1. ชีวิตช่วงต้นและภูมิหลังส่วนตัว
ธชตวัน ศรีปาน มีชีวิตช่วงต้นและภูมิหลังที่เรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองในเส้นทางฟุตบอล
1.1. การเกิดและวัยเด็ก
ธชตวัน ศรีปาน เกิดเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2514 ที่ตำบลห้วยบง อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวนบุตรทั้งหมด 4 คน ของนายสมกิจ และนางสมศรี ศรีปาน เขามีชื่อเล่นจริงๆ ว่า "ญา" แต่เพื่อนๆ มักจะเรียกว่า "แบน" ซึ่งเป็นชื่อที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักกันในวงการฟุตบอล ธชตวันเริ่มต้นการศึกษาในระดับชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนแสงวิทยา ซึ่งเป็นรากฐานการเรียนรู้ในช่วงวัยเด็กของเขา
1.2. การศึกษา
หลังจากจบการศึกษาในระดับประถมศึกษา ธชตวันได้ศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนแก่งคอย ซึ่งเป็นสถานศึกษาในท้องถิ่นบ้านเกิดของเขา จากนั้นได้เข้าศึกษาต่อในระดับอาชีวศึกษาที่วิทยาลัยเทคนิคสระบุรี และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเทคนิคนนทบุรี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในการศึกษาควบคู่ไปกับเส้นทางฟุตบอล
1.3. ชีวิตส่วนตัว
ด้านชีวิตส่วนตัว ธชตวัน ศรีปาน ได้สมรสกับ "น้ำฝน" วริทธิ์ธยาน์ เอมะศิริ ซึ่งเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของการบินไทย งานฉลองมงคลสมรสของทั้งคู่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ
2. อาชีพนักฟุตบอล
ธชตวัน ศรีปาน มีเส้นทางอาชีพนักฟุตบอลที่ยาวนานและเต็มไปด้วยความสำเร็จในตำแหน่งกองกลาง ทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทย ด้วยความสามารถในการอ่านเกม การจ่ายบอลที่เฉียบขาด และการทำประตูจากลูกตั้งเตะ
2.1. สโมสร
ธชตวันเริ่มต้นเส้นทางฟุตบอลอาชีพกับสโมสรราชวิถีในปี พ.ศ. 2536-2537 จากนั้นมาสร้างชื่อเสียงโด่งดังกับสโมสรฟุตบอลธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ ระหว่างปี พ.ศ. 2538-2540 และก้าวขึ้นไปติดทีมชาติในยุคของชัชชัย พหลแพทย์
หลังจากการยุบทีมของสโมสรธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ ธชตวันได้ย้ายไปเล่นในประเทศสิงคโปร์กับสโมสรเซมบาวังในเอสลีกเป็นระยะเวลานานถึง 6 ปี (พ.ศ. 2541-2546) ที่นั่นเขาเป็นหนึ่งในขวัญใจของแฟนบอลและได้รับการยกย่องให้เป็น "King of Sembawang Rangers" แม้จะไม่ได้แชมป์ลีกกับทีม แต่เขาก็เป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่ง
จากนั้นเขาย้ายไปเล่นในประเทศเวียดนามกับสโมสรฮหว่างอัญซาลาย ในวี.ลีกเป็นเวลา 3 ฤดูกาล (พ.ศ. 2547-2549) ซึ่งช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีกได้ 1 สมัย และได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดกองกลางแห่งภูมิภาคอาเซียน
ในปี พ.ศ. 2546 เขาได้รับรางวัล "เชียร์ไทยอวอร์ด" ในฐานะ "นักฟุตบอลยอดเยี่ยม" จากเว็บไซต์ cheerthai.com ซึ่งมาจากการโหวตของแฟนฟุตบอลไทย
หลังหมดสัญญากับฮหว่างอัญซาลาย ธชตวันได้กลับมาเล่นในประเทศไทยอีกครั้งกับสโมสรฟุตบอลบีอีซี เทโรศาสนในไทยพรีเมียร์ลีกระหว่างปี พ.ศ. 2550-2552 โดยรับตำแหน่งกัปตันทีมและพาสโมสรจบในอันดับที่ 3 ของลีกทั้งในฤดูกาล 2550 และ 2551
| สโมสร | ปี | ลงสนาม (นัด) | ทำประตู |
|---|---|---|---|
| ราชวิถี | 2536-2537 | 15 | 1 |
| กรุงเทพพาณิชยการ | 2538-2540 | 51 | 11 |
| เซมบาวัง | 2541-2546 | 180 | 29 |
| ฮหว่างอัญซาลาย | 2547-2549 | 49 | 13 |
| บีอีซี เทโรศาสน | 2550-2552 | 60 | 6 |
| รวม | 355 | 60 |
2.2. ทีมชาติ
ธชตวัน ศรีปาน ติดฟุตบอลทีมชาติไทยเป็นครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536 ในรายการปรีเวิลด์คัพ 1994 และได้ลงเล่นนัดแรกในนามทีมชาติในนัดที่พบกับทีมชาติบังคลาเทศ ที่เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น
เขาเป็นส่วนหนึ่งของชุดดรีมทีม ซึ่งมีธวัชชัย สัจจกุล และวิรัช ชาญพานิชย์ เป็นผู้บุกเบิก ความสำเร็จสำคัญของเขาคือการพาทีมชาติชุด บี คว้าแชมป์คิงส์คัพประจำปี พ.ศ. 2537 และแชมป์รายการอินดิเพนเดนท์ แชมเปียนชิพในปีเดียวกัน รวมถึงการคว้า 4 เหรียญทองจากการแข่งขันซีเกมส์ในปี 2536 (ครั้งที่ 17 ที่สิงคโปร์), 2538 (ครั้งที่ 18 ที่เชียงใหม่), 2540 (ครั้งที่ 19 ที่อินโดนีเซีย) และ 2542 (ครั้งที่ 20 ที่บรูไน) นอกจากนี้ เขายังคว้าแชมป์ไทเกอร์คัพ (ปัจจุบันคือฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน) ได้ 3 สมัย และพาทีมจบอันดับ 4 ในเอเชียนเกมส์ 1998ที่กรุงเทพมหานคร
ธชตวันเป็นกัปตันทีมชาติไทยในช่วงท้ายอาชีพ โดยได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมครั้งแรกในเกมที่ไทยชนะจีน 1-0 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 และทำหน้าที่ดังกล่าวจนกระทั่งเลิกเล่นทีมชาติ ประตูที่น่าจดจำของเขาในนามทีมชาติ ได้แก่ การทำประตูในนัดกระชับมิตรกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในปี 2544 และลูกฟรีคิกจากระยะ 30 หลาใส่เนเธอร์แลนด์ในนัดกระชับมิตรที่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2550 ซึ่งไทยพ่ายไป 1-3
เขาประกาศเลิกเล่นให้กับทีมชาติหลังจากที่ฟุตบอลทีมชาติไทยตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2010ในปี พ.ศ. 2551 โดยในนัดนั้นโอมานเอาชนะไทยไป 2-1 ที่ประเทศโอมาน และธชตวันเป็นผู้ทำประตูขึ้นนำให้กับทีมชาติไทย
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2552 ธชตวันได้หวนคืนสู่ทีมชาติอีกครั้งในเกมเทสติโมเนียลแมตช์ ซึ่งเป็นการลงเล่นให้ทีมชาติเป็นนัดสุดท้าย โดยทีมชาติไทยอุ่นเครื่องกับนิวซีแลนด์ และไทยชนะไป 3-1 ธชตวันเป็นผู้ยิงประตูที่ 2 ให้กับทีม และถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 31 เพื่อให้ดัสกร ทองเหลาลงเล่นแทน ในช่วงพักครึ่ง ธชตวันได้มอบพวงมาลัยให้กับผู้มีพระคุณ รวมถึงพ่อและแม่ของตนด้วย
สถิติการลงสนามให้ทีมชาติไทยของธชตวัน ศรีปาน มีทั้งหมด 145 นัด ทำได้ 23 ประตู โดยฟีฟ่าให้การรับรองอยู่ที่ 110 นัด และยิงให้ทีมชาติชุดใหญ่ 19 ประตู
หลังจากเลิกเล่นทีมชาติ เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยโดยสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมงานกับปีเตอร์ รีด ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 แต่ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ธชตวันได้ยุติบทบาทผู้ช่วยผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย เนื่องจากผู้เล่นบางคนไม่พอใจกับการที่เขายังคงมีภาระผูกพันกับสโมสรบีอีซี เทโรศาสน (ขณะนั้นธชตวันยังคงเป็นผู้เล่นอยู่) ในบทบาทผู้ช่วยผู้ฝึกสอนของรี้ด ทีมชาติไทยมีสถิติชนะ 1 นัด (ชนะเกาหลีเหนือในเกมเปิดสนามทีแอนด์ทีคัพ) และแพ้ 1 นัด (แพ้ซาอุดีอาระเบียในนัดเยือน)
| ลำดับ | วันที่ | สถานที่ | คู่แข่งขัน | สกอร์ | ผลการแข่งขัน | รายการแข่งขัน |
|---|---|---|---|---|---|---|
| 1 | 10 ธันวาคม 2538 | เชียงใหม่, ประเทศไทย | เวียดนาม | 3-1 | ชนะ | ซีเกมส์ 1995 |
| 2 | 16 ธันวาคม 2538 | เชียงใหม่, ประเทศไทย | เวียดนาม | 4-0 | ชนะ | ซีเกมส์ 1995 |
| 3 | 16 ธันวาคม 2538 | เชียงใหม่, ประเทศไทย | เวียดนาม | 4-0 | ชนะ | ซีเกมส์ 1995 |
| 4 | 7 ตุลาคม 2540 | จาการ์ตา, อินโดนีเซีย | บรูไน | 7-0 | ชนะ | ซีเกมส์ 1997 |
| 5 | 7 ตุลาคม 2540 | จาการ์ตา, อินโดนีเซีย | บรูไน | 7-0 | ชนะ | ซีเกมส์ 1997 |
| 6 | 12 ตุลาคม 2540 | จาการ์ตา, อินโดนีเซีย | กัมพูชา | 4-0 | ชนะ | ซีเกมส์ 1997 |
| 7 | 2 ธันวาคม 2541 | กรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย | ฮ่องกง | 5-0 | ชนะ | เอเชียนเกมส์ 1998 |
| 8 | 1 สิงหาคม 2542 | บันดาร์เซอรีเบอกาวัน, บรูไน | ลาว | 1-0 | ชนะ | ซีเกมส์ 1999 |
| 9 | 8 สิงหาคม 2542 | บันดาร์เซอรีเบอกาวัน, บรูไน | พม่า | 7-0 | ชนะ | ซีเกมส์ 1999 |
| 10 | 12 สิงหาคม 2542 | บันดาร์เซอรีเบอกาวัน, บรูไน | สิงคโปร์ | 2-0 | ชนะ | ซีเกมส์ 1999 |
| 11 | 16 พฤศจิกายน 2543 | กรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย | มาเลเซีย | 2-0 | ชนะ | ไทเกอร์ คัพ 2000 |
| 12 | 10 กุมภาพันธ์ 2544 | กรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย | สวีเดน | 1-4 | แพ้ | คิงส์คัพ 2001 |
| 13 | 12 กุมภาพันธ์ 2544 | กรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย | กาตาร์ | 1-3 | แพ้ | คิงส์คัพ 2001 |
| 14 | 14 กุมภาพันธ์ 2544 | กรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย | จีน | 1-5 | แพ้ | คิงส์คัพ 2001 |
| 15 | 30 พฤษภาคม 2544 | กรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย | เลบานอน | 2-2 | เสมอ | ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก |
| 16 | 6 มิถุนายน 2550 | กรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย | เนเธอร์แลนด์ | 1-3 | แพ้ | กระชับมิตร |
| 17 | 2 กรกฎาคม 2550 | กรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย | กาตาร์ | 2-0 | ชนะ | กระชับมิตร |
| 18 | 22 มิถุนายน 2551 | มัสกัต, โอมาน | โอมาน | 1-2 | แพ้ | ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก |
| 19 | 28 มีนาคม 2552 | กรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย | นิวซีแลนด์ | 3-1 | ชนะ | กระชับมิตร |
2.3. รูปแบบการเล่นและลักษณะเฉพาะตัว
ในฐานะกองกลาง ธชตวัน ศรีปาน มีจุดเด่นที่ความสามารถในการสร้างสรรค์เกม การจ่ายบอลที่แม่นยำ และทักษะการเล่นลูกตั้งเตะอันยอดเยี่ยม เขาสามารถเล่นได้ทั้งในตำแหน่งกองกลางตัวกลางและกองกลางตัวรุก ซึ่งทำให้เขามีบทบาทสำคัญในการควบคุมจังหวะเกมและการสร้างสรรค์โอกาสทำประตู
นอกจากทักษะฟุตบอลแล้ว ธชตวันยังมีบุคลิกส่วนตัวที่โดดเด่นและเป็นที่รักของแฟนบอล เขาเป็นคนใจเย็น ไม่เคยแสดงความโกรธหรือโวยวายเพื่อนร่วมทีมหรือคู่แข่ง และมีน้ำใจนักกีฬาที่สูงมาก หลังจากการแข่งขัน ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เขาก็พร้อมที่จะลุกขึ้นจับมือกับคู่แข่งเสมอ นอกสนาม ธชตวันยังเป็นคนที่เป็นกันเองกับแฟนบอลมาก เขามักจะยิ้มแย้มแจ่มใสและยอมให้ถ่ายรูปเสมอ ด้วยบุคลิกเช่นนี้ เขาจึงได้รับฉายาว่าเป็น "สุภาพบุรุษลูกหนังของเมืองไทย"
3. อาชีพผู้จัดการทีม
หลังจากแขวนสตั๊ด ธชตวัน ศรีปาน ได้เริ่มต้นเส้นทางอาชีพใหม่ในฐานะผู้ฝึกสอน ซึ่งเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงามเช่นเดียวกับสมัยเป็นนักฟุตบอล และได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นผู้นำและความสามารถในการวางแผนการเล่น
3.1. บทบาทการเป็นผู้ฝึกสอนช่วงต้น
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2552 หลังจากที่สโมสรบีอีซี เทโรศาสนได้แยกทางกับคริสตอฟ ลาร์รูยล์ สโมสรได้ตัดสินใจเลื่อนขั้นธชตวัน ศรีปาน ขึ้นมาเป็นผู้เล่น-ผู้ฝึกสอนของสโมสร เขาสามารถพาทีมจบในอันดับที่ 4 ของตารางและเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศไทยเอฟเอคัพในปี 2552 แต่พ่ายให้กับการท่าเรือในการดวลจุดโทษหลังจากเสมอ 1-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2553 ธชตวันได้เข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนของสโมสรบ้านเกิดอย่างสระบุรี ซึ่งขณะนั้นยังอยู่ในลีกภูมิภาค ดิวิชัน 2 เขาสามารถพาสโมสรเลื่อนชั้นจากดิวิชัน 2 ขึ้นสู่ดิวิชัน 1ได้ตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามาคุมทีม โดยสระบุรีเลื่อนชั้นได้สำเร็จหลังจากจบอันดับที่ 3 ในกลุ่ม A ของรอบคัดเลือกเลื่อนชั้นและชนะมหาวิทยาลัยรังสิต 2-0 ในนัดเปิดตัวในรอบคัดเลือก
สระบุรีอยู่ในไทยลีก 2เป็นเวลาสี่ปี ก่อนจะสร้างประวัติศาสตร์เลื่อนชั้นสู่ไทยลีกได้สำเร็จในฐานะรองชนะเลิศเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2557 ธชตวันยังคงเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนในฤดูกาล 2558 อย่างไรก็ตาม สระบุรีเก็บได้เพียง 1 คะแนนจากการแข่งขัน 6 นัดแรกของฤดูกาล ทำให้ธชตวันตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558

ในวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากที่อรรถพล บุษปาคม หัวหน้าผู้ฝึกสอนของสโมสรได้เสียชีวิตลง เพื่อนตำรวจในดิวิชัน 1 ได้ประกาศแต่งตั้งธชตวัน ศรีปาน เป็นผู้จัดการทีม เขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ไทยลีก 2ได้สำเร็จในปี 2558 อย่างไรก็ตาม สโมสรไม่ได้รับการเลื่อนชั้นเนื่องจากปัญหาทางการเงินและถูกยุบทีม ทำให้ธชตวันต้องออกจากสโมสรไปในเวลาต่อมา
3.2. สโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด
เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559 เมืองทอง ยูไนเต็ดได้แต่งตั้งธชตวัน ศรีปาน เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน ซึ่งนับเป็นผู้ฝึกสอนชาวไทยคนแรกของสโมสรในรอบหกปี เขาประเดิมการคุมทีมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ในศึกเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก รอบคัดเลือก รอบ 2 พบกับยะโฮร์ ดารุล ตาซิมจากประเทศมาเลเซีย ซึ่งเมืองทองชนะในการดวลจุดโทษหลังเสมอ 0-0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ แต่ถูกเขี่ยตกรอบในรอบถัดไปหลังจากแพ้เซี่ยงไฮ้ เอสไอพีจีจากประเทศจีน 0-3
ธชตวัน ศรีปาน สามารถพาทีมเมืองทองยูไนเต็ดคว้าแชมป์ไทยลีกและลีกคัพได้สำเร็จในฤดูกาลแรกที่เข้ามารับตำแหน่ง (คว้า 2 แชมป์)
ในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560 ธชตวันยังนำเมืองทองยูไนเต็ดคว้าแชมป์ไทยแลนด์แชมเปียนส์คัพด้วยการชนะสุโขทัย 5-0 อย่างไรก็ตาม เมืองทองยูไนเต็ดได้พ่ายแพ้ให้กับซานเฟรชเช ฮิโรชิมะจากประเทศญี่ปุ่น 1-3 ในรายการโตโยต้า พรีเมียร์คัพ 2017
ในเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก 2017 รอบแบ่งกลุ่ม ธชตวันได้สร้างผลงานอันน่าประทับใจให้กับเมืองทองยูไนเต็ด โดยเก็บ 1 คะแนนในเกมเปิดสนามกับบริสเบน โรอาร์ ก่อนจะสร้างประวัติศาสตร์คว้าชัยชนะครั้งแรกในรายการนี้ได้สำเร็จเหนือนัดที่สองกับแชมป์เจลีกอย่างคาชิมะ แอนต์เลอส์ ที่สนามศุภชลาศัย (อันที่จริงเล่นที่เอสซีจีสเตเดียม) ทีมของเขาเก็บอีก 1 คะแนนจากบ้านของอุลซัน ฮยอนแด ก่อนจะคว้าชัยชนะในเกมเหย้าคืนที่เอสซีจี สเตเดียม หลังจาก 6 นัด เมืองทองจบเป็นอันดับสองของกลุ่มด้วย 11 คะแนนผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาต์ และจากผลงานอันยอดเยี่ยมในเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก 2017 นี้ ธชตวันจึงได้รับรางวัลไทยลีกผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมแห่งปี
ในวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2561 หลังจากที่เมืองทองยูไนเต็ดพ่ายแพ้ต่อพีที ประจวบ 1-6 ในนัดเยือน ธชตวันได้ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมเมืองทองยูไนเต็ดทันที ซึ่งในตอนแรกสโมสรยังไม่อนุมัติ แต่ในภายหลังได้ตกลงร่วมกันที่จะแยกทางกัน
3.3. บทบาทการเป็นผู้ฝึกสอนในภายหลัง
หลังจากออกจากเมืองทอง ยูไนเต็ด ธชตวันได้เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมของโปลิศ เทโรในช่วงปลายฤดูกาล 2561 (29 มิถุนายน - 14 กันยายน 2561) และต่อมาได้คุมทีมสุพรรณบุรีระหว่างปี 2562 (12 พฤศจิกายน 2561 - 2 มิถุนายน 2562)
ในบทบาทผู้ช่วยผู้ฝึกสอน ธชตวันยังเคยเป็นผู้ช่วยผู้ฝึกสอนให้กับฟุตบอลทีมชาติไทยและทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีในช่วงปี 2562-2563
จากนั้น เขาได้ย้ายไปคุมทีมแบงค็อก ยูไนเต็ดครั้งแรกระหว่างวันที่ 5 พฤศจิกายน 2563 ถึง 11 มีนาคม 2565 และกลับมารับตำแหน่งอีกครั้งในวันที่ 28 ธันวาคม 2565 จนถึงปัจจุบัน ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคและหัวหน้าผู้ฝึกสอน เขาสามารถพาแบงค็อก ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ไทยแลนด์แชมเปียนส์คัพในปี 2566 และเป็นรองชนะเลิศไทยลีกฤดูกาล 2565-66 รวมถึงเป็นรองชนะเลิศไทยเอฟเอคัพฤดูกาล 2565-66
เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2567 เขานำแบงค็อก ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ไทยเอฟเอคัพเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร หลังจากชนะดราก้อน ปทุมวัน กาญจนบุรีในการดวลจุดโทษ 4-1 หลังจากเสมอในเวลาปกติ 1-1 ในรอบชิงชนะเลิศ
| ทีม | ประเทศ | ตั้งแต่ | ถึง | แข่ง (นัด) | ชนะ | เสมอ | แพ้ | ประตูได้ | ประตูเสีย | ผลต่างประตู | อัตราชนะ (%) |
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| บีอีซี เทโรศาสน | ประเทศไทย | 25 มิถุนายน 2552 | 15 กรกฎาคม 2553 | 35 | 16 | 8 | 11 | 65 | 48 | +17 | 45.71 |
| สระบุรี | ประเทศไทย | 1 ธันวาคม 2553 | 8 เมษายน 2558 | 158 | 60 | 50 | 48 | 222 | 191 | +31 | 37.97 |
| เพื่อนตำรวจ | ประเทศไทย | 11 พฤษภาคม 2558 | 31 ธันวาคม 2558 | 34 | 20 | 7 | 7 | 78 | 28 | +50 | 58.82 |
| เมืองทอง ยูไนเต็ด | ประเทศไทย | 21 มกราคม 2559 | 12 มีนาคม 2561 | 107 | 75 | 12 | 20 | 233 | 107 | +126 | 70.09 |
| โปลิศ เทโร | ประเทศไทย | 29 มิถุนายน 2561 | 14 กันยายน 2561 | 12 | 3 | 2 | 7 | 17 | 27 | -10 | 25.00 |
| สุพรรณบุรี | ประเทศไทย | 12 พฤศจิกายน 2561 | 2 มิถุนายน 2562 | 15 | 3 | 5 | 7 | 14 | 22 | -8 | 20.00 |
| แบงค็อก ยูไนเต็ด (ครั้งแรก) | ประเทศไทย | 5 พฤศจิกายน 2563 | 11 มีนาคม 2565 | 50 | 27 | 12 | 11 | 97 | 46 | +51 | 54.00 |
| แบงค็อก ยูไนเต็ด (ครั้งที่สอง) | ประเทศไทย | 28 ธันวาคม 2565 | ปัจจุบัน | 103 | 64 | 23 | 16 | 201 | 96 | +105 | 62.14 |
| รวมตลอดอาชีพ | 514 | 268 | 119 | 127 | 927 | 565 | +362 | 52.14 | |||
4. เกียรติประวัติและรางวัล
ธชตวัน ศรีปาน ได้รับเกียรติประวัติและรางวัลมากมายตลอดเส้นทางอาชีพทั้งในฐานะนักฟุตบอลและผู้จัดการทีม ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถและความสำเร็จของเขาในวงการฟุตบอลไทยและระดับภูมิภาค
4.1. ในฐานะนักฟุตบอล
ฟุตบอลทีมชาติไทย
- ซีเกมส์: ชนะเลิศ 4 สมัย (2536, 2538, 2540, 2542)
- ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน: ชนะเลิศ 3 สมัย (2539, 2543, 2545)
- คิงส์คัพ: ชนะเลิศ 3 สมัย (2537, 2543, 2549)
- Independence Cup (อินโดนีเซีย): ชนะเลิศ (2537)
- เอเชียนเกมส์: อันดับที่ 4 (2541, 2545)
สโมสรฮหว่างอัญซาลาย
- วี.ลีก: ชนะเลิศ (2547)
- Vietnamese Super Cup: ชนะเลิศ (2547)
4.2. ในฐานะผู้จัดการทีม
สโมสรบีอีซี เทโรศาสน
- ไทยเอฟเอคัพ: รองชนะเลิศ (2552)
สโมสรจังหวัดสระบุรี
- ไทยลีก 4 ภาคกลางและภาคตะวันออก: ชนะเลิศ (2553)
- ไทยลีก 2: รองชนะเลิศ (2557)
สโมสรเพื่อนตำรวจ
- ไทยลีก 2: ชนะเลิศ (2558)
สโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด
- ไทยลีก: ชนะเลิศ (2559)
- ไทยลีกคัพ: ชนะเลิศ 2 สมัย (2559, 2560)
- ไทยแลนด์แชมเปียนส์คัพ: ชนะเลิศ (2560)
- แม่โขงคลับแชมเปียนชิพ: ชนะเลิศ (2560)
- โตโยต้า พรีเมียร์คัพ: รองชนะเลิศ (2560)
สโมสรแบงค็อก ยูไนเต็ด
- ไทยแลนด์แชมเปียนส์คัพ: ชนะเลิศ (2566)
- ไทยลีก: รองชนะเลิศ (2565-66)
- ไทยเอฟเอคัพ: ชนะเลิศ (2566-67), รองชนะเลิศ (2565-66)
4.3. รางวัลส่วนตัว
- โล่เกียรติยศนักกีฬาที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ จากกระทรวงศึกษาธิการ: (ซีเกมส์ 2536)
- AFC Player of the Month: ธันวาคม 2538, สิงหาคม 2542
- รางวัลกองกลางยอดเยี่ยม จาก M-Sport Hot Vote: 2542
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นที่ 5 เบญจมดิเรกคุณาภรณ์: 2543 (5 ธันวาคม 2543)
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยม จาก CheerThai Award: 2546
- รางวัลอัศวพาหุ: 2549
- Arena Men of the Year สาขา Sportsmanship: 2550
- นักกีฬาดีเด่น จากสยามกีฬา อวอร์ดส์: 2551
- ผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมประจำเดือนในไทยลีก 2: สิงหาคม 2555, กรกฎาคม 2556, กรกฎาคม 2557
- ผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมในไทยลีก 2: 2557
- โล่เกียรติภูมิในงาน 100 ปีทีมชาติไทย: 2557 (15 พฤศจิกายน 2557)
- ผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยม โดยฟุตบอลสยามโกลเดนบอล: 2559
- ผู้ฝึกสอนชายยอดเยี่ยม โดยสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย: 2560
- ผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมประจำเดือนในไทยลีก: พฤษภาคม 2559, พฤศจิกายน 2564, สิงหาคม 2566, ตุลาคม 2567
5. มรดกและอิทธิพล
ธชตวัน ศรีปาน ได้ทิ้งมรดกและสร้างอิทธิพลสำคัญต่อวงการฟุตบอลไทยอย่างกว้างขวาง ตลอดระยะเวลากว่าสองทศวรรษในวงการ ทั้งในฐานะนักฟุตบอลและผู้จัดการทีม เขาได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นเลิศและความเป็นมืออาชีพที่ยากจะหาใครเทียบได้
ในฐานะนักฟุตบอล เขาได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในกองกลางที่เก่งกาจที่สุดของไทย ด้วยทักษะการจ่ายบอลที่สร้างสรรค์ วิสัยทัศน์ในเกม และความเป็นสุภาพบุรุษลูกหนัง ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งในและนอกสนาม การเป็นส่วนหนึ่งของดรีมทีมและคว้าแชมป์ซีเกมส์ถึง 4 สมัย รวมถึงแชมป์ในระดับภูมิภาคอื่นๆ ยิ่งตอกย้ำสถานะของเขาในฐานะตำนานนักเตะไทย
ในฐานะผู้จัดการทีม ธชตวันได้นำปรัชญาการทำงานและความรู้เชิงลึกที่สั่งสมมาถ่ายทอดสู่ทีมต่างๆ เขามีส่วนสำคัญในการพาสโมสรสระบุรีและเพื่อนตำรวจเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุด และสร้างความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ด้วยการนำเมืองทอง ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ไทยลีกและไทยลีกคัพได้อย่างยิ่งใหญ่ในปีเดียว ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของโค้ชชาวไทยในระดับสูง นอกจากนี้ ผลงานของเขากับเมืองทอง ยูไนเต็ดในเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีกที่สามารถผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาต์ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ก็เป็นเครื่องยืนยันถึงความสามารถในการยกระดับมาตรฐานฟุตบอลไทยให้ทัดเทียมกับระดับเอเชีย
ความสำเร็จล่าสุดในการพาแบงค็อก ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ไทยเอฟเอคัพเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ยิ่งเน้นย้ำถึงความเป็นผู้นำและการสร้างสรรค์ความสำเร็จของเขา ธชตวัน ศรีปาน ไม่เพียงแต่เป็นผู้สร้างผลงานในสนาม แต่ยังเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาบุคลากรและยกระดับมาตรฐานฟุตบอลไทยให้ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักฟุตบอลและผู้ฝึกสอนรุ่นใหม่ และจะเป็นตำนานที่ถูกจดจำในฐานะบุคคลสำคัญที่ขับเคลื่อนวงการฟุตบอลไทยไปข้างหน้า