1. ภาพรวม
สาธารณรัฐแอฟริกากลาง (CAR) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ตั้งอยู่ใจกลางทวีปแอฟริกา มีประวัติศาสตร์อันยาวนานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ผ่านยุคอาณานิคมของฝรั่งเศส สู่การได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2503 อย่างไรก็ตาม ประเทศต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่องจากความไร้เสถียรภาพทางการเมือง การรัฐประหารหลายครั้ง สงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อ และวิกฤตด้านมนุษยธรรมอย่างรุนแรง แม้จะมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เช่น เพชร ทองคำ และไม้ แต่สาธารณรัฐแอฟริกากลางยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก โดยประชาชนจำนวนมากต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเข้าถึงบริการพื้นฐาน การศึกษา และสาธารณสุข สถานการณ์สิทธิมนุษยชนยังคงน่าเป็นห่วง โดยมีการละเมิดอย่างกว้างขวางโดยกลุ่มติดอาวุธต่าง ๆ และบางครั้งโดยกองกำลังของรัฐ ความพยายามในการสร้างสันติภาพและการพัฒนาประชาธิปไตยต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย รวมถึงการแบ่งแยกทางชาติพันธุ์และศาสนา อิทธิพลจากภายนอก และการทุจริตคอร์รัปชัน บทความนี้จะสำรวจประเด็นเหล่านี้อย่างละเอียด โดยเน้นผลกระทบทางสังคม สิทธิมนุษยชน และความพยายามในการสร้างสังคมที่เป็นธรรมและยั่งยืนในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง
2. ชื่อประเทศ
ชื่อประเทศ สาธารณรัฐแอฟริกากลาง (République centrafricaineเรปูบลีก ซ็องทราฟรีแกนภาษาฝรั่งเศส; Ködörösêse tî Bêafrîkaเคอเดอเรอเซเซ ที เบอาฟรีกาSango) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ซ็องทราฟริก (Centrafriqueซ็องทราฟรีกภาษาฝรั่งเศส) หรือ CAR ในภาษาอังกฤษ สะท้อนถึงที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศในใจกลางทวีปแอฟริกา และรูปแบบการปกครองแบบสาธารณรัฐ
ในอดีตสมัยอาณานิคม ประเทศนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ อูบองกี-ชารี (Oubangui-Chariอูบ็องกี-ชารีภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งมาจากชื่อแม่น้ำสายสำคัญสองสายคือ แม่น้ำอูบองกี และ แม่น้ำชารี บาร์เตเลมี โบกองดา นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศ ได้เสนอชื่อ "สาธารณรัฐแอฟริกากลาง" แทนชื่อเดิม เนื่องจากเขามีวิสัยทัศน์ที่จะสร้างสหภาพที่ใหญ่ขึ้นของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคแอฟริกากลาง
ระหว่างปี พ.ศ. 2519 ถึง พ.ศ. 2522 ในสมัยของฌ็อง-เบแดล บอกาซา ประเทศได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น จักรวรรดิแอฟริกากลาง (Empire centrafricainอ็องปีร์ ซ็องทราฟรีแกนภาษาฝรั่งเศส) ก่อนที่จะกลับมาใช้ชื่อสาธารณรัฐแอฟริกากลางอีกครั้งหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิ
3. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐแอฟริกากลางครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานยุคแรกเริ่ม การก่อตัวของสังคมชนเผ่า การเข้ามาของอำนาจภายนอกและการค้าทาส ยุคอาณานิคมฝรั่งเศส จนกระทั่งได้รับเอกราชและความท้าทายทางการเมืองและสังคมในยุคปัจจุบัน ประวัติศาสตร์ของประเทศเต็มไปด้วยความขัดแย้ง การเปลี่ยนแปลงทางการปกครอง และผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และสิทธิมนุษยชนของประชาชน
3.1. ประวัติศาสตร์ยุคต้นและสังคมชนเผ่า

พื้นที่ที่ปัจจุบันคือสาธารณรัฐแอฟริกากลางมีผู้คนอาศัยอยู่อย่างน้อยตั้งแต่ 8,000 ปีก่อนคริสตกาล ประมาณ 10,000 ปีที่แล้ว การขยายตัวของทะเลทรายได้ผลักดันให้สังคมนักล่า-เก็บของป่าเคลื่อนย้ายลงใต้สู่ภูมิภาคซาเฮลทางตอนเหนือของแอฟริกากลาง ซึ่งบางกลุ่มได้ตั้งถิ่นฐาน การทำฟาร์มเริ่มต้นขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติยุคหินใหม่ การเพาะปลูกมันเทศขาว (Dioscorea rotundataไดออสคอเรีย โรทันดาตาภาษาอังกฤษ) ได้พัฒนาไปสู่การปลูกลูกเดือยและข้าวฟ่าง และก่อน 3,000 ปีก่อนคริสตกาล การปลูกปาล์มน้ำมันแอฟริกา (Elaeis guineensisเอเลอิส กีเนเอนซิสภาษาอังกฤษ) ช่วยปรับปรุงโภชนาการของกลุ่มและทำให้ประชากรในท้องถิ่นขยายตัวได้ การปฏิวัติทางการเกษตรนี้ ประกอบกับ "การปฏิวัติสตูว์ปลา" ซึ่งเริ่มมีการจับปลาและการใช้เรือ ทำให้สามารถขนส่งสินค้าได้ สินค้ามักถูกเคลื่อนย้ายในหม้อเซรามิก
กลุ่มหินใหญ่บูอาร์ (Bouar Megalithsภาษาอังกฤษ) ในภูมิภาคตะวันตกของประเทศบ่งชี้ถึงระดับการอยู่อาศัยที่ก้าวหน้าซึ่งย้อนไปถึงยุคหินใหม่ตอนปลาย (ประมาณ 3,500-2,700 ปีก่อนคริสตกาล) การทำเหล็กพัฒนาขึ้นในภูมิภาคนี้ประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสตกาล
ผู้คนกลุ่มอูบองกีตั้งถิ่นฐานตามแนวแม่น้ำอูบองกีในพื้นที่ที่เป็นสาธารณรัฐแอฟริกากลางตอนกลางและตะวันออกในปัจจุบัน ขณะที่บางกลุ่มชาวบันตูอพยพมาจากทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคเมอรูน กล้วยเข้ามาในภูมิภาคในช่วงสหัสวรรษแรกก่อนคริสตกาล และเพิ่มแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่สำคัญให้กับอาหาร และยังใช้ในการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การผลิตทองแดง เกลือ ปลาแห้ง และสิ่งทอครอบงำการค้าทางเศรษฐกิจในภูมิภาคแอฟริกากลาง
3.2. คริสต์ศตวรรษที่ 16 - 19: การแทรกซึมของอำนาจภายนอกและการค้าทาส


ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 และ 17 พ่อค้าทาสเริ่มบุกรุกภูมิภาคนี้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขยายเส้นทางการค้าทาสในทะเลทรายซาฮาราและแม่น้ำไนล์ ผู้ที่ถูกจับได้จะถูกทำให้เป็นทาสและส่งไปยังชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ยุโรป อาระเบีย ซีกโลกตะวันตก หรือไปยังท่าเรือและโรงงานทาสตามชายฝั่งแอฟริกาตะวันตกและเหนือ หรือลงใต้ตามแม่น้ำอูบองกีและคองโก การค้าทาสส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจของภูมิภาค ทำให้เกิดความไม่มั่นคงและความรุนแรง ประชากรจำนวนมากถูกจับและพลัดพรากจากถิ่นฐานเดิม
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ชนเผ่าบันเดีย-นซาการา (Bandia-Nzakaraภาษาอังกฤษ) ในกลุ่มอาซันเด ได้ก่อตั้งอาณาจักรบังกาสซู (Bangassou Kingdomภาษาอังกฤษ) ขึ้นตามแนวแม่น้ำอูบองกี อาณาจักรเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการเมืองและการค้าในภูมิภาค รวมถึงการค้าทาส ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชนเผ่าโบบังกี (Bobangiภาษาอังกฤษ) กลายเป็นพ่อค้าทาสรายใหญ่และขายเชลยของตนไปยังทวีปอเมริกาโดยใช้แม่น้ำอูบองกีเพื่อไปยังชายฝั่ง ในปี พ.ศ. 2418 สุลต่านชาวซูดานชื่อ ราบิห์ อัซ-ซูไบร์ (Rabih az-Zubayrภาษาอังกฤษ) ได้ปกครองพื้นที่อัปเปอร์-อูบองกี (Upper-Oubangui) ซึ่งรวมถึงสาธารณรัฐแอฟริกากลางในปัจจุบัน
3.3. ยุคอาณานิคมฝรั่งเศส (อูบองกี-ชารี)

การรุกรานของชาวยุโรปในดินแดนแอฟริกากลางเริ่มขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ระหว่างการแย่งชิงแอฟริกา ชาวยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวฝรั่งเศส เยอรมัน และเบลเยียม มาถึงพื้นที่นี้ในปี พ.ศ. 2428 ฝรั่งเศสเข้ายึดและตั้งอาณานิคมในดินแดนอูบองกี-ชารีในปี พ.ศ. 2437 ในปี พ.ศ. 2454 ตามสนธิสัญญาเฟซ ฝรั่งเศสได้ยกพื้นที่เกือบ 300.00 K km2 ของลุ่มน้ำซังกาและโลบาเยให้กับจักรวรรดิเยอรมัน ซึ่งเยอรมนีได้ยกพื้นที่เล็กกว่า (ในปัจจุบันคือชาด) ให้กับฝรั่งเศส หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ฝรั่งเศสได้ผนวกดินแดนนี้กลับคืนมาอีกครั้ง
การปกครองอาณานิคมของฝรั่งเศสมีลักษณะเด่นคือการขูดรีดทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง โดยมีการให้สัมปทานแก่บริษัทเอกชน ซึ่งเลียนแบบเสรีรัฐคองโกของพระเจ้าเลออปอลที่ 2 แห่งเบลเยียม บริษัทเหล่านี้พยายามที่จะเอาทรัพย์สินของภูมิภาคนี้ไปให้เร็วและถูกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่จะนำผลกำไรส่วนหนึ่งไปฝากไว้ในคลังของฝรั่งเศส บริษัทสัมปทานบังคับให้คนในท้องถิ่นเก็บเกี่ยวยางพารา กาแฟ และสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ โดยไม่ได้รับค่าจ้าง และจับครอบครัวของพวกเขาเป็นตัวประกันจนกว่าพวกเขาจะทำได้ตามโควตาที่กำหนด
ในปี พ.ศ. 2463 ได้มีการจัดตั้งแอฟริกาศูนย์สูตรของฝรั่งเศสขึ้น และอูบองกี-ชารีถูกปกครองจากบราซาวีล ในช่วงทศวรรษที่ 1920 และ 1930 ฝรั่งเศสได้นำนโยบายการปลูกฝ้ายภาคบังคับมาใช้ มีการสร้างเครือข่ายถนน มีความพยายามที่จะต่อสู้กับโรคเหงาหลับแอฟริกา และมีการจัดตั้งคณะเผยแผ่ศาสนาโปรเตสแตนต์เพื่อเผยแร่ศาสนาคริสต์ นอกจากนี้ยังมีการนำรูปแบบใหม่ของแรงงานบังคับมาใช้ และชาวอูบองกีจำนวนมากถูกส่งไปทำงานในทางรถไฟคองโก-มหาสมุทร ตลอดช่วงระยะเวลาการก่อสร้างจนถึงปี พ.ศ. 2477 มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าคนงานทั้งหมดที่เสียชีวิตตามแนวทางรถไฟมีจำนวนมากกว่า 17,000 คน จากการรวมกันของอุบัติเหตุในอุตสาหกรรมและโรคภัยไข้เจ็บ รวมถึงมาลาเรีย
ในปี พ.ศ. 2471 เกิดการลุกฮือครั้งใหญ่ คือ การก่อกบฏคองโก-วารา หรือ 'สงครามด้ามจอบ' ในอูบองกี-ชารีตะวันตก และดำเนินต่อไปเป็นเวลาหลายปี ขอบเขตของการลุกฮือครั้งนี้ ซึ่งอาจเป็นการกบฏต่อต้านอาณานิคมที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกาในช่วงระหว่างสงคราม ถูกซ่อนไว้อย่างระมัดระวังจากสาธารณชนชาวฝรั่งเศส เนื่องจากเป็นหลักฐานของการต่อต้านอย่างรุนแรงต่อการปกครองอาณานิคมของฝรั่งเศสและแรงงานบังคับ การล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสในอูบองกี-ชารีถือว่าเป็นการปกครองที่โหดร้ายที่สุดในจักรวรรดิอาณานิคมฝรั่งเศส
ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2483 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสที่สนับสนุนชาร์ล เดอ โกลได้เข้าควบคุมอูบองกี-ชารี และนายพลเลอแคลร์ได้จัดตั้งกองบัญชาการของกองทัพฝรั่งเศสเสรีในบังกี ในปี พ.ศ. 2489 บาร์เตเลมี โบกองดาได้รับเลือกด้วยคะแนน 9,000 เสียงให้เป็นสมาชิกสมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศส กลายเป็นผู้แทนคนแรกของสาธารณรัฐแอฟริกากลางในรัฐบาลฝรั่งเศส โบกองดามีจุดยืนทางการเมืองต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและระบอบอาณานิคม แต่ค่อยๆ ท้อแท้กับระบบการเมืองของฝรั่งเศส และเดินทางกลับสาธารณรัฐแอฟริกากลางเพื่อก่อตั้งขบวนการเพื่อวิวัฒนาการทางสังคมของแอฟริกาดำ (MESAN) ในปี พ.ศ. 2493
3.4. หลังได้รับเอกราช
สาธารณรัฐแอฟริกากลางได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2503 แต่หลังจากนั้นประเทศต้องเผชิญกับความไร้เสถียรภาพทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง มีการรัฐประหารหลายครั้ง การปกครองแบบเผด็จการ และสงครามกลางเมืองที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการพัฒนาประเทศ สิทธิมนุษยชน และความเป็นอยู่ของประชาชน
3.4.1. สาธารณรัฐที่หนึ่งของดาโกและจักรวรรดิบอกาซา (พ.ศ. 2503-2522)

ในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติแห่งอูบองกี-ชารีในปี พ.ศ. 2500 พรรค MESAN ได้รับคะแนนเสียง 347,000 จากทั้งหมด 356,000 เสียง และได้ที่นั่งในสภานิติบัญญัติทุกที่นั่ง ซึ่งนำไปสู่การเลือกตั้งโบกองดาเป็นประธานสภาใหญ่แห่งแอฟริกาศูนย์สูตรของฝรั่งเศส และรองประธานสภาปกครองอูบองกี-ชารี ภายในหนึ่งปี เขาได้ประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐแอฟริกากลางและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศ MESAN ยังคงดำรงอยู่ แต่บทบาทของพรรคถูกจำกัด สาธารณรัฐแอฟริกากลางได้รับเอกราชภายในประชาคมฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2501 ซึ่งหมายความว่ายังคงนับเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิฝรั่งเศสในแอฟริกา
หลังจากการเสียชีวิตของโบกองดาในอุบัติเหตุเครื่องบินตกเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2502 ดาวิด ดาโก ลูกพี่ลูกน้องของเขา ได้เข้าควบคุมพรรค MESAN ดาโกกลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศเมื่อสาธารณรัฐแอฟริกากลางได้รับเอกราชอย่างเป็นทางการจากฝรั่งเศสในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2503 ซึ่งเป็นวันที่เฉลิมฉลองเป็นวันหยุดวันประกาศเอกราชของประเทศ ดาโกได้กำจัดคู่แข่งทางการเมืองของเขา รวมถึงอาเบล กูมบา อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้นำขบวนการวิวัฒนาการประชาธิปไตยแห่งแอฟริกากลาง (MEDAC) ซึ่งเขาบีบให้ลี้ภัยไปฝรั่งเศส เมื่อพรรคฝ่ายค้านทั้งหมดถูกปราบปรามภายในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2505 ดาโกได้ประกาศให้ MESAN เป็นพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการของรัฐ
อย่างไรก็ตาม การปกครองของดาโกในช่วงแรกก็เผชิญกับความไม่พอใจของประชาชนและปัญหาเศรษฐกิจ ในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2508 ดาโกถูกโค่นล้มในการรัฐประหารวันนักบุญซิลเวสเตอร์โดยพันเอก ฌ็อง-เบแดล บอกาซา ผู้ซึ่งระงับรัฐธรรมนูญและยุบสภาแห่งชาติ ประธานาธิบดีบอกาซาประกาศตนเองเป็นประธานาธิบดีตลอดชีพในปี พ.ศ. 2515 และสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิบอกาซาที่ 1 แห่งจักรวรรดิแอฟริกากลาง (ตามชื่อประเทศที่เปลี่ยนใหม่) เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2519 หนึ่งปีต่อมา จักรพรรดิบอกาซาได้ทำพิธีราชาภิเษกตนเองอย่างฟุ่มเฟือยและมีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึงหนึ่งในสี่ของงบประมาณประเทศในขณะนั้น พิธีดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากนานาชาติ
การปกครองของบอกาซาเป็นไปในลักษณะเผด็จการ มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง รวมถึงการปราบปรามผู้เห็นต่างอย่างรุนแรง ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2522 นักเรียนนักศึกษาได้ประท้วงคำสั่งของบอกาซาที่ให้นักเรียนทุกคนต้องซื้อเครื่องแบบจากบริษัทที่เป็นของภรรยาคนหนึ่งของเขา รัฐบาลได้ปราบปรามการประท้วงอย่างรุนแรง ส่งผลให้เด็กและวัยรุ่นเสียชีวิต 100 คน มีรายงานว่าบอกาซาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องส่วนตัวกับการสังหารบางส่วน การกระทำเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจอย่างมากทั้งในและต่างประเทศ และบั่นทอนเสถียรภาพของระบอบการปกครองของเขาอย่างรุนแรง ในที่สุด ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2522 ฝรั่งเศสได้เข้าแทรกแซงทางทหารโค่นล้มบอกาซาและคืนอำนาจให้กับดาวิด ดาโก พร้อมทั้งฟื้นฟูชื่อประเทศกลับเป็นสาธารณรัฐแอฟริกากลางและระบบการปกครองเดิม การปกครองของบอกาซาสิ้นสุดลงด้วยการถูกขับไล่ออกจากตำแหน่ง และทิ้งมรดกของความโหดร้าย การทุจริต และการละเมิดสิทธิมนุษยชนไว้อย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศในระยะยาว
3.4.2. สาธารณรัฐที่สองของดาโกและระบอบทหารของโกลิงบา (พ.ศ. 2522-2536)
หลังจากการโค่นล้มจักรพรรดิบอกาซาในปี พ.ศ. 2522 ดาวิด ดาโก กลับมามีอำนาจอีกครั้งในฐานะประธานาธิบดี อย่างไรก็ตาม การปกครองของดาโกในครั้งนี้ก็ยังคงเผชิญกับปัญหาความไร้เสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ ในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2524 ดาโกถูกโค่นล้มอีกครั้งในการรัฐประหารที่นำโดยนายพลอ็องเดร โกลิงบา
โกลิงบาระงับรัฐธรรมนูญและปกครองด้วยรัฐบาลทหารจนถึงปี พ.ศ. 2528 เขาได้นำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาใช้ในปี พ.ศ. 2529 ซึ่งได้รับการรับรองจากการลงประชามติทั่วประเทศ การเป็นสมาชิกพรรคใหม่ของเขา คือ การรวมตัวของพรรคประชาธิปไตยแอฟริกากลาง (RDC) เป็นไปโดยสมัครใจ ในปี พ.ศ. 2530 และ พ.ศ. 2531 มีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาแบบกึ่งเสรี แต่คู่แข่งทางการเมืองคนสำคัญสองคนของโกลิงบา คือ อาเบล กูมบา และอ็องฌ์-เฟลิกซ์ ปาตาเซ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วม
ภายในปี พ.ศ. 2533 ด้วยแรงบันดาลใจจากการการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน ทำให้เกิดขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยขึ้น แรงกดดันจากสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และจากกลุ่มประเทศและหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นในท้องถิ่นที่เรียกว่า GIBAFOR (ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ธนาคารโลก และสหประชาชาติ) ในที่สุดก็ทำให้โกลิงบาตกลงในหลักการที่จะจัดการเลือกตั้งเสรีในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2535 ด้วยความช่วยเหลือจากสำนักงานกิจการการเลือกตั้งของสหประชาชาติ หลังจากใช้ข้ออ้างเรื่องความผิดปกติที่ถูกกล่าวหาเพื่อระงับผลการเลือกตั้งเพื่อยึดอำนาจต่อไป ประธานาธิบดีโกลิงบาตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักจาก GIBAFOR ให้จัดตั้ง "สภาการเมืองแห่งชาติเฉพาะกาลแห่งสาธารณรัฐ" (Conseil National Politique Provisoire de la République, CNPPR) และจัดตั้ง "คณะกรรมการการเลือกตั้งผสม" ซึ่งรวมถึงผู้แทนจากทุกพรรคการเมือง
3.4.3. รัฐบาลประชาธิปไตยของปาตาเซและความไม่มั่นคงทางการเมือง (พ.ศ. 2536-2546)
เมื่อการเลือกตั้งรอบที่สองจัดขึ้นในปี พ.ศ. 2536 อีกครั้งด้วยความช่วยเหลือจากประชาคมระหว่างประเทศที่ประสานงานโดย GIBAFOR อ็องฌ์-เฟลิกซ์ ปาตาเซ ชนะในการลงคะแนนรอบที่สองด้วยคะแนนเสียง 53% ขณะที่อาเบล กูมบา ได้รับ 45.6% พรรคของปาตาเซ คือ ขบวนการปลดปล่อยประชาชนแอฟริกากลาง (MLPC) หรือ ขบวนการเพื่อการปลดปล่อยประชาชนแอฟริกากลาง ได้รับคะแนนเสียงข้างมากแบบเสียงข้างมาก (relative majority) แต่ไม่ใช่เสียงข้างมากเด็ดขาด (absolute majority) ของที่นั่งในรัฐสภา ซึ่งหมายความว่าพรรคของปาตาเซต้องการพันธมิตรแนวร่วม
ปาตาเซได้กำจัดองค์ประกอบหลายอย่างของโกลิงบาออกจากรัฐบาล และผู้สนับสนุนโกลิงบากล่าวหารัฐบาลของปาตาเซว่าดำเนินการ "ล่าแม่มด" ต่อต้านชาวยาโกมา รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2537 แต่มีผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อการเมืองของประเทศ ในปี พ.ศ. 2539-2540 ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของประชาชนที่ลดลงอย่างต่อเนื่องต่อพฤติกรรมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของรัฐบาล เกิดการกบฏสามครั้งต่อต้านการบริหารของปาตาเซ พร้อมด้วยการทำลายทรัพย์สินอย่างกว้างขวางและความตึงเครียดทางชาติพันธุ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ในช่วงเวลานี้ (พ.ศ. 2539) หน่วยสันติภาพได้อพยพอาสาสมัครทั้งหมดไปยังประเทศแคเมอรูนเพื่อนบ้าน จนถึงปัจจุบัน หน่วยสันติภาพยังไม่ได้กลับไปยังสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ข้อตกลงบังกี ซึ่งลงนามในเดือนมกราคม พ.ศ. 2540 กำหนดให้มีการส่งกองกำลังทหารระหว่างแอฟริกาไปยังสาธารณรัฐแอฟริกากลาง และการกลับเข้ารับตำแหน่งในรัฐบาลของอดีตผู้ก่อการกบฏในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2540 ต่อมากองกำลังทหารระหว่างแอฟริกาถูกแทนที่ด้วยกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ (MINURCA) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 ประเทศนี้ได้เป็นเจ้าภาพการแทรกแซงรักษาสันติภาพเกือบหนึ่งโหล ทำให้ได้รับฉายาว่า "แชมป์โลกรักษา สันติภาพ"
ในปี พ.ศ. 2541 การเลือกตั้งรัฐสภาส่งผลให้พรรค RDC ของโกลิงบาได้รับ 20 จาก 109 ที่นั่ง อย่างไรก็ตาม ในปีถัดมา แม้จะมีความโกรธแค้นของประชาชนอย่างกว้างขวางในเขตเมืองต่อการปกครองที่ทุจริตของเขา ปาตาเซก็ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สอง
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2544 กลุ่มกบฏบุกโจมตีอาคารยุทธศาสตร์ในบังกีในความพยายามรัฐประหารที่ไม่สำเร็จ เสนาธิการทหาร อาเบล อาบรู และนายพลฟร็องซัว เอ็นจาดเดอร์ เบดายา ถูกสังหาร แต่ปาตาเซได้เปรียบอีกครั้งโดยนำทหารอย่างน้อย 300 นายของผู้นำกบฏคองโก ฌ็อง-ปีแยร์ แบมบา และทหารลิเบียเข้ามา
ภายหลังความพยายามรัฐประหารที่ไม่สำเร็จ กองกำลังติดอาวุธที่ภักดีต่อปาตาเซได้แก้แค้นกลุ่มกบฏในหลายพื้นที่ของบังกี และก่อให้เกิดความไม่สงบ รวมถึงการสังหารฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองจำนวนมาก ในที่สุด ปาตาเซเริ่มสงสัยว่านายพลฟร็องซัว โบซีเซมีส่วนเกี่ยวข้องกับความพยายามรัฐประหารอีกครั้ง ซึ่งทำให้โบซีเซต้องหลบหนีพร้อมกับทหารที่ภักดีไปยังชาด ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2546 โบซีเซได้เปิดฉากโจมตีปาตาเซอย่างไม่คาดคิด ซึ่งขณะนั้นปาตาเซอยู่นอกประเทศ กองทหารลิเบียและทหารประมาณ 1,000 นายขององค์กรกบฏคองโกของแบมบาไม่สามารถหยุดยั้งกลุ่มกบฏได้ และกองกำลังของโบซีเซก็ประสบความสำเร็จในการโค่นล้มปาตาเซ ผลกระทบต่อสิทธิพลเมืองในช่วงเวลานี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากความไม่มั่นคงทางการเมืองและการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามได้นำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง
3.4.4. ระบอบโบซีเซและสงครามพุ่มไม้ (พ.ศ. 2546-2556)

ฟร็องซัว โบซีเซ ได้ระงับรัฐธรรมนูญและแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยพรรคฝ่ายค้าน อาเบล กูมบา ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองประธานาธิบดี โบซีเซได้จัดตั้งสภาถ่ายโอนแห่งชาติที่มีฐานกว้างเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และประกาศว่าเขาจะลงจากตำแหน่งและลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้รับการอนุมัติ
ในปี พ.ศ. 2547 สงครามพุ่มไม้สาธารณรัฐแอฟริกากลาง (Central African Republic Bush War) เริ่มต้นขึ้นเมื่อกองกำลังที่ต่อต้านโบซีเซจับอาวุธต่อต้านรัฐบาลของเขา ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2548 โบซีเซชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งไม่รวมปาตาเซ และในปี พ.ศ. 2549 การต่อสู้ระหว่างรัฐบาลและกลุ่มกบฏยังคงดำเนินต่อไป ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2549 รัฐบาลของโบซีเซได้ขอการสนับสนุนทางทหารจากฝรั่งเศสเพื่อช่วยขับไล่กลุ่มกบฏที่เข้าควบคุมเมืองต่าง ๆ ในภาคเหนือของประเทศ แม้ว่ารายละเอียดสาธารณะเบื้องต้นของข้อตกลงจะเกี่ยวข้องกับการขนส่งและการข่าวกรอง แต่ภายในเดือนธันวาคมความช่วยเหลือของฝรั่งเศสได้รวมถึงการโจมตีทางอากาศโดยเครื่องบินขับไล่ดัซโซลท์ มิราจ 2000ต่อที่มั่นของกลุ่มกบฏ
ข้อตกลงซีร์เตในเดือนกุมภาพันธ์และข้อตกลงสันติภาพบิราโอในเดือนเมษายน พ.ศ. 2550 เรียกร้องให้ยุติการสู้รบ การตั้งค่ายพักของนักรบFDPC และการรวมพวกเขาเข้ากับกองทัพแห่งชาติ (FACA) การปล่อยตัวนักโทษการเมือง การรวม FDPC เข้ากับรัฐบาล การนิรโทษกรรมสำหรับUFDR การยอมรับว่าเป็นพรรคการเมือง และการรวมนักรบเข้ากับกองทัพแห่งชาติ หลายกลุ่มยังคงต่อสู้ต่อไป แต่กลุ่มอื่น ๆ ได้ลงนามในข้อตกลงหรือข้อตกลงที่คล้ายกันกับรัฐบาล (เช่น UFR ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551) กลุ่มหลักเพียงกลุ่มเดียวที่ไม่ได้ลงนามในข้อตกลงในเวลานั้นคือ CPJP ซึ่งยังคงดำเนินกิจกรรมต่อไปและลงนามในข้อตกลงสันติภาพกับรัฐบาลเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ในปี พ.ศ. 2554 โบซีเซได้รับเลือกตั้งอีกครั้งในการเลือกตั้งซึ่งถูกมองอย่างกว้างขวางว่ามีการทุจริต สงครามพุ่มไม้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพลเรือน มีการพลัดถิ่น การละเมิดสิทธิมนุษยชน และวิกฤตด้านมนุษยธรรมในหลายพื้นที่ของประเทศ
3.4.5. การกบฏเซเลกาและรัฐบาลเปลี่ยนผ่าน (พ.ศ. 2556-2559)

ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เซเลกา (Séléka) ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรกบฏที่ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ได้เข้ายึดครองเมืองต่าง ๆ ในภาคเหนือและภาคกลางของประเทศ กลุ่มเหล่านี้ในที่สุดได้บรรลุข้อตกลงสันติภาพกับรัฐบาลของโบซีเซในเดือนมกราคม พ.ศ. 2556 ซึ่งเกี่ยวข้องกับรัฐบาลแบ่งปันอำนาจ ข้อตกลงดังกล่าวล่มสลายในภายหลัง และกลุ่มกบฏได้เข้ายึดเมืองหลวงในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2556 และโบซีเซได้หลบหนีออกนอกประเทศ
มีแชล โจโตเดีย เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี นีกอลา ตีย็องกาย ได้ร้องขอกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และในวันที่ 31 พฤษภาคม อดีตประธานาธิบดีโบซีเซถูกฟ้องในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติและยุยงให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ภายในสิ้นปีนั้น มีคำเตือนจากนานาชาติถึง "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" และการต่อสู้ส่วนใหญ่เป็นการโจมตีตอบโต้พลเรือนโดยนักรบเซเลกาที่ส่วนใหญ่เป็นมุสลิมและกองกำลังคริสเตียนที่เรียกว่า "อองตี-บาลากา" (anti-balaka) ภายในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2556 มีรายงานผู้พลัดถิ่นในประเทศ (IDPs) กว่า 200,000 คน
ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ฟร็องซัว ออล็องด์ เรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและสหภาพแอฟริกาเพิ่มความพยายามในการรักษาเสถียรภาพของประเทศ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เลขาธิการสหประชาชาติ พัน กี-มุน เรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติส่งทหาร 3,000 นายไปยังประเทศทันที เพื่อเสริมกำลังทหารของสหภาพแอฟริกา 6,000 นาย และทหารฝรั่งเศส 2,000 นาย ที่ประจำการอยู่แล้ว เพื่อต่อสู้กับพลเรือนที่ถูกสังหารจำนวนมาก รัฐบาลเซเลกาถูกกล่าวว่าแตกแยก และในเดือนกันยายน พ.ศ. 2556 โจโตเดียได้ยุบเซเลกาอย่างเป็นทางการ แต่กลุ่มกบฏจำนวนมากปฏิเสธที่จะปลดอาวุธ กลายเป็นที่รู้จักในนามอดีตเซเลกา และยิ่งออกนอกการควบคุมของรัฐบาลมากขึ้น มีการโต้แย้งว่าการมุ่งเน้นความพยายามในการปลดอาวุธเบื้องต้นไปที่เซเลกาโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้กลุ่มอองตี-บาลาคามีอำนาจเหนือกว่า นำไปสู่การบังคับให้พลเรือนมุสลิมพลัดถิ่นโดยกลุ่มอองตี-บาลาคาในกรุงบังกีและทางตะวันตกของสาธารณรัฐแอฟริกากลาง
เมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557 มีแชล โจโตเดีย และนีกอลา ตีย็องกาย ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่เจรจาในการประชุมสุดยอดระดับภูมิภาคในประเทศชาดเพื่อนบ้าน กาทรีน ซ็องบา-ป็องซา ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีชั่วคราวโดยสภาถ่ายโอนแห่งชาติ กลายเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสาธารณรัฐแอฟริกากลาง เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 หลังจากการไกล่เกลี่ยของคองโก ผู้แทนเซเลกาและอองตี-บาลาคาได้ลงนามในข้อตกลงหยุดยิงในบราซาวีล ภายในสิ้นปี พ.ศ. 2557 ประเทศถูกแบ่งแยกโดยพฤตินัย โดยกลุ่มอองตี-บาลาคาอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้และอดีตเซเลกาอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2558 ซาแมนธา พาวเวอร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ กล่าวว่ามัสยิด 417 แห่งจากทั้งหมด 436 แห่งในประเทศถูกทำลาย และผู้หญิงมุสลิมหวาดกลัวที่จะออกไปในที่สาธารณะจนต้องคลอดบุตรที่บ้านแทนที่จะไปโรงพยาบาล เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ผู้นำกลุ่มกบฏเซเลกาได้ประกาศตั้งสาธารณรัฐโลโกเนที่เป็นอิสระ สถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองและความรุนแรงระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และศาสนาส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชาชน
3.4.6. ระบอบตัวเดราและสงครามกลางเมืองที่ยังดำเนินอยู่ (พ.ศ. 2559-ปัจจุบัน)
การเลือกตั้งประธานาธิบดีจัดขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2558 เนื่องจากไม่มีผู้สมัครคนใดได้รับคะแนนเสียงมากกว่า 50% จึงมีการเลือกตั้งรอบที่สองในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 โดยมีการเลือกตั้งซ่อมในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559 ในการลงคะแนนรอบที่สอง อดีตนายกรัฐมนตรี โฟสแต็ง-อาร์ก็องฌ์ ตัวเดรา ได้รับการประกาศให้เป็นผู้ชนะด้วยคะแนนเสียง 63% เอาชนะอานีเซ-ฌอร์ฌ ดอโลเกเล ผู้สมัครจากพรรคสหภาพเพื่อการฟื้นฟูแอฟริกากลาง ซึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีอีกคนหนึ่ง แม้ว่าการเลือกตั้งจะมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมากขาดหายไปเนื่องจากลี้ภัยไปต่างประเทศ แต่ความหวาดกลัวความรุนแรงในวงกว้างก็ไม่เกิดขึ้นในที่สุด และสหภาพแอฟริกาก็ถือว่าการเลือกตั้งประสบความสำเร็จ
ตัวเดราสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559 ไม่มีผู้แทนจากกลุ่มกบฏเซเลกาหรือกองกำลังติดอาวุธ "อองตี-บาลาคา" รวมอยู่ในรัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นในภายหลัง
หลังสิ้นสุดวาระแรกของตัวเดรา การเลือกตั้งประธานาธิบดีจัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2563 โดยมีแผนการเลือกตั้งรอบที่สองในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 อดีตประธานาธิบดีฟร็องซัว โบซีเซประกาศลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 แต่ถูกปฏิเสธโดยศาลรัฐธรรมนูญของประเทศ ซึ่งเห็นว่าโบซีเซไม่ผ่านเกณฑ์ "ศีลธรรมอันดี" สำหรับผู้สมัคร เนื่องจากมีหมายจับระหว่างประเทศและมาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติต่อเขาในข้อหาลอบสังหาร ทรมาน และอาชญากรรมอื่น ๆ
เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศในขณะนั้นถูกควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธ การเลือกตั้งจึงไม่สามารถดำเนินการได้ในหลายพื้นที่ของประเทศ สถานีเลือกตั้งประมาณ 800 แห่ง หรือ 14% ของทั้งหมด ถูกปิดเนื่องจากความรุนแรง ทหารรักษาสันติภาพชาวบุรุนดีสามนายเสียชีวิตและอีกสองนายได้รับบาดเจ็บในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีโฟสแต็ง-อาร์ก็องฌ์ ตัวเดรา ได้รับเลือกตั้งอีกครั้งในรอบแรกของการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2563 ทหารรับจ้างชาวรัสเซียจากกลุ่มวากเนอร์ได้สนับสนุนประธานาธิบดีโฟสแต็ง-อาร์ก็องฌ์ ตัวเดรา ในการต่อสู้กับกลุ่มกบฏ กลุ่มวากเนอร์ของรัสเซียถูกกล่าวหาว่าคุกคามและข่มขู่พลเรือน ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 โรเจอร์ โคเฮน เขียนใน เดอะนิวยอร์กไทมส์ ว่า "กองกำลังจู่โจมของวากเนอร์เป็นกองกำลังองครักษ์ของนายตัวเดรา ซึ่งได้รับการคุ้มครองจากกองกำลังรวันดาด้วย เพื่อแลกกับการได้รับใบอนุญาตที่ไม่ต้องเสียภาษีในการใช้ประโยชน์และส่งออกทรัพยากรของสาธารณรัฐแอฟริกากลาง" และ "เอกอัครราชทูตตะวันตกคนหนึ่งเรียกสาธารณรัฐแอฟริกากลาง...ว่าเป็น 'รัฐบริวาร' ของเครมลิน" สงครามกลางเมืองยังคงดำเนินต่อไป ความพยายามในการเจรจาสันติภาพและการแทรกแซงของประชาคมระหว่างประเทศยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ท่ามกลางผลกระทบต่อประชาชนและสิทธิมนุษยชนที่ยังคงน่าเป็นห่วง
4. ภูมิศาสตร์
สาธารณรัฐแอฟริกากลางเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ตั้งอยู่ภายในทวีปแอฟริกา มีพรมแดนติดกับแคเมอรูน ชาด ซูดาน ซูดานใต้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และสาธารณรัฐคองโก ประเทศตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 2° ถึง 11° เหนือ และลองจิจูด 14° ถึง 28° ตะวันออก ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูงและที่ราบลูกคลื่น ภูมิอากาศเป็นแบบร้อนชื้น มีแม่น้ำสายสำคัญหลายสายไหลผ่าน
4.1. ลักษณะภูมิประเทศและระบบแม่น้ำ


พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศประกอบด้วยที่ราบหรือที่ราบสูงลูกคลื่น สะวันนา สูงประมาณ 500 m เหนือระดับน้ำทะเล นอกจากเนินเขาเฟอร์ทิตทางตะวันออกเฉียงเหนือของสาธารณรัฐแอฟริกากลางแล้ว ยังมีเนินเขากระจัดกระจายอยู่ในภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ ทางตะวันตกเฉียงเหนือคือยาเดมาสซิฟ (Yadé Massif) ซึ่งเป็นที่ราบสูงหินแกรนิตที่มีความสูง 1.14 K m
สาธารณรัฐแอฟริกากลางมีพื้นที่ 622.98 K km2 ทำให้เป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 44 ของโลก พรมแดนทางใต้ส่วนใหญ่เกิดจากแควของแม่น้ำคองโก โดยมีแม่น้ำเอ็มโบมู (Mbomou River) ทางตะวันออกรวมกับแม่น้ำอูเอเล (Uele River) กลายเป็นแม่น้ำอูบองกี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพรมแดนทางใต้เช่นกัน แม่น้ำซังกา (Sangha River) ไหลผ่านบางส่วนของภูมิภาคตะวันตกของประเทศ ในขณะที่พรมแดนทางตะวันออกอยู่ตามขอบของลุ่มน้ำของแม่น้ำไนล์
มีการประมาณว่าพื้นที่ป่าไม้ครอบคลุมถึง 8% ของประเทศ โดยส่วนที่หนาแน่นที่สุดโดยทั่วไปตั้งอยู่ในภูมิภาคทางใต้ ป่าไม้มีความหลากหลายสูงและรวมถึงพันธุ์ไม้ที่มีความสำคัญทางการค้า เช่น อายูส (Ayous) ซาเปลลี (Sapelli) และซิโป (Sipo) อัตราการตัดไม้ทำลายป่าอยู่ที่ประมาณ 0.4% ต่อปี และการลักลอบตัดไม้เป็นเรื่องปกติ สาธารณรัฐแอฟริกากลางมีคะแนนเฉลี่ยดัชนีความสมบูรณ์ของภูมิทัศน์ป่าไม้ปี 2561 อยู่ที่ 9.28/10 ซึ่งอยู่ในอันดับที่เจ็ดของโลกจาก 172 ประเทศ ในปี 2551 สาธารณรัฐแอฟริกากลางเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางแสงน้อยที่สุดในโลก
สาธารณรัฐแอฟริกากลางเป็นจุดศูนย์กลางของความผิดปกติทางแม่เหล็กบังกี (Bangui Magnetic Anomaly) ซึ่งเป็นหนึ่งในความผิดปกติทางแม่เหล็กที่ใหญ่ที่สุดในโลก
4.2. ภูมิอากาศ
ภูมิอากาศของสาธารณรัฐแอฟริกากลางโดยทั่วไปเป็นแบบร้อนชื้น โดยมีฤดูฝนที่กินเวลาตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกันยายนในภาคเหนือของประเทศ และตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมในภาคใต้ ในช่วงฤดูฝน พายุฝนเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเกือบทุกวัน และมีหมอกในตอนเช้าตรู่เป็นเรื่องปกติ ปริมาณน้ำฝนสูงสุดต่อปีอยู่ที่ประมาณ 1.80 K mm ในภูมิภาคอูบังกีตอนบน
พื้นที่ทางตอนเหนือร้อนและชื้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม แต่อาจได้รับอิทธิพลจากลมค้าที่ร้อน แห้ง และมีฝุ่นมากที่เรียกว่าฮาร์มัตตัน ภูมิภาคทางตอนใต้มีภูมิอากาศแบบเส้นศูนย์สูตรมากกว่า แต่ก็เสี่ยงต่อการแปรสภาพเป็นทะเลทราย ในขณะที่ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือสุดของประเทศเป็นสเตปป์
4.3. ความหลากหลายทางชีวภาพและปัญหาสิ่งแวดล้อม

ทางตะวันตกเฉียงใต้ อุทยานแห่งชาติซังกา-ซังกา (Dzanga-Sangha National Park) ตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าฝน ประเทศนี้มีชื่อเสียงด้านประชากรช้างป่าและกอริลลาที่ลุ่มตะวันตก ทางตอนเหนือ อุทยานแห่งชาติมาโนโว-กูนดา แซงต์ โฟลริส (Manovo-Gounda St Floris National Park) ซึ่งเป็นมรดกโลก มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมาย รวมถึงเสือดาว, สิงโต, ชีตาห์ และแรด และอุทยานแห่งชาติบามินกี-บันโกราน (Bamingui-Bangoran National Park) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสาธารณรัฐแอฟริกากลาง อุทยานเหล่านี้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากกิจกรรมของนักล่าสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากซูดาน ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา
ในปี พ.ศ. 2563 พื้นที่ป่าไม้ในสาธารณรัฐแอฟริกากลางครอบคลุมประมาณ 36% ของพื้นที่ทั้งหมด หรือเทียบเท่ากับ 22,303,000 เฮกตาร์ (ฮา) ลดลงจาก 23,203,000 เฮกตาร์ (ฮา) ในปี พ.ศ. 2533 ในปี พ.ศ. 2563 ป่าที่ฟื้นฟูตามธรรมชาติครอบคลุมพื้นที่ 22,301,000 เฮกตาร์ (ฮา) และป่าปลูกครอบคลุมพื้นที่ 2,000 เฮกตาร์ (ฮา) ในจำนวนป่าที่ฟื้นฟูตามธรรมชาติ 9% ได้รับรายงานว่าเป็นป่าปฐมภูมิ (ประกอบด้วยพันธุ์ไม้พื้นเมืองที่ไม่มีร่องรอยกิจกรรมของมนุษย์ที่มองเห็นได้ชัดเจน) สำหรับปี พ.ศ. 2558 มีรายงานว่า 91% ของพื้นที่ป่าอยู่ภายใต้กรรมสิทธิ์ของรัฐ และ 9% เป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน ในปี พ.ศ. 2564 อัตราการตัดไม้ทำลายป่าในสาธารณรัฐแอฟริกากลางเพิ่มขึ้น 71% ปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ รวมถึงการลักลอบล่าสัตว์ ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ
5. การเมือง
สาธารณรัฐแอฟริกากลางเป็นสาธารณรัฐระบบประธานาธิบดี การเมืองภายในประเทศได้รับผลกระทบอย่างหนักจากความไร้เสถียรภาพที่ยาวนาน สงครามกลางเมือง และการแทรกแซงจากภายนอก โครงสร้างรัฐบาลประกอบด้วยฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ แต่ในทางปฏิบัติ การควบคุมของรัฐบาลมักจำกัดอยู่เฉพาะในเมืองหลวงและพื้นที่โดยรอบ ในขณะที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มติดอาวุธต่าง ๆ สถานการณ์สิทธิมนุษยชนยังคงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
5.1. โครงสร้างรัฐบาล
การเมืองในสาธารณรัฐแอฟริกากลางดำเนินไปอย่างเป็นทางการในกรอบของสาธารณรัฐระบบประธานาธิบดี ในระบบนี้ ประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล อำนาจบริหารเป็นของรัฐบาล อำนาจนิติบัญญัติเป็นของทั้งรัฐบาลและรัฐสภา
การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเกิดขึ้นผ่านสามวิธี: ความรุนแรง การเจรจา และการเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้รับการอนุมัติจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการลงประชามติเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2547 อย่างไรก็ตาม ณ ปี พ.ศ. 2561 รัฐบาลอย่างเป็นทางการไม่ได้ควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งถูกปกครองโดยกลุ่มกบฏ
5.1.1. ฝ่ายบริหาร

ประธานาธิบดีได้รับการเลือกตั้งโดยคะแนนเสียงจากประชาชนให้ดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 5 ปี (ตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2559 และมีการเสนอแก้ไขเป็น 7 ปีในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ปี 2566) และนายกรัฐมนตรีได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี ประธานาธิบดียังแต่งตั้งและเป็นประธานคณะรัฐมนตรี ซึ่งริเริ่มกฎหมายและดูแลการดำเนินงานของรัฐบาล
ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือ โฟสแต็ง-อาร์ก็องฌ์ ตัวเดรา ซึ่งเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2559 ต่อจากรัฐบาลชั่วคราวภายใต้การนำของกาทรีน ซ็องบา-ป็องซา และนายกรัฐมนตรีชั่วคราว อ็องเดร อึนซาปาเยเก
5.1.2. ฝ่ายนิติบัญญัติ
สมัชชาแห่งชาติ (Assemblée Nationaleภาษาฝรั่งเศส) เป็นระบบสภาเดียว มีสมาชิกรวม 140 คน ได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 5 ปี โดยใช้ระบบการเลือกตั้งสองรอบ (หรือแบบ runoff)
5.1.3. ฝ่ายตุลาการ
เช่นเดียวกับอดีตอาณานิคมของฝรั่งเศสหลายแห่ง ระบบกฎหมายของสาธารณรัฐแอฟริกากลางมีพื้นฐานมาจากกฎหมายฝรั่งเศส ศาลฎีกา หรือ Cour Suprêmeภาษาฝรั่งเศส ประกอบด้วยผู้พิพากษาที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี นอกจากนี้ยังมีศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งผู้พิพากษาได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานของระบบตุลาการมักเผชิญกับความท้าทายจากการขาดแคลนทรัพยากร การแทรกแซงทางการเมือง และความไม่มั่นคงในประเทศ
5.2. พรรคการเมืองและกลุ่มอิทธิพลทางการเมืองหลัก
สาธารณรัฐแอฟริกากลางมีระบบหลายพรรคการเมือง แต่การเมืองมักถูกครอบงำโดยบุคคลสำคัญและความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์มากกว่าอุดมการณ์ของพรรค พรรคการเมืองหลัก ๆ ได้แก่:
- ขบวนการหัวใจรวมชาติ (Mouvement Cœurs Unisภาษาฝรั่งเศส, MCU): พรรคของประธานาธิบดีคนปัจจุบัน โฟสแต็ง-อาร์ก็องฌ์ ตัวเดรา
- การรวมตัวของพรรคประชาธิปไตยแอฟริกากลาง (Rassemblement Démocratique Centrafricainภาษาฝรั่งเศส, RDC): ก่อตั้งโดยอดีตประธานาธิบดี อ็องเดร โกลิงบา
- ขบวนการปลดปล่อยประชาชนแอฟริกากลาง (Mouvement pour la Libération du Peuple Centrafricainภาษาฝรั่งเศส, MLPC): ก่อตั้งโดยอดีตประธานาธิบดี อ็องฌ์-เฟลิกซ์ ปาตาเซ
- สหภาพเพื่อการฟื้นฟูแอฟริกากลาง (Union pour le Renouveau Centrafricainภาษาฝรั่งเศส, URCA): นำโดยอดีตนายกรัฐมนตรี อานีเซ-ฌอร์ฌ ดอโลเกเล
นอกจากพรรคการเมืองแล้ว กลุ่มติดอาวุธต่าง ๆ ยังคงเป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมืองที่สำคัญในหลายพื้นที่ของประเทศ กลุ่มเหล่านี้รวมถึงอดีตกลุ่มเซเลกา (ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม) และกลุ่มอองตี-บาลากา (ส่วนใหญ่เป็นชาวคริสต์และผู้นับถือความเชื่อดั้งเดิม) แม้ว่าจะมีการลงนามข้อตกลงสันติภาพหลายฉบับ แต่กลุ่มย่อยจำนวนมากยังคงเคลื่อนไหวและควบคุมดินแดน สร้างความท้าทายอย่างต่อเนื่องต่ออำนาจรัฐและความพยายามในการสร้างเสถียรภาพ
5.3. สิทธิมนุษยชน

สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในสาธารณรัฐแอฟริกากลางยังคงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ตามรายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาปี พ.ศ. 2552 สิทธิมนุษยชนอยู่ในระดับต่ำ และมีความกังวลเกี่ยวกับการละเมิดโดยรัฐบาลหลายประการ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ อ้างว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ เช่น การสังหารนอกกระบวนการยุติธรรมโดยกองกำลังความมั่นคง การทรมาน การทุบตี และการข่มขืนผู้ต้องสงสัยและนักโทษ โดยผู้กระทำผิดมักไม่ต้องรับโทษ สภาพในเรือนจำและศูนย์กักกันก็เลวร้ายและเป็นอันตรายถึงชีวิต มีการจับกุมตามอำเภอใจ การควบคุมตัวก่อนการพิจารณาคดีที่ยาวนาน และการปฏิเสธการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม การจำกัดเสรีภาพในการเดินทาง การทุจริตของเจ้าหน้าที่ และการจำกัดสิทธิของคนงาน
รายงานของกระทรวงการต่างประเทศยังอ้างถึงความรุนแรงของมวลชนที่แพร่หลาย การขริบอวัยวะเพศหญิง การเลือกปฏิบัติต่อสตรีและชาวปิกมี การค้ามนุษย์ แรงงานบังคับ และการใช้แรงงานเด็ก เสรีภาพในการเดินทางถูกจำกัดในภาคเหนือของประเทศ "เนื่องจากการกระทำของกองกำลังความมั่นคงของรัฐ โจรติดอาวุธ และหน่วยงานติดอาวุธที่ไม่ใช่ของรัฐอื่น ๆ" และเนื่องจากการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลและกองกำลังต่อต้านรัฐบาล ทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องพลัดถิ่นภายในประเทศ
ความรุนแรงต่อเด็กและสตรีที่เกี่ยวข้องกับการกล่าวหาว่าเป็นแม่มดก็ถูกระบุว่าเป็นปัญหาร้ายแรงในประเทศเช่นกัน การล่าแม่มดเป็นความผิดทางอาญาภายใต้ประมวลกฎหมายอาญา
เสรีภาพในการพูดได้รับการกล่าวถึงใน[https://www.constituteproject.org/constitution/Central_African_Republic_2013?lang=en รัฐธรรมนูญ]ของประเทศ แต่มีเหตุการณ์ที่รัฐบาลข่มขู่สื่อมวลชน รายงานโดยดัชนีความยั่งยืนของสื่อของ คณะกรรมการวิจัยและแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ (IREX) ระบุว่า "ประเทศนี้บรรลุวัตถุประสงค์เพียงเล็กน้อย โดยมีส่วนของระบบกฎหมายและรัฐบาลที่ต่อต้านระบบสื่อเสรี"
เด็กหญิงประมาณ 68% แต่งงานก่อนอายุ 18 ปี และดัชนีการพัฒนามนุษย์ของสหประชาชาติจัดอันดับให้ประเทศนี้อยู่อันดับที่ 188 จาก 188 ประเทศที่สำรวจ สำนักงานกิจการแรงงานระหว่างประเทศยังได้กล่าวถึงประเทศนี้ในฉบับล่าสุดของ บัญชีรายชื่อสินค้าที่ผลิตโดยแรงงานเด็กหรือแรงงานบังคับ
สงครามกลางเมืองที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยิ่งทำให้สถานการณ์สิทธิมนุษยชนเลวร้ายลง กลุ่มติดอาวุธทุกฝ่ายถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ รวมถึงการสังหารพลเรือน การข่มขืน การทรมาน และการบังคับให้เด็กเป็นทหาร ประชาชนจำนวนมากต้องพลัดถิ่นและเผชิญกับความอดอยากและความรุนแรง ความพยายามในการนำผู้กระทำผิดมารับโทษเป็นไปได้ยากเนื่องจากระบบยุติธรรมที่อ่อนแอและการขาดเจตจำนงทางการเมือง
5.4. สถานการณ์ปัจจุบันและประเด็นท้าทาย
ณ ปัจจุบัน สาธารณรัฐแอฟริกากลางยังคงเผชิญกับสงครามกลางเมืองที่ซับซ้อนและยืดเยื้อ แม้จะมีการลงนามในข้อตกลงสันติภาพหลายฉบับ แต่ความรุนแรงยังคงปะทุขึ้นเป็นระยะ ๆ ในหลายพื้นที่ของประเทศ รัฐบาลกลางภายใต้การนำของประธานาธิบดี โฟสแต็ง-อาร์ก็องฌ์ ตัวเดรา พยายามที่จะขยายการควบคุมไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายจากกลุ่มติดอาวุธจำนวนมากที่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่
ความพยายามในการสร้างสันติภาพยังคงดำเนินต่อไป โดยได้รับการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงสหประชาชาติ (ผ่านภารกิจ MINUSCA) และสหภาพแอฟริกา อย่างไรก็ตาม กระบวนการปลดอาวุธ การปลดประจำการ และการกลับคืนสู่สังคม (DDR) ของอดีตนักรบเป็นไปอย่างเชื่องช้าและเต็มไปด้วยอุปสรรค การเจรจาทางการเมืองระหว่างรัฐบาลและกลุ่มติดอาวุธต่าง ๆ มีความคืบหน้าเป็นระยะ แต่ความไม่ไว้วางใจและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ
ประเด็นท้าทายหลักเพื่อความมั่นคงทางการเมืองและการพัฒนาเศรษฐกิจ ได้แก่:
- การฟื้นฟูความมั่นคงและอำนาจรัฐ: การยุติความรุนแรง การปลดอาวุธกลุ่มติดอาวุธ และการขยายอำนาจของรัฐไปยังทั่วประเทศยังคงเป็นภารกิจเร่งด่วน
- ความยุติธรรมและการปรองดอง: การจัดการกับปัญหาการไม่ต้องรับโทษสำหรับผู้ก่ออาชญากรรมร้ายแรง และการส่งเสริมกระบวนการปรองดองในระดับชาติและระดับท้องถิ่นเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน
- การฟื้นฟูเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐาน: เศรษฐกิจของประเทศได้รับผลกระทบอย่างหนักจากความขัดแย้ง การฟื้นฟูภาคการผลิตหลัก (เช่น เกษตรกรรม เหมืองแร่) และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น (เช่น ถนน พลังงาน) เป็นสิ่งสำคัญ
- วิกฤตด้านมนุษยธรรม: ประชาชนจำนวนมากยังคงต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม รวมถึงอาหาร ที่พักพิง และการดูแลสุขภาพ การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ
- การปฏิรูปภาคส่วนความมั่นคง: การสร้างกองทัพและตำรวจที่เป็นมืออาชีพ มีความรับผิดชอบ และเป็นตัวแทนของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสร้างความไว้วางใจและความมั่นคงในระยะยาว
- การทุจริตและการบริหารจัดการที่ดี: การต่อสู้กับการทุจริตและการส่งเสริมธรรมาภิบาลเป็นสิ่งสำคัญเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในสถาบันของรัฐและดึงดูดการลงทุน
สถานการณ์ในสาธารณรัฐแอฟริกากลางยังคงเปราะบาง และอนาคตของประเทศขึ้นอยู่กับความสามารถของทุกฝ่ายในการเอาชนะความท้าทายเหล่านี้ และทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสังคมที่สงบสุข เป็นธรรม และเจริญรุ่งเรืองสำหรับประชาชนทุกคน
6. เขตการปกครอง

สาธารณรัฐแอฟริกากลางแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 20 จังหวัด (préfecturesภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งสองในนั้นเป็นจังหวัดเศรษฐกิจ (préfectures économiquesภาษาฝรั่งเศส) และหนึ่งเทศบาลอิสระ (กรุงบังกี) จังหวัดต่าง ๆ แบ่งย่อยออกเป็น 84 อนุจังหวัด (sous-préfecturesภาษาฝรั่งเศส) การแบ่งเขตการปกครองนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2564
รายชื่อจังหวัด (préfectures) ประกอบด้วย:
- จังหวัดบามางกี-บังโกราน (Bamingui-Bangoran)
- จังหวัดบังกี (Bangui) - เทศบาลอิสระ
- จังหวัดบัส-กอตโต (Basse-Kotto)
- จังหวัดโอต-กอตโต (Haute-Kotto)
- จังหวัดโอต-อึมโบมู (Haut-Mbomou)
- จังหวัดเกโม (Kémo)
- จังหวัดลีม-ป็องเด (Lim-Pendé)
- จังหวัดลอบาเย (Lobaye)
- จังหวัดม็องเบเร (Mambéré)
- จังหวัดม็องเบเร-กาเดอี (Mambéré-Kadéï)
- จังหวัดอึมโบมู (Mbomou)
- จังหวัดนานา-มามเบเร (Nana-Mambéré)
- จังหวัดอ็อมเบลลา-อึมโปโก (Ombella-M'Poko)
- จังหวัดอัวกา (Ouaka)
- จังหวัดอัวม์ (Ouham)
- จังหวัดอัวม์-ฟาฟา (Ouham-Fafa)
- จังหวัดอัวม์-ป็องเด (Ouham-Pendé)
- จังหวัดวากากา (Vakaga)
จังหวัดเศรษฐกิจ (préfectures économiques) สองแห่งคือ:
- จังหวัดนานา-เกรบีซี (Nana-Grébizi)
- จังหวัดซ็องกา-อึมบาเอเร (Sangha-Mbaéré)
หน่วยการปกครองแต่ละระดับมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่แตกต่างกันในการบริหารจัดการพื้นที่และให้บริการแก่ประชาชน แต่ในทางปฏิบัติ อำนาจและการทำงานของหน่วยงานท้องถิ่นมักถูกจำกัดด้วยทรัพยากรและความไม่มั่นคงในหลายพื้นที่
6.1. เมืองสำคัญ
- บังกี (Bangui): เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอูบองกี มีประชากรประมาณ 800,000 คน (ประมาณการ) เป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของประเทศ มีท่าเรือแม่น้ำที่สำคัญสำหรับการขนส่งสินค้า แม้ว่าเมืองจะเผชิญกับความไม่สงบหลายครั้ง แต่ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของกิจกรรมส่วนใหญ่ในประเทศ
- บิมโบ (Bimbo): ตั้งอยู่ใกล้กับกรุงบังกีในจังหวัดอ็อมเบลลา-อึมโปโก เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศและเป็นส่วนหนึ่งของเขตมหานครบังกี มีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางที่อยู่อาศัยและพาณิชยกรรม
- แบร์เบราตี (Berbérati): เป็นเมืองหลักของจังหวัดม็องเบเร-กาเดอีทางตะวันตกของประเทศ เป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสินค้าเกษตรและเหมืองแร่เพชรในภูมิภาค
- การ์โน (Carnot): ตั้งอยู่ในจังหวัดม็องเบเร-กาเดอีเช่นกัน เป็นที่รู้จักจากกิจกรรมเหมืองเพชร
- บัมบารี (Bambari): เป็นเมืองหลักของจังหวัดอัวกา ตั้งอยู่ใจกลางประเทศ มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์และเป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาค
- บูอาร์ (Bouar): เป็นเมืองหลักของจังหวัดนานา-มามเบเรทางตะวันตกของประเทศ เป็นศูนย์กลางการเกษตรและปศุสัตว์ และเป็นที่รู้จักจากแหล่งหินใหญ่บูอาร์ (Bouar Megaliths)
- บอซซังกัว (Bossangoa): เป็นเมืองหลักของจังหวัดอัวม์ทางตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นศูนย์กลางการผลิตฝ้าย
- เบรีย (Bria): เป็นเมืองหลักของจังหวัดโอต-กอตโตทางตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นศูนย์กลางการทำเหมืองเพชรและทองคำ
- บังกาสซู (Bangassou): เป็นเมืองหลักของจังหวัดอึมโบมูทางตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเอ็มโบมู เป็นศูนย์กลางการเกษตรและมีประวัติศาสตร์ยาวนาน
- นอลา (Nola): เป็นเมืองหลักของจังหวัดเศรษฐกิจซ็องกา-อึมบาเอเรทางตะวันตกเฉียงใต้ เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมไม้และอยู่ใกล้กับอุทยานแห่งชาติซังกา-อึงโดกี
เมืองเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจ สังคม และการบริหารของแต่ละภูมิภาค แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งและความไม่มั่นคงเช่นกัน
7. การทหาร
กองทัพสาธารณรัฐแอฟริกากลาง (Forces armées centrafricainesภาษาฝรั่งเศส, FACA) ประกอบด้วยกองกำลังภาคพื้นดิน (รวมถึงกองกำลังทางอากาศขนาดเล็ก) สารวัตรทหาร และตำรวจแห่งชาติ มีการเกณฑ์ทหารแบบคัดเลือก โดยมีระยะเวลาประจำการ 2 ปี อย่างไรก็ตาม กองทัพ FACA เผชิญกับความท้าทายอย่างมากในด้านกำลังพล ยุทโธปกรณ์ การฝึกฝน และงบประมาณ ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองที่ยาวนานและการรัฐประหารหลายครั้งส่งผลให้โครงสร้างกองทัพอ่อนแอลงและขาดความเป็นเอกภาพ
นโยบายป้องกันประเทศมุ่งเน้นไปที่การรักษาอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความมั่นคงภายใน แต่ในทางปฏิบัติ กองทัพมักไม่สามารถควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ห่างไกลที่กลุ่มติดอาวุธต่าง ๆ มีอิทธิพล
กองกำลังรักษาสันติภาพนานาชาติมีบทบาทสำคัญในการรักษาความมั่นคงในสาธารณรัฐแอฟริกากลางมาเป็นระยะเวลานาน ปัจจุบัน ภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง (MINUSCA) เป็นกองกำลังหลักที่ปฏิบัติหน้าที่สนับสนุนกระบวนการสันติภาพ การคุ้มครองพลเรือน การปลดอาวุธกลุ่มติดอาวุธ และการปฏิรูปภาคส่วนความมั่นคง นอกจาก MINUSCA แล้ว ยังมีกองกำลังจากประเทศอื่น ๆ เช่น รัสเซีย (ผ่านกลุ่มวากเนอร์) และรวันดา ที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลในการต่อสู้กับกลุ่มกบฏ ซึ่งการมีอยู่ของกองกำลังเหล่านี้ก่อให้เกิดทั้งการสนับสนุนและข้อถกเถียงในแง่ของอิทธิพลและผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชน
ความพยายามในการปฏิรูปกองทัพ FACA ให้เป็นกองกำลังที่เป็นมืออาชีพและเป็นตัวแทนของทุกกลุ่มชาติพันธุ์เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างสันติภาพ แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก
8. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
นโยบายต่างประเทศพื้นฐานของสาธารณรัฐแอฟริกากลางมุ่งเน้นไปที่การแสวงหาความช่วยเหลือจากประชาคมระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และมนุษยธรรมที่ยืดเยื้อ ประเทศมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับอดีตเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้กระชับความสัมพันธ์กับรัสเซียอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน องค์การระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติและสหภาพแอฟริกา และประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ ความช่วยเหลือจากต่างประเทศยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการอยู่รอดของรัฐและการบรรเทาทุกข์ของประชาชน
8.1. ความสัมพันธ์กับประเทศสำคัญ
สาธารณรัฐแอฟริกากลางมีความสัมพันธ์ที่หลากหลายกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยความสัมพันธ์กับบางประเทศมีความสำคัญเป็นพิเศษต่อสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศ
8.1.1. ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสเป็นอดีตเจ้าอาณานิคมของสาธารณรัฐแอฟริกากลาง และยังคงมีอิทธิพลสำคัญในประเทศมาโดยตลอด ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมีทั้งด้านบวกและลบ ฝรั่งเศสได้ให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ การทหาร และมนุษยธรรมแก่สาธารณรัฐแอฟริกากลางหลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตการณ์ทางการเมือง ฝรั่งเศสได้เข้าแทรกแซงทางทหารหลายครั้ง เช่น ในปี พ.ศ. 2522 เพื่อโค่นล้มจักรพรรดิบอกาซา และในปี พ.ศ. 2556 ในปฏิบัติการซ็องการีส (Operation Sangaris) เพื่อพยายามยุติความรุนแรงระหว่างกลุ่มเซเลกาและอองตี-บาลาคา
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน โดยบางฝ่ายมองว่าฝรั่งเศสยังคงมีบทบาทแบบเจ้าอาณานิคมและแทรกแซงกิจการภายในของประเทศเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อิทธิพลของฝรั่งเศสในสาธารณรัฐแอฟริกากลางดูเหมือนจะลดลงบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัสเซียเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
8.1.2. ความสัมพันธ์กับรัสเซีย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัสเซียได้ขยายอิทธิพลทางการเมืองและการทหารในสาธารณรัฐแอฟริกากลางอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 รัสเซียได้ให้การสนับสนุนรัฐบาลของประธานาธิบดีโฟสแต็ง-อาร์ก็องฌ์ ตัวเดรา ในด้านการทหาร รวมถึงการฝึกอบรมกองทัพ FACA และการจัดหาอาวุธ ที่ปรึกษาทางทหารรัสเซียและทหารรับจ้างจากกลุ่มวากเนอร์มีบทบาทสำคัญในการรักษาความปลอดภัยให้กับประธานาธิบดีและปฏิบัติการต่อต้านกลุ่มกบฏ
การเข้ามาของรัสเซียได้รับการต้อนรับจากรัฐบาลสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ซึ่งมองว่าเป็นทางเลือกในการลดการพึ่งพาฝรั่งเศสและพันธมิตรตะวันตกอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของกลุ่มวากเนอร์ได้ก่อให้เกิดความกังวลอย่างมากในประชาคมระหว่างประเทศ เนื่องจากมีรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางโดยกลุ่มวากเนอร์ รวมถึงการสังหารพลเรือน การทรมาน และการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ (เช่น เพชรและทองคำ) อย่างผิดกฎหมาย สหประชาชาติและองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งได้เรียกร้องให้มีการสอบสวนข้อกล่าวหาเหล่านี้
ปฏิกิริยาของประชาคมระหว่างประเทศต่ออิทธิพลของรัสเซียในสาธารณรัฐแอฟริกากลางนั้นหลากหลาย ประเทศตะวันตกหลายประเทศแสดงความกังวลเกี่ยวกับบทบาทของกลุ่มวากเนอร์และผลกระทบต่อเสถียรภาพในระยะยาว ขณะที่บางประเทศในแอฟริกามองว่าเป็นการแสดงออกถึงอธิปไตยของสาธารณรัฐแอฟริกากลางในการเลือกพันธมิตร สถานการณ์นี้ยังคงซับซ้อนและเป็นที่จับตามองอย่างใกล้ชิด
8.1.3. ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน
สาธารณรัฐแอฟริกากลางมีพรมแดนติดกับหลายประเทศ และความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้มีความสำคัญต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจของประเทศ
- ชาด: มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและยาวนาน ชาดเคยมีบทบาทในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง และเคยส่งกองกำลังเข้ามาช่วยรักษาความสงบเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อกล่าวหาว่าชาดแทรกแซงกิจการภายในและสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธบางกลุ่ม ปัญหาผู้ลี้ภัยตามแนวชายแดนเป็นประเด็นที่น่ากังวล
- ซูดานและซูดานใต้: พรมแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันออกติดกับซูดานและซูดานใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่มีเสถียรภาพและมีกลุ่มติดอาวุธเคลื่อนไหว ปัญหาการลักลอบค้าอาวุธ การลักลอบล่าสัตว์ และการเคลื่อนย้ายของกลุ่มติดอาวุธข้ามพรมแดนเป็นปัญหาที่สำคัญ ความขัดแย้งในซูดานและซูดานใต้ยังส่งผลให้มีผู้ลี้ภัยทะลักเข้ามาในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง
- สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกและสาธารณรัฐคองโก: พรมแดนทางใต้ติดกับทั้งสองประเทศนี้ แม่น้ำอูบองกีเป็นพรมแดนธรรมชาติที่สำคัญและเป็นเส้นทางการค้า มีความร่วมมือในระดับภูมิภาค แต่ก็มีความท้าทายจากปัญหาความมั่นคงตามแนวชายแดนและปัญหาผู้ลี้ภัยเช่นกัน
- แคเมอรูน: เป็นเส้นทางผ่านที่สำคัญสำหรับการค้าของสาธารณรัฐแอฟริกากลางไปยังทะเล เนื่องจากเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล สินค้าส่วนใหญ่ขนส่งผ่านท่าเรือดูอาลาในแคเมอรูน ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ปัญหาชายแดนและการจัดการผู้ลี้ภัยเป็นประเด็นหลักในความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านแทบทุกประเทศ ความไม่มั่นคงในประเทศเพื่อนบ้านมักส่งผลกระทบโดยตรงต่อสาธารณรัฐแอฟริกากลาง และในทางกลับกัน
8.1.4. ความสัมพันธ์กับประเทศอื่น ๆ
- จีน: จีนมีความสนใจทางเศรษฐกิจในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคทรัพยากรธรรมชาติ มีการลงทุนของจีนในด้านเหมืองแร่และโครงสร้างพื้นฐานบางส่วน จีนมักดำเนินนโยบายไม่แทรกแซงกิจการภายในและให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนา
- สหรัฐอเมริกา: สหรัฐอเมริกาให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการพัฒนาแก่สาธารณรัฐแอฟริกากลาง และสนับสนุนความพยายามในการสร้างสันติภาพและประชาธิปไตย สหรัฐฯ แสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนและอิทธิพลของกลุ่มวากเนอร์
- สหภาพยุโรป (EU): สหภาพยุโรปเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือรายใหญ่แก่สาธารณรัฐแอฟริกากลาง ทั้งด้านมนุษยธรรม การพัฒนา และการปฏิรูปภาคส่วนความมั่นคง EU ได้สนับสนุนภารกิจฝึกอบรมกองทัพ FACA และให้การสนับสนุนทางการเงินแก่กระบวนการสันติภาพ
8.2. ความสัมพันธ์กับองค์การระหว่างประเทศและความช่วยเหลือระหว่างประเทศ
สาธารณรัฐแอฟริกากลางเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศที่สำคัญหลายแห่ง และพึ่งพาความช่วยเหลือจากประชาคมระหว่างประเทศอย่างมากในการแก้ไขวิกฤตการณ์ต่าง ๆ
- สหประชาชาติ (UN): สหประชาชาติมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในสาธารณรัฐแอฟริกากลางผ่านภารกิจรักษาสันติภาพ MINUSCA (United Nations Multidimensional Integrated Stabilization Mission in the Central African Republic) ซึ่งมีหน้าที่คุ้มครองพลเรือน สนับสนุนกระบวนการทางการเมือง การปลดอาวุธ การเลือกตั้ง และการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ หน่วยงานต่าง ๆ ของสหประชาชาติ เช่น โครงการอาหารโลก (WFP), องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF), และสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ยังให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการพัฒนาอย่างกว้างขวาง
- สหภาพแอฟริกา (AU): สหภาพแอฟริกามีบทบาทในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งทางการเมืองและการส่งเสริมสันติภาพในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง AU ได้ส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้าไปในประเทศก่อนที่ MINUSCA จะเข้ามาแทนที่ และยังคงมีส่วนร่วมในความพยายามทางการทูตและการสนับสนุนการเลือกตั้ง
- ประชาคมเศรษฐกิจรัฐแอฟริกากลาง (ECCAS): ในฐานะสมาชิกของ ECCAS สาธารณรัฐแอฟริกากลางมีส่วนร่วมในความร่วมมือระดับภูมิภาคในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง ECCAS มีบทบาทในการไกล่เกลี่ยวิกฤตการณ์ทางการเมืองในประเทศเช่นกัน
- องค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสภาษาฝรั่งเศส (OIF): ให้การสนับสนุนด้านวัฒนธรรม การศึกษา และการส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน
- ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF): ให้ความช่วยเหลือทางการเงินและทางเทคนิคเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ การปฏิรูปการคลัง และการลดความยากจน แม้ว่าโครงการต่าง ๆ มักหยุดชะงักเนื่องจากความไม่มั่นคง
ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการพัฒนาจากประชาคมระหว่างประเทศมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการอยู่รอดของประชาชนจำนวนมากในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในการส่งมอบความช่วยเหลือ การทุจริต และความไม่มั่นคงที่ต่อเนื่องยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ
8.3. ปัญหาด้านมนุษยธรรมและการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศ
สาธารณรัฐแอฟริกากลางเผชิญกับวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่รุนแรงและยืดเยื้อ อันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมืองและสงครามกลางเมืองที่ต่อเนื่องมานานหลายทศวรรษ สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจำนวนมาก
- การพลัดถิ่น: ความขัดแย้งได้บังคับให้ผู้คนหลายแสนคนต้องละทิ้งบ้านเรือน กลายเป็นผู้พลัดถิ่นในประเทศ (IDPs) และผู้ลี้ภัยในประเทศเพื่อนบ้าน ผู้พลัดถิ่นเหล่านี้มักอาศัยอยู่ในค่ายพักพิงชั่วคราวหรือชุมชนแออัด โดยขาดแคลนปัจจัยพื้นฐาน เช่น อาหาร น้ำสะอาด ที่พักพิง และการดูแลสุขภาพ
- วิกฤตอาหาร: การผลิตทางการเกษตรหยุดชะงักในหลายพื้นที่เนื่องจากความไม่มั่นคง ทำให้เกิดภาวะการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงและภาวะทุพโภชนาการ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและสตรีมีครรภ์ ประชาชนจำนวนมากต้องพึ่งพาความช่วยเหลือด้านอาหารจากองค์กรระหว่างประเทศ
- ปัญหาสุขภาพ: ระบบสาธารณสุขของประเทศอ่อนแออย่างมากและได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง การเข้าถึงบริการทางการแพทย์เป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท โรคระบาด เช่น มาลาเรีย อหิวาตกโรค และโรคหัด ยังคงเป็นปัญหาสำคัญ นอกจากนี้ การบาดเจ็บจากความรุนแรงและความเครียดทางจิตใจก็เป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญเช่นกัน
- การคุ้มครองพลเรือน: พลเรือนมักตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีโดยกลุ่มติดอาวุธ มีรายงานการสังหาร การข่มขืน การลักพาตัว และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ อย่างกว้างขวาง เด็ก ๆ ถูกบังคับให้เป็นทหาร และผู้หญิงเผชิญกับความรุนแรงทางเพศในระดับสูง
ประชาคมระหว่างประเทศได้ให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรเทาทุกข์แก่ผู้ได้รับผลกระทบ องค์กรของสหประชาชาติ (เช่น WFP, UNICEF, UNHCR, WHO) คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) และองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) จำนวนมากดำเนินโครงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ความช่วยเหลือเหล่านี้รวมถึงการแจกจ่ายอาหารและสิ่งของบรรเทาทุกข์ การให้บริการทางการแพทย์ การจัดหาน้ำสะอาดและสุขอนามัย การให้การศึกษาฉุกเฉิน และการคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง
อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือมักเป็นเรื่องยากและอันตรายเนื่องจากความไม่มั่นคงและการโจมตีเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ งบประมาณสำหรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมก็มักจะไม่เพียงพอต่อความต้องการที่มหาศาล ความท้าทายในระยะยาวยังคงเป็นการแก้ไขต้นตอของความขัดแย้งและสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติและฟื้นฟูประเทศได้
9. เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของสาธารณรัฐแอฟริกากลางเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่พัฒนาน้อยที่สุดในโลก แม้ว่าประเทศจะมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เช่น เพชร ทองคำ ไม้ และยูเรเนียม แต่ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองที่ยาวนาน การทุจริต โครงสร้างพื้นฐานที่ย่ำแย่ และการขาดการลงทุน ได้ขัดขวางการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ประชากรส่วนใหญ่ยังคงพึ่งพาเกษตรกรรมเพื่อการยังชีพ
9.1. โครงสร้างเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมหลัก


ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของสาธารณรัฐแอฟริกากลางอยู่ในระดับต่ำมาก และ GDP ต่อหัวก็เป็นหนึ่งในกลุ่มต่ำสุดของโลก เศรษฐกิจพึ่งพาภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก ซึ่งมีสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของ GDP และมีการจ้างงานประชากรส่วนใหญ่ ภาคอุตสาหกรรมมีขนาดเล็กและส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปทรัพยากรธรรมชาติ ภาคบริการก็ยังไม่พัฒนามากนัก
ภาคอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่:
- เกษตรกรรมและป่าไม้: เป็นภาคส่วนที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจ
- เหมืองแร่: เพชรและทองคำเป็นทรัพยากรส่งออกที่สำคัญ
- ภาคบริการ: ส่วนใหญ่เป็นการค้าปลีกขนาดเล็กและการบริการภาครัฐ
9.1.1. เกษตรกรรมและป่าไม้
เกษตรกรรมในสาธารณรัฐแอฟริกากลางส่วนใหญ่เป็นการเกษตรเพื่อยังชีพ พืชผลทางการเกษตรที่สำคัญ ได้แก่:
- มันสำปะหลัง: เป็นอาหารหลักของประชากรส่วนใหญ่
- ถั่วลิสง
- ข้าวโพด
- ข้าวฟ่าง
- ลูกเดือย
- งา
- กล้าย (plantain)
พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ฝ้าย และกาแฟ แม้ว่าการผลิตจะได้รับผลกระทบจากความไม่มั่นคงและปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทรัพยากรป่าไม้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยไม้เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม การตัดไม้ทำลายป่าและการลักลอบตัดไม้เป็นปัญหาที่รุนแรง ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของทรัพยากร ปัญหาด้านสิทธิแรงงานในภาคเกษตรกรรมและป่าไม้ก็เป็นที่น่ากังวลเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้แรงงานเด็กและการบังคับใช้แรงงาน
9.1.2. เหมืองแร่ (เพชร ฯลฯ)
สาธารณรัฐแอฟริกากลางมีทรัพยากรแร่ธาตุที่สำคัญหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง:
- เพชร: เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญที่สุดของประเทศ คิดเป็นสัดส่วนสำคัญของรายได้จากการส่งออก อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมเพชรได้รับผลกระทบจากปัญหา "เพชรสีเลือด" (conflict diamonds) ซึ่งเป็นเพชรที่มาจากพื้นที่ขัดแย้งและนำรายได้ไปสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธ ทำให้มีการระงับการส่งออกเพชรจากบางพื้นที่ภายใต้กระบวนการคิมเบอร์ลี การลักลอบค้าเพชรยังคงเป็นปัญหาใหญ่
- ทองคำ: มีการทำเหมืองทองคำทั้งแบบขนาดเล็กและขนาดใหญ่ แต่ส่วนใหญ่เป็นการทำเหมืองแบบพื้นบ้านและมักไม่มีการควบคุมที่ดี
- ยูเรเนียม: มีปริมาณสำรองยูเรเนียม แต่ยังไม่มีการพัฒนาเพื่อการผลิตในเชิงพาณิชย์อย่างเต็มที่
อุตสาหกรรมเหมืองแร่เผชิญกับความท้าทายหลายประการ รวมถึงการขาดการลงทุน เทคโนโลยีที่ล้าสมัย การลักลอบทำเหมืองและการค้า และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม การกระจายผลประโยชน์จากทรัพยากรแร่ธาตุอย่างเป็นธรรมยังคงเป็นประเด็นสำคัญ
9.2. สถานการณ์เศรษฐกิจและประเด็นท้าทาย
สถานการณ์เศรษฐกิจของสาธารณรัฐแอฟริกากลางยังคงเปราะบางและเผชิญกับความท้าทายมากมาย:
- GDP ต่อหัวต่ำและอัตราความยากจนสูง: ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในภาวะความยากจน ขาดแคลนอาหาร และไม่สามารถเข้าถึงบริการพื้นฐานได้
- ปัญหาหนี้ต่างชาติ: ประเทศมีภาระหนี้ต่างชาติจำนวนมาก ซึ่งจำกัดความสามารถในการลงทุนเพื่อการพัฒนา
- การทุจริตคอร์รัปชัน: การทุจริตเป็นปัญหาที่แพร่หลายในทุกระดับ และบั่นทอนความพยายามในการพัฒนาเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน
- ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองและสงครามกลางเมือง: เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ทำลายโครงสร้างพื้นฐาน หยุดชะงักการผลิตและการค้า และทำให้เกิดวิกฤตด้านมนุษยธรรม
- โครงสร้างพื้นฐานที่ย่ำแย่: การคมนาคมขนส่ง การสื่อสาร และพลังงานยังไม่ได้รับการพัฒนา ทำให้ต้นทุนการทำธุรกิจสูงและเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
- การพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ: เศรษฐกิจพึ่งพาสินค้าโภคภัณฑ์เพียงไม่กี่ชนิด (เช่น เพชร ไม้) ทำให้มีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาในตลาดโลก
- การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ: ระบบการศึกษาที่อ่อนแอทำให้ขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ประเด็นท้าทายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ได้แก่ การสร้างสันติภาพและเสถียรภาพทางการเมือง การปฏิรูประบบธรรมาภิบาลและต่อต้านการทุจริต การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการศึกษา การกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ และการสร้างความมั่นใจว่าผลประโยชน์จากการพัฒนาจะกระจายไปสู่ประชาชนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน
9.3. โครงสร้างพื้นฐาน
โครงสร้างพื้นฐานในสาธารณรัฐแอฟริกากลางยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควรและได้รับความเสียหายอย่างหนักจากความขัดแย้งที่ยาวนาน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
9.3.1. การคมนาคมและการสื่อสาร
- การคมนาคมทางถนน: เครือข่ายถนนส่วนใหญ่ยังเป็นถนนดินและไม่ได้รับการบำรุงรักษาที่ดี ทำให้การเดินทางและขนส่งสินค้าเป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ถนนที่เชื่อมต่อเมืองหลวงบังกีกับเมืองสำคัญอื่น ๆ และประเทศเพื่อนบ้านมีความสำคัญต่อการค้า แต่ก็มักอยู่ในสภาพทรุดโทรม
- การขนส่งทางแม่น้ำ: แม่น้ำอูบองกีเป็นเส้นทางน้ำที่สำคัญสำหรับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการเชื่อมต่อไปยังสาธารณรัฐคองโกและสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ท่าเรือที่บังกีเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำ แต่ศักยภาพยังถูกจำกัดด้วยปัจจัยหลายประการ
- การขนส่งทางอากาศ: ท่าอากาศยานนานาชาติบังกี เอ็มโปโกเป็นท่าอากาศยานนานาชาติเพียงแห่งเดียวของประเทศ ให้บริการเที่ยวบินไปยังปลายทางในภูมิภาคและบางแห่งในยุโรป แต่จำนวนเที่ยวบินและเส้นทางยังจำกัด
- การสื่อสาร: การเข้าถึงบริการโทรศัพท์พื้นฐานและอินเทอร์เน็ตยังคงจำกัดอยู่ในเขตเมืองเป็นหลัก โทรศัพท์มือถือมีการใช้งานแพร่หลายมากขึ้น แต่เครือข่ายยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศและคุณภาพสัญญาณยังไม่สม่ำเสมอ Socatel เป็นผู้ให้บริการหลักด้านอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ
9.3.2. พลังงาน
สาธารณรัฐแอฟริกากลางพึ่งพาไฟฟ้าพลังน้ำเป็นหลัก เนื่องจากมีทรัพยากรอื่น ๆ ที่มีต้นทุนต่ำในการผลิตไฟฟ้าน้อย การเข้าถึงไฟฟ้ามีจำกัดมาก โดยประชากรเพียง 15.6% เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้ แบ่งเป็น 34.6% ในเขตเมือง และเพียง 1.5% ในเขตชนบท
- แหล่งพลังงาน: แหล่งพลังงานหลักคือพลังงานน้ำจากเขื่อน เช่น เขื่อนโบอาลี นอกจากนี้ยังมีการใช้ไม้ฟืนและถ่านไม้เป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือนอย่างกว้างขวาง ซึ่งนำไปสู่ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า
- การผลิตและจัดหาพลังงาน: การผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ และระบบสายส่งไฟฟ้ายังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้เกิดปัญหาไฟฟ้าดับบ่อยครั้งในเขตเมือง
- การเข้าถึงพลังงาน: ประชากรส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ยังไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต
ความพยายามในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ต้องเผชิญกับความท้าทายจากความไม่มั่นคง การขาดแคลนเงินทุน และการทุจริต การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานจึงเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญเพื่อการฟื้นฟูประเทศ
10. สังคม
สังคมของสาธารณรัฐแอฟริกากลางได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากความขัดแย้งที่ยาวนาน ความยากจนที่แพร่หลาย และการเข้าถึงบริการพื้นฐานที่จำกัด ความไม่มั่นคงส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และปัญหาทางสังคมต่าง ๆ เช่น ความอดอยาก และการขาดโอกาสทางการศึกษาและสาธารณสุขยังคงเป็นความท้าทายสำคัญ ภาคประชาสังคมมีบทบาทในการบรรเทาทุกข์และเรียกร้องสิทธิ แต่ก็เผชิญกับข้อจำกัดมากมาย
10.1. ความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงสาธารณะ
สถานการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยและความมั่นคงสาธารณะในสาธารณรัฐแอฟริกากลางยังคงเปราะบางอย่างยิ่ง อันเนื่องมาจากสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อและกิจกรรมของกลุ่มติดอาวุธจำนวนมากที่เคลื่อนไหวอยู่ในหลายพื้นที่ของประเทศ ความรุนแรง การปล้นสะดม การลักพาตัว และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ เป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลจากเมืองหลวง
รัฐบาลพยายามที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยและขยายอำนาจรัฐไปยังทั่วประเทศ แต่กองกำลังความมั่นคงของรัฐ (FACA) ยังคงมีกำลังพลและทรัพยากรที่จำกัด และมักไม่สามารถรับมือกับกลุ่มติดอาวุธได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประชาคมระหว่างประเทศมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนความพยายามในการรักษาความสงบเรียบร้อย ภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง (MINUSCA) เป็นกำลังหลักในการคุ้มครองพลเรือน สนับสนุนกระบวนการทางการเมือง และช่วยฟื้นฟูเสถียรภาพ นอกจากนี้ บางประเทศยังให้การสนับสนุนทางทหารแก่รัฐบาลโดยตรง เช่น รัสเซีย (ผ่านกลุ่มวากเนอร์) และรวันดา ซึ่งการมีส่วนร่วมเหล่านี้ก็มีทั้งผลดีและผลเสียที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนและอธิปไตย
การสร้างความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงที่ยั่งยืนยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุดของสาธารณรัฐแอฟริกากลาง และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภายในประเทศและประชาคมระหว่างประเทศ
10.2. ปัญหาความอดอยากและความยากจน
ปัญหาการขาดแคลนอาหารเรื้อรัง ภาวะทุพโภชนาการ และอัตราความยากจนที่สูงเป็นปัญหาที่รุนแรงและแพร่หลายในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ความขัดแย้งที่ยาวนานได้ทำลายภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นแหล่งอาหารและรายได้หลักของประชากรส่วนใหญ่ ทำให้การผลิตอาหารลดลงและราคาอาหารสูงขึ้น ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้พลัดถิ่นในประเทศ เด็ก สตรีมีครรภ์ และผู้สูงอายุ ต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหารอย่างรุนแรง
ภาวะทุพโภชนาการในเด็กเป็นปัญหาที่น่ากังวลเป็นพิเศษ ซึ่งส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางร่างกายและสติปัญญาในระยะยาว และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยและการเสียชีวิต
ความพยายามในการรับมือกับปัญหานี้มาจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ องค์กรบรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศ เช่น โครงการอาหารโลก (WFP) และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ได้ให้ความช่วยเหลือด้านอาหารและโภชนาการแก่กลุ่มเปราะบาง รัฐบาลเองก็มีความพยายามในการส่งเสริมการเกษตรและการพัฒนาชนบท แต่ก็เผชิญกับข้อจำกัดด้านงบประมาณและความไม่มั่นคง
การแก้ไขปัญหาความอดอยากและความยากจนในสาธารณรัฐแอฟริกากลางต้องอาศัยแนวทางที่ครอบคลุม ซึ่งรวมถึงการสร้างสันติภาพและเสถียรภาพ การฟื้นฟูภาคเกษตรกรรม การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการศึกษาและสาธารณสุข และการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่เปราะบางที่สุด
11. ประชากรและกลุ่มชาติพันธุ์
สาธารณรัฐแอฟริกากลางมีประชากรที่หลากหลาย ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 80 กลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มมีภาษาและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ความหลากหลายนี้เป็นทั้งจุดแข็งและบางครั้งก็เป็นแหล่งที่มาของความตึงเครียดทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ตัวชี้วัดทางประชากรศาสตร์ของประเทศสะท้อนถึงความท้าทายที่สำคัญด้านสุขภาพ การศึกษา และการพัฒนา
11.1. องค์ประกอบและสถิติประชากร

ประชากรของสาธารณรัฐแอฟริกากลางเพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าตั้งแต่ได้รับเอกราช ในปี พ.ศ. 2503 มีประชากร 1,232,000 คน; จากการประมาณการของสหประชาชาติในปี พ.ศ. 2567 มีประชากรประมาณ 5,357,744 คน
- อัตราการเติบโตของประชากร: อยู่ในระดับค่อนข้างสูง แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากอัตราการเสียชีวิตที่สูงและอัตราการเกิดที่ลดลงบ้างในบางช่วงเนื่องจากความขัดแย้ง
- อายุขัยเฉลี่ย: อยู่ในระดับต่ำมาก ประมาณ 45-48 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มต่ำสุดของโลก สะท้อนถึงปัญหาสาธารณสุขที่รุนแรงและความไม่มั่นคง
- อัตราการกลายเป็นเมือง: ประชากรมากกว่า 55% อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท แต่มีแนวโน้มการอพยพเข้าสู่เมืองหลวงบังกีและเมืองใหญ่อื่น ๆ เพื่อหางานและหนีภัยความไม่สงบ
- โครงสร้างประชากรตามเพศและอายุ: ประชากรส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว โดยมีสัดส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีสูงมาก ซึ่งสร้างภาระต่อระบบการศึกษาและสาธารณสุข และเป็นความท้าทายในการสร้างงานในอนาคต สัดส่วนเพศชายและหญิงค่อนข้างใกล้เคียงกัน
- อัตราการเจริญพันธุ์รวม: ในปี พ.ศ. 2557 อยู่ที่ประมาณ 4.46 คนต่อสตรีหนึ่งคน
สหประชาชาติประเมินว่าประมาณ 4% ของประชากรที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 49 ปี ติดเชื้อเอชไอวี มีเพียง 3% ของประเทศเท่านั้นที่มีการบำบัดด้วยยาต้านไวรัส เมื่อเทียบกับการครอบคลุม 17% ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างชาดและสาธารณรัฐคองโก
11.2. กลุ่มชาติพันธุ์
สาธารณรัฐแอฟริกากลางประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 80 กลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มมีภาษาและวัฒนธรรมของตนเอง กลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด ได้แก่
- ชาวบายา (Gbaya หรือ Baya): เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็นประมาณ 28.8% ของประชากร (ข้อมูลปี พ.ศ. 2546) อาศัยอยู่ทางตะวันตกและตอนกลางของประเทศ
- ชาวบันดา (Banda): เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่อันดับสอง คิดเป็นประมาณ 22.9% ของประชากร (ข้อมูลปี พ.ศ. 2546) อาศัยอยู่ทางตอนกลางและตะวันออกของประเทศ
- ชาวมันจา (Mandja หรือ Mandjia): อาศัยอยู่ทางตอนกลางของประเทศ
- ชาวซารา (Sara): อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ มีความเชื่อมโยงกับชาวซาราในชาด
- ชาวเอ็มบูม (Mboum)
- ชาวเอ็มบากา (M'Baka)
- ชาวยาโกมา (Yakoma): มีบทบาทสำคัญในการเมืองในอดีต
- ชาวฟูลา (Fula หรือ Fulani): เป็นกลุ่มชนเลี้ยงสัตว์ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วภูมิภาค
- ชาวซันเด (Zande): อาศัยอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้
- ชาวบากา (Baka) และ ชาวอากา (Bayaka): เป็นกลุ่มชนปิกมีที่อาศัยอยู่ในป่าฝนทางตะวันตกเฉียงใต้ มีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมและเผชิญกับการเลือกปฏิบัติ
- อื่นๆ รวมถึงชาวอาหรับแบกการา (Baggara Arabs), คารา (Kara), เครช (Kresh), วิดิรี (Vidiri), โวดาเบ (Wodaabe), ยูลู (Yulu) และชาวยุโรปซึ่งส่วนใหญ่เป็นเชื้อสายฝรั่งเศส
กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ส่วนใหญ่รวมกันคิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรประเทศในปี พ.ศ. 2546 แม้ว่าจะมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกนักการเมืองใช้ประโยชน์เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ความขัดแย้งที่ผ่านมามักมีมิติทางชาติพันธุ์เข้ามาเกี่ยวข้อง สิทธิของชนกลุ่มน้อย โดยเฉพาะกลุ่มปิกมี ยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวล
11.3. ภาษา
สาธารณรัฐแอฟริกากลางมีภาษาราชการสองภาษาคือ:
- ภาษาฝรั่งเศส: เป็นภาษาที่ใช้ในราชการ การศึกษา และสื่อสารระหว่างประเทศ
- ภาษาซังโก (Sango): เป็นภาษาครีโอลที่มีพื้นฐานมาจากภาษางบันดี (Ngbandi) และเป็นภาษากลาง (lingua franca) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวันทั่วประเทศ สาธารณรัฐแอฟริกากลางเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในแอฟริกาที่ให้สถานะภาษาราชการแก่ภาษาแอฟริกัน
นอกจากนี้ยังมีภาษาของชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ อีกมากมายที่พูดกันในประเทศ ซึ่งสะท้อนถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์
11.4. ศาสนา

ตามการสำรวจสำมะโนประชากรแห่งชาติปี พ.ศ. 2546 ประชากร 80.3% เป็นคริสเตียน (51.4% โปรเตสแตนต์ และ 28.9% โรมันคาทอลิก), 10% เป็นมุสลิม และ 4.5% เป็นกลุ่มศาสนาอื่น ๆ โดย 5.5% ไม่มีความเชื่อทางศาสนา งานวิจัยล่าสุดจาก Pew Research Center ประมาณการว่า ณ ปี พ.ศ. 2553 คริสเตียนคิดเป็น 89.8% ของประชากร (60.7% โปรเตสแตนต์ และ 28.5% คาทอลิก) ในขณะที่มุสลิมคิดเป็น 8.9% คริสตจักรคาทอลิกอ้างว่ามีผู้นับถือมากกว่า 1.5 ล้านคน หรือประมาณหนึ่งในสามของประชากร
ความเชื่อดั้งเดิม (animism) ยังคงมีการปฏิบัติกันอยู่ และความเชื่อดั้งเดิมหลายอย่างได้ถูกผสมผสานเข้ากับการปฏิบัติของศาสนาคริสต์และอิสลาม ผู้อำนวยการสหประชาชาติคนหนึ่งอธิบายว่าความตึงเครียดทางศาสนาระหว่างชาวมุสลิมและคริสเตียนอยู่ในระดับสูง
มีกลุ่มมิชชันนารีจำนวนมากที่ดำเนินงานในประเทศ รวมถึงลูเทอแรน, แบปทิสต์, คาทอลิก, เกรซเบรเดรน, และพยานพระยะโฮวา ในขณะที่มิชชันนารีเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส อิตาลี และสเปน แต่ก็มีจำนวนมากที่มาจากไนจีเรีย, สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, และประเทศในแอฟริกาอื่น ๆ มิชชันนารีจำนวนมากออกจากประเทศเมื่อการต่อสู้ระหว่างกลุ่มกบฏและกองกำลังของรัฐบาลปะทุขึ้นในปี พ.ศ. 2545-2546 แต่หลายคนได้กลับมาทำงานต่อแล้ว
จากการวิจัยของสถาบันการพัฒนาโพ้นทะเล (Overseas Development Institute) ในช่วงวิกฤตที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 ผู้นำศาสนาได้ไกล่เกลี่ยระหว่างชุมชนและกลุ่มติดอาวุธ พวกเขายังให้ที่พักพิงแก่ผู้ที่ต้องการที่หลบภัย
11.4.1. ปัญหาความขัดแย้งทางศาสนา
แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาในสาธารณรัฐแอฟริกากลางจะค่อนข้างสงบสุขในอดีต แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่การรัฐประหารของกลุ่มเซเลกา (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม) ในปี พ.ศ. 2556 และการเกิดขึ้นของกลุ่มอองตี-บาลากา (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวคริสต์และผู้นับถือความเชื่อดั้งเดิม) ความขัดแย้งได้มีมิติทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างชัดเจนมากขึ้น
สาเหตุของความขัดแย้งมีความซับซ้อนและไม่ได้เกิดจากศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจ การแย่งชิงทรัพยากร และความคับแค้นใจทางประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม การใช้สัญลักษณ์และวาทกรรมทางศาสนาโดยกลุ่มติดอาวุธทั้งสองฝ่ายได้ทำให้ความแตกแยกรุนแรงขึ้น และนำไปสู่ความรุนแรงต่อพลเรือนตามอัตลักษณ์ทางศาสนา
ลักษณะของความขัดแย้งรวมถึงการโจมตีชุมชน โบสถ์ มัสยิด การสังหาร การพลัดถิ่น และการทำลายทรัพย์สิน มีรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางโดยทั้งสองฝ่าย ความรุนแรงนี้ได้สร้างความหวาดระแวงและความไม่ไว้วางใจระหว่างชุมชนคริสเตียนและมุสลิม ซึ่งก่อนหน้านี้เคยอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
มีความพยายามในการสร้างความปรองดองในสังคมจากหลายภาคส่วน รวมถึงผู้นำศาสนา องค์กรภาคประชาสังคม และประชาคมระหว่างประเทศ ความพยายามเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมการเจรจาระหว่างศาสนา การสร้างความเข้าใจร่วมกัน การสนับสนุนกระบวนการยุติธรรมและการเยียวยา และการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นรากเหง้าของปัญหา อย่างไรก็ตาม การสร้างความปรองดองที่ยั่งยืนยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญท่ามกลางสถานการณ์ความไม่มั่นคงที่ยังคงดำเนินต่อไป
11.5. การศึกษา

การศึกษาของรัฐในสาธารณรัฐแอฟริกากลางนั้นไม่เสียค่าใช้จ่าย และเป็นภาคบังคับสำหรับเด็กอายุ 6 ถึง 14 ปี อย่างไรก็ตาม ประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรผู้ใหญ่ในประเทศยังคงไม่รู้หนังสือ สองสถาบันอุดมศึกษาในสาธารณรัฐแอฟริกากลางคือ มหาวิทยาลัยบังกี ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐที่ตั้งอยู่ในกรุงบังกี และรวมถึงโรงเรียนแพทย์ และ มหาวิทยาลัยยูคลิด ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยนานาชาติ
ระบบการศึกษาได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากความขัดแย้งและความไม่มั่นคงที่ยาวนาน โรงเรียนจำนวนมากถูกทำลายหรือปิดตัวลง ครูอาจารย์ต้องพลัดถิ่น และเด็ก ๆ ไม่สามารถไปโรงเรียนได้เนื่องจากความไม่ปลอดภัยหรือความจำเป็นในการช่วยครอบครัวหาเลี้ยงชีพ อัตราการเข้าเรียนอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กผู้หญิงและเด็กในพื้นที่ชนบท คุณภาพการศึกษาก็เป็นปัญหาสำคัญเนื่องจากการขาดแคลนครูที่ผ่านการฝึกอบรม สื่อการเรียนการสอน และโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม
ความพยายามในการฟื้นฟูระบบการศึกษาได้รับการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายมากมาย การปรับปรุงการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพสำหรับเด็กทุกคนจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาประเทศในระยะยาว
11.6. สาธารณสุข

โรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศตั้งอยู่ในเขตบังกี ในฐานะสมาชิกขององค์การอนามัยโลก สาธารณรัฐแอฟริกากลางได้รับการช่วยเหลือด้านวัคซีน เช่น การแทรกแซงในปี พ.ศ. 2557 เพื่อป้องกันการระบาดของโรคหัด ในปี พ.ศ. 2550 อายุคาดเฉลี่ยของสตรีเมื่อแรกเกิดคือ 48.2 ปี และอายุคาดเฉลี่ยของบุรุษเมื่อแรกเกิดคือ 45.1 ปี
สุขภาพสตรีในสาธารณรัฐแอฟริกากลางอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ณ ปี พ.ศ. 2553 ประเทศนี้มีอัตราการตายของมารดาสูงเป็นอันดับสี่ของโลก อัตราการเจริญพันธุ์รวมในปี พ.ศ. 2557 คาดว่าจะอยู่ที่ 4.46 เด็กเกิด/สตรี ผู้หญิงประมาณ 25% ผ่านการการขริบอวัยวะเพศหญิง การคลอดบุตรจำนวนมากในประเทศนี้ดำเนินการโดยผู้ทำคลอดแบบดั้งเดิม ซึ่งมักจะได้รับการฝึกอบรมเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย
มาลาเรียเป็นโรคประจำถิ่นในสาธารณรัฐแอฟริกากลางและเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ จากการประมาณการในปี พ.ศ. 2552 อัตราการแพร่ระบาดของเอชไอวี/เอดส์อยู่ที่ประมาณ 4.7% ของประชากรผู้ใหญ่ (อายุ 15-49 ปี) ซึ่งสอดคล้องกับการประมาณการของสหประชาชาติในปี พ.ศ. 2559 ที่ประมาณ 4% ค่าใช้จ่ายของรัฐบาลด้านสุขภาพอยู่ที่ 20 ดอลลาร์สหรัฐ (PPP) ต่อคนในปี พ.ศ. 2549 และคิดเป็น 10.9% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดของรัฐบาลในปี พ.ศ. 2549 มีแพทย์เพียงประมาณ 1 คนต่อประชากร 20,000 คนในปี พ.ศ. 2552
ระบบสาธารณสุขได้รับผลกระทบอย่างหนักจากความขัดแย้ง การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ยา และอุปกรณ์ทางการแพทย์เป็นปัญหาที่รุนแรง การเข้าถึงบริการทางการแพทย์เป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและสำหรับกลุ่มผู้ด้อยโอกาส วิกฤตด้านมนุษยธรรมที่ต่อเนื่องยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
12. วัฒนธรรม

สาธารณรัฐแอฟริกากลางมีมรดกทางวัฒนธรรมที่หลากหลายและอุดมสมบูรณ์ อันเนื่องมาจากประชากรที่ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 80 กลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มมีประเพณี ภาษา ดนตรี และศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง แม้ว่าความขัดแย้งที่ยาวนานจะส่งผลกระทบต่อการอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรม แต่เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมยังคงเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของประชาชน
12.1. วัฒนธรรมดั้งเดิมและวิถีชีวิต
วัฒนธรรมดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในสาธารณรัฐแอฟริกากลางมีความหลากหลายและน่าสนใจ แต่ละกลุ่มมีขนบธรรมเนียมประเพณี พิธีกรรม โครงสร้างทางสังคม และความเชื่อที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
- ชาวบายา และ ชาวบันดา ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด มีประเพณีการเล่าเรื่อง การเต้นรำ และดนตรีที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเกิด การแต่งงาน และการเสียชีวิตยังคงมีความสำคัญในชุมชน
- ชาวบากา และกลุ่มชนปิกมีอื่น ๆ มีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับป่าไม้อย่างใกล้ชิด พวกเขามีความรู้เกี่ยวกับพืชสมุนไพร การล่าสัตว์ และการเก็บของป่า ดนตรีและการเต้นรำของพวกเขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมักเกี่ยวข้องกับธรรมชาติและจิตวิญญาณ
- กลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ เช่น ชาวซันเด, ชาวยาโกมา, และ ชาวซารา ก็มีวัฒนธรรมและประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เช่น ศิลปะการแกะสลักไม้ การทอผ้า และเครื่องปั้นดินเผา
โครงสร้างทางสังคมแบบดั้งเดิมมักให้ความสำคัญกับครอบครัวขยายและระบบเครือญาติ ผู้อาวุโสในชุมชนมักมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจและแก้ไขข้อขัดแย้ง
วิถีชีวิตสมัยใหม่ได้เข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น โดยเฉพาะในเขตเมือง อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมดั้งเดิมยังคงมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของประชาชนจำนวนมาก และมีการผสมผสานระหว่างวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมและสมัยใหม่อย่างต่อเนื่อง ความท้าทายที่สำคัญคือการอนุรักษ์และส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าเหล่านี้ ท่ามกลางความขัดแย้งและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
12.2. วัฒนธรรมอาหาร
วัฒนธรรมอาหารของสาธารณรัฐแอฟริกากลางสะท้อนถึงวัตถุดิบที่มีในท้องถิ่นและอิทธิพลจากกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ อาหารหลักส่วนใหญ่ทำจากพืชหัวและธัญพืช
- อาหารหลัก: มันสำปะหลังเป็นอาหารหลักที่สำคัญที่สุด มักนำมาทำเป็นแป้ง (เรียกว่า "ฟูฟู" หรือ "โกโซ") แล้วนำไปนึ่งหรือต้มรับประทานกับซอสหรือสตูว์ นอกจากนี้ยังมีข้าวโพด ข้าวฟ่าง ลูกเดือย และข้าว ที่ใช้เป็นอาหารหลักเช่นกัน
- อาหารพื้นเมือง: สตูว์เป็นอาหารที่ได้รับความนิยม ทำจากเนื้อสัตว์ (เช่น ไก่ แพะ ปลา) หรือผัก ปรุงกับซอสมะเขือเทศ ถั่วลิสง หรือใบผักต่าง ๆ "เอ็นกูกู" (ngougou) เป็นสตูว์ใบมันสำปะหลังที่ได้รับความนิยม "มูอัมบา" (muamba) เป็นสตูว์ไก่หรือปลาที่ปรุงด้วยเนยถั่วปาล์ม
- วัตถุดิบ: วัตถุดิบที่ใช้กันทั่วไป ได้แก่ ผักใบเขียวต่าง ๆ (เช่น ใบมันสำปะหลัง ผักโขม) มะเขือเทศ หัวหอม พริก ถั่วลิสง น้ำมันปาล์ม เนื้อสัตว์ป่า (bushmeat) และปลาจากแม่น้ำและทะเลสาบ ผลไม้ตามฤดูกาล เช่น มะม่วง กล้วย สับปะรด ก็เป็นที่นิยม
- พฤติกรรมการบริโภค: การรับประทานอาหารร่วมกันเป็นเรื่องปกติในครอบครัวและชุมชน มักใช้มือในการรับประทานอาหาร
วัฒนธรรมอาหารของสาธารณรัฐแอฟริกากลางเรียบง่ายแต่มีคุณค่าทางโภชนาการ และสะท้อนถึงความผูกพันกับธรรมชาติและทรัพยากรในท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ความไม่มั่นคงทางอาหารเป็นปัญหาที่รุนแรงในหลายพื้นที่ของประเทศ
12.3. วรรณกรรมและศิลปะ
แม้ว่าสาธารณรัฐแอฟริกากลางจะเผชิญกับความท้าทายมากมาย แต่ก็มีมรดกทางวรรณกรรมและศิลปะที่น่าสนใจ
- วรรณกรรมมุขปาฐะ: เป็นรูปแบบวรรณกรรมที่สำคัญที่สุดในวัฒนธรรมดั้งเดิมของหลายกลุ่มชาติพันธุ์ รวมถึงนิทาน ตำนาน สุภาษิต และบทเพลง ที่สืบทอดกันมาปากต่อปาก วรรณกรรมมุขปาฐะเหล่านี้มักมีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชนเผ่า ค่านิยมทางสังคม และความสัมพันธ์กับธรรมชาติ
- ผลงานวรรณกรรมสมัยใหม่: วรรณกรรมลายลักษณ์อักษรในภาษาฝรั่งเศสเริ่มพัฒนาขึ้นหลังได้รับเอกราช นักเขียนคนสำคัญ เช่น ปีแยร์ มักงงโบ (Pierre Makombo Bamboté) และ เอเตียน กอยเอมิเด (Etienne Goyémidé) ได้สร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงประสบการณ์ของชาวแอฟริกากลางในยุคหลังอาณานิคมและความท้าทายทางสังคมและการเมือง อย่างไรก็ตาม การพัฒนาวรรณกรรมสมัยใหม่ยังคงเผชิญกับข้อจำกัดด้านการพิมพ์ การเผยแพร่ และการสนับสนุน
- ทัศนศิลป์: ศิลปะดั้งเดิมของสาธารณรัฐแอฟริกากลางมีความหลากหลาย รวมถึง:
- ประติมากรรม: การแกะสลักไม้เป็นรูปแบบศิลปะที่สำคัญ โดยเฉพาะหน้ากากและรูปปั้นที่ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาและความเชื่อดั้งเดิม
- งานฝีมือ: รวมถึงเครื่องปั้นดินเผา การทอผ้า การทำเครื่องจักสาน และเครื่องประดับ ซึ่งมักมีลวดลายและสีสันที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์
- จิตรกรรม: แม้ว่าจะไม่โดดเด่นเท่าศิลปะแขนงอื่น ๆ แต่ก็มีศิลปินร่วมสมัยบางคนที่สร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมที่สะท้อนถึงชีวิตและวัฒนธรรมของประเทศ
ศิลปินคนสำคัญบางคนได้พยายามที่จะรักษาและส่งเสริมศิลปะดั้งเดิม ในขณะที่บางคนก็ผสมผสานศิลปะดั้งเดิมเข้ากับรูปแบบสมัยใหม่ อย่างไรก็ตาม ตลาดศิลปะในประเทศยังมีขนาดเล็ก และศิลปินจำนวนมากต้องเผชิญกับความยากลำบากในการประกอบอาชีพ
12.4. ดนตรี
ดนตรีและการเต้นรำเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง และมีความหลากหลายไปตามกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ
- ดนตรีและการเต้นรำแบบดั้งเดิม: แต่ละกลุ่มชาติพันธุ์มีดนตรีและการเต้นรำที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ซึ่งมักใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา งานเฉลิมฉลอง และกิจกรรมทางสังคม เครื่องดนตรีที่ใช้กันทั่วไป ได้แก่ กลองชนิดต่าง ๆ บาลาฟอน (คล้ายระนาด) คอร่า (พิณ) และเครื่องเป่า ดนตรีมักมีจังหวะที่ซับซ้อนและเน้นการร้องประสานเสียง การเต้นรำมักเป็นการแสดงออกถึงเรื่องราว ความเชื่อ และอารมณ์
- แนวโน้มของดนตรีสมัยนิยม: ดนตรีสมัยนิยมได้รับอิทธิพลจากแนวเพลงต่าง ๆ ทั้งจากแอฟริกา (เช่น รุมบาคองโก ซูกุส) และจากตะวันตก (เช่น ป๊อป แจ๊ส เร็กเก้) ศิลปินรุ่นใหม่มักผสมผสานดนตรีดั้งเดิมเข้ากับแนวเพลงสมัยใหม่เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นเอกลักษณ์
- นักดนตรีที่มีชื่อเสียง: มีนักดนตรีชาวแอฟริกากลางบางคนที่ได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาคและนานาชาติ เช่น วงดนตรี Zokela ซึ่งเป็นที่รู้จักจากแนวเพลงที่มีชื่อเดียวกัน และศิลปินอื่น ๆ ที่พยายามเผยแพร่วัฒนธรรมดนตรีของประเทศให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
แม้ว่าอุตสาหกรรมดนตรีในประเทศจะยังไม่พัฒนามากนัก แต่ดนตรีก็ยังคงเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของประชาชน และเป็นเครื่องมือในการแสดงออกทางวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์
12.5. กีฬา
ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศ ทีมฟุตบอลชาติบริหารงานโดยสหพันธ์ฟุตบอลแอฟริกากลาง และจัดการแข่งขันที่สนามกีฬาบาร์เตเลมี โบกองดา
บาสเกตบอลก็เป็นที่นิยมเช่นกัน ทีมชาติเคยชนะการแข่งขันแอฟริกาแชมเปียนชิปสองครั้ง และเป็นทีมแรกจากแอฟริกาใต้สะฮาราที่ผ่านเข้ารอบบาสเกตบอลชิงแชมป์โลก ในปี พ.ศ. 2517
กิจกรรมลีกในประเทศสำหรับกีฬายอดนิยมเหล่านี้ยังคงมีการจัดการแข่งขัน แม้ว่าจะเผชิญกับความท้าทายด้านงบประมาณและโครงสร้างพื้นฐานก็ตาม การมีส่วนร่วมในกีฬาระดับนานาชาติยังคงเป็นความภาคภูมิใจของประเทศ
12.6. มรดกโลก
สาธารณรัฐแอฟริกากลางมีแหล่งมรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยยูเนสโก สองแห่ง ซึ่งทั้งสองแห่งเป็นมรดกทางธรรมชาติ:
1. อุทยานแห่งชาติมาโนโว-กูนดา แซงต์ โฟลริส (Manovo-Gounda St Floris National Park): ได้รับการขึ้นทะเบียนในปี พ.ศ. 2531 อุทยานแห่งนี้มีความสำคัญด้านความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด เช่น แรดดำ ช้างป่า เสือชีตาห์ เสือดาว และสัตว์กินพืชขนาดใหญ่อื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอุทยานแห่งนี้ถูกจัดให้อยู่ในบัญชีแหล่งมรดกโลกที่กำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย เนื่องจากการลักลอบล่าสัตว์และความไม่มั่นคงในภูมิภาค
2. พื้นที่อนุรักษ์สามชาติซังกา (Sangha Trinational): ได้รับการขึ้นทะเบียนในปี พ.ศ. 2555 เป็นพื้นที่อนุรักษ์ข้ามพรมแดนร่วมกับแคเมอรูนและสาธารณรัฐคองโก ส่วนที่อยู่ในสาธารณรัฐแอฟริกากลางคือ อุทยานแห่งชาติซังกา-อึงโดกี (Dzanga-Ndoki National Park) และเขตรักษาพันธุ์พิเศษซังกา (Dzanga-Sangha Special Reserve) พื้นที่นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอนุรักษ์ป่าฝนเขตร้อนขนาดใหญ่และความหลากหลายทางชีวภาพที่อุดมสมบูรณ์ รวมถึงกอริลลาที่ลุ่มตะวันตก ช้างป่า และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ
แหล่งมรดกโลกเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและเป็นสมบัติของมนุษยชาติ แต่ก็เผชิญกับภัยคุกคามจากกิจกรรมของมนุษย์และความไม่มั่นคงเช่นกัน
12.7. วันหยุดราชการ
วันที่ | ชื่อวันหยุด | ความหมาย/กิจกรรม |
---|---|---|
1 มกราคม | วันขึ้นปีใหม่ | |
29 มีนาคม | วันรำลึกถึงบาร์เตเลมี โบกองดา | รำลึกถึงการเสียชีวิตของบาร์เตเลมี โบกองดา บิดาผู้ก่อตั้งประเทศ |
วันจันทร์อีสเตอร์ | วันจันทร์อีสเตอร์ | (เปลี่ยนแปลงตามปฏิทินคริสเตียน) |
1 พฤษภาคม | วันแรงงาน | |
วันเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ | วันเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระเยซู | (40 วันหลังวันอีสเตอร์) |
วันจันทร์เทศกาลเพนเทคอสต์ | วันจันทร์เทศกาลเพนเทคอสต์ | (50 วันหลังวันอีสเตอร์) |
30 มิถุนายน | วันสวดมนต์แห่งชาติ | |
13 สิงหาคม | วันประกาศเอกราช | เฉลิมฉลองการได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2503 |
15 สิงหาคม | วันแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ | (วันหยุดคริสเตียน) |
1 พฤศจิกายน | วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย | (วันหยุดคริสเตียน) |
1 ธันวาคม | วันชาติ | วันประกาศสาธารณรัฐ มีการเดินขบวนสวนสนาม |
25 ธันวาคม | คริสต์มาส |
นอกจากนี้ อาจมีวันหยุดทางศาสนาอิสลาม (เช่น อีดิลฟิฏริ และอีดิลอัฎฮา) ซึ่งกำหนดตามปฏิทินอิสลามและอาจประกาศเป็นวันหยุดในแต่ละปี วันหยุดเหล่านี้สะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนาของประเทศ