1. ภาพรวม
รัฐสุลต่านโอมาน หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่า โอมาน เป็นประเทศในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของคาบสมุทรอาหรับ มีประวัติศาสตร์อันยาวนานย้อนไปถึงยุคโบราณ เคยเป็นจักรวรรดิทางทะเลที่สำคัญในมหาสมุทรอินเดีย ก่อนที่จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอังกฤษเป็นเวลานาน โอมานปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์โดยสุลต่าน ปัจจุบันคือสมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านฮัยษัม บิน ฏอริก อาล ซะอีด ผู้ซึ่งขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 2020 หลังจากการสวรรคตของสมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านกอบูส บิน ซะอีด ผู้ทรงปกครองประเทศมายาวนานและริเริ่มการพัฒนาประเทศให้ทันสมัยอย่างกว้างขวาง หรือที่เรียกว่า "ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการโอมาน"
เศรษฐกิจของโอมานเคยพึ่งพาน้ำมันเป็นหลัก แต่ปัจจุบันกำลังพยายามสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจภายใต้วิสัยทัศน์โอมาน 2040 โดยเน้นอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น การท่องเที่ยว โลจิสติกส์ และพลังงานหมุนเวียน อย่างไรก็ตาม ประเทศยังคงเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงปัญหาการว่างงานในหมู่เยาวชน และการพึ่งพาแรงงานต่างชาติจำนวนมาก สังคมโอมานมีลักษณะเป็นสังคมชนเผ่าและยึดมั่นในศาสนาอิสลามนิกายอิบาฎียะฮ์เป็นหลัก แม้จะมีความพยายามในการปฏิรูปทางการเมือง เช่น การให้สิทธิสตรีในการเลือกตั้งและการจัดตั้งสภาที่ปรึกษา แต่อำนาจที่แท้จริงยังคงรวมศูนย์อยู่ที่องค์สุลต่าน สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในโอมานยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเสรีภาพในการแสดงออกและการปฏิบัติต่อแรงงานต่างชาติ
ในด้านนโยบายต่างประเทศ โอมานดำเนินนโยบายเป็นกลางและไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น มีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง และรักษาความสัมพันธ์อันดีกับประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มสภาความร่วมมืออ่าวอาหรับ อิหร่าน และประเทศตะวันตก โอมานเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพและมีภูมิประเทศที่สวยงาม ตั้งแต่ภูเขาสูง ทะเลทราย ไปจนถึงชายฝั่งทะเลที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
2. ชื่อประเทศ
ชื่อประเทศโอมาน (อาหรับ: عُمَانอุมานภาษาอาหรับ) ปรากฏหลักฐานการกล่าวถึงที่เก่าแก่ที่สุดบนหลุมศพแห่งหนึ่งในศูนย์โบราณคดีมุลัยฮา (Mleiha Archaeological Centre) ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่าบันทึกของพลินีผู้อาวุโส (Pliny the Elder) ที่กล่าวถึง "โอมานา" (Omana) หรือบันทึกของทอเลมี (Ptolemy) ที่กล่าวถึง "โอมานอน" (Ὄμανον ἐμπόριονโอมานอน เอมโปเรียนGreek, Ancient) ซึ่งทั้งสองชื่อนี้สันนิษฐานว่าหมายถึงเมืองซุฮาร (Sohar) โบราณ
ที่มาของชื่อ "โอมาน" ในภาษาอาหรับเชื่อกันว่ามาจากคำว่า ʿāminอามินภาษาอาหรับ หรือ ʿamūnอะมูนภาษาอาหรับ ซึ่งมีความหมายว่า "ผู้ตั้งถิ่นฐาน" หรือ "ผู้ที่อาศัยอยู่เป็นหลักแหล่ง" เพื่อแยกความแตกต่างจากชาวเบดูอิน (Bedouin) ที่เป็นชนเผ่าเร่ร่อน นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีอื่น ๆ เกี่ยวกับที่มาของชื่อ เช่น อาจตั้งตามชื่อผู้ก่อตั้งในตำนาน ได้แก่ โอมาน บิน อิบรอฮีม อัลเคาะลีล (Oman bin Ibrahim al-Khalil), โอมาน บิน ซิบาอ์ บิน ยัฆษอน บิน อิบรอฮีม (Oman bin Siba' bin Yaghthan bin Ibrahim) หรือโอมาน บิน เกาะห์ฏอน (Oman bin Qahtan) บางแหล่งข้อมูลในภาษาอินโดนีเซียยังกล่าวถึงโลทในพระคัมภีร์ไบเบิลด้วย
อีกทฤษฎีหนึ่งเสนอว่าชื่อ "โอมาน" อาจมาจากชื่อหุบเขาแห่งหนึ่งในเยเมนที่เมืองมะอ์ริบ (Ma'rib) ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นบ้านเกิดดั้งเดิมของผู้ก่อตั้งเมือง คือ เผ่าอัซด์ (Azd) ซึ่งเป็นชนเผ่าอาหรับโบราณที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในโอมานยุคแรกเริ่ม แหล่งข้อมูลภาษาเกาหลีระบุว่าชื่อโอมานมีความหมายว่า "ผู้ให้ชีวิต, มิตร, และผู้พิทักษ์" ซึ่งมาจากชื่อมุสลิม อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีที่ได้รับการสนับสนุนทางวิชาการมากกว่ามักจะเชื่อมโยงกับรากศัพท์ภาษาอาหรับหรือชื่อสถานที่และชนเผ่า
ชื่อทางการของประเทศคือ รัฐสุลต่านโอมาน (سلطنة عُمانซัลเฏาะนัต อุมานภาษาอาหรับ) ชื่อที่เรียกกันทั่วไปคือ โอมาน (عُمانอุมานภาษาอาหรับ) การออกเสียงในภาษาอาหรับมาตรฐานคือ "อุมาน" แต่การออกเสียงในภาษาถิ่นหรือภาษาพูดทั่วไปจะใกล้เคียงกับ "โอมาน" มากกว่า ในอดีต โอมานเคยใช้ชื่อว่า รัฐสุลต่านมัสกัตและโอมาน (Muscat and Oman Sultanate) ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ชื่อปัจจุบัน
3. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์โอมานครอบคลุมระยะเวลาอันยาวนานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งมีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ยุคแรก ๆ ผ่านยุคโบราณที่มีการค้าขายกับอารยธรรมสำคัญ ๆ การเข้ามาของศาสนาอิสลามและการก่อตั้งรัฐอิหม่าม การปกครองของราชวงศ์ต่าง ๆ การยึดครองโดยโปรตุเกส การก่อตั้งจักรวรรดิโอมานอันยิ่งใหญ่ การขยายอิทธิพลของอังกฤษ จนกระทั่งถึงยุคสมัยใหม่ภายใต้การปกครองของสุลต่านองค์ปัจจุบัน ซึ่งนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาและความทันสมัย
3.1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์และยุคโบราณ
หลักฐานการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในโอมานย้อนไปได้ถึงกว่า 100,000 ปี แหล่งโบราณคดีถ้ำอัยบุต อัลเอาวัล (Aybut Al Auwal) ในเขตผู้ว่าราชการซุฟาร์ ซึ่งค้นพบในปี ค.ศ. 2011 พบเครื่องมือหินอายุ 106,000 ปี ที่อยู่ในกลุ่มวัฒนธรรมที่เรียกว่า Nubian Complexนูเบียนคอมเพล็กซ์ภาษาอังกฤษ ซึ่งสนับสนุนทฤษฎีการอพยพของมนุษย์ยุคแรกจากทวีปแอฟริกามายังคาบสมุทรอาหรับในช่วงปลายยุคไพลสโตซีน นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบแหล่งโบราณคดียุคหินเก่า (Palaeolithic) และยุคหินใหม่ (Neolithic) หลายแห่งบริเวณชายฝั่งตะวันออก เช่น แหล่งไซวัน-ฆูไนอิม (Saiwan-Ghunaim) ในพื้นที่บาร์ อัล-ฮิกมาน (Barr al-Hikman)
ในช่วงยุคสำริด (Bronze Age) โอมานเป็นที่ตั้งของวัฒนธรรมสำคัญคือ อารยธรรมอุมม์ อันนาร์ (Umm an-Nar culture) และวัฒนธรรมวาดีซุก (Wadi Suq culture) แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในยุคนี้ ได้แก่ บัต (Bat), อัล-ฆานาห์ (Al-Janah) และอัล-อัยน์ (Al-Ayn) ซึ่งพบหลักฐานเครื่องปั้นดินเผาที่ผลิตด้วยแป้นหมุน ภาชนะหินทำมือ อุตสาหกรรมโลหะ และสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ แหล่งโบราณคดีบัต อัลคุตม์ และอัลอัยน์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก สร้างขึ้นในสหัสวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล โอมานในยุคนี้รู้จักกันในชื่อ "มากัน" (Magan) ในบันทึกของชาวซูเมอร์ และ "มาคาน" (Makan) ในภาษาแอกแคด ซึ่งชื่อเหล่านี้มักเชื่อมโยงกับแหล่งทองแดงที่อุดมสมบูรณ์ของโอมาน
การค้ากำยาน (Frankincense) เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญยิ่งในโอมานโบราณ มีหลักฐานว่ามีการค้ากำยานมาตั้งแต่ 1,500 ปีก่อนคริสตกาล ดินแดนแห่งกำยาน (Land of Frankincense) ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งของโอมาน เป็นเครื่องยืนยันถึงความรุ่งเรืองของอารยธรรมอาหรับใต้ที่เกี่ยวข้องกับการค้าสินค้าล้ำค่านี้
เชื่อกันว่าในศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล ชนเผ่ายะอ์รุบ (Yaarub) ซึ่งสืบเชื้อสายจากเกาะห์ฏอน (Qahtan) ได้ปกครองทั่วทั้งภูมิภาคเยเมนรวมถึงโอมานด้วย ต่อมา วาษิล บิน ฮิมยัร บิน อับดุลชัมส์ (แห่งอาณาจักรซะบะอ์) บิน ยัชญุบ (แห่งยะมาน) บิน ยะอ์รุบ บิน เกาะห์ฏอน ได้เข้ามาปกครองโอมาน ชาวยะอ์รูบะฮ์ (Yaarubah) จึงถูกมองว่าเป็นผู้ตั้งถิ่นฐานกลุ่มแรกในโอมานที่มาจากเยเมน
ในช่วงศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล จักรวรรดิอะคีเมนิดแห่งเปอร์เซียอาจมีอิทธิพลควบคุมคาบสมุทรโอมาน โดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองชายฝั่งเช่น ซุฮาร (Sohar) ซึ่งเป็นทฤษฎีของจอห์น ซี. วิลคินสัน (John C. Wilkinson) ที่อ้างอิงจากประวัติศาสตร์มุขปาฐะ อย่างไรก็ตาม การขาดหลักฐานทางโบราณคดีของเปอร์เซียที่ชัดเจนทำให้ทฤษฎีนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียง นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส อาร์มองด์-ปิแอร์ โคสแซ็ง เดอ แปร์เซอวาล (Armand-Pierre Caussin de Perceval) ได้เสนอว่า ชัมมิร บิน วาษิล บิน ฮิมยัร ได้ยอมรับอำนาจของพระเจ้าไซรัสมหาราชเหนือโอมานในปี 536 ก่อนคริสตกาล ในโอมานตอนกลางได้พัฒนาวัฒนธรรมยุคเหล็กตอนปลายซะมาด (Samad Late Iron Age) อันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งตั้งชื่อตามแหล่งโบราณคดีซะมาด อัลชาน (Samad al-Shan) ส่วนทางตอนเหนือของคาบสมุทรโอมาน ยุคก่อนอิสลามตอนปลาย (Recent Pre-Islamic Period) เริ่มต้นในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล และดำเนินมาจนถึงศตวรรษที่ 3 หลังคริสตกาล นอกจากนี้ โอมานยังมีชื่อเรียกในภาษาเปอร์เซียว่า มาซูน (Mazoon) ในสมัยที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของจักรวรรดิซาเซเนียน
3.2. การตั้งถิ่นฐานของชาวอาหรับและการเข้ามาของศาสนาอิสลาม
เป็นเวลาหลายศตวรรษที่ชนเผ่าจากทางตะวันตกของคาบสมุทรอาหรับได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในโอมาน พวกเขาประกอบอาชีพประมง เกษตรกรรม และเลี้ยงสัตว์ ครอบครัวชาวโอมานจำนวนมากในปัจจุบันสามารถสืบย้อนบรรพบุรุษไปถึงภูมิภาคอื่น ๆ ของอาระเบียได้ การอพยพของชาวอาหรับส่วนใหญ่มาจากทางตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทร และผู้ที่เลือกตั้งถิ่นฐานในโอมานมักจะต้องแข่งขันกับประชากรพื้นเมืองเพื่อแย่งชิงที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด
กลุ่มผู้อพยพชาวอาหรับที่สำคัญมีสองกลุ่มหลัก:
- เผ่าอัซด์ (Azd): อพยพมาจากเยเมนประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 2 (ราวปี ค.ศ. 120 หรือ 200) หลังจากการพังทลายของเขื่อนมะอ์ริบ (Marib Dam) ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอัซด์ในโอมานเป็นลูกหลานของนัศร์ บิน อัซด์ (Nasr bin Azd) และต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อ "อัล-อัซด์แห่งโอมาน"
- กลุ่มนิซารี (Nizari): อพยพมาจากนัจญด์ (Najd) (ปัจจุบันคือซาอุดีอาระเบีย) หลายศตวรรษก่อนการเผยแผ่ศาสนาอิสลาม
นักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่าชาวยะอ์รูบะฮ์ (Yaarubah) จากเผ่าเกาะห์ฏอน (Qahtan) ซึ่งเป็นสาขาที่เก่าแก่กว่า เป็นผู้ตั้งถิ่นฐานกลุ่มแรกจากเยเมน จากนั้นจึงตามมาด้วยเผ่าอัซด์
ประมาณ 70 ปีหลังจากการอพยพครั้งแรกของเผ่าอัซด์ เชื่อกันว่าสาขาอื่นของเผ่าอัซด์ภายใต้การนำของมาลิก บิน ฟะฮม์ (Malik bin Fahm) ผู้ก่อตั้งอาณาจักรของชาวตะนูคีดส์ (Tanukhids) ทางตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรทีส ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในโอมาน ตามบันทึกของอัล-กัลบี (Al-Kalbi) มาลิก บิน ฟะฮม์เป็นผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอัซด์คนแรกที่เกาะล์ฮัต (Qalhat) กล่าวกันว่ามาลิกพร้อมด้วยกองกำลังติดอาวุธกว่า 6,000 นายและม้าศึก ได้สู้รบกับมัรซะบาน (Marzban) หรือผู้ปกครองชาวเปอร์เซียในสมรภูมิซะลูต (Salut) ในโอมาน และสามารถเอาชนะกองทัพเปอร์เซียได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องราวนี้มีลักษณะกึ่งตำนานและดูเหมือนจะเป็นการย่อรวมเหตุการณ์การอพยพและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นเวลาหลายศตวรรษเข้าไว้ด้วยกัน รวมถึงเป็นการผสมผสานเรื่องราวตามประเพณีต่าง ๆ ไม่เพียงแต่จากชนเผ่าอาหรับเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องราวของชนพื้นเมืองดั้งเดิมในภูมิภาคด้วย
ในศตวรรษที่ 7 ชาวโอมานได้เริ่มติดต่อและยอมรับนับถือศาสนาอิสลาม การเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามของชาวโอมานนั้นเชื่อว่าเป็นผลงานของท่านอัมร์ อิบน์ อัลอาส (Amr ibn al-As) ซึ่งถูกส่งมาโดยศาสดามุฮัมมัด ในระหว่างการเดินทางไปยังฮิสมา (Hisma) ท่านอัมร์ได้เข้าพบกับจัยฟัร (Jaifer) และอับด์ (Abd) บุตรชายของญุร็อนดา (Julanda) ผู้ปกครองโอมานในขณะนั้น ซึ่งกล่าวกันว่าพวกเขาทั้งสองได้ยอมรับอิสลามโดยง่ายและรวดเร็ว
3.3. รัฐอิหม่ามโอมาน
ชาวโอมานจากเผ่าอัซด์ (Azd) มักเดินทางไปค้าขายที่บัสรา (Basra) ซึ่งเป็นศูนย์กลางสำคัญของศาสนาอิสลามในสมัยรัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ (Umayyad Caliphate) ชาวอัซด์ได้รับอนุญาตให้ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ส่วนหนึ่งของบัสราและประกอบกิจการค้าขาย หลายคนกลายเป็นพ่อค้าผู้มั่งคั่ง และภายใต้การนำของอัลมุฮัลลับ อิบน์ อะบีศุฟเราะฮ์ (al-Muhallab ibn Abi Sufra) ได้เริ่มขยายอิทธิพลไปยังแคว้นโฆรอซอน (Khorasan)
นิกายอิบาฎียะฮ์ (Ibadism) ซึ่งเป็นนิกายหนึ่งในศาสนาอิสลาม ถือกำเนิดขึ้นในบัสราโดยมีผู้ก่อตั้งคืออับดุลลอฮ์ อิบน์ อิบาฎ (Abd Allah ibn Ibad) ประมาณปี ค.ศ. 650 ชาวโอมานเผ่าอัซด์ที่อยู่ในอิรักจึงได้รับเอาหลักความเชื่อนี้เป็นหลัก ต่อมา อัลฮัจญาจญ์ อิบน์ ยูซุฟ (Al-Hajjaj ibn Yusuf) ผู้ว่าการอิรัก เกิดความขัดแย้งกับกลุ่มอิบาฎี ทำให้พวกเขาจำนวนมากต้องเดินทางกลับโอมาน ในบรรดาผู้ที่เดินทางกลับมานั้นมีนักปราชญ์คนสำคัญชื่อญาบิร อิบน์ ซัยด์ (Jaber bin Zaid) การกลับมาของท่านและนักปราชญ์อิบาฎีอีกหลายคนได้ช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับขบวนการอิบาฎีในโอมานเป็นอย่างมาก
อัลฮัจญาจญ์ยังพยายามที่จะเข้ายึดครองโอมาน ซึ่งในขณะนั้นปกครองโดยสุลัยมาน (Suleiman) และซะอีด (Said) บุตรชายของอับบาด บิน ญุร็อนดา (Abbad bin Julanda) อัลฮัจญาจญ์ได้ส่งมุจญาอะฮ์ บิน ชิวะฮ์ (Mujjaah bin Shiwah) มาเผชิญหน้ากับซะอีด บิน อับบาด กองทัพของซะอีดพ่ายแพ้ยับเยินและต้องถอยร่นไปยังญะบัล อัคฎ็อร (ภูเขาสีเขียว) มุจญาอะฮ์และกองกำลังของเขาได้ติดตามและขับไล่พวกเขาออกจากที่ซ่อน จากนั้นมุจญาอะฮ์ได้เคลื่อนทัพไปยังชายฝั่งและเผชิญหน้ากับสุลัยมาน บิน อับบาด ซึ่งกองทัพของสุลัยมานได้รับชัยชนะ อย่างไรก็ตาม อัลฮัจญาจญ์ได้ส่งกองกำลังอีกชุดหนึ่งภายใต้การนำของอับดุรเราะห์มาน บิน สุลัยมาน (Abdulrahman bin Suleiman) ซึ่งในที่สุดก็สามารถเอาชนะสงครามและเข้าควบคุมการปกครองโอมานได้สำเร็จ
รัฐอิหม่ามโอมาน (Imamate of Oman) ที่มีการเลือกตั้งอิหม่ามเป็นผู้นำแห่งแรก เชื่อกันว่าก่อตั้งขึ้นไม่นานหลังจากการล่มสลายของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ในปี ค.ศ. 750 หรือ 755 เมื่อจานาห์ บิน อิบาดะฮ์ อัลฮินนาวี (Janaħ bin ʕibadah Alħinnawi) ได้รับเลือกตั้งเป็นอิหม่าม อย่างไรก็ตาม นักวิชาการบางคนเสนอว่าจานาห์ บิน อิบาดะฮ์ เดิมเป็นวาลี (Wāli) หรือผู้ว่าการภายใต้ราชวงศ์อุมัยยะฮ์ (และต่อมาได้ให้สัตยาบันต่อรัฐอิหม่าม) และแท้จริงแล้ว ญุร็อนดา บิน มัสอูด (Julanda bin Masud) คืออิหม่ามที่ได้รับเลือกตั้งคนแรกของโอมานในปี ค.ศ. 751
รัฐอิหม่ามแห่งแรกนี้ถึงจุดสูงสุดแห่งอำนาจในศตวรรษที่ 9 โดยได้สถาปนาจักรวรรดิทางทะเลซึ่งมีกองเรือควบคุมอ่าวเปอร์เซีย ในช่วงเวลานั้น การค้ากับรัฐเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์ (Abbasid Caliphate) ตะวันออกไกล และทวีปแอฟริกามีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก อย่างไรก็ตาม อำนาจของบรรดาอิหม่ามเริ่มเสื่อมถอยลงในเวลาต่อมา เนื่องจากปัญหาการต่อสู้แย่งชิงอำนาจภายใน การแทรกแซงอย่างต่อเนื่องจากรัฐเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์ และการผงาดขึ้นของจักรวรรดิเซลจุค (Seljuk Empire)
3.4. ราชวงศ์นาบาห์นิ

ในช่วงศตวรรษที่ 11 และ 12 ชายฝั่งโอมานตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของจักรวรรดิเซลจุค (Seljuk Empire) ชาวเซลจุคถูกขับไล่ออกไปในปี ค.ศ. 1154 เมื่อราชวงศ์นาบาห์นิ (Nabhani dynasty) หรือ บานูนาบาห์น (Banu Nabhan) ขึ้นสู่อำนาจ
ชาวนาบาห์นิปกครองในฐานะ มูลุก (mulūk) หรือกษัตริย์ ในขณะที่ตำแหน่งอิหม่ามซึ่งเคยมีอำนาจในรัฐอิหม่ามก่อนหน้านี้ ถูกลดความสำคัญลงเหลือเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น เมืองหลวงของราชวงศ์นาบาห์นิคือบาห์ลา (Bahla) ราชวงศ์นาบาห์นิควบคุมเส้นทางการค้ากำยาน (frankincense) ที่สำคัญ ซึ่งทอดยาวจากซุฮาร (Sohar) ผ่านโอเอซิสยาบริน (Yabrin) ขึ้นเหนือไปยังบาห์เรน (Bahrain) แบกแดด (Baghdad) และดามัสกัส (Damascus)
ต้นมะม่วงถูกนำเข้ามาปลูกในโอมานเป็นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์นาบาห์นิ โดยบุคคลชื่อ เอลเฟลละห์ บิน มุห์ซิน (ElFellah bin Muhsin)
ราชวงศ์นาบาห์นิเริ่มเสื่อมถอยลงในปี ค.ศ. 1507 เมื่อนักล่าอาณานิคมชาวโปรตุเกสเข้ายึดเมืองชายฝั่งมัสกัต (Muscat) และค่อย ๆ ขยายการควบคุมไปตามแนวชายฝั่งจนถึงซุฮารทางตอนเหนือและลงใต้ไปถึงซูร (Sur) ทางตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์บางคนแย้งว่าราชวงศ์นาบาห์นิอาจสิ้นสุดลงก่อนหน้านั้น คือในปี ค.ศ. 1435 เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างราชวงศ์กับกลุ่มอัลฮินาวีส์ (Alhinawis) ซึ่งนำไปสู่การฟื้นฟูระบบการเลือกตั้งอิหม่ามขึ้นมาใหม่
3.5. ยุคการยึดครองของโปรตุเกส


หนึ่งทศวรรษหลังจากที่วัสกู ดา กามา (Vasco da Gama) ประสบความสำเร็จในการเดินทางรอบแหลมกู๊ดโฮป (Cape of Good Hope) ไปยังอินเดีย (India) ในปี ค.ศ. 1497-1498 ชาวโปรตุเกสได้เดินทางมาถึงโอมานและเข้ายึดครองมัสกัต (Muscat) เป็นระยะเวลา 143 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1507 ถึง ค.ศ. 1650 ด้วยความจำเป็นที่จะต้องมีฐานที่มั่นเพื่อปกป้องเส้นทางเดินเรือของตน โปรตุเกสได้สร้างและเสริมความแข็งแกร่งให้กับเมืองมัสกัต ซากสถาปัตยกรรมแบบโปรตุเกสยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน ต่อมา เมืองอื่น ๆ ของโอมานอีกหลายแห่งก็ถูกโปรตุเกสยึดครองในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 เพื่อควบคุมทางเข้าอ่าวเปอร์เซีย (Persian Gulf) และการค้าในภูมิภาค โดยเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายป้อมปราการในภูมิภาคที่ทอดยาวตั้งแต่บัสรา (Basra) จนถึงเกาะฮอร์มุซ (Hormuz Island)
อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1552 กองเรือของจักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman Empire) ได้เข้ายึดป้อมปราการในมัสกัตเป็นเวลาสั้น ๆ ระหว่างการต่อสู้เพื่อควบคุมอ่าวเปอร์เซียและมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean) แต่ไม่นานก็ล่าถอยไปหลังจากทำลายพื้นที่โดยรอบป้อมปราการ
ต่อมาในศตวรรษที่ 17 โปรตุเกสซึ่งใช้ฐานที่มั่นในโอมาน ได้เข้าร่วมในยุทธนาวีครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในอ่าวเปอร์เซีย กองกำลังโปรตุเกสต่อสู้กับกองเรือผสมของบริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ (Dutch East India Company หรือ VOC) และบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ (English East India Company หรือ EIC) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากจักรวรรดิซาฟาวิด (Safavid Empire) ผลการรบจบลงด้วยการเสมอกัน แต่เหตุการณ์นี้ส่งผลให้โปรตุเกสสูญเสียอิทธิพลในอ่าวเปอร์เซียไปอย่างมาก
3.6. ราชวงศ์ยารูบา (ค.ศ. 1624-1744)
จักรวรรดิออตโตมันเข้ายึดครองมัสกัตจากโปรตุเกสอีกครั้งเป็นการชั่วคราวในปี ค.ศ. 1581 และครอบครองจนถึงปี ค.ศ. 1588
ในช่วงศตวรรษที่ 17 ชาวโอมานได้รวมตัวกันอีกครั้งภายใต้การนำของอิหม่ามแห่งราชวงศ์ยารูบา (Yaruba Imams) นาศิร บิน มุรชิด (Nasir bin Murshid) ได้ขึ้นเป็นอิหม่ามแห่งราชวงศ์ยารูบาคนแรกในปี ค.ศ. 1624 เมื่อท่านได้รับเลือกตั้งที่เมืองรัฐาก (Rustaq) อิหม่ามนาศิรและผู้สืบทอดตำแหน่งของท่านประสบความสำเร็จในการขับไล่ชาวโปรตุเกสออกจากดินแดนชายฝั่งโอมานในช่วงทศวรรษที่ 1650 ทำให้โอมานสามารถสถาปนาจักรวรรดิโอมานทางทะเลขึ้น ซึ่งได้ไล่ตามชาวโปรตุเกสและขับไล่พวกเขาออกจากดินแดนทั้งหมดในแอฟริกาตะวันออก (East Africa) ดินแดนเหล่านี้ต่อมาได้ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาเขตโอมาน
เพื่อยึดครองแซนซิบาร์ (Zanzibar) ซาอิฟ บิน สุลต่าน (Saif bin Sultan) อิหม่ามแห่งโอมาน ได้กดดันลงมาตามชายฝั่งสวาฮีลี (Swahili Coast) อุปสรรคสำคัญในการขยายอำนาจของพระองค์คือป้อมเยซู (Fort Jesus) ที่เมืองมอมบาซา (Mombasa) ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองทหารรักษาการณ์ของโปรตุเกส หลังจากการล้อมนานสองปี ป้อมดังกล่าวก็ตกเป็นของอิหม่ามซาอิฟ บิน สุลต่าน ในปี ค.ศ. 1698 นอกจากนี้ ซาอิฟ บิน สุลต่าน ยังได้เข้ายึดครองบาห์เรน (Bahrain) ในปี ค.ศ. 1700
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งภายในราชวงศ์ยารูบาเพื่อแย่งชิงอำนาจหลังจากการสิ้นพระชนม์ของอิหม่ามสุลต่าน (Imam Sultan) ในปี ค.ศ. 1718 ทำให้ราชวงศ์อ่อนแอลงอย่างมาก ด้วยอำนาจของราชวงศ์ยารูบาที่ลดน้อยลง อิหม่ามซาอิฟ บิน สุลต่าน ที่ 2 (Saif bin Sultan II) จึงได้ขอความช่วยเหลือจากนาเดอร์ ชาห์ (Nader Shah) แห่งเปอร์เซียเพื่อต่อสู้กับคู่แข่งของพระองค์ กองทัพเปอร์เซียเดินทางมาถึงในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1737 เพื่อให้การสนับสนุนซาอิฟ แต่จากฐานที่มั่นที่ญุลฟาร์ (Julfar) กองกำลังเปอร์เซียได้ก่อกบฏต่อต้านราชวงศ์ยารูบาในปี ค.ศ. 1743 จักรวรรดิเปอร์เซียจึงพยายามเข้ายึดครองชายฝั่งโอมานจนกระทั่งปี ค.ศ. 1747
3.7. คริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19
โอมานในศตวรรษที่ 18 และ 19 เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ รวมถึงการก่อตั้งราชวงศ์อัลบูไซดี การขยายตัวและการแบ่งแยกของจักรวรรดิโอมาน และการแทรกแซงจากมหาอำนาจภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิทธิพลของอังกฤษที่เพิ่มมากขึ้น
หลังจากชาวโอมานขับไล่ชาวเปอร์เซียออกไป อะห์เหม็ด บิน ซะอีด อาลบูไซดี (Ahmed bin Sa'id Albusaidi) ได้รับเลือกตั้งเป็นอิหม่ามแห่งโอมานเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1744 (บางแหล่งข้อมูลระบุว่าเป็นปี ค.ศ. 1749) โดยมีรัฐาก (Rustaq) เป็นเมืองหลวง นี่คือจุดเริ่มต้นของราชวงศ์อาลบูไซดี (Al Bu Sa'id dynasty) ซึ่งยังคงปกครองโอมานมาจนถึงปัจจุบัน ชาวโอมานยังคงใช้ระบบการเลือกตั้งอิหม่าม แต่หากมีผู้ที่เหมาะสมจากตระกูลผู้ปกครอง ก็จะให้ความสำคัญกับสมาชิกในตระกูลนั้นเป็นพิเศษ
เมื่ออิหม่ามอะห์เหม็ดสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1783 ซะอีด บิน อะห์เหม็ด (Said bin Ahmed) พระโอรสของพระองค์ ได้รับเลือกตั้งเป็นอิหม่ามสืบต่อมา ต่อมา ซัยยิด ฮามัด บิน ซะอีด (Seyyid Hamed bin Said) พระโอรสของซะอีด บิน อะห์เหม็ด ได้ทำการโค่นล้มผู้แทนของพระบิดาในมัสกัต (Muscat) และยึดป้อมปราการมัสกัตได้สำเร็จ และได้ปกครองในฐานะ "ซัยยิด" (Seyyid) หลังจากนั้น ซัยยิด สุลต่าน บิน อะห์เหม็ด (Seyyid Sultan bin Ahmed) พระปิตุลา (อา) ของซัยยิด ฮามัด ได้ขึ้นสู่อำนาจ และต่อมา ซัยยิด ซะอีด บิน สุลต่าน (Seyyid Said bin Sultan) ได้สืบทอดตำแหน่งต่อจากสุลต่าน บิน อะห์เหม็ด
ในช่วงศตวรรษที่ 19 ทั้งหมด นอกเหนือจากอิหม่ามซะอีด บิน อะห์เหม็ด ซึ่งดำรงตำแหน่งจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1803 แล้ว อัซซาน บิน เกาะอิส (Azzan bin Qais) เป็นอิหม่ามเพียงองค์เดียวที่ได้รับเลือกตั้งของโอมาน การปกครองของพระองค์เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1868 อย่างไรก็ตาม ทางการอังกฤษปฏิเสธที่จะยอมรับอิหม่ามอัซซานในฐานะผู้ปกครอง เนื่องจากถูกมองว่าเป็นศัตรูต่อผลประโยชน์ของอังกฤษ มุมมองนี้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการปลดอิหม่ามอัซซานออกจากตำแหน่งในปี ค.ศ. 1871 โดยซัยยิด ตุรกี (Sayyid Turki) ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของพระองค์ และเป็นพระโอรสของซัยยิด ซะอีด บิน สุลต่าน ผู้ล่วงลับ อีกทั้งยังเป็นพระอนุชาของสุลต่านบาร์ฆัช บิน ซะอีดแห่งแซนซิบาร์ (Sultan Barghash of Zanzibar) ซึ่งอังกฤษเห็นว่าสามารถยอมรับได้มากกว่า
จักรวรรดิโอมาน: ในรัชสมัยของซัยยิด ซะอีด บิน สุลต่าน (ปกครอง ค.ศ. 1804-1856) โอมานได้ขยายอิทธิพลอย่างกว้างขวาง ในปี ค.ศ. 1832 พระองค์ได้ย้ายเมืองหลวงจากมัสกัตไปยังแซนซิบาร์ (Zanzibar) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าการค้าทาส งาช้าง และเครื่องเทศที่สำคัญบนชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก จักรวรรดิโอมานในขณะนั้นควบคุมอาณาเขตที่ทอดยาวตั้งแต่ชายฝั่งแอฟริกาตะวันออกไปจนถึงส่วนหนึ่งของเปอร์เซียและเบโลจิสถาน (Baluchistan)
การแบ่งแยกจักรวรรดิ: หลังจากการสิ้นพระชนม์ของซัยยิด ซะอีด บิน สุลต่าน ในปี ค.ศ. 1856 จักรวรรดิโอมานได้ถูกแบ่งแยกระหว่างพระโอรสสองพระองค์ ด้วยการไกล่เกลี่ยของอังกฤษ มาญิด บิน ซะอีด (Majid bin Said) ได้ขึ้นปกครองรัฐสุลต่านแซนซิบาร์และดินแดนในแอฟริกาตะวันออก ในขณะที่ษุวัยน์ บิน ซะอีด (Thuwaini bin Said) ได้ขึ้นปกครองรัฐสุลต่านมัสกัตและโอมานบนแผ่นดินใหญ่ การแบ่งแยกนี้ส่งผลให้โอมานอ่อนแอลงอย่างมาก
กวาดาร์ (Gwadar): อิหม่ามสุลต่านแห่งโอมาน ผู้ซึ่งเป็นผู้ปกครองมัสกัตที่พ่ายแพ้ ได้รับอำนาจอธิปไตยเหนือกวาดาร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ในประเทศปากีสถานปัจจุบัน (กวาดาร์เคยเป็นดินแดนในอาณัติของโอมานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1783 จนถึงปี ค.ศ. 1958)
3.7.1. การขยายอิทธิพลของอังกฤษและการเป็นรัฐในอารักขา

จักรวรรดิบริติช (British Empire) มีความกระตือรือร้นที่จะครอบงำภูมิภาคอาระเบียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อสกัดกั้นอำนาจที่กำลังเติบโตของมหาอำนาจยุโรปอื่น ๆ และเพื่อจำกัดอำนาจทางทะเลของโอมานที่ขยายตัวขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17
นับตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18 อังกฤษได้เริ่มทำสนธิสัญญาหลายฉบับกับบรรดาสุลต่านแห่งโอมาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของอังกฤษในมัสกัต ในขณะเดียวกันก็ให้ความคุ้มครองทางทหารแก่สุลต่าน ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วได้นำไปสู่การที่โอมานต้องพึ่งพาอังกฤษมากขึ้นเรื่อย ๆ
- ค.ศ. 1798: สนธิสัญญาฉบับแรกระหว่างบริษัทอินเดียตะวันออกของบริเตน (British East India Company) และราชวงศ์อัลบูไซดี (Albusaidi dynasty) ได้รับการลงนามโดยซัยยิด สุลต่าน บิน อะห์เหม็ด (Sayyid Sultan bin Ahmed) สนธิสัญญานี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสกัดกั้นการแข่งขันทางการค้าของฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์ และเพื่อให้ได้สัมปทานในการสร้างโรงงาน (trading post) ของอังกฤษที่แบนแดร์แอบบอส (Bandar Abbas)
- ค.ศ. 1800: มีการลงนามในสนธิสัญญาฉบับที่สอง ซึ่งกำหนดให้ผู้แทนของอังกฤษพำนักอยู่ที่ท่าเรือมัสกัตและมีอำนาจในการจัดการกิจการต่างประเทศทั้งหมดของโอมานกับรัฐอื่น ๆ
- เมื่อจักรวรรดิโอมานอ่อนแอลง อิทธิพลของอังกฤษในมัสกัตก็เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดศตวรรษที่ 19
- ค.ศ. 1854: มีการลงนามในเอกสารยินยอมยกเกาะหมู่เกาะคุรียามุรียา (Kuria Muria islands) ของโอมานให้แก่อังกฤษ ซึ่งเป็นการสูญเสียดินแดนที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง
- ค.ศ. 1862-1892: ผู้แทนทางการเมือง (Political Residents) ของอังกฤษ เช่น ลูอิส เพลลี (Lewis Pelly) และเอ็ดเวิร์ด รอส (Edward Ross) มีบทบาทสำคัญในการรักษาอำนาจสูงสุดของอังกฤษเหนืออ่าวเปอร์เซียและมัสกัตผ่านระบบการปกครองทางอ้อม (indirect governance)
- ปลายศตวรรษที่ 19: ด้วยการสูญเสียอาณาเขตในแอฟริกาและรายได้ที่ลดลง สุลต่านแห่งโอมานต้องพึ่งพาเงินกู้จากอังกฤษอย่างหนัก และได้ลงนามในคำประกาศที่จะปรึกษารัฐบาลอังกฤษในทุกเรื่องสำคัญ ส่งผลให้รัฐสุลต่านตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอังกฤษโดยพฤตินัย (de facto) และสูญเสียความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายของตนเองไปอย่างมาก
3.7.2. สนธิสัญญาซีบ (ค.ศ. 1920)

ทิวเขาอัลฮะญัร (Al Hajar Mountains) ซึ่งรวมถึงญะบัลอัลอัคฎ็อร (Jebel Akhdar) ได้แบ่งประเทศออกเป็นสองภูมิภาคที่แตกต่างกัน คือ พื้นที่ตอนในของโอมาน (Oman proper หรือ Imamate of Oman) และพื้นที่ชายฝั่งที่ถูกครอบงำโดยเมืองหลวงมัสกัต (Sultanate of Muscat) การพัฒนาของจักรวรรดิอังกฤษเหนือมัสกัตและโอมานในช่วงศตวรรษที่ 19 ได้นำไปสู่การฟื้นฟูอำนาจและอุดมการณ์ของรัฐอิหม่าม (Imamate) ในโอมานตอนใน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นวัฏจักรมานานกว่า 1,200 ปีในประวัติศาสตร์โอมาน
ผู้แทนทางการเมืองของอังกฤษซึ่งพำนักอยู่ในมัสกัต มองว่าความแปลกแยกและการต่อต้านของโอมานตอนในเป็นผลมาจากอิทธิพลอันกว้างขวางของรัฐบาลอังกฤษเหนือมัสกัต ซึ่งเขามองว่าเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของตนเองโดยไม่คำนึงถึงสภาพทางสังคมและการเมืองของคนในท้องถิ่น
- ค.ศ. 1913: อิหม่ามซาลิม อัลคอรูซี (Salim Alkharusi) ได้ปลุกระดมให้เกิดการกบฏต่อต้านอำนาจของสุลต่านในมัสกัต การกบฏนี้กินเวลาจนถึงปี ค.ศ. 1920
- สนธิสัญญาซีบ (Treaty of Seeb) ค.ศ. 1920: รัฐสุลต่านได้สร้างสันติภาพกับรัฐอิหม่ามด้วยการลงนามในสนธิสัญญาซีบ สนธิสัญญานี้ได้รับการไกล่เกลี่ยโดยอังกฤษ ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนในโอมานตอนใน สนธิสัญญาดังกล่าวให้สิทธิ์ในการปกครองตนเอง (autonomous rule) แก่รัฐอิหม่ามในโอมานตอนใน และยอมรับอำนาจอธิปไตยของรัฐสุลต่านมัสกัตในบริเวณชายฝั่ง ถือเป็นการแบ่งแยกอำนาจการปกครองอย่างเป็นทางการ
- ค.ศ. 1920: อิหม่ามซาลิม อัลคอรูซี เสียชีวิต และมุฮัมมัด อัลคอลีลี (Muhammad Alkhalili) ได้รับเลือกตั้งเป็นอิหม่ามคนต่อมา
- ข้อตกลงน้ำมัน ค.ศ. 1923: เมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1923 มีการลงนามข้อตกลงระหว่างรัฐสุลต่านและรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งระบุว่ารัฐสุลต่านจะต้องปรึกษาหารือกับผู้แทนทางการเมืองของอังกฤษที่พำนักอยู่ในมัสกัต และต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลระดับสูงของอินเดีย (High Government of India) ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของอังกฤษ เพื่อที่จะทำการสกัดน้ำมันในรัฐสุลต่าน ข้อตกลงนี้ยิ่งเป็นการเพิ่มการควบคุมของอังกฤษเหนือทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญของโอมาน
- ข้อตกลงสายแดง (Red Line Agreement) ค.ศ. 1928: เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 1928 มีการลงนามในข้อตกลงสายแดงระหว่างบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่หลายแห่ง ได้แก่ บริษัทแองโกล-เปอร์เซียน (Anglo-Persian Company ซึ่งต่อมาคือ บริติช ปิโตรเลียม), รอยัลดัตช์/เชลล์ (Royal Dutch/Shell), กอมปานีฟร็องแซซเดเปโตรล (Compagnie Française des Pétroles ซึ่งต่อมาคือ โตตาล), บริษัทพัฒนาตะวันออกใกล้ (Near East Development Corporation ซึ่งต่อมาคือ เอ็กซอนโมบิล) และกาลูสต์ กุลเบนเคียน (Calouste Gulbenkian) นักธุรกิจชาวอาร์เมเนีย เพื่อร่วมกันผลิตน้ำมันในภูมิภาคที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งรวมถึงคาบสมุทรอาหรับด้วย ในปี ค.ศ. 1929 กลุ่มผู้ลงนามได้ก่อตั้งบริษัทน้ำมันอิรัก (Iraq Petroleum Company - IPC) ขึ้น
- การสละราชสมบัติ ค.ศ. 1931: เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1931 สุลต่านตัยมูร บิน ฟัยศ็อล (Taimur bin Faisal) ได้สละราชสมบัติ
3.8. สมัยสุลต่านซะอีด บิน ตัยมูร (ค.ศ. 1932-1970)

ซะอีด บิน ตัยมูร (Said bin Taimur) ขึ้นเป็นสุลต่านแห่งมัสกัตอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1932 การปกครองของสุลต่านซะอีด ซึ่งเป็นบุคคลที่มีบุคลิกซับซ้อนอย่างยิ่ง ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอังกฤษ และถูกมองว่ามีลักษณะเป็นแบบศักดินา ปฏิกิริยา และโดดเดี่ยวอย่างสุดขั้ว รัฐบาลอังกฤษยังคงมีอำนาจควบคุมการบริหารส่วนใหญ่ของรัฐสุลต่าน โดยมีตำแหน่งสำคัญ เช่น เลขานุการฝ่ายกลาโหม หัวหน้าหน่วยข่าวกรอง หัวหน้าที่ปรึกษาของสุลต่าน และรัฐมนตรีเกือบทั้งหมดยกเว้นเพียงสองคนที่เป็นชาวอังกฤษ นโยบายเหล่านี้ส่งผลให้โอมานอยู่ในสภาวะล้าหลังและตัดขาดจากโลกภายนอกเป็นระยะเวลานาน
ในปี ค.ศ. 1937 มีการลงนามข้อตกลงระหว่างสุลต่านและบริษัทน้ำมันอิรัก (Iraq Petroleum Company - IPC) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทน้ำมันที่อังกฤษถือหุ้นอยู่ 23.75% เพื่อให้สัมปทานน้ำมันแก่ IPC หลังจากที่ IPC ไม่ประสบความสำเร็จในการค้นหาน้ำมันในพื้นที่ของรัฐสุลต่าน บริษัทฯ ได้หันมาให้ความสนใจอย่างมากในโครงสร้างทางธรณีวิทยาที่มีแนวโน้มดีใกล้กับฟะฮุด (Fahud) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่ในเขตปกครองของรัฐอิหม่าม (Imamate) IPC ได้เสนอให้การสนับสนุนทางการเงินแก่สุลต่านเพื่อจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธสำหรับต่อต้านการต่อต้านใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากฝ่ายรัฐอิหม่าม ซึ่งเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของโอมานอย่างชัดเจน
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อสงครามปะทุขึ้น สุลต่านแห่งโอมานได้ประกาศสงครามกับเยอรมนีเมื่อวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 1939 โอมานมีบทบาททางยุทธศาสตร์ในการป้องกันเส้นทางการค้าของสหราชอาณาจักร (United Kingdom) กองทัพอากาศสหราชอาณาจักร (Royal Air Force - RAF) ได้จัดตั้งสถานีบนเกาะมะศีเราะฮ์ (Masirah Island) (เรียกว่า RAF Masirah) และที่เราะซุลฮัดด์ (Ras al Hadd) หน่วยกู้ภัยทางอากาศและทางทะเลก็ถูกจัดตั้งขึ้นในโอมานเช่นกัน ฝูงบินต่าง ๆ ของ RAF ได้ใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดเบาบริสตอล เบลนไฮม์ (Bristol Blenheim) เครื่องบินทิ้งระเบิดวิคเกอร์ส เวลลิงตัน (Vickers Wellington) และเครื่องบินทะเลคอนโซลิเดเต็ด พีบีวาย คาตาลินา (Consolidated PBY Catalina) ปฏิบัติการต่อต้านเรือดำน้ำในอ่าวโอมานและทะเลอาหรับตอนเหนือ เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1943 เรือดำน้ำเยอรมัน U-533 ถูกจมในอ่าวโอมานโดยระเบิดลึกจากเครื่องบินบริสตอล เบลนไฮม์ของฝูงบินที่ 244 ของ RAF
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1951 มีการลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพ พาณิชยกรรม และการเดินเรือ (Treaty of Friendship, Commerce and Navigation) ระหว่างโอมานและสหราชอาณาจักร ซึ่งยอมรับว่ารัฐสุลต่านมัสกัตและโอมานเป็นรัฐเอกราชโดยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการยอมรับความเป็นเอกราชนี้ อิทธิพลของอังกฤษยังคงมีอยู่มากในโอมาน
เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงดินแดน ในปี ค.ศ. 1955 พื้นที่ชายฝั่งมักรอน (Makran strip) ได้ถูกผนวกเข้ากับปากีสถาน (Pakistan) และกลายเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดบาโลจิสถาน (Balochistan province) ในขณะที่กวาดาร์ (Gwadar) ยังคงเป็นของโอมานอยู่ ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 1958 ปากีสถานได้ดำเนินการซื้อพื้นที่กวาดาร์จากโอมานในราคา 3.00 M USD
3.8.1. สงครามญะบะลุลอัคฎ็อร (ค.ศ. 1954-1959)
ภูมิหลัง: สุลต่านซะอีด บิน ตัยมูรได้แสดงความสนใจที่จะเข้ายึดครองรัฐอิหม่าม (Imamate) ในโอมานตอนในทันทีหลังจากการอสัญกรรมของอิหม่ามอัลคอลีลี (Imam Alkhalili) โดยหวังที่จะฉวยโอกาสจากความไม่มั่นคงที่อาจเกิดขึ้นภายในรัฐอิหม่ามในช่วงการเลือกตั้งอิหม่ามองค์ใหม่ พระองค์ได้แจ้งความประสงค์นี้ต่อรัฐบาลอังกฤษ ผู้แทนทางการเมืองของอังกฤษในมัสกัตเชื่อว่าวิธีเดียวที่จะสามารถเข้าถึงแหล่งน้ำมันในตอนในได้คือการให้ความช่วยเหลือสุลต่านในการเข้ายึดครองรัฐอิหม่าม ในปี ค.ศ. 1946 รัฐบาลอังกฤษได้เสนออาวุธยุทโธปกรณ์ กระสุน เสบียง และเจ้าหน้าที่ทหาร เพื่อเตรียมความพร้อมให้สุลต่านสามารถโจมตีพื้นที่ตอนในของโอมานได้
ความขัดแย้งเรื่องสัมปทานน้ำมัน: ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1954 อิหม่ามอัลคอลีลีอสัญกรรม และฆอลิบ อัลฮินาอี (Ghalib Alhinai) ได้รับเลือกตั้งเป็นอิหม่ามองค์ใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่างสุลต่านซะอีด บิน ตัยมูร และอิหม่ามฆอลิบ อัลฮินาอีเริ่มตึงเครียดขึ้นจากข้อพิพาทเรื่องสัมปทานน้ำมัน
การปะทุของสงคราม: ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1955 สุลต่านซะอีด บิน ตัยมูร ได้ส่งกองกำลังสนามมัสกัตและโอมาน (Muscat and Oman Field Force) เข้ายึดครองศูนย์กลางหลัก ๆ ในโอมาน รวมถึงนิซวา (Nizwa) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐอิหม่ามโอมาน และเมืองอิบรี (Ibri) ชาวโอมานในพื้นที่ตอนในภายใต้การนำของอิหม่ามฆอลิบ อัลฮินาอี, ฏอลิบ อัลฮินาอี (Talib Alhinai) น้องชายของอิหม่ามและผู้ว่าการรัฐาก (Wali of Rustaq), และสุลัยมาน บิน ฮัมยัร (Suleiman bin Hamyar) ผู้ว่าการญะบะลุลอัคฎ็อร (Wali of Jebel Akhdar) ได้ลุกขึ้นต่อต้านและป้องกันรัฐอิหม่ามในสิ่งที่เรียกว่าสงครามญะบะลุลอัคฎ็อร (Jebel Akhdar War) การต่อสู้ครั้งนี้เป็นการต่อต้านการโจมตีจากรัฐสุลต่านซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอังกฤษ
การแทรกแซงของอังกฤษและผลกระทบ: ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1957 กองกำลังของสุลต่านต้องล่าถอยเนื่องจากถูกซุ่มโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าและประสบความสูญเสียอย่างหนัก สุลต่านซะอีด ด้วยการแทรกแซงของทหารราบอังกฤษ (สองกองร้อยจากกรมทหารแคเมอโรเนียนส์) หน่วยรถหุ้มเกราะจากกองทัพอังกฤษ และเครื่องบินจากกองทัพอากาศสหราชอาณาจักร (Royal Air Force - RAF) จึงสามารถปราบปรามการกบฏได้ในที่สุด กองกำลังของรัฐอิหม่ามต้องถอยร่นไปยังพื้นที่ญะบะลุลอัคฎ็อรที่เข้าถึงได้ยาก
พันเอกเดวิด สไมลีย์ (David Smiley) ซึ่งได้รับมอบหมายให้มาช่วยจัดตั้งกองทัพของสุลต่าน สามารถปิดล้อมภูเขาได้สำเร็จในฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 1958 และค้นพบเส้นทางขึ้นสู่ที่ราบสูงจากวาดี บานี คอรุส (Wadi Bani Kharus)
การโจมตีทางอากาศและผลกระทบต่อพลเรือน: เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1957 รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษได้อนุมัติให้ทำการโจมตีทางอากาศโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าต่อประชาชนในท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ในโอมานตอนใน ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงธันวาคม ค.ศ. 1958 กองทัพอากาศอังกฤษได้ทำการโจมตีกว่า 1,635 ครั้ง ทิ้งระเบิดรวมน้ำหนัก 1,094 ตัน และยิงจรวดจำนวน 900 ลูกใส่พื้นที่ตอนในของโอมาน โดยมีเป้าหมายเป็นกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ หมู่บ้านบนยอดเขา คลองส่งน้ำ และพืชผลทางการเกษตร การโจมตีเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก และก่อให้เกิดความเสียหายอย่างกว้างขวาง
การสิ้นสุดสงครามและผลที่ตามมา: เมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1959 กองกำลังของรัฐสุลต่านสามารถเข้ายึดครองพื้นที่ภูเขาได้สำเร็จ อิหม่ามฆอลิบ, ฏอลิบ และสุลัยมาน สามารถหลบหนีไปยังซาอุดีอาระเบียได้ ซึ่งเป็นที่ที่อุดมการณ์ของรัฐอิหม่ามยังคงได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจนถึงช่วงทศวรรษที่ 1970 กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐอิหม่ามที่ถูกเนรเทศได้นำเสนอกรณีของโอมานต่อสันนิบาตอาหรับ (Arab League) และสหประชาชาติ (United Nations)
ประชาคมระหว่างประเทศ: เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1963 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UN General Assembly) ได้ตัดสินใจจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเกี่ยวกับโอมาน (Ad-Hoc Committee on Oman) ขึ้นเพื่อศึกษา 'ปัญหาโอมาน' (Question of Oman) สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้มีมติเกี่ยวกับ 'ปัญหาโอมาน' ในปี ค.ศ. 1965, 1966 และอีกครั้งในปี ค.ศ. 1967 โดยเรียกร้องให้รัฐบาลอังกฤษยุติการกระทำที่กดขี่ทั้งหมดต่อคนในท้องถิ่น ยุติการควบคุมของอังกฤษเหนือโอมาน และยืนยันสิทธิอันมิอาจเพิกถอนได้ของชาวโอมานในการกำหนดการปกครองด้วยตนเองและการได้รับเอกราช
3.8.2. กบฏโซฟาร์ (ค.ศ. 1962-1976)
ภูมิหลังและสาเหตุ: กบฏโซฟาร์ (Dhofar Rebellion) หรือบางครั้งเรียกว่าสงครามโซฟาร์ (Dhofar War) เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1963 (แม้ว่าบางแหล่งข้อมูลอาจระบุปี ค.ศ. 1962 หรือ 1965) ในภูมิภาคโซฟาร์ (Dhofar) ทางตอนใต้ของโอมาน สาเหตุหลักของกบฏครั้งนี้มาจากการปกครองที่ถูกมองว่ากดขี่และละเลยของสุลต่านซะอีด บิน ตัยมูร สภาพความยากจน การขาดการพัฒนา และความต้องการในการกำหนดการปกครองด้วยตนเองของประชาชนในโซฟาร์เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการลุกฮือ กลุ่มกบฏเริ่มแรกคือแนวร่วมปลดปล่อยโซฟาร์ (Dhofar Liberation Front - DLF) ซึ่งต่อมาได้รับอิทธิพลจากแนวคิดลัทธิมาร์กซ-เลนิน และได้รับการสนับสนุนจากประเทศเยเมนใต้ (South Yemen) และประเทศคอมมิวนิสต์อื่น ๆ กลุ่มกบฏได้เปลี่ยนชื่อเป็นแนวร่วมประชาชนเพื่อการปลดปล่อยอ่าวอาหรับที่ถูกยึดครอง (Popular Front for the Liberation of the Occupied Arabian Gulf - PFLOAG) และต่อมาเป็นแนวร่วมประชาชนปลดปล่อยโอมาน (Popular Front for the Liberation of Oman - PFLO)
การขยายตัวของกบฏ: กบฏโซฟาร์ได้รับการสนับสนุนจากภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสหภาพโซเวียตและจีน ผ่านทางเยเมนใต้ กลุ่มกบฏประสบความสำเร็จในการควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของโซฟาร์ และได้คุกคามอำนาจการควบคุมของสุลต่านอย่างรุนแรง
การเปลี่ยนแปลงการปกครองและการปราบปราม: เมื่อการกบฏทวีความรุนแรงและคุกคามการควบคุมโซฟาร์ของสุลต่าน สุลต่านซะอีด บิน ตัยมูร ถูกโค่นล้มในการรัฐประหารโดยไม่เสียเลือดเนื้อในปี ค.ศ. 1970 โดยกอบูส บิน ซะอีด (Qaboos bin Said) พระโอรสของพระองค์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหราชอาณาจักร สุลต่านกอบูสได้ดำเนินนโยบายใหม่ โดยผสมผสานทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในโซฟาร์เพื่อเอาชนะใจประชาชน ควบคู่ไปกับการขยายกองทัพสุลต่านโอมาน (Sultan's Armed Forces - SAF) ให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การแทรกแซงจากต่างชาติ: การปราบปรามกบฏโซฟาร์ประสบความสำเร็จด้วยความช่วยเหลือจากกองกำลังต่างชาติจำนวนมาก ได้แก่ จอร์แดน (Jordan) ซาอุดีอาระเบีย (Saudi Arabia) อิหร่าน (Iran) (ซึ่งส่งกองกำลังขนาดใหญ่เข้าร่วมปฏิบัติการ) ปากีสถาน (Pakistan) และสหราชอาณาจักร (United Kingdom) (รวมถึงหน่วยรบพิเศษSAS) การแทรกแซงจากกองกำลังเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยพลิกสถานการณ์สงครามให้ฝ่ายรัฐบาลโอมานกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ
การสิ้นสุดกบฏและผลกระทบ: การลุกฮือของกลุ่มกบฏถูกปราบปรามลงอย่างสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1976 สงครามครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและผู้พลัดถิ่นจำนวนมากในหมู่ประชาชนชาวโซฟาร์ และได้ทิ้งร่องรอยของความขัดแย้งและความบอบช้ำไว้ในภูมิภาคเป็นเวลานาน แม้ว่ารัฐบาลของสุลต่านกอบูสจะพยายามพัฒนาภูมิภาคโซฟาร์อย่างเต็มที่ภายหลังสงคราม แต่ผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่นและเหยื่อของความขัดแย้งยังคงเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์
3.9. ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ (ค.ศ. 1970-ปัจจุบัน)
ประวัติศาสตร์โอมานสมัยใหม่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ถือเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาครั้งใหญ่ภายใต้การนำของสุลต่านสองพระองค์ คือ สมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านกอบูส บิน ซะอีด และสมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านฮัยษัม บิน ฏอริก ซึ่งได้นำพาประเทศผ่านความท้าทายและโอกาสต่าง ๆ มากมาย ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
3.9.1. สมัยสุลต่านกอบูส บิน ซะอีด อาล ซะอีด (ค.ศ. 1970-2020)

การขึ้นครองราชย์และการปฏิรูป: สุลต่านกอบูส บิน ซะอีด ขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 1970 หลังจากทำการรัฐประหารโค่นล้มพระบิดา คือ สุลต่านซะอีด บิน ตัยมูร พระองค์ได้ทรงเปิดประเทศและเปลี่ยนชื่อประเทศจาก "รัฐสุลต่านมัสกัตและโอมาน" เป็น "รัฐสุลต่านโอมาน" อย่างเป็นทางการ และได้เริ่มดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมครั้งใหญ่ นโยบายของพระองค์มุ่งเน้นการพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการโอมาน" (Omani Renaissance) โดยมีการลงทุนอย่างมหาศาลในด้านสาธารณสุข การศึกษา และสวัสดิการสังคม นอกจากนี้ ซาอุดีอาระเบียยังได้ให้การสนับสนุนด้านการลงทุนในการพัฒนาระบบการศึกษาของโอมาน รวมถึงการส่งครูชาวซาอุดีอาระเบียมาช่วยสอนด้วย
การยกเลิกทาส: ความเป็นทาส ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นรากฐานสำคัญของการค้าและการพัฒนาของประเทศ ถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1970 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญ
การต่างประเทศ: ในปี ค.ศ. 1971 โอมานได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ และในปี ค.ศ. 1981 ได้เป็นหนึ่งในสมาชิกร่วมก่อตั้งสภาความร่วมมืออ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council - GCC) ซึ่งเป็นการเสริมสร้างบทบาทของโอมานในเวทีระหว่างประเทศ
การปฏิรูปทางการเมือง: มีการริเริ่มการปฏิรูปทางการเมืองอย่างค่อยเป็นค่อยไป โอมานเริ่มใช้ธงชาติปัจจุบันในปี ค.ศ. 1995 ในปี ค.ศ. 1997 สุลต่านกอบูสได้มีพระบรมราชโองการให้สตรีมีสิทธิในการลงคะแนนเสียงและสมัครรับเลือกตั้งในสภาที่ปรึกษา (Majlis al-Shura) และส่งผลให้มีสตรีได้รับเลือกตั้งเข้าไปทำหน้าที่จำนวนสองคน ต่อมาในปี ค.ศ. 2002 สิทธิในการลงคะแนนเสียงได้ขยายไปยังพลเมืองโอมานทุกคนที่มีอายุมากกว่า 21 ปี และการเลือกตั้งครั้งแรกภายใต้กฎเกณฑ์ใหม่นี้ได้จัดขึ้นในปี ค.ศ. 2003 ในปี ค.ศ. 2004 สุลต่านได้ทรงแต่งตั้งรัฐมนตรีหญิงคนแรกของโอมาน คือ ชีคคา อัยชา บินต์ คอลฟาน บิน ญะมีล อัสซะยาบียะห์ (Sheikha Aisha bint Khalfan bin Jameel al-Sayabiyah) ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการหัตถกรรมพื้นเมือง
ข้อจำกัดด้านประชาธิปไตย: แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว แต่โครงสร้างทางการเมืองที่แท้จริงของรัฐบาลยังคงมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย สุลต่านยังคงมีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศด้วยพระบรมราชโองการ ในปี ค.ศ. 2005 มีรายงานว่าผู้ต้องสงสัยว่าเป็นกลุ่มอิสลามนิยม (Islamists) เกือบ 100 คนถูกจับกุม และ 31 คนในจำนวนนี้ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาพยายามล้มล้างรัฐบาล อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งหมดได้รับการอภัยโทษในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน
การประท้วงปี ค.ศ. 2011: ด้วยแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์อาหรับสปริง (Arab Spring) ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศอาหรับ การประท้วงได้ปะทุขึ้นในโอมานในช่วงต้นปี ค.ศ. 2011 ผู้ประท้วงไม่ได้เรียกร้องให้มีการล้มล้างระบอบการปกครอง แต่ได้เรียกร้องให้มีการปฏิรูปทางการเมือง ปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น และสร้างงานให้กับประชาชนเพิ่มมากขึ้น การประท้วงถูกสลายโดยตำรวจปราบจลาจลในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 สุลต่านกอบูสทรงตอบสนองต่อสถานการณ์ด้วยการสัญญาว่าจะสร้างงานและให้สวัสดิการต่าง ๆ เพิ่มเติมแก่ประชาชน ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2011 ได้มีการจัดการเลือกตั้งสภาที่ปรึกษา ซึ่งสุลต่านกอบูสทรงสัญญาว่าจะให้อำนาจแก่สภาดังกล่าวมากขึ้น
การจำกัดเสรีภาพ: ในปี ค.ศ. 2012 รัฐบาลโอมานเริ่มดำเนินการปราบปรามการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทางอินเทอร์เน็ตอย่างจริงจัง ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2012 ได้เริ่มมีการพิจารณาคดี 'นักกิจกรรม' (activists) หลายรายที่ถูกกล่าวหาว่าโพสต์ข้อความวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลในลักษณะที่ "ดูหมิ่นและยั่วยุ" ทางออนไลน์ และมีผู้ถูกตัดสินจำคุกหกคน เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกในประเทศ
การพัฒนาสาธารณสุข: ในปี ค.ศ. 2013 โอมานประสบความสำเร็จในการกำจัดโรคมาลาเรีย (malaria) ออกจากประเทศ ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO)
การสวรรคต: สุลต่านกอบูส บิน ซะอีด ผู้ซึ่งเป็นผู้ปกครองที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกอาหรับในขณะนั้น ได้สวรรคตเมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 2020
3.9.2. สมัยสุลต่านฮัยษัม บิน ฏอริก อาล ซะอีด (ค.ศ. 2020-ปัจจุบัน)
การขึ้นครองราชย์: เนื่องจากสุลต่านกอบูส บิน ซะอีด ไม่มีพระราชโอรส พระองค์ได้ทรงระบุชื่อฮัยษัม บิน ฏอริก (Haitham bin Tariq) ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของพระองค์ เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ในพระราชสาส์น (จดหมาย) และราชวงศ์ผู้ปกครองได้ยืนยันให้พระองค์ขึ้นเป็นสุลต่านองค์ใหม่แห่งโอมานเมื่อวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2020
ทิศทางนโยบายหลัก: สุลต่านฮัยษัมได้ให้คำมั่นว่าจะสานต่อนโยบายต่างประเทศที่เป็นกลางและไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ๆ ซึ่งเป็นแนวทางที่สุลต่านกอบูสทรงดำเนินมาโดยตลอด นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดการพึ่งพาน้ำมันและส่งเสริมความหลากหลายทางเศรษฐกิจภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ "วิสัยทัศน์โอมาน 2040" (Oman Vision 2040)
การแต่งตั้งมกุฎราชกุมาร: เมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2021 สุลต่านฮัยษัมได้ทรงแต่งตั้งษิยะซิน บิน ฮัยษัม (Theyazin bin Haitham) พระราชโอรสองค์โต เป็นมกุฎราชกุมารแห่งโอมาน (Crown Prince of Oman) พระองค์แรกของประเทศ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการสืบทอดราชบัลลังก์ของโอมาน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความมั่นคงและความต่อเนื่องในการปกครองประเทศ
สถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจปัจจุบัน: โอมานภายใต้การนำของสุลต่านฮัยษัมยังคงเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจหลายประการ รวมถึงผลกระทบจากการระบาดทั่วของโควิด-19 (COVID-19 pandemic) และความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก รัฐบาลกำลังดำเนินมาตรการรัดเข็มขัดทางการคลังและปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในระยะยาว และลดการขาดดุลงบประมาณ
4. ภูมิศาสตร์
โอมานตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 16° และ 28° เหนือ และลองจิจูด 52° และ 60° ตะวันออก มีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลาย ตั้งแต่ที่ราบทะเลทรายกรวดอันกว้างใหญ่ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของตอนกลางของประเทศ ไปจนถึงเทือกเขาสูงทางตอนเหนือและชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่สวยงาม
4.1. ภูมิอากาศ
เช่นเดียวกับส่วนอื่น ๆ ของอ่าวเปอร์เซีย โดยทั่วไปแล้วโอมานมีสภาพอากาศที่ร้อนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีอุณหภูมิในฤดูร้อนในมัสกัตและทางตอนเหนือของโอมานเฉลี่ยอยู่ที่ 30 °C ถึง 40 °C โอมานมีปริมาณน้ำฝนน้อย โดยมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีในมัสกัตอยู่ที่ 100 mm ซึ่งส่วนใหญ่จะตกในเดือนมกราคม ทางตอนใต้ พื้นที่ภูเขาซุฟาร์ใกล้กับซาลาลาห์มีสภาพอากาศคล้ายเขตร้อนและมีฝนตกตามฤดูกาลตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายนถึงปลายเดือนกันยายนอันเป็นผลมาจากลมมรสุมจากมหาสมุทรอินเดีย ทำให้อากาศในฤดูร้อนอิ่มตัวไปด้วยความชื้นที่เย็นสบายและมีหมอกหนา อุณหภูมิในฤดูร้อนในซาลาลาห์อยู่ระหว่าง 20 °C ถึง 30 °C ซึ่งค่อนข้างเย็นเมื่อเทียบกับทางตอนเหนือของโอมาน
พื้นที่ภูเขาจะมีปริมาณน้ำฝนมากกว่า และปริมาณน้ำฝนรายปีบนส่วนที่สูงกว่าของญะบัลอัลอัคฎ็อรน่าจะเกิน 400 mm อุณหภูมิที่ต่ำในพื้นที่ภูเขาสูงทำให้มีหิมะปกคลุมทุก ๆ สองสามปี บางส่วนของชายฝั่ง โดยเฉพาะใกล้กับเกาะมะศีเราะฮ์ บางครั้งอาจไม่มีฝนตกเลยตลอดทั้งปี โดยทั่วไปสภาพอากาศจะร้อนจัด โดยอุณหภูมิอาจสูงถึงประมาณ 54 °C (สูงสุด) ในช่วงฤดูร้อน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน
เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 2018 เมืองกุร็อยยาต (Qurayyat) ได้สร้างสถิติอุณหภูมิต่ำสุดที่สูงที่สุดในรอบ 24 ชั่วโมง คือ 42.6 °C
ในด้านการดำเนินการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังคงมีความท้าทายที่สำคัญที่ต้องแก้ไข ตามดัชนีการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติปี ค.ศ. 2019 การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากพลังงาน (tCO2/หัว) และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการส่งออกเชื้อเพลิงฟอสซิล (กก./หัว) อยู่ในระดับสูงมาก ในขณะที่การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่นำเข้า (tCO2/หัว) และจำนวนผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (ต่อประชากร 100,000 คน) อยู่ในระดับต่ำ
4.2. วาดี

โอมานมีวาดี (wadi) จำนวนมาก (คำภาษาอาหรับหมายถึงหุบเขาแม่น้ำ) ซึ่งอาจมีน้ำเต็มชั่วคราวเมื่อมีฝนตก วาดีเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศและเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญในประเทศที่แห้งแล้ง วาดีที่สำคัญบางแห่ง ได้แก่ วาดิ บานี คอลิด (Wadi Bani Khalid) วาดิ ชาบ (Wadi Shab) และวาดิ ติวี (Wadi Tiwi) ซึ่งเป็นที่รู้จักจากทัศนียภาพที่สวยงามและสระน้ำตามธรรมชาติ
วาดีในโอมานไม่เพียงแต่เป็นแหล่งน้ำจืดเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนความหลากหลายทางชีวภาพที่เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงพืชพรรณและสัตว์ต่าง ๆ ที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้ง นอกจากนี้ วาดีหลายแห่งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศให้มาเยี่ยมชมความงามทางธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม วาดีเหล่านี้ยังเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนในระยะยาว
4.3. ความหลากหลายทางชีวภาพ

พืชพรรณส่วนใหญ่ในโอมานประกอบด้วยไม้พุ่มทนแล้งและหญ้าทะเลทราย ซึ่งเป็นพืชทั่วไปในแถบอาระเบียใต้ อย่างไรก็ตาม พืชพรรณจะค่อนข้างเบาบางในบริเวณที่ราบสูงตอนใน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายกรวด ปริมาณน้ำฝนจากลมมรสุมที่มากขึ้นในเขตผู้ว่าราชการซุฟาร์และบริเวณเทือกเขาทำให้พืชพรรณในบริเวณนั้นมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้นในช่วงฤดูร้อน ต้นมะพร้าวขึ้นอย่างหนาแน่นตามที่ราบชายฝั่งของซุฟาร์ และมีการผลิตกำยานในบริเวณเนินเขา นอกจากนี้ยังมีต้นยี่โถและต้นกระถินหลากหลายสายพันธุ์ขึ้นอยู่ทั่วไป ทิวเขาอัลฮะญัร (Al Hajar Mountains) เป็นนิเวศภาคที่โดดเด่น ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดในอาระเบียตะวันออก และเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหลากหลายชนิด รวมถึงทาร์อาระเบีย (Arabian tahr)

สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมพื้นเมืองที่พบในโอมาน ได้แก่ เสือดาว ไฮยีนา สุนัขจิ้งจอก หมาป่า กระต่ายป่า ออริกซ์ และไอเบ็กซ์ (ibex) นกชนิดต่าง ๆ ที่พบ ได้แก่ อีแร้ง นกอินทรี นกกระสา นกตบยุงหน้าป Tijdens นกกระทาอาระเบีย (Arabian partridge) นกจาบคา (bee-eater) เหยี่ยว และนกกินปลี ในปี ค.ศ. 2001 โอมานมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใกล้สูญพันธุ์ 9 ชนิด นกที่ใกล้สูญพันธุ์ 5 ชนิด และพืชที่ถูกคุกคาม 19 ชนิด ได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาเพื่อคุ้มครองสัตว์ใกล้สูญพันธุ์เหล่านี้ รวมถึง เสือดาวอาระเบีย (Arabian leopard) ออริกซ์อาระเบีย (Arabian oryx) กาเซลล์ภูเขา (mountain gazelle) กาเซลล์คอยาว (goitered gazelle) ทาร์อาระเบีย เต่าตนุ เต่ากระ และเต่าหญ้า อย่างไรก็ตาม เขตรักษาพันธุ์ออริกซ์อาระเบีย (Arabian Oryx Sanctuary) เป็นสถานที่แรกที่ถูกถอดออกจากรายชื่อแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก หลังจากรัฐบาลตัดสินใจลดขนาดพื้นที่ลง 90% ในปี ค.ศ. 2007 เพื่อเปิดทางให้มีการสำรวจน้ำมัน ซึ่งเป็นการกระทำที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากนักอนุรักษ์
หน่วยงานระดับท้องถิ่นและระดับชาติได้บันทึกถึงการปฏิบัติต่อสัตว์อย่างผิดจรรยาบรรณในโอมาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุนัขจรจัด (และในระดับที่น้อยกว่าคือแมวจรจัด) มักตกเป็นเหยื่อของการทารุณกรรม การทอดทิ้ง หรือการถูกละเลย วิธีการเดียวที่ได้รับการอนุมัติในการลดจำนวนประชากรสุนัขจรจัดคือการยิงโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ รัฐบาลโอมานปฏิเสธที่จะดำเนินโครงการทำหมันหรือสร้างศูนย์พักพิงสัตว์ใด ๆ ในประเทศ แม้ว่าแมวจะถูกมองว่ายอมรับได้มากกว่าสุนัข แต่ก็ยังถูกมองว่าเป็นสัตว์รบกวนและมักตายจากความอดอยากหรือเจ็บป่วย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โอมานได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับกิจกรรมการดูวาฬ โดยเน้นไปที่วาฬหลังค่อมอาระเบียที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง วาฬสเปิร์ม และวาฬสีน้ำเงินแคระ
4.4. ทรัพยากรธรรมชาติ
โอมานมีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ ปริมาณสำรองน้ำมันของโอมานจัดอยู่ในอันดับที่ 22 ของโลก การผลิตและการแปรรูปน้ำมันส่วนใหญ่ดำเนินการโดยบริษัท ปิโตรเลียม ดีเวลลอปเมนต์ โอมาน (Petroleum Development Oman - PDO) แม้ว่าการผลิตน้ำมันจะเริ่มลดลง แต่ปริมาณสำรองน้ำมันที่พิสูจน์แล้วยังคงค่อนข้างคงที่ กระทรวงพลังงานและแร่ธาตุของโอมานเป็นผู้รับผิดชอบโครงสร้างพื้นฐานและโครงการที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและก๊าซทั้งหมดในประเทศ โอมานเพิ่มการผลิตน้ำมันเป็นสองเท่าระหว่างปี ค.ศ. 1979 ถึง 1985 หลังเกิดวิกฤตการณ์พลังงานในทศวรรษ 1970 ในปี ค.ศ. 2018 น้ำมันและก๊าซคิดเป็น 71% ของรายได้รัฐบาล และ 30.1% ของ GDP ในปี ค.ศ. 2017 การผลิตน้ำมันลดลงกว่า 26% ระหว่างปี ค.ศ. 2000 ถึง 2007 แต่ฟื้นตัวขึ้นเป็น 930,000 บาร์เรลต่อวันในปี ค.ศ. 2012 ปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติของโอมานอยู่ที่ประมาณ 849.5 พันล้านลูกบาศก์เมตร (อันดับที่ 28 ของโลก) และมีการผลิตประมาณ 24 พันล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีในปี ค.ศ. 2008
นอกจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแล้ว โอมานยังมีทรัพยากรแร่ธาตุอื่น ๆ เช่น ทองแดง แร่โครไมต์ ยิปซัม หินปูน และหินอ่อน ในอดีต ทองแดงเคยเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของโอมาน ปัจจุบัน รัฐบาลโอมานกำลังพยายามส่งเสริมการสำรวจและพัฒนาทรัพยากรแร่ธาตุเหล่านี้เพื่อสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจและลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมัน
ทรัพยากรทางทะเลก็มีความสำคัญต่อโอมานเช่นกัน ด้วยแนวชายฝั่งที่ยาวกว่า 3.17 K km ทำให้โอมานมีศักยภาพสูงในด้านอุตสาหกรรมประมง ปลาและผลิตภัณฑ์จากทะเลเป็นแหล่งอาหารและรายได้ที่สำคัญสำหรับชุมชนชายฝั่ง
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้จำเป็นต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในระยะยาว รัฐบาลโอมานกำลังให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น
5. การเมือง
โอมานเป็นรัฐเดี่ยวและปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการทั้งหมดรวมศูนย์อยู่ที่องค์สุลต่านผู้เป็นประมุขโดยการสืบทอดทางสายเลือด ด้วยเหตุนี้ องค์กรฟรีดอมเฮาส์ (Freedom House) จึงจัดอันดับให้โอมานเป็นประเทศ "ไม่เสรี" (Not Free) มาโดยตลอด
องค์สุลต่านทรงเป็นประมุขแห่งรัฐและทรงควบคุมโดยตรงในด้านการต่างประเทศและการป้องกันประเทศ พระองค์มีอำนาจเด็ดขาดและออกกฎหมายผ่านทางพระบรมราชโองการ
5.1. ระบบการเมือง
โอมานปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยมีองค์สุลต่านเป็นประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาล ทรงมีอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศ นิติบัญญัติ และตุลาการ ตำแหน่งสุลต่านสืบทอดกันทางสายเลือดภายในราชวงศ์ราชวงศ์อาลบูไซดี (Al Bu Said)
รัฐธรรมนูญฉบับแรกของโอมานคือ "กฎหมายพื้นฐานแห่งรัฐ" (Basic Statute of the State) ประกาศใช้ในปี ค.ศ. 1996 และมีการแก้ไขเพิ่มเติมในปี ค.ศ. 2011 และ 2021 กฎหมายนี้ได้กำหนดกรอบการทำงานของรัฐบาลและสิทธิของพลเมือง แต่ในทางปฏิบัติ อำนาจทั้งหมดยังคงรวมศูนย์อยู่ที่องค์สุลต่าน
แม้จะไม่มีการแบ่งแยกอำนาจอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีสถาบันที่ทำหน้าที่คล้ายฝ่ายนิติบัญญัติคือ สภาโอมาน (Council of Oman) ซึ่งเป็นระบบสองสภา ประกอบด้วยสภาแห่งรัฐ (Majlis al-Dawla หรือสภาสูง) และสภาที่ปรึกษา (Majlis al-Shura หรือสภาล่าง) สมาชิกสภาแห่งรัฐมาจากการแต่งตั้งโดยสุลต่าน ส่วนสมาชิกสภาที่ปรึกษามาจากการเลือกตั้ง แต่ทั้งสองสภามีอำนาจจำกัดและทำหน้าที่เป็นเพียงองค์กรที่ปรึกษาเท่านั้น พรรคการเมืองเป็นสิ่งต้องห้ามในโอมาน
การบริหารประเทศอยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงของสุลต่าน ผู้ทรงแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงอื่น ๆ เสถียรภาพทางการเมืองของโอมานส่วนหนึ่งมาจากการปกครองที่ยาวนานของสุลต่านกอบูส บิน ซะอีด ผู้ล่วงลับ ซึ่งทรงใช้รายได้จากน้ำมันในการพัฒนาประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน อย่างไรก็ตาม การรวมศูนย์อำนาจและการขาดการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแท้จริงยังคงเป็นลักษณะเด่นของระบบการเมืองโอมาน
5.2. รัฐบาลและรัฐสภา
รัฐบาล: อำนาจบริหารในโอมานรวมศูนย์อยู่ที่องค์สุลต่าน ผู้ทรงเป็นทั้งประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาล สุลต่านทรงแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ซึ่งทำหน้าที่ช่วยเหลือในการบริหารประเทศ รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงจะรับผิดชอบการดำเนินงานตามนโยบายที่สุลต่านกำหนด คณะรัฐมนตรีไม่มีอำนาจอิสระในการตัดสินใจ แต่ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานบริหารภายใต้การกำกับดูแลของสุลต่าน
รัฐสภา: โอมานมีระบบรัฐสภาสองสภาเรียกว่า สภาโอมาน (Council of Oman) ซึ่งประกอบด้วย:
- สภาแห่งรัฐ (Majlis al-Dawla): เป็นสภาสูง สมาชิกจำนวน 71 คน (ตามข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงภาษาอังกฤษ) มาจากการแต่งตั้งโดยตรงจากองค์สุลต่าน โดยคัดเลือกจากบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิและมีชื่อเสียงในด้านต่าง ๆ สภาแห่งรัฐมีหน้าที่หลักในการให้คำปรึกษาและทบทวนร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาจากสภาล่างก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายให้สุลต่านทรงลงพระปรมาภิไธย
- สภาที่ปรึกษา (Majlis al-Shura): เป็นสภาล่าง สมาชิกจำนวน 84 คน (ตามข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงภาษาอังกฤษ) มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี สภาที่ปรึกษามีหน้าที่พิจารณาร่างกฎหมายที่เสนอโดยรัฐบาล ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจและสังคม (ยกเว้นนโยบายด้านปิโตรเลียมและการป้องกันประเทศ) และสามารถซักถามรัฐมนตรีได้
แม้ว่าโอมานจะมีระบบรัฐสภา แต่ทั้งสองสภามีอำนาจที่จำกัดมากและทำหน้าที่เป็นเพียงองค์กรที่ปรึกษาเป็นหลัก การตัดสินใจขั้นสุดท้ายในทุกเรื่องยังคงเป็นพระราชอำนาจขององค์สุลต่าน การห้ามมีพรรคการเมืองและการรวมกลุ่มตามศาสนาทำให้บทบาทของรัฐสภาในการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจบริหารเป็นไปได้อย่างจำกัด
5.3. ระบบตุลาการ
ระบบตุลาการของโอมานมีโครงสร้างที่อยู่ภายใต้อำนาจสูงสุดขององค์สุลต่าน กฎหมายพื้นฐานแห่งรัฐ (Basic Statute of the State) ซึ่งเปรียบเสมือนรัฐธรรมนูญ ได้ระบุว่ากฎหมายชะรีอะฮ์ (Sharia law) เป็นหนึ่งในแหล่งที่มาของกฎหมาย ศาลชะรีอะฮ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบศาลแพ่ง มีหน้าที่รับผิดชอบคดีที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายครอบครัว เช่น การหย่าร้าง และมรดก
ศาลในโอมานแบ่งออกเป็นหลายระดับ โดยมีศาลสูงสุด (Supreme Court) เป็นศาลที่มีอำนาจสูงสุดในการพิจารณาคดี การแต่งตั้งผู้พิพากษาอยู่ภายใต้พระราชอำนาจของสุลต่าน
แม้ว่าระบบกฎหมายของโอมานจะระบุถึงการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของพลเมือง แต่ในทางปฏิบัติ การบริหารงานยุติธรรมมักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าขาดความเป็นอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและความมั่นคงของรัฐ กระบวนการยุติธรรมอาจมีข้อจำกัดในการให้ความคุ้มครองแก่จำเลยอย่างเต็มที่ หลักนิติธรรม (Rule of Law) ในโอมานยังคงเผชิญกับความท้าทายจากการที่อำนาจตุลาการไม่ได้แยกออกจากอำนาจบริหารอย่างชัดเจน และการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในหลายกรณีขึ้นอยู่กับพระราชวินิจฉัยของสุลต่าน
5.4. นโยบายต่างประเทศ

นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 โอมานได้ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เป็นกลางและไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ๆ และได้ขยายความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างกว้างขวาง โอมานเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศอาหรับที่ยังคงรักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรกับอิหร่าน ยูซุฟ บิน อะละวี บิน อับดุลลอฮ์ (Yusuf bin Alawi bin Abdullah) ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบด้านการต่างประเทศของรัฐสุลต่านมาอย่างยาวนาน (จนถึงปี ค.ศ. 2020)
โอมานมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยอาศัยนโยบายความเป็นกลางและความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกฝ่าย โอมานเป็นสมาชิกของสภาความร่วมมืออ่าวอาหรับ (GCC) สันนิบาตอาหรับ องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) และสหประชาชาติ
ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านและมหาอำนาจ:
- กลุ่มประเทศ GCC: โอมานรักษาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประเทศสมาชิก GCC อื่น ๆ แม้ว่าในบางครั้งจะมีจุดยืนที่แตกต่างในประเด็นระดับภูมิภาค เช่น วิกฤตการณ์กาตาร์
- อิหร่าน: โอมานมีความสัมพันธ์ที่พิเศษกับอิหร่าน โดยทำหน้าที่เป็นช่องทางสื่อสารระหว่างอิหร่านกับประเทศตะวันตกอยู่บ่อยครั้ง
- ประเทศตะวันตก: โอมานมีความสัมพันธ์ทางทหารและความมั่นคงที่ใกล้ชิดกับสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา โดยอนุญาตให้กองทัพเรืออังกฤษและอินเดียเข้าใช้สิ่งอำนวยความสะดวกที่ท่าเรืออัดดุ๊กม์ (Al Duqm Port & Drydock)
โอมานยังคงยึดมั่นในหลักการแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธี การเคารพอธิปไตยของรัฐอื่น และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งทำให้นโยบายต่างประเทศของโอมานได้รับการยอมรับในเวทีโลก
5.5. การทหาร

กองทัพสุลต่านโอมาน (Sultan of Oman's Armed Forces - SOAF) ประกอบด้วย กองทัพบก (Royal Army of Oman) กองทัพเรือ (Royal Navy of Oman) และกองทัพอากาศ (Royal Air Force of Oman) นอกจากนี้ยังมีหน่วยกำลังกึ่งทหารและกองกำลังรักษาพระองค์
ขนาดกำลังพลและยุทโธปกรณ์:
จากข้อมูลปี ค.ศ. 2006 กำลังพลของโอมานมีจำนวนทั้งสิ้น 44,100 นาย ประกอบด้วยทหารบก 25,000 นาย ทหารเรือ 4,200 นาย และทหารอากาศ 4,100 นาย กองกำลังรักษาพระองค์มีกำลังพล 5,000 นาย หน่วยรบพิเศษ 1,000 นาย ลูกเรือในกองเรือยอชต์หลวง 150 นาย และนักบินพร้อมเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินในฝูงบินหลวงอีก 250 นาย โอมานยังมีกองกำลังกึ่งทหารขนาดเล็กประมาณ 4,400 นาย
- กองทัพบก: ในปี ค.ศ. 2006 มีกำลังพล 25,000 นาย และหน่วยทหารรักษาพระองค์ขนาดเล็ก แม้จะมีการใช้จ่ายทางทหารค่อนข้างสูง แต่การปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยเป็นไปอย่างช้า ๆ โอมานมีรถถังจำนวนจำกัด ได้แก่ M60A1 6 คัน, M60A3 73 คัน และชาเลนเจอร์ 2 38 คัน รวมถึงรถถังเบาสกอร์เปียนที่เก่าแล้ว 37 คัน
- กองทัพอากาศ: มีกำลังพลประมาณ 4,100 นาย พร้อมเครื่องบินรบ 36 ลำ และไม่มีเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธ เครื่องบินรบประกอบด้วย จากัวร์ที่เก่าแล้ว 20 ลำ, ฮ็อค เอ็มเค 203 12 ลำ, ฮ็อค เอ็มเค 103 4 ลำ และเครื่องบินฝึกใบพัดพีซี-9 12 ลำที่มีขีดความสามารถในการรบจำกัด นอกจากนี้ยังมีฝูงบิน เอฟ-16ซี/ดี 12 ลำ และเครื่องบินฝึก เอ202-18 บราโว 4 ลำ และเอ็มเอฟไอ-17บี มัชชัก 8 ลำ
- กองทัพเรือ: ในปี ค.ศ. 2000 มีกำลังพล 4,200 นาย มีกองบัญชาการอยู่ที่เมืองซีบ และมีฐานทัพอยู่ที่อะห์วี เกาะกอนัม มุซันดัม และซาลาลาห์ ในปี ค.ศ. 2006 โอมานมีเรือรบผิวน้ำ 10 ลำ รวมถึงเรือคอร์เวตชั้น กอฮิร ขนาด 1,450 ตัน 2 ลำ และเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง 8 ลำ นอกจากนี้ยังมีเรือยกพลขึ้นบกชั้น นาศิร อัล บะห์ร ขนาด 2,500 ตัน 1 ลำ (บรรทุกทหาร 240 นาย รถถัง 7 คัน) พร้อมลานจอดเฮลิคอปเตอร์ และเรือระบายพลอย่างน้อย 4 ลำ ในปี ค.ศ. 2007 โอมานได้สั่งซื้อเรือคอร์เวตชั้น คอรีฟ 3 ลำจากกลุ่มวีที (VT Group) มูลค่า 400 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง
นโยบายป้องกันประเทศและการใช้จ่าย: การใช้จ่ายทางทหารของโอมานคิดเป็นสัดส่วนที่สูงต่อ GDP จากข้อมูลของ SIPRI ในปี ค.ศ. 2020 โอมานใช้จ่ายด้านการทหารและความมั่นคงถึง 11% ของ GDP ซึ่งสูงที่สุดในโลกในปีนั้น สูงกว่าซาอุดีอาระเบีย (8.4%) โดยเฉลี่ยระหว่างปี ค.ศ. 2016-2018 การใช้จ่ายทางทหารของโอมานอยู่ที่ประมาณ 10% ของ GDP ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของโลกในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ที่ 2.2% ในปี ค.ศ. 2010 โอมานใช้จ่าย 4.07 B USD ไปกับงบประมาณทางทหาร คิดเป็น 8.5% ของ GDP
ความร่วมมือทางทหาร: โอมานมีประวัติความสัมพันธ์อันยาวนานกับกองทัพและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของอังกฤษ สุลต่านแห่งโอมานมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกองทัพอังกฤษ SIPRI จัดอันดับให้โอมานเป็นผู้นำเข้าอาวุธอันดับที่ 23 ของโลกระหว่างปี ค.ศ. 2012 ถึง 2016
5.6. สิทธิมนุษยชน

สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในโอมานยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวลและถูกวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหลายแห่ง แม้ว่ากฎหมายพื้นฐานแห่งรัฐจะให้การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพบางประการ แต่ในทางปฏิบัติยังคงมีข้อจำกัดและการละเมิดเกิดขึ้นหลายกรณี
การทรมานและการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรม: มีรายงานอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการทรมานและการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรมอื่น ๆ โดยกองกำลังความมั่นคงของโอมานต่อนักเคลื่อนไหว ผู้ประท้วง และผู้ถูกควบคุมตัว วิธีการทรมานที่ถูกกล่าวหาว่ามีการใช้ ได้แก่ การประหารชีวิตจำลอง การทุบตี การคลุมศีรษะ การขังเดี่ยว การให้อยู่ในสภาพอุณหภูมิสุดขั้วและเสียงดังตลอดเวลา การล่วงละเมิด และการทำให้อับอาย นักโทษหลายคนที่ถูกควบคุมตัวในปี ค.ศ. 2012 ร้องเรียนเรื่องการถูกกีดกันการนอนหลับ อุณหภูมิที่รุนแรง และการขังเดี่ยว
เสรีภาพในการแสดงออกและการรวมกลุ่ม: รัฐบาลโอมานจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกอย่างเข้มงวด การวิพากษ์วิจารณ์สุลต่านและรัฐบาลในทุกรูปแบบหรือสื่อใด ๆ ถือเป็นสิ่งต้องห้าม รัฐบาลมีอำนาจในการตัดสินว่าใครสามารถเป็นนักข่าวได้หรือไม่ และใบอนุญาตนี้สามารถเพิกถอนได้ตลอดเวลา การเซ็นเซอร์และการเซ็นเซอร์ตนเองเป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชาชนโอมานมีข้อจำกัดในการเข้าถึงข้อมูลทางการเมืองผ่านสื่อ การจัดตั้งองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ใด ๆ จำเป็นต้องได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาล และรัฐบาลไม่อนุญาตให้มีการจัดตั้งสมาคมภาคประชาสังคมที่เป็นอิสระ การประชุมสาธารณะต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล ในปี ค.ศ. 2016 หนังสือพิมพ์ อัซซามน์ (Azamn) ถูกสั่งปิดและนักข่าวสามคนถูกตัดสินจำคุกหลังจากตีพิมพ์บทความกล่าวหาเรื่องการทุจริตในระบบตุลาการ
สิทธิสตรี: แม้จะมีความก้าวหน้าบางประการ เช่น การให้สิทธิสตรีในการลงคะแนนเสียงและสมัครรับเลือกตั้ง แต่สตรีในโอมานยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติทางกฎหมายในหลายด้าน พวกเธอถูกกีดกันจากสวัสดิการของรัฐบางอย่าง เช่น เงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย และไม่ได้รับสิทธิที่เท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายสถานะบุคคล สตรีในโอมานยังเผชิญกับข้อจำกัดในการตัดสินใจด้วยตนเองเกี่ยวกับสุขภาพและสิทธิอนามัยการเจริญพันธุ์
แรงงานต่างชาติ: ชะตากรรมของลูกจ้างทำงานบ้าน (domestic workers) ในโอมานเป็นเรื่องต้องห้าม แม้ว่าในปี ค.ศ. 2011 รัฐบาลฟิลิปปินส์จะระบุว่าโอมานและอิสราเอลเป็นเพียงสองประเทศในตะวันออกกลางที่ปลอดภัยสำหรับแรงงานข้ามชาติชาวฟิลิปปินส์ แต่แรงงานข้ามชาติโดยทั่วไปยังคงไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างเพียงพอจากการถูกแสวงหาประโยชน์
การบังคับให้สูญหาย: มีรายงานการบังคับให้บุคคลสูญหายที่เกี่ยวข้องกับเหตุผลทางการเมือง เช่น กรณีของโมฮัมเหม็ด อัล-ฟาซารี นักเขียนและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวโอมาน ซึ่งหายตัวไปหลังจากไปยังสถานีตำรวจในปี ค.ศ. 2014 และต่อมาได้ลี้ภัยทางการเมืองในสหราชอาณาจักร
สิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBT): การรักร่วมเพศถือเป็นความผิดทางอาญาในโอมาน ซึ่งจำกัดสิทธิและเสรีภาพของกลุ่มบุคคล LGBT อย่างมาก
แม้จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในปี ค.ศ. 2008 แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าขาดความเป็นอิสระจากรัฐบาล สถานการณ์สิทธิมนุษยชนโดยรวมในโอมานยังคงต้องการการปรับปรุงและการปฏิรูปอย่างมีนัยสำคัญเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
5.7. เขตการปกครอง
รัฐสุลต่านโอมานแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 11 เขตผู้ว่าราชการ (محافظةมุฮาฟะเซาะฮ์ภาษาอาหรับ; อังกฤษ: governorate) แต่ละเขตผู้ว่าราชการจะแบ่งย่อยออกเป็น 60 จังหวัด (ولايةวิลายะฮ์ภาษาอาหรับ; อังกฤษ: province) รายชื่อเขตผู้ว่าราชการมีดังนี้:
- อัดดาคิลิยะห์ (Ad Dakhiliyah)
- อัซซอฮิเราะห์ (Ad Dhahirah)
- อัลบาฏินะฮ์เหนือ (Al Batinah North)
- อัลบาฏินะฮ์ใต้ (Al Batinah South)
- อัลบุร็อยมี (Al Buraimi)
- อัลวุสฏอ (Al Wusta)
- อัชชัรกียะฮ์เหนือ (Ash Sharqiyah North)
- อัชชัรกียะฮ์ใต้ (Ash Sharqiyah South)
- ซุฟาร์ (Dhofar)
- มัสกัต (Muscat)
- มุซันดัม (Musandam)
5.7.1. เมืองสำคัญ
โอมานมีเมืองสำคัญหลายแห่งที่มีบทบาททางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการบริหารประเทศ ได้แก่:
- มัสกัต (Muscat): เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของโอมาน ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศบนชายฝั่งอ่าวโอมาน มัสกัตเป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของประเทศ มีประชากรหนาแน่นและเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญหลายแห่ง เช่น พระราชวังอัลอลาม (Al Alam Palace) มัสยิดใหญ่สุลต่านกอบูส (Sultan Qaboos Grand Mosque) และตลาดมัตราห์ (Muttrah Souq)
- ซีบ (Seeb): เป็นเมืองใหญ่อันดับสองรองจากมัสกัต ตั้งอยู่ในเขตผู้ว่าราชการมัสกัต มีความสำคัญในฐานะเป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานนานาชาติมัสกัต และเป็นเมืองที่พักอาศัยที่สำคัญ
- ซาลาลาห์ (Salalah): เป็นเมืองหลวงของเขตผู้ว่าราชการซุฟาร์ทางตอนใต้ของประเทศ มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และเป็นศูนย์กลางการค้ากำยานที่มีชื่อเสียง ซาลาลาห์มีภูมิอากาศแบบมรสุม (เรียกว่า "เคาะรีฟ") ในช่วงฤดูร้อน ซึ่งแตกต่างจากส่วนอื่น ๆ ของคาบสมุทรอาหรับ ทำให้มีทัศนียภาพที่เขียวชอุ่มและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ
- เบาชัร (Bawshar): ตั้งอยู่ในเขตผู้ว่าราชการมัสกัต เป็นเมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นที่ตั้งของกระทรวงกิจการกฎหมาย
- ซุฮาร (Sohar): เป็นเมืองท่าสำคัญทางตอนเหนือของประเทศในเขตผู้ว่าราชการอัลบาฏินะฮ์เหนือ มีประวัติศาสตร์ยาวนานในการเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเล และปัจจุบันเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึกที่สำคัญ
- อัสสุวัยก์ (Suwayq): เป็นเมืองในเขตผู้ว่าราชการอัลบาฏินะฮ์เหนือ
- อิบรี (Ibri): เป็นเมืองสำคัญในเขตผู้ว่าราชการอัซซอฮิเราะห์ทางตะวันตกของประเทศ
- เศาะฮัม (Saham): เป็นเมืองในเขตผู้ว่าราชการอัลบาฏินะฮ์เหนือ
- บัรกาอ์ (Barka): เป็นเมืองในเขตผู้ว่าราชการอัลบาฏินะฮ์ใต้
- รัฐาก (Rustaq): เป็นเมืองในเขตผู้ว่าราชการอัลบาฏินะฮ์ใต้ เคยเป็นเมืองหลวงเก่าและมีป้อมปราการทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ
เมืองเหล่านี้สะท้อนถึงความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของโอมาน
6. เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของโอมานมีลักษณะโครงสร้างที่ค่อนข้างหลากหลายเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค แต่ยังคงพึ่งพาการส่งออกน้ำมันเป็นหลัก กฎหมายพื้นฐานแห่งรัฐของโอมาน มาตรา 11 ระบุว่า "เศรษฐกิจของชาติอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรมและหลักการของเศรษฐกิจเสรี (free economy)" โอมานได้ดำเนินนโยบายกระจายฐานเศรษฐกิจ (diversification) เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมัน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น การท่องเที่ยว โลจิสติกส์ การประมง และการผลิต แผนพัฒนาระยะยาวที่สำคัญคือ "วิสัยทัศน์โอมาน 2040" (Oman Vision 2040) ซึ่งตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนของภาคส่วนที่ไม่ใช่น้ำมันใน GDP ให้สูงขึ้น
โครงสร้างทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมหลัก:
- น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ:** ยังคงเป็นภาคส่วนที่สำคัญที่สุดต่อเศรษฐกิจโอมาน ในปี ค.ศ. 2018 เชื้อเพลิงแร่คิดเป็น 82.2% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพยายามลดการพึ่งพารายได้จากภาคส่วนนี้
- การท่องเที่ยว:** เป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วที่สุด โอมานมีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่หลากหลายทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรม
- อุตสาหกรรมการผลิตและโครงสร้างพื้นฐาน:** รัฐบาลได้ลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือ ถนน และเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อดึงดูดการลงทุนและส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิต
- เกษตรกรรมและการประมง:** แม้จะมีสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของการส่งออก แต่ก็มีความสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหารและการจ้างงานในบางพื้นที่ ผลผลิตหลัก ได้แก่ อินทผลัม มะนาว ธัญพืช และผัก ส่วนการประมงก็เป็นแหล่งรายได้สำคัญของชุมชนชายฝั่ง
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ:
"วิสัยทัศน์โอมาน 2020" ซึ่งกำหนดขึ้นในปี ค.ศ. 1995 มีเป้าหมายลดสัดส่วนรายได้จากน้ำมันให้เหลือน้อยกว่า 10% ของ GDP ภายในปี ค.ศ. 2020 แต่เป้าหมายนี้ไม่บรรลุผล จึงได้มีการกำหนด "วิสัยทัศน์โอมาน 2040" ขึ้นมาใหม่เพื่อสานต่อความพยายามในการกระจายฐานเศรษฐกิจ
โอมานมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญกับหลายประเทศ ข้อตกลงการค้าเสรีโอมาน-สหรัฐอเมริกา (Oman-United States Free Trade Agreement) มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2009 ซึ่งช่วยลดอุปสรรคทางภาษีและส่งเสริมการลงทุน
ความท้าทายทางเศรษฐกิจ:
โครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของโอมานถูกอธิบายว่าเป็นรัฐสวัสดิการที่พึ่งพารายได้จากทรัพยากรธรรมชาติ (rentier state) และมีการรวมศูนย์อำนาจทางเศรษฐกิจสูง บริษัทขนาดใหญ่ 10% แรกของประเทศจ้างงานชาวโอมานเกือบ 80% ในภาคเอกชน และครึ่งหนึ่งของงานในภาคเอกชนเป็นงานระดับพื้นฐาน ชาวโอมานส่วนใหญ่ยังคงทำงานในภาครัฐมากกว่าภาคเอกชน
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในปี ค.ศ. 2017 มีมูลค่ารวมกว่า 24.00 B USD โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในภาคน้ำมันและก๊าซ (54.2%) และภาคการเงิน (15.3%) สหราชอาณาจักรเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุด (48%) ตามมาด้วยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (10.8%) และคูเวต (4.6%)
ในปี ค.ศ. 2018 โอมานขาดดุลงบประมาณ 32% ของรายได้ทั้งหมด และมีอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ 47.5% การใช้จ่ายทางทหารของโอมานยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับ GDP เฉลี่ยอยู่ที่ 10% ระหว่างปี ค.ศ. 2016-2018 ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ 2.2% การใช้จ่ายด้านสาธารณสุขเฉลี่ยอยู่ที่ 4.3% ของ GDP (2015-2016) เทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 10% ส่วนการใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาอยู่ที่ 0.24% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก (2.2%) อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายด้านการศึกษาของรัฐบาลอยู่ที่ 6.11% ของ GDP ในปี ค.ศ. 2016 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 4.8% (2015)
6.1. น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ

ภาคส่วนน้ำมันและก๊าซธรรมชาติยังคงเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจโอมาน แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามลดการพึ่งพาก็ตาม
ปริมาณสำรองและการผลิต:
โอมานมีปริมาณน้ำมันดิบสำรองที่พิสูจน์แล้วประมาณ 5.5 พันล้านบาร์เรล จัดอยู่ในอันดับที่ 25 ของโลก การสกัดและแปรรูปน้ำมันส่วนใหญ่ดำเนินการโดยบริษัท ปิโตรเลียม ดีเวลลอปเมนต์ โอมาน (Petroleum Development Oman - PDO) แม้ว่าปริมาณน้ำมันสำรองที่พิสูจน์แล้วจะค่อนข้างคงที่ แต่การผลิตน้ำมันโดยรวมมีแนวโน้มลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานและแร่ธาตุแห่งโอมานเป็นผู้รับผิดชอบโครงสร้างพื้นฐานและโครงการที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและก๊าซทั้งหมดในประเทศ
หลังเกิดวิกฤตการณ์พลังงานในทศวรรษ 1970 โอมานได้เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเป็นสองเท่าระหว่างปี ค.ศ. 1979 ถึง 1985 อย่างไรก็ตาม ระหว่างปี ค.ศ. 2000 ถึง 2007 การผลิตลดลงมากกว่า 26% จาก 972,000 บาร์เรลต่อวัน เหลือ 714,800 บาร์เรลต่อวัน ก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นเป็น 816,000 บาร์เรลต่อวันในปี ค.ศ. 2009 และ 930,000 บาร์เรลต่อวันในปี ค.ศ. 2012
สำหรับก๊าซธรรมชาติ ปริมาณสำรองของโอมานคาดการณ์ไว้ที่ 849.5 พันล้านลูกบาศก์เมตร (อันดับที่ 28 ของโลก) และในปี ค.ศ. 2008 มีการผลิตประมาณ 24 พันล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
สัดส่วนต่อเศรษฐกิจ:
ในปี ค.ศ. 2018 รายได้จากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติคิดเป็น 71% ของรายได้ทั้งหมดของรัฐบาล ลดลงเล็กน้อยจาก 72% ในปี ค.ศ. 2016 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการกระจายฐานรายได้ที่ยังไม่เห็นผลชัดเจนนัก ในปี ค.ศ. 2017 ภาคส่วนน้ำมันและก๊าซธรรมชาติคิดเป็น 30.1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในราคาปัจจุบัน
การพัฒนาในอนาคต:
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2019 โอมานได้รับการยืนยันให้เป็นประเทศแรกในตะวันออกกลางที่เป็นเจ้าภาพการประชุมวิจัยสหภาพก๊าซระหว่างประเทศ (International Gas Union Research Conference - IGRC 2020) ซึ่งจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 โดยความร่วมมือกับบริษัท Oman LNG ภายใต้การอุปถัมภ์ของกระทรวงพลังงานและแร่ธาตุ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมก๊าซในโอมาน
6.2. อุตสาหกรรม นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐาน
โอมานยังคงเผชิญกับ "ความท้าทายที่สำคัญ" ในด้านอุตสาหกรรม นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐาน ตามดัชนีเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UNSDG) ปี ค.ศ. 2019 โอมานมีคะแนนสูงในด้านอัตราการใช้อินเทอร์เน็ต การสมัครใช้บริการบรอดแบนด์มือถือ ประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ และอันดับเฉลี่ยของมหาวิทยาลัยชั้นนำ 3 แห่ง ในขณะเดียวกัน โอมานมีคะแนนต่ำในด้านอัตราการตีพิมพ์ผลงานทางวิทยาศาสตร์และเทคนิค และการใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D)
มูลค่าเพิ่มจากการผลิตของโอมานต่อ GDP ในปี ค.ศ. 2016 อยู่ที่ 8.4% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกอาหรับ (9.8%) และค่าเฉลี่ยของโลก (15.6%) ในด้านการใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาต่อ GDP ส่วนแบ่งของโอมานโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 0.20% ระหว่างปี ค.ศ. 2011 ถึง 2015 ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของโลกในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ที่ 2.11% บริษัทส่วนใหญ่ในโอมานดำเนินงานในภาคน้ำมันและก๊าซ การก่อสร้าง และการค้า
การเติบโตของ GDP ที่ไม่ใช่น้ำมันและก๊าซ | 2015 | 2016 | 2017 | 2018 |
---|---|---|---|---|
มูลค่า (%) | 4.8 | 6.2 | 0.5 | 1.5 |
โอมานกำลังปรับปรุงและขยายโครงสร้างพื้นฐานของท่าเรือในมัสกัต อัดดุ๊กม์ ซุฮาร และซาลาลาห์ เพื่อขยายการท่องเที่ยว การผลิตในท้องถิ่น และส่วนแบ่งการส่งออก โอมานยังขยายการดำเนินงานปลายน้ำด้วยการสร้างโรงกลั่นและโรงงานปิโตรเคมีในอัดดุ๊กม์ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี ค.ศ. 2021 โดยมีกำลังการผลิต 230,000 บาร์เรลต่อวัน กิจกรรมอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ในโอมานเกิดขึ้นในนิคมอุตสาหกรรม 8 แห่งและเขตปลอดอากร 4 แห่ง กิจกรรมอุตสาหกรรมเน้นไปที่การทำเหมืองและบริการ ปิโตรเคมี และวัสดุก่อสร้างเป็นหลัก
นายจ้างรายใหญ่ที่สุดในภาคเอกชนคือภาคการก่อสร้าง การค้าส่งและค้าปลีก และภาคการผลิตตามลำดับ การก่อสร้างคิดเป็นเกือบ 48% ของกำลังแรงงานทั้งหมด ตามมาด้วยการค้าส่งและค้าปลีกซึ่งคิดเป็นประมาณ 15% ของการจ้างงานทั้งหมด และการผลิตซึ่งคิดเป็นประมาณ 12% ของการจ้างงานในภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม เปอร์เซ็นต์ของชาวโอมานที่ได้รับการว่าจ้างในภาคการก่อสร้างและการผลิตยังคงต่ำ ตามสถิติปี ค.ศ. 2011
โอมานตามรายงานของดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index - GII) ปี ค.ศ. 2019 ได้คะแนน "ต่ำกว่าความคาดหมาย" ในด้านนวัตกรรมเมื่อเทียบกับประเทศที่มีรายได้สูง ในปี ค.ศ. 2019 โอมานอยู่ในอันดับที่ 80 จาก 129 ประเทศในดัชนีนวัตกรรม ซึ่งพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น สภาพแวดล้อมทางการเมือง การศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน และความซับซ้อนทางธุรกิจ นวัตกรรมการเติบโตที่อาศัยเทคโนโลยี และความหลากหลายทางเศรษฐกิจถูกขัดขวางโดยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อาศัยการขยายโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติที่มีทักษะต่ำและค่าจ้างต่ำในสัดส่วนที่สูง อีกความท้าทายหนึ่งต่อนวัตกรรมคือปรากฏการณ์โรคดัตช์ (Dutch disease) ซึ่งทำให้เกิดการลงทุนที่จำกัดอยู่ในภาคน้ำมันและก๊าซ ในขณะที่ต้องพึ่งพาผลิตภัณฑ์และบริการนำเข้าอย่างมากในภาคส่วนอื่น ๆ ระบบที่ถูกจำกัดเช่นนี้ขัดขวางการเติบโตของธุรกิจในท้องถิ่นและความสามารถในการแข่งขันระดับโลกในภาคส่วนอื่น ๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความหลากหลายทางเศรษฐกิจ ความไร้ประสิทธิภาพและปัญหาคอขวดในการดำเนินธุรกิจอันเป็นผลมาจากการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติอย่างหนักและ 'การเสพติด' การนำเข้าในโอมานบ่งชี้ถึง 'เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยปัจจัยการผลิต' (factor-driven economy) อุปสรรคประการที่สามต่อนวัตกรรมในโอมานคือโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาบริษัทขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่ง ในขณะที่ให้โอกาสแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในการเข้าสู่ตลาดน้อย ซึ่งขัดขวางการแข่งขันในส่วนแบ่งการตลาดที่ดีระหว่างบริษัทต่าง ๆ อัตราการยื่นขอสิทธิบัตรต่อประชากรล้านคนอยู่ที่ 0.35 ในปี ค.ศ. 2016 และค่าเฉลี่ยของภูมิภาค MENA อยู่ที่ 1.50 ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของประเทศ 'รายได้สูง' อยู่ที่ประมาณ 48.0 ในช่วงปีเดียวกัน โอมานอยู่ในอันดับที่ 74 ในดัชนีนวัตกรรมโลกปี ค.ศ. 2024
6.3. เกษตรกรรมและการประมง

ภาคเกษตรกรรมและการประมงมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจของโอมานมาช้านาน แม้ว่าปัจจุบันจะมีสัดส่วนต่อ GDP น้อยกว่าภาคส่วนน้ำมันและก๊าซ แต่ก็ยังคงเป็นแหล่งรายได้และการจ้างงานที่สำคัญสำหรับประชากรจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและชายฝั่ง
การประมง: อุตสาหกรรมประมงของโอมานมีส่วนช่วย 0.78% ของ GDP ในปี ค.ศ. 2016 มูลค่าการส่งออกปลาเพิ่มขึ้นจาก 144.00 M USD เป็น 172.00 M USD ระหว่างปี ค.ศ. 2000 ถึง 2016 หรือเพิ่มขึ้น 19.4% ผู้นำเข้าปลาโอมานรายใหญ่ที่สุดในปี ค.ศ. 2016 คือเวียดนาม ซึ่งนำเข้ามูลค่าเกือบ 80.00 M USD (46.5%) และผู้นำเข้าอันดับสองคือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งนำเข้าประมาณ 26.00 M USD (15%) ผู้นำเข้ารายใหญ่อื่น ๆ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย บราซิล และจีน การบริโภคปลาของโอมานสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกเกือบสองเท่า อัตราส่วนของปลาส่งออกต่อปลาที่จับได้ทั้งหมด (ตัน) ผันผวนระหว่าง 49% ถึง 61% ระหว่างปี ค.ศ. 2006 ถึง 2016 จุดแข็งของโอมานในอุตสาหกรรมประมงมาจากระบบตลาดที่ดี แนวชายฝั่งที่ยาว (3.17 K km) และพื้นที่ทางทะเลที่กว้างขวาง อย่างไรก็ตาม โอมานยังขาดโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอ การวิจัยและพัฒนา การตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัย รวมถึงการมีส่วนร่วมของอุตสาหกรรมประมงต่อ GDP ที่ยังมีจำกัด
เกษตรกรรม: สินค้าเกษตรที่สำคัญของโอมานคืออินทผลัม ซึ่งคิดเป็น 80% ของผลผลิตพืชผลไม้ทั้งหมด นอกจากนี้ สวนอินทผลัมยังใช้พื้นที่เกษตรกรรมถึง 50% ของพื้นที่เกษตรกรรมทั้งหมดในประเทศ โอมานผลิตอินทผลัมได้ประมาณ 350,000 ตันในปี ค.ศ. 2016 ทำให้เป็นผู้ผลิตอินทผลัมรายใหญ่อันดับที่ 9 ของโลก มูลค่าการส่งออกอินทผลัมทั้งหมดของโอมานอยู่ที่ 12.60 M USD ในปี ค.ศ. 2016 ซึ่งเกือบเท่ากับมูลค่าการนำเข้าอินทผลัมทั้งหมดของโอมาน ซึ่งอยู่ที่ 11.30 M USD ในปีเดียวกัน ผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุดคืออินเดีย (ประมาณ 60% ของการนำเข้าทั้งหมด) การส่งออกอินทผลัมของโอมานค่อนข้างคงที่ระหว่างปี ค.ศ. 2006 ถึง 2016 โอมานถือว่ามีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีสำหรับการผลิตอินทผลัมและการสนับสนุนการเพาะปลูกและการตลาด แต่ยังขาดนวัตกรรมในการทำฟาร์มและการเพาะปลูก การประสานงานทางอุตสาหกรรมในห่วงโซ่อุปทาน และประสบปัญหาการสูญเสียอินทผลัมที่ไม่ได้ใช้ในปริมาณสูง นอกจากอินทผลัมแล้ว โอมานยังปลูกพืชอื่น ๆ เช่น มะนาว ผัก และธัญพืช แต่พื้นที่เพาะปลูกมีจำกัดเนื่องจากสภาพอากาศที่แห้งแล้ง
รัฐบาลโอมานมีนโยบายส่งเสริมการพัฒนาภาคเกษตรกรรมและการประมงอย่างยั่งยืน โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย การจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและประมง
6.4. การท่องเที่ยว

การท่องเที่ยวในโอมานมีการเติบโตอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ สภาการเดินทางและการท่องเที่ยวโลก (World Travel & Tourism Council) ระบุว่าโอมานเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่เติบโตเร็วที่สุดในตะวันออกกลาง
การท่องเที่ยวมีส่วนช่วย 2.8% ต่อ GDP ของโอมานในปี ค.ศ. 2016 โดยเติบโตจาก 505 ล้านเรียลโอมาน (1.30 B USD) ในปี ค.ศ. 2009 เป็น 719 ล้านเรียลโอมาน (1.80 B USD) ในปี ค.ศ. 2017 (เติบโต +42.3%) พลเมืองของประเทศในสภาความร่วมมืออ่าวอาหรับ (GCC) รวมถึงชาวโอมานที่อาศัยอยู่นอกประเทศโอมาน เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็นประมาณ 48% กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ใหญ่เป็นอันดับสองมาจากประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย ซึ่งคิดเป็น 17% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด
ความท้าทายประการหนึ่งต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวในโอมานคือการพึ่งพาบริษัท Omran ซึ่งเป็นของรัฐบาล ในฐานะผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาภาคการท่องเที่ยว ซึ่งอาจสร้างอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดของภาคเอกชนและทำให้เกิดผลกระทบการกีดกันการลงทุนภาคเอกชน (crowding out effect) ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งของภาคการท่องเที่ยวคือการทำความเข้าใจระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพในโอมานให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อรับประกันการคุ้มครองและการอนุรักษ์
การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ (Ecotourism) เป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวโอมานที่กำลังเติบโต สถานที่แห่งหนึ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ เราะซุลญินซ์ (Ras al-Jinz) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "หาดเต่า" ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมเนื่องจากเป็นแหล่งวางไข่ประจำปีของเต่ากระที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง เต่าตนุที่ใกล้สูญพันธุ์ เต่าหญ้า และเต่าหัวค้อน
โอมานมีสภาพแวดล้อมที่หลากหลายที่สุดแห่งหนึ่งในตะวันออกกลาง โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายและเป็นที่รู้จักโดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยวเชิงผจญภัยและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม มัสกัต เมืองหลวงของโอมาน ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นเมืองที่ดีที่สุดอันดับสองของโลกที่น่าไปเยือนในปี ค.ศ. 2012 โดยโลนลีแพลนเน็ต (Lonely Planet) ผู้จัดพิมพ์หนังสือนำเที่ยว มัสกัตยังได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงแห่งการท่องเที่ยวอาหรับประจำปี ค.ศ. 2012
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2019 โอมานได้เปลี่ยนแปลงกฎการตรวจลงตราเมื่อเดินทางมาถึง (visa on arrival) ให้เป็นข้อยกเว้น และได้นำแนวคิด e-visa มาใช้สำหรับนักท่องเที่ยวทุกสัญชาติ ภายใต้กฎหมายใหม่ ผู้มาเยือนจะต้องยื่นขอวีซ่าล่วงหน้า
7. การคมนาคม
โอมานได้ลงทุนอย่างมากในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เครือข่ายการคมนาคมของประเทศครอบคลุมทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ
- ถนน: โอมานมีเครือข่ายถนนที่ทันสมัยและครอบคลุม โดยมีทางหลวงที่เชื่อมต่อเมืองสำคัญต่าง ๆ ทั่วประเทศ รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการสร้างและบำรุงรักษาถนนเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและการขนส่งสินค้า
- ท่าเรือ: ในฐานะประเทศที่มีชายฝั่งทะเลยาว โอมานมีท่าเรือสำคัญหลายแห่งที่มีบทบาทในการค้าระหว่างประเทศและการขนส่ง ได้แก่
- ท่าเรือสุลต่านกอบูส (Port Sultan Qaboos) ในมัสกัต: เคยเป็นท่าเรือหลักของประเทศ แต่ปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนไปเน้นการท่องเที่ยวและเรือสำราญมากขึ้น
- ท่าเรือซุฮาร (Sohar Port and Freezone): เป็นท่าเรืออุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ที่สำคัญทางตอนเหนือของประเทศ
- ท่าเรือซาลาลาห์ (Port of Salalah): เป็นท่าเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่และเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางทะเลที่สำคัญในมหาสมุทรอินเดีย
- ท่าเรืออัดดุ๊กม์ (Port of Duqm): เป็นท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่ที่กำลังพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ที่สำคัญในอนาคต
- ท่าอากาศยาน: โอมานมีท่าอากาศยานนานาชาติที่สำคัญหลายแห่ง ได้แก่
- ท่าอากาศยานนานาชาติมัสกัต (Muscat International Airport): เป็นท่าอากาศยานหลักและเป็นประตูสู่ประเทศ
- ท่าอากาศยานนานาชาติซาลาลาห์ (Salalah International Airport): ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศและภายในประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคซุฟาร์
- ท่าอากาศยานนานาชาติดุ๊กม์ (Duqm International Airport): รองรับการเดินทางไปยังเขตเศรษฐกิจพิเศษดุ๊กม์
- ท่าอากาศยานคอศ็อบ (Khasab Airport): ให้บริการในเขตผู้ว่าราชการมุซันดัม
- เครือข่ายการคมนาคมทั้งในและต่างประเทศ: โอมานมีสายการบินแห่งชาติคือ โอมานแอร์ (Oman Air) ซึ่งให้บริการเที่ยวบินไปยังจุดหมายปลายทางต่าง ๆ ทั่วโลก การคมนาคมภายในประเทศมีทั้งรถยนต์ส่วนตัว รถแท็กซี่ และรถโดยสารประจำทาง ปัจจุบันโอมานยังไม่มีระบบรางรถไฟ แต่มีแผนในการพัฒนาเครือข่ายรถไฟในอนาคตเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศอื่น ๆ ในกลุ่ม GCC
8. สังคม
สังคมโอมานมีลักษณะที่ผสมผสานระหว่างประเพณีดั้งเดิมและความทันสมัย โดยได้รับอิทธิพลจากศาสนาอิสลาม วัฒนธรรมอาหรับ และประวัติศาสตร์อันยาวนานในการติดต่อค้าขายกับภูมิภาคอื่น ๆ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็วในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวโอมาน แต่ค่านิยมทางสังคมและโครงสร้างครอบครัวแบบดั้งเดิมยังคงมีความสำคัญ
8.1. ประชากร
ปี | ประชากร |
---|---|
1950 | 457,000 |
1960 | 537,000 |
1970 | 671,000 |
1980 | 1,017,000 |
1990 | 1,805,000 |
2000 | 2,344,000 |
2010 | 2,882,000 |
2015 | 4,192,000 |
2020 | 4,543,000 |
2023 | 4,644,384 |
ณ สิ้นปี ค.ศ. 2021 ประชากรโอมานมีจำนวนเกิน 4.5 ล้านคน อัตราเจริญพันธุ์รวมในปี ค.ศ. 2020 คาดการณ์ไว้ที่ 2.8 คนต่อสตรีหนึ่งคน ซึ่งอัตรานี้ลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรอาศัยอยู่ในมัสกัตและที่ราบชายฝั่งอัลบาฏินะฮ์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวง
ชาวโอมานส่วนใหญ่มีเชื้อสายอาหรับ บาโลจ (Baluchi) และแอฟริกัน ประมาณ 20% ของชาวโอมานมีเชื้อสายบาโลจซึ่งบรรพบุรุษอพยพมายังโอมานเมื่อหลายศตวรรษก่อน และปัจจุบันถือเป็นคนพื้นเมือง สังคมโอมานส่วนใหญ่เป็นสังคมชนเผ่า และครอบคลุมอัตลักษณ์หลักสามประการ ได้แก่ อัตลักษณ์ของชนเผ่า ความเชื่อแบบอิบนิกายอิบาฎียะฮ์ และการค้าทางทะเล สองอัตลักษณ์แรกเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับประเพณีและแพร่หลายเป็นพิเศษในพื้นที่ตอนในของประเทศเนื่องจากช่วงเวลาแห่งความโดดเดี่ยวที่ยาวนาน อัตลักษณ์ที่สามส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับมัสกัตและพื้นที่ชายฝั่งของโอมาน และสะท้อนให้เห็นจากธุรกิจ การค้า และต้นกำเนิดที่หลากหลายของชาวโอมานจำนวนมาก ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากชาวบาโลจ อัลละวาตียะฮ์ (Al-Lawatia) เปอร์เซีย และแซนซิบาร์ในอดีตของโอมาน กวาดาร์ ซึ่งเป็นภูมิภาคหนึ่งของบาโลจิสถาน เคยเป็นอาณานิคมของโอมานมานานกว่าหนึ่งศตวรรษ และในช่วงทศวรรษ 1960 ปากีสถานได้เข้าครอบครองดินแดนดังกล่าว ผู้คนจำนวนมากในพื้นที่นี้เป็นชาวโอมานและปากีสถาน
แรงงานต่างชาติ: โอมานมีประชากรแรงงานต่างชาติจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศในเอเชียใต้ (เช่น อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ) และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย) แรงงานเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในภาคส่วนต่าง ๆ ของเศรษฐกิจโอมาน เช่น การก่อสร้าง การบริการ และงานบ้าน การพึ่งพาแรงงานต่างชาติในระดับสูงเป็นหนึ่งในความท้าทายทางสังคมและเศรษฐกิจของโอมาน
8.2. ศาสนา
แม้ว่ารัฐบาลโอมานจะไม่ได้เก็บสถิติเกี่ยวกับศาสนา แต่สถิติจากหน่วยสืบราชการลับกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (CIA) ระบุว่าผู้นับถือศาสนาอิสลามเป็นประชากรส่วนใหญ่ถึง 85.9% ในขณะที่ 6.4% เป็นชาวคริสต์, 5.7% เป็นชาวฮินดู, 0.8% เป็นชาวพุทธ, และน้อยกว่า 0.1% เป็นชาวยิว; สมาชิกของศาสนาอื่น ๆ คิดเป็น 1% และผู้ที่ไม่นับถือศาสนาใด ๆ คิดเป็น 0.2%
ชาวโอมานส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม โดยส่วนใหญ่เป็นนิกายอิบาฎียะฮ์ (Ibadi) ซึ่งเป็นนิกายที่แตกต่างจากนิกายซุนนี (Sunni) และชีอะฮ์ (Shia) นิกายอิบาฎียะฮ์มีอิทธิพลอย่างมากต่อวัฒนธรรมและกฎหมายของโอมาน นอกจากนี้ยังมีชาวมุสลิมนิกายซุนนีซึ่งส่วนใหญ่เป็นตามแนวทางชาฟิอี (Shafi`i) และนิกายชีอะฮ์สิบสองอิมาม (Twelver)
แทบทุกคนที่ไม่ใช่มุสลิมในโอมานเป็นแรงงานต่างชาติ ชุมชนศาสนาที่ไม่ใช่มุสลิมรวมถึงกลุ่มต่าง ๆ ของผู้นับถือศาสนาเชน (Jains) ชาวพุทธ ศาสนาโซโรอัสเตอร์ (Zoroastrians) ศาสนาซิกข์ (Sikhs) ชาวฮินดู และชาวคริสต์ ชุมชนชาวคริสต์ส่วนใหญ่อยู่ในเขตเมืองใหญ่ของมัสกัต ซุฮาร และซาลาลาห์ ซึ่งรวมถึงกลุ่มคาทอลิก อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ และนิกายโปรเตสแตนต์ต่าง ๆ ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามเชื้อชาติและภาษา มีกลุ่มคริสเตียน คณะมิตรภาพ และการประชุมต่าง ๆ กว่า 50 กลุ่มที่ดำเนินกิจกรรมในเขตมหานครมัสกัต ซึ่งก่อตั้งโดยแรงงานอพยพจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากนี้ยังมีชุมชนชาวฮินดูและชาวคริสต์เชื้อสายอินเดีย และมีชุมชนชาวซิกข์ขนาดเล็กด้วย
โอมานมีชื่อเสียงในด้านการส่งเสริมความอดทนอดกลั้นทางศาสนา และอนุญาตให้ศาสนิกชนกลุ่มน้อยประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของตนได้อย่างเสรีในสถานที่สักการะที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล
8.3. ภาษา

ภาษาอาหรับเป็นภาษาราชการของโอมาน โดยเป็นสาขาหนึ่งของกลุ่มภาษาเซมิติกในตระกูลภาษาแอโฟรเอชีแอติก มีภาษาถิ่นอาหรับหลายภาษาที่ใช้พูดกัน ซึ่งทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มภาษาอาหรับคาบสมุทร:
- ภาษาอาหรับโซฟาร์ (Dhofari Arabic) (หรือที่เรียกว่า Dhofari, Zofari) ใช้พูดในซาลาลาห์และบริเวณชายฝั่งโดยรอบ (เขตผู้ว่าราชการซุฟาร์)
- ภาษาอาหรับอ่าว (Gulf Arabic) ใช้พูดในบางส่วนที่ติดกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
- ภาษาอาหรับโอมาน (Omani Arabic) แตกต่างจากภาษาอาหรับอ่าวของอาระเบียตะวันออกและบาห์เรน ใช้พูดในโอมานตอนกลาง แม้ว่าด้วยความมั่งคั่งจากน้ำมันและการเคลื่อนย้ายของประชากรล่าสุดทำให้แพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของรัฐสุลต่าน
จากข้อมูลของหน่วยสืบราชการลับกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (CIA) นอกจากภาษาอาหรับแล้ว ภาษาหลักที่ใช้พูดในโอมาน ได้แก่ ภาษาอังกฤษ ภาษามลยาฬัม ภาษาบาโลจ (Balochi หรือ Southern Baluchi) ภาษาอูรดู ภาษาทมิฬ ภาษาเบงกอล (พูดโดยชาวอินเดียและบังกลาเทศ) ภาษาฮินดี ภาษาตูลู และภาษาอินเดียอื่น ๆ อีกหลายภาษา
ภาษาอังกฤษมีการใช้อย่างแพร่หลายในแวดวงธุรกิจและมีการสอนในโรงเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ป้ายและข้อความเกือบทั้งหมดในสถานที่ท่องเที่ยวจะปรากฏทั้งในภาษาอาหรับและภาษาอังกฤษ ภาษาบาโลจเป็นภาษาแม่ของชาวบาโลจจากบาโลจิสถานในปากีสถานตะวันตก อิหร่านตะวันออก และอัฟกานิสถานใต้ นอกจากนี้ยังใช้โดยลูกหลานของชาวซินธ์ (Sindhi) บางส่วน ภาษาเบงกอลมีการพูดอย่างแพร่หลายเนื่องจากมีประชากรชาวบังกลาเทศอพยพจำนวนมาก ประชากรจำนวนมากยังพูดภาษาอูรดูเนื่องจากการหลั่งไหลเข้ามาของผู้อพยพชาวปากีสถานในช่วงปลายทศวรรษ 1980 และ 1990 นอกจากนี้ ภาษาสวาฮีลียังมีการพูดอย่างแพร่หลายในประเทศเนื่องจากความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ระหว่างโอมานและแซนซิบาร์
ปัจจุบัน ภาษาเมห์รี (Mehri language) มีการใช้จำกัดอยู่ในบริเวณรอบ ๆ ซาลาลาห์ ในเขตซุฟาร์ และทางตะวันตกเข้าสู่เยเมน แต่จนถึงศตวรรษที่ 18 หรือ 19 ยังมีการใช้พูดกันไกลออกไปทางเหนือ อาจจะถึงโอมานตอนกลาง ภาษาบาโลจ (โดยเฉพาะภาษาบาโลจใต้) มีการพูดอย่างแพร่หลายในโอมาน
ภาษาพื้นเมืองที่ใกล้สูญพันธุ์ในโอมาน ได้แก่ ภาษากุมซารี (Kumzari) ภาษาบาษารี (Bathari) ภาษาฮัรซูซี (Harsusi) ภาษาโฮบโยต (Hobyot) ภาษาญิบบาลี (Jibbali) และภาษาเมห์รี (Mehri) ภาษาใบ้โอมาน (Omani Sign Language) เป็นภาษาของชุมชนผู้พิการทางการได้ยิน
8.4. การศึกษา

โอมานให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษาอย่างมากนับตั้งแต่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการในปี ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา รัฐบาลได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องในการขยายโอกาสทางการศึกษาและยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนในทุกระดับ
ระบบการศึกษา:
ระบบการศึกษาของโอมานโดยทั่วไปแบ่งออกเป็นระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย และอุดมศึกษา การศึกษาภาคบังคับครอบคลุมระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น รัฐบาลจัดให้มีการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายจนถึงระดับปริญญาเอก
สถานะและตัวชี้วัด:
ณ ปี ค.ศ. 2019 โอมานมีคะแนนสูงในด้านเปอร์เซ็นต์ของนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และอัตราการรู้หนังสือของประชากรอายุระหว่าง 15 ถึง 24 ปี อยู่ที่ 99.7% และ 98.7% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม อัตราการเข้าเรียนสุทธิในระดับประถมศึกษาของโอมานในปี ค.ศ. 2019 อยู่ที่ 94.1% ซึ่งตามมาตรฐานเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UNSDG) ถือว่า "ยังคงมีความท้าทาย" การประเมินโดยรวมของโอมานในด้านคุณภาพการศึกษาตาม UNSDG อยู่ที่ 94.8 ("ยังคงมีความท้าทาย") ณ ปี ค.ศ. 2019 อัตราการรู้หนังสือของผู้ใหญ่ในปี ค.ศ. 2010 อยู่ที่ 86.9%
สถาบันอุดมศึกษา:
โอมานมีสถาบันอุดมศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน ที่สำคัญที่สุดคือ มหาวิทยาลัยสุลต่านกอบูส (Sultan Qaboos University) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติ นอกจากนี้ยังมีมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยอื่น ๆ เช่น มหาวิทยาลัยซุฟาร์ (Dhofar University) และมหาวิทยาลัยนิซวา (University of Nizwa) จากการจัดอันดับของ Webometrics Ranking of World Universities มหาวิทยาลัยสุลต่านกอบูสอยู่ในอันดับที่ 1678 ของโลก มหาวิทยาลัยซุฟาร์อันดับที่ 6011 และมหาวิทยาลัยนิซวาอันดับที่ 6093
ความท้าทายและนโยบาย:
การศึกษาระดับอุดมศึกษาของโอมานผลิตบัณฑิตในสาขามนุษยศาสตร์และศิลปศาสตร์เกินความต้องการของตลาด ในขณะที่ผลิตบัณฑิตในสาขาเทคนิคและวิทยาศาสตร์ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด รายงานของ UNCTAD ปี ค.ศ. 2014 ชี้ว่ามาตรฐานการรับรองคุณภาพและการควบคุมคุณภาพที่เน้นการประเมินปัจจัยนำเข้ามากกว่าผลลัพธ์ เป็นสิ่งที่โอมานต้องปรับปรุง รายงาน Transformation Index BTI 2018 แนะนำว่าหลักสูตรการศึกษาควรเน้น "การส่งเสริมความคิดริเริ่มส่วนบุคคลและมุมมองเชิงวิพากษ์" มากขึ้น
โอมานอยู่ในอันดับที่ 84 ในดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index) ปี ค.ศ. 2020 ลดลงจากอันดับที่ 80 ในปี ค.ศ. 2019
รัฐบาลโอมานยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาระบบการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
8.5. สาธารณสุข
โอมานมีความก้าวหน้าอย่างมากในการพัฒนาระบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ทำให้ตัวชี้วัดทางสาธารณสุขหลายด้านดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ระบบบริการทางการแพทย์:
รัฐบาลโอมานให้บริการทางการแพทย์ขั้นพื้นฐานแก่พลเมืองโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย มีเครือข่ายโรงพยาบาลและศูนย์สุขภาพกระจายอยู่ทั่วประเทศ ทั้งในเขตเมืองและชนบท นอกจากสถานพยาบาลของรัฐแล้ว ยังมีสถานพยาบาลเอกชนที่ให้บริการทางการแพทย์ทางเลือกแก่ประชาชน
ตัวชี้วัดทางสาธารณสุข:
- ภาวะทุพโภชนาการ:** ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 สัดส่วนประชากรที่ขาดสารอาหารของโอมานลดลงจาก 11.7% เหลือ 5.4% ในปี ค.ศ. 2016 แต่อัตรานี้ยังคงสูงเป็นสองเท่าของระดับประเทศที่มีรายได้สูง (2.7%) ในปี ค.ศ. 2016 เป้าหมายของ UNSDG คือการขจัดความหิวโหยให้หมดไปภายในปี ค.ศ. 2030
- การเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็น:** ในปี ค.ศ. 2015 โอมานครอบคลุมบริการสุขภาพที่จำเป็นถึง 77% ซึ่งค่อนข้างสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ประมาณ 54% ในปีเดียวกัน แต่ต่ำกว่าระดับของประเทศที่มีรายได้สูง (83%) ในปี ค.ศ. 2015
- การฉีดวัคซีน:** ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 เปอร์เซ็นต์ของเด็กชาวโอมานที่ได้รับวัคซีนที่สำคัญยังคงสูงมากอย่างต่อเนื่อง (สูงกว่า 99%)
- อัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน:** อัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของโอมานลดลงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 จาก 98.9 ต่อประชากร 100,000 คน เหลือ 47.1 ต่อประชากร 100,000 คนในปี ค.ศ. 2017 อย่างไรก็ตาม อัตรานี้ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอยู่ที่ 15.8 ต่อประชากร 100,000 คนในปี ค.ศ. 2017
- มลพิษทางอากาศ:** อัตราการเสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศ (มลพิษในครัวเรือนและสิ่งแวดล้อม) ของโอมานอยู่ที่ 53.9 ต่อประชากร 100,000 คน ณ ปี ค.ศ. 2016 อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 2019 องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดอันดับให้โอมานเป็นประเทศที่มีมลพิษน้อยที่สุดในโลกอาหรับ โดยมีคะแนน 37.7 ในดัชนีมลพิษทางอากาศ ประเทศนี้อยู่ในอันดับที่ 112 ในเอเชียในรายชื่อประเทศที่มีมลพิษสูงสุด
- อายุขัยเฉลี่ย:** อายุขัยเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดในโอมานคาดการณ์ไว้ที่ 76.1 ปีในปี ค.ศ. 2010
- บุคลากรและสถานพยาบาล:** ณ ปี ค.ศ. 2010 มีแพทย์ประมาณ 2.1 คนและเตียงโรงพยาบาล 2.1 เตียงต่อประชากร 1,000 คน
- การเข้าถึงบริการสุขภาพ:** ในปี ค.ศ. 1993 ประชากร 89% สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ ในปี ค.ศ. 2000 ประชากร 99% สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ ในปี ค.ศ. 2000 ระบบสุขภาพของโอมานได้รับการจัดอันดับที่ 8 โดย WHO
นโยบายสาธารณสุข:
รัฐบาลโอมานให้ความสำคัญกับการป้องกันโรค การส่งเสริมสุขภาพ และการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง มีการลงทุนในการสร้างโรงพยาบาลและศูนย์สุขภาพที่ทันสมัย รวมถึงการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ ๆ มาใช้เพื่อยกระดับคุณภาพการบริการ
การใช้จ่ายด้านสุขภาพ:
การใช้จ่ายด้านสุขภาพของโอมานต่อ GDP ระหว่างปี ค.ศ. 2015 ถึง 2016 โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4.3% ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของโลกในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ที่ 10%
9. วัฒนธรรม

วัฒนธรรมโอมานมีลักษณะเด่นที่ผสมผสานระหว่างความเป็นอาหรับดั้งเดิม อิทธิพลจากศาสนาอิสลาม และมรดกทางประวัติศาสตร์อันยาวนานในฐานะชาติทางทะเลที่มีการติดต่อค้าขายกับภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วมหาสมุทรอินเดีย แม้ว่าโอมานจะมีความคล้ายคลึงทางวัฒนธรรมกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มสภาความร่วมมืออ่าวอาหรับ (GCC) แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้โอมานมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเป็นผลมาจากภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของโอมานมีมากกว่าประเทศเพื่อนบ้านอาหรับ เนื่องจากในอดีตเคยขยายอาณาเขตไปยังชายฝั่งสวาฮีลีและมหาสมุทรอินเดีย
โอมานมีประเพณีการต่อเรือที่ยาวนาน เนื่องจากการเดินทางทางทะเลมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ชาวโอมานสามารถติดต่อกับอารยธรรมของโลกโบราณได้ เมืองซูร (Sur) เคยเป็นหนึ่งในเมืองต่อเรือที่มีชื่อเสียงที่สุดในมหาสมุทรอินเดีย เรือประเภท อัล กันญะฮ์ (al Ghanjah) อาจใช้เวลาสร้างทั้งปี เรือโอมานประเภทอื่น ๆ ได้แก่ อัส ซุนบูก (As Sunbouq) และ อัล บาดัน (Al Badan)
9.1. เครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิม

เครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมของโอมานสะท้อนถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน โดยมีความแตกต่างกันระหว่างชายและหญิง รวมถึงความหลากหลายในระดับภูมิภาค
เครื่องแต่งกายชาย:
ชุดประจำชาติของชายชาวโอมานเรียกว่า ดิชดาชา (dishdasha) เป็นเสื้อคลุมยาวถึงข้อเท้า เรียบง่าย ไม่มีปก และมีแขนยาว ส่วนใหญ่มักเป็นสีขาว แต่ก็มีสีอื่น ๆ เช่นกัน การตกแต่งหลักคือพู่ (เรียกว่า ฟุรคอฮ์ - furakha) ที่เย็บติดกับคอเสื้อ ซึ่งสามารถชุบน้ำหอมได้ ภายใต้ดิชดาชา ผู้ชายจะสวมผ้าผืนกว้างเรียบ ๆ พันรอบตัวตั้งแต่เอวลงมา ความแตกต่างที่โดดเด่นที่สุดในการออกแบบดิชดาชาในระดับภูมิภาคคือรูปแบบการปัก ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามกลุ่มอายุ ในโอกาสที่เป็นทางการ อาจสวมเสื้อคลุมสีดำหรือสีเบจทับดิชดาชา เรียกว่า บิชต์ (bisht) การปักขอบเสื้อคลุมบิชต์มักทำด้วยด้ายสีเงินหรือสีทองและมีรายละเอียดที่ประณีต
ชายชาวโอมานสวมเครื่องประดับศีรษะสองประเภท:
- ฆุตเราะฮ์ (ghutra) หรือ มุศ็อร (musar): เป็นผ้าสี่เหลี่ยมจัตุรัสทอจากขนสัตว์หรือผ้าฝ้ายสีเดียว ตกแต่งด้วยลวดลายปักต่าง ๆ
- กุมมะฮ์ (kummah): เป็นหมวกที่สวมใส่ในช่วงเวลาพักผ่อน
ชายบางคนพก อัศศอ (assa) ซึ่งเป็นไม้เท้า ซึ่งอาจมีประโยชน์ใช้สอยหรือใช้เป็นเครื่องประดับในงานพิธีการ โดยทั่วไปชายชาวโอมานจะสวมรองเท้าแตะ
คันจาร์ (khanjar) หรือกริช เป็นส่วนหนึ่งของชุดประจำชาติ และผู้ชายจะสวมคันจาร์ในทุกโอกาสที่เป็นทางการและเทศกาลสำคัญ ตามธรรมเนียมจะสวมไว้ที่เอว ฝักดาบอาจมีตั้งแต่แบบเรียบง่ายไปจนถึงแบบที่ตกแต่งด้วยเงินหรือทองอย่างหรูหรา รูปคันจาร์ปรากฏอยู่บนธงชาติโอมาน
เครื่องแต่งกายหญิง:
สตรีชาวโอมานสวมใส่ชุดประจำชาติที่สวยงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตามแต่ละภูมิภาค ชุดทั้งหมดประกอบด้วยสีสันสดใสและการปักและตกแต่งที่มีชีวิตชีวา ชุดพื้นเมืองของผู้หญิงโอมานประกอบด้วยเสื้อผ้าหลายชิ้น: กันดูเราะฮ์ (kandoorah) เป็นเสื้อคลุมยาวที่แขนเสื้อหรือ เราะดูน (radoon) ประดับด้วยงานปักมือลวดลายต่าง ๆ ดิชดาชาของผู้หญิงจะสวมทับกางเกงทรงหลวมที่รัดข้อเท้า เรียกว่า ซิรวาล (sirwal) ผู้หญิงยังสวมผ้าคลุมศีรษะที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ลิฮาฟ (lihaf)
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 ผู้หญิงมักจะสวมชุดพื้นเมืองในโอกาสพิเศษเท่านั้น และจะสวมเสื้อคลุมสีดำทรงหลวมที่เรียกว่า อะบายะฮ์ (abaya) ทับเสื้อผ้าที่เลือกสวมใส่เป็นการส่วนตัว ในบางภูมิภาค โดยเฉพาะในหมู่ชาวเบดูอิน ยังคงมีการสวม บุรกอ (burqa) อยู่ ผู้หญิงโอมานสวม ฮิญาบ (hijab) และแม้ว่าผู้หญิงบางคนจะคลุมใบหน้าและมือ แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำเช่นนั้น สุลต่านได้สั่งห้ามการคลุมใบหน้าในสถานที่ราชการ
9.2. ดนตรีและภาพยนตร์
ดนตรี:
ดนตรีโอมานมีความหลากหลายอย่างยิ่งอันเนื่องมาจากมรดกทางจักรวรรดิของโอมาน มีเพลงและการเต้นรำแบบดั้งเดิมของโอมานมากกว่า 130 รูปแบบ ศูนย์ดนตรีดั้งเดิมโอมาน (Oman Centre for Traditional Music) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1984 เพื่ออนุรักษ์ดนตรีเหล่านี้ไว้ ในปี ค.ศ. 1985 สุลต่านกอบูสได้ก่อตั้งวงดุริยางค์ซิมโฟนีหลวงโอมาน (Royal Oman Symphony Orchestra) แทนที่จะจ้างนักดนตรีต่างชาติ พระองค์ตัดสินใจที่จะสร้างวงออร์เคสตราที่ประกอบด้วยชาวโอมาน เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1987 ณ หอประชุมโอมานของโรงแรมอัลบุสตานพาเลซ วงดุริยางค์ซิมโฟนีหลวงโอมานได้จัดการแสดงคอนเสิร์ตครั้งแรก
ในด้านดนตรีสมัยนิยม มิวสิกวิดีโอความยาวเจ็ดนาทีเกี่ยวกับโอมานกลายเป็นไวรัล โดยมียอดเข้าชม 500,000 ครั้งบน YouTube ภายใน 10 วันหลังจากเผยแพร่ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2015 ผลงานเพลงอะแคปเปลานี้มีศิลปินที่มีชื่อเสียงที่สุดในภูมิภาคสามคน ได้แก่ นักดนตรีคาลีญี (Khaleeji) อัลวัสมี (Al Wasmi) กวีชาวโอมาน มาซิน อัลฮัดดาบี (Mazin Al-Haddabi) และนักแสดงหญิง บุษัยนา อัรเราะอีซี (Buthaina Al Raisi)
ภาพยนตร์:
อุตสาหกรรมภาพยนตร์โอมานมีขนาดเล็กมาก ณ ปี ค.ศ. 2007 มีภาพยนตร์โอมานเพียงเรื่องเดียวคือ อัลบูม (Al-Boom) ซึ่งออกฉายในปี ค.ศ. 2006 บริษัท Oman Arab Cinema Company LLC เป็นเครือข่ายผู้จัดฉายภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโอมาน กระบวนการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในโอมานยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น และเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะ เงินทุน และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น อย่างไรก็ตาม มีความพยายามจากภาครัฐและเอกชนในการส่งเสริมการผลิตภาพยนตร์ในประเทศและดึงดูดผู้สร้างภาพยนตร์จากต่างชาติให้เข้ามาถ่ายทำในโอมาน เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมวัฒนธรรมของประเทศ
9.3. สื่อมวลชน
สถานการณ์สื่อมวลชนในโอมานถูกควบคุมโดยรัฐบาลอย่างเข้มงวด ซึ่งส่งผลต่อระดับเสรีภาพของสื่อและการเข้าถึงข้อมูลของประชาชน
โทรทัศน์และวิทยุ:
รัฐบาลโอมานผูกขาดการดำเนินการสถานีโทรทัศน์มาโดยตลอด สถานีโทรทัศน์รัฐสุลต่านโอมาน (Sultanate of Oman Television - Oman TV) เป็นผู้แพร่ภาพกระจายเสียงโทรทัศน์แห่งชาติเพียงแห่งเดียวในโอมาน Oman TV ออกอากาศ 4 ช่องในระบบ HD ได้แก่ Oman TV General, Oman TV Sport, Oman TV Live และ Oman TV Cultural แม้ว่าการเป็นเจ้าของสถานีวิทยุและโทรทัศน์โดยเอกชนจะได้รับอนุญาต แต่โอมานมีสถานีโทรทัศน์เอกชนเพียงแห่งเดียวคือ Majan TV ซึ่งเริ่มออกอากาศในเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ทางการของ Majan TV ได้รับการอัปเดตครั้งล่าสุดในช่วงต้นปี ค.ศ. 2010 ประชาชนสามารถเข้าถึงการออกอากาศจากต่างประเทศได้เนื่องจากอนุญาตให้ใช้เครื่องรับสัญญาณดาวเทียม
Oman Radio เป็นสถานีวิทยุของรัฐเพียงแห่งเดียวแห่งแรก เริ่มออกอากาศเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1970 โดยมีเครือข่ายทั้งภาษาอาหรับและภาษาอังกฤษ สถานีวิทยุเอกชนอื่น ๆ ได้แก่ Hala FM, Hi FM, Al-Wisal, Virgin Radio Oman FM และ Merge ในช่วงต้นปี ค.ศ. 2018 Muscat Media Group (MMG) ได้เปิดตัวสถานีวิทยุเอกชนแห่งใหม่
หนังสือพิมพ์และอินเทอร์เน็ต:
โอมานมีหนังสือพิมพ์หลัก 9 ฉบับ แบ่งเป็นภาษาอาหรับ 5 ฉบับ และภาษาอังกฤษ 4 ฉบับ การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่รัฐบาลก็มีการควบคุมเนื้อหาทางอินเทอร์เน็ตเช่นกัน
เสรีภาพของสื่อและการควบคุม:
ภาพรวมของสื่อในโอมานได้รับการอธิบายอย่างต่อเนื่องว่ามีการจำกัด ถูกเซ็นเซอร์ และถูกควบคุม กระทรวงสารสนเทศจะเซ็นเซอร์เนื้อหาที่ส่อไปในทางที่ไม่เหมาะสมทางการเมือง วัฒนธรรม หรือทางเพศในสื่อทั้งในและต่างประเทศ กลุ่มผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (Reporters Without Borders) จัดอันดับโอมานอยู่ที่ 127 จาก 180 ประเทศในดัชนีเสรีภาพสื่อโลกปี ค.ศ. 2018 ในปี ค.ศ. 2016 รัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติกรณีสั่งระงับหนังสือพิมพ์ อัซซามน์ (Azamn) และจับกุมนักข่าวสามคนหลังจากรายงานข่าวเกี่ยวกับการทุจริตในระบบตุลาการของประเทศ หนังสือพิมพ์ อัซซามน์ ไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดดำเนินการอีกครั้งในปี ค.ศ. 2017 แม้ว่าศาลอุทธรณ์จะมีคำตัดสินในช่วงปลายปี ค.ศ. 2016 ว่าหนังสือพิมพ์สามารถกลับมาดำเนินการได้ก็ตาม
ระดับเสรีภาพของสื่อในโอมานยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวลและถูกจับตามองจากประชาคมระหว่างประเทศ
9.4. ศิลปะ

ศิลปะดั้งเดิมในโอมานมีรากฐานมาจากมรดกทางวัฒนธรรมทางวัตถุที่ยาวนาน ขบวนการศิลปะในศตวรรษที่ 20 แสดงให้เห็นว่าวงการศิลปะในโอมานเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติในช่วงแรก ๆ ซึ่งรวมถึงงานหัตถกรรมของชนเผ่าที่หลากหลายและการวาดภาพเหมือนตนเองตั้งแต่ทศวรรษ 1960 อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่การรวมศิลปินชาวโอมานหลายคนเข้าไว้ในคอลเล็กชัน นิทรรศการศิลปะ และกิจกรรมระดับนานาชาติ เช่น อะลียะฮ์ อัลฟาร์ซี (Alia Al Farsi) ศิลปินชาวโอมานคนแรกที่จัดแสดงผลงานในเทศกาล เวนิสเบียนนาเล และ รัตติกา คิมจี (Radhika Khimji) ศิลปินชาวโอมานคนแรกที่จัดแสดงผลงานทั้งในเทศกาล มหกรรมศิลปะนานาชาติมาร์ราเกช (Arts in Marrakech - AiM International Biennale) และเทศกาล Haiti Ghetto Biennale ทำให้สถานะของโอมานในฐานะผู้มาใหม่ในวงการศิลปะร่วมสมัยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีความสำคัญมากขึ้นสำหรับการเปิดรับในระดับนานาชาติของโอมาน
หอศิลป์และสถาบันศิลปะ:
- Bait Muzna Gallery: เป็นหอศิลป์แห่งแรกในโอมาน ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2000 โดยซัยยิดา ซูซาน อัลซะอีด (Sayyida Susan Al Said) Bait Muzna ทำหน้าที่เป็นเวทีสำหรับศิลปินชาวโอมานหน้าใหม่ในการแสดงความสามารถและวางตำแหน่งตนเองในวงการศิลปะที่กว้างขึ้น ในปี ค.ศ. 2016 Bait Muzna ได้เปิดพื้นที่แห่งที่สองในซาลาลาห์เพื่อขยายสาขาและสนับสนุนภาพยนตร์ศิลปะและวงการศิลปะดิจิทัล หอศิลป์แห่งนี้ดำเนินงานในฐานะที่ปรึกษาด้านศิลปะเป็นหลัก
- สมาคมวิจิตรศิลป์โอมาน (Omani Society for Fine Arts): ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1993 สมาคมนี้เปิดสอนหลักสูตรการศึกษา จัดเวิร์กช็อป และมอบทุนสนับสนุนศิลปินในหลากหลายสาขาวิชา
- พิพิธภัณฑ์แห่งชาติโอมาน: เป็นสถาบันทางวัฒนธรรมที่สำคัญของรัฐสุลต่าน เปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 2016 โดยมีห้องจัดแสดงถาวร 14 ห้อง จัดแสดงมรดกของชาติ ตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ยุคแรกสุดในโอมานเมื่อสองล้านปีก่อนจนถึงปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังก้าวไปอีกขั้นด้วยการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุในอักษรเบรลล์ภาษาอาหรับสำหรับผู้พิการทางสายตา ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกที่ทำเช่นนี้ในภูมิภาคอ่าวอาหรับ
- พิพิธภัณฑ์บัยต์ อัซซุบัยร์ (Bait Al Zubair Museum): เป็นพิพิธภัณฑ์เอกชนที่ได้รับทุนสนับสนุนจากครอบครัว เปิดให้ประชาชนเข้าชมในปี ค.ศ. 1998 ในปี ค.ศ. 1999 พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้รับรางวัลความเป็นเลิศทางสถาปัตยกรรมจากสุลต่านกอบูส บิน ซะอีด (Sultan Qaboos' Award for Architectural Excellence) พิพิธภัณฑ์บัยต์ อัซซุบัยร์ จัดแสดงโบราณวัตถุของโอมานที่เป็นของสะสมของครอบครัว
ศิลปะร่วมสมัยในโอมานกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีศิลปินรุ่นใหม่ ๆ ที่สร้างสรรค์ผลงานที่ผสมผสานระหว่างประเพณีและความทันสมัย และเริ่มได้รับการยอมรับในระดับสากลมากขึ้น
9.5. อาหาร

อาหารโอมานมีความหลากหลายและได้รับอิทธิพลจากหลายวัฒนธรรม ชาวโอมานมักจะรับประทานอาหารมื้อหลักประจำวันในตอนเที่ยง ในขณะที่อาหารเย็นจะเบากว่า ในช่วงรอมฎอน อาหารเย็นมักจะเสิร์ฟหลังจากการละหมาดตะรอเวี๊ยะห์ (Taraweeh) บางครั้งอาจช้าถึง 23:00 น.
- อัรซียะฮ์ (Arsia): เป็นอาหารในเทศกาลที่เสิร์ฟระหว่างการเฉลิมฉลอง ประกอบด้วยข้าวบดและเนื้อสัตว์ (บางครั้งเป็นไก่)
- ชูวา (Shuwa): เป็นอาหารในเทศกาลที่ได้รับความนิยมอีกอย่างหนึ่ง ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ที่ปรุงอย่างช้า ๆ (บางครั้งนานถึง 2 วัน) ในเตาดินเหนียวใต้ดิน
- ปลา: ปลามักถูกใช้ในอาหารจานหลักเช่นกัน และปลาสละ (kingfish) เป็นวัตถุดิบที่ได้รับความนิยม
- มัชไว (Mashuai): เป็นอาหารที่ประกอบด้วยปลาสละย่างทั้งตัวเสิร์ฟพร้อมข้าวเลมอน
- ขนมปังรุคอล (Rukhal bread): เป็นขนมปังกลมบาง ๆ รับประทานได้ทุกมื้อ โดยทั่วไปจะเสิร์ฟพร้อมน้ำผึ้งโอมานสำหรับอาหารเช้า หรือบิเป็นชิ้นเล็ก ๆ โรยบนแกงสำหรับอาหารเย็น
- ฮัลวะห์โอมาน (Omani Halwa): เป็นขนมหวานที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ประกอบด้วยน้ำตาลดิบปรุงกับถั่ว มีหลายรสชาติ รสชาติที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือฮัลวะห์สีดำ (ดั้งเดิม) และฮัลวะห์หญ้าฝรั่น ฮัลวะห์ถือเป็นสัญลักษณ์ของการต้อนรับแบบโอมาน ตามธรรมเนียมจะเสิร์ฟพร้อมกาแฟ
เช่นเดียวกับประเทศส่วนใหญ่ในรัฐอาหรับในอ่าวเปอร์เซีย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีจำหน่ายเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมเท่านั้น
9.6. กีฬา

ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2004 รัฐบาลโอมานได้จัดตั้งกระทรวงกิจการกีฬาขึ้นเพื่อแทนที่องค์การทั่วไปสำหรับเยาวชน กีฬา และวัฒนธรรม การแข่งขันกัลฟ์คัพ ครั้งที่ 19 (19th Arabian Gulf Cup) จัดขึ้นที่มัสกัต ประเทศโอมาน ตั้งแต่วันที่ 4 ถึง 17 มกราคม ค.ศ. 2009 และทีมฟุตบอลชาติโอมานเป็นผู้ชนะเลิศการแข่งขัน ต่อมาในการแข่งขันกัลฟ์คัพ ครั้งที่ 23 (23rd Arabian Gulf Cup) ซึ่งจัดขึ้นที่คูเวต ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2017 ถึง 5 มกราคม ค.ศ. 2018 โอมานคว้าแชมป์เป็นครั้งที่สอง โดยเอาชนะทีมชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในรอบชิงชนะเลิศ

กีฬาแบบดั้งเดิมของโอมาน ได้แก่ การแข่งเรือเดา (dhow) การแข่งม้า การแข่งอูฐ การชนวัว (bull fighting) และการเหยี่ยว (falconry) ฟุตบอล บาสเกตบอล สกีน้ำ และแซนด์บอร์ด (sandboarding) เป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในหมู่คนรุ่นใหม่ โอมานร่วมกับรัฐฟุญัยเราะฮ์ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นเพียงสองภูมิภาคในตะวันออกกลางที่มีการละเล่นคล้ายการชนวัว ซึ่งเรียกว่า 'การชนวัว' (bull-butting) จัดขึ้นในอาณาเขตของตน พื้นที่อัลบาฏินะฮ์ (Al-Batena) ในโอมานมีความโดดเด่นเป็นพิเศษสำหรับกิจกรรมดังกล่าว
คณะกรรมการโอลิมปิกโอมานมีบทบาทสำคัญในการจัดงานโอลิมปิกเดย์ส (Olympic Days) ในปี ค.ศ. 2003 ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อสมาคมกีฬา สโมสร และผู้เข้าร่วมรุ่นเยาว์ สมาคมฟุตบอลได้เข้าร่วมพร้อมกับสมาคมแฮนด์บอล บาสเกตบอล รักบี้ยูเนียน ฮอกกี้สนาม วอลเลย์บอล กรีฑา ว่ายน้ำ และเทนนิส ในปี ค.ศ. 2010 มัสกัตเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเอเชียนบีชเกมส์ 2010 โอมานมีทีมชาติชายในกีฬาวอลเลย์บอลชายหาดที่เข้าร่วมการแข่งขัน AVC Beach Volleyball Continental Cup ปี ค.ศ. 2018-2020
โอมานยังเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเทนนิสทุกปี สนามกีฬา สุลต่าน กอบูส สปอร์ต คอมเพล็กซ์ (Sultan Qaboos Sports Complex) มีสระว่ายน้ำขนาด 50 m ที่ใช้สำหรับการแข่งขันระดับนานาชาติ การแข่งขันจักรยานทางไกลอาชีพตูร์ออฟโอมาน (Tour of Oman) ซึ่งเป็นการแข่งขันแบบแบ่งเป็นช่วง 6 วัน จัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ โอมานเป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลชายหาดชิงแชมป์เอเชีย 2011 รอบคัดเลือก ซึ่งมี 11 ทีมแข่งขันเพื่อชิง 3 ตำแหน่งในการแข่งขันฟุตบอลชายหาดชิงแชมป์โลก โอมานเป็นเจ้าภาพการแข่งขันแฮนด์บอลชายหาดชิงแชมป์โลก 2012ทั้งประเภทชายและหญิง ณ มิลเลนเนียมรีสอร์ท ในเมืองมุสซานะฮ์ ตั้งแต่วันที่ 8 ถึง 13 กรกฎาคม การแข่งขัน "เอลกลาซิโก" (El Clásico) ครั้งแรกที่เล่นนอกประเทศสเปน จัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2014 ณ สนามกีฬา สุลต่าน กอบูส สปอร์ต คอมเพล็กซ์
โอมานได้พยายามแข่งขันเพื่อผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยผ่านเข้ารอบสุดท้ายได้สำเร็จ ในกีฬาคริกเกต โอมานผ่านเข้ารอบการแข่งขันคริกเกตชิงแชมป์โลกประเภทที20 ปี 2016 และคริกเกตชิงแชมป์โลกประเภทที20 ปี 2021 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2021 ได้มีการยืนยันว่าโอมานจะเป็นเจ้าภาพร่วมการแข่งขันคริกเกตชิงแชมป์โลกประเภทที20 ปี 2021ร่วมกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในปี ค.ศ. 2024 โอมานได้เข้าร่วมการแข่งขัน Touch Rugby World Cup ที่เมืองนอตทิงแฮม ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นการเข้าร่วมการแข่งขันรักบี้นานาชาติครั้งแรกของประเทศ
9.7. วันหยุดนักขัตฤกษ์
โอมานมีวันหยุดนักขัตฤกษ์ทั้งที่เป็นวันหยุดทางโลกและวันหยุดทางศาสนาอิสลาม วันหยุดทางศาสนาจะขึ้นอยู่กับปฏิทินจันทรคติอิสลาม ดังนั้นวันที่แน่นอนจะเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปีตามปฏิทินเกรกอเรียน
วันที่ (ตามปฏิทินเกรกอเรียน) | ชื่อภาษาไทย | ชื่อภาษาอาหรับ (ถ้ามี) | หมายเหตุ |
---|---|---|---|
1 มกราคม | วันขึ้นปีใหม่ | رأس السنة الميلاديةเราะอ์ส อัสซะนะฮ์ อัลมีลาดียะฮ์ภาษาอาหรับ | |
23 กรกฎาคม | วันฟื้นฟูศิลปวิทยาการ | يوم النهضةเยาม์ อันนะฮ์เฎาะฮ์ภาษาอาหรับ | เฉลิมฉลองวันขึ้นครองราชย์ของสุลต่านกอบูส บิน ซะอีด ในปี ค.ศ. 1970 |
18 พฤศจิกายน | วันชาติ | العيد الوطنيอัลอีด อัลวะเฏาะนีย์ภาษาอาหรับ | เดิมเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสุลต่านกอบูส บิน ซะอีด และยังคงเป็นวันชาติแม้หลังการสวรรคตของพระองค์ |
ขึ้นอยู่กับปฏิทินอิสลาม | วันขึ้นปีใหม่ฮิจเราะห์ | رأس السنة الهجريةเราะอ์ส อัสซะนะฮ์ อัลฮิจญ์รียะฮ์ภาษาอาหรับ | วันแรกของเดือนมุฮัรรอม |
ขึ้นอยู่กับปฏิทินอิสลาม | วันประสูติของศาสดามุฮัมมัด | المولد النبوي الشريفอัลเมาลิด อันนะบะวีย์ อัชชะรีฟภาษาอาหรับ | วันที่ 12 เดือนเราะบีอุลเอาวัล |
ขึ้นอยู่กับปฏิทินอิสลาม | วันอิสรออ์และเมียะอ์รอจญ์ (การเดินทางและการขึ้นสู่สวรรค์ของศาสดา) | الإسراء والمعراجอัลอิสรออ์ วัลมี๊ยะอ์รอจญ์ภาษาอาหรับ | วันที่ 27 เดือนเราะญับ |
ขึ้นอยู่กับปฏิทินอิสลาม | วันอีดิลฟิฏริ (เทศกาลสิ้นสุดการถือศีลอด) | عيد الفطرอีด อัลฟิฏร์ภาษาอาหรับ | วันที่ 1-3 เดือนเชาวาล (โดยทั่วไปมีวันหยุดหลายวัน) |
ขึ้นอยู่กับปฏิทินอิสลาม | วันอีดิลอัฎฮา (เทศกาลเชือดพลี) | عيد الأضحىอีด อัลอัฎฮาภาษาอาหรับ | วันที่ 10-13 เดือนซุลฮิจญะฮ์ (โดยทั่วไปมีวันหยุดหลายวัน) |
หมายเหตุ: วันหยุดทางศาสนาอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับการ رؤية هلال (การดูดวงจันทร์)
9.8. มรดกโลก

โอมานมีแหล่งมรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยยูเนสโก (UNESCO) หลายแห่ง ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติของประเทศ แหล่งมรดกโลกเหล่านี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักวิชาการจากทั่วโลกให้มาเยี่ยมชมและศึกษา
แหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม:
- ป้อมปราการบาห์ลา (Bahla Fort) (ขึ้นทะเบียนปี ค.ศ. 1987): เป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ที่สร้างด้วยอิฐดินเหนียว ตั้งอยู่ในโอเอซิสบาห์ลา สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์นาบาห์นิ (ศตวรรษที่ 12-15) และเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของสถาปัตยกรรมทางการทหารในยุคกลางของโอมาน ป้อมปราการนี้ล้อมรอบด้วยกำแพงยาวกว่า 12 km และเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและการค้าที่สำคัญในอดีต
- แหล่งโบราณคดีบัต อัลคุตม์ และอัลอัยน์ (Archaeological Sites of Bat, Al-Khutm and Al-Ayn) (ขึ้นทะเบียนปี ค.ศ. 1988): กลุ่มแหล่งโบราณคดีเหล่านี้ตั้งอยู่ในเขตผู้ว่าราชการอัซซอฮิเราะห์ ประกอบด้วยสุสานหินรูปทรงรังผึ้ง (beehive tombs) ที่มีอายุย้อนไปถึงสหัสวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล (ยุคสำริด) และซากปรักหักพังของนิคมโบราณ เป็นหลักฐานสำคัญของอารยธรรมมากัน (Magan Civilization) ที่เคยรุ่งเรืองในภูมิภาคนี้
- ดินแดนแห่งกำยาน (Land of Frankincense) (ขึ้นทะเบียนปี ค.ศ. 2000): ตั้งอยู่ในเขตผู้ว่าราชการซุฟาร์ ประกอบด้วยต้นกำยานโบราณ ซากเมืองท่าคาราวานโบราณ (เช่น อุบาร์ - Ubar หรือที่เชื่อว่าเป็น "แอตแลนติสแห่งทะเลทราย") และท่าเรือโบราณ (เช่น คอว์ร รอรี - Khor Rori หรือ Sumhuram) ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการค้ากำยานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกโบราณ กำยานจากโอมานมีชื่อเสียงไปทั่วโลกและเป็นสินค้าส่งออกที่มีค่ามหาศาล
- ระบบชลประทานอัฟลาจญ์ของโอมาน (Aflaj Irrigation Systems of Oman) (ขึ้นทะเบียนปี ค.ศ. 2006): ประกอบด้วยระบบชลประทานแบบดั้งเดิม 5 ระบบ ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ ระบบอัฟลาจญ์ (เอกพจน์: ฟะลัจญ์) เป็นเครือข่ายคลองส่งน้ำที่อาศัยแรงโน้มถ่วงในการนำน้ำจากแหล่งน้ำใต้ดินหรือตาน้ำมาใช้ในการเกษตรและอุปโภคบริโภค สะท้อนถึงภูมิปัญญาทางวิศวกรรมของชาวโอมานโบราณในการจัดการทรัพยากรน้ำในสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้ง
- เมืองโบราณกอลฮาต (Ancient City of Qalhat) (ขึ้นทะเบียนปี ค.ศ. 2018): ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันออกของโอมาน เคยเป็นเมืองท่าสำคัญในเส้นทางการค้าทางทะเลระหว่างคาบสมุทรอาหรับ อินเดีย จีน และแอฟริกาตะวันออก ในช่วงศตวรรษที่ 13 ถึง 15 กอลฮาตเป็นเมืองหลวงแห่งที่สองของอาณาจักรฮอร์มุซ และเป็นศูนย์กลางการค้าที่เจริญรุ่งเรือง ซากปรักหักพังที่สำคัญ ได้แก่ มัสยิดใหญ่บีบีมัรยัม (Bibi Maryam Mausoleum) และกำแพงเมืองโบราณ