1. ภาพรวม
เอธิโอเปีย หรือชื่อทางการคือ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปีย เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ตั้งอยู่ในภูมิภาคจะงอยแอฟริกาในแอฟริกาตะวันออก มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ถือเป็นแหล่งกำเนิดของมนุษยชาติและเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ประเทศนี้ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกอย่างสมบูรณ์ (ยกเว้นช่วงสั้น ๆ ที่ถูกอิตาลียึดครอง) ซึ่งเป็นลักษณะเด่นในประวัติศาสตร์แอฟริกา เอธิโอเปียเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญหลายครั้ง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบสังคมนิยมแบบทหาร และปัจจุบันเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐที่ปกครองภายใต้ระบบรัฐสภา แม้จะมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เอธิโอเปียยังคงเผชิญกับความท้าทายด้านความยากจน ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ และประเด็นสิทธิมนุษยชน บทความนี้จะสำรวจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของเอธิโอเปียอย่างละเอียด โดยสะท้อนมุมมองที่เน้นความยุติธรรมทางสังคม การพัฒนาประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน
2. ชื่อประเทศ
ชื่อ เอธิโอเปีย (ኢትዮጵያอีติโยปียาภาษาอัมฮารา; Itiyoophiyaaอีติโยปียาภาษาโอโรโม; Itoobiyaอีโตบียาภาษาโซมาลี; ኢትዮጵያอีติโยปิยาภาษาทือกรึญญา; Itiyoppiyaอีติโยปิยาภาษาอาฟาร์) มีรากฐานมาจากตำนานและประวัติศาสตร์โบราณ ตามธรรมเนียมหนึ่ง ชื่อนี้มาจากกษัตริย์องค์แรกของเอธิโอเปียพระนามว่า อีทีออป (Ethiop) หรือ อีทีโอปิส (Ethiopis) เอกสารโบราณของเอธิโอเปีย เช่น มัตสฮาเฟ อักซุม (መጽሐፈ አክሱምมัตสฮาเฟ อักซุมGeez หรือ หนังสือแห่งอักซุม) ระบุว่า อีทีโอปิสเป็นกษัตริย์องค์ที่สิบสองของเอธิโอเปีย และเป็นพระบิดาของอักซูมาวี (ผู้ก่อตั้งเมืองอักซุม) เชื่อกันว่าอีทีโอปิสเป็นผู้สืบเชื้อสายโดยตรงรุ่นที่สิบสองของอาดัม โดยมีพระบิดาคือคูช (Cush) และพระอัยกาคือกาม (Kam)
ในศตวรรษที่ 15 หนังสือแห่งอักซุม ภาษากีซ (Ge'ez) ระบุว่าชื่อนี้มาจากบุคคลในตำนานชื่อ อิตโยปิส (ኢትዮጲስอีตโยปิสGeez) ซึ่งเป็นโอรสนอกพระคัมภีร์ของคูช บุตรของฮาม ผู้ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นผู้ก่อตั้งเมืองอักซุม
ชื่อในภาษากรีกคือ Αἰθιοπία (Aithiopía) มาจากคำว่า ΑἰθίοψGreek, Ancient (Aithíops) ซึ่งหมายถึง "ชาวเอธิโอเปีย" เป็นคำประสมที่ภายหลังอธิบายว่ามาจากคำภาษากรีก αἴθωGreek, Ancient (aíthō, "ฉันเผา") และ ὤψGreek, Ancient (ṓps, "ใบหน้า") ดังนั้นจึงแปลว่า "ใบหน้าที่ถูกเผาไหม้" หรือ "ผิวสีแดง-น้ำตาล" นักประวัติศาสตร์ เฮอรอโดทัส ใช้ชื่อนี้เพื่อเรียกส่วนต่าง ๆ ของแอฟริกาทางใต้ของทะเลทรายซาฮาราที่รู้จักกันในขณะนั้น การกล่าวถึงคำนี้เก่าแก่ที่สุดปรากฏในงานของโฮเมอร์ ซึ่งใช้เรียกกลุ่มคนสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งในแอฟริกาและอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ทางตะวันออกตั้งแต่ตุรกีตะวันออกไปจนถึงอินเดีย ชื่อภาษากรีกนี้ถูกยืมมาใช้ในภาษาอัมฮาริกเป็น ኢትዮጵያอีติโยปียาภาษาอัมฮารา
ในจารึกกรีก-โรมัน Aethiopia เป็นชื่อเฉพาะสำหรับนูเบียโบราณ อย่างน้อยที่สุดตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 850 ชื่อ Aethiopia ยังปรากฏในการแปลพระคัมภีร์เก่าหลายฉบับเพื่อสื่อถึงนูเบีย ในขณะที่ข้อความภาษาฮีบรูโบราณระบุนูเบียว่าเป็นคุช อย่างไรก็ตาม ในพระคัมภีร์ใหม่ คำภาษากรีก Aithiops ปรากฏขึ้น โดยหมายถึงข้าราชการของกันดาเก (Kandake) ราชินีแห่งคุช
ตามธรรมเนียมกรีกและพระคัมภีร์ Monimentum Adulitanum ซึ่งเป็นจารึกในศตวรรษที่ 3 ของจักรวรรดิอักซุม ระบุว่าผู้ปกครองอักซุมปกครองพื้นที่ที่ถูกขนาบทางตะวันตกด้วยดินแดนเอธิโอเปียและซาซู กษัตริย์เอซานาแห่งอักซุมได้พิชิตนูเบียในศตวรรษต่อมา และชาวอักซุมก็รับเอาชื่อ "ชาวเอธิโอเปีย" มาใช้เรียกอาณาจักรของตน ในจารึกเอซานาฉบับภาษากีซ คำว่า Αἰθίοπες (Aithíopes) ถูกเทียบเท่ากับคำที่ไม่กำกับสระ Ḥbšt และ Ḥbśt (ฮาบาซัต) และหมายถึงชาวที่ราบสูงแห่งอักซุมเป็นครั้งแรก ชื่อเรียกชนชาตินี้ต่อมาถูกแปลงเป็น ḥbs (อะห์บาช) ในภาษาซาบาอิก และ Ḥabasha (ฮาบาชา) ในภาษาอาหรับ
ในอดีต เอธิโอเปียเป็นที่รู้จักในชื่อ อะบิสซิเนีย (Abyssinia) ในภาษาอังกฤษและนอกประเทศเอธิโอเปียโดยทั่วไป ชื่อนี้มาจากรูปภาษาละตินของคำว่า Habash (ฮาบัช) โบราณ
3. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์เอธิโอเปียเป็นเรื่องราวที่ยาวนานและซับซ้อน ครอบคลุมตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ การก่อตั้งอาณาจักรโบราณอันยิ่งใหญ่ การเปลี่ยนแปลงทางศาสนาและวัฒนธรรม การเผชิญหน้ากับการรุกรานจากภายนอก การรวมชาติและการปฏิรูปสู่ความทันสมัย ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญในยุคปัจจุบัน เหตุการณ์เหล่านี้ได้หล่อหลอมให้เอธิโอเปียเป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นในทวีปแอฟริกา
3.1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์
หลักฐานทางโบราณคดีจำนวนมากบ่งชี้ว่าภูมิภาคเอธิโอเปียเป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดของมนุษยชาติยุคแรก การค้นพบที่สำคัญหลายครั้งได้ผลักดันให้เอธิโอเปียและพื้นที่โดยรอบก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้าของวงการบรรพชีวินวิทยา โฮมินิด (บรรพบุรุษมนุษย์) ที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบในเอธิโอเปียคือ อาร์ดิพิเทคัส รามิดัส (Ardipithecus ramidus) หรือ "อาร์ดี" (Ardi) ซึ่งมีอายุ 4.2 ล้านปี ค้นพบโดยทิม ดี. ไวต์ ในปี 1994
การค้นพบโฮมินิดที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ ออสตราโลพิเทคัส อะฟาเรนซิส (Australopithecus afarensis) หรือ "ลูซี" ซึ่งรู้จักกันในท้องถิ่นว่า "ดินกิเนช" (Dinkinesh) ซากฟอสซิลนี้ถูกค้นพบในหุบเขาอาวาช (Awash Valley) ของแคว้นอาฟาร์ในปี 1974 โดยโดนัลด์ โจฮันสัน ลูซีเป็นหนึ่งในฟอสซิลออสตราโลพิเทคัสวัยผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์และได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดเท่าที่เคยมีการค้นพบมา คาดว่าลูซีมีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 3.2 ล้านปีก่อน
เอธิโอเปียยังถือเป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดของมนุษย์สมัยใหม่ทางกายวิภาค (anatomically modern humans) หรือ โฮโม เซเปียนส์ (Homo sapiens) ซากฟอสซิลที่เก่าแก่ที่สุดในท้องถิ่นคือ ซากโอโม (Omo remains) ถูกขุดพบในพื้นที่โอโม คิบิช (Omo Kibish) ทางตะวันตกเฉียงใต้ และมีอายุย้อนไปถึงยุคหินเก่าตอนกลาง (Middle Paleolithic) ประมาณ 200,000 ปีก่อน นอกจากนี้ยังมีการค้นพบโครงกระดูกของ โฮโม เซเปียนส์ อิดัลตู (Homo sapiens idaltu) ที่แหล่งโบราณคดีในหุบเขาอาวาชตอนกลาง ซึ่งมีอายุประมาณ 160,000 ปีก่อน และอาจเป็นตัวแทนของชนิดย่อยที่สูญพันธุ์ไปแล้วของ โฮโม เซเปียนส์ หรือบรรพบุรุษโดยตรงของมนุษย์สมัยใหม่ทางกายวิภาค
นักโบราณคดีได้ค้นพบหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในยุคหินกลาง (Middle Stone Age) ที่แหล่งฟินชา ฮาเบรา (Fincha Habera) ในเทือกเขาเบล (Bale Mountains) ที่ระดับความสูง 3.47 K m เหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งมีอายุราว 30,000 ปี ที่ระดับความสูงนี้ มนุษย์มีความเสี่ยงต่อภาวะขาดออกซิเจนและสภาพอากาศที่รุนแรง การค้นพบนี้ถือเป็นหลักฐานการตั้งถิ่นฐานถาวรของมนุษย์ในที่สูงที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบมา มีการค้นพบกระดูกสัตว์หลายพันชิ้น เครื่องมือหินหลายร้อยชิ้น และเตาไฟโบราณ ซึ่งเผยให้เห็นว่าอาหารหลักของพวกเขาคือตุ่นยักษ์ (giant mole rats)
นอกจากนี้ยังมีการค้นพบหลักฐานของอาวุธขว้างที่ทำจากหินซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าเก่าแก่ที่สุดบางชิ้น (เครื่องมือลักษณะเฉพาะของ โฮโม เซเปียนส์) ซึ่งเป็นหัวหอกหินหรือหอกขว้าง ที่แหล่งโบราณคดีกาเดมอตตา (Gademotta) ในเอธิโอเปีย และมีอายุราว 279,000 ปีก่อน
3.2. ยุคโบราณ (อาณาจักร D'mt และอาณาจักรอักซุม)


ในช่วงประมาณ 980 ปีก่อนคริสตกาล อาณาจักรดามอต (ደዐመተDʿmtGeez) ได้ก่อตั้งขึ้นในบริเวณที่เป็นประเทศเอริเทรียในปัจจุบันและทางตอนเหนือของเอธิโอเปียในแคว้นตีกราย เมืองหลวงของอาณาจักรนี้ตั้งอยู่ที่เยฮา (Yeha) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในตอนเหนือของเอธิโอเปีย นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่มองว่าอารยธรรมนี้เป็นอารยธรรมพื้นเมืองของเอธิโอเปีย แม้ว่าในอดีตหลายคนจะชี้ว่าได้รับอิทธิพลจากชาวซาบาเนื่องจากการครอบครองทะเลแดงของซาบา
หลังจากการล่มสลายของอาณาจักรดามอตในช่วงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล ที่ราบสูงเอธิโอเปียถูกครอบครองโดยอาณาจักรเล็ก ๆ ที่สืบทอดต่อมา ในศตวรรษที่ 1 อาณาจักรอักซุม (አክሱምAksumGeez) ก็ถือกำเนิดขึ้นในบริเวณที่เป็นแคว้นตีกรายและเอริเทรียในปัจจุบัน ตามหนังสือ หนังสือแห่งอักซุม (Book of Aksum) ซึ่งเป็นเอกสารยุคกลาง เมืองหลวงแห่งแรกของอาณาจักรคือ มาซาเบอร์ (Mazaber) สร้างขึ้นโดยอิตโยปิส (Itiyopis) โอรสของคูช อาณาจักรอักซุมได้ขยายอำนาจเข้าไปในเยเมนในบางช่วงเวลา

ศาสดาชาวเปอร์เซีย มานี ได้จัดให้อักซุมเป็นหนึ่งในสี่มหาอำนาจของยุคนั้นร่วมกับโรม เปอร์เซีย และจีน ในช่วงศตวรรษที่ 3 ประมาณปี ค.ศ. 316 ฟรูเมนติอุสและน้องชาย เอเดซิอุส จากเมืองไทระ (Tyre) ในเลบานอน ได้เดินทางไปเอธิโอเปียพร้อมกับลุงของพวกเขา เมื่อเรือจอดที่ท่าเรือทะเลแดง ชาวพื้นเมืองได้สังหารนักเดินทางทั้งหมดยกเว้นสองพี่น้อง ซึ่งถูกนำตัวไปยังราชสำนักในฐานะทาส พวกเขาได้รับตำแหน่งที่ไว้วางใจจากกษัตริย์ และได้เปลี่ยนให้สมาชิกราชสำนักมานับถือศาสนาคริสต์ ฟรูเมนติอุสกลายเป็นบิชอปคนแรกของอักซุม เหรียญที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 324 แสดงให้เห็นว่าเอธิโอเปียเป็นประเทศที่สองที่ยอมรับศาสนาคริสต์อย่างเป็นทางการ (หลังจากอาร์มีเนียในปี ค.ศ. 301) แม้ว่าศาสนาอาจจะจำกัดอยู่ในแวดวงราชสำนักในช่วงแรกก็ตาม เอธิโอเปียถือเป็นมหาอำนาจแรกที่ทำเช่นนั้น ชาวอักซุมคุ้นเคยกับอิทธิพลของกรีก-โรมัน แต่ก็ได้สร้างความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและการค้าที่สำคัญระหว่างอนุทวีปอินเดียและจักรวรรดิโรมันผ่านทางเส้นทางสายไหม โดยส่วนใหญ่ส่งออกงาช้าง กระดองเต่า ทองคำ และมรกต และนำเข้าผ้าไหมและเครื่องเทศ
โครงสร้างทางสังคมของอักซุมมีความซับซ้อน มีการแบ่งชั้นวรรณะ และมีระบบการปกครองแบบรวมอำนาจสู่ศูนย์กลางภายใต้กษัตริย์ ศาสนาดั้งเดิมก่อนการรับศาสนาคริสต์มีลักษณะเป็นพหุเทวนิยม ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอักซุมนั้นกว้างขวาง โดยมีการติดต่อค้าขายกับจักรวรรดิโรมัน เปอร์เซีย อินเดีย และอาณาจักรต่าง ๆ ในแอฟริกาตะวันออกและอาระเบียใต้ การยอมรับศาสนาคริสต์ทำให้ความสัมพันธ์กับจักรวรรดิโรมันตะวันออก (ไบแซนไทน์) แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
3.3. ยุคกลาง (ราชวงศ์ซากเวและยุคต้นราชวงศ์โซโลมอน)
อาณาจักรอักซุมเริ่มเสื่อมอำนาจลงในช่วงศตวรรษที่ 7 เนื่องจากการขยายตัวของศาสนาอิสลาม ซึ่งตัดขาดเส้นทางการค้าที่สำคัญของอักซุมในทะเลแดง ประกอบกับปัญหาความเสื่อมโทรมของที่ดินและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การล่มสลายของอักซุมเกิดขึ้นราวปี ค.ศ. 960 เมื่อราชินีกูดิต (Gudit) เอาชนะกษัตริย์องค์สุดท้ายของอักซุมได้ เพื่อตอบโต้ ประชากรที่เหลืออยู่ของอักซุมได้ย้ายไปยังภูมิภาคทางใต้และก่อตั้งราชวงศ์ซากเว (ዛጔZagweGeez) โดยย้ายเมืองหลวงไปยังลาลิเบลา (Lalibela) ราชวงศ์ซากเวมีเชื้อสายอากอว์ (Agaw) และเป็นที่รู้จักมากที่สุดจากการสร้างหมู่โบสถ์หินสกัดอันน่าทึ่งที่ลาลิเบลา ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโกในปัจจุบัน โบสถ์เหล่านี้สะท้อนถึงความศรัทธาในศาสนาคริสต์อย่างลึกซึ้งและความสามารถทางสถาปัตยกรรมอันยอดเยี่ยม
การปกครองของราชวงศ์ซากเวสิ้นสุดลงเมื่อขุนนางชาวอัมฮารานามว่า เยคูโน อัมลัค (Yekuno Amlak) ก่อกบฏต่อต้านกษัตริย์เยตบารัก (Yetbarak) และก่อตั้งจักรวรรดิเอธิโอเปียขึ้นในปี ค.ศ. 1270 พร้อมกับการฟื้นฟูราชวงศ์โซโลมอน (Solomonic dynasty) ซึ่งอ้างสิทธิ์สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ซาโลมอนและราชินีแห่งชีบาผ่านทางโอรสของพวกเขาคือเมเนลิกที่ 1 การฟื้นฟูราชวงศ์โซโลมอนถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์เอธิโอเปีย โดยเป็นการยืนยันความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์และศาสนากับอดีตอันรุ่งเรือง
ในช่วงต้นของราชวงศ์โซโลมอน จักรวรรดิเอธิโอเปียได้ขยายอาณาเขตอย่างกว้างขวางภายใต้การนำของจักรพรรดิองค์ต่าง ๆ เช่น อัมดา เซยอนที่ 1 (Amda Seyon I) พระองค์ทรงดำเนินนโยบายขยายอำนาจและทำสงครามกับรัฐอิสลามข้างเคียงทางตะวันออก เช่น สุลต่านอีฟัต (Sultanate of Ifat) การขยายอาณาเขตนี้ทำให้เกิดการปะทะและความร่วมมือกับอำนาจอิสลามในภูมิภาค จักรวรรดิเอธิโอเปียในยุคนี้มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับรัฐอิสลาม ทั้งในรูปแบบของการค้า การทูต และความขัดแย้งทางทหาร
ในช่วงรัชสมัยของจักรพรรดิซารา ยาคอบ (Zara Yaqob) จักรวรรดิเอธิโอเปียเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด รัชสมัยของพระองค์โดดเด่นด้วยการรวมอำนาจการปกครองดินแดนที่ได้มาจากการขยายอาณาเขตของจักรพรรดิองค์ก่อน ๆ การควบคุมการก่อสร้างโบสถ์และอารามจำนวนมาก การส่งเสริมวรรณกรรมและศิลปะอย่างแข็งขัน และการเสริมสร้างอำนาจของจักรพรรดิส่วนกลาง
3.4. ยุคใกล้ปัจจุบัน (ยุคกอนดาร์และยุคเจ้าชาย)

หลังจากการสู้รบกับรัฐอิสลามและการอพยพของชาวโอโรโมเข้ามาในพื้นที่ตอนเหนือของภูมิภาคในช่วงศตวรรษที่ 16 อำนาจของจักรวรรดิเริ่มแตกแยก อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1632 จักรพรรดิฟาซิลิเดส (Fasilides) ได้ยุติการบริหารรัฐแบบโรมันคาทอลิก และฟื้นฟูนิกายออร์ทอดอกซ์เทวาฮิโดให้เป็นศาสนาประจำชาติอีกครั้ง รัชสมัยของฟาซิลิเดสได้เสริมสร้างอำนาจของจักรพรรดิ และมีการย้ายเมืองหลวงไปยังกอนดาร์ (Gondar) ในปี ค.ศ. 1636 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ "ยุคกอนดาร์" (Gondarine period) พระองค์ทรงขับไล่คณะเยสุอิต เรียกคืนดินแดน และย้ายพวกเขาไปยังเฟรโมนา (Fremona) ในรัชสมัยของพระองค์ ฟาซิลิเดสได้สร้างป้อมปราการหลวงอันเป็นสัญลักษณ์คือ ฟาซิลเกบบี (Fasil Ghebbi) สร้างโบสถ์สี่สิบสี่แห่ง และฟื้นฟูศิลปะเอธิโอเปีย นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงได้รับเครดิตจากการสร้างสะพานหินเจ็ดแห่งข้ามแม่น้ำไนล์สีน้ำเงิน
อำนาจของกอนดาร์เริ่มเสื่อมถอยหลังจากการสิ้นพระชนม์ของอิยาซูที่ 1 (Iyasu I) ในปี ค.ศ. 1706 หลังจากการสิ้นพระชนม์ของอิยาซูที่ 2 (Iyasu II) ในปี ค.ศ. 1755 จักรพรรดินีเมนเทวาบ (Mentewab) ได้นำพระเชษฐาของพระนางคือ ราส (ตำแหน่งขุนนาง) โวลเด เลอุล (Ras Wolde Leul) มายังกอนดาร์ และแต่งตั้งให้เป็นราสบิตวาเดด (Ras Bitwaded) เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความขัดแย้งในราชสำนักระหว่างกลุ่ม ควาเรกนอค (Quaregnoch) ของเมนเทวาบกับกลุ่มโวลโล (Wollo) ที่นำโดยวูบิต (Wubit) ในปี ค.ศ. 1767 ราสมิคาเอล เซฮุล (Mikael Sehul) ผู้สำเร็จราชการในแคว้นตีกราย ได้ยึดครองกอนดาร์ สังหารจักรพรรดิอิโยอาสที่ 1 (Iyoas I) ซึ่งยังทรงพระเยาว์ในปี ค.ศ. 1769 และตั้งโยฮันเนสที่ 2 (Yohannes II) วัย 70 ปีขึ้นเป็นจักรพรรดิ
ระหว่างปี ค.ศ. 1769 ถึง 1855 เอธิโอเปียเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า เซเมเน เมซาฟินต์ (ዘመነ መሳፍንትZemene Mesafintภาษาอัมฮารา) หรือ "ยุคเจ้าชาย" (Age of Princes) ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งความแตกแยกและการปกครองโดยขุนศึก จักรพรรดิกลายเป็นเพียงหุ่นเชิด ถูกควบคุมโดยขุนศึกและขุนนางในภูมิภาค เช่น ราสมิคาเอล เซฮุล, ราสโวลเด เซลาสซี (Wolde Selassie) แห่งตีกราย และราชวงศ์เยจจูโอโรโม (Yejju Oromo dynasty) แห่งวาราเชห์ (Wara Sheh) รวมถึงราสกูกซาแห่งเยจจู (Gugsa of Yejju) ก่อนยุคเซเมเน เมซาฟินต์ จักรพรรดิอิโยอาสที่ 1 ได้นำภาษาโอโรโม (Afaan Oromo) มาใช้ในราชสำนักแทนภาษาอัมฮาริก สภาพสังคมในยุคนี้เต็มไปด้วยความขัดแย้งทางการเมืองและการแย่งชิงอำนาจระหว่างขุนศึกต่าง ๆ ทำให้จักรวรรดิอ่อนแอลงอย่างมาก
3.5. การรวมจักรวรรดิและการทำให้ทันสมัย (กลางศตวรรษที่ 19 - ต้นศตวรรษที่ 20)


ยุคแห่งความโดดเดี่ยวของเอธิโอเปียสิ้นสุดลงหลังจากการมาถึงของคณะทูตอังกฤษ ซึ่งนำไปสู่การเป็นพันธมิตรระหว่างสองชาติ อย่างไรก็ตาม จนกระทั่งปี ค.ศ. 1855 อาณาจักรอัมฮาราทางตอนเหนือของเอธิโอเปีย (กอนดาร์, โกจจัม, และชีวา) จึงได้รวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้งภายใต้การฟื้นฟูอำนาจของจักรพรรดิ โดยเริ่มต้นจากรัชสมัยของจักรพรรดิเทโวโดรสที่ 2 (Tewodros II) พระองค์ทรงเริ่มต้นกระบวนการรวบรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง การสร้างรัฐ และการปฏิรูป ซึ่งจักรพรรดิองค์ต่อ ๆ มาได้สานต่อ กระบวนการนี้ลดอำนาจของผู้ปกครองระดับภูมิภาค ปรับโครงสร้างการบริหารของจักรวรรดิ และสร้างกองทัพอาชีพ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้สร้างรากฐานสำหรับการสถาปนาอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของรัฐเอธิโอเปียอย่างมีประสิทธิภาพ
ในปี ค.ศ. 1875 และ 1876 กองทัพออตโตมันและอียิปต์ พร้อมด้วยที่ปรึกษาชาวยุโรปและอเมริกันจำนวนมาก ได้บุกรุกรานอะบิสซิเนียสองครั้ง แต่ก็พ่ายแพ้ในตอนแรก ระหว่างปี ค.ศ. 1885 ถึง 1889 (ภายใต้จักรพรรดิโยฮันเนสที่ 4 (Yohannes IV)) เอธิโอเปียได้เข้าร่วมสงครามมะฮ์ดีโดยเป็นพันธมิตรกับอังกฤษ ตุรกี และอียิปต์ เพื่อต่อต้านรัฐมะฮ์ดีของซูดาน ในปี ค.ศ. 1887 เมเนลิกที่ 2 (Menelik II) กษัตริย์แห่งชีวา ได้บุกอาณาจักรฮาราร์หลังได้รับชัยชนะในยุทธการเชเลนโก (Battle of Chelenqo) เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1889 จักรพรรดิโยฮันเนสที่ 4 สิ้นพระชนม์จากกองทัพของคอลีฟะฮ์ อับดุลลาห์แห่งซูดาน ขณะทรงนำทัพในยุทธการกัลลาบัต (Battle of Gallabat)
เอธิโอเปียในรูปแบบปัจจุบันเริ่มก่อตัวขึ้นในรัชสมัยของจักรพรรดิเมเนลิกที่ 2 ซึ่งครองราชย์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1889 จนถึงสวรรคตในปี ค.ศ. 1913 จากฐานที่มั่นในแคว้นชีวาตอนกลาง จักรพรรดิเมเนลิกทรงขยายอาณาเขตไปยังดินแดนทางใต้ ตะวันออก และตะวันตก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ชาวโอโรโม, ซิดามา, กูราเก, เวเลย์ตา และชนเผ่าอื่น ๆ อาศัยอยู่ พระองค์ทรงบรรลุเป้าหมายนี้ด้วยความช่วยเหลือจากกองกำลังอาสาสมัครชาวโอโรโมแห่งชีวาของราสโกบานา ดักเช (Gobana Dacche) ซึ่งยึดครองดินแดนที่ไม่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของเอธิโอเปียนับตั้งแต่สงครามของอะห์หมัด อิบน์ อิบราฮิม อัล-กาซี รวมถึงพื้นที่อื่น ๆ ที่ไม่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของเอธิโอเปียมาก่อน
แม้จะมีการต่อต้านจากกลุ่มอนุรักษนิยมในสังคม จักรพรรดิเมเนลิกที่ 2 ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษของชาติ พระองค์ทรงลงนามในสนธิสัญญาวูชาเล (Treaty of Wuchale) กับอิตาลีในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1889 ซึ่งอิตาลีจะยอมรับอธิปไตยของเอธิโอเปีย ตราบใดที่อิตาลีสามารถควบคุมพื้นที่ทางตอนเหนือของเอธิโอเปีย (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของเอริเทรีย) เพื่อเป็นการตอบแทน อิตาลีจะจัดหาอาวุธให้แก่จักรพรรดิเมเนลิกและสนับสนุนพระองค์ในฐานะจักรพรรดิ อิตาลีใช้เวลาระหว่างการลงนามในสนธิสัญญาและการให้สัตยาบันโดยรัฐบาลอิตาลีเพื่อขยายการอ้างสิทธิ์ในดินแดน สงครามอิตาลี-เอธิโอเปียครั้งแรกนี้ถึงจุดสูงสุดในยุทธการที่อัดวาเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1896 ซึ่งกองกำลังอาณานิคมของอิตาลีพ่ายแพ้ต่อชาวเอธิโอเปีย ชัยชนะครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาเอกราชของเอธิโอเปียและเป็นแรงบันดาลใจให้ขบวนการต่อต้านลัทธิอาณานิคมในแอฟริกา
ในช่วงเวลานี้ ประชากรประมาณหนึ่งในสามเสียชีวิตจากความอดอยากครั้งใหญ่ในเอธิโอเปีย (Great Ethiopian Famine) (ค.ศ. 1888 ถึง 1892) และโรคระบาดวัว (rinderpest) ได้แพร่กระจายไปทั่วพื้นที่ ทำลายเศรษฐกิจปศุสัตว์ส่วนใหญ่ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1897 เอธิโอเปียได้นำสีธงชาติแพนแอฟริกามาใช้ โดยมีแถบสีเขียว เหลือง และแดง เพื่อเป็นตัวแทนของอุดมการณ์แพนแอฟริกัน
3.6. สมัยไฮเล เซลาสซี (ค.ศ. 1916 - 1974)


ต้นศตวรรษที่ 20 เป็นช่วงเวลาแห่งการปกครองของจักรพรรดิไฮเล เซลาสซีที่ 1 (Haile Selassie I) (หรือ ราส ทาฟารี) พระองค์ขึ้นสู่อำนาจหลังจากจักรพรรดิลีจ เอียซู (Lij Iyasu) ถูกปลด และทรงดำเนินโครงการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยทั่วประเทศตั้งแต่ปี ค.ศ. 1916 เมื่อทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นราสและผู้สำเร็จราชการ (อินเดราเซ) แทนจักรพรรดินีเซาดิตู (Zewditu) และกลายเป็นผู้ปกครองโดยพฤตินัยของจักรวรรดิเอธิโอเปีย หลังจากการสวรรคตของจักรพรรดินีเซาดิตู เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1930 พระองค์ได้สืบทอดราชบัลลังก์เป็นจักรพรรดิ ในปี ค.ศ. 1931 ไฮเล เซลาสซี ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรกของเอธิโอเปีย โดยจำลองตามรัฐธรรมนูญเมจิของจักรวรรดิญี่ปุ่นปี ค.ศ. 1890
เอกราชของเอธิโอเปียถูกขัดจังหวะด้วยสงครามอิตาลี-เอธิโอเปียครั้งที่สอง ซึ่งเริ่มต้นเมื่อถูกรุกรานโดยอิตาลีฟาสซิสต์ในต้นเดือนตุลาคม ค.ศ. 1935 และตามมาด้วยการปกครองของอิตาลี (ค.ศ. 1936-1941) หลังจากชัยชนะของอิตาลีในสงคราม อย่างไรก็ตาม อิตาลีไม่เคยสามารถควบคุมประเทศได้อย่างสมบูรณ์เนื่องจากการต่อต้านจากกลุ่ม อาเบกอช (Arbegnoch) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้รักชาติเอธิโอเปีย ทำให้เอธิโอเปียร่วมกับไลบีเรียเป็นประเทศในแอฟริกาเพียงสองประเทศที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมอย่างสมบูรณ์ หลังจากการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองของอิตาลี กองกำลังจักรวรรดิอังกฤษพร้อมด้วยกลุ่มอาเบกอชได้ปลดปล่อยเอธิโอเปียในระหว่างการทัพแอฟริกาตะวันออกในปี ค.ศ. 1941 ประเทศถูกวางอยู่ภายใต้การบริหารทางทหารของอังกฤษ จากนั้นอธิปไตยโดยสมบูรณ์ของเอธิโอเปียก็ได้รับการฟื้นฟูด้วยการลงนามในข้อตกลงอังกฤษ-เอธิโอเปียในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1944
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1945 เอธิโอเปียกลายเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งสหประชาชาติ ในปี ค.ศ. 1952 ไฮเล เซลาสซี ได้จัดการสหพันธรัฐกับเอริเทรีย พระองค์ทรงยุบสหพันธรัฐนี้ในปี ค.ศ. 1962 และผนวกเอริเทรีย ซึ่งนำไปสู่สงครามประกาศอิสรภาพเอริเทรีย ไฮเล เซลาสซี ยังมีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งองค์การเอกภาพแอฟริกา (OAU)
อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นภายในเอธิโอเปียเริ่มต่อต้านไฮเล เซลาสซี อันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์น้ำมันปี 1973ทั่วโลก ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันเบนซินสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1974 นำไปสู่การประท้วงของนักศึกษาและคนงาน คณะรัฐมนตรีศักดินาของอักลิลู ฮับเต-โวลด์ (Aklilu Habte-Wold) ถูกโค่นล้ม และมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยมีเอนเดลกาเชว มาคอนเนน (Endelkachew Makonnen) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ความไม่พอใจในหมู่ประชาชนและกองทัพปูทางไปสู่การสิ้นสุดของระบอบกษัตริย์
3.7. สมัยรัฐบาลทหาร (ระบอบเดร์ก, ค.ศ. 1974 - 1991)

การปกครองของจักรพรรดิไฮเล เซลาสซี สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1974 เมื่อพระองค์ถูกโค่นล้มโดยเดร์ก (Derg) ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่ประกอบด้วยนายทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังจากการประหารชีวิตอดีตเจ้าหน้าที่รัฐบาลและทหาร 60 คน คณะบริหารทหารชั่วคราว (Provisional Military Administrative Council - PMAC) ใหม่ได้ยกเลิกระบอบกษัตริย์ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1975 และสถาปนาเอธิโอเปียเป็นรัฐลัทธิมากซ์-เลนิน การยกเลิกระบอบศักดินา การเพิ่มอัตราการรู้หนังสือ การโอนกิจการเป็นของรัฐ และการปฏิรูปที่ดินอย่างกว้างขวาง รวมถึงการตั้งถิ่นฐานใหม่และการรวมหมู่บ้านจากที่ราบสูงเอธิโอเปีย กลายเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก
หลังจากการแย่งชิงอำนาจในปี ค.ศ. 1977 เมินกึสทู ฮัยเลอ มารียัม (Mengistu Haile Mariam) ได้ขึ้นเป็นผู้นำเดร์กอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ในปี ค.ศ. 1977 โซมาเลีย ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับการช่วยเหลือและอาวุธจากสหภาพโซเวียต ได้บุกรุกเอธิโอเปียในสงครามโอกาเดน โดยยึดครองส่วนหนึ่งของภูมิภาคโอกาเดน เอธิโอเปียยึดคืนได้หลังจากเริ่มได้รับความช่วยเหลือทางทหารจำนวนมากจากประเทศกลุ่มโซเวียต ในช่วงปลายทศวรรษที่เจ็ดสิบ เมินกึสทูเป็นผู้บัญชาการกองทัพที่ใหญ่เป็นอันดับสองในแอฟริกาใต้สะฮาราทั้งหมด รวมถึงกองทัพอากาศและกองทัพเรือที่น่าเกรงขาม
ในปี ค.ศ. 1976-78 มีผู้เสียชีวิตมากถึง 500,000 คนอันเป็นผลมาจากความหวาดกลัวแดง (Red Terror) ซึ่งเป็นแคมเปญปราบปรามทางการเมืองอย่างรุนแรงโดยเดร์กต่อกลุ่มต่อต้านต่าง ๆ ในปี ค.ศ. 1987 เดร์กได้ยุบตัวเองและก่อตั้งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเอธิโอเปีย (PDRE) เมื่อมีการรับรองรัฐธรรมนูญปี 1987 ภาวะทุพภิกขภัยในปี 1983-85 ส่งผลกระทบต่อประชากรประมาณ 8 ล้านคน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ล้านคน การลุกฮือต่อต้านการปกครองแบบเผด็จการเกิดขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคทางตอนเหนือของเอริเทรียและตีกราย แนวร่วมปลดปล่อยประชาชนตีกราย (TPLF) ได้รวมกับขบวนการต่อต้านอื่น ๆ ที่มีฐานทางชาติพันธุ์ในปี ค.ศ. 1989 เพื่อก่อตั้งแนวร่วมประชาธิปไตยประชาชนปฏิวัติเอธิโอเปีย (EPRDF)
การล่มสลายของลัทธิมากซ์-เลนินระหว่างการปฏิวัติ ค.ศ. 1989 เกิดขึ้นพร้อมกับการที่สหภาพโซเวียตหยุดให้ความช่วยเหลือแก่เอธิโอเปียทั้งหมดในปี ค.ศ. 1990 กองกำลัง EPRDF เคลื่อนทัพเข้าสู่อาดดิสอาบาบาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1991 และเมินกึสทูได้หลบหนีออกนอกประเทศและได้รับการลี้ภัยในซิมบับเว ระบอบเดร์กเผชิญกับความท้าทายด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง การละเมิดสิทธิ การประหารชีวิตนอกกระบวนการยุติธรรม และการปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมืองเป็นเรื่องปกติ ซึ่งสร้างความทุกข์ทรมานอย่างใหญ่หลวงแก่ประชาชนชาวเอธิโอเปีย
3.8. สมัยสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตย (ค.ศ. 1991 - ปัจจุบัน)
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1991 แนวร่วมประชาธิปไตยประชาชนปฏิวัติเอธิโอเปีย (EPRDF) ได้จัดการประชุมแห่งชาติเพื่อจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลแห่งเอธิโอเปีย ซึ่งประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 87 คน และชี้นำโดยกฎบัตรแห่งชาติซึ่งทำหน้าที่เป็นรัฐธรรมนูญเฉพาะกาล ในปี ค.ศ. 1994 ได้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งสถาปนาสาธารณรัฐแบบรัฐสภาที่มีสภานิติบัญญัติสองสภาและระบบตุลาการ
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1993 เอริเทรียได้รับเอกราชจากเอธิโอเปียหลังจากการลงประชามติระดับชาติ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1998 ข้อพิพาทชายแดนกับเอริเทรียนำไปสู่สงครามเอริเทรีย-เอธิโอเปีย ซึ่งกินเวลาจนถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2000 และทำให้ทั้งสองประเทศเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 1.00 M USD ต่อวัน สิ่งนี้ส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจของเอธิโอเปีย และความขัดแย้งชายแดนระหว่างสองประเทศยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปี 2018 ณ ปี 2018 สงครามกลางเมืองในเอธิโอเปียยังคงดำเนินต่อไป ส่วนใหญ่เนื่องจากความไม่มั่นคงของประเทศ
ความรุนแรงทางชาติพันธุ์เพิ่มขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 2010 และต้นทศวรรษ 2020 โดยมีการปะทะและความขัดแย้งต่าง ๆ ที่นำไปสู่การพลัดถิ่นของชาวเอธิโอเปียหลายล้านคน
รัฐบาลกลางตัดสินใจยกเลิกการเลือกตั้งในปี 2020 (ภายหลังถูกเลื่อนไปเป็นปี 2021) เนื่องจากข้อกังวลด้านสุขภาพและความปลอดภัยเกี่ยวกับโควิด-19 แนวร่วมปลดปล่อยประชาชนตีกราย (TPLF) ของแคว้นตีกรายคัดค้านเรื่องนี้ และดำเนินการจัดการเลือกตั้งต่อไปในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 2020 ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกลางและตีกรายเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว และในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2020 เอธิโอเปียได้เริ่มปฏิบัติการทางทหารในตีกรายเพื่อตอบโต้การโจมตีกองกำลังทหารที่ประจำการอยู่ที่นั่น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามตีกราย ภายในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2022 มีผู้เสียชีวิตมากถึง 500,000 คนอันเป็นผลมาจากความรุนแรงและภาวะทุพภิกขภัย หลังจากมีข้อเสนอสันติภาพและการไกล่เกลี่ยหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เอธิโอเปียและกองกำลังกบฏตีกรายได้ตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022 ควบคู่ไปกับการก่อความไม่สงบของ OLA ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกลางกับกองกำลังฟาโน ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นพันธมิตรกับรัฐบาลในสงครามตีกราย ได้เสื่อมถอยลงในช่วงกลางปี 2023 ส่งผลให้เกิดสงครามในแคว้นอัมฮารา ตามรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอธิโอเปีย (EHRC) มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนจำนวนมากโดยกองกำลัง ENDF รวมถึงการตรวจค้นตามบ้าน การสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม การสังหารหมู่ และการควบคุมตัว เหตุการณ์สำคัญ ได้แก่ การสังหารหมู่ที่เมราวีในช่วงต้นปี 2024 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 50 ถึง 100 คนในเมืองเมราวีในแคว้นอัมฮารา
ยุคปัจจุบันของเอธิโอเปียยังคงเผชิญกับความท้าทายทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของประเทศ รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอาบีย์ อาห์เม็ด (Abiy Ahmed) ได้พยายามดำเนินการปฏิรูปทางการเมืองและเศรษฐกิจ แต่ก็ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย การส่งเสริมประชาธิปไตย การคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่เอธิโอเปียต้องดำเนินการต่อไปเพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน
4. ภูมิศาสตร์

เอธิโอเปียตั้งอยู่ในจะงอยแอฟริกา มีพื้นที่ประมาณ 1.10 M km2 เป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 26 ของโลก และเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล พรมแดนทางเหนือติดกับเอริเทรีย ทางตะวันออกเฉียงเหนือติดกับจิบูตี ทางตะวันออกติดกับโซมาเลีย ทางใต้ติดกับเคนยา ทางตะวันตกติดกับซูดานใต้ และทางตะวันตกเฉียงเหนือติดกับซูดาน ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของเอธิโอเปียมีความหลากหลายอย่างมาก ตั้งแต่ที่ราบสูงอันกว้างใหญ่ไปจนถึงทะเลทรายและป่าฝนเขตร้อน
4.1. ลักษณะภูมิประเทศและธรณีวิทยา
ลักษณะภูมิประเทศที่โดดเด่นของเอธิโอเปียคือ ที่ราบสูงเอธิโอเปีย (Ethiopian Highlands) ซึ่งกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ และมีความสูงเฉลี่ยประมาณ 2.00 K m ถึง 2.50 K m เหนือระดับน้ำทะเล ที่ราบสูงนี้ถูกแบ่งโดย ร่องหุบเขาใหญ่แอฟริกา (Great Rift Valley) ซึ่งทอดตัวในแนวตะวันตกเฉียงใต้ไปตะวันออกเฉียงเหนือ ร่องหุบเขานี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบรอยแยกขนาดใหญ่ที่ทอดยาวจากตะวันออกกลางไปจนถึงโมซัมบิก และเป็นที่ตั้งของทะเลสาบหลายแห่งในเอธิโอเปีย
ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศมี ที่ลุ่มดานาคิล (Danakil Depression) ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ร้อนและต่ำที่สุดในโลก บางส่วนอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลมากกว่า 100 m ที่ลุ่มนี้มีลักษณะทางธรณีวิทยาที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น ภูเขาไฟ บ่อน้ำพุร้อน และแหล่งเกลือ เทือกเขาที่สำคัญในเอธิโอเปีย ได้แก่ เทือกเขาซีเมียน (Simien Mountains) ทางตอนเหนือ ซึ่งเป็นที่ตั้งของยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศคือ ราสแดเชน (Ras Dashen) ที่ความสูง 4.55 K m และเทือกเขาเบล (Bale Mountains) ทางตะวันออกเฉียงใต้
ความเป็นมาทางธรณีวิทยาของเอธิโอเปียมีความซับซ้อน ที่ราบสูงส่วนใหญ่เกิดจากการยกตัวของเปลือกโลกและการปะทุของภูเขาไฟในช่วงหลายล้านปีก่อน ร่องหุบเขาใหญ่แอฟริกาเกิดจากการแยกตัวของแผ่นเปลือกโลกแอฟริกาและแผ่นเปลือกโลกโซมาเลีย กิจกรรมทางธรณีวิทยาเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไป ทำให้เอธิโอเปียมีแนวโน้มที่จะเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟปะทุ
4.2. ภูมิอากาศ
ภูมิอากาศของเอธิโอเปียมีความหลากหลายอย่างมากตามระดับความสูง โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็น 3 เขตหลัก:
1. เขตร้อนชื้น (Kolla): พื้นที่ต่ำกว่า 1.80 K m มีอากาศร้อนและชื้น โดยเฉพาะทางตะวันออกและตะวันตกของประเทศ ปริมาณน้ำฝนแตกต่างกันไปตามฤดูกาล
2. เขตอบอุ่น (Woina Dega): พื้นที่ระหว่าง 1.80 K m ถึง 2.40 K m เป็นเขตที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นที่สุด มีอุณหภูมิปานกลางและปริมาณน้ำฝนที่เหมาะสมสำหรับการเกษตร อาดดิสอาบาบา เมืองหลวง ตั้งอยู่ในเขตนี้
3. เขตหนาวเย็น (Dega): พื้นที่สูงกว่า 2.40 K m มีอากาศเย็นสบายในตอนกลางวันและหนาวเย็นในตอนกลางคืน อาจมีน้ำค้างแข็งและหิมะตกในบางครั้งบนยอดเขาสูง
ปริมาณน้ำฝนในเอธิโอเปียส่วนใหญ่มาจากลมมรสุม โดยมีฤดูฝนหลัก (เรียกว่า เคอเรมท์ - Kiremt) ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกันยายน และฤดูฝนรอง (เรียกว่า เบลก์ - Belg) ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมในบางพื้นที่ อย่างไรก็ตาม รูปแบบของฝนมีความแปรปรวนสูงและอาจได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญา ทำให้เกิดภัยแล้งและน้ำท่วมในบางปี
4.3. ทรัพยากรน้ำ
เอธิโอเปียได้รับการขนานนามว่าเป็น "หอคอยน้ำแห่งแอฟริกา" (Water Tower of Africa) เนื่องจากเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญหลายสาย แม่น้ำสายหลัก ได้แก่:
- แม่น้ำไนล์สีน้ำเงิน (Blue Nile หรือ Abbay): มีต้นกำเนิดจากทะเลสาบทานา (Lake Tana) ทางตอนเหนือ เป็นสาขาหลักของแม่น้ำไนล์ ซึ่งไหลไปหล่อเลี้ยงซูดานและอียิปต์
- แม่น้ำอาวาช (Awash River): ไหลผ่านตอนกลางและตะวันออกของประเทศ สิ้นสุดลงที่ทะเลสาบอับเบ (Lake Abbe) ในที่ลุ่มดานาคิล
- แม่น้ำโอโม (Omo River): ไหลลงใต้สู่ทะเลสาบเทอร์คานา (Lake Turkana) ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเคนยา
- แม่น้ำโซบัต (Sobat River): เป็นสาขาของแม่น้ำไนล์ขาว
- แม่น้ำเทเคเซ (Tekezé River): เป็นสาขาของแม่น้ำแอตบารา ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำไนล์
ทะเลสาบที่สำคัญในเอธิโอเปีย ได้แก่ ทะเลสาบทานา ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำไนล์สีน้ำเงิน นอกจากนี้ยังมีทะเลสาบในเขตร่องหุบเขาใหญ่ เช่น ทะเลสาบซไว (Lake Zway) ทะเลสาบอาเบียตา (Lake Abijatta) ทะเลสาบชาลา (Lake Shala) และทะเลสาบลังกาโน (Lake Langano)
การจัดการทรัพยากรน้ำเป็นประเด็นสำคัญสำหรับเอธิโอเปีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างเขื่อนแกรนด์เอธิโอเปียนเรอเนสซองซ์ (Grand Ethiopian Renaissance Dam - GERD) บนแม่น้ำไนล์สีน้ำเงิน ซึ่งก่อให้เกิดความตึงเครียดกับประเทศปลายน้ำอย่างอียิปต์และซูดานในเรื่องผลกระทบต่อปริมาณน้ำ อย่างไรก็ตาม เอธิโอเปียมองว่าเขื่อนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ
4.4. ความหลากหลายทางชีวภาพ

เอธิโอเปียเป็นหนึ่งในศูนย์กลางความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญของโลก มีระบบนิเวศที่หลากหลาย ตั้งแต่ทะเลทรายไปจนถึงป่าฝนและพื้นที่ภูเขาสูง ทำให้มีพืชและสัตว์นานาชนิด รวมถึงชนิดพันธุ์เฉพาะถิ่น (endemic species) จำนวนมาก
พืชพันธุ์ในเอธิโอเปียมีความหลากหลายสูง เป็นแหล่งกำเนิดของพืชเศรษฐกิจหลายชนิด เช่น กาแฟอาราบิกา (Coffea arabica) และเทฟฟ์ (teff) ซึ่งเป็นธัญพืชหลักในการทำอินเจรา (injera) นอกจากนี้ยังมีพืชเฉพาะถิ่นอื่น ๆ อีกมากมาย
สัตว์ป่าที่สำคัญและเป็นเอกลักษณ์ของเอธิโอเปีย ได้แก่:
- วอลเลียไอเบกซ์ (Walia ibex): แพะภูเขาชนิดหนึ่งที่พบเฉพาะในอุทยานแห่งชาติซีเมียน
- หมาป่าเอธิโอเปีย (Ethiopian wolf): สัตว์กินเนื้อที่หายากที่สุดในแอฟริกา พบในเทือกเขาซีเมียนและเบล
- ลิงเจลาดา (Gelada baboon): ลิงที่กินหญ้าเป็นอาหารหลัก พบในที่ราบสูงเอธิโอเปีย
- ละมั่งภูเขาเมเนลิก (Menelik's bushbuck)
- คูดูใหญ่ (Greater kudu) และ คูดูเล็ก (Lesser kudu)
- ออริกซ์ไบซา (Beisa oryx)
- นกนานาชนิด รวมถึงนกเฉพาะถิ่นหลายชนิด
เอธิโอเปียมีอุทยานแห่งชาติและเขตอนุรักษ์หลายแห่งเพื่อปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น อุทยานแห่งชาติซีเมียน, อุทยานแห่งชาติเทือกเขาเบล (Bale Mountains National Park), อุทยานแห่งชาติอาวาช (Awash National Park), และอุทยานแห่งชาติโอโม (Omo National Park) อุทยานแห่งชาติซีเมียนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติจากยูเนสโก
อย่างไรก็ตาม ความหลากหลายทางชีวภาพของเอธิโอเปียกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การขยายพื้นที่เกษตรกรรม การล่าสัตว์ผิดกฎหมาย และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รัฐบาลเอธิโอเปียและองค์กรอนุรักษ์ต่าง ๆ กำลังพยายามดำเนินมาตรการเพื่ออนุรักษ์ระบบนิเวศและชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามเหล่านี้ การส่งเสริมความตระหนักรู้ในหมู่ประชาชนและการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นเป็นสิ่งสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน
5. การเมือง
เอธิโอเปียเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐระบบรัฐสภา ซึ่งอำนาจบริหารส่วนใหญ่อยู่ในมือนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ในขณะที่ประธานาธิบดีมีบทบาทในฐานะประมุขแห่งรัฐในทางพิธีการเป็นหลัก ระบบการเมืองของประเทศมีพื้นฐานมาจากรัฐธรรมนูญปี 1995 ซึ่งกำหนดโครงสร้างการปกครองแบบสหพันธรัฐที่แบ่งอำนาจระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลระดับภูมิภาคตามเชื้อชาติ อย่างไรก็ตาม การเมืองเอธิโอเปียมีความซับซ้อนและเผชิญกับความท้าทายหลายประการ รวมถึงความตึงเครียดทางชาติพันธุ์ การเลือกตั้งที่มีข้อโต้แย้ง และประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย
5.1. โครงสร้างรัฐบาล


โครงสร้างรัฐบาลของเอธิโอเปียประกอบด้วยสามอำนาจหลัก คือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ
- ฝ่ายบริหาร:
- ประธานาธิบดี: เป็นประมุขแห่งรัฐ มีอำนาจในทางพิธีการเป็นส่วนใหญ่ ได้รับการเลือกตั้งจากสภาผู้แทนราษฎร (House of Peoples' Representatives - HoPR) มีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี ปัจจุบันประธานาธิบดีคือ Taye Atske Selassie
- นายกรัฐมนตรี: เป็นหัวหน้ารัฐบาลและผู้มีอำนาจบริหารสูงสุด ได้รับการแต่งตั้งจากพรรคการเมืองหรือแนวร่วมพรรคการเมืองที่ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี และสามารถดำรงตำแหน่งได้ไม่เกินสองวาระ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือ อาบีย์ อาห์เม็ด (Abiy Ahmed)
- คณะรัฐมนตรี: ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่าง ๆ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากนายกรัฐมนตรีและอนุมัติโดยสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่บริหารประเทศตามนโยบายที่กำหนด
- ฝ่ายนิติบัญญัติ: เรียกว่า สมัชชารัฐสภากลาง (Federal Parliamentary Assembly) เป็นระบบสองสภา ประกอบด้วย:
- สภาสหพันธรัฐ (House of Federation - HoF): เป็นสภาสูง มีสมาชิก 108 คน (ตามข้อมูลเดิม อาจมีการเปลี่ยนแปลง) ซึ่งได้รับเลือกจากสภาของแต่ละรัฐ สภานี้มีอำนาจหลักในการตีความรัฐธรรมนูญและแก้ไขข้อพิพาทระหว่างรัฐ
- สภาผู้แทนราษฎร (House of Peoples' Representatives - HoPR): เป็นสภาล่าง มีสมาชิกไม่เกิน 550 คน (จำนวนที่นั่งอาจมีการเปลี่ยนแปลง) มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนทั่วประเทศ มีวาระ 5 ปี สภานี้มีอำนาจหลักในการออกกฎหมาย อนุมัติงบประมาณ และแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
- ฝ่ายตุลาการ:
- ระบบศาลของเอธิโอเปียประกอบด้วยศาลระดับสหพันธรัฐและศาลระดับรัฐ
- ศาลฎีกากลางแห่งเอธิโอเปีย (Federal Supreme Court): เป็นศาลสูงสุดของประเทศ มีอำนาจในการพิจารณาคดีอุทธรณ์จากศาลระดับล่าง และมีอำนาจในการตีความกฎหมาย ประธานศาลฎีกาและรองประธานได้รับการแต่งตั้งจากนายกรัฐมนตรีและอนุมัติโดยสภาผู้แทนราษฎร
การเมืองของเอธิโอเปียยังคงเผชิญกับความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างอำนาจของรัฐบาลกลางและรัฐบาลระดับภูมิภาค รวมถึงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและการเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง
5.2. พรรคการเมืองหลักและการเลือกตั้ง


เอธิโอเปียมีระบบการเมืองหลายพรรค แต่ในทางปฏิบัติ พรรคแนวร่วมประชาธิปไตยประชาชนปฏิวัติเอธิโอเปีย (Ethiopian People's Revolutionary Democratic Front - EPRDF) ซึ่งเป็นแนวร่วมของพรรคการเมืองตามชาติพันธุ์สี่พรรค เคยเป็นผู้ครองอำนาจหลักมาเป็นเวลานานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 จนกระทั่งนายกรัฐมนตรีอาบีย์ อาห์เม็ด ได้ยุบ EPRDF และก่อตั้ง พรรคความรุ่งเรือง (Prosperity Party - PP) ขึ้นในปี ค.ศ. 2019 โดยรวมพรรคในเครือ EPRDF (ยกเว้นแนวร่วมปลดปล่อยประชาชนตีกราย - TPLF) และพรรคพันธมิตรอื่น ๆ เข้าด้วยกัน พรรคความรุ่งเรืองกลายเป็นพรรครัฐบาลหลักในปัจจุบัน
พรรคการเมืองหลักอื่น ๆ และกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่สำคัญ ได้แก่:
- แนวร่วมปลดปล่อยประชาชนตีกราย (Tigray People's Liberation Front - TPLF): เคยเป็นส่วนหนึ่งของ EPRDF และมีอิทธิพลอย่างสูงในรัฐบาลกลาง แต่หลังจากความขัดแย้งกับนายกรัฐมนตรีอาบีย์ TPLF ได้กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามและมีบทบาทสำคัญในสงครามตีกราย
- ขบวนการแห่งชาติอัมฮารา (National Movement of Amhara - NaMA): เป็นพรรคชาตินิยมของชาวอัมฮารา
- พลเมืองเอธิโอเปียเพื่อความยุติธรรมทางสังคม (Ethiopian Citizens for Social Justice - EZEMA): เป็นพรรคฝ่ายค้านที่สำคัญ
- กองทัพปลดปล่อยโอโรโม (Oromo Liberation Army - OLA): เป็นกลุ่มติดอาวุธที่แยกตัวมาจากแนวร่วมปลดปล่อยโอโรโม (Oromo Liberation Front - OLF) และยังคงต่อสู้กับรัฐบาลกลาง
- พรรคการเมืองตามชาติพันธุ์อื่น ๆ ในระดับภูมิภาค
การเลือกตั้งทั่วไปในเอธิโอเปียจัดขึ้นทุก ๆ 5 ปี เพื่อเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การเลือกตั้งครั้งล่าสุดคือ การเลือกตั้งทั่วไปปี 2021 ซึ่งพรรคความรุ่งเรืองของนายกรัฐมนตรีอาบีย์ได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลาย อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้ถูกคว่ำบาตรโดยพรรคฝ่ายค้านบางพรรค และเผชิญกับข้อวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความโปร่งใสและความยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ในภูมิภาคตีกรายและพื้นที่อื่น ๆ
ภูมิทัศน์ทางการเมืองของเอธิโอเปียมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและเต็มไปด้วยความท้าทาย การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงยังคงเผชิญกับอุปสรรคจากความตึงเครียดทางชาติพันธุ์ การแบ่งขั้วทางการเมือง และปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน การสร้างความไว้วางใจระหว่างกลุ่มการเมืองต่าง ๆ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างกว้างขวางเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาทางการเมืองที่ยั่งยืน
5.3. ระบบตุลาการ
ระบบตุลาการของเอธิโอเปียมีโครงสร้างแบบคู่ขนาน ประกอบด้วยศาลระดับสหพันธรัฐและศาลระดับรัฐ ซึ่งสะท้อนถึงระบบการปกครองแบบสหพันธรัฐของประเทศ รัฐธรรมนูญปี 1995 ได้กำหนดให้ฝ่ายตุลาการเป็นอิสระจากฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมและหลักนิติธรรม
องค์ประกอบหลักของฝ่ายตุลาการ ได้แก่:
- ศาลฎีกากลางแห่งเอธิโอเปีย (Federal Supreme Court): เป็นศาลสูงสุดของประเทศ มีอำนาจพิจารณาคดีอุทธรณ์จากศาลกลางระดับสูง (Federal High Court) และศาลรัฐระดับสูงสุด (State Supreme Courts) ในบางกรณี นอกจากนี้ ศาลฎีกากลางยังมีอำนาจในการตีความรัฐธรรมนูญและกฎหมายของรัฐบาลกลาง ประธานศาลฎีกากลางและรองประธานได้รับการแต่งตั้งโดยสภาผู้แทนราษฎรตามการเสนอชื่อของนายกรัฐมนตรี
- ศาลกลางระดับสูง (Federal High Court): มีเขตอำนาจศาลในคดีอาญาและคดีแพ่งที่สำคัญ รวมถึงคดีที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายของรัฐบาลกลาง
- ศาลกลางชั้นต้น (Federal First Instance Court): รับผิดชอบคดีในระดับเริ่มต้นตามที่กฎหมายกำหนด
- ศาลระดับรัฐ (State Courts): แต่ละรัฐในเอธิโอเปียมีระบบศาลของตนเอง ซึ่งประกอบด้วยศาลฎีกาของรัฐ (State Supreme Court) ศาลสูงของรัฐ (State High Court) และศาลชั้นต้นของรัฐ (State First Instance Court) ศาลเหล่านี้มีเขตอำนาจศาลในคดีที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายของรัฐนั้น ๆ
กระบวนการยุติธรรมในเอธิโอเปียยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะรับรองความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการ แต่ในทางปฏิบัติยังคงมีข้อกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลทางการเมือง การขาดแคลนทรัพยากรและบุคลากรที่มีคุณภาพ รวมถึงการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบท ประเด็นหลักนิติธรรม เช่น การรับรองสิทธิในการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม การคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหา และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีความพยายามในการปฏิรูประบบตุลาการเพื่อเพิ่มความเป็นอิสระ ประสิทธิภาพ และความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปเหล่านี้ยังคงต้องใช้เวลาและความมุ่งมั่นทางการเมืองอย่างแท้จริงเพื่อสร้างระบบตุลาการที่สามารถอำนวยความยุติธรรมและรักษาหลักนิติธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมสำหรับประชาชนทุกคน
5.4. เขตการปกครอง
เอธิโอเปียเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐที่ประกอบด้วยเขตการปกครองหลายระดับตามรัฐธรรมนูญปี 1995 ซึ่งมีพื้นฐานมาจากระบบสหพันธรัฐชาติพันธุ์ (ethnic federalism) โครงสร้างหลักแบ่งออกเป็น:
1. รัฐ (States หรือ Kililoch): เป็นหน่วยการปกครองระดับสูงสุด ปัจจุบันเอธิโอเปียมี 12 รัฐ แต่ละรัฐจัดตั้งขึ้นโดยอิงตามกลุ่มชาติพันธุ์หลักที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้น ๆ รัฐมีอำนาจในการปกครองตนเองในระดับหนึ่ง มีสภานิติบัญญัติและฝ่ายบริหารของตนเอง และสามารถกำหนดภาษาราชการของตนเองได้ รัฐต่าง ๆ ได้แก่:
- อาฟาร์ (Afar)
- อัมฮารา (Amhara)
- เบนิชานกุล-กูมุซ (Benishangul-Gumuz)
- เอธิโอเปียกลาง (Central Ethiopia) (จัดตั้งใหม่ในปี 2023)
- กัมเบลา (Gambela)
- ฮารารี (Harari)
- โอโรเมีย (Oromia)
- ซีดามา (Sidama) (แยกตัวจาก SNNPR ในปี 2020)
- โซมาลี (Somali)
- เอธิโอเปียใต้ (South Ethiopia) (จัดตั้งใหม่ในปี 2023)
- เซาท์เวสต์เอธิโอเปีย (South West Ethiopia Peoples' Region) (แยกตัวจาก SNNPR ในปี 2021)
- ตีกราย (Tigray)
2. เมืองพิเศษ (Chartered Cities): เป็นเมืองที่มีสถานะเทียบเท่ารัฐและขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลาง มี 2 เมืองคือ:
- อาดดิสอาบาบา (Addis Ababa): เมืองหลวงของประเทศ
- ดีเรดาวา (Dire Dawa)
แต่ละรัฐยังแบ่งย่อยออกเป็น โซน (Zones) จากนั้นเป็น โวเรดา (Woredas) หรือเขต และหน่วยการปกครองที่เล็กที่สุดคือ เคเบเล (Kebeles) หรือสมาคมเพื่อนบ้าน
ลักษณะประชากรในแต่ละเขตการปกครองมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูง แม้ว่าแต่ละรัฐจะจัดตั้งขึ้นตามกลุ่มชาติพันธุ์หลัก แต่ก็มักจะมีชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ อาศัยอยู่ร่วมด้วย เมืองสำคัญในแต่ละรัฐทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการบริหาร เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม การกระจายตัวของกลุ่มชาติพันธุ์เป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อพลวัตทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่าง ๆ
ระบบสหพันธรัฐชาติพันธุ์มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมการปกครองตนเองของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ และลดความขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ ระบบนี้ก็เผชิญกับความท้าทาย เช่น ข้อพิพาทเรื่องเขตแดนระหว่างรัฐ ความตึงเครียดระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ การกระจายทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรม และปัญหาการคุ้มครองสิทธิของชนกลุ่มน้อยภายในรัฐต่าง ๆ ซึ่งบางครั้งนำไปสู่ความขัดแย้งและความไม่มั่นคงในบางพื้นที่
5.5. สิทธิมนุษยชนและความมั่นคง
สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเอธิโอเปียยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวลอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีความพยายามในการปฏิรูปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอาบีย์ อาห์เม็ด แต่ความท้าทายหลายประการยังคงอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของความขัดแย้งภายในประเทศและความตึงเครียดทางชาติพันธุ์
เสรีภาพสื่อและการแสดงออก: แม้ว่าจะมีการเปิดพื้นที่ให้กับสื่อและนักวิจารณ์มากขึ้นในช่วงแรกของการปฏิรูป แต่เสรีภาพสื่อยังคงถูกจำกัด มีรายงานการจับกุมและคุกคามนักข่าว นักกิจกรรม และผู้เห็นต่างทางการเมือง การปิดกั้นอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียยังคงเกิดขึ้นเป็นระยะ โดยเฉพาะในช่วงที่มีความไม่สงบหรือการประท้วง การออกกฎหมายใหม่เกี่ยวกับอาชญากรรมทางไซเบอร์และการต่อต้านการก่อการร้ายได้ก่อให้เกิดความกังวลว่าจะถูกนำมาใช้เพื่อจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก
การพัฒนาประชาธิปไตย: การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็งและมีส่วนร่วมยังคงเผชิญอุปสรรค การเลือกตั้งทั่วไปในปี 2021 ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องความโปร่งใสและความยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่พรรคฝ่ายค้านบางพรรคคว่ำบาตรและการยกเว้นพื้นที่บางแห่งเนื่องจากความไม่มั่นคง ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์และการแบ่งขั้วทางการเมืองยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการสร้างฉันทามติและการปรองดองในระดับชาติ
สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง: มีรายงานการละเมิดสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการจับกุมและควบคุมตัวโดยพลการ การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย การสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง เช่น แคว้นตีกราย แคว้นโอโรเมีย และแคว้นอัมฮารา การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรมยังคงเป็นความท้าทายสำหรับประชาชนจำนวนมาก
สถานการณ์ความมั่นคงภายในประเทศ: เอธิโอเปียเผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงหลายประการ:
- ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์: ความตึงเครียดและการปะทะกันระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ยังคงเป็นปัญหาสำคัญในหลายภูมิภาค นำไปสู่การพลัดถิ่นของประชาชนจำนวนมากและการสูญเสียชีวิต
- สงครามตีกราย: แม้ว่าจะมีการลงนามในข้อตกลงสันติภาพในปี 2022 แต่ผลกระทบจากสงครามยังคงอยู่ รวมถึงวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมและการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง
- การก่อความไม่สงบ: กลุ่มติดอาวุธ เช่น กองทัพปลดปล่อยโอโรโม (OLA) และกลุ่มฟาโน (Fano) ในอัมฮารา ยังคงก่อความไม่สงบและปะทะกับกองกำลังของรัฐบาล
- ข้อพิพาทชายแดน: ความตึงเครียดตามแนวชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับซูดานในเรื่องพื้นที่อัล-ฟัชากา (Al-Fashaga) ยังคงเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน
ความท้าทายหลักในการปรับปรุงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนและความมั่นคงในเอธิโอเปีย ได้แก่ การสร้างความรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน การปฏิรูประบบความมั่นคงและกระบวนการยุติธรรม การส่งเสริมการเจรจาและการปรองดองระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ และการแก้ไขปัญหารากเหง้าของความขัดแย้ง เช่น ความยากจน ความไม่เท่าเทียม และการเข้าถึงทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรม ประชาคมระหว่างประเทศยังคงเรียกร้องให้รัฐบาลเอธิโอเปียดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน
6. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
นโยบายต่างประเทศของเอธิโอเปียมีลักษณะที่ผสมผสานระหว่างการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ การส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคจะงอยแอฟริกา และการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในเวทีระหว่างประเทศ เอธิโอเปียมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับประเทศเพื่อนบ้าน และยังคงรักษาความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ รวมถึงมีบทบาทสำคัญในองค์กรระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปแอฟริกา
6.1. ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน
เอธิโอเปียมีความสัมพันธ์ที่หลากหลายกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีทั้งความร่วมมือและความขัดแย้งที่หยั่งรากลึกในประวัติศาสตร์และปัญหาชายแดน:
- เอริเทรีย: ความสัมพันธ์กับเอริเทรียมีความผันผวนอย่างมาก ทั้งสองประเทศเคยทำสงครามชายแดนระหว่างปี ค.ศ. 1998-2000 แม้ว่าจะมีการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตในปี ค.ศ. 2018 แต่ความตึงเครียดก็ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากบทบาทของเอริเทรียในสงครามตีกราย
- โซมาเลีย: เอธิโอเปียมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับโซมาเลีย โดยเคยเข้าไปมีบทบาททางทหารในโซมาเลียเพื่อต่อต้านกลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ เช่น อัล-ชาบับ นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องภูมิภาคโอกาเดนซึ่งมีประชากรเชื้อสายโซมาลีจำนวนมากอาศัยอยู่
- ซูดาน: ความสัมพันธ์กับซูดานได้รับผลกระทบจากข้อพิพาทชายแดนในพื้นที่อัล-ฟัชากา (Al-Fashaga) ที่อุดมสมบูรณ์ และความกังวลของซูดานเกี่ยวกับผลกระทบของเขื่อนแกรนด์เอธิโอเปียนเรอเนสซองซ์ (GERD) ต่อปริมาณน้ำในแม่น้ำไนล์
- ซูดานใต้: เอธิโอเปียมีบทบาทสำคัญในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในซูดานใต้ และให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้ลี้ภัยจากซูดานใต้
- เคนยา: ความสัมพันธ์กับเคนยาโดยทั่วไปเป็นไปในทางที่ดี มีความร่วมมือในด้านความมั่นคงและการค้า อย่างไรก็ตาม อาจมีประเด็นความตึงเครียดตามแนวชายแดนที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรและการเคลื่อนย้ายของกลุ่มชาติพันธุ์
- จิบูตี: จิบูตีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเอธิโอเปียในฐานะเป็นเส้นทางหลักในการเข้าถึงทะเลสำหรับการค้าและการขนส่งสินค้า ทางรถไฟอาดดิสอาบาบา-จิบูตีเป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่เชื่อมโยงทั้งสองประเทศ
การจัดการความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านยังคงเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับเอธิโอเปีย โดยต้องสร้างสมดุลระหว่างการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติกับการส่งเสริมเสถียรภาพในภูมิภาค
6.2. ความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจ
เอธิโอเปียมีความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจกับประเทศมหาอำนาจและกลุ่มอิทธิพลระหว่างประเทศต่าง ๆ:
- สหรัฐอเมริกา: สหรัฐฯ เคยเป็นพันธมิตรที่สำคัญของเอธิโอเปีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความมั่นคงและการต่อต้านการก่อการร้าย อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์เริ่มตึงเครียดขึ้นในช่วงสงครามตีกรายเนื่องจากข้อกังวลด้านสิทธิมนุษยชนและการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ
- จีน: จีนเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจและการลงทุนที่สำคัญของเอธิโอเปีย มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ทางรถไฟ และเขื่อน รวมถึงการให้สินเชื่อจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาจีนทางเศรษฐกิจก็ก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้สิน
- สหภาพยุโรป: สหภาพยุโรปเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาที่สำคัญแก่เอธิโอเปีย และมีความร่วมมือในหลายด้าน อย่างไรก็ตาม สหภาพยุโรปก็ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนและความขัดแย้งภายในประเทศเช่นกัน
- ประเทศในตะวันออกกลาง: เอธิโอเปียมีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และเศรษฐกิจกับประเทศในตะวันออกกลางหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการลงทุน การค้า และการจ้างงาน ประเทศเหล่านี้รวมถึง ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และตุรกี นอกจากนี้ อียิปต์ยังคงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในประเด็นเรื่องแม่น้ำไนล์
เอธิโอเปียพยายามดำเนินนโยบายต่างประเทศที่สมดุลเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเองและส่งเสริมการพัฒนาประเทศ โดยไม่ผูกมัดกับมหาอำนาจใดมหาอำนาจหนึ่งมากเกินไป
6.3. กิจกรรมในองค์กรระหว่างประเทศ

เอธิโอเปียมีบทบาทสำคัญในองค์กรระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปแอฟริกา:
- สหภาพแอฟริกา (African Union - AU): อาดดิสอาบาบาเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของสหภาพแอฟริกา ทำให้เอธิโอเปียมีบทบาทสำคัญในการเมืองแอฟริกา เอธิโอเปียเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งองค์การเอกภาพแอฟริกา (OAU) ซึ่งเป็นองค์กรก่อนหน้าของ AU และมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกิจกรรมต่าง ๆ ของ AU รวมถึงการรักษาสันติภาพ การไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง และการส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในทวีป
- สหประชาชาติ (United Nations - UN): เอธิโอเปียเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งสหประชาชาติ และมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ของ UN รวมถึงการส่งกองกำลังรักษาสันติภาพไปยังพื้นที่ขัดแย้งต่าง ๆ เอธิโอเปียยังเป็นที่ตั้งของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจแห่งสหประชาชาติสำหรับแอฟริกา (UNECA) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในทวีป
- องค์การระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการพัฒนา (Intergovernmental Authority on Development - IGAD): เอธิโอเปียเป็นสมาชิกสำคัญของ IGAD ซึ่งเป็นองค์กรระดับภูมิภาคที่มุ่งเน้นการส่งเสริมสันติภาพ ความมั่นคง และการพัฒนาในภูมิภาคจะงอยแอฟริกา
- บริกส์ (BRICS): ในปี ค.ศ. 2024 เอธิโอเปียได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มบริกส์อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่สำคัญ การเข้าร่วมนี้ถูกมองว่าเป็นโอกาสในการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเมืองกับประเทศสมาชิกอื่น ๆ
การมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในองค์กรระหว่างประเทศเหล่านี้ช่วยให้เอธิโอเปียสามารถแสดงบทบาทนำในระดับภูมิภาคและระดับโลก และส่งเสริมผลประโยชน์ของตนเองในเวทีระหว่างประเทศ
7. การทหาร

กองกำลังป้องกันชาติเอธิโอเปีย (Ethiopian National Defense Force - ENDF) เป็นองค์กรหลักที่รับผิดชอบด้านการป้องกันประเทศและรักษาความมั่นคงของเอธิโอเปีย ENDF มีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีบทบาทสำคัญทั้งในความขัดแย้งภายในประเทศและในระดับภูมิภาค
องค์กรและโครงสร้าง:
ENDF ประกอบด้วยเหล่าทัพหลักดังนี้:
- กองทัพบก (Ethiopian Ground Forces): เป็นเหล่าทัพที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีบทบาทหลักในการปฏิบัติการทางบก
- กองทัพอากาศ (Ethiopian Air Force): รับผิดชอบการป้องกันภัยทางอากาศและการสนับสนุนการปฏิบัติการทางบก
- ในอดีตเอธิโอเปียเคยมีกองทัพเรือ (Ethiopian Navy) แต่หลังจากเอริเทรียแยกตัวเป็นเอกราชในปี ค.ศ. 1993 ทำให้เอธิโอเปียกลายเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล และกองทัพเรือก็ถูกยุบไป อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 2018 มีการประกาศแผนที่จะจัดตั้งกองทัพเรือขึ้นใหม่ โดยอาจจะมีการใช้ท่าเรือของประเทศเพื่อนบ้าน
ขนาดกำลังพลและยุทโธปกรณ์:
ขนาดกำลังพลของ ENDF มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความมั่นคง ในช่วงที่มีความขัดแย้งรุนแรง เช่น สงครามตีกราย จำนวนกำลังพลอาจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ยุทโธปกรณ์หลักของ ENDF มาจากหลายแหล่ง รวมถึงอาวุธยุทโธปกรณ์จากอดีตสหภาพโซเวียต รัสเซีย จีน และประเทศอื่น ๆ เอธิโอเปียยังมีความพยายามในการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของตนเองในบางระดับ
งบประมาณกลาโหม:
งบประมาณกลาโหมของเอธิโอเปียมีการเปลี่ยนแปลงตามสภาวะเศรษฐกิจและความจำเป็นด้านความมั่นคง โดยทั่วไปแล้ว งบประมาณส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นในช่วงที่มีความขัดแย้งหรือความตึงเครียดในระดับภูมิภาค
กิจกรรมทางทหารที่สำคัญ:
ENDF มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางทหารที่สำคัญหลายประการ:
- การป้องกันประเทศ: ภารกิจหลักคือการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของเอธิโอเปีย
- การรักษาความมั่นคงภายใน: ENDF มีบทบาทสำคัญในการจัดการกับความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ การก่อความไม่สงบ และภัยคุกคามอื่น ๆ ภายในประเทศ
- การรักษาสันติภาพในระดับภูมิภาค: เอธิโอเปียเป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญในการปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหภาพแอฟริกาและสหประชาชาติในภูมิภาค เช่น ในโซมาเลีย ซูดาน และซูดานใต้
- สงครามและความขัดแย้ง: ENDF เคยผ่านสงครามครั้งสำคัญหลายครั้ง เช่น สงครามเอริเทรีย-เอธิโอเปีย (ค.ศ. 1998-2000) และสงครามตีกราย (ค.ศ. 2020-2022)
สภาพแวดล้อมด้านความมั่นคง:
เอธิโอเปียตั้งอยู่ในภูมิภาคที่มีความเปราะบางและเผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงหลายประการ ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ การก่อการร้ายจากกลุ่มเช่น อัล-ชาบับ ข้อพิพาทชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน และความไม่มั่นคงในภูมิภาคจะงอยแอฟริกาโดยรวม ล้วนส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงของเอธิโอเปีย การปฏิรูปภาคความมั่นคงและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นสิ่งสำคัญในการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้
การวิเคราะห์บทบาทของกองทัพในทางการเมืองและผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนยังคงเป็นประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของความขัดแย้งภายในประเทศ ซึ่งมีการกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยกองกำลังความมั่นคง การสร้างกองทัพที่เป็นมืออาชีพและเคารพหลักนิติธรรมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาประชาธิปไตยที่ยั่งยืน
8. เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของเอธิโอเปียเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในแอฟริกาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าจะยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น ความยากจน ความไม่เท่าเทียม และการพึ่งพาภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายเพื่อส่งเสริมการลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการกระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับประเทศให้เป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางภายในปี ค.ศ. 2025 อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งภายในประเทศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
8.1. เกษตรกรรม
ภาคเกษตรกรรมเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจเอธิโอเปีย คิดเป็นสัดส่วนสำคัญของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และการจ้างงานส่วนใหญ่ของประเทศ พืชผลทางการเกษตรที่สำคัญ ได้แก่:
- กาแฟ: เอธิโอเปียเป็นแหล่งกำเนิดของกาแฟพันธุ์อาราบิกา และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่ของโลก กาแฟเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญและสร้างรายได้หลักให้กับประเทศ
- เทฟฟ์ (Teff): เป็นธัญพืชหลักที่ใช้ทำอินเจรา (injera) ซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวเอธิโอเปีย
- เมล็ดน้ำมัน: เช่น งา ลินซีด และถั่วลิสง
- ธัญพืชอื่น ๆ: เช่น ข้าวโพด ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และข้าวฟ่าง
- พืชตระกูลถั่ว
- ผักและผลไม้
- ดอกไม้: อุตสาหกรรมดอกไม้มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้เอธิโอเปียเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกดอกไม้รายใหญ่ในแอฟริกา
แม้ว่าภาคเกษตรกรรมจะมีความสำคัญ แต่ก็ยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น การพึ่งพาน้ำฝนเป็นหลัก (rain-fed agriculture) ซึ่งทำให้ผลผลิตมีความไม่แน่นอนและเสี่ยงต่อภัยแล้ง การขาดเทคโนโลยีที่ทันสมัย การเข้าถึงสินเชื่อและตลาดที่จำกัด ขนาดที่ดินทำการเกษตรที่เล็ก และปัญหาการเสื่อมโทรมของดิน รัฐบาลได้พยายามส่งเสริมการชลประทาน การใช้ปุ๋ยและเมล็ดพันธุ์ที่ปรับปรุงแล้ว และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในชนบทเพื่อเพิ่มผลผลิตและปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร
ความมั่นคงทางอาหารยังคงเป็นประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่ประสบภัยแล้งซ้ำซาก การส่งเสริมความหลากหลายของพืชผล การปรับปรุงวิธีการทำการเกษตรที่ยั่งยืน และการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบตลาดเป็นสิ่งจำเป็นในการแก้ไขปัญหานี้
8.2. อุตสาหกรรมและภาคบริการ
รัฐบาลเอธิโอเปียได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและการบริการเพื่อลดการพึ่งพาภาคเกษตรกรรมและสร้างงาน อุตสาหกรรมหลักและภาคบริการที่สำคัญ ได้แก่:
- การผลิต:
- สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม: เป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยได้รับแรงหนุนจากการลงทุนจากต่างประเทศและนโยบายส่งเสริมของรัฐบาล
- เครื่องหนัง: เอธิโอเปียมีทรัพยากรปศุสัตว์จำนวนมาก ทำให้มีศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องหนัง
- อาหารแปรรูป: การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่า
- การก่อสร้าง: มีการเติบโตอย่างรวดเร็วจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์
- ภาคบริการ:
- การท่องเที่ยว: เอธิโอเปียมีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติที่หลากหลาย ซึ่งมีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยว
- การเงิน: ภาคการเงินยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐเป็นส่วนใหญ่ แต่มีความพยายามในการเปิดเสรีและปฏิรูปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
- เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT): มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายในด้านโครงสร้างพื้นฐานและการเข้าถึง
- การขนส่งและโลจิสติกส์: มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการค้า สายการบินเอธิโอเปียนแอร์ไลน์เป็นหนึ่งในสายการบินชั้นนำของแอฟริกา
รัฐบาลได้จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งเพื่อดึงดูดการลงทุนและส่งเสริมการผลิต อย่างไรก็ตาม ภาคอุตสาหกรรมยังคงเผชิญกับความท้าทาย เช่น การขาดแคลนวัตถุดิบและพลังงาน ปัญหาด้านโลจิสติกส์ และการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ การพัฒนาทักษะแรงงาน การปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ และการส่งเสริมนวัตกรรมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนของภาคอุตสาหกรรมและบริการ
8.3. พลังงานและทรัพยากรแร่

เอธิโอเปียมีศักยภาพสูงในการผลิตพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานน้ำ นโยบายพลังงานของประเทศมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแหล่งพลังงานหมุนเวียนเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน
พลังงานน้ำ:
- เอธิโอเปียมีแม่น้ำหลายสายที่เหมาะสำหรับการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ โครงการที่สำคัญที่สุดคือ เขื่อนแกรนด์เอธิโอเปียนเรอเนสซองซ์ (Grand Ethiopian Renaissance Dam - GERD) บนแม่น้ำไนล์สีน้ำเงิน ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จจะเป็นเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกา GERD มีเป้าหมายเพื่อผลิตไฟฟ้าสำหรับใช้ในประเทศและส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
- นอกจาก GERD แล้ว ยังมีเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำอื่น ๆ ที่สำคัญ เช่น เขื่อนกิลเกล กิเบ III (Gilgel Gibe III Dam)
พลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ:
- เอธิโอเปียยังมีศักยภาพในการพัฒนาพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานความร้อนใต้พิภพ รัฐบาลได้เริ่มโครงการพัฒนาแหล่งพลังงานเหล่านี้เพื่อกระจายแหล่งพลังงานและลดการพึ่งพาพลังงานน้ำเพียงอย่างเดียว
ทรัพยากรแร่:
- เอธิโอเปียมีทรัพยากรแร่หลายชนิด แต่การพัฒนายังอยู่ในระยะเริ่มต้น ทรัพยากรแร่ที่สำคัญ ได้แก่:
- ทองคำ: มีการทำเหมืองทองคำทั้งในระดับอุตสาหกรรมและระดับรายย่อย
- แพลทินัม
- แทนทาลัม
- อัญมณี เช่น โอปอล
- โปแตช
- หินอ่อน และหินแกรนิต
- รัฐบาลพยายามส่งเสริมการลงทุนในภาคเหมืองแร่เพื่อเพิ่มรายได้และสร้างงาน อย่างไรก็ตาม การพัฒนาภาคเหมืองแร่ยังคงเผชิญกับความท้าทาย เช่น การขาดโครงสร้างพื้นฐาน ข้อมูลทางธรณีวิทยาที่ไม่เพียงพอ และความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
การพัฒนาภาคพลังงานและทรัพยากรแร่มีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของเอธิโอเปีย แต่จำเป็นต้องมีการวางแผนและการจัดการที่ดีเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น
8.4. การคมนาคม

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลเอธิโอเปียเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ การค้า และการเชื่อมโยงภายในประเทศและกับต่างประเทศ
- ถนน: เครือข่ายถนนเป็นเส้นทางคมนาคมหลักในเอธิโอเปีย มีการลงทุนอย่างมากในการก่อสร้างและปรับปรุงถนนทั่วประเทศ ทั้งถนนหลวง ถนนเชื่อมระหว่างเมือง และถนนในชนบท อย่างไรก็ตาม คุณภาพและระยะทางของถนนยังคงเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล
- ทางรถไฟ:
- ทางรถไฟอาดดิสอาบาบา-จิบูตี: เป็นเส้นทางรถไฟที่สำคัญที่สุด เชื่อมต่อเมืองหลวงอาดดิสอาบาบากับท่าเรือจิบูตี ซึ่งเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งสินค้านำเข้าและส่งออกของเอธิโอเปีย ทางรถไฟสายนี้เป็นระบบไฟฟ้าและสร้างขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากจีน
- มีการวางแผนโครงการทางรถไฟอื่น ๆ เพื่อขยายเครือข่ายและเชื่อมโยงส่วนต่าง ๆ ของประเทศ
- การบิน:
- สายการบินเอธิโอเปียนแอร์ไลน์: เป็นสายการบินแห่งชาติและเป็นหนึ่งในสายการบินที่ใหญ่ที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุดในแอฟริกา มีเครือข่ายเส้นทางบินที่กว้างขวางทั้งในทวีปแอฟริกาและทั่วโลก ท่าอากาศยานนานาชาติโบเลอาดดิสอาบาบาเป็นศูนย์กลางการบินที่สำคัญ
- การขนส่งทางน้ำ: เนื่องจากเอธิโอเปียเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล การขนส่งทางน้ำภายในประเทศจึงมีจำกัดอยู่เฉพาะในทะเลสาบและแม่น้ำบางสาย
แผนการพัฒนาการคมนาคมของเอธิโอเปียยังคงมุ่งเน้นไปที่การขยายและปรับปรุงเครือข่ายถนนและทางรถไฟ การพัฒนาท่าเรือบก (dry ports) เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้า และการเสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคการบิน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการลดต้นทุนโลจิสติกส์ ส่งเสริมการค้า และกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การลงทุนขนาดใหญ่เหล่านี้ก็ก่อให้เกิดความท้าทายในด้านภาระหนี้สินและการจัดการโครงการ
8.5. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

เอธิโอเปียกำลังพยายามพัฒนาขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ แม้ว่าจะยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่ก็มีความก้าวหน้าที่น่าสนใจในหลายด้าน
- สถาบันวิจัยหลัก: มีสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยหลายแห่งที่ดำเนินงานวิจัยในสาขาต่าง ๆ เช่น การเกษตร สุขภาพ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอวกาศเอธิโอเปีย (Ethiopian Space Science and Technology Institute - ESSTI) เป็นหน่วยงานสำคัญที่รับผิดชอบด้านอวกาศและเทคโนโลยี นอกจากนี้ยังมีสถาบันเทคโนโลยีชีวภาพเอธิโอเปีย (Ethiopian Biotechnology Institute) ซึ่งมุ่งเน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ
- การลงทุนด้านเทคโนโลยีอวกาศ: เอธิโอเปียได้แสดงความสนใจในการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ โดยได้ปล่อยดาวเทียมสำรวจระยะไกล ET-RSS1 ซึ่งเป็นดาวเทียมหลายสเปกตรัมขนาด 70 kg ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2019 ดาวเทียมนี้มีเป้าหมายเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ ซึ่งจะนำไปใช้ในเป้าหมายสำคัญของประเทศในด้านการเกษตร ป่าไม้ และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีการก่อสร้างโรงงานผลิต ประกอบ และทดสอบดาวเทียม ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากบริษัทฝรั่งเศสและเงินทุนจากธนาคารเพื่อการลงทุนยุโรป (EIB) หอดูดาวหลักและศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์อวกาศเอนโตโต (Entoto Observatory and Space Science Research Center - EORC) เป็นศูนย์กลางของโครงการอวกาศ
- การแพทย์แผนโบราณ: เอธิโอเปียมีประวัติศาสตร์อันยาวนานในการใช้การแพทย์แผนโบราณ การแพทย์แผนโบราณมักใช้สมุนไพร การรักษาทางจิตวิญญาณ การจัดกระดูก และการผ่าตัดเล็กน้อยในการรักษาโรค
- แนวโน้มการพัฒนา: รัฐบาลเอธิโอเปียให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการวิจัยและนวัตกรรม ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษามีความสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาด้านนี้
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในเอธิโอเปียยังคงเผชิญกับความท้าทาย เช่น การขาดแคลนงบประมาณและบุคลากรที่มีทักษะ โครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่เพียงพอ และการเชื่อมโยงระหว่างการวิจัยกับการนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ที่ยังไม่เข้มแข็ง การเอาชนะความท้าทายเหล่านี้จำเป็นต้องมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง การสร้างขีดความสามารถ และการส่งเสริมนโยบายที่สนับสนุนนวัตกรรม
9. สังคม
สังคมเอธิโอเปียมีความหลากหลายสูง สะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานและการผสมผสานของกลุ่มชาติพันธุ์ ภาษา และศาสนาที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม สังคมยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น ความยากจน ความไม่เท่าเทียม การเข้าถึงการศึกษาและบริการสาธารณสุขที่จำกัด และความตึงเครียดทางชาติพันธุ์ การทำความเข้าใจลักษณะและสถานการณ์โดยรวมของสังคมเอธิโอเปียจึงมีความสำคัญต่อการวิเคราะห์แนวโน้มการพัฒนาของประเทศ
9.1. ประชากร
กลุ่มชาติพันธุ์ | ประชากร (ล้านคน) | ร้อยละ |
---|---|---|
โอโรโม | 25.4 | 34.4% |
อัมฮารา | 19.9 | 27.0% |
โซมาลี | 4.59 | 6.2% |
ตีกราย | 4.49 | 6.1% |
ซิดามา | 2.95 | 4.0% |
กูราเก | 1.86 | 2.5% |
เวเลย์ตา | 1.68 | 2.3% |
อาฟาร์ | 1.28 | 1.7% |
ฮาดียา | 1.27 | 1.7% |
กาโม | 1.10 | 1.5% |
อื่น ๆ | 9.30 | 12.6% |
เอธิโอเปียเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองในทวีปแอฟริกา (รองจากไนจีเรีย) และเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลที่มีประชากรมากที่สุดในโลก
- ขนาดประชากร: ประมาณ 132 ล้านคน (ข้อมูลปี 2024)
- อัตราการเติบโตของประชากร: ยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ว่าจะมีการลดลงบ้างในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
- ความหนาแน่นของประชากร: แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค โดยมีความหนาแน่นสูงในพื้นที่ราบสูงที่อุดมสมบูรณ์
- โครงสร้างอายุ: ประชากรส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับการพัฒนาประเทศ
- สถานการณ์ความเป็นเมือง: อัตราการขยายตัวของเมืองเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ประชากรส่วนใหญ่ยังคงอาศัยอยู่ในชนบท อาดดิสอาบาบาเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการเมือง
- แนวโน้ม: คาดว่าประชากรจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อทรัพยากรและบริการสาธารณะ
การจัดการกับการเติบโตของประชากรอย่างยั่งยืน การสร้างงานสำหรับคนหนุ่มสาว และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเมืองและชนบทเป็นความท้าทายสำคัญของเอธิโอเปีย
9.2. กลุ่มชาติพันธุ์
เอธิโอเปียเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูง ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 80 กลุ่ม กลุ่มชาติพันธุ์หลัก ๆ ได้แก่:
- โอโรโม (Oromo): เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็นประมาณร้อยละ 34.5 ของประชากร (ตามสำมะโนปี 2007) อาศัยอยู่กระจายตัวในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะในแคว้นโอโรเมีย
- อัมฮารา (Amhara): เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่เป็นอันดับสอง คิดเป็นประมาณร้อยละ 26.9 ของประชากร (ตามสำมะโนปี 2007) มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์และการเมืองของเอธิโอเปีย อาศัยอยู่หนาแน่นในแคว้นอัมฮารา
- โซมาลี (Somali): คิดเป็นประมาณร้อยละ 6.2 ของประชากร (ตามสำมะโนปี 2007) อาศัยอยู่เป็นหลักในแคว้นโซมาลีทางตะวันออก
- ตีกราย (Tigrayan): คิดเป็นประมาณร้อยละ 6.1 ของประชากร (ตามสำมะโนปี 2007) มีบทบาทสำคัญในการเมืองหลังการล่มสลายของระบอบเดร์ก อาศัยอยู่เป็นหลักในแคว้นตีกรายทางตอนเหนือ
- ซิดามา (Sidama): ประมาณร้อยละ 4.0
- กูราเก (Gurage): ประมาณร้อยละ 2.5
- เวเลย์ตา (Welayta): ประมาณร้อยละ 2.3
- อาฟาร์ (Afar): ประมาณร้อยละ 1.7
- ฮาดียา (Hadiya): ประมาณร้อยละ 1.7
- กาโม (Gamo): ประมาณร้อยละ 1.5
- กลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ อีกมากมาย
ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในเอธิโอเปียมีความซับซ้อน มีทั้งช่วงเวลาแห่งความร่วมมือและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดและความขัดแย้ง ปัญหารากฐานของความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ล่าสุดมักเกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องอำนาจทางการเมือง การเข้าถึงทรัพยากร การกำหนดเขตแดน และอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ระบบสหพันธรัฐชาติพันธุ์ที่นำมาใช้ในปี 1995 มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการปกครองตนเองของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจเป็นการส่งเสริมการแบ่งแยกและทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นในบางกรณี การสร้างความปรองดองและความเข้าใจระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับเสถียรภาพและการพัฒนาของเอธิโอเปีย
9.3. ภาษา
ภาษา | ร้อยละ |
---|---|
โอโรโม | 33.8% |
อามารา | 29.3% |
โซมาลี | 6.2% |
ตึกรึญญา | 5.9% |
ซีดาโม | 4.0% |
โวไลตา | 2.2% |
กูราเก | 2.0% |
อาฟาร์ | 1.7% |
ฮาดียา | 1.7% |
กาโม | 1.5% |
ภาษาอื่น ๆ | 11.7% |
เอธิโอเปียเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางภาษาอย่างมาก โดยมีภาษาพูดมากกว่า 80 ภาษา ภาษาเหล่านี้ส่วนใหญ่จัดอยู่ในตระกูลภาษาแอโฟรเอชีแอติก (Afroasiatic) และตระกูลภาษาไนล์-สะฮารา (Nilo-Saharan)
- ภาษาราชการของรัฐบาลกลาง: ภาษาอัมฮาริก (Amharic) เป็นภาษาทำงานของรัฐบาลกลางและใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วประเทศในฐานะภาษาที่สองหรือภาษาเชื่อมกลาง (lingua franca) ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2020 ได้มีการเพิ่มภาษา อาฟาร์ (Afar) โอโรโม (Oromo) โซมาลี (Somali) และตึกรึญญา (Tigrinya) เป็นภาษาทำงานของรัฐบาลกลางเพิ่มเติม
- ภาษาราชการของแต่ละรัฐ: รัฐธรรมนูญปี 1995 ให้สิทธิ์แต่ละรัฐในการกำหนดภาษาราชการของตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์หลักในรัฐนั้น ๆ เช่น ภาษาโอโรโมในแคว้นโอโรเมีย ภาษาตึกรึญญาในแคว้นตีกราย ภาษาโซมาลีในแคว้นโซมาลี เป็นต้น
- ความหลากหลายของภาษาที่ใช้: นอกจากภาษาหลัก ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีภาษาอื่น ๆ อีกมากมายที่ใช้พูดกันในชุมชนท้องถิ่นต่าง ๆ เช่น ภาษาซีดาโม (Sidamo) ภาษาโวไลตา (Wolaytta) ภาษากูราเก (Gurage) ภาษาฮาดียา (Hadiya) และภาษากาโม (Gamo)
- ภาษาต่างประเทศ: ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุด โดยเป็นสื่อการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา กฎหมายของรัฐบาลกลางยังตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษใน Federal Negarit Gazeta รวมถึงรัฐธรรมนูญปี 1995 ด้วย ภาษาอาหรับและภาษาอิตาลีก็มีการใช้ในบางบริบทเช่นกัน
- ระบบการเขียน: ภาษาหลัก ๆ ของเอธิโอเปีย เช่น ภาษาอัมฮาริกและภาษาตึกรึญญา ใช้อักษรกีซ (Ge'ez script) ซึ่งเป็นระบบการเขียนที่เป็นเอกลักษณ์และมีประวัติศาสตร์ยาวนาน
นโยบายทางภาษาของเอธิโอเปียให้การยอมรับความหลากหลายทางภาษาและส่งเสริมการใช้ภาษาท้องถิ่นในการศึกษาและการบริหารราชการในระดับรัฐ อย่างไรก็ตาม การสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมภาษาท้องถิ่นกับการรักษาภาษาอัมฮาริกในฐานะภาษาเชื่อมกลางของชาติยังคงเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ การพัฒนาทรัพยากรและการฝึกอบรมบุคลากรสำหรับภาษาต่าง ๆ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่านโยบายทางภาษาจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนทุกกลุ่ม
9.4. ศาสนา

เอธิโอเปียเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ทางศาสนาอันยาวนานและมีความหลากหลายทางความเชื่อ ศาสนาหลักที่สำคัญในเอธิโอเปีย ได้แก่ ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม
- ศาสนาคริสต์: เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในเอธิโอเปีย ตามการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2007 คิดเป็นประมาณร้อยละ 62.8 ของประชากร นิกายที่สำคัญที่สุดคือ:
- คริสตจักรเทวาฮิโดออร์ทอดอกซ์เอธิโอเปีย (Ethiopian Orthodox Tewahedo Church): เป็นนิกายที่ใหญ่ที่สุด มีผู้นับถือประมาณร้อยละ 43.8 ของประชากรทั้งหมด ศาสนจักรนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานย้อนไปถึงศตวรรษที่ 4 และมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของชาติเอธิโอเปีย
- เพนเทย์ (P'ent'ay) หรือ โปรเตสแตนต์: มีผู้นับถือเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา คิดเป็นประมาณร้อยละ 22.8 ของประชากร (ตามข้อมูลจาก CIA World Factbook ปี 2016)
- คาทอลิก: มีผู้นับถือจำนวนน้อย คิดเป็นประมาณร้อยละ 0.7 ของประชากร โดยส่วนใหญ่อยู่ในคริสตจักรคาทอลิกเอธิโอเปียซึ่งมีจารีตพิธีกรรมแบบตะวันออกแต่ยอมรับอำนาจของพระสันตะปาปา
- ศาสนาอิสลาม: เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากเป็นอันดับสอง คิดเป็นประมาณร้อยละ 31.3 ถึง 33.9 ของประชากร (ขึ้นอยู่กับแหล่งข้อมูล) ศาสนาอิสลามเข้ามาในเอธิโอเปียตั้งแต่ยุคแรกของการเผยแผ่ศาสนา โดยผู้ลี้ภัยมุสลิมกลุ่มแรกได้เดินทางมายังอะบิสซิเนีย (ชื่อเดิมของเอธิโอเปีย) ในช่วงการอพยพครั้งแรก (First Hijra) ในปี ค.ศ. 615 ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ในเอธิโอเปียเป็นนิกายสุหนี่ โดยมีกลุ่มที่ไม่สังกัดนิกายใดเป็นกลุ่มใหญ่อันดับสอง และมีชีอะห์เป็นส่วนน้อย
- ความเชื่อดั้งเดิม (Traditional faiths): มีผู้นับถือประมาณร้อยละ 0.6 ถึง 2.6 ของประชากร เป็นความเชื่อและพิธีกรรมที่สืบทอดกันมาในกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ
- อื่น ๆ / ไม่มีศาสนา: คิดเป็นประมาณร้อยละ 0.8 ของประชากร
รัฐธรรมนูญเอธิโอเปียรับรองเสรีภาพในการนับถือศาสนา และโดยทั่วไปแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาต่าง ๆ ในเอธิโอเปียเป็นไปอย่างสันติ แม้ว่าจะมีความตึงเครียดเกิดขึ้นบ้างในบางครั้ง ศาสนามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันและวัฒนธรรมของชาวเอธิโอเปีย เทศกาลทางศาสนา เช่น ทิมคัต (Timkat) ของชาวคริสต์ออร์ทอดอกซ์ และอีดิลอัฎฮาของชาวมุสลิม เป็นวันหยุดสำคัญที่มีการเฉลิมฉลองอย่างกว้างขวาง
9.5. การศึกษา


ระบบการศึกษาของเอธิโอเปียมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการขยายโอกาสทางการศึกษาและการยกระดับคุณภาพการศึกษา
- โครงสร้างระบบการศึกษา: โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น:
- การศึกษาปฐมวัย (Early Childhood Education)
- การศึกษาประถมศึกษา (Primary Education): โดยทั่วไป 8 ปี แบ่งเป็น 2 ช่วง (เกรด 1-4 และ 5-8)
- การศึกษามัธยมศึกษา (Secondary Education): โดยทั่วไป 4 ปี แบ่งเป็น 2 ช่วง (เกรด 9-10 และ 11-12)
- การศึกษาระดับอุดมศึกษา (Higher Education): รวมถึงมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยต่าง ๆ
- มหาวิทยาลัยหลัก: มหาวิทยาลัยอาดดิสอาบาบา (Addis Ababa University) เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดในประเทศ นอกจากนี้ยังมีมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนอื่น ๆ อีกหลายแห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ เช่น มหาวิทยาลัยเมเกลเล (Mekelle University) มหาวิทยาลัยกอนดาร์ (University of Gondar) และมหาวิทยาลัยฮารามายา (Haramaya University)
- อัตราการรู้หนังสือ: มีการพัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังคงมีความแตกต่างระหว่างเพศและระหว่างพื้นที่เมืองกับชนบท อัตราการรู้หนังสือโดยรวมอยู่ที่ประมาณร้อยละ 52 (ข้อมูลปี 2022 จาก UNESCO)
- การเข้าถึงการศึกษา: รัฐบาลได้พยายามขยายการเข้าถึงการศึกษาประถมศึกษา ทำให้มีอัตราการลงทะเบียนเรียนเพิ่มขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม อัตราการสำเร็จการศึกษาและการเข้าเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นยังคงเป็นความท้าทาย
- ความท้าทายในการพัฒนาคุณภาพ: แม้ว่าการเข้าถึงการศึกษาจะดีขึ้น แต่คุณภาพการศึกษายังคงเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ปัญหาต่าง ๆ รวมถึงการขาดแคลนครูที่มีคุณภาพ สื่อการเรียนการสอนที่ไม่เพียงพอ ขนาดชั้นเรียนที่ใหญ่เกินไป และหลักสูตรที่อาจจะไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน
- นโยบายการศึกษา: รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงระบบการศึกษา เช่น การฝึกอบรมครู การพัฒนาหลักสูตร การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการศึกษา และการเพิ่มงบประมาณด้านการศึกษา
การพัฒนาการศึกษาถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาประเทศในระยะยาว เอธิโอเปียยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายในการสร้างระบบการศึกษาที่ครอบคลุม มีคุณภาพ และตอบสนองต่อความต้องการของประชากรที่กำลังเติบโตและเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลง
9.6. สาธารณสุข
สถานการณ์ด้านสาธารณสุขในเอธิโอเปียมีการพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ
- ตัวชี้วัดด้านสาธารณสุขที่สำคัญ:
- อายุขัยเฉลี่ย: เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 60 กว่าปี (ข้อมูลจาก UNDP ปี 2016)
- อัตราการตายของทารกและเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี: ลดลงอย่างมาก แต่ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก
- อัตราการตายของมารดา: ยังคงเป็นปัญหาสำคัญ แม้ว่าจะมีความพยายามในการปรับปรุงการดูแลสุขภาพแม่และเด็ก
- การเข้าถึงบริการทางการแพทย์: ยังคงมีความเหลื่อมล้ำระหว่างพื้นที่เมืองและชนบท และระหว่างกลุ่มรายได้ต่าง ๆ การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ สถานพยาบาล และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ
- สถานการณ์ของโรคภัยไข้เจ็บหลัก:
- โรคติดต่อ: ยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ เช่น วัณโรค มาลาเรีย เอชไอวี/เอดส์ และโรคที่เกี่ยวข้องกับสุขอนามัยที่ไม่ดี เช่น โรคท้องร่วง
- โรคไม่ติดต่อ: เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน และโรคมะเร็ง กำลังเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต
- ภาวะทุพโภชนาการ: ยังคงเป็นปัญหาสำคัญ โดยเฉพาะในเด็กและสตรีมีครรภ์
- นโยบายด้านสาธารณสุข: รัฐบาลเอธิโอเปียได้ดำเนินนโยบายและโครงการต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงระบบสาธารณสุข เช่น โครงการขยายบริการสุขภาพ (Health Extension Program) ซึ่งใช้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขชุมชนในการให้บริการสุขภาพขั้นพื้นฐานในระดับหมู่บ้าน การส่งเสริมการฉีดวัคซีน การปรับปรุงสุขอนามัยและอนามัยสิ่งแวดล้อม และการเพิ่มงบประมาณด้านสาธารณสุข
กลยุทธ์สุขภาพจิตแห่งชาติซึ่งเผยแพร่ในปี 2012 ได้นำเสนอการพัฒนานโยบายที่ออกแบบมาเพื่อปรับปรุงการดูแลสุขภาพจิตในเอธิโอเปีย อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของกลยุทธ์นี้มีจำกัด ตัวอย่างเช่น ภาระของภาวะซึมเศร้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.2 จากปี 2007 ถึง 2017
ความขัดแย้งภายในประเทศและภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ภัยแล้งและน้ำท่วม ยังคงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสถานการณ์ด้านสาธารณสุข ทำให้การเข้าถึงบริการและการให้ความช่วยเหลือเป็นไปได้ยากในบางพื้นที่ การสร้างระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็งและยืดหยุ่นต่อวิกฤตการณ์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
9.7. ปัญหาความอดอยาก
ความมั่นคงทางอาหารยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับเอธิโอเปีย แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าในการพัฒนาเศรษฐกิจและลดความยากจนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศนี้ยังคงเผชิญกับปัญหาความอดอยากและภาวะทุพโภชนาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบทและในกลุ่มประชากรที่เปราะบาง
สาเหตุของความอดอยาก:
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: ภัยแล้งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนของปริมาณน้ำฝน ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งเป็นแหล่งอาหารและรายได้หลักของประชากรส่วนใหญ่
- ความขัดแย้งและความไม่มั่นคง: ความขัดแย้งภายในประเทศ เช่น สงครามตีกราย และความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ในภูมิภาคอื่น ๆ ทำให้ประชาชนต้องพลัดถิ่น ขัดขวางกิจกรรมทางการเกษตร และทำให้การเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเป็นไปได้ยาก
- ความยากจน: ประชากรจำนวนมากยังคงมีรายได้ต่ำและไม่สามารถเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพียงพอ
- การเข้าถึงทรัพยากรที่จำกัด: การขาดแคลนที่ดินทำกิน เทคโนโลยีทางการเกษตรที่ทันสมัย และโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การชลประทานและถนน ทำให้ผลผลิตต่ำ
- การเพิ่มขึ้นของประชากร: การเติบโตของประชากรอย่างรวดเร็วสร้างแรงกดดันต่อทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด
- ปัญหาศัตรูพืชและโรคระบาดในพืช: เช่น การระบาดของตั๊กแตนทะเลทราย สามารถทำลายพืชผลทางการเกษตรจำนวนมากได้
สถานการณ์:
ตามดัชนีความหิวโหยโลก (Global Hunger Index - GHI) ปี 2024 เอธิโอเปียอยู่ในอันดับที่ 102 จาก 127 ประเทศ ด้วยคะแนน 26.2 ซึ่งบ่งชี้ถึงระดับความหิวโหยที่รุนแรง (serious level of hunger) ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่ายังมีประชากรจำนวนมากที่เผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหารและภาวะทุพโภชนาการ โดยเฉพาะในเด็ก ซึ่งส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางร่างกายและสติปัญญาในระยะยาว
ความพยายามในการแก้ไขปัญหา:
- รัฐบาลเอธิโอเปีย: ได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร เช่น การส่งเสริมการชลประทาน การแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์และปุ๋ย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยพิบัติ
- ประชาคมระหว่างประเทศ: องค์กรระหว่างประเทศ เช่น โครงการอาหารโลก (World Food Programme - WFP) องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization - FAO) และองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ต่าง ๆ ได้ให้ความช่วยเหลือด้านอาหาร โภชนาการ และการพัฒนาการเกษตรแก่เอธิโอเปีย
- โครงการเครือข่ายความปลอดภัยทางผลผลิต (Productive Safety Net Program - PSNP): เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ให้ความช่วยเหลือด้านอาหารหรือเงินสดแก่ครัวเรือนที่ยากจนและไม่มั่นคงทางอาหาร โดยแลกกับการทำงานในโครงการพัฒนาชุมชน
การแก้ไขปัญหาความอดอยากในเอธิโอเปียจำเป็นต้องอาศัยแนวทางที่ครอบคลุมและยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการลงทุนในการเกษตรที่ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ การส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคง การแก้ไขปัญหาความยากจนและความไม่เท่าเทียม การเสริมสร้างศักยภาพของชุมชนท้องถิ่น และการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาล ประชาคมระหว่างประเทศ และภาคประชาสังคม
10. วัฒนธรรม
วัฒนธรรมเอธิโอเปียมีความหลากหลายและเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง สะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยาวนาน การผสมผสานของกลุ่มชาติพันธุ์และศาสนาที่แตกต่างกัน และการรักษาเอกราชมาอย่างยาวนาน วัฒนธรรมประเพณีและวัฒนธรรมสมัยใหม่ได้ผสมผสานกันอย่างน่าสนใจในสังคมเอธิโอเปียปัจจุบัน ศิลปะ วิถีชีวิต และมรดกโลกของเอธิโอเปียล้วนเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจและดึงดูดความสนใจจากทั่วโลก
10.1. ธงชาติ ตราแผ่นดิน และเพลงชาติ
- ธงชาติเอธิโอเปีย: ประกอบด้วยแถบสีเขียว เหลือง และแดง เรียงตามแนวนอน โดยมีตราแผ่นดินรูปดาวห้าแฉกสีทองบนพื้นวงกลมสีฟ้าอยู่ตรงกลาง
- สีเขียว: หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน เกษตรกรรม และความหวัง
- สีเหลือง: หมายถึง สันติภาพ ความยุติธรรม และความเท่าเทียม
- สีแดง: หมายถึง พลังอำนาจ ความกล้าหาญ และการเสียสละของบรรพบุรุษเพื่อปกป้องเอกราช
- ตราแผ่นดินตรงกลาง: ดาวห้าแฉกสีทองแทนความสามัคคีของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ และอนาคตอันสดใสของประเทศ พื้นวงกลมสีฟ้าแทนสันติภาพ
ธงชาติเอธิโอเปียเป็นแรงบันดาลใจให้กับสีธงชาติของหลายประเทศในแอฟริกา (สีเขียว-เหลือง-แดง หรือสีแพนแอฟริกัน) เนื่องจากเอธิโอเปียเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านลัทธิอาณานิคม
- ตราแผ่นดินของเอธิโอเปีย: มีลักษณะเป็นรูปดาวห้าแฉกสีทองเปล่งรัศมีบนพื้นวงกลมสีฟ้า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ปรากฏอยู่บนธงชาติเช่นกัน ดาวห้าแฉกนี้เป็นตัวแทนของความหลากหลายและความเท่าเทียมกันของชาติ ประชาชน และศาสนาในเอธิโอเปีย รัศมีที่เปล่งออกมาจากดาวเป็นสัญลักษณ์ของอนาคตที่สดใสของประเทศ
- เพลงชาติเอธิโอเปีย: มีชื่อว่า "วอเดฟิต เกสกิชิ วิดด์ อินนาต อิตโยปิยา" (ወደፊት ገስግሺ ውድ እናት ኢትዮጵያWedefīt Gesigishī Wid Inat Itiyop'iyaภาษาอัมฮารา) ซึ่งแปลว่า "จงก้าวไปข้างหน้า เถิดมารดาเอธิโอเปียที่รักยิ่ง" เนื้อเพลงสะท้อนถึงความรักชาติ ความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ และความปรารถนาที่จะเห็นประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง เพลงชาตินี้ถูกนำมาใช้ในปี ค.ศ. 1992 หลังจากการล่มสลายของระบอบเดร์ก
สัญลักษณ์ประจำชาติเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชาวเอธิโอเปียในการแสดงออกถึงอัตลักษณ์และความเป็นชาติ
10.2. วันหยุดนักขัตฤกษ์และเทศกาล

เอธิโอเปียมีวันหยุดนักขัตฤกษ์และเทศกาลทางศาสนาที่สำคัญหลายเทศกาล ซึ่งสะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนาของประเทศ เทศกาลที่สำคัญ ได้แก่:
- ทิมคัต (ጥምቀትTimkatภาษาอัมฮารา): เป็นเทศกาลฉลองการบัพติศมาของพระเยซูคริสต์ในแม่น้ำจอร์แดน จัดขึ้นในวันที่ 19 มกราคม (หรือ 20 มกราคม ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินเกรกอเรียน ซึ่งตรงกับวันที่ 11 เดือน Tirr (ጥር) ตามปฏิทินเอธิโอเปีย ทิมคัตเป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่และมีสีสันที่สุดของชาวคริสต์นิกายเอธิโอเปียออร์ทอดอกซ์ มีการแห่ทาบอต (Tabot) ซึ่งเป็นแบบจำลองของหีบพันธสัญญา ออกจากโบสถ์ไปยังแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำพิธีล้างบาป เทศกาลนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติโดยยูเนสโก
- เมสเคล (መስቀልMeskelภาษาอัมฮารา): เป็นเทศกาลฉลองการค้นพบไม้กางเขนที่แท้จริง (True Cross) ที่พระเยซูถูกตรึง จัดขึ้นในวันที่ 27 กันยายน (หรือ 28 กันยายน ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินเกรกอเรียน ซึ่งตรงกับวันที่ 17 เดือน Meskerem (መስከረም) ตามปฏิทินเอธิโอเปีย จุดเด่นของเทศกาลนี้คือการจุดกองไฟขนาดใหญ่ที่เรียกว่า "เดเมรา" (Demera) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการนำทางของควันธูปที่นำจักรพรรดินีเฮเลนาไปพบไม้กางเขน
- เอ็นคูตาทาช (እንቁጣጣሽEnkutatashภาษาอัมฮารา): คือเทศกาลปีใหม่ของเอธิโอเปีย ตรงกับวันที่ 11 กันยายน (หรือ 12 กันยายน ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินเกรกอเรียน ซึ่งเป็นวันแรกของเดือน Meskerem (መስከረም) ตามปฏิทินเอธิโอเปีย คำว่า "เอ็นคูตาทาช" หมายถึง "ของขวัญแห่งอัญมณี" เป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง การเยี่ยมเยียนครอบครัวและเพื่อนฝูง และการแลกเปลี่ยนของขวัญ
- เกนนา (ገናGennaภาษาอัมฮารา) หรือ คริสต์มาสเอธิโอเปีย: ฉลองในวันที่ 7 มกราคม ตามปฏิทินเกรกอเรียน
- ฟาสิกา (ፋሲካFasikaภาษาอัมฮารา) หรือ อีสเตอร์เอธิโอเปีย: เป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของชาวคริสต์เอธิโอเปีย วันที่จะแตกต่างกันไปในแต่ละปีตามปฏิทินจันทรคติ
- อีดิลอัฎฮา (Eid al-Adha) และ อีดิลฟิฏร์ (Eid al-Fitr): เป็นเทศกาลสำคัญของชาวมุสลิมในเอธิโอเปีย
- อิรเรชา (Irreechaa): เป็นเทศกาลขอบคุณพระเจ้าของชาวโอโรโม จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการสิ้นสุดฤดูฝนและการเริ่มต้นฤดูเก็บเกี่ยว
- วันหยุดนักขัตฤกษ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ เช่น วันแห่งชัยชนะที่อัดวา (Adwa Victory Day) ในวันที่ 2 มีนาคม และวันรักชาติ (Patriots' Victory Day) ในวันที่ 5 พฤษภาคม
เทศกาลเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีความสำคัญทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการแสดงออกทางวัฒนธรรม การรวมกลุ่มของชุมชน และการสืบทอดประเพณีอันดีงามของเอธิโอเปีย
10.3. อาหาร

อาหารเอธิโอเปียมีเอกลักษณ์โดดเด่นและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก โดยมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากอาหารในภูมิภาคอื่น ๆ ส่วนประกอบหลักและอาหารยอดนิยม ได้แก่:
- อินเจรา (እንጀራInjeraภาษาอัมฮารา): เป็นอาหารหลักของชาวเอธิโอเปีย มีลักษณะเป็นแผ่นแป้งบาง ๆ รสเปรี้ยว ทำจากธัญพืชที่เรียกว่า เทฟฟ์ (teff) อินเจราใช้รับประทานคู่กับสตูว์ต่าง ๆ โดยใช้มือฉีกอินเจราเพื่อตักอาหาร
- วัต (ወጥWatภาษาอัมฮารา): เป็นสตูว์หรือแกงข้น ๆ มีหลายชนิด ทั้งที่ทำจากเนื้อสัตว์ (เช่น เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อไก่) และผัก วัตมักมีรสเผ็ดร้อนจากเครื่องเทศเบอร์เบเร (berbere) ซึ่งเป็นส่วนผสมของพริกและเครื่องเทศอื่น ๆ
- โดโรวัต (ዶሮ ወጥDoro Watภาษาอัมฮารา): วัตไก่ เป็นหนึ่งในอาหารประจำชาติที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มักปรุงด้วยไก่ ไข่ต้ม และซอสเบอร์เบเรที่เข้มข้น
- ซิกาวัต (ሥጋ ወጥSiga Watภาษาอัมฮารา): วัตเนื้อวัว
- มิซิรวัต (ምስር ወጥMisir Watภาษาอัมฮารา): วัตถั่วเลนทิลแดง เป็นอาหารมังสวิรัติที่นิยม
- ชิโรวัต (ሽሮ ወጥShiro Watภาษาอัมฮารา): วัตที่ทำจากผงถั่วชิกพีหรือถั่วปากอ้า เป็นอาหารมังสวิรัติอีกชนิดหนึ่ง
- คิตโฟ (ክትፎKitfoภาษาอัมฮารา): เป็นอาหารที่ทำจากเนื้อววุดิบสับละเอียด ปรุงรสด้วยมิตมิตา (mitmita - ส่วนผสมของพริกป่นรสเผ็ด) และเนยใสปรุงรส (niter kibbeh) คิตโฟสามารถรับประทานดิบ (tere) หรือปรุงสุกเล็กน้อย (leb leb) ก็ได้ มีต้นกำเนิดจากชาวกูราเก
- ทิปส์ (ጥብስTibsภาษาอัมฮารา): เนื้อผัดหรือย่าง มักเป็นเนื้อวัวหรือเนื้อแกะ ปรุงรสด้วยหัวหอม พริก และเครื่องเทศ
- กุร์ชา (ጉርሻGurshaภาษาอัมฮารา): เป็นธรรมเนียมการป้อนอาหารให้ผู้อื่นด้วยมือ เป็นการแสดงความรัก ความเคารพ และมิตรภาพ
วัฒนธรรมกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์ (พิธีชงกาแฟ):
เอธิโอเปียถือเป็นแหล่งกำเนิดของกาแฟอาราบิกา และกาแฟมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวเอธิโอเปีย พิธีชงกาแฟ (Coffee Ceremony หรือ Bunna ceremony) เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานและเป็นส่วนสำคัญของการต้อนรับแขกและการสังสรรค์ในสังคม
ขั้นตอนของพิธีชงกาแฟมักประกอบด้วย:
1. การคั่วเมล็ดกาแฟเขียวสดบนกระทะเหล็กจนได้กลิ่นหอม
2. การบดเมล็ดกาแฟที่คั่วแล้วด้วยมือ
3. การต้มกาแฟในหม้อดินเผาแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า "เจเบนา" (jebena)
4. การรินกาแฟจากเจเบนาลงในถ้วยเล็ก ๆ โดยไม่มีการกรองกากกาแฟ
พิธีชงกาแฟมักจะมีการชงกาแฟ 3 รอบ โดยแต่ละรอบจะมีความเข้มข้นและรสชาติที่แตกต่างกัน รอบแรกเรียกว่า "อาโบล" (abol) รอบที่สองเรียกว่า "โทนา" (tona) และรอบที่สามเรียกว่า "เบเรกา" (bereka) พิธีนี้ไม่เพียงแต่เป็นการดื่มกาแฟเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการพูดคุย แลกเปลี่ยนข่าวสาร และเสริมสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน
อาหารเอธิโอเปียส่วนใหญ่ไม่มีส่วนผสมของเนื้อหมู เนื่องจากเป็นข้อห้ามในศาสนาคริสต์นิกายเอธิโอเปียออร์ทอดอกซ์และศาสนาอิสลาม นอกจากนี้ ชาวคริสต์ออร์ทอดอกซ์ยังมีการถือศีลอด (ไม่รับประทานผลิตภัณฑ์จากสัตว์) ในวันพุธ วันศุกร์ และในช่วงเทศกาลสำคัญ ทำให้มีอาหารมังสวิรัติหลากหลายชนิดในอาหารเอธิโอเปีย
10.4. วรรณกรรม
วรรณกรรมเอธิโอเปียมีประวัติศาสตร์อันยาวนานและหลากหลาย สะท้อนถึงอิทธิพลทางศาสนา วัฒนธรรม และการเมืองในแต่ละยุคสมัย
- วรรณกรรมโบราณ (อักษรกีซ): วรรณกรรมยุคแรกของเอธิโอเปียเขียนด้วยอักษรกีซ (Ge'ez script) ซึ่งเป็นอักษรโบราณที่ใช้ในภาษากีซ (Ge'ez language) ภาษากีซเคยเป็นภาษาราชการและภาษาทางศาสนาของอาณาจักรอักซุมและจักรวรรดิเอธิโอเปียในยุคต่อมา ผลงานวรรณกรรมส่วนใหญ่ในยุคนี้เป็นงานเขียนทางศาสนาคริสต์ รวมถึงการแปลพระคัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์ทางศาสนา ประวัติศาสตร์ของนักบุญ และบทสวดต่าง ๆ ผลงานสำคัญที่เป็นที่รู้จัก ได้แก่ เคบรา นากาสต์ (Kebra Nagast หรือ ความรุ่งโรจน์ของปวงกษัตริย์) ซึ่งเป็นมหากาพย์ที่เล่าถึงตำนานการสืบเชื้อสายของราชวงศ์โซโลมอนจากกษัตริย์โซโลมอนและราชินีแห่งชีบา
- วรรณกรรมยุคกลางและยุคใกล้ปัจจุบัน: ภาษากีซยังคงเป็นภาษาหลักของวรรณกรรมในช่วงนี้ แต่เริ่มมีการใช้อักษรอัมฮาริกในการเขียนมากขึ้น วรรณกรรมยังคงเน้นเรื่องศาสนา ประวัติศาสตร์ และบทกวี
- วรรณกรรมสมัยใหม่: ในศตวรรษที่ 20 วรรณกรรมเอธิโอเปียเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น โดยมีนักเขียนที่สร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบนวนิยาย เรื่องสั้น และบทละคร ภาษาอัมฮารากลายเป็นภาษาหลักของวรรณกรรมสมัยใหม่ นักเขียนคนสำคัญในยุคนี้ ได้แก่:
- ฮาดดิส อาเลมาเยฮู (Haddis Alemayehu): เป็นที่รู้จักจากนวนิยายเรื่อง ฟิเคอร์ เอสเค เมกาบีร์ (Fikir Eske Mekabir หรือ ความรักจนถึงหลุมศพ) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนวนิยายภาษาอัมฮาริกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
- บาลู กีร์มา (Baalu Girma): นักประพันธ์และนักวิจารณ์ที่มีชื่อเสียง ผลงานของเขามักสะท้อนภาพสังคมและการเมืองในยุคนั้น เช่น โอโรมาย (Oromay)
- เซกาเย เกเบร-เมดฮิน (Tsegaye Gabre-Medhin): กวีและนักเขียนบทละครคนสำคัญ ได้รับการยกย่องว่าเป็นกวีแห่งชาติ
- เมินกึสทู เลมมา (Mengistu Lemma): นักเขียนบทละครและนักวิจารณ์
- เกเบร คริสตอส เดสตา (Gebre Kristos Desta): กวีและจิตรกร
- ลักษณะเฉพาะของวรรณกรรมเอธิโอเปีย: วรรณกรรมเอธิโอเปียมักสะท้อนถึงประเด็นทางสังคม การเมือง ศาสนา และวัฒนธรรมของประเทศ มีการใช้สัญลักษณ์และอุปมาอุปมัยอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในบทกวีที่เรียกว่า เกเน (Qene) ซึ่งเป็นรูปแบบกวีภาษาอัมฮาริกที่มีความซับซ้อนและใช้การเล่นคำสองความหมาย (เรียกว่า "เซ็ม เอนา เวิร์ก" - ทองคำและขี้ผึ้ง)
วรรณกรรมเอธิโอเปียยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีนักเขียนรุ่นใหม่ที่สร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงชีวิตและสังคมเอธิโอเปียในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงวรรณกรรมและการส่งเสริมการอ่านยังคงเป็นความท้าทายในบางพื้นที่
10.5. ดนตรี

ดนตรีเอธิโอเปียมีความหลากหลายและเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง โดยมีรากฐานมาจากประเพณีทางศาสนาและวัฒนธรรมพื้นบ้านที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน
- ดนตรีพื้นบ้านดั้งเดิม: เอธิโอเปียมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 80 กลุ่ม แต่ละกลุ่มมีดนตรีและการเต้นรำที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ดนตรีพื้นบ้านมักใช้ในงานเฉลิมฉลอง พิธีกรรม และกิจกรรมทางสังคมต่าง ๆ เครื่องดนตรีพื้นบ้านที่สำคัญ ได้แก่:
- มาซินโค (Masinqo): เครื่องสายคล้ายซอ มีสายเดียว
- คีราร์ (Krar): เครื่องสายคล้ายพิณ มี 5-6 สาย
- เบเกนา (Begena): เครื่องสายคล้ายฮาร์ปขนาดใหญ่ มี 10 สาย มักใช้ในทางศาสนา
- วาชินต์ (Washint): ขลุ่ยไม้ไผ่
- เคเบโร (Kebero): กลองสองหน้าขนาดใหญ่ ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาและงานเฉลิมฉลอง
- อาเตเต (Atamo): กลองมือขนาดเล็ก
- ดนตรีทางศาสนา: คริสตจักรเทวาฮิโดออร์ทอดอกซ์เอธิโอเปียมีประเพณีดนตรีที่เก่าแก่และซับซ้อน ซึ่งเชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดมาจากนักบุญยาเรด (Saint Yared) ในศตวรรษที่ 6 ดนตรีนี้ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาและมีลักษณะการร้องประสานเสียงที่เป็นเอกลักษณ์
- ดนตรีสมัยนิยม (Ethio-jazz และอื่น ๆ): ในช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 เกิดกระแสที่เรียกว่า "ยุคทองของดนตรีเอธิโอเปีย" ซึ่งมีการผสมผสานดนตรีพื้นบ้านเข้ากับดนตรีแจ๊ส ฟังก์ และดนตรีตะวันตกอื่น ๆ ทำให้เกิดแนวดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ที่เรียกว่า เอธิโอ-แจ๊ส (Ethio-jazz) นักดนตรีคนสำคัญในยุคนี้ ได้แก่ มูลูเคน เมเลสเซ (Muluken Melesse), มาห์มูด อาห์เหม็ด (Mahmoud Ahmed), อเลมาเยฮู เอเชเต (Alemayehu Eshete), และทิลาฮุน เกสเซสเซ (Tilahun Gessesse) ดนตรีของพวกเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อนักดนตรีรุ่นหลัง ๆ
ในช่วงระบอบเดร์ก นักดนตรีเหล่านี้หลายคนถูกห้ามแสดงในประเทศและมักถูกบังคับให้ลี้ภัยไปยังอเมริกาเหนือและยุโรป ที่นั่นพวกเขาได้ผสมผสานดนตรีเข้ากับอิทธิพลของแจ๊สและฟังก์ ตัวอย่างเช่น Roha Band, Walias Band, และ Ethio Stars ในช่วงเวลานี้ เนวาย เดเบเบ (Neway Debebe) เป็นนักวิจารณ์รัฐบาลเดร์กอย่างเปิดเผย
ดนตรีสมัยใหม่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษ 1990 และ 2000 ศิลปินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในช่วงนี้ ได้แก่ อัสเตอร์ อาเวเก (Aster Aweke), กีกี (Gigi), และเท็ดดี อาโฟร (Teddy Afro) ดนตรีเอธิโอเปียมีความทันสมัยมากขึ้นในทศวรรษต่อมา โดยใช้ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์และเป็นที่นิยมมากขึ้น ดีเจรอฟนาน (Rophnan) มีชื่อเสียงจากการบุกเบิกดนตรี EDM หลังจากปล่อยอัลบั้มเปิดตัว Reflection ในปี 2018
- ท่วงทำนองเฉพาะ (ทิซิทา): เพลงเอธิโอเปียมักใช้ระบบบันไดเสียงเพนทาโทนิก (pentatonic scale) และมีท่วงทำนองที่เป็นเอกลักษณ์ที่เรียกว่า ทิซิทา (tizita) ซึ่งเป็นท่วงทำนองที่สื่อถึงความโหยหา ความทรงจำ และความคิดถึงอดีต
ดนตรีเอธิโอเปียยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีนักดนตรีรุ่นใหม่ที่ผสมผสานดนตรีแบบดั้งเดิมเข้ากับแนวเพลงสมัยใหม่ ทำให้เกิดเสียงที่เป็นเอกลักษณ์และน่าสนใจ
10.6. ศิลปะและสถาปัตยกรรม

ศิลปะและสถาปัตยกรรมของเอธิโอเปียมีประวัติศาสตร์อันยาวนานและโดดเด่น สะท้อนถึงอิทธิพลทางศาสนา วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของประเทศ
- สถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์:
- เสาโอเบลิสก์แห่งอักซุม (Aksumite Stelae): เป็นเสาหินขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นในสมัยอาณาจักรอักซุม (ศตวรรษที่ 1-7) เสาเหล่านี้แกะสลักจากหินแกรนิตก้อนเดียว และเชื่อกันว่าเป็นเครื่องหมายหลุมฝังศพของกษัตริย์หรือขุนนาง เสาที่ใหญ่ที่สุดที่ยังคงตั้งอยู่มีความสูงกว่า 20 m
- โบสถ์หินสกัด ลาลิเบลา (Rock-Hewn Churches of Lalibela): เป็นกลุ่มโบสถ์ 11 หลังที่สกัดจากหินภูเขาไฟสีแดงทั้งก้อนในศตวรรษที่ 12-13 ในสมัยราชวงศ์ซากเว โบสถ์เหล่านี้ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรมและเป็นศูนย์กลางการแสวงบุญที่สำคัญของชาวคริสต์เอธิโอเปีย ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก
- ปราสาทกอนดาร์ (Gondarine Castles): ในช่วงศตวรรษที่ 17-18 เมืองกอนดาร์เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิเอธิโอเปีย มีการสร้างปราสาทและพระราชวังหลายแห่งในบริเวณที่เรียกว่า ฟาซิลเกบบี (Fasil Ghebbi) สถาปัตยกรรมเหล่านี้ผสมผสานอิทธิพลของเอธิโอเปีย โปรตุเกส และอินเดีย
- จิตรกรรมแบบดั้งเดิม: จิตรกรรมเอธิโอเปียแบบดั้งเดิมมักเกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์ โดยมีลักษณะเฉพาะคือการใช้สีสันสดใส การวาดภาพบุคคลที่มีดวงตากลมโต และการเล่าเรื่องราวจากพระคัมภีร์และชีวิตของนักบุญ จิตรกรรมเหล่านี้มักพบเห็นได้ตามผนังโบสถ์และในหนังสือทางศาสนาที่เขียนด้วยลายมือ (illuminated manuscripts)
- ศิลปะสมัยใหม่: ในศตวรรษที่ 20 ศิลปะเอธิโอเปียเริ่มได้รับอิทธิพลจากศิลปะตะวันตกมากขึ้น แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของตนเองไว้ ศิลปินคนสำคัญในยุคนี้ ได้แก่ อเฟเวิร์ก เตเกล (Afewerk Tekle) ซึ่งเป็นที่รู้จักจากผลงานกระจกสีขนาดใหญ่ในหอประชุมแอฟริกา (Africa Hall) ในอาดดิสอาบาบา และเกเบร คริสตอส เดสตา (Gebre Kristos Desta) ซึ่งเป็นจิตรกรและกวี
- ไม้กางเขนเอธิโอเปีย: เป็นงานศิลปะโลหะที่มีความสวยงามและซับซ้อน มีการออกแบบที่หลากหลายและเป็นเอกลักษณ์ มักทำจากเงินหรือทองเหลือง
ศิลปะและสถาปัตยกรรมของเอธิโอเปียเป็นส่วนสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ และยังคงมีการสร้างสรรค์และพัฒนาอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน
10.7. ภาพยนตร์
อุตสาหกรรมภาพยนตร์เอธิโอเปียมีการเติบโตอย่างช้า ๆ แต่ก็มีความน่าสนใจและมีศักยภาพในการพัฒนา
- กระบวนการพัฒนา: ภาพยนตร์เรื่องแรก ๆ ในเอธิโอเปียส่วนใหญ่เป็นภาพยนตร์สารคดีหรือภาพยนตร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เริ่มมีผู้สร้างภาพยนตร์อิสระเกิดขึ้น แต่การผลิตภาพยนตร์ยังคงเผชิญกับข้อจำกัดด้านงบประมาณและโครงสร้างพื้นฐาน
- ผลงานภาพยนตร์และผู้กำกับหลัก:
- ไฮเล เกริมา (Haile Gerima): เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชาวเอธิโอเปียที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ ผลงานของเขามักสะท้อนถึงประเด็นทางสังคม การเมือง และประวัติศาสตร์ของเอธิโอเปียและแอฟริกา เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Sankofa (1993) และ Teza (2008)
- ภาพยนตร์เอธิโอเปียสมัยใหม่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ภาพยนตร์เช่น Lamb (2015) กำกับโดย Yared Zeleke ได้รับการคัดเลือกให้เข้าฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ และ Difret (2014) ซึ่งได้รับรางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์
- เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ: มีเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติอาดดิส (Addis International Film Festival) และเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเอธิโอเปีย (Ethiopian International Film Festival) ซึ่งจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมภาพยนตร์เอธิโอเปียและภาพยนตร์จากทั่วโลก รวมถึงเป็นเวทีสำหรับผู้สร้างภาพยนตร์รุ่นใหม่
- นักแสดงที่เกิดในเอธิโอเปีย: รูธ เนกกา (Ruth Negga) เป็นนักแสดงหญิงชาวเอธิโอเปีย-ไอริช ที่มีผลงานโดดเด่นในระดับนานาชาติ
อุตสาหกรรมภาพยนตร์เอธิโอเปียยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น การขาดแคลนโรงภาพยนตร์และช่องทางการจัดจำหน่าย การละเมิดลิขสิทธิ์ และการขาดการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชนอย่างเพียงพอ อย่างไรก็ตาม ความคิดสร้างสรรค์และความมุ่งมั่นของผู้สร้างภาพยนตร์ชาวเอธิโอเปียกำลังผลักดันให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตและเป็นที่รู้จักมากขึ้น
10.8. ปฏิทิน
เอธิโอเปียใช้ระบบปฏิทินที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ซึ่งแตกต่างจากปฏิทินเกรกอเรียนที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ปฏิทินนี้เรียกว่า ปฏิทินเอธิโอเปีย (Ethiopian calendar) หรือ ปฏิทินกีซ (Ge'ez calendar)
- โครงสร้าง: ปฏิทินเอธิโอเปียมี 13 เดือน โดย 12 เดือนแรกมีเดือนละ 30 วัน ส่วนเดือนที่ 13 ซึ่งเรียกว่า พากูเม (ጳጉሜPagumeภาษาอัมฮารา) มี 5 วัน (หรือ 6 วัน ในปีอธิกสุรทิน) ปีอธิกสุรทินของเอธิโอเปียเกิดขึ้นทุก ๆ 4 ปีเช่นเดียวกับปฏิทินจูเลียน
- ปีใหม่: วันขึ้นปีใหม่ของเอธิโอเปีย เรียกว่า เอ็นคูตาทาช (Enkutatash) ตรงกับวันที่ 11 กันยายน ตามปฏิทินเกรกอเรียน (หรือ 12 กันยายน ในปีอธิกสุรทินของปฏิทินเกรกอเรียนที่เกิดขึ้นก่อนหน้าปีอธิกสุรทินของเอธิโอเปีย)
- ความแตกต่างจากปฏิทินเกรกอเรียน: ปฏิทินเอธิโอเปียช้ากว่าปฏิทินเกรกอเรียนประมาณ 7 ปี 8 เดือน ความแตกต่างนี้เกิดจากการคำนวณวันสมภพของพระเยซูที่แตกต่างกัน ทำให้ปี ค.ศ. ของเอธิโอเปียแตกต่างจากปี ค.ศ. สากล (ตัวอย่างเช่น ในขณะที่ปฏิทินเกรกอเรียนเป็นปี 2024 ปฏิทินเอธิโอเปียอาจจะเป็นปี 2016 หรือ 2017 ขึ้นอยู่กับเดือน)
- ความสำคัญทางวัฒนธรรม: ปฏิทินเอธิโอเปียมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตประจำวันและวัฒนธรรมของชาวเอธิโอเปีย ใช้ในการกำหนดวันหยุดนักขัตฤกษ์ เทศกาลทางศาสนา และกิจกรรมทางสังคมต่าง ๆ คริสตจักรเทวาฮิโดออร์ทอดอกซ์เอธิโอเปียยังคงใช้ปฏิทินนี้ในการกำหนดวันสำคัญทางศาสนา
นอกจากปฏิทินเอธิโอเปียแล้ว ชาวโอโรโมยังมีระบบปฏิทินดั้งเดิมของตนเองที่เรียกว่า ปฏิทินโอโรโม (Oromo calendar) ซึ่งเป็นปฏิทินแบบจันทรดารา (lunar-stellar) ที่อาศัยการสังเกตดวงจันทร์ร่วมกับดาวฤกษ์หรือกลุ่มดาวเจ็ดดวงโดยเฉพาะ
การใช้ปฏิทินที่เป็นเอกลักษณ์นี้เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สะท้อนถึงความเป็นอิสระทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันยาวนานของเอธิโอเปีย
10.9. กีฬา

กีฬาเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมเอธิโอเปีย โดยมีกีฬาหลายประเภทที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ
- กรีฑา (โดยเฉพาะการวิ่งระยะไกล): กรีฑาเป็นกีฬาที่เอธิโอเปียประสบความสำเร็จมากที่สุดและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศในระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแข่งขันวิ่งระยะไกลและวิ่งมาราธอน นักวิ่งชาวเอธิโอเปียมีชื่อเสียงในด้านความอดทนและความแข็งแกร่ง ซึ่งอาจเป็นผลมาจากปัจจัยทางพันธุกรรม การฝึกฝนในพื้นที่สูง และวัฒนธรรมการวิ่งที่เข้มแข็ง นักกีฬาที่มีชื่อเสียง ได้แก่:
- อาเบเบ บีกีลา (Abebe Bikila): เป็นนักวิ่งมาราธอนคนแรกจากประเทศในแอฟริกาใต้สะฮาราที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิก โดยชนะการแข่งขันมาราธอนในโอลิมปิกปี 1960 ที่กรุงโรมด้วยเท้าเปล่า และยังคว้าเหรียญทองอีกครั้งในโอลิมปิกปี 1964 ที่กรุงโตเกียว
- มิรุตส์ ยิฟเตอร์ (Miruts Yifter): "Yifter the Shifter" นักวิ่งระยะไกลผู้คว้าสองเหรียญทองในโอลิมปิกปี 1980
- ไฮเล เกเบรเซลาสซี (Haile Gebrselassie): หนึ่งในนักวิ่งระยะไกลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล คว้าเหรียญทองโอลิมปิกสองสมัยและสร้างสถิติโลกหลายรายการ
- เกเนนิซา เบเกเล (Kenenisa Bekele): อีกหนึ่งตำนานนักวิ่งระยะไกล เจ้าของหลายเหรียญทองโอลิมปิกและสถิติโลก
- ทิรูเนช ดิมามา (Tirunesh Dibaba): นักวิ่งหญิงระยะไกลที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เจ้าของหลายเหรียญทองโอลิมปิก
- เดราร์ตู ตูลู (Derartu Tulu): นักวิ่งหญิงคนแรกจากแอฟริกาที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิก
- ฟุตบอล: ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในเอธิโอเปีย ทีมฟุตบอลชาติเอธิโอเปียเคยเป็นหนึ่งในสี่สมาชิกผู้ก่อตั้งสมาพันธ์ฟุตบอลแอฟริกา (CAF) และเคยคว้าแชมป์แอฟริกาคัพออฟเนชันส์ในปี ค.ศ. 1962 ลีกฟุตบอลในประเทศก็มีการแข่งขันกันอย่างคึกคัก
- กีฬาอื่น ๆ: นอกจากกรีฑาและฟุตบอลแล้ว กีฬาอื่น ๆ เช่น บาสเกตบอล วอลเลย์บอล และมวย ก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น
เอธิโอเปียมีประเพณีบาสเกตบอลที่ยาวนานที่สุดในแอฟริกาใต้สะฮารา โดยได้ก่อตั้งทีมบาสเกตบอลชาติเอธิโอเปียขึ้นในปี ค.ศ. 1949
รัฐบาลเอธิโอเปียให้การสนับสนุนการพัฒนากีฬา โดยมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการฝึกอบรมนักกีฬา ความสำเร็จของนักกีฬาเอธิโอเปียในเวทีระดับโลกได้สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนในชาติและเป็นแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนรุ่นหลัง
10.10. มรดกโลก
เอธิโอเปียเป็นประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และหลากหลาย ซึ่งหลายแห่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก (UNESCO) แหล่งมรดกโลกเหล่านี้สะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยาวนาน อารยธรรมโบราณ ความหลากหลายทางชีวภาพ และประเพณีทางศาสนาที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศ ณ ปี 2024 เอธิโอเปียมีแหล่งมรดกโลกทั้งหมด 12 แห่ง แบ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรม 10 แห่ง และมรดกทางธรรมชาติ 2 แห่ง
มรดกทางวัฒนธรรม:
1. โบสถ์หินสกัด ลาลิเบลา (Rock-Hewn Churches, Lalibela) (ขึ้นทะเบียนปี 1978): กลุ่มโบสถ์ 11 หลังที่สกัดจากหินภูเขาไฟสีแดงทั้งก้อนในศตวรรษที่ 12-13 เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรมและศูนย์กลางการแสวงบุญที่สำคัญ
2. ฟาซิลเกบบี ภูมิภาคกอนดาร์ (Fasil Ghebbi, Gondar Region) (ขึ้นทะเบียนปี 1979): กลุ่มปราสาท พระราชวัง และโบสถ์ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17-18 เมื่อกอนดาร์เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิเอธิโอเปีย
3. อักซุม (Aksum) (ขึ้นทะเบียนปี 1980): ซากปรักหักพังของเมืองโบราณอักซุม ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรอักซุมอันยิ่งใหญ่ รวมถึงเสาโอเบลิสก์หินขนาดใหญ่ พระราชวัง และสุสาน
4. แหล่งโบราณคดีตอนล่างของแม่น้ำอาวาช (Lower Valley of the Awash) (ขึ้นทะเบียนปี 1980): แหล่งค้นพบซากฟอสซิลโฮมินิดที่สำคัญหลายชิ้น รวมถึง "ลูซี" ซึ่งมีอายุประมาณ 3.2 ล้านปี
5. แหล่งโบราณคดีทิยา (Tiya) (ขึ้นทะเบียนปี 1980): กลุ่มเสาหินแกะสลัก (stelae) จำนวน 36 ต้น ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเครื่องหมายหลุมฝังศพและมีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 10-15
6. แหล่งโบราณคดีตอนล่างของแม่น้ำโอโม (Lower Valley of the Omo) (ขึ้นทะเบียนปี 1980): แหล่งค้นพบซากฟอสซิลโฮมินิดและเครื่องมือหินโบราณจำนวนมาก ซึ่งมีความสำคัญต่อการศึกษาเรื่องวิวัฒนาการของมนุษย์
7. เมืองประวัติศาสตร์ฮาราร์ จูกอล (Harar Jugol, the Fortified Historic Town) (ขึ้นทะเบียนปี 2006): เมืองโบราณที่มีกำแพงล้อมรอบ เป็นศูนย์กลางทางศาสนาอิสลามที่สำคัญอันดับสี่ของโลก และมีสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์
8. ภูมิทัศน์วัฒนธรรมคอนโซ (Konso Cultural Landscape) (ขึ้นทะเบียนปี 2011): พื้นที่ที่แสดงให้เห็นถึงประเพณีการตั้งถิ่นฐาน การทำเกษตรแบบขั้นบันได และการสร้างประติมากรรมไม้ (waga) ของชาวคอนโซที่สืบทอดกันมากว่า 400 ปี
9. มรดกเกเดโอ (Gedeo Cultural Landscape) (ขึ้นทะเบียนปี 2023): ภูมิทัศน์วัฒนธรรมของชาวเกเดโอ ซึ่งรวมถึงระบบการเกษตรแบบวนเกษตรที่ยั่งยืนและประเพณีหินตั้ง (megalithic traditions)
10. อารามเกเบร ลิบาโนส (Monastery of Gebre Libanos) (เป็นส่วนหนึ่งของแหล่งมรดกโลกแบบต่อเนื่องข้ามชาติ Bale Mountains National Park ที่กำลังพิจารณาขยาย)
มรดกทางธรรมชาติ:
1. อุทยานแห่งชาติซีเมียน (Simien National Park) (ขึ้นทะเบียนปี 1978): อุทยานแห่งชาติที่มีทัศนียภาพภูเขาสูงชันที่งดงาม เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เฉพาะถิ่นที่หายาก เช่น วอลเลียไอเบกซ์ หมาป่าเอธิโอเปีย และลิงเจลาดา
2. อุทยานแห่งชาติเทือกเขาเบล (Bale Mountains National Park) (ขึ้นทะเบียนปี 2023): ภูมิทัศน์ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เฉพาะถิ่นหลายชนิด รวมถึงหมาป่าเอธิโอเปียจำนวนมากที่สุดในโลก
แหล่งมรดกโลกเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมสำหรับเอธิโอเปียเท่านั้น แต่ยังเป็นสมบัติอันล้ำค่าของมนุษยชาติ การอนุรักษ์และปกป้องแหล่งมรดกเหล่านี้จึงเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคน