกรรมยังคงมีบทบาทสำคัญ แต่ภาคบริการและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้าและการท่องเที่ยว กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ลาวยังคงพึ่งพาการลงทุนและความช่วยเหลือจากต่างประเทศในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาดังกล่าวก็นำมาซึ่งความท้าทายด้านความยั่งยืน ผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม และปัญหาหนี้สิน
9.1. โครงสร้างและนโยบายเศรษฐกิจ
โครงสร้างเศรษฐกิจของลาวมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่การนำนโยบาย "จินตนาการใหม่" (New Economic Mechanism - NEM) มาใช้ในปี ค.ศ. 1986 ซึ่งเป็นการเปลี่ยนผ่านจากระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมที่ควบคุมโดยรัฐอย่างเข้มงวด ไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่เปิดรับกลไกตลาดเสรีมากขึ้น
- การเปลี่ยนผ่านสู่กลไกตลาดเสรี:** ก่อนปี ค.ศ. 1986 เศรษฐกิจลาวอยู่ภายใต้การวางแผนจากส่วนกลาง การผลิตและการค้าถูกควบคุมโดยรัฐ แต่หลังจากนโยบายจินตนาการใหม่ รัฐบาลได้ค่อย ๆ ลดบทบาทในการควบคุมเศรษฐกิจโดยตรง อนุญาตให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น ส่งเสริมการแข่งขัน และเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ ในปี ค.ศ. 2009 รัฐบาลบารัก โอบามาของสหรัฐฯ ประกาศว่าลาวไม่ใช่รัฐมาร์กซิสต์-เลนินนิสต์อีกต่อไป และยกเลิกการห้ามบริษัทลาวรับเงินทุนจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งสหรัฐอเมริกา
- นโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI):** รัฐบาลลาวได้ออกมาตรการและปรับปรุงกฎหมายเพื่อดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ และการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ การลงทุนจากต่างชาติมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมเหมืองแร่ พลังงานไฟฟ้า และภาคบริการ ในปี ค.ศ. 2016 จีนเป็นผู้ลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในเศรษฐกิจลาว โดยลงทุนไป 5.39 B USD ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 ตามรายงานของกระทรวงแผนการและการลงทุนของลาวในช่วงปี 1989-2014 ประเทศไทย (ลงทุน 4.49 B USD) และเวียดนาม (ลงทุน 3.11 B USD) เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่อันดับสองและสามตามลำดับ
- การปฏิรูปเศรษฐกิจมหภาค:** รัฐบาลได้ดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจมหภาคหลายด้าน เช่น การปฏิรูประบบการเงินและธนาคาร การปรับปรุงการจัดเก็บภาษี การควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และการรักษาเสถียรภาพของค่าเงินกีบ อย่างไรก็ตาม ลาวยังคงเผชิญกับความท้าทายในการบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะปัญหาหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นจากการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ และความผันผวนของค่าเงิน
- เป้าหมายการพัฒนาประเทศ:** รัฐบาลลาวตั้งเป้าหมายที่จะนำพาประเทศหลุดพ้นจากสถานะประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (Least Developed Country - LDC) ภายในปี ค.ศ. 2026 และมุ่งสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูงภายในปี ค.ศ. 2030 โดยเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและครอบคลุม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน
- ผลกระทบต่อความเท่าเทียมทางสังคม สิทธิแรงงาน และสิ่งแวดล้อม:** การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วได้นำมาซึ่งผลกระทบทั้งในเชิงบวกและลบ
นโยบายเศรษฐกิจของลาวในปัจจุบันพยายามสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการพัฒนาที่ยั่งยืนและการแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างมากในการบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ สินค้าหนึ่งที่ส่งออกในปี ค.ศ. 2017 ไปยังกว่า 20 ประเทศทั่วโลกคือ เบียร์ลาว ซึ่งผลิตโดยบริษัทเบียร์ลาว
9.2. อุตสาหกรรมหลัก
ภาคอุตสาหกรรมของลาวมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น โดยมีอุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนการพัฒนา ได้แก่ เกษตรกรรม เหมืองแร่และพลังงาน และการท่องเที่ยว
9.2.1. เกษตรกรรม

ภาคเกษตรกรรมยังคงเป็นภาคส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของประชาชนลาวส่วนใหญ่ คิดเป็นสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของจีดีพี และเป็นแหล่งจ้างงานหลักของประชากรประมาณ 80% ของประเทศ ที่ดินเพียง 4% ของประเทศเป็นที่ดินทำกิน และ 0.3% ใช้เป็นที่ดินสำหรับปลูกพืชยืนต้น ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ต่ำที่สุดในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง พื้นที่ชลประทานคิดเป็น 28% ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด ซึ่งคิดเป็น 12% ของที่ดินเกษตรกรรมทั้งหมดในปี 2012
- ผลผลิตหลัก:**
- รูปแบบการทำเกษตร:**
- ความท้าทายในการพัฒนาอย่างยั่งยืน:**
รัฐบาลลาวได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภาพ การส่งเสริมการเกษตรอินทรีย์ การพัฒนาตลาด และการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
9.2.2. เหมืองแร่และพลังงาน

ภาคเหมืองแร่และพลังงานเป็นอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของลาวในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะการส่งออกพลังงานไฟฟ้าและแร่ธาตุต่าง ๆ
- ทรัพยากรแร่ธาตุที่สำคัญและการพัฒนาอุตสาหกรรมเหมืองแร่:**
ประเทศลาวมีทรัพยากรแร่ธาตุที่หลากหลายและอุดมสมบูรณ์ มีการค้นพบแหล่งแร่มากกว่า 540 แห่งทั่วประเทศ แร่ธาตุที่สำคัญ ได้แก่:
- ทองคำและทองแดง: เป็นแร่ธาตุส่งออกที่สำคัญ มีการลงทุนจากต่างชาติในการทำเหมืองขนาดใหญ่หลายแห่ง
- บอไซต์ (สินแร่อะลูมิเนียม): มีแหล่งสำรองขนาดใหญ่และกำลังมีการพัฒนาเพื่อการส่งออก
- ดีบุก, ตะกั่ว, สังกะสี, เหล็ก: มีการทำเหมืองในระดับต่าง ๆ
- ถ่านหิน (ลิกไนต์): ใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าและอุตสาหกรรมภายในประเทศ
- โพแทช (เกลือโพแทสเซียม): เป็นแหล่งแร่ที่มีศักยภาพสูงสำหรับการผลิตปุ๋ย
การพัฒนาอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในลาวอาศัยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยมีบริษัทจากจีน ไทย เวียดนาม และออสเตรเลีย เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ อุตสาหกรรมเหมืองแร่ของลาวได้รับความสนใจจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ มีการระบุ สำรวจ และทำเหมืองแร่ทองคำ ทองแดง สังกะสี ตะกั่ว และแร่ธาตุอื่น ๆ กว่า 540 แหล่ง
- อุตสาหกรรมพลังงานน้ำ (ไฟฟ้าพลังน้ำ) และบทบาทในการส่งออกพลังงาน:**
ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาและมีแม่น้ำหลายสาย ทำให้ลาวมีศักยภาพสูงมากในการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ รัฐบาลลาวได้กำหนดนโยบายที่จะเป็น "แบตเตอรี่แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" โดยการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าจำนวนมากเพื่อการส่งออก
- มีการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลางหลายแห่งบนแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา เช่น เขื่อนน้ำงึม เขื่อนเทิน-หินบูน เขื่อนไซยะบุรี และเขื่อนอื่น ๆ
- ไฟฟ้าที่ผลิตได้ส่วนใหญ่ส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศไทยและเวียดนาม ซึ่งเป็นแหล่งรายได้เงินตราต่างประเทศที่สำคัญของลาว
- ศักยภาพการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำของลาวอยู่ที่ประมาณ 18,000 MW โดยมีการวางแผนพัฒนาและส่งออกประมาณ 8,000 MW
- ถึงแม้จะมีการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำจำนวนมาก แต่ในปี ค.ศ. 2021 ลาวยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยเฉพาะถ่านหิน ในการผลิตไฟฟ้าสำหรับใช้ในประเทศ
- ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น:**
การพัฒนาอุตสาหกรรมเหมืองแร่และพลังงานน้ำอย่างรวดเร็วได้ก่อให้เกิดผลกระทบที่สำคัญ:
- ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม:
- การสร้างเขื่อน: ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของแม่น้ำ การสูญเสียป่าไม้และถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า การกีดขวางเส้นทางการอพยพของปลา และปัญหาการกักเก็บตะกอน
- การทำเหมือง: อาจก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำและดินจากการชะล้างสารเคมีและโลหะหนัก การทำลายหน้าดินและภูมิทัศน์
- ผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่น:
- การอพยพโยกย้ายถิ่นฐาน: ชุมชนจำนวนมากต้องถูกอพยพออกจากพื้นที่ก่อสร้างเขื่อนและเหมืองแร่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต การประกอบอาชีพ และวัฒนธรรมดั้งเดิม
- การชดเชยและการเยียวยา: ปัญหาการชดเชยที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่เพียงพอ และการจัดหาที่อยู่อาศัยและอาชีพใหม่ให้กับผู้ได้รับผลกระทบยังคงเป็นความท้าทาย
- ผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและการเข้าถึงทรัพยากร: การเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำและป่าไม้ส่งผลกระทบต่อแหล่งอาหารและการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน
รัฐบาลลาวและผู้ลงทุนพยายามที่จะลดผลกระทบเหล่านี้ผ่านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม (ESIA) และการดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบ แต่ประสิทธิภาพและการบังคับใช้ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องปรับปรุง
9.2.3. การท่องเที่ยว
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในภาคส่วนเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศลาว โดยมีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลายทั้งทางธรรมชาติ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์
- แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ:**
- ศักยภาพของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว:**
ลาวมีศักยภาพสูงในการพัฒนาการท่องเที่ยว เนื่องจากมีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่หลากหลาย ความสงบของประเทศ ความเป็นมิตรของประชาชน และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมายังลาวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 80,000 คนในปี ค.ศ. 1990 เป็น 1.876 ล้านคนในปี ค.ศ. 2010 และยังคงเติบโต การท่องเที่ยวสร้างรายได้เงินตราต่างประเทศที่สำคัญและสร้างงานจำนวนมาก (ในปี ค.ศ. 2010 ประมาณ 1 ใน 11 ตำแหน่งงานอยู่ในภาคการท่องเที่ยว) รายได้จากการส่งออกจากการท่องเที่ยวและสินค้าที่เกี่ยวข้องคาดว่าจะสร้างรายได้ 16% ของการส่งออกทั้งหมด หรือ 270.30 M USD ในปี 2010 และคาดว่าจะเติบโตเป็น 484.20 M USD (12.5% ของทั้งหมด) ในปี 2020 สภาการค้าและการท่องเที่ยวแห่งยุโรปได้มอบรางวัล "แหล่งท่องเที่ยวยอดเยี่ยมของโลก" (World Best Tourist Destination) ให้แก่ลาวในปี 2013 ด้านสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์
- ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม:**
- แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน:**
สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติลาว หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชนกำลังทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แห่งชาติของประเทศ ซึ่งรวมถึง:
- การลดผลกระทบทางลบต่อสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม
- การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นและให้ผลประโยชน์ตกถึงชุมชน
- การเพิ่มความตระหนักถึงความสำคัญของกลุ่มชาติพันธุ์และความหลากหลายทางชีวภาพ
- การจัดหาแหล่งรายได้เพื่อการอนุรักษ์ รักษา และจัดการเครือข่ายพื้นที่คุ้มครองของลาวและแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม
- การเน้นความจำเป็นในการกำหนดเขตการท่องเที่ยวและแผนการจัดการสำหรับพื้นที่ที่จะพัฒนาเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
การสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวกับการรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของลาวเป็นความท้าทายที่สำคัญ
9.3. การคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐาน

การพัฒนาการคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายรัฐบาลลาวในการเปลี่ยนประเทศจาก "landlocked" (ไม่มีทางออกสู่ทะเล) สู่ "land-linked" (เชื่อมโยงทางบก) เพื่อเป็นศูนย์กลางการขนส่งในภูมิภาคอินโดจีน ภูมิประเทศที่เป็นภูเขาของลาวเคยเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการขนส่งทางบกตลอดศตวรรษที่ 20
- เครือข่ายถนน:**
- ทางรถไฟ:**
- การขนส่งทางอากาศ:**
- การขนส่งทางน้ำ:**
- โครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารและพลังงาน:**
- ผลกระทบต่อการเชื่อมโยงและการเข้าถึงของประชาชน:**
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะทางรถไฟลาว-จีน และเครือข่ายถนน คาดว่าจะช่วยเพิ่มการเชื่อมโยงภายในประเทศและกับประเทศเพื่อนบ้าน ลดต้นทุนการขนส่ง ส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ของประชาชนในพื้นที่ห่างไกลยังคงเป็นความท้าทาย รวมถึงผลกระทบจากการเวนคืนที่ดินและการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ต่อชุมชนท้องถิ่นและสิ่งแวดล้อมยังเป็นประเด็นที่ต้องได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม
9.4. การค้าระหว่างประเทศ
การค้าระหว่างประเทศมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของลาว โดยเป็นแหล่งรายได้เงินตราต่างประเทศและเป็นช่องทางในการนำเข้าสินค้าที่จำเป็นสำหรับการบริโภคและการลงทุน ลาวพึ่งพาการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาก โดยเฉพาะไทย เวียดนาม และจีน
- สินค้าส่งออกหลัก:**
- สินค้านำเข้าหลัก:**
- ประเทศคู่ค้าสำคัญ:**
- ดุลการค้า:**
ลาวมักจะประสบปัญหาการขาดดุลการค้า เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าสินค้า โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงและเครื่องจักรกล มีแนวโน้มสูงกว่ามูลค่าการส่งออก อย่างไรก็ตาม รายได้จากการส่งออกไฟฟ้าและแร่ธาตุช่วยลดการขาดดุลได้ในระดับหนึ่ง
- บทบาทในการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและระดับโลก:**
รัฐบาลลาวมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและการลงทุน เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน แต่ก็ยังเผชิญกับความท้าทายในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออก การพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และการลดการพึ่งพาสินค้านำเข้าบางประเภท
10. สังคม
สังคมลาวมีลักษณะเด่นคือความหลากหลายทางชาติพันธุ์ การยึดมั่นในประเพณีและศาสนาพุทธ รวมถึงโครงสร้างครอบครัวที่เข้มแข็ง อย่างไรก็ตาม สังคมลาวกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็ว ซึ่งนำมาทั้งโอกาสและความท้าทายในการพัฒนาด้านประชากร การศึกษา และสาธารณสุข
10.1. ประชากร
ข้อมูลสถิติประชากรของลาว ณ ปี ค.ศ. 2023 (โดยประมาณ) มีจำนวนประชากรประมาณ 7.66 ล้านคน ทำให้ลาวเป็นหนึ่งในประเทศที่มีประชากรค่อนข้างน้อยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- ความหนาแน่นของประชากร:** โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 32 คนต่อตารางกิโลเมตร (ข้อมูลบางแหล่งระบุ 26.7 คนต่อตารางกิโลเมตร) ซึ่งถือว่าค่อนข้างเบาบางเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
- การกระจายตัวของประชากร:** ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท โดยเฉพาะตามที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา ซึ่งเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญ นครหลวงเวียงจันทน์เป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุด ตามมาด้วยเมืองเอกของแขวงต่าง ๆ เช่น ปากเซ สุวรรณเขต และหลวงพระบาง การกระจายตัวของประชากรไม่สม่ำเสมอ โดยพื้นที่ภูเขาสูงทางภาคเหนือและตะวันออกมีประชากรเบาบางกว่า
- อัตราการเติบโตของประชากร:** อัตราการเติบโตของประชากรลาวค่อนข้างสูง โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.4-1.5% ต่อปี (ข้อมูล ณ ช่วงปี ค.ศ. 2020-2023) ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราการเกิดที่ยังคงสูงกว่าอัตราการตาย แม้ว่าอัตราการเกิดจะมีแนวโน้มลดลงก็ตาม โครงสร้างอายุประชากรของลาวยังค่อนข้างเยาว์วัย โดยมีสัดส่วนประชากรวัยเด็กและวัยหนุ่มสาวจำนวนมาก
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางประชากร ได้แก่ การพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม การปรับปรุงระบบสาธารณสุข การศึกษาที่สูงขึ้น และการวางแผนครอบครัว อย่างไรก็ตาม ลาวยังคงเผชิญกับความท้าทายในการจัดหาบริการขั้นพื้นฐานให้เพียงพอต่อจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในด้านการศึกษา สาธารณสุข และการจ้างงาน
10.1.1. กลุ่มชาติพันธุ์
ประเทศลาวเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูงมาก ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ มากกว่า 50 กลุ่ม (รัฐบาลลาวเคยจำแนกเป็น 49 กลุ่ม แต่ในทางปฏิบัติอาจมีมากกว่านั้น) ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ตามลักษณะที่อยู่อาศัยและภาษาที่ใช้ ได้แก่
1. ลาวลุ่ม (ລາວລຸ່ມลาวลุ่มภาษาลาว):
- เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50-60% ของประชากรทั้งหมด
- อาศัยอยู่บริเวณที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขาต่าง ๆ
- ส่วนใหญ่พูดภาษาลาวและภาษาในกลุ่มภาษาไท-ไต
- ประกอบอาชีพทำนาปลูกข้าวเป็นหลัก นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท และมีวัฒนธรรมประเพณีที่ใกล้เคียงกับคนไทยในภาคอีสาน
- กลุ่มย่อยในลาวลุ่ม ได้แก่ ลาว (แท้), ไทเหนือ, ไทแดง, ไทดำ, ไทขาว, ผู้ไท, ลื้อ, ยวน เป็นต้น
2. ลาวเทิง (ລາວເທິງลาวเทิงภาษาลาว):
- มีความหมายว่า "ลาวบนที่สูงปานกลาง" คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20-30% ของประชากร
- อาศัยอยู่บริเวณไหล่เขาและที่ราบสูง ที่ระดับความสูงปานกลาง
- ส่วนใหญ่พูดภาษาในกลุ่มภาษามอญ-เขมร (ออสโตรเอเชียติก)
- ประกอบอาชีพทำไร่ ปลูกข้าวไร่ หาของป่า และเลี้ยงสัตว์ นับถือผีและศาสนาดั้งเดิม บางส่วนนับถือศาสนาพุทธ
- เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในดินแดนลาวมาอย่างยาวนาน
- กลุ่มย่อยที่สำคัญ ได้แก่ ขมุ (ข่ามุ), กะตัง, ตะโอ้ย, ละเวน, ส่วย, บรู, มะกอง เป็นต้น
3. ลาวสูง (ລາວສູງลาวสูงภาษาลาว):
- มีความหมายว่า "ลาวบนที่สูง" คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10-15% ของประชากร
- อาศัยอยู่บนยอดเขาสูงและพื้นที่ห่างไกล
- ส่วนใหญ่พูดภาษาในกลุ่มภาษาม้ง-เมี่ยน และจีน-ทิเบต
- ประกอบอาชีพทำไร่เลื่อนลอย ปลูกข้าวโพด ฝิ่น (ในอดีต) และเลี้ยงสัตว์ นับถือผีและศาสนาดั้งเดิม มีวัฒนธรรมและประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์
- กลุ่มชาติพันธุ์นี้ส่วนใหญ่อพยพเข้ามาในลาวในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19
- กลุ่มย่อยที่สำคัญ ได้แก่ ม้ง (แม้ว), เย้า (เมี่ยน), อาข่า (อีก้อ), ลาหู่ (มูเซอ), ผู้น้อย, แสนตาง เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ เช่น ชาวเวียดนาม และชาวจีน ที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองและประกอบอาชีพค้าขายเป็นหลัก
ความหลากหลายทางชาติพันธุ์เป็นทั้งจุดเด่นและเป็นความท้าทายของประเทศลาว รัฐบาลลาวพยายามส่งเสริมนโยบายความสามัคคีระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ แต่ในทางปฏิบัติยังคงมีปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากร การพัฒนา และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของบางกลุ่มชาติพันธุ์ การเคารพและส่งเสริมอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของทุกกลุ่มชาติพันธุ์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างสังคมลาวที่สมานฉันท์และยั่งยืน
10.1.2. ภาษา
ภาษาลาว (ພາສາລາວพาสาลาวภาษาลาว) เป็นภาษาราชการและภาษาประจำชาติของประเทศลาว ภาษาลาวจัดอยู่ในกลุ่มภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ สาขาเดียวกับภาษาไทย ภาษาอีสาน และภาษาไทถิ่นอื่น ๆ ทำให้ผู้พูดภาษาเหล่านี้สามารถสื่อสารกันได้ในระดับหนึ่ง ตัวอักษรลาวมีวิวัฒนาการมาจากอักษรเขมรโบราณและมีความคล้ายคลึงกับอักษรไทย
แม้ภาษาลาวจะเป็นภาษาราชการ แต่ประชากรลาวมีความหลากหลายทางภาษาอย่างมาก:
- ภาษาถิ่นของภาษาลาว: ภาษาลาวเองก็มีภาษาถิ่นที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค เช่น ภาษาลาวเวียงจันทน์ (ถือเป็นภาษากลาง), ภาษาลาวหลวงพระบาง, ภาษาลาวใต้ เป็นต้น
- ภาษาของชนกลุ่มน้อย:
- กลุ่มภาษามอญ-เขมร (ออสโตรเอเชียติก): พูดโดยกลุ่มลาวเทิง เช่น ภาษาขมุ, ภาษากะตัง, ภาษาตะโอ้ย, ภาษาละเวน เป็นต้น
- กลุ่มภาษาม้ง-เมี่ยน: พูดโดยกลุ่มลาวสูง เช่น ภาษาม้ง (มีหลายสำเนียง เช่น ม้งขาว ม้งเขียว), ภาษาเย้า (เมี่ยน)
- กลุ่มภาษาจีน-ทิเบต: พูดโดยกลุ่มลาวสูงบางกลุ่ม เช่น ภาษาอาข่า, ภาษาลาหู่
- กลุ่มภาษาไทอื่น ๆ: นอกจากภาษาลาว ยังมีภาษาไทอื่น ๆ ที่พูดโดยกลุ่มลาวลุ่มและกลุ่มชาติพันธุ์ไทอื่น ๆ เช่น ภาษาไทดำ, ภาษาไทแดง, ภาษาผู้ไท, ภาษาลื้อ เป็นต้น
- การใช้ภาษาต่างประเทศ:
- ภาษาฝรั่งเศส: ยังคงมีการใช้ภาษาฝรั่งเศสอยู่บ้างในวงราชการ การศึกษา และในกลุ่มผู้สูงอายุบางส่วน เนื่องจากลาวเคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และยังเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส (La Francophonie)
- ภาษาอังกฤษ: มีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ การท่องเที่ยว และในกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ
- ภาษาเวียดนาม และ ภาษาจีน: มีการใช้ในกลุ่มชาวเวียดนามและชาวจีนที่อาศัยอยู่ในลาว และมีความสำคัญมากขึ้นในการติดต่อค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน
- ภาษาไทย: เนื่องจากความใกล้ชียงทางภาษาและวัฒนธรรม รวมถึงอิทธิพลของสื่อไทย ทำให้คนลาวจำนวนมากสามารถเข้าใจและพูดภาษาไทยได้เป็นอย่างดี
ความหลากหลายทางภาษาเป็นลักษณะเด่นของสังคมลาว รัฐบาลลาวมีนโยบายส่งเสริมการใช้ภาษาลาวเป็นภาษากลางในการสื่อสารและการศึกษา แต่ก็พยายามที่จะอนุรักษ์ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ไว้เช่นกัน
10.1.3. ศาสนา

ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเป็นศาสนาหลักและมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อวิถีชีวิต สังคม และวัฒนธรรมของชาวลาวส่วนใหญ่ จากการสำรวจในปี ค.ศ. 2010 ประชากรลาวประมาณ 66% นับถือศาสนาพุทธ
- ศาสนาพุทธนิกายเถรวาท:**
- ความเชื่อดั้งเดิม (การนับถือผี - ສາດສະໜາຜີสาดสะหนาผีภาษาลาว):**
- ศาสนาอื่น ๆ:**
บทบาทของศาสนาในสังคมและวัฒนธรรมลาวมีความสำคัญอย่างยิ่ง ศาสนาพุทธเป็นรากฐานของศีลธรรม จริยธรรม และค่านิยมทางสังคม วัดเป็นสถาบันที่มีบทบาทในการอบรมสั่งสอนและเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชุมชน ในขณะเดียวกัน ความเชื่อดั้งเดิมก็ยังคงมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตและความเชื่อของผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะในเรื่องสุขภาพ โชคชะตา และความสัมพันธ์กับธรรมชาติ
10.2. การศึกษา


ระบบการศึกษาของลาวมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ค.ศ. 1975 โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับการขยายโอกาสทางการศึกษาและการยกระดับคุณภาพการศึกษาทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ
- โครงสร้างระบบการศึกษา:**
- อัตราการรู้หนังสือและอัตราการเข้าเรียน:**
- ความท้าทายในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา:**
รัฐบาลลาวได้ร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศและประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาการศึกษา โดยมุ่งเน้นการขยายโอกาสทางการศึกษาให้ครอบคลุม การยกระดับคุณภาพครูและหลักสูตร และการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
10.3. สาธารณสุขและสุขอนามัย

สถานการณ์ด้านสาธารณสุขและสุขอนามัยของประเทศลาวมีการพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทห่างไกล
- อายุคาดเฉลี่ย (Life Expectancy):**
- โรคภัยไข้เจ็บที่สำคัญ:**
- ระบบบริการสุขภาพ:**
- การเข้าถึงน้ำสะอาดและสุขอนามัย:**
รัฐบาลลาวได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสาธารณสุข โดยมุ่งเน้นการขยายบริการสุขภาพให้ครอบคลุมและทั่วถึง การป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ การส่งเสริมสุขภาพแม่และเด็ก และการปรับปรุงสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม การขาดแคลนบุคลากร งบประมาณ และโครงสร้างพื้นฐานยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในการบรรลุเป้าหมายด้านสาธารณสุข
10.4. การสมรสและครอบครัว
สถาบันครอบครัวมีความสำคัญอย่างยิ่งในสังคมลาว และมีลักษณะที่สะท้อนทั้งประเพณีดั้งเดิมและการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน
- ลักษณะโครงสร้างครอบครัว:**
- ประเพณีการแต่งงาน:**
- การเปลี่ยนแปลงของสถาบันครอบครัวในยุคปัจจุบัน:**
- ประเด็นการมีภรรยาหลายคน (Polygamy):**
โดยรวมแล้ว สถาบันครอบครัวในลาวยังคงมีความเข้มแข็งและเป็นรากฐานสำคัญของสังคม แต่ก็กำลังเผชิญกับการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
11. วัฒนธรรม
วัฒนธรรมลาวมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ซึ่งได้รับอิทธิพลหลักจากพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทและความเชื่อดั้งเดิม ผสมผสานกับวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและผูกพันกับธรรมชาติ สะท้อนออกมาในรูปแบบของอาหารการกิน การแต่งกาย ดนตรี ศิลปะการแสดง ประเพณี และเทศกาลต่าง ๆ
11.1. วัฒนธรรมอาหาร

อาหารลาวมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยมีข้าวเหนียว (ເຂົ້າໜຽວเข้าเหนียวภาษาลาว) เป็นอาหารหลักที่ชาวลาวบริโภคกันอย่างแพร่หลายและมีความสำคัญทางวัฒนธรรมอย่างยิ่ง มักรับประทานด้วยมือเปล่า ปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ จิ้มกับอาหารอื่น ๆ
- อาหารพื้นเมืองที่เป็นที่รู้จัก:**
- อิทธิพลจากอาหารต่างชาติ:**
- ธรรมเนียมการรับประทานอาหาร:**
อาหารลาวเน้นรสชาติที่เป็นธรรมชาติ ไม่เผ็ดจัดหรือหวานจัดเท่าอาหารไทยบางภาค และมักใช้สมุนไพรสดเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้มีกลิ่นหอมและดีต่อสุขภาพ
11.2. การแต่งกายแบบดั้งเดิม

การแต่งกายแบบดั้งเดิมของลาวสะท้อนถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและความงดงามของศิลปะการทอผ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ้าซิ่นของสตรี
- ผ้าซิ่น (ສິ້ນซิ่นภาษาลาว):**
- เครื่องแต่งกายของสตรีในโอกาสสำคัญ:**
- เครื่องแต่งกายของบุรุษ:**
- การแต่งกายในชีวิตประจำวัน:**
การแต่งกายแบบดั้งเดิมของลาวยังคงได้รับการอนุรักษ์และส่งเสริมให้เป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาติ และเป็นที่ชื่นชมของนักท่องเที่ยวในความงดงามและความประณีตของศิลปะการทอผ้า
11.3. ดนตรีและศิลปะการแสดง

ดนตรีและศิลปะการแสดงของลาวมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละท้องถิ่น โดยมีแคนเป็นเครื่องดนตรีประจำชาติที่สำคัญ
- ดนตรีพื้นบ้านลาว:**
- เครื่องดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์:**
- การฟ้อนรำแบบดั้งเดิมและนาฏศิลป์แขนงต่าง ๆ:**
ดนตรีและศิลปะการแสดงของลาวยังคงได้รับการสืบทอดและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการผสมผสานระหว่างความเป็นดั้งเดิมและความร่วมสมัย เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยและเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติมากขึ้น
11.4. ภาพยนตร์
อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศลาวยังมีขนาดค่อนข้างเล็กและอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ก็มีความพยายามในการสร้างสรรค์ผลงานและได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
- ประวัติและพัฒนาการ:**
- ผลงานภาพยนตร์ที่สำคัญและการยอมรับในระดับนานาชาติ:**
- ความท้าทายและอนาคต:**
11.5. เทศกาล
ประเทศลาวมีเทศกาลสำคัญทางศาสนาและประเพณีหลายเทศกาลตลอดทั้งปี ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรม ความเชื่อ และวิถีชีวิตของชาวลาว เทศกาลเหล่านี้มีความหมายและความสำคัญที่แตกต่างกันไป และมักมีการเฉลิมฉลองอย่างสนุกสนานและมีสีสัน
เทศกาลสำคัญ ได้แก่:
- บุญปีใหม่ลาว (ບຸນປີໃໝ່ລາວบุนปีใหม่ลาวภาษาลาว) หรือ สงกรานต์:
- จัดขึ้นในช่วงกลางเดือนเมษายน (ประมาณวันที่ 13-16 เมษายน) คล้ายกับเทศกาลสงกรานต์ในประเทศไทย
- เป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดและมีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ทั่วประเทศ
- มีความหมายเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติ
- กิจกรรมหลัก ได้แก่ การทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระพุทธรูปและพระสงฆ์ การรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ การเล่นสาดน้ำ การประกวดนางสังขาน (นางสงกรานต์) และการจัดงานรื่นเริงต่าง ๆ
- หลวงพระบางเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในการจัดงานบุญปีใหม่ลาวอย่างยิ่งใหญ่และสวยงาม
- บุญบั้งไฟ (ບຸນບັ້ງໄຟบุนบั้งไฟภาษาลาว):
- จัดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายน (ก่อนฤดูทำนา)
- เป็นประเพณีขอฝนตามความเชื่อดั้งเดิม เพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลและพืชผลอุดมสมบูรณ์
- มีการจุดบั้งไฟ (จรวดทำจากไม้ไผ่บรรจุดินปืน) ขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อบูชาพญาแถน (เทพแห่งฝน)
- มีขบวนแห่บั้งไฟที่สวยงาม การฟ้อนรำ และการละเล่นที่สนุกสนาน
- บุญเข้าพรรษา (ບຸນເຂົ້າພັນສາบุนเข้าพันสาภาษาลาว) และ บุญออกพรรษา (ບຸນອອກພັນສາบุนออกพันสาภาษาลาว):
- บุญเข้าพรรษา: จัดขึ้นในช่วงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 (ประมาณเดือนกรกฎาคม) เป็นวันที่พระสงฆ์เริ่มจำพรรษาเป็นเวลา 3 เดือน พุทธศาสนิกชนจะไปทำบุญตักบาตร ถวายผ้าอาบน้ำฝน และฟังธรรม
- บุญออกพรรษา: จัดขึ้นในช่วงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 (ประมาณเดือนตุลาคม) เป็นวันที่พระสงฆ์สิ้นสุดการจำพรรษา มีการทำบุญตักบาตร และในตอนกลางคืนมักมีการไหลเรือไฟ (ໄຫຼເຮືອໄຟไหลเฮือไฟภาษาลาว) หรือลอยกระทงเพื่อบูชาพระแม่คงคาและขอขมา
- บุญธาตุหลวง (ບຸນພະທາດຫຼວງบุนพะทาดหลวงภาษาลาว):
- จัดขึ้นที่พระธาตุหลวง นครหลวงเวียงจันทน์ ในช่วงวันเพ็ญเดือน 12 (ประมาณเดือนพฤศจิกายน)
- เป็นเทศกาลนมัสการพระธาตุหลวง ซึ่งเป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดของลาว
- มีการทำบุญตักบาตร การเวียนเทียนรอบพระธาตุ การแสดงศิลปวัฒนธรรม และการออกร้านขายสินค้าต่าง ๆ
- บุญข้าวประดับดิน (ບຸນເຂົ້າປະດັບດິນบุนเข้าปะดับดินภาษาลาว) และ บุญข้าวสาก (ບຸນເຂົ້າສະຫຼາກบุนเข้าสะหลากภาษาลาว):
- เป็นประเพณีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษและผู้ล่วงลับ
- บุญข้าวประดับดิน: จัดขึ้นในวันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 มีการนำอาหารคาวหวานไปวางไว้ตามพื้นดินหรือใต้ต้นไม้เพื่ออุทิศให้เปรต
- บุญข้าวสาก: จัดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 มีการทำสลากภัตถวายพระสงฆ์
- บุญกฐิน (ບຸນກະຖິນบุนกะถินภาษาลาว):
- จัดขึ้นในช่วงหลังออกพรรษา (ตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึง ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12)
- เป็นการทำบุญถวายผ้ากฐินแด่พระสงฆ์ที่จำพรรษาครบถ้วน
- วันชาติลาว (ວັນຊາດวันซาดภาษาลาว):
- ตรงกับวันที่ 2 ธันวาคมของทุกปี
- เป็นวันระลึกถึงการสถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปี ค.ศ. 1975
- มีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองและพิธีการต่าง ๆ ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีเทศกาลและงานบุญประเพณีของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เช่น บุญปีใหม่ม้ง (ນໍ່ເປເຈົ້າน่อเปเจ๊าภาษาลาว) ซึ่งจัดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคมหรือมกราคม เทศกาลเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมของลาวและดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
11.6. กีฬา

กีฬาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวลาว โดยมีกีฬาหลายประเภทที่ได้รับความนิยม ทั้งกีฬาพื้นเมืองและกีฬาสากล
- มวยลาว** (ມວຍລາວมวยลาวภาษาลาว):
- กีฬาประเภทอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยม:**
- ผลงานของนักกีฬาลาวในระดับนานาชาติ:**
การส่งเสริมกีฬาและการออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสร้างเสริมสุขภาพที่ดีของประชาชนลาว
11.7. มรดกโลก
ประเทศลาวมีแหล่งมรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) จำนวน 3 แห่ง ซึ่งทั้งหมดเป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม สะท้อนถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรมอันโดดเด่นของประเทศ ได้แก่:
1. เมืองหลวงพระบาง (Town of Luang Prabang):
- ขึ้นทะเบียนเมื่อปี ค.ศ. 1995
- หลวงพระบางเป็นอดีตราชธานีของอาณาจักรล้านช้าง มีความโดดเด่นในการผสมผสานสถาปัตยกรรมลาวแบบดั้งเดิมเข้ากับสถาปัตยกรรมยุคอาณานิคมฝรั่งเศสได้อย่างลงตัว
- มีวัดวาอารามเก่าแก่ที่สวยงามจำนวนมาก เช่น วัดเชียงทอง, วัดวิชุนราช, และพระธาตุพูสี
- ยังคงรักษาวิถีชีวิตและประเพณีทางพุทธศาสนาที่เข้มแข็ง เช่น ประเพณีการตักบาตรข้าวเหนียวในตอนเช้า
- ความสำคัญ: เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของเมืองที่มีการผสมผสานทางวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมที่ยังคงมีชีวิตชีวา
2. ปราสาทวัดพูและสิ่งก่อสร้างใกล้เคียงในภูมิทัศน์วัฒนธรรมจำปาศักดิ์ (Vat Phou and Associated Ancient Settlements within the Champasak Cultural Landscape):
- ขึ้นทะเบียนเมื่อปี ค.ศ. 2001
- ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของลาวในแขวงจำปาศักดิ์ เป็นกลุ่มโบราณสถานสมัยก่อนเมืองพระนครและสมัยเมืองพระนครของจักรวรรดิเขมร
- ปราสาทวัดพูเป็นศาสนสถานของศาสนาฮินดูที่สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระศิวะ ต่อมาได้ปรับเปลี่ยนเป็นพุทธสถาน
- ภูมิทัศน์โดยรอบ รวมถึงภูเก้า ถนนโบราณ และแหล่งน้ำ ยังคงแสดงให้เห็นถึงการวางผังเมืองและความเชื่อในสมัยโบราณ
- ความสำคัญ: เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของสถาปัตยกรรมเขมรโบราณและการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ สะท้อนถึงอิทธิพลของอารยธรรมฮินดูในภูมิภาค
3. แหล่งไหหินเชียงแขวง - ทุ่งไหหิน (Megalithic Jar Sites in Xiengkhuang - Plain of Jars):
- ขึ้นทะเบียนเมื่อปี ค.ศ. 2019
- ตั้งอยู่ในแขวงเชียงขวาง เป็นกลุ่มของแหล่งโบราณคดีที่ประกอบด้วยไหหินขนาดใหญ่จำนวนหลายพันใบ กระจายอยู่ตามทุ่งหญ้าและเนินเขา
- ไหหินเหล่านี้ทำจากหินทรายหรือหินแกรนิต มีอายุอยู่ในช่วงยุคเหล็ก (ประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาล ถึง ค.ศ. 500)
- วัตถุประสงค์ในการสร้างและการใช้งานไหหินเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนา แต่นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมการฝังศพ
- ความสำคัญ: เป็นหลักฐานสำคัญของอารยธรรมยุคเหล็กในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นภูมิทัศน์วัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
แหล่งมรดกโลกเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของลาวเท่านั้น แต่ยังเป็นสมบัติอันล้ำค่าของมวลมนุษยชาติ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้มาเยี่ยมชมและศึกษาเรียนรู้
12. สื่อสารมวลชน
สื่อสารมวลชนในประเทศลาวอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลและพรรคประชาชนปฏิวัติลาวอย่างเข้มงวด ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของประเทศที่ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์พรรคเดียว เสรีภาพของสื่อมีจำกัด และเนื้อหาส่วนใหญ่จะสะท้อนนโยบายและมุมมองของรัฐบาล รัฐบาลลาวควบคุมช่องทางสื่อเพื่อป้องกันการวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของตน พลเมืองลาวที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลต้องเผชิญกับการบังคับบุคคลให้สูญหาย การจับกุม และการทรมาน
- ประเภทของสื่อสารมวลชน:**
- วิทยุ:
- สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งชาติลาว (ວິທະຍຸກະຈາຍສຽງແຫ່ງຊາດລາວวิทะนุกะจายเสียงแห่งซาดลาวภาษาลาว) เป็นสถานีวิทยุหลักของรัฐ ให้บริการทั้งคลื่น AM, FM และคลื่นสั้น ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ
- มีสถานีวิทยุชุมชนและสถานีวิทยุของแขวงต่าง ๆ
- โทรทัศน์:
- สถานีโทรภาพแห่งชาติลาว (ทชล. - ໂທລະພາບແຫ່ງຊາດລາວโทละพาบแห่งซาดลาวภาษาลาว) เป็นสถานีโทรทัศน์หลักของรัฐ มีหลายช่องรายการ ออกอากาศทั่วประเทศ
- มีสถานีโทรทัศน์ของเอกชนและสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นบางแห่ง แต่เนื้อหาส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ
- ประชาชนลาวจำนวนมากสามารถรับชมสถานีโทรทัศน์จากประเทศไทยได้โดยผ่านจานดาวเทียม ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลและความบันเทิงที่สำคัญ
- อินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์:
- การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในลาวมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเขตเมืองและในกลุ่มเยาวชน
- สื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook ได้รับความนิยมอย่างสูง และกลายเป็นช่องทางในการแสดงความคิดเห็นและรับข่าวสารที่หลากหลายมากขึ้น
- อย่างไรก็ตาม รัฐบาลลาวได้เพิ่มการควบคุมและตรวจสอบเนื้อหาบนอินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์ มีการออกกฎหมายและมาตรการต่าง ๆ เพื่อควบคุมการแสดงความคิดเห็นที่ถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติหรือเป็นการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล
- บทบาทของรัฐในการควบคุมเนื้อหาและเสรีภาพของสื่อ:**
- รัฐบาลและพรรคประชาชนปฏิวัติลาวมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางและควบคุมเนื้อหาของสื่อสารมวลชนทุกประเภท
- มีการเซ็นเซอร์เนื้อหาก่อนการเผยแพร่ และสื่อมักถูกคาดหวังให้ทำหน้าที่สนับสนุนนโยบายของรัฐและส่งเสริมค่านิยมของพรรคฯ
- เสรีภาพของสื่อในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลหรือการนำเสนอข่าวเชิงวิพากษ์วิจารณ์มีจำกัดอย่างมาก
- นักข่าวและสื่อมวลชนที่พยายามนำเสนอข้อมูลที่แตกต่างจากแนวทางของรัฐอาจเผชิญกับการคุกคามหรือการลงโทษ
- องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศมักจัดอันดับให้ลาวเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเสรีภาพสื่อต่ำที่สุดในโลก
แม้ว่าการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารจากต่างประเทศผ่านอินเทอร์เน็ตและสื่อดาวเทียมจะเพิ่มมากขึ้น แต่การควบคุมสื่อภายในประเทศยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลลาวในการรักษาอำนาจและเสถียรภาพทางการเมือง