1. ภาพรวม
รัฐเอริเทรีย ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคจะงอยแอฟริกาของแอฟริกาตะวันออก เป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและซับซ้อน มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมอย่างมาก เอริเทรียได้รับเอกราชจากเอธิโอเปียในปี 1993 หลังจากการต่อสู้เพื่ออิสรภาพที่ยาวนานถึงสามทศวรรษ อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ได้รับเอกราช ประเทศได้เผชิญกับความท้าทายที่สำคัญในด้านการพัฒนาประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และเสถียรภาพทางสังคมและการเมือง บทความนี้จะสำรวจแง่มุมต่าง ๆ ของเอริเทรีย ตั้งแต่ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์โบราณ ไปจนถึงสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมในปัจจุบัน โดยเน้นย้ำถึงผลกระทบของการปกครองแบบพรรคเดียวที่ยาวนานภายใต้ประธานาธิบดีอีซาเอียส อาเฟเวร์กี ต่อสิทธิพลเมือง เสรีภาพสื่อ และความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงบทบาทของประเทศในความขัดแย้งระดับภูมิภาคและพลวัตความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
นับตั้งแต่ได้รับเอกราช เอริเทรียยังไม่มีการจัดการเลือกตั้งระดับชาติหรือการเลือกตั้งประธานาธิบดี ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความชอบธรรมและการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการทางการเมือง สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากประชาคมระหว่างประเทศ โดยมีรายงานเกี่ยวกับการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก การควบคุมสื่ออย่างเข้มงวด การคุมขังโดยพลการ และระบบการรับใช้ชาติภาคบังคับที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา ซึ่งส่งผลให้เกิดการอพยพย้ายถิ่นฐานจำนวนมาก ประเด็นเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อกลุ่มเปราะบางและชนกลุ่มน้อยภายในประเทศ ในขณะเดียวกัน เอริเทรียมีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ที่น่าทึ่ง ตั้งแต่ที่ราบสูงตอนกลางที่เย็นสบายไปจนถึงที่ราบชายฝั่งทะเลแดงที่ร้อนและแห้งแล้ง และเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์เก้ากลุ่มที่ได้รับการยอมรับ ซึ่งแต่ละกลุ่มมีภาษาและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ เมืองหลวงแอสมาราได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกเนื่องจากสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์ เศรษฐกิจของประเทศพึ่งพาเกษตรกรรมและการทำเหมืองแร่เป็นหลัก แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายจากความยากจนและความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม การทำความเข้าใจเอริเทรียในปัจจุบันจำเป็นต้องพิจารณาถึงพลวัตที่ซับซ้อนระหว่างประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อเอกราช อุดมการณ์ทางการเมืองของรัฐบาลปัจจุบัน แรงกดดันจากประชาคมระหว่างประเทศ และความปรารถนาของประชาชนเพื่ออนาคตที่ดีกว่า
2. ชื่อประเทศ
ชื่อ เอริเทรีย (Eritreaเอริเทรียภาษาอังกฤษ) มีรากศัพท์มาจากคำในภาษากรีกโบราณว่า Ἐρυθρὰ Θάλασσαเอริทรา ทาลัสซาGreek, Ancient ซึ่งหมายถึง ทะเลแดง โดยคำว่า ἐρυθρόςเอริทโทรสGreek, Ancient แปลว่า "สีแดง" ชื่อนี้ถูกนำมาใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 1890 เมื่อมีการก่อตั้งอาณานิคมเอริเทรียของอิตาลี (Colonia Eritreaโคโลเนีย เอริเทรียภาษาอิตาลี) โดยราชอาณาจักรอิตาลี หลังจากนั้นชื่อ "เอริเทรีย" ยังคงถูกใช้ตลอดช่วงเวลาการบริหารของสหราชอาณาจักรและเอธิโอเปีย และได้รับการยืนยันอีกครั้งผ่านการลงประชามติเพื่อเอกราชในปี 1993 และในรัฐธรรมนูญเอริเทรียปี 1997
ในภาษาทือกรึญญา ซึ่งเป็นหนึ่งในภาษาทำงานหลักของประเทศ เอริเทรียมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ሃገረ ኤርትራฮาเกเร เอริตราภาษาทือกรึญญา และเรียกโดยทั่วไปว่า ኤርትራเอริตราภาษาทือกรึญญา ในภาษาอาหรับ ซึ่งเป็นภาษาทำงานอีกภาษาหนึ่ง มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า دولة إرترياเดาว์ลัต อิริตรียาภาษาอาหรับ และเรียกโดยทั่วไปว่า إرترياอิริตรียาภาษาอาหรับ ในภาษาอังกฤษ ชื่ออย่างเป็นทางการคือ State of Eritreaสเตต ออฟ เอริเทรียภาษาอังกฤษ และเรียกโดยทั่วไปว่า Eritreaเอริเทรียภาษาอังกฤษ ซึ่งออกเสียงว่า /ˌɛrɪˈtreɪə/ หรือ /ˌɛrɪˈtriːə/ (เอ-ริ-เทร-เอีย หรือ เอ-ริ-ทรี-เอีย)
3. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของเอริเทรียมีความยาวนานและซับซ้อน ย้อนกลับไปได้ถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยมีร่องรอยการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ยุคแรก ๆ ดินแดนนี้เป็นที่ตั้งของอาณาจักรโบราณที่สำคัญหลายแห่ง รวมถึงส่วนหนึ่งของอาณาจักรพุนต์ อาณาจักรดามุต และอาณาจักรอักซุม ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อภูมิภาคจะงอยแอฟริกา ในยุคกลาง อาณาจักรเมดรี บาห์รี ได้ถือกำเนิดขึ้นและมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับจักรวรรดิเอธิโอเปีย ต่อมาพื้นที่ชายฝั่งทะเลของเอริเทรียตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของจักรวรรดิออตโตมันและอียิปต์ ก่อนที่จะถูกราชอาณาจักรอิตาลีเข้ายึดครองเป็นอาณานิคมในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เอริเทรียอยู่ภายใต้การบริหารของสหราชอาณาจักร ก่อนที่จะถูกรวมเข้ากับเอธิโอเปียในรูปแบบสหพันธรัฐตามมติของสหประชาชาติ และต่อมาถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของเอธิโอเปียโดยสมบูรณ์ สิ่งนี้นำไปสู่สงครามประกาศอิสรภาพที่ยาวนานเกือบ 30 ปี ซึ่งสิ้นสุดลงด้วยการได้รับเอกราชโดยพฤตินัยในปี 1991 และโดยนิตินัยในปี 1993 อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของเอริเทรียหลังได้รับเอกราชยังคงเต็มไปด้วยความท้าทาย รวมถึงข้อพิพาทชายแดนกับเอธิโอเปียและปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาประชาธิปไตยภายในประเทศ
3.1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์

หลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่าดินแดนเอริเทรียมีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีการค้นพบซากมนุษย์โบราณที่เรียกว่า "มาดามบูยา" (Madam Buya) ในเอริเทรีย ซึ่งนักมานุษยวิทยาชาวอิตาลีระบุว่าเป็นหนึ่งในซากฟอสซิลโฮมินิดที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบจนถึงปัจจุบัน และอาจเป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญในวิวัฒนาการของมนุษย์ระหว่าง โฮโม อีเร็กตัส กับ โฮโม เซเปียนส์ ยุคโบราณ ซากนี้มีอายุประมาณ 1 ล้านปี และถือเป็นหลักฐานโครงกระดูกที่เก่าแก่ที่สุดของชนิดนี้ โดยให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์ยุคแรกไปสู่มนุษย์สมัยใหม่ทางกายวิภาค เชื่อกันว่าบริเวณแอ่งดานาคิลในเอริเทรียเป็นแหล่งสำคัญทางวิวัฒนาการของมนุษย์ และอาจมีร่องรอยอื่น ๆ ของวิวัฒนาการจากโฮมินิด โฮโม อีเร็กตัส ไปสู่มนุษย์สมัยใหม่
ในช่วงสมัยระหว่างธารน้ำแข็งสุดท้าย (Last Interglacial period) ชายฝั่งทะเลแดงของเอริเทรียเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์สมัยใหม่ทางกายวิภาคยุคแรกเริ่ม เชื่อกันว่าพื้นที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการอพยพออกจากแอฟริกาที่นักวิชาการบางคนเสนอว่ามนุษย์ยุคแรกใช้ในการตั้งรกรากในส่วนอื่น ๆ ของโลกเก่า ในปี 1999 ทีมวิจัยโครงการเอริเทรีย ซึ่งประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์ชาวเอริเทรีย แคนาดา อเมริกัน ดัตช์ และฝรั่งเศส ได้ค้นพบแหล่งโบราณคดียุคหินเก่า (Paleolithic) ที่มีเครื่องมือหินและหินออบซิเดียน อายุมากกว่า 125,000 ปี ใกล้กับอ่าวซูลา (Gulf of Zula) ทางใต้ของมาสซาวา (Massawa) ตามแนวชายฝั่งทะเลแดง เครื่องมือเหล่านี้เชื่อว่าถูกใช้โดยมนุษย์ยุคแรกในการเก็บเกี่ยวทรัพยากรทางทะเล เช่น หอยและหอยนางรม
นอกจากนี้ การวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าเครื่องมือที่พบในหุบเขาบาร์กา (Barka Valley) มีอายุย้อนไปถึง 8,000 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นหลักฐานที่เป็นรูปธรรมชิ้นแรกของการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในบริเวณนั้น ภาพเขียนบนหิน เช่น ศิลปะบนหินเดกา (Deka Rock Art) ในแคว้นเดบับ (Debub Region) ก็เป็นหลักฐานสำคัญที่บ่งบอกถึงกิจกรรมของมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยมีอายุประมาณ 5,000 ถึง 10,000 ปีที่แล้ว
3.2. ยุคโบราณ
ดินแดนเอริเทรียในยุคโบราณเป็นที่ตั้งและเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรและวัฒนธรรมที่สำคัญหลายแห่ง ซึ่งมีบทบาทในการค้าและปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมในภูมิภาคจะงอยแอฟริกาและทะเลแดง อาณาจักรเหล่านี้รวมถึงการติดต่อกับอาณาจักรพุนต์ การพัฒนาของวัฒนธรรมยุคแรกเริ่มเช่นกลุ่มกัชและวัฒนธรรมโอนา ต่อด้วยการก่อตั้งอาณาจักรดามุต และที่สำคัญที่สุดคืออาณาจักรอักซุม ซึ่งขยายอิทธิพลครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเอริเทรียในปัจจุบัน
3.2.1. อาณาจักรพุนต์และวัฒนธรรมยุคแรกเริ่ม
ในช่วงประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล พื้นที่บางส่วนของเอริเทรียในปัจจุบันน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรพุนต์ (Land of Punt) ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ปรากฏชื่อครั้งแรกในบันทึกของอียิปต์โบราณตั้งแต่ศตวรรษที่ 25 ก่อนคริสตกาล พุนต์เป็นที่รู้จักจากการผลิตและส่งออกสินค้ามีค่า เช่น ทองคำ ยางไม้หอม ไม้ดำ ไม้มะเกลือ งาช้าง และสัตว์ป่า บันทึกของอียิปต์โบราณได้กล่าวถึงการเดินทางค้าขายไปยังพุนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางที่มีการบันทึกไว้อย่างดีในรัชสมัยของฟาโรห์หญิงฮัตเชปซุต (Hatshepsut) ประมาณ 1,469 ปีก่อนคริสตกาล เพื่อฟื้นฟูเส้นทางการค้าที่หยุดชะงักไป
นอกจากการติดต่อกับพุนต์แล้ว ในเอริเทรียยังมีการพัฒนาของวัฒนธรรมยุคแรกเริ่มอื่น ๆ ก่อนสมัยอาณาจักรอักซุม การขุดค้นในและใกล้กับเมืองอากอร์ดัต (Agordat) ทางตอนกลางของเอริเทรียได้ค้นพบซากอารยธรรมโบราณก่อนสมัยอักซุมที่เรียกว่ากลุ่มกัช (Gash Group) โดยพบเครื่องปั้นดินเผาที่มีอายุระหว่าง 2,500 ถึง 1,500 ปีก่อนคริสตกาล
อีกวัฒนธรรมที่สำคัญคือวัฒนธรรมโอนา (Ona culture) ซึ่งเป็นอารยธรรมเมืองก่อนสมัยอักซุม พบหลักฐานจากการขุดค้นที่เซมเบล (Sembel) ในเขตแอสมาราและปริมณฑล เชื่อกันว่าวัฒนธรรมโอนาเป็นหนึ่งในชุมชนเกษตรกรรมและการเลี้ยงสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดในแอฟริกาตะวันออก สิ่งของที่ค้นพบในแหล่งโบราณคดีนี้มีอายุระหว่าง 800 ปีก่อนคริสตกาล ถึง 400 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับการตั้งถิ่นฐานอื่น ๆ ก่อนสมัยอักซุมในที่ราบสูงเอริเทรียและเอธิโอเปียในช่วงกลางสหัสวรรษแรกก่อนคริสตกาล
3.2.2. อาณาจักรดามุต

อาณาจักรดามุต (ደዐመተดะอะมะเทGeez Dʿmt) เป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองในช่วงประมาณศตวรรษที่ 10 ถึง 5 ก่อนคริสตกาล ในบริเวณที่เป็นประเทศเอริเทรียและเอธิโอเปียตอนเหนือในปัจจุบัน ด้วยการปรากฏของกลุ่มวิหารขนาดใหญ่ที่เยฮา (Yeha) ในเอธิโอเปีย พื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นเมืองหลวงของอาณาจักร สำหรับในเอริเทรีย เมืองโบราณที่สำคัญของอาณาจักรดามุต ได้แก่ โคไฮโต (Qohaito) ซึ่งมักถูกระบุว่าเป็นเมืองโคโลเอ (Koloe) ที่กล่าวถึงใน เพอริพลัสแห่งทะเลเอริเทรีย (Periplus of the Erythraean Sea) และมาทารา (Matara) ทั้งสองเมืองนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเอริเทรีย
อาณาจักรดามุตมีการพัฒนาระบบชลประทาน ใช้คันไถ ปลูกข้าวฟ่าง และผลิตเครื่องมือเหล็กและอาวุธ หลังจากอาณาจักรดามุตล่มสลายในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล ที่ราบสูงแห่งนี้ถูกครอบครองโดยอาณาจักรเล็ก ๆ ที่สืบทอดต่อมา สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินไปจนกระทั่งการผงาดขึ้นของหนึ่งในรัฐเหล่านี้ในช่วงศตวรรษที่ 1 คืออาณาจักรอักซุม ซึ่งสามารถรวมพื้นที่นี้เข้าด้วยกันได้อีกครั้ง
3.2.3. อาณาจักรอักซุม

อาณาจักรอักซุม (Kingdom of Aksum หรือ Axum) เป็นจักรวรรดิการค้าที่มีศูนย์กลางอยู่ในเอริเทรียและเอธิโอเปียตอนเหนือ รุ่งเรืองอยู่ระหว่างประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 1 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 10 โดยพัฒนามาจากยุคเหล็กก่อนอักซุม (Proto-Aksumite Iron Age) ราวศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล และมีความโดดเด่นขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 1 ตามตำนานในหนังสือ Liber Axumae (ตำราแห่งอักซุม) เมืองหลวงแห่งแรกของอักซุมคือ มาซาเบอร์ (Mazaber) สร้างโดยอิติโยปิส (Itiyopis) บุตรของคุช (Cush) ต่อมาเมืองหลวงได้ย้ายไปยังอักซุม (Axum) ในเอธิโอเปียตอนเหนือ อาณาจักรนี้ใช้ชื่อ "เอธิโอเปีย" ตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 4
ชาวอักซุมได้สร้างเสาหินขนาดใหญ่ (stelae) จำนวนมาก ซึ่งมีวัตถุประสงค์ทางศาสนาในสมัยก่อนคริสต์ศาสนา หนึ่งในเสาหินแกรนิตเหล่านี้คือ เสาโอเบลิสก์แห่งอักซุม (Obelisk of Aksum) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความสูงถึง 27 m (90 ft) ภายใต้การปกครองของกษัตริย์เอซานาแห่งอักซุม (Ezana of Aksum ครองราชย์ประมาณ ค.ศ. 320-360) อาณาจักรอักซุมได้รับเอาศาสนาคริสต์เข้ามา
ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาโลกแรกที่ถูกนำมาเผยแผ่ในเอริเทรียยุคใหม่ และอารามที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศคือ อารามเดเบรซินา (Debre Sina Monastery) สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 4 ซึ่งเป็นหนึ่งในอารามที่เก่าแก่ที่สุดในแอฟริกาและของโลก อารามเดเบรลิบานอส (Debre Libanos Monastery) ซึ่งเก่าแก่เป็นอันดับสอง กล่าวกันว่าก่อตั้งขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 5 หรือต้นคริสต์ศตวรรษที่ 6 เดิมตั้งอยู่ในหมู่บ้านฮัม (Ham) ก่อนจะย้ายไปยังสถานที่ที่เข้าถึงยากบนขอบหน้าผาใต้ที่ราบสูงฮัม โบสถ์ของอารามแห่งนี้มี "พระวรสารทองคำ" (Golden Gospel) ซึ่งเป็นคัมภีร์ไบเบิลหุ้มโลหะอายุย้อนไปถึงคริสต์ศตวรรษที่ 13 ซึ่งเป็นช่วงที่เดเบรลิบานอสเป็นศูนย์กลางอำนาจทางศาสนาที่สำคัญ
ในคริสต์ศตวรรษที่ 7 ชาวมุสลิมยุคแรกจากมักกะฮ์ อย่างน้อยก็เป็นสหายของนบีมุฮัมมัด ได้ลี้ภัยจากการกดขี่ของชาวกุเรชโดยเดินทางมายังอาณาจักรอักซุม การเดินทางครั้งนี้เป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์อิสลามว่าเป็นการอพยพครั้งแรกสู่อะบิสซิเนีย (First Hijrah) มีรายงานว่าพวกเขาได้สร้างมัสยิดแห่งแรกในแอฟริกาคือ มัสยิดแห่งสหาย (Mosque of the Companions) ในเมืองมาสซาวา
อาณาจักรอักซุมถูกกล่าวถึงใน เพอริพลัสแห่งทะเลเอริเทรีย ว่าเป็นตลาดสำคัญสำหรับงาช้าง ซึ่งส่งออกไปทั่วโลกยุคโบราณ ในเวลานั้นอักซุมถูกปกครองโดยโซสกาเลส (Zoskales) ซึ่งปกครองท่าเรืออดูลิส (Adulis) ด้วย ผู้ปกครองอักซุมอำนวยความสะดวกทางการค้าด้วยการผลิตสกุลเงินของตนเอง
3.3. ยุคกลาง (เมดรี บาห์รี)

หลังจากการเสื่อมถอยของอาณาจักรอักซุม ที่ราบสูงเอริเทรียได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของราชวงศ์ซากเว (Zagwe dynasty) ซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ และต่อมาก็อยู่ภายใต้อิทธิพลของจักรวรรดิเอธิโอเปีย ในช่วงแรก พื้นที่นี้เป็นที่รู้จักในชื่อ มาอิเคเล บาห์รี (Ma'ikele Bahri) ซึ่งหมายถึง "ระหว่างทะเล/แม่น้ำ" (คือดินแดนระหว่างทะเลแดงและแม่น้ำเมเรบ) อาณาเขตชายฝั่งทั้งหมดของมาอิเคLE บาห์รีอยู่ภายใต้รัฐสุลต่านอาดัล (Adal Sultanate) ในรัชสมัยของสุลต่านบัดเลย์ อิบน์ ซะอัด อัดดีน (Badlay ibn Sa'ad ad-Din) ต่อมารัฐนี้ถูกยึดครองคืนโดยจักรพรรดิเอธิโอเปียซารา ยาคอบ (Zara Yaqob) ผู้ซึ่งได้จัดระเบียบการบริหารที่ราบสูงชายฝั่งให้เป็นจังหวัดเมดรี บาห์รี (Medri Bahri) ที่นับถือศาสนาคริสต์ (หมายถึง "ดินแดนแห่งทะเล" ในภาษาทือกรึญญา แม้ว่าจะรวมบางพื้นที่เช่นชีเรในเอธิโอเปียที่อยู่อีกฟากของแม่น้ำเมเรบ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเอธิโอเปีย) ปกครองโดยบาห์รี เนกัส (Bahri Negus หรือ Bahri Negash หมายถึง "ราชาแห่งทะเล") โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่เดบาร์วา (Debarwa) จังหวัดหลักของรัฐนี้คือฮามาเซียน (Hamasien) เซเร (Serae) และอาเคเล กูไซ (Akele Guzai)
ชาวตะวันตกคนแรกที่บันทึกการเยือนเอริเทรียคือฟรันซิชกู อัลวารึช (Francisco Álvares) นักสำรวจชาวโปรตุเกสในปี 1520 หนังสือของเขามีคำอธิบายแรกเกี่ยวกับอำนาจท้องถิ่นของแคว้นทิกรัย (Tigray) อาณาจักรอักซุม และบาร์นาไกส์ (Barnagais - เจ้าแห่งดินแดนริมทะเล) ชายฝั่งเอริเทรียในยุคนั้นเป็นเส้นทางที่รับประกันการเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคทิกรัย ซึ่งชาวโปรตุเกสมีอาณานิคมขนาดเล็ก และด้วยเหตุนี้จึงเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ภายในของเอธิโอเปีย ซึ่งเป็นพันธมิตรของโปรตุเกส มาสซาวายังเป็นเวทีสำหรับการยกพลขึ้นบกของกองทหารโดยคริสโตเวา ดา กามา (Cristóvão da Gama) ในปี 1541 ในการทัพทางทหารซึ่งในที่สุดได้เอาชนะรัฐสุลต่านอาดัลในยุทธการที่ไวนะดะกา (Battle of Wayna Daga) ในปี 1543
3.4. ยุคจักรวรรดิออตโตมันและอียิปต์ปกครอง
ภายในปี 1557 จักรวรรดิออตโตมันได้เข้ายึดครองพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมดของเอริเทรียในปัจจุบันเป็นเวลากว่าสองทศวรรษ ดินแดนนี้ทอดยาวจากมาสซาวา (Massawa) ไปจนถึงซัวกิน (Suakin) ในซูดาน และกลายเป็นเขตปกครองของออตโตมัน เรียกว่าฮาเบชเอยาเลติ (Habesh Eyalet) โดยมีมาสซาวาเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของจังหวัดใหม่นี้ เมื่อเมืองนี้มีความสำคัญทางเศรษฐกิจลดลง เมืองหลวงทางการบริหารจึงถูกย้ายข้ามทะเลแดงไปยังญิดดะฮ์ (Jeddah) พวกเติร์กพยายามเข้ายึดครองพื้นที่สูงของฮามาเซียน (Hamasien) ในปี 1559 แต่ถอนตัวออกไปหลังจากเผชิญกับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากบาห์รี เนกัส (Bahri Negash) และกองกำลังบนที่ราบสูง ในปี 1578 พวกเขาพยายามขยายอิทธิพลเข้าสู่ที่ราบสูงอีกครั้งโดยได้รับความช่วยเหลือจากบาห์รี เนกัส ยิเซฮัก (Yisehaq) ซึ่งเปลี่ยนข้างเนื่องจากความขัดแย้งทางอำนาจ จักรพรรดิเอธิโอเปียซาร์ซา เดงเกล (Sarsa Dengel) ได้ส่งกองทัพไปปราบปรามพวกเติร์กในปี 1588 เพื่อตอบโต้การรุกรานในจังหวัดทางเหนือ และดูเหมือนว่าภายในปี 1589 พวกเขาถูกบีบให้ถอนกำลังกลับไปยังชายฝั่งอีกครั้ง
ในที่สุดพวกออตโตมันก็ถูกขับไล่ออกไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงควบคุมพื้นที่ชายฝั่งทะเลจนถึงปลายศตวรรษที่ 19 ที่ราบสูงตอนกลางของเอริเทรียจึงกลายเป็นดินแดนศักดินาในอารักขาของขุนนางแห่งทิกรัย (Tigray) ซึ่งไม่ค่อยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับราชวงศ์อัมฮารา (Amhara) ซึ่งเป็นสาขาหลักของราชวงศ์เอธิโอเปีย
ในปี 1734 ผู้นำชาวอาฟาร์ (Afar) ชื่อ เคดาฟู (Kedafu) ได้ก่อตั้งราชวงศ์มูไดโต (Mudaito Dynasty) ในเอธิโอเปีย ซึ่งต่อมาได้รวมเอาที่ราบลุ่มเดนเคล (Denkel) ทางตอนใต้ของเอริเทรียเข้ามาด้วย ทำให้ที่ราบลุ่มเดนเคลตอนใต้กลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสุลต่านเอาซา (Sultanate of Aussa) ศตวรรษที่ 16 ยังเป็นช่วงเวลาที่ชาวออตโตมันเข้ามามีบทบาทในพื้นที่ทะเลแดง
ช่วงเวลาก่อนยุคอาณานิคมของเอริเทรียมีสี่ภูมิภาคที่แตกต่างกัน ซึ่งถูกแบ่งแยกด้วยภูมิศาสตร์ ทำให้มีการติดต่อกันอย่างจำกัด ภูมิภาคเหล่านี้ถูกปกครองดังนี้: ชาวอะบิสซิเนีย (คริสเตียนที่พูดภาษาทิกรินยา) ในที่ราบสูง, กลุ่มชนเผ่าทิเกรและเบนิ อาเมร์ (Beni Amer) ที่เร่ร่อนอยู่ทางตะวันตก (มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอาณาจักรฟุนจ์ (Funj Kingdom) ในซูดาน) และชาวมุสลิมอาหรับแห่งมาสซาวาและรัฐสุลต่านเอาซาของคนเลี้ยงสัตว์ในสองภูมิภาคชายฝั่ง กลุ่มที่แตกแยกเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทางการเมืองและเศรษฐกิจของเอริเทรียในปัจจุบัน เนื่องจากการแลกเปลี่ยนที่จำกัดได้ขัดขวางการพัฒนาและนวัตกรรม ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในความเข้มแข็งของรัฐ
3.5. การปกครองอาณานิคมของอิตาลี


พรมแดนของเอริเทรียในปัจจุบันถูกกำหนดขึ้นในช่วงการแย่งชิงแอฟริกา (Scramble for Africa) เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 1869 หัวหน้าท้องถิ่นผู้ปกครองได้ขายดินแดนรอบอ่าวอัสซาบ (Assab) ให้กับมิชชันนารีชาวอิตาลี จูเซปเป ซาเปโต (Giuseppe Sapeto) ในนามของบริษัทเดินเรือรุบาตติโน (Rubattino Shipping Company) พื้นที่นี้ทำหน้าที่เป็นสถานีเติมถ่านหินตามเส้นทางเดินเรือที่เกิดขึ้นใหม่หลังจากการเปิดใช้คลองสุเอซที่เพิ่งสร้างเสร็จ ในปี 1882 รัฐบาลอิตาลีได้เข้าครอบครองอาณานิคมอัสซาบอย่างเป็นทางการจากเจ้าของเชิงพาณิชย์ และขยายการควบคุมไปยังมาสซาวา (Massawa) และพื้นที่ราบลุ่มชายฝั่งส่วนใหญ่ของเอริเทรีย หลังจากที่ชาวอียิปต์ถอนตัวออกจากเอริเทรียในเดือนกุมภาพันธ์ 1885
ในช่วงสุญญากาศทางการเมืองหลังการสวรรคตของจักรพรรดิโยฮันเนสที่ 4 (Yohannes IV) ในยุทธการที่กัลลาบัต (Battle of Gallabat) ปี 1889 นายพลโอเรสเต บาราติเอรี (Oreste Baratieri) ได้เข้ายึดครองที่ราบสูงตามแนวชายฝั่งเอริเทรีย และอิตาลีได้ประกาศจัดตั้งเอริเทรียของอิตาลี (Italian Eritrea) ซึ่งเป็นอาณานิคมของราชอาณาจักรอิตาลี ในสนธิสัญญาวูชาเล (Treaty of Wuchale หรือ Uccialli) ที่ลงนามในปีเดียวกัน เมเนลิกแห่งชีวา (Menelik II of Shewa) ซึ่งเป็นอาณาจักรทางใต้ของเอธิโอเปีย ได้ยอมรับการยึดครองดินแดนของคู่แข่งของเขา คือ โบกอส (Bogos) ฮามาเซียน (Hamasien) อาเคเล กูไซ (Akkele Guzay) และเซเร (Serae) โดยอิตาลี เพื่อแลกกับการรับประกันความช่วยเหลือทางการเงินและการเข้าถึงอาวุธและกระสุนจากยุโรปอย่างต่อเนื่อง ชัยชนะของเขาเหนือราชาคู่แข่งในภายหลังและการขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิเมเนลิกที่ 2 แห่งเอธิโอเปีย (Menelek II ครองราชย์ 1889-1913) ทำให้สนธิสัญญามีผลผูกพันอย่างเป็นทางการทั่วทั้งดินแดน
ในปี 1888 รัฐบาลอิตาลีได้เริ่มโครงการพัฒนาครั้งแรกในอาณานิคมใหม่ ทางรถไฟเอริเทรีย (Eritrean Railway) สร้างเสร็จถึงซาอาติ (Saati) ในปี 1888 และไปถึงแอสมารา (Asmara) บนที่ราบสูงในปี 1911 เคเบิลเวย์แอสมารา-มาสซาวา (Asmara-Massawa Cableway) เป็นเส้นทางที่ยาวที่สุดในโลกในยุคนั้น แต่ต่อมาถูกรื้อถอนโดยอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง นอกเหนือจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญแล้ว ทางการอาณานิคมยังลงทุนอย่างมากในภาคเกษตรกรรม พวกเขายังดูแลการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกในเมืองแอสมาราและมาสซาวา และจ้างชาวเอริเทรียจำนวนมากในหน่วยงานราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรมตำรวจและกรมโยธาธิการ ชาวเอริเทรียหลายพันคนถูกเกณฑ์เข้ากองทัพพร้อมกัน และปฏิบัติหน้าที่ในช่วงสงครามอิตาลี-ตุรกีในลิเบีย รวมถึงสงครามอิตาลี-อะบิสซิเนียครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง บาห์ตา ฮาโกส (Bahta Hagos) เป็นผู้นำคนสำคัญของการต่อต้านการปกครองจากต่างชาติในเอริเทรีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อต้านการล่าอาณานิคมของเอธิโอเปียตอนเหนือและอิตาลี
นอกจากนี้ รัฐบาลเอริเทรียของอิตาลียังได้เปิดโรงงานใหม่ ๆ มากมายที่ผลิตกระดุม น้ำมันปรุงอาหาร พาสต้า วัสดุก่อสร้าง เนื้อสัตว์บรรจุกระป๋อง ยาสูบ หนังสัตว์ และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ ในปี 1939 มีโรงงานประมาณ 2,198 แห่ง และพนักงานส่วนใหญ่เป็นพลเมืองเอริเทรีย การจัดตั้งอุตสาหกรรมยังเพิ่มจำนวนชาวอิตาลีและชาวเอริเทรียที่อาศัยอยู่ในเมือง จำนวนชาวอิตาลีในดินแดนเพิ่มขึ้นจาก 4,600 คนเป็น 75,000 คนในรอบห้าปี และด้วยการมีส่วนร่วมของชาวเอริเทรียในอุตสาหกรรม การค้า และสวนผลไม้ได้ขยายไปทั่วประเทศ และสวนผลไม้บางแห่งก็เป็นของชาวเอริเทรีย
ในปี 1922 การขึ้นสู่อำนาจของเบนิโต มุสโสลินีในอิตาลีได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อรัฐบาลอาณานิคมในเอริเทรียของอิตาลี หลังจากที่ อิล ดูเช (il Duce) ประกาศการก่อตั้งจักรวรรดิอิตาลีในเดือนพฤษภาคม 1936 เอริเทรียของอิตาลี (ซึ่งขยายใหญ่ขึ้นด้วยการรวมภูมิภาคทางตอนเหนือของเอธิโอเปีย) และโซมาลิแลนด์ของอิตาลีได้ถูกรวมเข้ากับเอธิโอเปียที่เพิ่งถูกยึดครองใหม่ ก่อตั้งเป็นแอฟริกาตะวันออกของอิตาลี (Africa Orientale Italiana) ยุคฟาสซิสต์นี้มีลักษณะเด่นคือการขยายจักรวรรดิในนามของ "จักรวรรดิโรมันใหม่" เอริเทรียได้รับเลือกจากรัฐบาลอิตาลีให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของแอฟริกาตะวันออกของอิตาลี
หลังปี 1935 สถาปัตยกรรมแบบอาร์ตเดโค (Art Deco) ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในแอสมารา ชาวอิตาลีออกแบบอาคารมากกว่า 400 หลังในช่วงที่การก่อสร้างเฟื่องฟู ซึ่งหยุดชะงักลงเมื่ออิตาลีเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง อาคารเหล่านี้รวมถึงอาคารเฟียตตาเกลียโร (Fiat Tagliero Building) และโรงภาพยนตร์อิมเปโร (Cinema Impero) ในปี 2017 เมืองนี้ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยยูเนสโกอธิบายว่ามี รูปแบบอาคารที่ผสมผสานและเป็นเหตุผลนิยม พื้นที่เปิดโล่งที่กำหนดไว้อย่างดี และอาคารสาธารณะและส่วนตัว รวมถึงโรงภาพยนตร์ ร้านค้า ธนาคาร โครงสร้างทางศาสนา สำนักงานสาธารณะและเอกชน โรงงานอุตสาหกรรม และที่พักอาศัย
3.6. ยุครัฐบาลทหารอังกฤษ

จากการยุทธการที่เคเรน (Battle of Keren) ในปี 1941 กองทัพอังกฤษได้ขับไล่ชาวอิตาลีออกไปและเข้าควบคุมการบริหารประเทศเอริเทรีย ในทางเศรษฐกิจ ทศวรรษแห่งการบริหารของอังกฤษได้เห็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเอริเทรียครั้งสำคัญ จนถึงปี 1945 อังกฤษและอเมริกันต้องพึ่งพาอุปกรณ์และแรงงานที่มีทักษะของอิตาลีเพื่อตอบสนองความต้องการในช่วงสงครามและเพื่อสนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตรในตะวันออกกลาง ความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจนี้ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการมีส่วนร่วมของชาวอิตาลีจำนวนมาก ดำเนินไปจนกระทั่งสิ้นสุดสงคราม อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากสงครามสิ้นสุดลง เศรษฐกิจเอริเทรียเผชิญกับภาวะถดถอยและภาวะซึมเศร้าที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชากรในเมือง โรงงานสงครามที่เคยจ้างงานหลายพันคนถูกปิดตัวลง และชาวอิตาลีเริ่มถูกส่งตัวกลับประเทศ นอกจากนี้ โรงงานผลิตขนาดเล็กจำนวนมากที่ก่อตั้งขึ้นระหว่างปี 1936 ถึง 1945 ถูกบังคับให้ปิดตัวลงเนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงจากโรงงานในยุโรปและตะวันออกกลาง
อังกฤษได้วางเอริเทรียไว้ภายใต้การบริหารของทหารอังกฤษจนกว่ากองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรจะสามารถกำหนดชะตากรรมของดินแดนนี้ได้ ในกรณีที่ไม่มีข้อตกลงระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรเกี่ยวกับสถานะของเอริเทรีย การบริหารของอังกฤษยังคงดำเนินต่อไปตลอดช่วงที่เหลือของสงครามโลกครั้งที่สองและจนถึงปี 1950 ในช่วงปีหลังสงครามทันที อังกฤษได้เสนอให้แบ่งเอริเทรียตามแนวชุมชนทางศาสนาและผนวกส่วนหนึ่งเข้ากับอาณานิคมซูดานของอังกฤษและอีกส่วนหนึ่งเข้ากับเอธิโอเปีย หลังจากมีการลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพกับอิตาลีในปี 1947 สหประชาชาติได้ส่งคณะกรรมาธิการสอบสวน (Commission of Enquiry) เพื่อตัดสินชะตากรรมของอาณานิคมแห่งนี้
3.7. การรวมเข้ากับสหพันธรัฐเอธิโอเปียและการผนวกดินแดน

ในช่วงทศวรรษ 1950 รัฐบาลศักดินาของเอธิโอเปียภายใต้จักรพรรดิเฮลี เซลาสซี (Haile Selassie) พยายามที่จะผนวกเอริเทรียและโซมาลิแลนด์ของอิตาลีเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตน พระองค์ได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อดินแดนทั้งสองในจดหมายถึงแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ (Franklin D. Roosevelt) ณ การประชุมสันติภาพปารีสและสมัยประชุมแรกของสหประชาชาติ ในสหประชาชาติ การอภิปรายเกี่ยวกับชะตากรรมของอดีตอาณานิคมอิตาลียังคงดำเนินต่อไป อังกฤษและอเมริกันต้องการยกดินแดนเอริเทรียส่วนใหญ่ ยกเว้นจังหวัดทางตะวันตก ให้แก่เอธิโอเปียเพื่อเป็นรางวัลสำหรับการสนับสนุนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กลุ่มพรรคการเมืองเพื่อเอกราชของเอริเทรียได้เรียกร้องอย่างต่อเนื่องต่อสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติให้จัดการลงประชามติทันทีเพื่อแก้ไขปัญหาอธิปไตยของเอริเทรีย
คณะกรรมาธิการสอบสวนของสหประชาชาติเดินทางถึงเอริเทรียในช่วงต้นปี 1950 และหลังจากนั้นประมาณหกสัปดาห์ก็เดินทางกลับนิวยอร์กเพื่อยื่นรายงาน มีการนำเสนอรายงานสองฉบับ รายงานส่วนน้อยที่นำเสนอโดยปากีสถานและกัวเตมาลาเสนอให้เอริเทรียเป็นเอกราชหลังจากช่วงเวลาการดูแลภายใต้ภาวะทรัสตี รายงานส่วนใหญ่ที่รวบรวมโดยพม่า นอร์เวย์ และสหภาพแอฟริกาใต้เรียกร้องให้รวมเอริเทรียเข้ากับเอธิโอเปีย
หลังจากการรับรองข้อมติของสหประชาชาติที่ 390A(V) ในเดือนธันวาคม 1950 เอริเทรียได้ถูกรวมเข้าเป็นสหพันธรัฐกับเอธิโอเปียภายใต้การผลักดันของสหรัฐอเมริกา ข้อมติดังกล่าวเรียกร้องให้เอริเทรียและเอธิโอเปียเชื่อมโยงกันผ่านโครงสร้างสหพันธรัฐแบบหลวม ๆ ภายใต้อธิปไตยของจักรพรรดิ เอริเทรียจะมีโครงสร้างการบริหารและตุลาการของตนเอง ธงชาติใหม่ของตนเอง และควบคุมกิจการภายในประเทศ รวมถึงตำรวจ การปกครองท้องถิ่น และการจัดเก็บภาษี รัฐบาลกลาง ซึ่งในทางปฏิบัติทั้งหมดคือรัฐบาลจักรวรรดิที่มีอยู่ จะควบคุมกิจการต่างประเทศ (รวมถึงการค้า) การป้องกันประเทศ การคลัง และการขนส่ง ข้อมตินี้เพิกเฉยต่อความปรารถนาของชาวเอริเทรียในการเป็นเอกราช แต่รับประกันสิทธิประชาธิปไตยและมาตรการปกครองตนเองในระดับหนึ่งแก่ประชาชน
ในปี 1958 กลุ่มชาวเอริเทรียได้ก่อตั้งขบวนการปลดปล่อยเอริเทรีย (Eritrean Liberation Movement - ELM) องค์กรนี้ส่วนใหญ่ประกอบด้วยนักศึกษา ปัญญาชน และผู้เชี่ยวชาญชาวเอริเทรีย ซึ่งดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอย่างลับ ๆ เพื่อปลูกฝังการต่อต้านนโยบายรวมศูนย์อำนาจของรัฐจักรวรรดิเอธิโอเปีย เมื่อวันที่ 1 กันยายน 1961 แนวร่วมปลดปล่อยเอริเทรีย (Eritrean Liberation Front - ELF) ภายใต้การนำของฮามิด อิดริส อวาเต (Hamid Idris Awate) ได้เริ่มการต่อสู้ด้วยอาวุธเพื่อเอกราช ในปี 1962 จักรพรรดิเฮลี เซลาสซีได้ยุบรัฐสภาเอริเทรียแต่เพียงฝ่ายเดียวและผนวกดินแดนเอริเทรียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเอธิโอเปียอย่างเป็นทางการ
3.8. สงครามประกาศอิสรภาพ

การผนวกเอริเทรียโดยเอธิโอเปียในปี 1962 ได้จุดชนวนให้เกิดสงครามประกาศอิสรภาพเอริเทรีย (Eritrean War of Independence) ซึ่งเป็นการต่อสู้ด้วยอาวุธที่ยาวนานเกือบ 30 ปี สงครามนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 1 กันยายน 1961 เมื่อแนวร่วมปลดปล่อยเอริเทรีย (Eritrean Liberation Front - ELF) ภายใต้การนำของฮามิด อิดริส อวาเต (Hamid Idris Awate) ได้เริ่มปฏิบัติการทางทหารเพื่อต่อต้านการปกครองของเอธิโอเปีย ตลอดระยะเวลาสามทศวรรษ ชาวเอริเทรียได้ต่อสู้กับรัฐบาลเอธิโอเปียหลายชุดที่สืบทอดอำนาจกันมา
ในช่วงทศวรรษ 1980 องค์กรพัฒนาเอกชนที่ชื่อว่า Eritrea Inter-Agency Consortium (EIAC) ได้ให้ความช่วยเหลือในโครงการพัฒนาต่าง ๆ แก่ขบวนการปลดปล่อยเอริเทรีย การต่อสู้ดำเนินไปจนถึงปี 1991 เมื่อแนวร่วมประชาชนเพื่อการปลดปล่อยเอริเทรีย (Eritrean People's Liberation Front - EPLF) ซึ่งเป็นกลุ่มที่สืบทอดมาจาก ELF และกลายเป็นกองกำลังหลักในการต่อสู้ สามารถเอาชนะกองกำลังเอธิโอเปียในเอริเทรียได้สำเร็จ นอกจากนี้ EPLF ยังได้ให้ความช่วยเหลือแก่แนวร่วมกองกำลังกบฏของเอธิโอเปีย (แนวร่วมประชาธิปไตยปฏิวัติประชาชนเอธิโอเปีย - EPRDF) ในการเข้าควบคุมกรุงอาดดิสอาบาบา เมืองหลวงของเอธิโอเปีย
หลังจากการสู้รบสิ้นสุดลง ได้มีการจัดการลงประชามติในเอริเทรียภายใต้การกำกับดูแลของสหประชาชาติ (UNOVER) ในปี 1993 ซึ่งประชาชนชาวเอริเทรียได้ลงคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นเพื่อเอกราช ส่งผลให้เอริเทรียประกาศเอกราชและได้รับการยอมรับในระดับสากลในปีเดียวกัน EPLF ได้เข้ายึดอำนาจ จัดตั้งรัฐบาลแบบพรรคเดียวตามแนวทางชาตินิยม และสั่งห้ามกิจกรรมทางการเมืองอื่น ๆ นับตั้งแต่นั้นมายังไม่มีการจัดการเลือกตั้งระดับชาติเกิดขึ้นในเอริเทรีย เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 1993 เอริเทรียได้รับการรับรองเข้าเป็นสมาชิกลำดับที่ 182 ของสหประชาชาติ
3.9. ประวัติศาสตร์สมัยใหม่หลังได้รับเอกราช
หลังจากได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์ในปี 1993 เอริเทรียภายใต้การนำของแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและความยุติธรรม (People's Front for Democracy and Justice - PFDJ) ซึ่งเดิมคือแนวร่วมประชาชนเพื่อการปลดปล่อยเอริเทรีย (EPLF) ได้เริ่มต้นกระบวนการสร้างชาติ แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญหลายประการทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ประเทศได้จัดตั้งรัฐบาลแบบพรรคเดียว โดยอีซาเอียส อาเฟเวร์กี (Isaias Afwerki) ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การพัฒนาประชาธิปไตยเป็นไปอย่างเชื่องช้า โดยไม่มีการจัดการเลือกตั้งระดับชาติหรือการเลือกตั้งประธานาธิบดีเลย สถานการณ์สิทธิมนุษยชนกลายเป็นประเด็นที่น่ากังวล โดยมีรายงานเกี่ยวกับการจำกัดเสรีภาพและการกดขี่ทางการเมืองอย่างกว้างขวาง ในด้านเศรษฐกิจ เอริเทรียพยายามฟื้นฟูประเทศจากภาวะสงคราม แต่ก็ยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเอธิโอเปีย ยังคงตึงเครียดและนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหม่
3.9.1. ข้อพิพาทชายแดนเอธิโอเปีย-เอริเทรีย
แม้จะได้รับเอกราชแล้ว ปัญหาพรมแดนที่ยังไม่ได้รับการปักปันเขตแดนอย่างชัดเจนกับเอธิโอเปียยังคงเป็นประเด็นสำคัญ ความสัมพันธ์ระหว่างเอริเทรียกับเอธิโอเปีย ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรในช่วงสั้น ๆ หลังสงครามประกาศอิสรภาพ ได้แปรเปลี่ยนเป็นความเป็นอริที่รุนแรง นำไปสู่การปะทุของสงครามชายแดนระหว่างเดือนพฤษภาคม 1998 ถึงมิถุนายน 2000 สงครามครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 70,000 คนจากทั้งสองฝ่าย และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ พื้นที่ที่เป็นจุดขัดแย้งหลักคือบริเวณรอบเมืองบาดเม (Badme) และซาลัมเบสซา (Zalambessa)
ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อนี้นำไปสู่ภาวะชะงักงันทางการเมืองและความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นระยะ พร้อมกับการคุกคามของสงครามครั้งใหม่ ประธานาธิบดีเอริเทรียได้เรียกร้องให้สหประชาชาติเข้ามาดำเนินการกับเอธิโอเปียผ่าน "จดหมายสิบเอ็ดฉบับ" (Eleven Letters) ที่ส่งถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ สถานการณ์ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากการที่ผู้นำของทั้งสองประเทศยังคงให้การสนับสนุนกลุ่มต่อต้านในประเทศของอีกฝ่าย ในปี 2011 เอธิโอเปียกล่าวหาเอริเทรียว่าวางระเบิดในการประชุมสุดยอดสหภาพแอฟริกา (African Union) ที่กรุงอาดดิสอาบาบา ซึ่งต่อมารายงานของสหประชาชาติก็ได้สนับสนุนข้อกล่าวหานี้ แต่เอริเทรียได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว ผลกระทบด้านมนุษยธรรมจากความขัดแย้งครั้งนี้มีมากมาย รวมถึงการพลัดถิ่นของประชาชน การสูญเสียชีวิต และผลกระทบต่อการพัฒนาในระยะยาวของทั้งสองประเทศ
3.9.2. ข้อตกลงสันติภาพปี 2018 และการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์
หลังจากความขัดแย้งและภาวะชะงักงันที่ยาวนานเกือบสองทศวรรษ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างเอริเทรียและเอธิโอเปียในปี 2018 เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2018 ผู้นำของทั้งสองประเทศได้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพครั้งประวัติศาสตร์ วันต่อมา ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในปฏิญญาร่วมซึ่งประกาศยุติความขัดแย้งชายแดนอย่างเป็นทางการ ข้อตกลงสันติภาพนี้เกิดขึ้นหลังจากที่อะบีย์ อะห์เม็ด (Abiy Ahmed) ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเอธิโอเปียและได้เริ่มนโยบายปฏิรูปหลายประการ รวมถึงการประกาศยอมรับคำตัดสินของคณะกรรมาธิการเขตแดนระหว่างประเทศที่ตัดสินให้เมืองบาดเมเป็นของเอริเทรีย ซึ่งเป็นประเด็นหลักของความขัดแย้ง
ข้อตกลงสันติภาพปี 2018 ประกอบด้วยการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต การเปิดพรมแดน การกลับมาให้บริการเที่ยวบินพาณิชย์ระหว่างสองประเทศ และการอนุญาตให้เอธิโอเปียซึ่งเป็นประเทศไม่มีทางออกสู่ทะเลสามารถใช้ท่าเรือของเอริเทรียได้ การเปลี่ยนแปลงนี้ได้รับการชื่นชมจากประชาคมระหว่างประเทศและสร้างความหวังใหม่ให้กับสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคจะงอยแอฟริกา อย่างไรก็ตาม การดำเนินการตามข้อตกลงในบางด้านยังคงเผชิญกับความท้าทาย และความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศยังคงมีพลวัตที่ซับซ้อน
3.9.3. การแทรกแซงความขัดแย้งในทิกรัย
ในปี 2020 ความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นระหว่างเอริเทรียและรัฐบาลกลางเอธิโอเปียได้นำไปสู่การที่กองทัพเอริเทรียเข้าไปมีส่วนร่วมในสงครามทิกรัย (Tigray War) ซึ่งเป็นความขัดแย้งภายในของเอธิโอเปียระหว่างรัฐบาลกลางกับแนวร่วมปลดปล่อยประชาชนทิกรัย (Tigray People's Liberation Front - TPLF) ในภูมิภาคทิกรัยทางตอนเหนือของเอธิโอเปีย กองทหารเอริเทรียได้เข้าร่วมปฏิบัติการทางทหารเคียงข้างกองทัพเอธิโอเปีย
การแทรกแซงของเอริเทรียในความขัดแย้งครั้งนี้ได้รับการยืนยันในเดือนเมษายน 2021 หลังจากที่มีรายงานจากพยานและองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่ง การมีส่วนร่วมของเอริเทรียถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากประชาคมระหว่างประเทศ โดยมีข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง รวมถึงการสังหารหมู่พลเรือน การข่มขืน และการปล้นสะดม ซึ่งพยานบางคนบรรยายว่าผู้คน "ถูกสังหารเหมือนไก่" สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และองค์การนิรโทษกรรมสากลได้ออกมาประณามการกระทำของกองทหารเอริเทรีย โดยองค์การนิรโทษกรรมสากลระบุว่าการสังหารหมู่โดยกองทหารเอริเทรียอาจถือเป็นอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ การแทรกแซงนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ความขัดแย้งในทิกรัยมีความซับซ้อนและรุนแรงยิ่งขึ้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพในภูมิภาคจะงอยแอฟริกาโดยรวม และทำให้เกิดวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมครั้งใหญ่
4. ภูมิศาสตร์


เอริเทรียตั้งอยู่ในแอฟริกาตะวันออก มีอาณาเขตทางตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันออกจรดทะเลแดง ทางตะวันตกติดกับซูดาน ทางใต้ติดกับเอธิโอเปีย และทางตะวันออกเฉียงใต้ติดกับจิบูตี ประเทศเอริเทรียตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 12° ถึง 18° เหนือ และลองจิจูด 36° ถึง 44° ตะวันออก มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 117.60 K km2 (บางแหล่งระบุ 120.00 K km2) รวมถึงกลุ่มเกาะดาห์ลัก (Dahlak Archipelago) และเกาะฮานิช (Hanish Islands) หลายเกาะ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของเอริเทรียมีความหลากหลายมาก โดยแบ่งออกเป็นสามเขตภูมิอากาศและภูมิประเทศหลัก ได้แก่ ที่ราบสูงตอนกลาง ที่ราบชายฝั่งทะเล และที่ราบต่ำทางตะวันตก
4.1. ลักษณะภูมิประเทศและธรณีวิทยา
ประเทศเอริเทรียถูกแบ่งตามแนวตั้งโดยกิ่งหนึ่งของเขาทรุดแอฟริกาตะวันออก (East African Rift) เอริเทรีย ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของทะเลแดง เป็นที่ตั้งของการแตกแขนงของเขาทรุดนี้ ลักษณะภูมิประเทศที่สำคัญสามารถแบ่งออกเป็นสามเขตหลัก:
1. ที่ราบสูงตอนกลาง (Eritrean Highlands): เป็นส่วนต่อขยายทางเหนือของที่ราบสูงเอธิโอเปีย (Ethiopian Highlands) มีความสูงถึง 3.00 K m อากาศเย็นสบายและมีความอุดมสมบูรณ์มากกว่าพื้นที่อื่น ๆ ลักษณะภูมิประเทศในเขตนี้มีความหลากหลาย ตั้งแต่ป่าฝนกึ่งเขตร้อนที่ฟิลฟิล โซโลโมนา (Filfil Solomona) ไปจนถึงหน้าผาสูงชันและหุบเขาลึกทางตอนใต้ของที่ราบสูง ด้านตะวันออกของที่ราบสูงมีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน ซึ่งเป็นกำแพงด้านตะวันตกของเขาทรุดแอฟริกาตะวันออก ส่วนทางลาดด้านตะวันตกของที่ราบสูงจะค่อย ๆ ลาดลงสู่ที่ราบต่ำภายในประเทศ จุดที่สูงที่สุดของประเทศคือ ภูเขาเอ็มบาโซอิรา (Emba Soira) ตั้งอยู่ตอนกลางของเอริเทรีย มีความสูง 3.02 K m เหนือระดับน้ำทะเล
2. ที่ราบชายฝั่งทะเล (Coastal Plain): เป็นที่ราบแคบ ๆ ทอดยาวไปตามแนวชายฝั่งทะเลแดง มีอากาศร้อนและแห้งแล้ง เป็นส่วนหนึ่งของเขตนิเวศวิทยาพุ่มไม้แล้งจิบูตี (Djibouti xeric shrublands) ที่ราบนี้แคบทางทิศตะวันตกและขยายกว้างขึ้นทางทิศตะวันออก บริเวณนี้ยังเป็นที่ตั้งของกลุ่มเกาะดาห์ลักและแหล่งประมง
3. ที่ราบต่ำทางตะวันตก (Western Lowlands): เป็นส่วนหนึ่งของทุ่งหญ้าสะวันนาอะคาเซียซาเฮล (Sahelian Acacia savanna) ซึ่งทอดยาวข้ามทวีปแอฟริกาทางใต้ของทะเลทรายซาฮาราจากเอริเทรียถึงเซเนกัล พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเอริเทรียมีแม่น้ำอัทบารา (Atbara River) ไหลผ่านไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อไปรวมกับแม่น้ำไนล์ ส่วนที่ราบสูงทางตะวันตกเฉียงเหนือมีแม่น้ำบาร์กา (Barka River) ไหลผ่านไปทางเหนือเข้าสู่ซูดานและไหลลงสู่ทะเลแดง
บริเวณสามเหลี่ยมอะฟาร์ (Afar Triangle) หรือแอ่งดานาคิล (Danakil Depression) ของเอริเทรีย เป็นที่ตั้งที่เป็นไปได้ของจุดเชื่อมต่อสามแผ่นเปลือกโลก (triple junction) ซึ่งแผ่นเปลือกโลกสามแผ่นกำลังแยกตัวออกจากกัน เอริเทรียมีกิจกรรมทางภูเขาไฟในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ในปี 2011 ภูเขาไฟนาโบร (Nabro Volcano) ได้เกิดการปะทุขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบปริมาณน้ำฝนในระดับท้องถิ่นและการลดลงของปริมาณน้ำฝนเป็นที่ทราบกันดีว่าเกิดขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดการกัดเซาะของดิน น้ำท่วม ภัยแล้ง การเสื่อมโทรมของที่ดิน และการแปรสภาพเป็นทะเลทราย ในปี 2006 เอริเทรียได้ประกาศว่าจะกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่จะเปลี่ยนชายฝั่งทั้งหมดให้เป็นเขตคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ชายฝั่งยาว 1.35 K km พร้อมด้วยชายฝั่งอีก 1.95 K km รอบเกาะมากกว่า 350 เกาะ จะอยู่ภายใต้การคุ้มครองของรัฐบาล
4.2. ภูมิอากาศ
ภูมิอากาศของเอริเทรียมีลักษณะหลากหลายตามลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่างกันและที่ตั้งภายในเขตร้อน สามารถแบ่งออกเป็นสามเขตภูมิอากาศหลักตามอุณหภูมิ: เขตอบอุ่น เขตกึ่งร้อน และเขตร้อน เนื่องจากความหลากหลายทางกายภาพ เอริเทรียจึงเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่สามารถสัมผัส "สี่ฤดูในหนึ่งวัน" ได้
- ที่ราบสูงตอนกลาง: มีภูมิอากาศแบบอบอุ่นตลอดทั้งปี อุณหภูมิเฉลี่ยในแอสมาราอยู่ที่ประมาณ 17 °C เดือนที่ร้อนที่สุดโดยทั่วไปคือเดือนพฤษภาคม ซึ่งอุณหภูมิอาจสูงถึง 30 °C ฤดูหนาวอยู่ในช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ ซึ่งอุณหภูมิอาจลดต่ำถึง 10 °C ในเวลากลางคืน ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยอยู่ที่ 540 มิลลิเมตร โดยมีฤดูฝนในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกันยายน ที่ฟิลฟิล โซโลโมนา (Filfil Solomona) มีปริมาณน้ำฝนมากกว่า 1100 มิลลิเมตร ต่อปี
- ที่ราบชายฝั่งทะเล: มีภูมิอากาศแบบแห้งแล้งและกึ่งแห้งแล้ง อากาศร้อนจัด ฤดูร้อนอยู่ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกันยายน ซึ่งอุณหภูมิอาจสูงถึง 40 °C ฤดูหนาวอยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ซึ่งอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 21 °C ถึง 35 °C ปริมาณน้ำฝนน้อยกว่า 300 มิลลิเมตรต่อปี
- ที่ราบต่ำทางตะวันตก: มีภูมิอากาศแบบแห้งแล้งและกึ่งแห้งแล้งเช่นกัน เดือนที่ร้อนที่สุดคือเมษายนถึงมิถุนายน อุณหภูมิอาจสูงถึง 41 °C เดือนที่หนาวที่สุดคือเดือนธันวาคม อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 13 °C ถึง 25 °C
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเอริเทรียอย่างมาก โดยการวิเคราะห์ในปี 2022 พบว่าต้นทุนที่คาดว่าจะต้องใช้ในการปรับตัวและป้องกันผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นจะสูงมาก
4.3. ความหลากหลายทางชีวภาพ


เอริเทรียมีความหลากหลายทางชีวภาพที่น่าสนใจ โดยมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดและมีนกถึง 560 สายพันธุ์ มีการบันทึกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 126 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 90 ชนิด และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ 19 ชนิด กฎระเบียบที่บังคับใช้ช่วยให้จำนวนสัตว์เหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่พบเห็นได้ทั่วไปในปัจจุบัน ได้แก่ กระต่ายป่าอะบิสซิเนีย (Abyssinian hare) แมวป่าแอฟริกา (African wild cat) หมาจิ้งจอกหลังดำ (Black-backed jackal) หมาป่าทองแอฟริกา (African golden wolf) ชะมด (Genet) กระรอกดิน (Ground squirrel) สุนัขจิ้งจอกซีด (Pale fox) ละมั่งโซมเมอร์ริง (Soemmerring's gazelle) และหมูป่า (Warthog) ละมั่งดอร์คัส (Dorcas gazelle) พบได้ทั่วไปในที่ราบชายฝั่งและในแคว้นกาช-บาร์กา (Gash-Barka Region)
มีรายงานว่าสิงโตอาศัยอยู่ในภูเขาของแคว้นกาช-บาร์กา ดิก-ดิก (Dik-diks) สามารถพบได้ในหลายพื้นที่ ลาป่าแอฟริกา (African wild ass) ที่ใกล้สูญพันธุ์อาจพบได้ในแคว้นเดนคาเลีย (Denakalia Region) สัตว์ป่าท้องถิ่นอื่น ๆ ได้แก่ พุ่มไม้พุ่ม (Bushbuck) ดุยเกอร์ (Duikers) คูดูใหญ่ (Greater kudu) คลิปสปริงเกอร์ (Klipspringer) เสือดาวแอฟริกา (African leopards) ออริกซ์ (Oryx) และจระเข้ ไฮยีน่าลายจุด (Spotted hyena) แพร่หลายและค่อนข้างพบได้บ่อย

ในอดีต มีประชากรช้างพุ่มไม้แอฟริกา (African bush elephant) ขนาดเล็กอาศัยอยู่ในบางส่วนของประเทศ ระหว่างปี 1955 ถึง 2001 ไม่มีรายงานการพบเห็นฝูงช้าง และเชื่อว่าพวกมันตกเป็นเหยื่อของสงครามประกาศอิสรภาพ ในเดือนธันวาคม 2001 มีการสังเกตเห็นฝูงช้างประมาณ 30 ตัว รวมถึงลูกช้าง 10 ตัว ในบริเวณใกล้เคียงกับแม่น้ำกัช (Gash River) ช้างดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกับลิงบาบูนโอลีฟ (Olive baboon) คาดว่ามีช้างพุ่มไม้แอฟริกาเหลืออยู่ในเอริเทรียประมาณ 100 ตัว ซึ่งเป็นช้างแอฟริกาตะวันออกที่อยู่เหนือสุด หมาป่าแอฟริกา (African wild dog) ที่ใกล้สูญพันธุ์เคยพบในเอริเทรีย แต่ปัจจุบันถือว่าสูญพันธุ์ไปจากทั้งประเทศแล้ว
ในแคว้นกาช-บาร์กา งูเช่น งูพิษเกล็ดเลื่อย (Saw-scaled viper) เป็นเรื่องปกติ งูพิษพัฟแอดเดอร์ (Puff adder) และงูเห่าพ่นพิษสีแดง (Red spitting cobra) แพร่หลายและอาจพบได้แม้ในที่ราบสูง ในพื้นที่ชายฝั่งทะเล สัตว์ทะเลที่พบบ่อย ได้แก่ โลมา พะยูน ฉลามวาฬ เต่าทะเล ปลากระโทงแทง ปลากระโทงดาบ และปลากระเบนราหู มีการบันทึกปลา 500 ชนิด เต่าทะเล 5 ชนิด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล 8 ชนิดขึ้นไป และพะยูน
เอริเทรียยังเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์หลายชนิดที่พบเฉพาะในเอริเทรีย ซึ่งรวมถึงแมลง กบ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม งู และพืชหลายชนิด มีการบันทึกพืชมากกว่า 700 ชนิดในเอริเทรีย รวมถึงพืชทะเลและหญ้าทะเล เอริเทรียมีถิ่นที่อยู่อาศัยที่หลากหลาย รวมถึงทุ่งหญ้าเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ทุ่งหญ้าสะวันนา ป่าละเมาะ ทะเลทราย ป่าละเมาะแล้ง ป่าใบกว้างชื้นเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน และป่าชายเลน อุทยานแห่งชาติทั้งหมดของเอริเทรียได้รับการคุ้มครอง ซึ่งรวมถึงอุทยานแห่งชาติทางทะเลดาห์ลัก (Dahlak Marine National Park) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่านาคฟา (Nakfa Wildlife Reserve) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ากัช-เซติต (Gash-Setit Wildlife Refuge) อุทยานแห่งชาติเซเมนาวี บาห์รี (Semenawi Bahri National Park) และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายอบ (Yob Wildlife Reserve)
5. การเมือง

ระบบการเมืองของเอริเทรียเป็นแบบสาธารณรัฐระบบประธานาธิบดีที่มีพรรคการเมืองเดียวคือแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและความยุติธรรม (People's Front for Democracy and Justice - PFDJ) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองเดียวที่ถูกกฎหมายในประเทศ การปกครองมีลักษณะรวมศูนย์อำนาจและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากนานาชาติว่าเป็นระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ รัฐธรรมนูญปี 1997 ซึ่งบัญญัติให้มีระบบหลายพรรคการเมืองยังไม่ถูกนำมาบังคับใช้ นับตั้งแต่ได้รับเอกราชในปี 1993 อีซาเอียส อาเฟเวร์กี (Isaias Afwerki) ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมาโดยตลอด และยังไม่มีการจัดการเลือกตั้งระดับชาติหรือการเลือกตั้งประธานาธิบดีเลย สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของพลเมืองเป็นประเด็นที่น่ากังวลอย่างยิ่ง โดยมีการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก สื่อมวลชน และการรวมกลุ่มอย่างเข้มงวด
5.1. รัฐบาลและระบบการเมือง
เอริเทรียเป็นรัฐเดี่ยวที่มีระบบการปกครองแบบสาธารณรัฐระบบประธานาธิบดี และเป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวภายใต้การนำของแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและความยุติธรรม (People's Front for Democracy and Justice - PFDJ) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองเดียวที่ถูกกฎหมายในประเทศ รัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากองค์กรสิทธิมนุษยชนและประชาคมระหว่างประเทศว่าเป็นระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ประธานาธิบดีอีซาเอียส อาเฟเวร์กี (Isaias Afwerki) ดำรงตำแหน่งประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาลนับตั้งแต่ประเทศได้รับเอกราชในปี 1993 อำนาจบริหารกระจุกตัวอยู่ที่ประธานาธิบดี ซึ่งมีอำนาจในการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ
สมัชชาแห่งชาติเอริเทรีย (National Assembly) มีจำนวน 150 ที่นั่ง ประกอบด้วยสมาชิกจากคณะกรรมการกลางของ PFDJ สมาชิกจากสภาร่างรัฐธรรมนูญชุดเดิม และผู้แทนชาวเอริเทรียในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม สมัชชาแห่งชาติไม่ได้มีการประชุมอย่างสม่ำเสมอ และบทบาทในการออกกฎหมายและการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจบริหารมีจำกัดอย่างมาก รัฐธรรมนูญปี 1997 ซึ่งกำหนดให้มีระบบหลายพรรคการเมืองและรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมือง ยังไม่ได้รับการบังคับใช้จนถึงปัจจุบัน
5.2. การเลือกตั้ง
นับตั้งแต่เอริเทรียได้รับเอกราชในปี 1993 ยังไม่มีการจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีหรือการเลือกตั้งทั่วไปในระดับชาติเลยแม้แต่ครั้งเดียว การเลือกตั้งระดับชาติหลายครั้งได้ถูกกำหนดไว้แล้วแต่ก็ถูกยกเลิกไปในภายหลัง ส่งผลให้ประธานาธิบดีอีซาเอียส อาเฟเวร์กี (Isaias Afwerki) และพรรคแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและความยุติธรรม (PFDJ) ยังคงอยู่ในอำนาจอย่างต่อเนื่องโดยไม่ผ่านกระบวนการเลือกตั้งจากประชาชน
ภูมิหลังของสถานการณ์นี้มีความซับซ้อน ในปี 1993 ผู้แทน 75 คนได้รับเลือกตั้งเข้าสู่สมัชชาแห่งชาติ ส่วนที่เหลือมาจากการแต่งตั้ง สมัชชาแห่งชาตินี้ได้เลือกประธานาธิบดีอีซาเอียส อาเฟเวร์กี เป็นประธานาธิบดีคนแรกของเอริเทรียที่เป็นเอกราช หลังจากนั้น ประธานาธิบดีอาเฟเวร์กีได้รวบอำนาจควบคุมรัฐบาลเอริเทรียอย่างเบ็ดเสร็จ รายงานของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) ระบุว่า "ไม่มีการเลือกตั้งระดับชาติเกิดขึ้นตั้งแต่นั้นมา และไม่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีเลย การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นหรือระดับภูมิภาคก็ไม่ได้จัดขึ้นตั้งแต่ปี 2003-2004"
ประธานาธิบดีอาเฟเวร์กีได้แสดงความไม่เห็นด้วยต่อสิ่งที่เขาเรียกว่า "ประชาธิปไตยแบบตะวันตก" อยู่บ่อยครั้ง ในการให้สัมภาษณ์กับอัลญะซีเราะฮ์ (Al Jazeera) ในปี 2008 เขากล่าวว่า "เอริเทรียจะรออีกสามหรือสี่ทศวรรษ หรืออาจจะนานกว่านั้น ก่อนที่จะจัดการเลือกตั้ง ใครจะรู้?" สถานการณ์นี้ทำให้เอริเทรียถูกจัดอันดับโดยดัชนีประชาธิปไตยวี-เดม (V-Dem Democracy indices) ในปี 2023 ว่าเป็นประเทศที่มีอันดับต่ำที่สุดเป็นอันดับสองของโลกในด้านประชาธิปไตย และเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยแบบการเลือกตั้งต่ำที่สุดในแอฟริกา การขาดการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกโดยกลุ่มสิทธิมนุษยชนและประชาคมระหว่างประเทศ ซึ่งมองว่าเป็นการบั่นทอนสิทธิทางการเมืองของประชาชนและการพัฒนาประชาธิปไตยในเอริเทรีย
5.3. สิทธิมนุษยชน

สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเอริเทรียเป็นประเด็นที่น่ากังวลอย่างยิ่งและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากประชาคมระหว่างประเทศและองค์กรสิทธิมนุษยชน เอริเทรียเป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวที่ไม่มีการเลือกตั้งระดับชาติ และฮิวแมนไรตส์วอตช์ (Human Rights Watch) ประเมินว่าประวัติด้านสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลเอริเทรียจัดอยู่ในกลุ่มที่เลวร้ายที่สุดในโลก รัฐบาลเอริเทรียมักปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ โดยอ้างว่ามีแรงจูงใจทางการเมือง

ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมา ได้แก่:
- การจับกุมและคุมขังโดยพลการ: มีรายงานการจับกุมและคุมขังบุคคลจำนวนมากโดยไม่มีการตั้งข้อหาหรือการพิจารณาคดี โดยเฉพาะผู้ที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองหรือผู้ที่ถูกมองว่าเป็นภัยต่อรัฐบาล กลุ่ม G-15 ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูง 15 คน รวมถึงรัฐมนตรี 3 คน ถูกจับกุมในเดือนกันยายน 2001 หลังจากเผยแพร่จดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้มีการเจรจาตามระบอบประชาธิปไตย พวกเขาและบุคคลอื่น ๆ อีกหลายพันคนที่ถูกกล่าวหาว่ามีความเกี่ยวข้องยังคงถูกคุมขังโดยไม่ผ่านกระบวนการทางกฎหมาย
- การจำกัดเสรีภาพ: เสรีภาพในการแสดงออก สื่อมวลชน การชุมนุม และการสมาคมถูกจำกัดอย่างเข้มงวด ผู้ที่นับถือศาสนาที่ "ไม่ได้รับการจดทะเบียน" พยายามหลบหนีออกนอกประเทศ หรือหลีกเลี่ยงการรับราชการทหาร จะถูกจับกุมและคุมขัง
- การทรมานและการสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม: มีรายงานการทรมานอย่างกว้างขวางและเป็นระบบ รวมถึงการสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม โดยมีการกล่าวอ้างว่าบุคคลใด ๆ ไม่ว่าเด็กหรือผู้สูงอายุ ก็อาจถูกจับกุมได้โดยมีหรือไม่มีเหตุผล
- ระบบการรับใช้ชาติภาคบังคับ: ชายและหญิงชาวเอริเทรียทุกคนที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 40 ปี (บางแหล่งระบุถึง 50 ปี) ต้องเข้ารับการรับใช้ชาติภาคบังคับ ซึ่งรวมถึงการรับราชการทหาร นับตั้งแต่ปี 1998 การรับใช้ชาติมีลักษณะไม่มีกำหนดระยะเวลา จนกว่าจะได้รับการปลดประจำการ ซึ่งอาจขึ้นอยู่กับการตัดสินใจโดยพลการของผู้บังคับบัญชา โดยเฉลี่ยแล้วผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารต้องรับใช้ชาตินานถึง 6.5 ปี และบางรายนานกว่า 12 ปี ระบบนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการบังคับใช้แรงงาน และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชาวเอริเทรียจำนวนมากต้องอพยพออกนอกประเทศ
- สิทธิของกลุ่มเปราะบางและชนกลุ่มน้อย: สถานการณ์สิทธิมนุษยชนส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อกลุ่มเปราะบางและชนกลุ่มน้อย การปฏิบัติต่อบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBT) เป็นสิ่งผิดกฎหมายทั้งชายและหญิง
- การละเมิดสิทธิมนุษยชนในบริบทความขัดแย้ง: ในช่วงสงครามประกาศอิสรภาพและสงครามชายแดนเอริเทรีย-เอธิโอเปีย มีรายงานการก่ออาชญากรรมโดยเจ้าหน้าที่เอธิโอเปียต่อพลเรือนเอริเทรียที่ไม่มีอาวุธ นอกจากนี้ รายงานของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในเดือนมิถุนายน 2016 กล่าวหารัฐบาลเอริเทรียว่ามีการประหารชีวิตนอกกระบวนการยุติธรรม การทรมาน การบังคับใช้แรงงาน และการคุกคามทางเพศ การข่มขืน และการตกเป็นทาสทางเพศโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งรัฐบาลเอริเทรียปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้
แม้ว่ารัฐบาลเอริเทรียจะดำเนินการบางอย่าง เช่น การสั่งห้ามการขริบอวัยวะเพศหญิง (FGM) ในปี 2007 และมีการจัดการประชุมสาธารณะเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในปี 2006 แต่สถานการณ์โดยรวมยังไม่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในปี 2009 มีการก่อตั้งขบวนการพลเมืองเพื่อสิทธิประชาธิปไตยในเอริเทรีย (Citizens for Democratic Rights in Eritrea) เพื่อสร้างการเจรจาระหว่างรัฐบาลและฝ่ายค้านทางการเมือง แต่ยังไม่เห็นความพยายามที่สำคัญจากรัฐบาลเอริเทรียในการปรับปรุงประวัติด้านสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ เอริเทรียยังแสดงจุดยืนสนับสนุนจีนในประเด็นการปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์ในสหประชาชาติในปี 2019 และ 2020
รัฐบาลเอริเทรียอ้างว่าเรื่องราวจากสื่อตะวันตกเกี่ยวกับประเทศนั้นถูกบิดเบือน สร้างเรื่อง และมักถูกใช้เพื่อสร้างเรื่องราวเพื่อการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง รัฐบาลอ้างว่าถูกโจมตีเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามวาระของชาติตะวันตกต่อประเทศในแอฟริกา เช่น การปฏิเสธความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากต่างประเทศตั้งแต่ปี 2005 โดยมองว่าความช่วยเหลือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริง นอกจากนี้ยังกล่าวหาชาติตะวันตกว่าจงใจทำให้ประเทศเสื่อมเสียชื่อเสียงผ่านการรณรงค์ใส่ร้าย และตกเป็นเป้าหมายของการคว่ำบาตรและสงครามที่ชาติตะวันตกสนับสนุนผ่านกลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยประชาชนทิกรัย (TPLF) ของเอธิโอเปีย และกล่าวหาชาติตะวันตกว่าล่อลวงชาวเอริเทรียให้ออกนอกประเทศโดยจงใจให้สถานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองแก่ชาวเอริเทรียจำนวนมาก
5.4. เสรีภาพสื่อ
เสรีภาพสื่อในเอริเทรียถูกจำกัดอย่างรุนแรง และได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีเสรีภาพสื่อน้อยที่สุดในโลกอย่างต่อเนื่อง ในดัชนีเสรีภาพสื่อปี 2023 ขององค์การนักข่าวไร้พรมแดน (Reporters Without Borders) เอริเทรียอยู่ในอันดับที่ 174 จาก 180 ประเทศ
สถานการณ์เสรีภาพสื่อในเอริเทรียมีลักษณะดังนี้:
- ไม่มีสื่อเอกชน: เอริเทรียเป็นประเทศเดียวในแอฟริกาที่ไม่มีสำนักข่าวที่เป็นของเอกชน สื่อทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลผ่านกระทรวงสารสนเทศ
- การควบคุมเนื้อหาโดยรัฐ: สื่อของรัฐทำหน้าที่เพียงถ่ายทอดวาทกรรมที่แข็งกร้าวและชาตินิยมสุดโต่งของรัฐบาล ไม่มีการรายงานข่าวที่เป็นอิสระหรือวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล
- ไม่มีผู้สื่อข่าวต่างชาติ: ไม่มีผู้สื่อข่าวต่างชาติประจำอยู่ในกรุงแอสมารา ทำให้การรับรู้ข้อมูลจากภายในประเทศเป็นไปได้ยาก
- การเซ็นเซอร์ข่าวสาร: สำนักข่าวของรัฐทำการเซ็นเซอร์ข่าวสารเกี่ยวกับเหตุการณ์ภายนอกประเทศ
- การสั่งห้ามสื่ออิสระ: สื่ออิสระทั้งหมดถูกสั่งห้ามดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2001
- การคุมขังนักข่าว: ทางการเอริเทรียได้คุมขังนักข่าวเป็นจำนวนมากที่สุดเป็นอันดับสี่ของโลก รองจากตุรกี จีน และอียิปต์ นักข่าวที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือพยายามรายงานข่าวอย่างอิสระมักถูกจับกุมและคุมขังโดยไม่มีการตั้งข้อหาหรือการพิจารณาคดี บางรายเสียชีวิตในระหว่างการคุมขัง ในปี 2024 ดาวิต อิซาอัก (Dawit Isaak) นักข่าวชาวเอริเทรีย-สวีเดน ซึ่งถูกคุมขังมาตั้งแต่ปี 2001 โดยไม่ผ่านกระบวนการทางกฎหมาย ได้รับรางวัลเอเดลสแตม (Edelstam Prize) ซึ่งเป็นรางวัลด้านสิทธิมนุษยชน
สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ประชาชนเอริเทรียไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่หลากหลายและเป็นอิสระ และเป็นการบั่นทอนสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและเสรีภาพในการแสดงออกอย่างรุนแรง
6. เขตการปกครอง
ประเทศเอริเทรียแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 6 แคว้น (ዞባโซบาภาษาทือกรึญญา regionรีเจียนภาษาอังกฤษ) ซึ่งถือเป็นหน่วยการปกครองทางภูมิศาสตร์หลัก แคว้นเหล่านี้ยังถูกแบ่งย่อยออกเป็น 58 เขต (ንኡስ ዞባนุอุส โซบาภาษาทือกรึญญา districtดิสทริกต์ภาษาอังกฤษ หรือ sub-region) การแบ่งเขตการปกครองในปัจจุบันนี้มีผลบังคับใช้ในปี 1996 ซึ่งเป็นการรวมจังหวัดเดิม 10 จังหวัดเข้าด้วยกัน โดยมีหลักเกณฑ์การแบ่งเขตตามลุ่มน้ำ (water catchment basins)
แคว้นทั้ง 6 ของเอริเทรีย ได้แก่:
แคว้น | พื้นที่ (ตร.กม.) | เมืองหลวง |
---|---|---|
มาเกล (กลาง) | 1.30 K km2 | แอสมารา |
อันเซบา | 23.20 K km2 | เคเรน |
กาช-บาร์กา | 33.20 K km2 | บาเรนตู |
เดบับ (ใต้) | 8.00 K km2 | เมนเดเฟรา |
ทะเลแดงเหนือ (เซเมนาวี เกยิห์ บาห์รี) | 27.80 K km2 | มาสซาวา |
ทะเลแดงใต้ (เดบูบาวี เกยิห์ บาห์รี) | 27.60 K km2 | อัสซาบ |
6.1. เมืองสำคัญ
เมืองสำคัญของเอริเทรีย ได้แก่:
- แอสมารา (Asmara): เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ตั้งอยู่ในแคว้นมาเกล (ภาคกลาง) เป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของเอริเทรีย แอสมารามีชื่อเสียงด้านสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก
- เคเรน (Keren): เป็นเมืองหลวงของแคว้นอันเซบา (Anseba Region) ทางตอนเหนือของประเทศ เป็นเมืองใหญ่อันดับสองและเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ
- มาสซาวา (Massawa): เป็นเมืองท่าสำคัญทางประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลแดงในแคว้นทะเลแดงเหนือ (Northern Red Sea Region) และเป็นเมืองหลวงของแคว้นนี้ มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
- อัสซาบ (Assab): เป็นเมืองท่าอีกแห่งหนึ่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ในแคว้นทะเลแดงใต้ (Southern Red Sea Region) และเป็นเมืองหลวงของแคว้นนี้ มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ
- เมนเดเฟรา (Mendefera): เป็นเมืองหลวงของแคว้นเดบับ (ภาคใต้) เป็นศูนย์กลางทางการเกษตรและประวัติศาสตร์
- บาเรนตู (Barentu): เป็นเมืองหลวงของแคว้นกาช-บาร์กา (Gash-Barka Region) ซึ่งเป็นแคว้นที่ใหญ่ที่สุดและมีความสำคัญทางการเกษตร
- เดเคมฮาเร (Dekemhare): เป็นเมืองสำคัญในแคว้นเดบับ (ภาคใต้) มีประวัติศาสตร์ยาวนานและเป็นศูนย์กลางการค้า
- อาดิ เคย์ห์ (Adi Keyh): เป็นเมืองในแคว้นเดบับ (ภาคใต้) มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
- เอ็ดด์ (Edd): เป็นเมืองในแคว้นทะเลแดงใต้
- อากอร์ดัต (Agordat หรือ Ak'ordat): เป็นเมืองในแคว้นกาช-บาร์กา เป็นศูนย์กลางการค้าและมีประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องกับการค้นพบทางโบราณคดี
7. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ


นโยบายต่างประเทศหลักของเอริเทรียมักมุ่งเน้นไปที่การรักษาอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อเอกราชอันยาวนาน เอริเทรียเป็นสมาชิกของสหประชาชาติและสหภาพแอฟริกา (AU) และเป็นรัฐผู้สังเกตการณ์ในสันนิบาตอาหรับ นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกขององค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ เช่น ธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะและพัฒนา (IBRD) องค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ (INTERPOL) และองค์การเพื่อการห้ามใช้อาวุธเคมี (OPCW) ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านมีความซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเอธิโอเปีย ซึ่งมีข้อพิพาทชายแดนที่ยืดเยื้อและเพิ่งมีข้อตกลงสันติภาพในปี 2018 ก่อนที่จะเกิดความตึงเครียดอีกครั้งจากการแทรกแซงในความขัดแย้งในทิกรัย เอริเทรียยังมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับจิบูตีและเยเมนในอดีตเนื่องจากข้อพิพาทเรื่องดินแดน สำหรับความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป จีน และรัสเซีย มีลักษณะที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ทางการเมืองและผลประโยชน์ของชาติ
7.1. ความสัมพันธ์กับเอธิโอเปีย


ความสัมพันธ์ระหว่างเอริเทรียและเอธิโอเปียมีความซับซ้อนและผันผวนอย่างมากตลอดประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่เอริเทรียได้รับเอกราชจากเอธิโอเปียหลังสงครามประกาศอิสรภาพที่ยาวนาน 30 ปี ความสัมพันธ์ในช่วงแรกเป็นไปอย่างระมัดระวัง แต่ไม่นานก็กลายเป็นความเป็นอริที่รุนแรง ซึ่งนำไปสู่สงครามชายแดนระหว่างปี 1998 ถึง 2000 สงครามครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 70,000 คนจากทั้งสองฝ่าย และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ประเด็นหลักของความขัดแย้งคือการปักปันเขตแดนที่ไม่ชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณเมืองบาดเม (Badme)
หลังสงคราม ข้อพิพาทดังกล่าวยังคงไม่คลี่คลาย นำไปสู่ภาวะชะงักงันทางการเมืองและความตึงเครียดที่ปะทุขึ้นเป็นระยะ ประธานาธิบดีเอริเทรียได้เรียกร้องให้สหประชาชาติเข้ามาดำเนินการกับเอธิโอเปีย สถานการณ์ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากการที่ผู้นำของทั้งสองประเทศให้การสนับสนุนกลุ่มต่อต้านในประเทศของอีกฝ่าย ในปี 2011 เอธิโอเปียกล่าวหาเอริเทรียว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางแผนวางระเบิดในการประชุมสุดยอดสหภาพแอฟริกา (AU) ซึ่งเอริเทรียปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ ผลกระทบด้านมนุษยธรรมจากความขัดแย้งนี้มีมากมาย รวมถึงการพลัดถิ่นของประชาชน การสูญเสียชีวิต และผลกระทบต่อการพัฒนาในระยะยาว
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2018 เมื่อมีการลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างสองประเทศ ตามมาด้วยปฏิญญาร่วมที่ประกาศยุติความขัดแย้งชายแดนอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์กลับมาตึงเครียดอีกครั้งในปี 2020 เมื่อกองทัพเอริเทรียเข้าไปมีส่วนร่วมในสงครามทิกรัย (Tigray War) โดยเข้าข้างรัฐบาลเอธิโอเปียในการต่อสู้กับแนวร่วมปลดปล่อยประชาชนทิกรัย (TPLF) การแทรกแซงนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากนานาชาติ และมีรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางโดยกองกำลังเอริเทรีย ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพลเรือนในภูมิภาคทิกรัย
7.2. ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน
นอกเหนือจากเอธิโอเปียแล้ว เอริเทรียยังมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ:
- ซูดาน: ความสัมพันธ์ระหว่างเอริเทรียกับซูดานมีความผันผวน ในอดีตเคยมีความตึงเครียดจากข้อกล่าวหาเรื่องการสนับสนุนกลุ่มกบฏของแต่ละฝ่าย และปัญหาความมั่นคงบริเวณชายแดน อย่างไรก็ตาม ในบางช่วงเวลาก็มีความร่วมมือในประเด็นระดับภูมิภาค
- จิบูตี: เอริเทรียและจิบูตีมีข้อพิพาทชายแดนเกี่ยวกับหมู่เกาะดูเมรา (Doumeira Islands) และพื้นที่ชายแดนทางบก ซึ่งนำไปสู่การปะทะกันทางทหารในปี 2008 ความสัมพันธ์ยังคงตึงเครียด แม้จะมีความพยายามไกล่เกลี่ยจากนานาชาติ เช่น กาตาร์
- เยเมน: ในอดีต เอริเทรียและเยเมนเคยมีข้อพิพาทเรื่องอธิปไตยเหนือหมู่เกาะฮานิช (Hanish Islands) ในทะเลแดง ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งทางทหารในช่วงสั้น ๆ ในปี 1995-1996 (บางแหล่งระบุ 1993-1998) ข้อพิพาทนี้ได้รับการตัดสินโดยศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศในภายหลัง
ปัญหาชายแดนและความมั่นคงในภูมิภาคยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ของเอริเทรียกับประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในประเทศเพื่อนบ้านและพลวัตของอำนาจในภูมิภาคจะงอยแอฟริกาก็มีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์เหล่านี้เช่นกัน
7.3. ความสัมพันธ์กับประเทศอื่น ๆ และองค์กรระหว่างประเทศ
เอริเทรียดำเนินนโยบายต่างประเทศที่มุ่งเน้นความเป็นอิสระและอธิปไตยของตนเองอย่างเข้มแข็ง ซึ่งบางครั้งนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับประเทศมหาอำนาจและองค์กรระหว่างประเทศบางแห่ง
- สหรัฐอเมริกา: ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ มีความซับซ้อน ในเดือนพฤษภาคม 2019 สหรัฐฯ ได้ถอดเอริเทรียออกจาก "บัญชีรายชื่อประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมือในการต่อต้านการก่อการร้าย" และมีการเยือนของคณะผู้แทนรัฐสภาสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ยังคงวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเอริเทรียอย่างต่อเนื่อง และได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อเจ้าหน้าที่เอริเทรียบางคนอันเนื่องมาจากการมีส่วนร่วมในความขัดแย้งในทิกรัย เอริเทรียมักวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของสหรัฐฯ ในภูมิภาค
- รัสเซีย: เอริเทรียได้กระชับความสัมพันธ์กับรัสเซียในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีอาเฟเวร์กีได้พบกับประธานาธิบดีปูติน และเอริเทรียเป็นหนึ่งในสี่ประเทศ (ร่วมกับเบลารุส ซีเรีย และเกาหลีเหนือ) ที่ลงคะแนนเสียงคัดค้านข้อมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ประณามการรุกรานยูเครนของรัสเซียในปี 2022
- จีน: เอริเทรียได้แสดงการสนับสนุนจีนในประเด็นเกี่ยวกับชาวอุยกูร์ในที่ประชุมสหประชาชาติ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีน โดยเฉพาะในด้านการลงทุนเหมืองแร่ ก็มีความสำคัญ
- สหภาพยุโรป: สหภาพยุโรปมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเอริเทรีย และได้เชื่อมโยงการให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนากับการปรับปรุงในด้านนี้ เอริเทรียมักวิพากษ์วิจารณ์ท่าทีของสหภาพยุโรป
- องค์กรระหว่างประเทศ: เอริเทรียเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ (UN) และสหภาพแอฟริกา (AU) แม้ว่าในอดีตจะเคยถอนตัวจาก AU ชั่วคราวเนื่องจากปัญหาข้อพิพาทชายแดนกับเอธิโอเปีย เอริเทรียยังเป็นรัฐผู้สังเกตการณ์ในสันนิบาตอาหรับ
- เกาหลีใต้: (ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างเอริเทรียและสาธารณรัฐเกาหลีในแหล่งข้อมูลที่ให้มา)
นโยบายต่างประเทศของเอริเทรียมักถูกมองว่าเป็นการโดดเดี่ยวตนเอง แต่รัฐบาลเอริเทรียโต้แย้งว่าเป็นการยืนหยัดในหลักการอธิปไตยและต่อต้านการแทรกแซงจากภายนอก
8. การทหาร

กองกำลังป้องกันเอริเทรีย (Eritrean Defence Forces - EDF) เป็นกองกำลังทหารอย่างเป็นทางการของรัฐเอริเทรีย ประกอบด้วยสามเหล่าทัพหลัก ได้แก่ กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ กองทัพเอริเทรียถือเป็นหนึ่งในกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกาเมื่อพิจารณาจากจำนวนกำลังพลเทียบกับประชากรทั้งหมดของประเทศ นโยบายด้านกลาโหมของเอริเทรียมุ่งเน้นไปที่การป้องกันอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน ซึ่งเป็นผลมาจากประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อเอกราชอันยาวนานและข้อพิพาทชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน กองทัพยังมีบทบาทสำคัญในโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศผ่านระบบการรับใช้ชาติภาคบังคับ
8.1. กองกำลังป้องกันเอริเทรีย
กองกำลังป้องกันเอริเทรีย (Eritrean Defence Forces - EDF) ประกอบด้วยสามเหล่าทัพหลัก ได้แก่ กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ มีบทบาทหลักในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศ รวมถึงการรักษาความมั่นคงภายใน
ขนาดกำลังพลของ EDF มีการประเมินที่แตกต่างกันไป บางแหล่งข้อมูลในปี 1998 (Killion) ระบุว่ามีกำลังพลประจำการประมาณ 45,000 นาย และกำลังพลสำรองประมาณ 250,000 นาย ในขณะที่ข้อมูลจากปี 2009 (แหล่งข้อมูลภาษาญี่ปุ่น) ระบุว่ากองทัพบกมีกำลังพล 200,000 นาย กองทัพเรือ 1,400 นาย และกองทัพอากาศ 400 นาย ตัวเลขกำลังพลประจำการที่ประมาณ 200,000 นายมักถูกอ้างอิงถึงบ่อยครั้ง ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศ
นอกเหนือจากภารกิจหลักด้านการป้องกันประเทศ EDF ยังมีส่วนร่วมในกิจกรรมอื่น ๆ เช่น การมีส่วนร่วมในความขัดแย้งระดับภูมิภาคดังที่เห็นได้จากการแทรกแซงในสงครามทิกรัย และการดำเนินโครงการพัฒนาประเทศผ่านระบบการรับใช้ชาติภาคบังคับ
ในปี 2012 รัฐบาลได้จัดตั้งกองกำลังอาสาสมัครประชาชน (People's Militia หรือ "Hizbawi Serawit") เพื่อให้การฝึกทหารเพิ่มเติมแก่พลเรือนและช่วยเหลืองานพัฒนา โครงสร้างองค์กรจัดตามอาชีพและ/หรือภูมิศาสตร์ และทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบการรับใช้ชาติ
8.2. การรับใช้ชาติ (ระบบเกณฑ์ทหาร)
ระบบการรับใช้ชาติภาคบังคับในเอริเทรียเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อสังคมและได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติ ระบบนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1995 หลังได้รับเอกราช โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ ปลูกฝังความภาคภูมิใจในชาติ และสร้างระเบียบวินัยในหมู่ประชาชน ตามกฎหมาย ชายและหญิงชาวเอริเทรียทุกคนที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 40 ปี (บางแหล่งระบุถึง 50 ปี หรืออายุต่ำกว่า 50 ปี) ต้องเข้ารับการรับใช้ชาติภาคบังคับ ซึ่งรวมถึงการฝึกทหารเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 18 เดือน (ฝึกทหาร 6 เดือน และอีก 12 เดือนในระหว่างปีการศึกษาสุดท้ายของโรงเรียนมัธยมปลาย)
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เกิดความขัดแย้งชายแดนกับเอธิโอเปียในปี 1998 ระยะเวลาการรับใช้ชาติได้ถูกขยายออกไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าจะได้รับการปลดประจำการ ซึ่งมักขึ้นอยู่กับการตัดสินใจโดยพลการของผู้บังคับบัญชา จากการศึกษาผู้หลบหนีการเกณฑ์ทหารจำนวน 200 คน พบว่าระยะเวลาการรับใช้ชาติโดยเฉลี่ยคือ 6.5 ปี และบางรายต้องรับใช้นานกว่า 12 ปี
ประกาศว่าด้วยการรับใช้ชาติปี 1995 ไม่ยอมรับสิทธิในการคัดค้านการเกณฑ์ทหารด้วยเหตุผลทางมโนธรรม (conscientious objection) การไม่เข้ารับการเกณฑ์ทหารหรือการปฏิเสธการรับราชการทหารมีโทษจำคุก ผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารไม่เพียงแต่ปฏิบัติหน้าที่ทางทหารเท่านั้น แต่ยังถูกส่งไปทำงานในโครงการต่าง ๆ ของรัฐ เช่น การสร้างถนน การทำงานในฟาร์มของรัฐ งานโยธา และการทำเหมือง ซึ่งถูกมองว่าเป็นการบังคับใช้แรงงาน
ผลกระทบทางสังคมของระบบนี้มีนัยสำคัญ ทำให้ชาวเอริเทรียจำนวนมาก โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว ตัดสินใจหลบหนีออกนอกประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหารที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาและสภาพการทำงานที่ย่ำแย่ สิ่งนี้ส่งผลให้เกิดวิกฤตผู้ลี้ภัยชาวเอริเทรียจำนวนมากในประเทศเพื่อนบ้านและยุโรป ประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะองค์กรสิทธิมนุษยชน ได้ประณามระบบการรับใช้ชาติของเอริเทรียว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นรุนแรง
9. เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของเอริเทรียเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่พัฒนาน้อยที่สุดในโลก โดยต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการอันเนื่องมาจากประวัติศาสตร์ความขัดแย้งที่ยาวนาน การแยกตัวออกจากประชาคมระหว่างประเทศในบางช่วง และนโยบายเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ของรัฐบาล โครงสร้างทางเศรษฐกิจหลักของประเทศพึ่งพาภาคเกษตรกรรม ซึ่งจ้างงานประชากรส่วนใหญ่ แต่มีส่วนร่วมในผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ค่อนข้างน้อย นอกจากนี้ ภาคเหมืองแร่ โดยเฉพาะทองคำและโลหะพื้นฐาน ได้กลายเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การส่งเงินกลับประเทศจากชาวเอริเทรียที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศก็เป็นอีกหนึ่งแหล่งรายได้ที่สำคัญสำหรับเศรษฐกิจ รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายพึ่งพาตนเองและจำกัดความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม ความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมยังคงเป็นปัญหาสำคัญ และผลกระทบของนโยบายเศรษฐกิจต่อความเป็นอยู่ของประชาชนโดยรวมยังคงเป็นที่น่ากังวล
9.1. แนวโน้มเศรษฐกิจมหภาค
เศรษฐกิจของเอริเทรียมีลักษณะเป็นเศรษฐกิจกำลังพัฒนาที่ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ แต่ก็มีสัญญาณการเติบโตในบางช่วงเวลา
- ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP): ในปี 2020 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมิน GDP ของเอริเทรียไว้ที่ 2.10 B USD หรือ 6.40 B USD เมื่อคิดตามความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ (PPP) สำหรับปี 2019 GDP (PPP) อยู่ที่ประมาณ 6.37 B USD โดยมี GDP (PPP) ต่อหัวอยู่ที่ 1.82 K USD ส่วน GDP (ราคาปัจจุบัน) อยู่ที่ประมาณ 1.98 B USD โดยมี GDP (ราคาปัจจุบัน) ต่อหัวอยู่ที่ 567 USD
- อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ: เอริเทรียมีอัตราการเติบโตของ GDP ที่ผันผวน ในช่วงปี 2016-2019 มีการเติบโตระหว่าง 7.6% ถึง 10.2% ซึ่งลดลงจากจุดสูงสุดที่ 30.9% ในปี 2014 ในปี 2023 คาดการณ์ว่า GDP จะเติบโต 2.8% ซึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามยูเครน-รัสเซียและผลกระทบของโควิด-19 ต่อห่วงโซ่มูลค่า อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
- อัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงาน: ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานที่เป็นปัจจุบันและเชื่อถือได้นั้นหาได้ยาก เนื่องจากข้อจำกัดในการเผยแพร่ข้อมูลของรัฐบาล อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอย่างเป็นทางการถูกกำหนดไว้ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 15 นาคฟาเอริเทรีย แต่มีการกล่าวถึงอัตราเงินเฟ้อที่สูงในตลาดมืด
- สถานการณ์ทางเศรษฐกิจโดยรวม: เศรษฐกิจเอริเทรียยังคงพึ่งพาภาคเกษตรกรรม เหมืองแร่ และการส่งเงินกลับประเทศจากชาวเอริเทรียในต่างประเทศเป็นหลัก (ประมาณ 12% ของ GDP ในปี 2020) ประเทศเผชิญกับความท้าทายจากการขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ การลงทุนจากต่างชาติที่จำกัด และผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและสถานการณ์สิทธิมนุษยชน รัฐบาลมีนโยบายพึ่งพาตนเองและจำกัดความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ
สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของเอริเทรียยังคงเปราะบางและต้องการการปฏิรูปโครงสร้างที่สำคัญเพื่อส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืนและปรับปรุงความเป็นอยู่ของประชาชน
9.2. อุตสาหกรรมหลัก
เศรษฐกิจของเอริเทรียมีรากฐานมาจากภาคเกษตรกรรม เหมืองแร่ และการผลิตเป็นหลัก อุตสาหกรรมเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ
9.2.1. เกษตรกรรม

ภาคเกษตรกรรมเป็นภาคส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจและสังคมของเอริเทรีย โดยจ้างงานประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ (ประมาณ 80% ของกำลังแรงงาน) และมีส่วนร่วมประมาณ 20% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในปี 2021 (บางแหล่งระบุว่าประมาณหนึ่งในสามของเศรษฐกิจ) เอริเทรียมีพื้นที่เพาะปลูกและปลูกพืชยืนต้นประมาณ 565,000 เฮกตาร์
- ผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญ: ได้แก่ ข้าวฟ่าง (sorghum) ข้าวเดือย (millet) ข้าวบาร์เลย์ (barley) ข้าวสาลี (wheat) พืชตระกูลถั่ว (legumes) ผัก ผลไม้ งา (sesame) และเมล็ดแฟลกซ์ (flaxseed) นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงปศุสัตว์ เช่น วัว แกะ แพะ และอูฐ
- วิธีการเพาะปลูก: ส่วนใหญ่ยังคงเป็นแบบดั้งเดิมและพึ่งพาน้ำฝนเป็นหลัก ทำให้มีความเสี่ยงสูงจากภัยแล้งและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- ความท้าทายในการพัฒนา: ภาคเกษตรกรรมของเอริเทรียเผชิญกับความท้าทายหลายประการ รวมถึงภัยแล้งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง การเสื่อมโทรมของดิน การขาดแคลนเทคโนโลยีและปัจจัยการผลิตที่ทันสมัย การเข้าถึงสินเชื่อที่จำกัด และโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงพอ
นับตั้งแต่ได้รับเอกราช รัฐบาลเอริเทรียได้พยายามพัฒนาภาคเกษตรกรรมผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น การสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กและขนาดใหญ่จำนวนมาก (มีการระบุว่าสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ 187 แห่ง และเขื่อนขนาดเล็ก 600 แห่ง) เพื่อต่อสู้กับภัยแล้ง สนับสนุนการชลประทาน การประมง และการผลิตพลังงาน อย่างไรก็ตาม ผลผลิตโดยรวมยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ และเอริเทรียยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหาร
9.2.2. เหมืองแร่

ภาคเหมืองแร่ได้กลายเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเพิ่มขึ้นต่อเศรษฐกิจของเอริเทรียในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีส่วนร่วมประมาณ 20% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในปี 2021 เอริเทรียมีทรัพยากรแร่ธาตุที่หลากหลาย รวมถึงทองคำ ทองแดง สังกะสี โพแทช เงิน และหินอ่อน
- ทองคำ: การผลิตทองคำเป็นแหล่งรายได้หลักจากภาคเหมืองแร่ เหมืองบิชา (Bisha Mine) ซึ่งเริ่มดำเนินการเต็มรูปแบบในปี 2013 (เดิมดำเนินการโดยบริษัท Nevsun Resources ของแคนาดา ปัจจุบันคือ Zijin Mining ของจีน) เป็นเหมืองที่สำคัญในการผลิตทองคำและเงิน
- ทองแดงและสังกะสี: เหมืองบิชายังผลิตทองแดงและสังกะสี นอกจากนี้ยังมีการลงทุนในการสำรวจและพัฒนาแหล่งแร่ทองแดงและสังกะสีอื่น ๆ โดยบริษัทเหมืองแร่จากออสเตรเลียและจีน
- โพแทช: เหมืองคอลลูลี (Colluli mine) มีศักยภาพในการเป็นแหล่งผลิตโพแทชที่สำคัญระดับโลก และดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ
- ปริมาณสำรองและการพัฒนา: การสำรวจยังคงดำเนินต่อไปเพื่อประเมินปริมาณสำรองของแร่ธาตุต่าง ๆ อย่างเต็มศักยภาพ การพัฒนามุ่งเน้นไปที่การดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติและการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการทำเหมือง
- การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ: รายได้จากการส่งออกแร่ธาตุ โดยเฉพาะทองคำ เป็นแหล่งเงินตราต่างประเทศที่สำคัญสำหรับเอริเทรีย อย่างไรก็ตาม มีความกังวลเกี่ยวกับความโปร่งใสในการบริหารจัดการรายได้จากภาคเหมืองแร่ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น
แม้ว่าภาคเหมืองแร่จะมีศักยภาพในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่การพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นธรรมยังคงเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับเอริเทรีย
9.2.3. การผลิต
ภาคการผลิตของเอริเทรียยังมีขนาดค่อนข้างเล็ก แต่มีความสำคัญในการตอบสนองความต้องการภายในประเทศและมีศักยภาพในการพัฒนาต่อไป อุตสาหกรรมการผลิตหลัก ๆ ได้แก่:
- การแปรรูปอาหาร: รวมถึงการผลิตเครื่องดื่ม เช่น เบียร์ และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ
- สิ่งทอ: เป็นอุตสาหกรรมที่มีมาตั้งแต่สมัยอาณานิคมอิตาลีและยังคงดำเนินอยู่
- ซีเมนต์: โรงงานซีเมนต์ในมาสซาวา (Massawa) มีบทบาทสำคัญในการจัดหาวัสดุก่อสร้างสำหรับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ และมีส่วนช่วยในการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2013
- ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ: ในอดีตสมัยเอริเทรียของอิตาลี มีการผลิตสินค้าหลากหลาย เช่น กระดุม น้ำมันปรุงอาหาร พาสต้า วัสดุก่อสร้าง เนื้อสัตว์บรรจุกระป๋อง ยาสูบ และหนังสัตว์ ปัจจุบันอุตสาหกรรมเหล่านี้บางส่วนอาจยังคงมีอยู่หรือมีการฟื้นฟูขึ้นใหม่ในระดับที่เล็กลง นอกจากนี้ ยังมีอุตสาหกรรมเกลือ และการซ่อมแซมเรือพาณิชย์
สถานการณ์ภาคการผลิตโดยรวมยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น การขาดแคลนเงินตราต่างประเทศในการนำเข้าวัตถุดิบและเครื่องจักร เทคโนโลยีที่ล้าสมัย การเข้าถึงพลังงานที่ไม่แน่นอน และตลาดภายในประเทศที่มีกำลังซื้อจำกัด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้แสดงความสนใจในการพัฒนาภาคการผลิตเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าและสร้างงานภายในประเทศ ศักยภาพในการพัฒนาขึ้นอยู่กับการปรับปรุงสภาพแวดล้อมการลงทุน การพัฒนาทักษะแรงงาน และการเข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้น
9.3. พลังงาน
สถานการณ์ด้านพลังงานในเอริเทรียยังคงเป็นความท้าทายสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
- การผลิตไฟฟ้า: การผลิตไฟฟ้าส่วนใหญ่ยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลนำเข้า ซึ่งทำให้มีต้นทุนสูงและไม่มั่นคง โรงไฟฟ้าหลัก ๆ มักเป็นโรงไฟฟ้าดีเซล
- แหล่งพลังงานหลัก:
- เชื้อเพลิงฟอสซิล: เป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับการผลิตไฟฟ้าและการขนส่ง เอริเทรียไม่มีการผลิตปิโตรเลียมในประเทศ และต้องนำเข้าทั้งหมด บริษัทปิโตรเลียมแห่งเอริเทรีย (Eritrean Petroleum Corporation) จัดซื้อผ่านการประกวดราคาระหว่างประเทศ ปริมาณการใช้ปิโตรเลียมในปี 2001 อยู่ที่ประมาณ 370,000 ตัน
- พลังงานหมุนเวียน: มีการใช้พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานน้ำเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากการเติบโตของบริษัทผู้ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศ รัฐบาลได้แสดงความสนใจในการพัฒนาแหล่งพลังงานทางเลือกอื่น ๆ รวมถึงพลังงานความร้อนใต้พิภพ พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม
- ปัญหาอุปทานพลังงาน: เอริเทรียเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนพลังงานและการเข้าถึงไฟฟ้าที่จำกัด โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานยังต้องการการลงทุนและการพัฒนาอีกมาก มีโอกาสในการสำรวจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั้งบนบกและนอกชายฝั่ง แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จเป็นรูปธรรม
การพัฒนาแหล่งพลังงานที่ยั่งยืนและเชื่อถือได้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเอริเทรียในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน และลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงนำเข้า
9.4. การท่องเที่ยว

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในเอริเทรียยังมีขนาดเล็ก แต่มีศักยภาพในการพัฒนาเนื่องจากมีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทั้งทางธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม
- ทรัพยากรการท่องเที่ยวที่สำคัญ:
- แอสมารา: เมืองหลวงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปี 2017 เนื่องจากมีสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตเดโค อนาคตนิยม สมัยใหม่นิยม และเหตุผลนิยมที่โดดเด่น ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยเอริเทรียของอิตาลี
- กลุ่มเกาะดาห์ลัก (Dahlak Archipelago): ประกอบด้วยเกาะมากกว่า 350 เกาะในทะเลแดง มีชื่อเสียงด้านความสวยงามทางทะเล การดำน้ำ และกิจกรรมทางน้ำอื่น ๆ
- มาสซาวา (Massawa): เมืองท่าประวัติศาสตร์ที่มีสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างอาหรับ ตุรกี อียิปต์ และอิตาลี
- แหล่งโบราณคดี: เช่น โคไฮโต (Qohaito) และมาทารา (Matara) ซึ่งเป็นที่ตั้งของซากปรักหักพังจากอาณาจักรอักซุมและยุคก่อนหน้า
- ธรรมชาติและสัตว์ป่า: รวมถึงพื้นที่ป่าฝนกึ่งเขตร้อนที่ฟิลฟิล โซโลโมนา และโอกาสในการชมสัตว์ป่าในเขตอนุรักษ์ต่าง ๆ
- ทางรถไฟเอริเทรีย: เส้นทางรถไฟประวัติศาสตร์ที่สร้างขึ้นในสมัยอิตาลี ซึ่งวิ่งผ่านภูมิประเทศที่สวยงามระหว่างมาสซาวาและแอสมารา ปัจจุบันมีการให้บริการรถไฟไอน้ำสำหรับนักท่องเที่ยวเป็นครั้งคราว
- สถานการณ์อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว: ก่อนปี 1997 การท่องเที่ยวมีสัดส่วนประมาณ 2% ของเศรษฐกิจเอริเทรีย แต่ลดลงอย่างมากหลังปี 1998 เหลือไม่ถึง 1% ของ GDP ในปี 2006 ในปี 2002 องค์การการท่องเที่ยวโลก (WTO) ประเมินว่ารายรับจากการท่องเที่ยวระหว่างประเทศของเอริเทรียอยู่ที่ 73.00 M USD ข้อมูลในปี 2015 ระบุว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวเอริเทรียที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ (diaspora) อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้มาเยือนโดยรวมได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีจำนวนผู้มาเยือน 142,000 คนในปี 2016 ในปี 2019 เอริเทรียถูกจัดอยู่ใน "Cool List" ของ เนชั่นแนล จีโอกราฟิก
- ศักยภาพในการพัฒนา: รัฐบาลได้เริ่มแผนพัฒนาการท่องเที่ยวระยะ 20 ปี ชื่อว่า "แผนพัฒนาการท่องเที่ยวเอริเทรีย 2020" (the 2020 Eritrea Tourism Development Plan) เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมทรัพยากรทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ของประเทศ เอริเทรียได้เข้าร่วมงานแสดงสินค้าการท่องเที่ยวหลายแห่งเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาการท่องเที่ยวยังเผชิญกับความท้าทาย เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่จำกัด การเข้าถึงประเทศที่ยากลำบาก (สายการบินแห่งชาติ เอริเทรียนแอร์ไลน์ ไม่มีบริการตามกำหนดเวลา ณ เดือนกรกฎาคม 2023 ผู้มาเยือนระหว่างประเทศต้องพึ่งพาสายการบินอื่น เช่น เอธิโอเปียนแอร์ไลน์ และ เตอร์กิชแอร์ไลน์) และภาพลักษณ์ของประเทศในด้านสิทธิมนุษยชนและการเมือง
9.5. การคมนาคม


โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมของเอริเทรียประกอบด้วยทางหลวง ท่าอากาศยาน ทางรถไฟ และท่าเรือ รวมถึงการขนส่งสาธารณะและเอกชนในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ แม้จะมีความท้าทายทางเศรษฐกิจและผลกระทบจากสงคราม เอริเทรียได้พยายามพัฒนาและฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังได้รับเอกราช
- ทางหลวง: ระบบทางหลวงของเอริเทรียแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ ถนนสายหลัก (Primary - P) ถนนสายรอง (Secondary - S) และถนนสายย่อย (Tertiary - T)
- ถนนสายหลัก (P): เป็นถนนลาดยางตลอดสาย เชื่อมต่อระหว่างเมืองใหญ่และเมืองสำคัญต่าง ๆ
- ถนนสายรอง (S): โดยทั่วไปเป็นถนนลาดยางชั้นเดียว เชื่อมต่อระหว่างเมืองหลักของเขตและเมืองหลวงของแคว้น
- ถนนสายย่อย (T): ส่วนใหญ่เป็นถนนดินปรับปรุง ซึ่งมักจะไม่สามารถสัญจรได้ในฤดูฝน
หนึ่งในโครงการที่สำคัญคือการก่อสร้างทางหลวงเลียบชายฝั่งยาวกว่า 500 km เชื่อมต่อเมืองมาสซาวากับอัสซาบ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ เวฟรี วาร์เซย์ ยิคาอาโล (Wefri Warsay Yika'alo)
- ทางรถไฟ: ทางรถไฟเอริเทรียมีความยาวรวม 317 กิโลเมตร เป็นทางรถไฟขนาดราง 950 mm สร้างขึ้นระหว่างปี 1887 ถึง 1932 ในสมัยอาณานิคมอิตาลี เส้นทางรถไฟสายหลักเชื่อมต่อเมืองท่ามาสซาวากับเมืองหลวงแอสมารา และต่อไปยังอากอร์ดัต ทางรถไฟได้รับความเสียหายอย่างหนักในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและการสู้รบในภายหลัง ทำให้ต้องปิดให้บริการเป็นส่วน ๆ และปิดให้บริการทั้งหมดในปี 1978 หลังได้รับเอกราช ได้มีความพยายามในการฟื้นฟู โดยส่วนแรกที่ได้รับการบูรณะและเปิดให้บริการอีกครั้งในปี 2003 คือเส้นทางระหว่างมาสซาวาและแอสมารา ซึ่งแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี 2009 อย่างไรก็ตาม การให้บริการยังคงจำกัดมากเนื่องจากหัวรถจักรและอุปกรณ์ส่วนใหญ่มีอายุเก่าแก่และมีจำนวนจำกัด ปัจจุบันมีการให้บริการรถจักรไอน้ำสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวผู้สนใจเป็นครั้งคราว
- ท่าเรือ: ท่าเรือหลักของเอริเทรียคือ มาสซาวาและอัสซาบ ซึ่งมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจสำหรับการค้าทางทะเล
- ท่าอากาศยาน: ท่าอากาศยานนานาชาติหลักคือ ท่าอากาศยานนานาชาติแอสมารา (Asmara International Airport)
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมยังคงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ การเชื่อมโยงพื้นที่ต่าง ๆ ภายในประเทศ และการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการท่องเที่ยว
10. สังคม
สังคมเอริเทรียมีลักษณะที่หลากหลายและซับซ้อน ซึ่งหล่อหลอมขึ้นจากประวัติศาสตร์อันยาวนาน การผสมผสานทางชาติพันธุ์ และอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากภูมิภาคโดยรอบและจากอดีตเจ้าอาณานิคม ประชากรประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์หลักเก้ากลุ่มที่ได้รับการยอมรับ ซึ่งแต่ละกลุ่มมีภาษาและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ศาสนาหลักสองศาสนาคือศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม ซึ่งมีผู้นับถือในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม ชีวิตทางสังคมของชาวเอริเทรียได้รับผลกระทบอย่างมากจากสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงนโยบายของรัฐบาล เช่น ระบบการรับใช้ชาติภาคบังคับที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา ซึ่งส่งผลให้เกิดการอพยพย้ายถิ่นฐานจำนวนมาก ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนและการเข้าถึงการศึกษาและบริการสาธารณสุขยังคงเป็นความท้าทายสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางและชนกลุ่มน้อย
10.1. สถิติประชากร

ข้อมูลประชากรของเอริเทรียมีความไม่แน่นอนเนื่องจากไม่มีการทำสำมะโนประชากรอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่ได้รับเอกราช อย่างไรก็ตาม จากการประเมินของแหล่งข้อมูลต่าง ๆ สามารถสรุปสถิติประชากรที่สำคัญได้ดังนี้:
- จำนวนประชากรทั้งหมด: ประมาณการจำนวนประชากรมีความแตกต่างกันอย่างมาก ตั้งแต่ 3.5 ล้านคน (ตามการประเมินของสหประชาชาติในปี 2024) ไปจนถึง 6.4 ล้านคน (ตามการประเมินของสำนักงานสำมะโนสหรัฐฯ ในปี 2025) กระทรวงสารสนเทศของเอริเทรียประเมินไว้ที่ 5.8 ล้านคนในปี 2020 และ BBC ประเมินไว้ที่ 6.2 ล้านคนในปี 2023
- อัตราการเติบโตของประชากร: (ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนในแหล่งข้อมูลที่ให้มา)
- การกระจายอายุ: ในปี 2020 สัดส่วนประชากรเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี อยู่ที่ 41.1% ประชากรวัยทำงาน (15-65 ปี) อยู่ที่ 54.3% และผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) อยู่ที่ 4.5%
- อายุขัยเฉลี่ย: อายุขัยเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดเพิ่มขึ้นจาก 39.1 ปี ในปี 1960 เป็น 66.44 ปี ในปี 2020
สถานการณ์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการอพยพย้ายถิ่นฐานจำนวนมากออกจากเอริเทรีย โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา เดอะการ์เดียน (The Guardian) ระบุว่าสาเหตุหลักมาจากการที่เอริเทรียเป็น "รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จที่พลเมืองส่วนใหญ่กลัวการถูกจับกุมตลอดเวลา... และปัจจัยสำคัญคือสภาพและระยะเวลาการเกณฑ์ทหารที่ยาวนาน" ณ สิ้นปี 2018 สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ประเมินว่ามีชาวเอริเทรียประมาณ 507,300 คนเป็นผู้ลี้ภัยที่หลบหนีออกนอกประเทศ
10.2. กลุ่มชาติพันธุ์


เอริเทรียเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ โดยรัฐบาลยอมรับกลุ่มชาติพันธุ์หลัก 9 กลุ่ม แต่ละกลุ่มมีภาษาและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง แม้จะยังไม่มีการทำสำมะโนประชากรอย่างเป็นทางการ แต่จากการประเมิน กลุ่มชาติพันธุ์หลัก ๆ และการกระจายตัวมีดังนี้:
1. ชาวทิกรินยา (Tigrinya): เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็นประมาณ 50-55% ของประชากรทั้งหมด อาศัยอยู่ส่วนใหญ่ในที่ราบสูงตอนกลางและตอนใต้ พูดภาษาทือกรึญญา ซึ่งเป็นกลุ่มภาษาเซมิติก
2. ชาวทิเกร (Tigre): เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่เป็นอันดับสอง คิดเป็นประมาณ 30% ของประชากร อาศัยอยู่ทางตะวันตกและทางเหนือของที่ราบลุ่ม พูดภาษาทิเกร ซึ่งเป็นภาษาเซมิติกเช่นกัน ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม
3. ชาวซาโฮ (Saho): คิดเป็นประมาณ 4% ของประชากร อาศัยอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้และชายฝั่งทะเลแดง พูดภาษาซาโฮ ซึ่งเป็นกลุ่มภาษาคูชิติก
4. ชาวอาฟาร์ (Afar): คิดเป็นประมาณ 4% ของประชากร อาศัยอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้สุดของประเทศ โดยเฉพาะในแคว้นเดนคาเลีย (Denkalia) พูดภาษาอาฟาร์ ซึ่งเป็นภาษาคูชิติก
5. ชาวคูนามา (Kunama): คิดเป็นประมาณ 4% ของประชากร (บางแหล่งระบุ 2%) อาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ ใกล้ชายแดนเอธิโอเปียและซูดาน พูดภาษาคูนามา ซึ่งเป็นกลุ่มภาษานิโล-ซาฮารัน
6. ชาวบิเลน (Bilen หรือ Bogo): คิดเป็นประมาณ 2-3% ของประชากร อาศัยอยู่บริเวณรอบเมืองเคเรน (Keren) พูดภาษาบิเลน ซึ่งเป็นภาษาคูชิติก
7. ชาวเบจา (Beja หรือ Hedareb): คิดเป็นประมาณ 2% ของประชากร อาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ พูดภาษาเบจา ซึ่งเป็นภาษาคูชิติก
8. ชาวนารา (Nara หรือ Baria): คิดเป็นประมาณ 2% ของประชากร (บางแหล่งระบุ 1.5%) อาศัยอยู่ทางตะวันตก พูดภาษานารา ซึ่งเป็นภาษานิโล-ซาฮารัน
9. ชาวราไชดา (Rashaida): เป็นกลุ่มชาติพันธุ์อาหรับ คิดเป็นประมาณ 1-2% ของประชากร อาศัยอยู่บริเวณที่ราบลุ่มชายฝั่งทางตอนเหนือและชายฝั่งตะวันออกของซูดาน อพยพมาจากภูมิภาคฮิญาซ (Hejaz) ในศตวรรษที่ 19 พูดภาษาอาหรับ
นอกจากนี้ ยังมีชุมชนชาวเอริเทรียเชื้อสายอิตาลี (ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในกรุงแอสมารา) และชาวทิกรัยจากเอธิโอเปียอาศัยอยู่ โดยทั่วไปแล้ว กลุ่มเหล่านี้จะไม่ได้รับสัญชาติเอริเทรีย ยกเว้นผ่านการแต่งงานหรือในกรณีที่หายากมากคือได้รับจากรัฐโดยตรง ในปี 1941 เอริเทรียมีประชากรประมาณ 760,000 คน รวมถึงชาวอิตาลี 70,000 คน ชาวอิตาลีส่วนใหญ่เดินทางออกนอกประเทศหลังจากเอริเทรียได้รับเอกราชจากอิตาลี คาดว่ามีชาวเอริเทรียมากถึง 100,000 คนที่มีเชื้อสายอิตาลี
ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ โดยทั่วไปเป็นไปอย่างสันติ แต่สถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศส่งผลกระทบต่อทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มชนกลุ่มน้อยและกลุ่มเปราะบาง
10.3. ภาษา

เอริเทรียเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางภาษาอย่างมาก รัฐธรรมนูญปี 1997 มาตรา 4 วรรค 3 บัญญัติว่า "ทุกภาษาในเอริเทรียมีความเท่าเทียมกัน" ดังนั้นจึงไม่มีภาษาใดถูกกำหนดให้เป็นภาษาทางการของประเทศ อย่างไรก็ตาม มีภาษาที่ใช้ในบทบาทต่าง ๆ ดังนี้:
- ภาษาทำงาน (Working Languages): ภาษาทือกรึญญา (Tigrinya) ภาษาอาหรับ (Arabic) และภาษาอังกฤษ (English) ทำหน้าที่เป็นภาษาทำงานโดยพฤตินัย ภาษาอังกฤษถูกใช้ในการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยและในหลายสาขาทางเทคนิค ธนบัตรของประเทศก็ใช้ภาษาอังกฤษ
- ภาษาประจำชาติ (National Languages): เอริเทรียมีภาษาประจำชาติ 9 ภาษา ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มชาติพันธุ์หลัก 9 กลุ่มที่รัฐบาลยอมรับ ได้แก่:
1. ภาษาทือกรึญญา (Tigrinya)
2. ภาษาทิเกร (Tigre)
3. ภาษาอาฟาร์ (Afar)
4. ภาษาเบจา (Beja หรือที่เรียกว่า Hedareb)
5. ภาษาบิเลน (Bilen หรือ Blin)
6. ภาษาคูนามา (Kunama)
7. ภาษานารา (Nara)
8. ภาษาซาโฮ (Saho)
9. ภาษาอาหรับ (เป็นภาษาแม่ของชาวราไชดา)
- นโยบายภาษาในการศึกษา: ตามปฏิญญาแอสมารา (Asmara Declaration) ว่าด้วยภาษาแอฟริกาปี 2000 ซึ่งเน้นการคุ้มครอง ส่งเสริม และใช้ประโยชน์จากภาษาต่าง ๆ ในแอฟริกา ในเอริเทรีย ภาษาประจำชาติทั้ง 9 ภาษาจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันในระดับประถมศึกษา โดยใช้เป็นสื่อการสอนในโรงเรียนประถมศึกษาจนถึงชั้น ป.6 ซึ่งแตกต่างจากหลายประเทศในแอฟริกาใต้สะฮาราที่มักเปลี่ยนไปใช้ภาษาของอดีตเจ้าอาณานิคมในระดับชั้นที่ต่ำกว่านี้ ส่วนในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา ภาษาอาหรับและภาษาอังกฤษจะถูกใช้เป็นสื่อการสอน
- ภาษาอื่น ๆ:
- ภาษาอิตาลี: อดีตภาษาของเจ้าอาณานิคม ไม่มีสถานะทางการในปัจจุบัน แต่ยังคงมีผู้พูดอยู่บ้าง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและในแวดวงการค้า ในอดีตเคยมีโรงเรียนสอนภาษาอิตาลีที่ดำเนินการโดยรัฐบาลอิตาลีในกรุงแอสมารา (Scuola Italiana di Asmara) แต่ถูกปิดในปี 2020 นอกจากนี้ยังมีภาษาอิตาลีแบบเอริเทรีย (Eritrean Italian) ซึ่งเป็นภาษาลูกผสมระหว่างภาษาอิตาลีกับคำในภาษาทือกรึญญา
- ภาษาดาห์ลิก (Dahlik): เป็นภาษาที่เพิ่งได้รับการยอมรับ พูดโดยชนกลุ่มน้อยในหมู่เกาะดาห์ลัก
- ภาษาอาหรับถิ่น: ชาวราไชดาพูดภาษาอาหรับสำเนียงฮิญาซ (Hejazi Arabic) และชาวฮาดรามี (Hadhrami) พูดสำเนียงฮาดรามี (Hadhrami Arabic)
ภาษาที่พูดในเอริเทรียส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่มภาษาเอธิโอ-เซมิติก (Ethiopian Semitic) และกลุ่มภาษาคูชิติก (Cushitic) ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้เป็นสาขาของตระกูลภาษาแอโฟรเอชีแอติก (Afroasiatic family) นอกจากนี้ยังมีกลุ่มภาษานิโล-ซาฮารัน (Nilo-Saharan languages) คือ ภาษาคูนามาและภาษานารา ซึ่งพูดโดยกลุ่มชาติพันธุ์คูนามาและนาราที่อาศัยอยู่ทางตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ
10.4. ศาสนา


เอริเทรียมีศาสนาหลักสองศาสนาคือ ศาสนาคริสต์ และ ศาสนาอิสลาม ซึ่งมีจำนวนผู้นับถือในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่แน่นอนของผู้นับถือแต่ละศาสนายังคงเป็นที่ถกเถียงและแตกต่างกันไปตามแหล่งข้อมูล:
- ศูนย์วิจัยพิว (Pew Research Center) ปี 2020: ประเมินว่า 62.9% ของประชากรนับถือศาสนาคริสต์, 36.6% นับถือศาสนาอิสลาม, 0.4% นับถือศาสนาแอฟริกันดั้งเดิม และ 0.1% ไม่นับถือศาสนา
- กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ปี 2019 (ข้อมูลปี 2011 และ 2019 คล้ายกัน): ประเมินว่า 49% นับถือศาสนาคริสต์, 49% นับถือศาสนาอิสลาม และ 2% นับถือศาสนาอื่น ๆ รวมถึงความเชื่อดั้งเดิมและคติชีวิตนิยม (animism)
- ฐานข้อมูลศาสนาโลก (World Religion Database) ปี 2020: รายงานว่า 47% นับถือศาสนาคริสต์ และ 51% นับถือศาสนาอิสลาม
ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาโลกที่เก่าแก่ที่สุดที่เข้ามาในเอริเทรีย โดยมีอารามคริสเตียนแห่งแรกคือ อารามเดเบรซินา (Debre Sina Monastery) สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 4
ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2002 รัฐบาลเอริเทรียได้รับรองศาสนาอย่างเป็นทางการเพียง 4 ศาสนา/นิกาย ได้แก่:
1. คริสตจักรเทวาเฮโดออร์ทอดอกซ์เอริเทรีย (Eritrean Orthodox Tewahedo Church) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคริสตจักรโอเรียนทัลออร์ทอดอกซ์ (Oriental Orthodox)
2. ศาสนาอิสลามนิกายสุหนี่ (Sunni Islam)
3. คริสตจักรคาทอลิกเอริเทรีย (Eritrean Catholic Church) ซึ่งเป็นคริสตจักรเขตอัครบิดรนครหลวง (Metropolitanate sui juris) ในสังกัดคริสตจักรคาทอลิกตะวันออก
4. คริสตจักรเอวันเจลิคัลลูเทอแรนแห่งเอริเทรีย (Evangelical Lutheran Church of Eritrea)
ศาสนาและนิกายอื่น ๆ ทั้งหมดจะต้องผ่านกระบวนการจดทะเบียนที่เข้มงวด ซึ่งรวมถึงการที่กลุ่มศาสนาต้องส่งข้อมูลส่วนบุคคลของสมาชิกเพื่อให้ได้รับอนุญาตให้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา รัฐบาลเอริเทรียต่อต้านสิ่งที่เรียกว่า "การปฏิรูป" หรือ "แนวคิดสุดโต่ง" ของศาสนาที่จัดตั้งขึ้น ดังนั้น รูปแบบที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นอิสลามและคริสต์ศาสนาแบบสุดโต่ง, พยานพระยะโฮวา, และนิกายโปรเตสแตนต์ เอวันเจลิคัลอื่น ๆ จำนวนมากจึงไม่ได้รับการจดทะเบียนและไม่สามารถประกอบพิธีกรรมได้อย่างเสรี มีรายงานว่าพยานพระยะโฮวาถูกจำคุกมาตั้งแต่ปี 1994 และถูกปฏิเสธบัตรปันส่วนและใบอนุญาตทำงาน นอกจากนี้สัญชาติของพวกเขายังถูกเพิกถอนโดยกฤษฎีกาประธานาธิบดีในปี 1994 ด้วย
ในรายงานเสรีภาพทางศาสนาระหว่างประเทศปี 2017 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้จัดให้เอริเทรียเป็น "ประเทศที่น่ากังวลเป็นพิเศษ" (Country of Particular Concern - CPC) ในด้านเสรีภาพทางศาสนา
วัฒนธรรมเอริเทรียโดยทั่วไปมีความอดทนทางศาสนา และมักมีการเชิญผู้นับถือศาสนาอื่นเข้าร่วมในงานเทศกาลทางศาสนาของตน อย่างไรก็ตาม นโยบายของรัฐบาลได้สร้างข้อจำกัดอย่างมากต่อเสรีภาพทางศาสนาสำหรับกลุ่มที่ไม่ได้รับการรับรอง
10.5. การศึกษา


ระบบการศึกษาในเอริเทรียแบ่งออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่ การศึกษาก่อนวัยเรียน (pre-primary) ประถมศึกษา (primary) มัธยมศึกษาตอนต้น (middle) มัธยมศึกษาตอนปลาย (secondary) และอุดมศึกษา (post-secondary) มีนักเรียนประมาณ 1,270,000 คนในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย ทั่วประเทศมีโรงเรียนประมาณ 824 แห่ง มีมหาวิทยาลัย 2 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยแอสมารา (University of Asmara) และสถาบันเทคโนโลยีเอริเทรีย (Eritrea Institute of Technology - EIT) รวมถึงวิทยาลัยและโรงเรียนเทคนิคขนาดเล็กอีกหลายแห่ง
สถาบันเทคโนโลยีเอริเทรีย (EIT) ตั้งอยู่ใกล้เมืองฮิมเบอร์ติ (Himbirti) เขตไมเนฟฮี (Mai Nefhi) นอกกรุงแอสมารา ประกอบด้วย 3 คณะ ได้แก่ คณะวิทยาศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี และคณะศึกษาศาสตร์ สถาบันเริ่มเปิดดำเนินการด้วยจำนวนนักศึกษาประมาณ 5,500 คนในปีการศึกษา 2003-2004 EIT ก่อตั้งขึ้นหลังจากการปรับโครงสร้างมหาวิทยาลัยแอสมารา โดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการกระจายโอกาสทางการศึกษาระดับอุดมศึกษาไปยังพื้นที่นอกเมืองหลวง มหาวิทยาลัยแอสมารา ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ ก่อตั้งขึ้นในปี 1958 ปัจจุบันไม่มีการเปิดดำเนินการ
ณ ปี 2018 อัตราการรู้หนังสือของผู้ใหญ่โดยรวมในเอริเทรียอยู่ที่ 76.6% (ชาย 84.4%, หญิง 68.9%) สำหรับเยาวชนอายุ 15-24 ปี อัตราการรู้หนังสือโดยรวมอยู่ที่ 93.3% (ชาย 93.8%, หญิง 92.7%) การศึกษาในเอริเทรียเป็นการศึกษาภาคบังคับอย่างเป็นทางการสำหรับเด็กอายุ 6 ถึง 13 ปี
สถิติการเข้าเรียนในระดับประถมศึกษาแตกต่างกันไป โดยอยู่ที่ประมาณ 70% ถึง 90% ของเด็กวัยเรียนที่เข้าเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา และประมาณ 61% เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษา อัตราส่วนนักเรียนต่อครูค่อนข้างสูง: 45:1 ในระดับประถมศึกษา และ 54:1 ในระดับมัธยมศึกษา ขนาดชั้นเรียนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 63 คนในระดับประถมศึกษา และ 97 คนในระดับมัธยมศึกษา ตามลำดับ
นโยบายภาษาในการศึกษามีลักษณะเฉพาะ โดยการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษาจะใช้ภาษาแม่ของกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง 9 ภาษาและภาษาอาหรับ ส่วนในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษาจะใช้ภาษาอาหรับและภาษาอังกฤษ ค่าเล่าเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงมหาวิทยาลัยไม่เสียค่าใช้จ่าย
อุปสรรคต่อการศึกษาในเอริเทรีย ได้แก่ ข้อห้ามตามประเพณี ค่าธรรมเนียมโรงเรียน (สำหรับการลงทะเบียนและวัสดุ) และค่าเสียโอกาสของครัวเรือนที่มีรายได้น้อย
10.6. สาธารณสุข
เอริเทรียมีความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญในด้านการดูแลสุขภาพ และเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่บรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals - MDGs) ด้านสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขภาพเด็ก
- อายุขัยเฉลี่ย: เพิ่มขึ้นจาก 39.1 ปี ในปี 1960 เป็น 66.44 ปี ในปี 2020
- อัตราการเสียชีวิตของมารดาและเด็ก: ลดลงอย่างมาก และโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพได้ขยายตัว
- การสร้างภูมิคุ้มกันโรคและโภชนาการเด็ก: ได้รับการแก้ไขโดยการทำงานอย่างใกล้ชิดกับโรงเรียนในแนวทางแบบหลายภาคส่วน จำนวนเด็กที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัดเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในเจ็ดปี จาก 40.7% เป็น 78.5% และความชุกของเด็กที่มีน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ลดลง 12% จากปี 1995 ถึง 2002 (ความชุกของภาวะขาดสารอาหารรุนแรงลดลง 28%)
- มาลาเรีย: หน่วยป้องกันมาลาเรียแห่งชาติของกระทรวงสาธารณสุขสามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากมาลาเรียได้มากถึง 85% และลดจำนวนผู้ป่วยลง 92% ระหว่างปี 1998 ถึง 2006
- การขริบอวัยวะเพศหญิง (FGM): รัฐบาลเอริเทรียได้สั่งห้ามการปฏิบัตินี้ โดยระบุว่าเป็นอันตรายและทำให้ผู้หญิงมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพที่คุกคามถึงชีวิต
อย่างไรก็ตาม เอริเทรียยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ:
- จำนวนแพทย์: แม้ว่าจำนวนแพทย์ต่อประชากร 1,000 คนจะเพิ่มขึ้นจาก 0.2 คนในปี 1993 เป็น 0.5 คนในปี 2004 แต่ก็ยังถือว่าต่ำมาก
- โรคภัยไข้เจ็บที่พบบ่อย: มาลาเรียและวัณโรคยังคงเป็นโรคที่พบบ่อย
- เอชไอวี: ความชุกของเชื้อเอชไอวีในกลุ่มอายุ 15 ถึง 49 ปี เกิน 2%
- อัตราการเจริญพันธุ์: อยู่ที่ประมาณ 4.1 การเกิดต่อสตรีหนึ่งคน
- อัตราการเสียชีวิตของมารดา: แม้จะลดลงกว่าครึ่งจากปี 1995 ถึง 2002 แต่ก็ยังคงสูง
- การคลอดบุตรโดยบุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: จำนวนการคลอดบุตรที่ได้รับการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นสองเท่าจากปี 1995 ถึง 2002 แต่ก็ยังอยู่ที่เพียง 28.3%
- สาเหตุการเสียชีวิตของทารกแรกเกิด: สาเหตุหลักคือการติดเชื้อรุนแรง
- ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพต่อหัว: ยังคงอยู่ในระดับต่ำ
ค่ารักษาพยาบาลในเอริเทรียไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่การเข้าถึงบริการและการพัฒนาคุณภาพยังคงเป็นความท้าทาย
11. วัฒนธรรม
วัฒนธรรมของเอริเทรียเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สั่งสมมาจากการผสมผสานของประชากรพื้นเมืองหลากหลายกลุ่ม และมรดกทางวัฒนธรรมอันยาวนานที่สืบทอดมาตลอดประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ เอกลักษณ์ของเอริเทรียในยุคปัจจุบันยังถูกหล่อหลอมจากการต่อสู้เพื่อเอกราช ประเทศนี้มีขนบธรรมเนียมประเพณีทั้งทางวาจาและวรรณกรรมที่หลากหลาย ซึ่งครอบคลุมกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งเก้ากลุ่ม รวมถึงบทกวีและสุภาษิตมากมาย เพลงและการขับร้อง นิทานพื้นบ้าน ประวัติศาสตร์ และตำนานต่าง ๆ นอกจากนี้ เอริเทรียยังมีประวัติศาสตร์อันยาวนานในด้านการละครและจิตรกรรม ซึ่งมักมีสีสันสดใสและสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ของชาวเอริเทรีย
หนึ่งในเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นที่สุดของเอริเทรียคือพิธีชงกาแฟ (Coffee ceremony) กาแฟ (ในภาษาเกเอซเรียกว่า ቡን บูน) มักจะถูกนำมาเลี้ยงรับรองเมื่อไปเยี่ยมเยียนเพื่อนฝูง ในช่วงเทศกาล หรือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ในระหว่างพิธีชงกาแฟ จะมีการปฏิบัติตามธรรมเนียมบางอย่าง กาแฟจะถูกเสิร์ฟสามรอบ: การชงครั้งแรกหรือรอบแรกเรียกว่า อาเวล (awel) ในภาษาทิกรินยา (หมายถึง "ครั้งแรก") รอบที่สองเรียกว่า คาลาย (kalaay) (หมายถึง "ครั้งที่สอง") และรอบที่สามเรียกว่า เบเรคา (bereka) (หมายถึง "การได้รับพร")
เครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมของเอริเทรียมีความหลากหลายในแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ ในเมืองใหญ่ ๆ ผู้คนส่วนใหญ่มักแต่งกายแบบตะวันตกทั่วไป เช่น กางเกงยีนส์และเสื้อเชิ้ต ในสถานที่ทำงาน ทั้งชายและหญิงมักแต่งกายด้วยชุดสูท เครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมที่พบเห็นได้ทั่วไปสำหรับชาวทิกรินยาที่นับถือศาสนาคริสต์ในที่ราบสูงคือชุดคลุมสีขาวสว่างเรียกว่า ซูเรียส์ (zurias) สำหรับผู้หญิง และเสื้อเชิ้ตสีขาวพร้อมกางเกงสีขาวสำหรับผู้ชาย ในชุมชนมุสลิมในที่ราบลุ่มของเอริเทรีย ผู้หญิงมักแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใส
นอกเหนือจากรสนิยมด้านอาหารที่คล้ายคลึงกันแล้ว ชาวเอริเทรียยังชื่นชอบดนตรีและเนื้อเพลง เครื่องประดับและน้ำหอม พรมและผ้าที่คล้ายคลึงกัน เช่นเดียวกับประชากรอื่น ๆ ในภูมิภาค
11.1. วัฒนธรรมอาหาร


อาหารเอริเทรียแบบดั้งเดิมโดยทั่วไปประกอบด้วยอินเจรา (injera) ซึ่งเป็นขนมปังแบนทำจากแป้งเทฟฟ์ รับประทานคู่กับสตูว์รสเผ็ด ซึ่งมักจะมีส่วนผสมของเนื้อวัว เนื้อไก่ เนื้อแกะ หรือปลา โดยรวมแล้ว อาหารเอริเทรียมีความคล้ายคลึงอย่างมากกับอาหารของประเทศเพื่อนบ้านอย่างเอธิโอเปีย อย่างไรก็ตาม อาหารเอริเทรียมักจะมีส่วนประกอบของอาหารทะเลมากกว่าอาหารเอธิโอเปีย เนื่องจากที่ตั้งติดชายฝั่งทะเล นอกจากนี้ อาหารเอริเทรียมักจะมีเนื้อสัมผัสที่ "เบากว่า" อาหารเอธิโอเปีย และมักจะใช้เนยปรุงรส (niter kibbeh) และเครื่องเทศน้อยกว่า แต่ใช้มะเขือเทศมากกว่า เช่นในเมนู เซบฮี ดอร์โฮ (tsebhi dorho) ซึ่งเป็นสตูว์ไก่
นอกจากนี้ เนื่องจากประวัติศาสตร์การเป็นอาณานิคม อาหารในเอริเทรียจึงได้รับอิทธิพลจากอิตาลีมากกว่าอาหารเอธิโอเปีย ซึ่งรวมถึงการใช้พาสต้ามากขึ้น และการใช้ผงแกงกะหรี่และยี่หร่ามากขึ้น อาหารอิตาเลียน-เอริเทรียเริ่มเป็นที่นิยมในช่วงยุคอาณานิคมของราชอาณาจักรอิตาลี เมื่อชาวอิตาลีจำนวนมากย้ายมายังเอริเทรีย พวกเขานำพาสต้าเข้ามาในเอริเทรียของอิตาลี และกลายเป็นหนึ่งในอาหารหลักที่รับประทานกันในกรุงแอสมาราปัจจุบัน อาหารอิตาเลียน-เอริเทรียที่พบบ่อย ได้แก่ "พาสต้า อัล ซูโก เอ เบอร์เบเร" (pasta al sugo e berbere - พาสต้าซอสมะเขือเทศและเครื่องเทศเบอร์เบเร) ลาซานญา และ "โคโตเลตตา อัลลา มิลาเนเซ" (cotoletta alla Milanese - เนื้อลูกวัวชุบเกล็ดขนมปังทอดแบบมิลาน)
นอกเหนือจากกาแฟแล้ว เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ท้องถิ่นก็เป็นที่นิยมเช่นกัน ได้แก่ โซวา (sowa) ซึ่งเป็นเครื่องดื่มรสขมทำจากข้าวบาร์เลย์หมัก และ มีส์ (mies) ซึ่งเป็นไวน์น้ำผึ้งหมัก
11.1.1. พิธีชงกาแฟ

พิธีชงกาแฟเป็นธรรมเนียมทางสังคมที่สำคัญและเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมเอริเทรียและเอธิโอเปีย การชงและดื่มกาแฟไม่ได้เป็นเพียงการบริโภคเครื่องดื่มเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการที่มีขั้นตอนและแฝงความหมายทางสังคมและจิตวิญญาณ
- กระบวนการ: พิธีนี้มักจะดำเนินการโดยผู้หญิงในบ้าน โดยเริ่มจากการคั่วเมล็ดกาแฟดิบสีเขียวในกระทะแบนเหนือถ่านร้อนจนได้สีน้ำตาลเข้มและมีกลิ่นหอม จากนั้นเมล็ดกาแฟที่คั่วแล้วจะถูกบดด้วยมือโดยใช้ครกและสากแบบดั้งเดิม ผงกาแฟที่ได้จะถูกนำไปต้มในหม้อดินเผาแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า เจเบนา (jebena) กาแฟจะถูกต้มและเทออกมาเสิร์ฟสามรอบ โดยแต่ละรอบจะมีความเข้มข้นและรสชาติที่แตกต่างกัน
- รอบแรกเรียกว่า อาเวล (awel) เป็นกาแฟที่เข้มข้นที่สุด
- รอบที่สองเรียกว่า คาลาย (kalaay) โดยเติมน้ำลงในกากกาแฟเดิมแล้วต้มอีกครั้ง จะมีความเข้มข้นน้อยลง
- รอบที่สามเรียกว่า เบเรคา (bereka) เป็นกาแฟที่เจือจางที่สุดและถือเป็นการสิ้นสุดพิธี
- ความหมายทางสังคม: พิธีชงกาแฟเป็นโอกาสสำคัญในการพบปะสังสรรค์ พูดคุย และเสริมสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน การได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีถือเป็นการให้เกียรติ และการปฏิเสธคำเชิญอาจถือเป็นการไม่สุภาพ บรรยากาศระหว่างพิธีมักจะผ่อนคลายและเป็นกันเอง มีการจุดเครื่องหอม (เช่น กำยาน) และอาจมีการเสิร์ฟของว่าง เช่น ขนมปัง หรือข้าวโพดคั่ว (เรียกว่า ฟันดิชา) พิธีนี้อาจใช้เวลานานหนึ่งถึงสองชั่วโมงหรือมากกว่านั้น สะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์และการใช้เวลาร่วมกัน
พิธีชงกาแฟจึงไม่ได้เป็นเพียงการดื่มกาแฟ แต่เป็นประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกในชีวิตประจำวันของชาวเอริเทรีย แสดงถึงการต้อนรับขับสู้ มิตรภาพ และความผูกพันในชุมชน
11.2. ดนตรีและการเต้นรำ

ดนตรีและการเต้นรำเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมเอริเทรีย โดยแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งเก้ากลุ่มจะมีรูปแบบดนตรีและการเต้นรำที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
- ดนตรีพื้นเมืองและเครื่องดนตรี:
- ในกลุ่มชาติพันธุ์ทิกรินยา (Tigrinya) แนวเพลงดั้งเดิมที่รู้จักกันดีที่สุดคือ ไกวลา (guaila)
- เครื่องดนตรีพื้นเมืองที่ใช้กันทั่วไปในดนตรีพื้นบ้านเอริเทรีย ได้แก่ คราร์ (krar - เครื่องสายคล้ายพิณ) เคเบโร (kebero - กลอง) เบเกนา (begena - พิณขนาดใหญ่) มาเซนโค (masenqo - ซอสายเดียว) และ วาตา (wata - เครื่องสายคล้ายซอหรือไวโอลิน)
- ศิลปินที่มีชื่อเสียง:
- เฮเลน เมเลส (Helen Meles) นักร้องชาวทิกรินยาที่มีชื่อเสียงด้านพลังเสียงและช่วงเสียงที่กว้าง
- ศิลปินท้องถิ่นคนอื่น ๆ ที่โดดเด่น ได้แก่ เดฮับ เฟย์ทินกา (Dehab Faytinga) นักร้องชาวคูนามา (Kunama) รูธ อับราฮา (Ruth Abraha) เบเรเกต เมนกิสเตียบ (Bereket Mengisteab) รวมถึงศิลปินผู้ล่วงลับอย่างเยมาเน เกเบรมิคาเอล (Yemane Ghebremichael) และอับราฮัม อาเฟเวร์กี (Abraham Afewerki)
- การเต้นรำ:
- การเต้นรำมีบทบาทสำคัญในสังคมเอริเทรีย กลุ่มชาติพันธุ์ทั้งเก้ากลุ่มมีการเต้นรำที่สนุกสนานและมีชีวิตชีวามากมาย
- รูปแบบการเต้นรำแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ ตัวอย่างเช่น กลุ่มชาติพันธุ์บิเลน (Bilen) และทิเกร (Tigre) จะมีการเขย่าไหล่ขณะยืนหมุนเป็นวงกลมในช่วงท้ายของการเต้น ซึ่งแตกต่างจากชาวทิกรินยาที่เริ่มเต้นด้วยการหมุนทวนเข็มนาฬิกาก่อน แล้วจึงเปลี่ยนเป็นการเต้นที่รวดเร็วขึ้นและทำลายวงกลมที่หมุนอยู่
- กลุ่มชาติพันธุ์คูนามามีการเต้นรำที่รวมถึงพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น ทูกา (tuka - พิธีเปลี่ยนผ่านวัย) อินโดดา (indoda - การสวดภาวนาขอฝน) ซังกา-เนนา (sangga-nena - การไกล่เกลี่ยอย่างสันติ) และ ชัตตา (shatta - การแสดงความอดทนและความกล้าหาญ) การเต้นรำของพวกเขามักมีจังหวะที่รวดเร็วและประกอบไปด้วยเสียงกลอง
- ดนตรีสมัยนิยมร่วมสมัย: นอกจากดนตรีพื้นเมืองแล้ว ยังมีแนวโน้มของดนตรีสมัยนิยมร่วมสมัยที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีสากลและดนตรีในภูมิภาคแอฟริกาด้วย
ดนตรีและการเต้นรำของเอริเทรียสะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศ และยังคงเป็นส่วนสำคัญในการเฉลิมฉลอง เทศกาล และชีวิตประจำวันของชาวเอริเทรีย
11.3. วรรณกรรมและศิลปะ
วัฒนธรรมด้านวรรณกรรมและศิลปะของเอริเทรียมีความหลากหลายและหยั่งรากลึกในประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศ
- วรรณกรรมมุขปาฐะ (Oral Literature): เอริเทรียมีขนบวรรณกรรมมุขปาฐะที่รุ่มรวยและหลากหลาย ซึ่งถ่ายทอดผ่านรุ่นสู่รุ่นในกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งเก้ากลุ่ม ประกอบด้วยบทกวี สุภาษิต เพลงขับร้อง นิทานพื้นบ้าน ประวัติศาสตร์ และตำนานต่าง ๆ วรรณกรรมมุขปาฐะเหล่านี้ไม่เพียงแต่ให้ความบันเทิง แต่ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการสั่งสอนคุณธรรม จริยธรรม และรักษาความทรงจำทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชุมชน
- ผลงานวรรณกรรมสมัยใหม่ (Modern Literature): แม้ว่าวรรณกรรมลายลักษณ์อักษรในเอริเทรียอาจจะไม่ได้มีประวัติศาสตร์ยาวนานเท่ากับวรรณกรรมมุขปาฐะ แต่ก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังได้รับเอกราช มีนักเขียนและกวีชาวเอริเทรียที่สร้างสรรค์ผลงานทั้งในภาษาท้องถิ่นและภาษาอื่น ๆ เช่น ภาษาอังกฤษและอิตาลี เนื้อหามักสะท้อนถึงประสบการณ์การต่อสู้เพื่อเอกราช ความท้าทายในการสร้างชาติ และประเด็นทางสังคมและวัฒนธรรมร่วมสมัย อย่างไรก็ตาม การพัฒนาวรรณกรรมสมัยใหม่ยังเผชิญกับข้อจำกัดด้านเสรีภาพในการแสดงออกและการสนับสนุนจากภาครัฐ
- ทัศนศิลป์ (Visual Arts): เอริเทรียมีประวัติศาสตร์ด้านทัศนศิลป์ที่น่าสนใจ ทั้งจิตรกรรมและประติมากรรม
- จิตรกรรม: มักมีสีสันสดใสและสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ ชีวิตประจำวัน และความหลากหลายทางวัฒนธรรมของชาวเอริเทรีย ศิลปะทางศาสนา โดยเฉพาะในโบสถ์ออร์โธดอกซ์ ก็เป็นส่วนสำคัญของมรดกทางศิลปะของประเทศ
- ประติมากรรม: อาจไม่แพร่หลายเท่าจิตรกรรม แต่ก็มีตัวอย่างงานประติมากรรมทั้งแบบดั้งเดิมและร่วมสมัย ศิลปินทัศนศิลป์ที่มีชื่อเสียงของเอริเทรีย ได้แก่ ไมเคิล อาโดไน (Michael Adonai) เยกิซอว์ ไมเคิล (Yegizaw Michael) ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา และอารอน เมซิออน (Aron Mehzion) ซึ่งอาศัยอยู่ในเยอรมนี
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเอริเทรีย (National Museum of Eritrea) ในกรุงแอสมารา เป็นสถานที่สำคัญในการจัดแสดงและอนุรักษ์มรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมของประเทศ
11.4. กีฬา

กีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเอริเทรียคือ ฟุตบอลและการแข่งจักรยาน
- การแข่งจักรยาน: มีประเพณีมายาวนานในเอริเทรีย และได้รับการแนะนำครั้งแรกในช่วงยุคอาณานิคมอิตาลี การแข่งจักรยานประเภทถนนเป็นที่นิยมอย่างมาก จนกล่าวได้ว่าเป็นกีฬาประจำชาติของเอริเทรีย ลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาและภูเขาสูงเหมาะสำหรับการฝึกซ้อม ตูร์เดอเอริเทรีย (Tour of Eritrea) ซึ่งเป็นการแข่งขันจักรยานหลายสเตจ จัดขึ้นครั้งแรกในปี 1946 และครั้งล่าสุดในปี 2017 ทีมจักรยานแห่งชาติของเอริเทรียทั้งชายและหญิงอยู่ในอันดับหนึ่งของทวีปแอฟริกา โดยทีมชายอยู่ในอันดับที่ 16 ของโลก ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2023 ทีมชายได้รับเหรียญทองในการแข่งขันชิงแชมป์ทวีปแอฟริกาหลายครั้ง (8 ครั้งระหว่างปี 2010-2022) และทีมหญิงได้รับเหรียญทองในปี 2013, 2015 และ 2019 เอริเทรียมีนักปั่นจักรยานชั้นนำกว่า 500 คน และนักปั่นกว่า 20 คนได้เซ็นสัญญากับทีมจักรยานอาชีพระดับนานาชาติ ดาเนียล เทเคลไฮมาโนต (Daniel Teklehaimanot) และเมอร์ฮาวี คูดุส (Merhawi Kudus) เป็นนักปั่นชาวแอฟริกากลุ่มแรกที่เข้าร่วมการแข่งขันตูร์เดอฟร็องส์ในปี 2015 ในปี 2022 บินิยัม เกอร์เมย์ (Biniam Girmay) เป็นนักปั่นชาวแอฟริกาคนแรกที่ชนะการแข่งขันเกนต์-เวเฟลเกม (Gent-Wevelgem) และสเตจในแกรนด์ทัวร์ (จีโรดีตาเลีย) โมซานา เดเบเซย์ (Mosana Debesay) แชมป์ทวีปแอฟริกาหลายสมัย เป็นนักปั่นจักรยานหญิงชาวแอฟริกาคนแรกที่เข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิก (โตเกียว 2020)
- กรีฑา: นักกีฬาเอริเทรียประสบความสำเร็จในสนามแข่งระดับนานาชาติเช่นกัน เซอร์เซเนย์ ทาเดเซ (Zersenay Tadese) อดีตเจ้าของสถิติโลกฮาล์ฟมาราธอน เกอร์เมย์ เกเบรสลาสซี (Ghirmay Ghebreslassie) เป็นชาวเอริเทรียคนแรกที่คว้าเหรียญทองในการแข่งขันกรีฑาชิงแชมป์โลกจากการแข่งขันมาราธอนในปี 2015
- โอลิมปิกฤดูหนาว: เอริเทรียเปิดตัวในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวครั้งแรกในปี 2018 ที่เมืองพย็องชัง ประเทศเกาหลีใต้ โดยมีแชนนอน-อ็อกบานี อาเบดา (Shannon-Ogbnai Abeda) เป็นตัวแทนนักกีฬาสกีลงเขาและผู้ถือธงชาติ
- ฟุตบอล: แม้จะเป็นกีฬายอดนิยม แต่ทีมฟุตบอลชาติชายและหญิงของเอริเทรียยังไม่มีอันดับโลกในปัจจุบัน แม้จะเป็นสมาชิกของฟีฟ่าก็ตาม ลีกฟุตบอลในประเทศคือเอริเทรียนพรีเมียร์ลีก ก่อตั้งขึ้นในปี 1994 นักฟุตบอลที่มีชื่อเสียงคือ เฮน็อก กอยตอม (Henok Goitom)
11.5. มรดกโลก (แอสมารา)
เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2017 เมืองหลวงแอสมารา (Asmara) ทั้งเมืองได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก (UNESCO) ในระหว่างการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยที่ 41 เมืองนี้ได้รับการยอมรับในคุณค่าทางสถาปัตยกรรมแบบสมัยใหม่นิยม (Modernist architecture) ที่โดดเด่น ซึ่งเป็นผลงานจากการวางผังเมืองและการก่อสร้างในช่วงที่เป็นอาณานิคมของอิตาลี (Italian Eritrea)
แอสมารามีอาคารหลายพันหลังที่แสดงออกถึงรูปแบบสถาปัตยกรรมที่หลากหลายของต้นศตวรรษที่ 20 เช่น อาร์ตเดโค (Art Deco) อนาคตนิยม (Futurist) สมัยใหม่นิยม (Modernist) และเหตุผลนิยม (Rationalist) เมืองนี้ซึ่งเดิมเป็นเมืองเล็ก ๆ ในศตวรรษที่ 19 ได้เติบโตอย่างรวดเร็วหลังปี 1889 และกลายเป็น "สถานที่ทดลองการออกแบบใหม่ ๆ ที่ล้ำสมัย" แม้ว่านักวางผังเมือง สถาปนิก และวิศวกรส่วนใหญ่จะเป็นชาวยุโรป แต่ประชากรพื้นเมืองก็มีส่วนร่วมอย่างมากในฐานะคนงานก่อสร้าง และชาวแอสมาราก็ยังคงผูกพันกับมรดกทางสถาปัตยกรรมของเมือง
ตัวอย่างอาคารที่โดดเด่น ได้แก่:
- โบสถ์แม่พระแห่งลูกประคำ (Church of Our Lady of the Rosary): สถาปัตยกรรมแบบนีโอ-โรมาเนสก์
- โรงภาพยนตร์อิมเปโร (Cinema Impero): สร้างขึ้นในปี 1937 ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างอาคารสไตล์อาร์ตเดโคที่ดีที่สุดในโลก
- อาคารแอฟริกาเพนชั่น (Africa Pension Building): มีกลิ่นอายของคิวบิสม์
- อาคารเฟียตตาเกลียโร (Fiat Tagliero Building): แสดงถึงจุดสูงสุดของสถาปัตยกรรมอนาคตนิยม
- อาสนวิหารเอนดามาเรียม (Enda Mariam Cathedral): เป็นโบสถ์ออร์โธดอกซ์เอริเทรียที่มีสถาปัตยกรรมผสมผสาน
- โรงละครโอเปร่าแอสมารา (Asmara Opera House)
- ศาลาว่าการนครแอสมารา (Governor's Palace): สถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก
ยูเนสโกได้กล่าวถึงคุณค่าของแอสมาราว่า: "เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของเมืองสมัยใหม่นิยมยุคแรกเริ่มในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และการประยุกต์ใช้ในบริบทแอฟริกัน" การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกนี้ไม่เพียงแต่เป็นการยอมรับคุณค่าทางสถาปัตยกรรม แต่ยังมีความสำคัญต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของเอริเทรีย
11.6. วันหยุดราชการ
เอริเทรียมีวันหยุดราชการที่สำคัญหลายวัน ซึ่งสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรมของประเทศ วันหยุดเหล่านี้รวมถึงวันสำคัญทางศาสนาคริสต์ทั้งนิกายออร์โธดอกซ์และคาทอลิก/โปรเตสแตนต์ วันสำคัญทางศาสนาอิสลาม และวันสำคัญทางโลกที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้เพื่อเอกราชและเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ชาติ วันหยุดราชการหลัก ๆ ได้แก่:
- 1 มกราคม: วันขึ้นปีใหม่สากล (ሓዲሽ ዓመትฮาดิช อาเมตภาษาทือกรึญญา)
- 7 มกราคม: คริสต์มาสของคริสตจักรเอริเทรียนออร์โธดอกซ์ (ልደትลีเดตภาษาทือกรึญญา) (ตามปฏิทินจูเลียน)
- 19 มกราคม: เทศกาลเอพิฟานี (ጥምቀትตึมเกิตภาษาทือกรึญญา) ของคริสตจักรเอริเทรียนออร์โธดอกซ์
- 10 กุมภาพันธ์: วันเฟนคิล (ፈንቅልเฟนคิลภาษาทือกรึญญา) - รำลึกถึงปฏิบัติการเฟนคิลในการปลดปล่อยมาสซาวา
- 8 มีนาคม: วันสตรีสากล (መዓልቲ ኣነስቲมาเอลติ อาเนสตีภาษาทือกรึญญา)
- 1 พฤษภาคม: วันแรงงานสากล
- 24 พฤษภาคม: วันประกาศอิสรภาพ (መዓልቲ ናጽነትมาเอลติ นัตซิเนตภาษาทือกรึญญา) - รำลึกถึงการได้รับเอกราชจากเอธิโอเปียในปี 1991 (โดยพฤตินัย) และ 1993 (โดยนิตินัย)
- 20 มิถุนายน: วันรำลึกถึงผู้พลีชีพ (መዓልቲ ስውኣትมาเอลติ สวูอัตภาษาทือกรึญญา)
- 1 กันยายน: วันปฏิวัติ (ባሕቲ መስከረምบาห์ตี เมสเกเรมภาษาทือกรึญญา) - รำลึกถึงการเริ่มต้นสงครามประกาศอิสรภาพในปี 1961
- 25 ธันวาคม: คริสต์มาส (ልደትลีเดตภาษาทือกรึญญา) (ตามปฏิทินกริกอเรียน สำหรับนิกายคริสต์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่ออร์โธดอกซ์)
วันหยุดทางศาสนาที่เปลี่ยนแปลงได้ (ตามปฏิทินจันทรคติอิสลามและปฏิทินคริสเตียนตะวันออก):
- วันประสูติของศาสดามุฮัมมัด (Mawlid al-Nabi)
- วันศุกร์ประเสริฐของคริสตจักรเอริเทรียนออร์โธดอกซ์ (ዓርቢ ስቅለትอาร์บี สเกเลตภาษาทือกรึญญา)
- เทศกาลอีสเตอร์ของคริสตจักรเอริเทรียนออร์โธดอกซ์ (ፋሲካฟาซิกาภาษาทือกรึญญา)
- อีดิลฟิฏริ (Eid al-Fitr)
- อีดิลอัฎฮา (Eid al-Adha)
(หมายเหตุ: วันที่สำหรับวันหยุดทางศาสนาที่เปลี่ยนแปลงได้จะแตกต่างกันไปในแต่ละปี)