1. ภาพรวม
ทรานส์นีสเตรีย หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐมอลเดเวียพรีดเนสโตรวี (Pridnestrovian Moldavian Republicภาษาอังกฤษ; PMR) เป็นรัฐเอกราชโดยพฤตินัยในยุโรปตะวันออก ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำนีสเตอร์เป็นหลัก โดยมีพรมแดนติดกับมอลโดวาทางทิศตะวันตก และยูเครนทางทิศตะวันออก แม้ประชาคมระหว่างประเทศจะถือว่าดินแดนนี้เป็นส่วนหนึ่งของมอลโดวา แต่ทรานส์นีสเตรียได้ประกาศเอกราชในปี 1990 ท่ามกลางการล่มสลายของสหภาพโซเวียตและความตึงเครียดทางชาติพันธุ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งมีรากฐานมาจากความกลัวการถูกกีดกันทางวัฒนธรรมและการรวมชาติกับโรมาเนียของประชากรส่วนใหญ่ที่พูดภาษารัสเซีย ความขัดแย้งนี้นำไปสู่สงครามทรานส์นีสเตรียในปี 1992 ซึ่งจบลงด้วยการหยุดยิงและการคงอยู่ของสถานะ "ความขัดแย้งเยือกแข็ง" โดยมีกองกำลังทหารรัสเซียประจำการอยู่ในฐานะผู้รักษาสันติภาพและผู้ให้การสนับสนุนหลักแก่ทรานส์นีสเตรีย
ภูมิภาคนี้มีประวัติศาสตร์อันซับซ้อน โดยเคยเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจจักรวรรดิต่างๆ ก่อนที่จะถูกรวมเข้ากับจักรวรรดิรัสเซีย และต่อมาเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตปกครองตนเองมอลเดเวียภายในยูเครนโซเวียต และสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตมอลเดเวียในเวลาต่อมา ซึ่งสหภาพโซเวียตได้พัฒนาให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่สำคัญ การพัฒนาเหล่านี้ ควบคู่ไปกับนโยบายการทำให้เป็นรัสเซีย ได้หล่อหลอมอัตลักษณ์และโครงสร้างทางสังคมที่แตกต่างจากมอลโดวาส่วนใหญ่
ปัจจุบัน ทรานส์นีสเตรียดำเนินงานด้วยรัฐบาล รัฐสภา กองกำลังทหาร ตำรวจ ระบบไปรษณีย์ สกุลเงิน รัฐธรรมนูญ ธงชาติ เพลงชาติ และตราแผ่นดินของตนเอง อย่างไรก็ตาม ระบบการเมืองถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงการขาดประชาธิปไตยที่แท้จริงและการจำกัดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะเสรีภาพในการแสดงออก สิทธิของสื่อมวลชน และการปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยและผู้เห็นต่างทางการเมือง เศรษฐกิจของทรานส์นีสเตรียพึ่งพาอุตสาหกรรมหนักและการสนับสนุนจากรัสเซีย แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายจากการไม่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ข้อพิพาทด้านศุลกากร และผลกระทบจากภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะหลังการรุกรานยูเครนโดยรัสเซียในปี 2022 สังคมทรานส์นีสเตรียประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์หลักคือ ชาวรัสเซีย ชาวมอลโดวา และชาวยูเครน โดยมีภาษารัสเซียเป็นภาษาหลักในการสื่อสารระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ ประเด็นโรงเรียนที่ใช้ภาษาโรมาเนีย (อักษรละติน) สะท้อนถึงความตึงเครียดทางวัฒนธรรมและการเมืองที่ยังคงอยู่ สถานะที่ไม่แน่นอนของทรานส์นีสเตรียยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองอย่างยั่งยืนของภูมิภาค รวมถึงส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและสิทธิของประชาชนในวงกว้าง
2. ชื่อประเทศ
ชื่อ "ทรานส์นีสเตรีย" (Transnistriaภาษาอังกฤษ) เป็นชื่อที่ใช้กันทั่วไปในภาษาอังกฤษและภาษาอื่น ๆ ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษาโรมาเนีย (Transnistriaภาษาโรมาเนีย) หมายถึง "ดินแดนโพ้นแม่น้ำนีสเตอร์" (beyond the Dniester River) คำนี้ถูกใช้เป็นครั้งแรกในโรมาเนียเพื่ออ้างถึงภูมิภาคทางตะวันออกของมอลโดวาในปี 1989 โดยเลโอนีดา ลารี (Leonida Lari) สมาชิกแนวร่วมประชาชนมอลโดวา (Popular Front of Moldova) ในสโลแกนการเลือกตั้งของเธอ ซึ่งมีเนื้อหาต่อต้านชนกลุ่มน้อยและเรียกร้องการขับไล่ผู้ที่ไม่ใช่ชาวโรมาเนีย
ทางการทรานส์นีสเตรียเรียกตนเองว่า สาธารณรัฐมอลเดเวียพรีดเนสโตรวี (Pridnestrovian Moldavian Republicภาษาอังกฤษ; PMR) และใช้ชื่อย่อในภาษาท้องถิ่นว่า พรีดเนสโตรวี (ПриднестровьеPridnestrovyeภาษารัสเซีย, Придністров'яPrydnistroviaภาษายูเครน) ซึ่งหมายถึง "ดินแดนริมแม่น้ำนีสเตอร์" หรือ "ดินแดนใกล้แม่น้ำนีสเตอร์" โดยไม่มีความหมายว่า "โพ้น" หรือ "ข้าม" เหมือนชื่อ "ทรานส์นีสเตรีย" เพื่อเน้นย้ำถึงความแตกต่างทางอัตลักษณ์
ชื่อทางการในสามภาษาราชการ ได้แก่:
- ภาษารัสเซีย: Приднестровская Молдавская РеспубликаPridnestrovskaya Moldavskaya Respublikaภาษารัสเซีย (PMR)
- ภาษามอลโดวา (เขียนด้วยอักษรซีริลลิก): Република Молдовеняскэ НистрянэRepublica Moldovenească Nistreanăภาษาโรมาเนีย (RMN)
- ภาษายูเครน: Придністровська Молдавська РеспублікаPrydnistrovs'ka Moldavs'ka Respublikaภาษายูเครน (PMR)
ชื่อย่อในภาษาราชการ:
- รัสเซีย: ПриднестровьеPridnestrovyeภาษารัสเซีย
- มอลโดวา (ซีริลลิก): НистренияNistreniaภาษาโรมาเนีย
- ยูเครน: Придністров'яPrydnistroviaภาษายูเครน
รัฐบาลมอลโดวาเรียกภูมิภาคนี้อย่างเป็นทางการว่า Unitățile Administrativ-Teritoriale din stînga Nistruluiภาษาโรมาเนีย (หน่วยบริหารดินแดนแห่งฝั่งซ้ายแม่น้ำนีสเตอร์) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Stînga Nistruluiภาษาโรมาเนีย (ฝั่งซ้ายของนีสเตอร์)
ในเดือนกันยายน 2024 สภาสูงสุดแห่งทรานส์นีสเตรียได้ผ่านกฎหมายห้ามใช้คำว่า "ทรานส์นีสเตรีย" ภายในภูมิภาค โดยกำหนดโทษปรับหรือจำคุกสำหรับการใช้ชื่อดังกล่าวในที่สาธารณะ เพื่อตอบโต้สิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นการใช้ชื่อที่ไม่เหมาะสมและมีนัยยะทางการเมืองเชิงลบ
3. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของภูมิภาคทรานส์นีสเตรียมีความซับซ้อนและยาวนาน ผ่านการปกครองและอิทธิพลของอำนาจต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงการเป็นรัฐที่ไม่ได้รับการรับรองในปัจจุบัน เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ได้หล่อหลอมอัตลักษณ์ สถานการณ์ทางการเมือง และองค์ประกอบทางชาติพันธุ์ของภูมิภาค รวมถึงส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสิทธิมนุษยชนและความเป็นอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้
3.1. สมัยโบราณและยุคกลาง
ในสมัยโบราณ ดินแดนทรานส์นีสเตรียเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าต่าง ๆ เช่น ชาวซิท (Scythians) และชาวเธรซ (Thracians) ประมาณ 600 ปีก่อนคริสตกาล ชาวกรีกได้ก่อตั้งอาณานิคมชื่อทีรัส (Tyras) ใกล้ปากแม่น้ำนีสเตอร์ (ปัจจุบันคือเมืองบิลโฮรอด-ดนีสตรอฟสกีในยูเครน) ต่อมาในศตวรรษที่ 4 ชาวกอท (Goths) ได้พิชิตดินแดนแถบชายฝั่งทะเลดำ รวมถึงทีรัส ก่อนที่จักรวรรดิโรมันตะวันออก (ไบแซนไทน์) จะเข้ามามีอิทธิพลและสร้างป้อมปราการชื่อแอสโปราคาสตรอน (Asprokastron) ขึ้นบนซากเมืองทีรัส
ในช่วงยุคกลาง ดินแดนนี้ได้รับอิทธิพลจากกลุ่มชนต่าง ๆ รวมถึงชาวสลาฟใต้ที่เริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานในศตวรรษที่ 6 มีหลักฐานว่าชาวสลาฟตะวันออกก็เคยอาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้เช่นกัน ในศตวรรษที่ 10 ภูมิภาคนี้เคยอยู่ภายใต้อำนาจของจักรวรรดิเคียฟรุส (Kievan Rus') และต่อมาในศตวรรษที่ 14 ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสาธารณรัฐเจนัว ซึ่งใช้เป็นจุดค้าขายที่สำคัญ
แม้ว่าราชรัฐมอลเดเวีย (Principality of Moldavia) ที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 14 จะขยายอาณาเขตมาถึงแม่น้ำนีสเตอร์ในช่วงปลายศตวรรษเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้ควบคุมดินแดนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ (ทรานส์นีสเตรีย) อย่างเต็มที่ ในศตวรรษที่ 15 ภูมิภาคนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของราชรัฐลิทัวเนีย (Grand Duchy of Lithuania) และต่อมาเป็นส่วนหนึ่งของเครือจักรภพโปแลนด์-ลิทัวเนีย จนกระทั่งการแบ่งโปแลนด์ครั้งที่สองในปี 1793 ขณะที่ส่วนใต้ของทรานส์นีสเตรียตกอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิออตโตมัน
3.2. สมัยจักรวรรดิรัสเซีย
ภูมิภาคทรานส์นีสเตรียถูกรวมเข้ากับจักรวรรดิรัสเซียอย่างสมบูรณ์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ส่วนใต้ของทรานส์นีสเตรียถูกผนวกจากจักรวรรดิออตโตมันตามสนธิสัญญาจาสซี (Treaty of Jassy) ในปี 1792 และส่วนเหนือถูกผนวกจากการแบ่งโปแลนด์ครั้งที่สองในปี 1793 รัสเซียเรียกดินแดนนี้ว่า "มอลเดเวียใหม่" (New Moldavia) และสนับสนุนการตั้งถิ่นฐานของชาวรัสเซียและยูเครนในพื้นที่ซึ่งขณะนั้นมีประชากรเบาบาง เพื่อเสริมสร้างการป้องกันชายแดนตะวันตกของจักรวรรดิ มีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและที่ดินแก่ชาวนาจากมอลเดเวียเพื่อกระตุ้นการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน
การรวมเข้ากับจักรวรรดิรัสเซียทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและองค์ประกอบทางชาติพันธุ์อย่างมากในภูมิภาค การปกครองของรัสเซียได้นำระบบบริหารและระบบกฎหมายแบบรัสเซียเข้ามาใช้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อโครงสร้างทางสังคมดั้งเดิมของประชาชนในท้องถิ่น เมื่อรัสเซียผนวกเบสซาเรเบีย (Bessarabia) ในปี 1812 ทรานส์นีสเตรียก็ไม่ได้เป็นพื้นที่ชายแดนอีกต่อไป แต่ยังคงเป็นศูนย์กลางทางยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจที่สำคัญสำหรับจักรวรรดิ การพัฒนาอุตสาหกรรมและการเกษตรในภูมิภาคนี้ได้รับการส่งเสริม ซึ่งดึงดูดผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติเข้ามาตั้งถิ่นฐานเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม นโยบายของจักรวรรดิรัสเซียมักมุ่งเน้นการส่งเสริมวัฒนธรรมและภาษารัสเซีย (การทำให้เป็นรัสเซีย) ซึ่งสร้างความตึงเครียดกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ และเป็นรากฐานของความขัดแย้งในอนาคต
3.3. สมัยสหภาพโซเวียต
ในช่วงสมัยสหภาพโซเวียต ภูมิภาคทรานส์นีสเตรียผ่านการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมครั้งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่อตั้งสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตปกครองตนเองมอลเดเวีย (MASSR) และต่อมาเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตมอลเดเวีย (MSSR) นโยบายของสหภาพโซเวียต ทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมและการทำให้เป็นรัสเซีย (Russification) ได้ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อโครงสร้างทางสังคม องค์ประกอบทางชาติพันธุ์ สิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อมของภูมิภาคนี้
3.3.1. สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตปกครองตนเองมอลเดเวีย (MASSR)

สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตปกครองตนเองมอลเดเวีย (Moldavian Autonomous Soviet Socialist Republic, MASSR) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1924 ภายในสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครน (Ukrainian SSR) วัตถุประสงค์หลักในการก่อตั้ง MASSR คือเพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของสหภาพโซเวียตในการอ้างสิทธิ์เหนือเบสซาเรเบีย ซึ่งในขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรโรมาเนีย โดยสหภาพโซเวียตมองว่าเบสซาเรเบียเป็นดินแดนที่ถูกยึดครองอย่างผิดกฎหมาย และ MASSR ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็น "สะพานหัวหาด" สำหรับการรวมเบสซาเรเบียเข้ากับสหภาพโซเวียตในอนาคต
MASSR ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของทรานส์นีสเตรียในปัจจุบัน (ประมาณ 4.10 K km2) และพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือรอบเมืองบัลตา (4.20 K km2) ในยูเครน เมืองหลวงเริ่มแรกคือบัลตา ก่อนจะย้ายไปยังตีรัสปอลในปี 1929 องค์ประกอบทางชาติพันธุ์ของ MASSR ในช่วงก่อตั้งนั้นมีความหลากหลาย โดยชาวยูเครนคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 48%, ชาวมอลโดวา/โรมาเนียประมาณ 30%, ชาวรัสเซีย 9% และชาวยิว 8.5% นโยบายหลักของ MASSR คือการส่งเสริมวัฒนธรรมมอลโดวาในรูปแบบโซเวียต มีการสนับสนุนการใช้ภาษามอลโดวา (ซึ่งในขณะนั้นถูกมองว่าเป็นภาษาที่แตกต่างจากภาษาโรมาเนียและใช้อักษรซีริลลิก) และพัฒนาอัตลักษณ์ "มอลโดวาโซเวียต" เพื่อต่อต้านอิทธิพลของโรมาเนีย
อย่างไรก็ตาม นโยบายเกี่ยวกับสิทธิของชนกลุ่มน้อยใน MASSR ไม่ได้มีความสอดคล้องกันเสมอไป ในช่วงแรกมีการส่งเสริมภาษาและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ แต่ต่อมาในสมัยสตาลิน โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ 1930 นโยบายการทำให้เป็นรัสเซีย (Russification) และการปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมืองได้ทวีความรุนแรงขึ้น ชนกลุ่มน้อยที่ไม่ใช่ชาวโรมาเนียถูกกดดันให้ใช้ภาษารัสเซีย และมีการปราบปรามผู้ที่ถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ การละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในช่วงนี้ การก่อตั้ง MASSR จึงมีนัยยะทางการเมืองที่สำคัญในการเสริมสร้างอิทธิพลของโซเวียตในภูมิภาค และเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ใหญ่กว่าระหว่างสหภาพโซเวียตและโรมาเนียเกี่ยวกับสถานะของเบสซาเรเบีย
3.3.2. สงครามโลกครั้งที่สองและสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตมอลเดเวีย (MSSR)
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ภูมิภาคทรานส์นีสเตรียเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เริ่มต้นด้วยการที่สหภาพโซเวียตผนวกเบสซาเรเบียจากโรมาเนียในเดือนมิถุนายน 1940 ตามข้อตกลงในกติกาสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพ และในวันที่ 2 สิงหาคม 1940 สภาโซเวียตสูงสุดแห่งสหภาพโซเวียตได้ก่อตั้งสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตมอลเดเวีย (Moldavian Soviet Socialist Republic, MSSR) ขึ้น โดยรวมเอาส่วนหนึ่งของเบสซาเรเบียที่ถูกผนวกเข้ากับส่วนหนึ่งของ MASSR เดิม ซึ่งใกล้เคียงกับทรานส์นีสเตรียในปัจจุบัน
ในปี 1941 หลังจากที่กองกำลังฝ่ายอักษะบุกสหภาพโซเวียต โรมาเนียซึ่งเป็นพันธมิตรกับนาซีเยอรมนี ได้เข้ายึดครองดินแดนระหว่างแม่น้ำนีสเตอร์และแม่น้ำบูฮ์ใต้ รวมถึงเมืองโอเดซา และจัดตั้งเป็นเขตผู้ว่าการทรานส์นีสเตรีย (Transnistria Governorate) ซึ่งมีพื้นที่ 39.73 K km2 และประชากร 2.3 ล้านคน ในช่วงการยึดครองของโรมาเนีย (1941-1944) ได้มีการดำเนินนโยบายการทำให้เป็นโรมาเนีย (Romanianization) และที่สำคัญคือ เหตุการณ์ฮอโลคอสต์ ซึ่งชาวยิวและชาวโรมานีหลายแสนคน (ประมาณ 150,000 ถึง 250,000 คน ซึ่งเป็นพลเรือนผู้บริสุทธิ์) ถูกเนรเทศมายังทรานส์นีสเตรีย และส่วนใหญ่ถูกสังหารหรือเสียชีวิตในเกตโตและค่ายกักกันต่างๆ เหตุการณ์เหล่านี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความหลากหลายทางชาติพันธุ์ในภูมิภาค
เมื่อกองทัพแดงของสหภาพโซเวียตสามารถยึดคืนพื้นที่ได้ในปี 1944 ทรานส์นีสเตรียก็กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของ MSSR อีกครั้ง ทางการโซเวียตได้ดำเนินการปราบปรามผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าให้ความร่วมมือกับผู้ยึดครองชาวโรมาเนีย มีการประหารชีวิต เนรเทศ หรือจำคุกผู้คนจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีนโยบายต่อต้านครอบครัวชาวนาที่ร่ำรวย (kulaks) ซึ่งนำไปสู่การเนรเทศผู้คนจำนวนมากไปยังคาซัคสถานและไซบีเรีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปฏิบัติการ "Operation South" เมื่อวันที่ 6-7 กรกฎาคม 1949 ซึ่งมีครอบครัวกว่า 11,342 ครอบครัวถูกเนรเทศ นโยบายการปกครองในยุคแรกของ MSSR ภายใต้การควบคุมของโซเวียตจึงเต็มไปด้วยการกดขี่และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนจำนวนมาก
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหภาพโซเวียตได้ดำเนินนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมใน MSSR โดยเน้นที่ภูมิภาคทรานส์นีสเตรีย ทำให้ทรานส์นีสเตรียกลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่สำคัญของสาธารณรัฐ ในขณะเดียวกันก็มีการดำเนินนโยบายการทำให้เป็นรัสเซียอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมของภูมิภาค และจำกัดสิทธิทางภาษาและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่ใช่รัสเซีย
3.4. กระบวนการแยกตัวเป็นเอกราช

ภูมิหลังทางการเมืองและสังคมที่นำไปสู่การประกาศเอกราชของทรานส์นีสเตรียหยั่งรากลึกในช่วงปลายทศวรรษ 1980 เมื่อนโยบายเปเรสตรอยคา (Perestroika) และกลัสนอสต์ (Glasnost) ของมีฮาอิล กอร์บาชอฟ ผู้นำสหภาพโซเวียตในขณะนั้น ได้เปิดพื้นที่สำหรับการแสดงออกทางการเมืองและการเคลื่อนไหวของกลุ่มชาตินิยมในสาธารณรัฐต่าง ๆ ของสหภาพโซเวียต รวมถึงสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตมอลเดเวีย (MSSR)
ใน MSSR ได้เกิดขบวนการชาตินิยมมอลโดวาที่เข้มแข็งขึ้น โดยมีแนวร่วมประชาชนมอลโดวา (Popular Front of Moldova - PFM) เป็นแกนนำ PFM เรียกร้องให้ภาษามอลโดวา (ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นภาษาเดียวกับภาษาโรมาเนีย) เป็นภาษาราชการเพียงภาษาเดียว ให้กลับไปใช้อักษรละตินแทนอักษรซีริลลิก และให้ยอมรับอัตลักษณ์ร่วมกันระหว่างชาวมอลโดวาและชาวโรมาเนีย ข้อเรียกร้องเหล่านี้ได้รับการตอบสนองบางส่วนเมื่อสภาโซเวียตสูงสุดของ MSSR ผ่านกฎหมายภาษาในเดือนสิงหาคม 1989
อย่างไรก็ตาม นโยบายเหล่านี้สร้างความกังวลอย่างมากในหมู่ประชากรที่ไม่ใช่ชาวมอลโดวา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคทรานส์นีสเตรีย ซึ่งมีสัดส่วนประชากรชาวรัสเซียและชาวยูเครนสูง และประชากรส่วนใหญ่ (รวมถึงชาวมอลโดวาบางส่วน) ใช้ภาษารัสเซียเป็นภาษาแม่ในการสื่อสารระหว่างชาติพันธุ์ พวกเขากลัวว่าการยกเลิกภาษารัสเซียในฐานะภาษาราชการจะทำให้เสียเปรียบ และกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่มอลโดวาจะรวมชาติกับโรมาเนีย ซึ่งจะทำให้พวกเขา กลายเป็นชนกลุ่มน้อยในรัฐชาติโรมาเนีย นอกจากนี้ วาทกรรมที่เน้นความเป็นศูนย์กลางทางชาติพันธุ์ (ethnocentric rhetoric) ของ PFM บางกลุ่ม ซึ่งเรียกร้องให้ชนกลุ่มน้อย โดยเฉพาะชาวสลาฟและชาวกาเกาซ์ ออกไปหรือถูกขับไล่ออกจากมอลโดวา ยิ่งเพิ่มความตึงเครียดระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และละเมิดสิทธิของชนกลุ่มน้อยเหล่านี้
เพื่อตอบโต้กระแสชาตินิยมมอลโดวา กลุ่มประชากรที่พูดภาษารัสเซียในทรานส์นีสเตรียได้ก่อตั้งขบวนการ "เยดินสต์โว" (Yedinstvo - เอกภาพ) เพื่อเรียกร้องให้ภาษารัสเซียและภาษามอลโดวามีสถานะเท่าเทียมกัน ความแตกต่างทางองค์ประกอบชาติพันธุ์และภาษาศาสตร์ของทรานส์นีสเตรียเมื่อเทียบกับส่วนอื่น ๆ ของมอลโดวาจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความขัดแย้ง
เมื่อ PFM ชนะการเลือกตั้งรัฐสภาอย่างเสรีครั้งแรกใน MSSR เมื่อต้นปี 1990 และเริ่มดำเนินนโยบายตามวาระของตน ความตึงเครียดก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ในเดือนกันยายน 1990 สภาเฉพาะกิจของตัวแทนประชาชนทรานส์นีสเตรียได้ประกาศจัดตั้ง "สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตมอลเดเวียพรีดเนสโตรวี" (Pridnestrovian Moldavian Soviet Socialist Republic - PMSSR) โดยหวังว่าจะยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตหากมอลโดวาแยกตัวเป็นเอกราชหรือรวมกับโรมาเนีย เหตุการณ์ความรุนแรงเริ่มปะทุขึ้นเมื่อ PFM เรียกร้องให้มีอาสาสมัครจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธเพื่อหยุดยั้งการลงประชามติเรื่องเอกราชในกาเกาเซีย (Gagauzia) ซึ่งเป็นอีกภูมิภาคหนึ่งที่มีชนกลุ่มน้อยจำนวนมาก ในเดือนเมษายน 1990 กลุ่มผู้ประท้วงชาตินิยมได้ทำร้ายสมาชิกรัฐสภาเชื้อสายรัสเซีย โดยตำรวจมอลโดวาไม่เข้าแทรกแซง ซึ่งเป็นการละเลยการคุ้มครองสิทธิพลเมือง
แม้ว่ากอร์บาชอฟจะประกาศให้การจัดตั้ง PMSSR เป็นโมฆะในเดือนธันวาคม 1990 โดยอ้างว่ามอลโดวาจำกัดสิทธิพลเมืองของชนกลุ่มน้อย แต่ก็ไม่ได้มีการดำเนินการใด ๆ ที่มีนัยสำคัญต่อทรานส์นีสเตรีย ทำให้ทางการใหม่สามารถค่อย ๆ สถาปนาการควบคุมในภูมิภาคได้ หลังจากการรัฐประหารที่ไม่สำเร็จในสหภาพโซเวียตในเดือนสิงหาคม 1991 PMSSR ได้ประกาศเอกราชจากสหภาพโซเวียต และในวันที่ 5 พฤศจิกายน 1991 ทรานส์นีสเตรียได้ละทิ้งอุดมการณ์สังคมนิยมและเปลี่ยนชื่อเป็น "สาธารณรัฐมอลเดเวียพรีดเนสโตรวี" (Pridnestrovian Moldavian Republic - PMR) กระบวนการนี้สะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกทางชาติพันธุ์ การเมือง และอุดมการณ์ที่ลึกซึ้ง ซึ่งในที่สุดก็นำไปสู่ความขัดแย้งด้วยอาวุธและการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ตามมา
3.5. สงครามทรานส์นีสเตรีย
สงครามทรานส์นีสเตรีย (Transnistria War) ปะทุขึ้นอย่างเต็มรูปแบบในเดือนมีนาคม 1992 แต่ความตึงเครียดและการปะทะกันด้วยอาวุธในระดับจำกัดระหว่างกองกำลังแบ่งแยกดินแดนทรานส์นีสเตรียและมอลโดวาได้เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 1990 ที่เมืองดูเบอซาร์ (Dubăsari) อาสาสมัคร รวมถึงชาวคอสแซค (Cossacks) จากรัสเซีย ได้เดินทางเข้ามาช่วยเหลือฝ่ายแบ่งแยกดินแดน
สาเหตุหลักของสงครามเกิดจากความขัดแย้งทางชาติพันธุ์และการเมืองหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต รัฐบาลมอลโดวาที่เพิ่งได้รับเอกราชใหม่มีความมุ่งมั่นที่จะรักษาบูรณภาพแห่งดินแดน ในขณะที่ทรานส์นีสเตรีย ซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซียและยูเครน ปรารถนาที่จะแยกตัวออกหรือคงความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัสเซียต่อไป ความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรม รวมถึงความกลัวการถูกกลืนชาติและการกดขี่ทางวัฒนธรรมโดยมอลโดวาที่อาจรวมเข้ากับโรมาเนีย เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดความขัดแย้ง
ในเดือนเมษายน 1992 ภายใต้ข้อตกลงเกี่ยวกับการแบ่งยุทโธปกรณ์ทางทหารของอดีตสหภาพโซเวียต มอลโดวาได้จัดตั้งกระทรวงกลาโหมของตนเอง ตามกฤษฎีกาการจัดตั้ง ยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่ของกองทัพองครักษ์ที่ 14 (14th Guards Army) ของโซเวียตซึ่งประจำการอยู่ในภูมิภาค จะต้องถูกโอนไปยังมอลโดวา การสู้รบได้ทวีความรุนแรงขึ้นตลอดช่วงต้นปี 1992 กองทัพองครักษ์ที่ 14 ของอดีตโซเวียต ซึ่งต่อมาอยู่ภายใต้การบัญชาการของรัสเซีย ได้เข้ามามีส่วนร่วมในระยะสุดท้ายของความขัดแย้ง โดยเปิดฉากยิงใส่กองกำลังมอลโดวา ซึ่งมีส่วนสำคัญในการกำหนดผลลัพธ์ของสงครามและถูกมองว่าเป็นการแทรกแซงจากภายนอก ประมาณกันว่ามีผู้เสียชีวิตในสงครามราว 700 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเรือน
สงครามยุติลงด้วยข้อตกลงหยุดยิงที่ลงนามเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 1992 ซึ่งมีผลบังคับใช้มาจนถึงปัจจุบัน ข้อตกลงดังกล่าวได้จัดตั้งคณะกรรมการควบคุมร่วม (Joint Control Commission - JCC) สามฝ่าย ประกอบด้วยมอลโดวา รัสเซีย และทรานส์นีสเตรีย เพื่อดูแลการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง และจัดตั้งกองกำลังรักษาสันติภาพสามฝ่ายขึ้นในเขตความมั่นคง (security zone) ที่กำหนดขึ้นตามแนวแม่น้ำนีสเตอร์
ผลลัพธ์ของสงครามคือ ทรานส์นีสเตรียสามารถรักษาการควบคุมดินแดนของตนไว้ได้โดยพฤตินัย ในขณะที่มอลโดวาไม่สามารถใช้อำนาจการปกครองเหนือภูมิภาคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไป สงครามนี้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อประชาชนในภูมิภาค ทำให้เกิดผู้พลัดถิ่นภายในประเทศจำนวนมาก ทำลายโครงสร้างพื้นฐาน และสร้างความแตกแยกที่ลึกซึ้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ประเด็นสิทธิมนุษยชนของประชาชนในพื้นที่ขัดแย้ง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้หญิง เด็ก และผู้สูงอายุ ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ทั้งในระหว่างการสู้รบและผลกระทบระยะยาวจากการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งรวมถึงการพลัดพรากจากครอบครัว การสูญเสียทรัพย์สิน และการเข้าถึงบริการพื้นฐานที่จำกัด การแทรกแซงของรัสเซียในความขัดแย้งนี้ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงในระดับนานาชาติ และส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างมอลโดวาและรัสเซียมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการบ่อนทำลายอธิปไตยของมอลโดวา
3.6. หลังสงคราม
หลังจากการหยุดยิงในปี 1992 สถานะของทรานส์นีสเตรียยังคงไม่คลี่คลาย โดยมีความพยายามในการเจรจาหลายครั้งแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ภูมิภาคนี้ได้จัดการลงประชามติเพื่อเอกราชในปี 2006 ซึ่งไม่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และเผชิญกับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากการรุกรานยูเครนโดยรัสเซียในปี 2022 ซึ่งทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองยิ่งซับซ้อนขึ้น
3.6.1. พัฒนาการทางการเมืองและความพยายามแก้ไขปัญหา (1992-2021)
สถานการณ์ทางการเมืองในทรานส์นีสเตรียตั้งแต่หลังสงครามในปี 1992 จนถึงก่อนการรุกรานยูเครนครั้งใหญ่ ยังคงมีความซับซ้อนและไม่มั่นคง ภูมิภาคนี้ยังคงเป็นรัฐที่ไม่ได้รับการรับรองในระดับสากล แม้จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรัฐสภาของตนเองก็ตาม ความพยายามในการไกล่เกลี่ยจากประชาคมระหว่างประเทศ นำโดยองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE) รวมถึงการเจรจาในรูปแบบ "5+2" (ประกอบด้วยมอลโดวา ทรานส์นีสเตรีย รัสเซีย ยูเครน OSCE และผู้สังเกตการณ์จากสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา) ยังไม่สามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาทางการเมืองที่ยั่งยืนได้
หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญคือ บันทึกช่วยจำพรีมาคอฟ (Primakov Memorandum) ในปี 1997 ซึ่งลงนามโดยประธานาธิบดีมอลโดวา เปตรู ลูชินสกี และผู้นำทรานส์นีสเตรีย อีกอร์ สมีร์นอฟ โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ความสัมพันธ์เป็นปกติและสร้างสถานะทางกฎหมายร่วมกัน แต่การตีความเนื้อหาที่แตกต่างกันทำให้ไม่เกิดผลในทางปฏิบัติ ต่อมาในปี 2003 ข้อเสนอ "บันทึกช่วยจำโคซัค" (Kozak Memorandum) จากรัสเซีย ซึ่งเสนอให้มอลโดวาเป็นรัฐสหพันธรัฐแบบอสมมาตร โดยทรานส์นีสเตรียจะมีอำนาจยับยั้งการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญในอนาคต และอนุญาตให้รัสเซียคงกำลังทหารไว้เป็นเวลา 20 ปี ประธานาธิบดีมอลโดวา วลาดิมีร์ โวโรนิน ในตอนแรกสนับสนุนแผนนี้ แต่ต่อมาปฏิเสธเนื่องจากแรงกดดันจากภายในประเทศและประชาคมระหว่างประเทศ ซึ่งมองว่าแผนดังกล่าวเป็นการให้อิทธิพลแก่รัสเซียมากเกินไปและกระทบต่ออธิปไตยของมอลโดวา
การพัฒนาประชาธิปไตยและสิทธิพลเมืองในทรานส์นีเตรียมักถูกวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ มีรายงานเกี่ยวกับการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก สื่อมวลชนถูกควบคุมโดยรัฐบาล และการเลือกตั้งไม่ได้รับการยอมรับว่าเสรีและเป็นธรรม ความขัดแย้งภายในที่สำคัญยังคงมีอยู่ เช่น ปัญหาโรงเรียนที่ใช้ภาษาโรมาเนีย (มอลโดวา) ด้วยอักษรละติน ซึ่งทางการทรานส์นีสเตรียพยายามจำกัดและถูกมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิทางภาษาและวัฒนธรรม
3.6.2. การลงประชามติเอกราช ปี 2006
ในปี 2006 ทรานส์นีสเตรียได้จัดการลงประชามติเกี่ยวกับสถานะในอนาคตของตนเอง ภูมิหลังของการลงประชามตินี้เกิดจากความปรารถนาของทางการทรานส์นีสเตรียที่จะยืนยันความต้องการเอกราชจากมอลโดวาและแสวงหาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับรัสเซีย การเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งกับมอลโดวาที่ยืดเยื้อมานานและไม่ประสบผลสำเร็จเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้มีการจัดทำประชามติครั้งนี้
กระบวนการลงประชามติซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2006 ประกอบด้วยคำถามสองข้อ:
1. คุณสนับสนุนแนวทางการเป็นเอกราชของสาธารณรัฐมอลเดเวียพรีดเนสโตรวี และการเข้าร่วมกับสหพันธรัฐรัสเซียโดยสมัครใจในอนาคตหรือไม่?
2. คุณเห็นว่าการสละเอกราชของสาธารณรัฐมอลเดเวียพรีดเนสโตรวี และการกลับไปรวมกับสาธารณรัฐมอลโดวาเป็นสิ่งที่ยอมรับได้หรือไม่?
ผลการลงประชามติตามที่ทางการทรานส์นีสเตรียประกาศคือ:
- สำหรับคำถามข้อที่ 1: ผู้ลงคะแนนเสียง 97.2% สนับสนุนเอกราชและความเป็นไปได้ในการรวมเข้ากับรัสเซีย
- สำหรับคำถามข้อที่ 2: ผู้ลงคะแนนเสียง 94.9% ไม่เห็นด้วยกับการกลับไปรวมกับมอลโดวา
อัตราผู้ออกมาใช้สิทธิ์อยู่ที่ 78.6%
อย่างไรก็ตาม ประชาคมระหว่างประเทศส่วนใหญ่ รวมถึงสหภาพยุโรป องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE) และประเทศอื่น ๆ ไม่ยอมรับผลการลงประชามตินี้ โดยให้เหตุผลว่าการลงประชามติไม่ได้ดำเนินการภายใต้เงื่อนไขที่เสรีและเป็นธรรม ขาดการมีส่วนร่วมของผู้สังเกตการณ์อิสระที่น่าเชื่อถือ และไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล พวกเขาย้ำว่าทรานส์นีสเตรียยังคงเป็นส่วนหนึ่งของมอลโดวาตามกฎหมายระหว่างประเทศ คณะกรรมการเฮลซิงกิเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งมอลโดวา (Helsinki Committee for Human Rights in Moldova) ได้รายงานความผิดปกติหลายประการในการลงประชามติ รวมถึงการข่มขู่ผู้ที่อาจไม่ไปลงคะแนน การกีดกันผู้สังเกตการณ์อิสระ และการควบคุมสื่ออย่างเข้มงวด ซึ่งจำกัดการเข้าถึงข้อมูลที่หลากหลายของประชาชน
นัยยะสำคัญของการลงประชามตินี้คือ การตอกย้ำจุดยืนที่แข็งกร้าวของทรานส์นีสเตรียในการแยกตัวออกจากมอลโดวา และความปรารถนาที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ได้รับการยอมรับในระดับสากล แต่ก็ถูกใช้โดยทางการทรานส์นีสเตรียเพื่ออ้างความชอบธรรมในการดำเนินนโยบายของตนเอง และส่งผลให้การเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาสถานะทางการเมืองของภูมิภาคยิ่งมีความซับซ้อนมากขึ้น การลงประชามตินี้ยังสะท้อนถึงประเด็นสิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองของประชาชน ซึ่งเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและเป็นที่ถกเถียงในบริบทของกฎหมายระหว่างประเทศและความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดำเนินการภายใต้สภาวะที่ขาดความเป็นอิสระและแรงกดดันทางการเมือง
3.6.3. ผลกระทบจากการรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย ปี 2022
การรุกรานยูเครนโดยรัสเซียอย่างเต็มรูปแบบในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทรานส์นีสเตรียในหลายมิติ ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคง แม้ว่าทางการทรานส์นีสเตรียจะประกาศความเป็นกลางและปฏิเสธการมีส่วนร่วมในการโจมตียูเครน แต่สถานการณ์ก็ยังคงตึงเครียด
ผลกระทบทางตรงที่สำคัญที่สุดคือการปิดพรมแดนระหว่างทรานส์นีสเตรียกับยูเครนโดยฝ่ายยูเครน ซึ่งเคยเป็นเส้นทางหลักสำหรับการค้าและการเดินทางของทรานส์นีสเตรีย ทำให้ภูมิภาคนี้ต้องพึ่งพามอลโดวาในการนำเข้าสินค้าเกือบทั้งหมด ซึ่งเพิ่มความเปราะบางทางเศรษฐกิจและอาจส่งผลต่อราคาสินค้าและค่าครองชีพของประชาชน นอกจากนี้ การค้ากับยูเครนซึ่งเคยเป็นคู่ค้าสำคัญก็หยุดชะงักลง
ในทางการเมือง ความขัดแย้งนี้ทำให้ทรานส์นีสเตรียตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากยิ่งขึ้น แรงกดดันจากมอลโดวาและชาติตะวันตกเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่การสนับสนุนจากรัสเซียอาจเผชิญข้อจำกัดมากขึ้นเนื่องจากสงคราม มีรายงานเหตุการณ์ระเบิดหลายครั้งในทรานส์นีสเตรียในช่วงเดือนเมษายน 2022 ซึ่งทางการยูเครนกล่าวหาว่าเป็นปฏิบัติการธงปลอมของรัสเซียเพื่อสร้างความไม่มั่นคงและดึงทรานส์นีสเตรียเข้าสู่สงคราม ในเดือนมีนาคม 2022 สมัชชารัฐสภาแห่งสภายุโรป (PACE) ได้ลงมติรับรองว่าทรานส์นีสเตรียเป็นดินแดนที่ถูกยึดครองโดยรัสเซีย ซึ่งยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อสถานะของภูมิภาคและเป็นการประณามการกระทำของรัสเซีย
ความมั่นคงในภูมิภาคทวีความตึงเครียด เนื่องจากทรานส์นีสเตรียมีกองกำลังทหารรัสเซียประจำการอยู่ และมีคลังแสงอาวุธขนาดใหญ่จากสมัยโซเวียต ความกังวลว่าความขัดแย้งอาจลุกลามมายังทรานส์นีสเตรียได้เพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากความเป็นไปได้ที่รัสเซียอาจใช้ทรานส์นีสเตรียเป็นฐานในการโจมตียูเครน หรือการที่ยูเครนอาจมองว่าทรานส์นีสเตรียเป็นภัยคุกคามความมั่นคง
ในด้านสิทธิมนุษยชน สถานการณ์ที่ตึงเครียดอาจนำไปสู่การจำกัดเสรีภาพและการเพิ่มการควบคุมของรัฐบาลมากยิ่งขึ้น ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความมั่นคงยังส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนโดยรวม ในปี 2024 สภาสูงสุดแห่งทรานส์นีสเตรียได้มีการประชุมเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2006 และได้ร้องขอความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากรัสเซีย พร้อมทั้งกล่าวหาว่ามอลโดวากำลังกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในภูมิภาค ซึ่งเป็นการกล่าวหาที่รุนแรงและไม่ได้รับการยืนยัน แต่สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นของผู้นำทรานส์นีสเตรียเกี่ยวกับอนาคตของภูมิภาค
นอกจากนี้ วิกฤตพลังงานได้ทวีความรุนแรงขึ้นในเดือนมกราคม 2025 เมื่อข้อตกลงส่งก๊าซธรรมชาติของรัสเซียผ่านยูเครนสิ้นสุดลง ทำให้การจัดส่งก๊าซไปยังทรานส์นีสเตรียหยุดชะงัก สร้างความเดือดร้อนอย่างหนักให้กับประชาชนและเศรษฐกิจในภูมิภาค กระทบต่อสิทธิในการเข้าถึงพลังงานและความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐาน
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของทรานส์นีสเตรียยิ่งซับซ้อนขึ้น การพึ่งพารัสเซียอาจกลายเป็นจุดอ่อนหากรัสเซียประสบความพ่ายแพ้หรือถูกโดดเดี่ยวมากขึ้น ในขณะที่ความสัมพันธ์กับมอลโดวาและยูเครนก็ยังคงตึงเครียด การรุกรานยูเครนโดยรัสเซียได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคอย่างมาก และอนาคตของทรานส์นีสเตรียก็ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยประชาชนในพื้นที่ต้องเผชิญกับผลกระทบโดยตรง
4. ภูมิศาสตร์

ทรานส์นีสเตรียเป็นดินแดนที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ตั้งอยู่ระหว่างมอลโดวา (ซึ่งมีพรมแดนร่วมกันยาว 411 km) ทางทิศตะวันตก และยูเครน (ซึ่งมีพรมแดนร่วมกันยาว 405 km) ทางทิศตะวันออก ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นหุบเขาแคบ ๆ ทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ตามแนวแม่น้ำนีสเตอร์ ซึ่งเป็นพรมแดนทางธรรมชาติส่วนใหญ่กับมอลโดวา
อาณาเขตที่ควบคุมโดย PMR ส่วนใหญ่อยู่บนฝั่งซ้าย (ตะวันออก) ของแม่น้ำนีสเตอร์ ประกอบด้วยเมือง 10 เมือง และเทศบาล 69 แห่ง รวม 147 ท้องที่ (รวมถึงท้องที่ที่ไม่ได้จดทะเบียน) อย่างไรก็ตาม มีเทศบาล 6 แห่งบนฝั่งซ้าย ได้แก่ โคเชียร์ (Cocieri), โมโลวาตา โนวือ (Molovata Nouă), คอร์โควา (Corjova), ปือรือยตา (Pîrîta), คอชนิตซา (Coșnița) และโดรอตสกายา (Doroțcaia) ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลมอลโดวาหลังสงครามทรานส์นีสเตรียในปี 1992 โดยเป็นส่วนหนึ่งของเขตดูเบอซาร์ (Dubăsari District) เมืองเหล่านี้ตั้งอยู่ทางเหนือและใต้ของเมืองดูเบอซาร์ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของ PMR หมู่บ้านโรห์กี (Roghi) ของเทศบาลโมโลวาตา โนวือ ก็ถูกควบคุมโดย PMR เช่นกัน (มอลโดวาควบคุมอีก 9 หมู่บ้านจาก 10 หมู่บ้านใน 6 เทศบาลนั้น)
บนฝั่งขวา (ตะวันตก) ของแม่น้ำนีสเตอร์ ในภูมิภาคเบสซาเรเบีย เมืองเบนเดร์ (Bender หรือ Tighina) และเทศบาล 4 แห่ง (ประกอบด้วย 6 หมู่บ้าน) ทางตะวันออก ตะวันออกเฉียงใต้ และใต้ของเมืองเบนเดร์ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำนีสเตอร์จากเมืองตีรัสปอล ได้แก่ โปรเตอกาอิลอฟกา (Proteagailovca), กิสกา (Gîsca), คิตสคานี (Chițcani) และเครเมนชุก (Cremenciug) อยู่ภายใต้การควบคุมของ PMR
พื้นที่ที่ควบคุมโดยมอลโดวาบนฝั่งตะวันออก (หมู่บ้านโรห์กี) และเมืองดูเบอซาร์ (ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกและควบคุมโดย PMR) ร่วมกับหมู่บ้าน 6 แห่งและเมือง 1 แห่งที่ควบคุมโดย PMR บนฝั่งตะวันตก รวมถึงอีกสองแห่ง (วาร์นิตซา และโคปันกา) บนฝั่งตะวันตกเดียวกันที่อยู่ภายใต้การควบคุมของมอลโดวา ก่อตัวเป็นเขตความมั่นคง (security zone) ซึ่งสถานการณ์ความมั่นคงภายในอยู่ภายใต้การตัดสินของคณะกรรมการควบคุมร่วม (Joint Control Commission)
เส้นทางคมนาคมหลักในทรานส์นีสเตรียคือถนน M4 จากตีรัสปอลไปยังรึบนิตซา (Rîbnița) ผ่านเมืองดูเบอซาร์ ถนนสายนี้ควบคุมโดย PMR ทั้งหมด ทางเหนือและใต้ของดูเบอซาร์ ถนนนี้ผ่านฉนวนที่ดินที่ควบคุมโดยมอลโดวาในหมู่บ้านโดรอตสกายา, โคเชียร์, โรห์กี และวาซีเลียฟกา (Vasilievca) ซึ่งหมู่บ้านหลังสุดตั้งอยู่ทางตะวันออกของถนนทั้งหมด ถนนเส้นนี้เป็นพรมแดนโดยพฤตินัยระหว่างมอลโดวาและทรานส์นีสเตรียในบริเวณนั้น ความขัดแย้งเกิดขึ้นหลายครั้งเมื่อ PMR ขัดขวางไม่ให้ชาวบ้านเข้าถึงพื้นที่เกษตรกรรมทางตะวันออกของถนน
สภาพภูมิอากาศของทรานส์นีสเตรียเป็นแบบภูมิอากาศภาคพื้นทวีปชื้น โดยมีลักษณะกึ่งเขตร้อน ฤดูร้อนอบอุ่นและฤดูหนาวเย็นสบายถึงหนาว ปริมาณน้ำฝนค่อนข้างสม่ำเสมอตลอดทั้งปี แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงฤดูร้อน ทรัพยากรธรรมชาติหลักคือดินที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเกษตร
5. การเมือง
ระบบการเมืองของทรานส์นีสเตรียเป็นแบบระบบกึ่งประธานาธิบดี มีประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐและหัวหน้าฝ่ายบริหาร โครงสร้างรัฐบาลประกอบด้วยฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเลือกตั้งและสถาบันทางการเมือง แต่การพัฒนาประชาธิปไตยและธรรมาภิบาลยังคงเผชิญกับความท้าทายและข้อจำกัดจากการไม่ได้รับการรับรองในระดับสากล อิทธิพลจากภายนอก โดยเฉพาะจากรัสเซีย และการละเลยหลักนิติธรรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของพลเมือง
5.1. โครงสร้างรัฐบาล

ทรานส์นีสเตรียปกครองในระบอบสาธารณรัฐแบบกึ่งประธานาธิบดี (semi-presidential republic) โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐและหัวหน้าฝ่ายบริหาร ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี และสามารถดำรงตำแหน่งได้ไม่เกินสองวาระติดต่อกัน ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือ วาดิม คราสโนเซลสกี (Vadim Krasnoselsky) ฝ่ายบริหารยังรวมถึงนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีและได้รับความเห็นชอบจากสภาสูงสุด และคณะรัฐมนตรี
ฝ่ายนิติบัญญัติคือ สภาสูงสุด (Supreme Council) ซึ่งเป็นระบบสภาเดี่ยว (unicameral legislature) ประกอบด้วยสมาชิก 43 คน (ก่อนปี 2020 มี 33 คน) มาจากการเลือกตั้งในระบบแบ่งเขตเลือกตั้งแบบหลายพรรคการเมือง มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี พรรคการเมืองหลักที่มีบทบาทสำคัญคือพรรค "รีนิววัล" (Renewal) ซึ่งครองเสียงข้างมากในสภามาตั้งแต่ปี 2005 สภาสูงสุดมีอำนาจในการออกกฎหมาย อนุมัติงบประมาณ และตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร
ระบบศาลของทรานส์นีสเตรียประกอบด้วยศาลระดับต่าง ๆ รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา และศาลท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การยอมรับคำตัดสินของศาลทรานส์นีสเตรียนอกดินแดนนั้นมีจำกัดเนื่องจากสถานะที่ไม่ได้รับการรับรอง
แม้ว่ารัฐธรรมนูญของทรานส์นีสเตรียจะกำหนดให้มีการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายต่าง ๆ แต่ในทางปฏิบัติ ประธานาธิบดีมีอำนาจค่อนข้างมาก และมีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการขาดความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการ การจำกัดเสรีภาพของสื่อมวลชนและภาคประชาสังคม ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาประชาธิปไตยและธรรมาภิบาลในภูมิภาค การเลือกตั้งในทรานส์นีสเตรียไม่ได้รับการยอมรับจากองค์กรระหว่างประเทศส่วนใหญ่ว่าเสรีและเป็นธรรม และถูกมองว่าเป็นแหล่งที่มาของความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากขาดความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของประชาชน
5.2. สถานะระหว่างประเทศ

ทรานส์นีสเตรียมีสถานะเป็นรัฐที่ไม่ได้รับการรับรองในระดับสากล (unrecognized state) รัฐสมาชิกสหประชาชาติทุกประเทศถือว่าทรานส์นีสเตรียเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐมอลโดวาตามกฎหมาย มีเพียงรัฐที่ไม่ได้รับการรับรองหรือได้รับการรับรองอย่างจำกัดอื่น ๆ เท่านั้นที่ให้การรับรองเอกราชของทรานส์นีสเตรีย ได้แก่ อับคาเซีย และเซาท์ออสซีเชีย (ก่อนหน้านี้รวมถึงสาธารณรัฐอาร์ทซัคด้วย จนกระทั่งโดยพฤตินัยแล้วล่มสลายไป)
แม้ว่ารัฐบาลมอลโดวาจะไม่ได้ควบคุมดินแดนทรานส์นีสเตรียโดยตรง แต่ก็ได้ผ่าน "กฎหมายว่าด้วยบทบัญญัติพื้นฐานเกี่ยวกับสถานะทางกฎหมายพิเศษของท้องถิ่นจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำนีสเตอร์" เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2005 ซึ่งกำหนดให้ส่วนหนึ่งของทรานส์นีสเตรีย (ดินแดนของสาธารณรัฐมอลเดเวียพรีดเนสโตรวี ไม่รวมเมืองเบนเดร์และดินแดนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของมอลโดวา) เป็นหน่วยบริหารดินแดนแห่งฝั่งซ้ายแม่น้ำนีสเตอร์ (Administrative-Territorial Units of the Left Bank of the Dniester - ATULBD) ภายในสาธารณรัฐมอลโดวา กฎหมายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอรูปแบบการปกครองตนเองในระดับสูงให้กับทรานส์นีสเตรียภายในรัฐมอลโดวา แต่ทางการทรานส์นีสเตรียปฏิเสธข้อเสนอนี้ โดยยืนกรานในเอกราชของตน
สถานะที่ไม่ได้รับการรับรองนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสิทธิของประชาชนในทรานส์นีสเตรีย เช่น ปัญหาการถือสัญชาติและการเดินทางระหว่างประเทศ ประชากรส่วนใหญ่ในทรานส์นีสเตรียถือสัญชาติมอลโดวา (ประมาณ 300,000-400,000 คน) และจำนวนมากยังถือสัญชาติรัสเซีย (ประมาณ 150,000-200,000 คน) หรือยูเครน (ประมาณ 100,000 คน) หรือแม้กระทั่งโรมาเนีย เพื่อให้สามารถเดินทางและเข้าถึงสิทธิต่าง ๆ ได้ หนังสือเดินทางที่ออกโดยทางการทรานส์นีสเตรียไม่ได้รับการยอมรับในระดับสากล
ความไม่แน่นอนของสถานะทางการเมืองยังส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ การลงทุนจากต่างประเทศ และการเข้าถึงความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศ สถานะทางกฎหมายที่ไม่ชัดเจนทำให้การบังคับใช้กฎหมายและการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเป็นไปได้ยาก และประชาชนมักตกอยู่ในสภาวะที่ขาดความคุ้มครองทางกฎหมายอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นการละเลยสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมือง
5.3. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ทรานส์นีสเตรียดำเนินนโยบายต่างประเทศท่ามกลางการไม่ได้รับการรับรองในระดับสากล โดยมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับรัสเซีย มอลโดวา ยูเครน และรัฐที่ไม่ได้รับการรับรองอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีข้อพิพาทด้านศุลกากรกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ
5.3.1. นโยบายและภาพรวมความสัมพันธ์


นโยบายการต่างประเทศของทรานส์นีสเตรียถูกกำหนดโดยสถานะที่ไม่ได้รับการรับรองในระดับสากล ทำให้ต้องมุ่งเน้นไปที่การรักษาความสัมพันธ์กับประเทศและหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนหรือยอมรับการดำรงอยู่ของตนเอง ความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดคือกับรัสเซีย ซึ่งให้การสนับสนุนทางเศรษฐกิจ การเมือง และการทหารแก่ทรานส์นีสเตรียมาโดยตลอด รวมถึงการประจำการของกองกำลังรักษาสันติภาพรัสเซียในภูมิภาค รัสเซียมองว่าทรานส์นีสเตรียเป็นเครื่องมือในการรักษาอิทธิพลในภูมิภาคและป้องกันการขยายตัวของนาโต
ความสัมพันธ์กับมอลโดวายังคงตึงเครียด แม้จะมีการเจรจาในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการเจรจา 5+2 (ประกอบด้วยมอลโดวา ทรานส์นีสเตรีย รัสเซีย ยูเครน องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE) และผู้สังเกตการณ์จากสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา) เพื่อหาทางออกให้กับความขัดแย้ง แต่ก็ยังไม่บรรลุผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรม มอลโดวามองว่าทรานส์นีสเตรียเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนตน และต้องการให้ทรานส์นีสเตรียกลับมารวมกับมอลโดวาภายใต้รูปแบบการปกครองตนเอง
ความสัมพันธ์กับยูเครนมีความซับซ้อน ก่อนการรุกรานยูเครนโดยรัสเซียในปี 2022 ยูเครนเคยมีบทบาทเป็นคนกลางในการเจรจาและเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญสำหรับทรานส์นีสเตรีย แต่หลังจากการรุกราน ยูเครนได้ปิดพรมแดนกับทรานส์นีสเตรียและมองว่าภูมิภาคนี้เป็นภัยคุกคามความมั่นคงเนื่องจากการปรากฏตัวของกองทหารรัสเซีย
ทรานส์นีสเตรียยังมีความสัมพันธ์กับรัฐที่ไม่ได้รับการรับรองอื่น ๆ เช่น อับคาเซีย และเซาท์ออสซีเชีย (และในอดีตคือสาธารณรัฐอาร์ทซัค) โดยเป็นสมาชิกของชุมชนเพื่อประชาธิปไตยและสิทธิของชาติ (Community for Democracy and Rights of Nations) ซึ่งเป็นกลุ่มของรัฐที่แยกตัวออกมาในพื้นที่หลังสหภาพโซเวียต
ท่าทีของฝ่ายต่าง ๆ ต่อทรานส์นีเตรียมักจะขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ของตนเอง ชาติตะวันตกส่วนใหญ่มองว่าทรานส์นีสเตรียเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขเพื่อเสถียรภาพในภูมิภาค และสนับสนุนบูรณภาพแห่งดินแดนของมอลโดวา ในขณะที่รัสเซียใช้ทรานส์นีสเตรียเป็นเครื่องมือในการต่อรองและรักษาอิทธิพล ประเด็นด้านมนุษยธรรม เช่น สิทธิของประชาชน การเข้าถึงบริการ และผลกระทบจากความขัดแย้ง มักถูกหยิบยกขึ้นมาในการหารือระหว่างประเทศ แต่ก็มักจะถูกบดบังด้วยประเด็นทางการเมืองและความมั่นคง
5.3.2. ข้อพิพาทด้านศุลกากรชายแดน
{{main|ปัญหาศุลกากรชายแดนทรานส์นีสเตรีย}}
ข้อพิพาทด้านศุลกากรชายแดนเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการเมืองของทรานส์นีสเตรียมาอย่างต่อเนื่อง ปัญหาหลักเกี่ยวข้องกับการผ่านแดนและการเก็บภาษีศุลกากรสำหรับสินค้านำเข้าและส่งออกบริเวณชายแดนกับมอลโดวาและยูเครน
ในปี 2006 ยูเครนได้เริ่มใช้กฎระเบียบศุลกากรใหม่ตามข้อตกลงกับมอลโดวา โดยกำหนดให้สินค้าจากทรานส์นีสเตรียที่จะส่งออกผ่านยูเครนต้องมีเอกสารที่ผ่านการดำเนินการจากสำนักงานศุลกากรของมอลโดวาก่อน ทรานส์นีสเตรียและรัสเซียประณามมาตรการนี้ว่าเป็น "การปิดล้อมทางเศรษฐกิจ" ขณะที่สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และOSCE สนับสนุนการดำเนินการของยูเครน เหตุการณ์นี้ทำให้การส่งออกจากทรานส์นีสเตรียลดลงอย่างมาก และทรานส์นีสเตรียตอบโต้ด้วยการปิดกั้นการขนส่งของมอลโดวาและยูเครนที่ชายแดนของตนเป็นเวลาสองสัปดาห์
ข้อพิพาทนี้ยังคงดำเนินมาเป็นระยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมอลโดวาพยายามที่จะรวมระบบศุลกากรของทรานส์นีสเตรียเข้ากับระบบของตนเอง เพื่อให้สอดคล้องกับข้อตกลงทางการค้ากับสหภาพยุโรป (เช่น DCFTA) ในปี 2024 มอลโดวาได้กำหนดให้บริษัทในทรานส์นีสเตรียที่ต้องการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าผ่านมอลโดวาต้องลงทะเบียนและอาจต้องเสียภาษีนำเข้าให้กับมอลโดวาเช่นเดียวกับบริษัทอื่น ๆ ในมอลโดวา
ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีความสำคัญต่อทรานส์นีสเตรีย ซึ่งพึ่งพาการค้ากับต่างประเทศอย่างมาก ผู้ประกอบการในทรานส์นีสเตรียกังวลเกี่ยวกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและความซับซ้อนในการดำเนินธุรกิจ ในขณะที่ทางการทรานส์นีสเตรียมองว่ามาตรการเหล่านี้เป็นการบีบคั้นทางเศรษฐกิจและละเมิดอธิปไตยของตน นอกจากนี้ ข้อพิพาทด้านศุลกากรยังส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน เนื่องจากอาจทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นและจำกัดการเข้าถึงสินค้าบางประเภท ความขัดแย้งเหล่านี้ยังเป็นอุปสรรคต่อความพยายามในการแก้ไขปัญหาสถานะทางการเมืองของทรานส์นีสเตรียโดยรวม
5.4. กฎหมาย
ระบบกฎหมายของทรานส์นีสเตรียมีพื้นฐานมาจากระบบกฎหมายโซเวียตและรัสเซีย โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ซึ่งประกาศใช้ในปี 1995 และมีการแก้ไขเพิ่มเติมหลายครั้ง รัฐธรรมนูญกำหนดโครงสร้างการปกครองแบบสาธารณรัฐแบบกึ่งประธานาธิบดี และรับรองสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพลเมือง
ขอบเขตของกฎหมายหลักครอบคลุมกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและอาญา กฎหมายแรงงาน กฎหมายครอบครัว และกฎหมายปกครอง กฎหมายเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับการปรับปรุงมาจากกฎหมายของสหภาพโซเวียตและรัสเซีย โดยมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับบริบทของทรานส์นีสเตรีย สภาสูงสุดแห่งทรานส์นีสเตรีย (Supreme Council) เป็นองค์กรนิติบัญญัติหลักที่มีหน้าที่ในการออกกฎหมาย
ลักษณะเฉพาะของระบบกฎหมายทรานส์นีสเตรียคือการไม่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งส่งผลให้การบังคับใช้กฎหมายนอกอาณาเขตทรานส์นีสเตรียเป็นไปได้ยาก และสร้างความซับซ้อนในการทำธุรกรรมทางกฎหมายระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีข้อจำกัดในการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรม องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหลายแห่งได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในทรานส์นีสเตรีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเสรีภาพในการแสดงออก การชุมนุม สิทธิของสื่อมวลชน ความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการ และการปฏิบัติต่อผู้เห็นต่างทางการเมืองและชนกลุ่มน้อยทางศาสนา
การที่กฎหมายทรานส์นีสเตรียไม่ได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ ทำให้ประชาชนในทรานส์นีสเตรียอาจเผชิญกับความยากลำบากในการได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายอย่างเต็มที่ในเวทีระหว่างประเทศ และจำกัดการเข้าถึงกลไกการร้องเรียนระหว่างประเทศเมื่อสิทธิของพวกเขาถูกละเมิด ความพยายามในการปฏิรูประบบกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับทรานส์นีสเตรีย
6. การทหาร
สถานการณ์ทางทหารในทรานส์นีสเตรียมีความซับซ้อน โดยเกี่ยวข้องกับทั้งกองกำลังของทรานส์นีสเตรียเองและกองกำลังทหารต่างชาติที่ประจำการอยู่ในภูมิภาค ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในภูมิภาคและสิทธิของพลเรือน
6.1. กองทัพทรานส์นีสเตรีย

กองทัพแห่งสาธารณรัฐมอลเดเวียพรีดเนสโตรวี (Armed Forces of the Pridnestrovian Moldavian Republicภาษาอังกฤษ) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 6 กันยายน 1991 เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของ PMR ตามรัฐธรรมนูญ
ขนาดของกองทัพทรานส์นีสเตรียโดยประมาณอยู่ที่ 4,500-7,500 นาย ประกอบด้วย 4 กองพลน้อยทหารราบยานยนต์ประจำการในตีรัสปอล เบนเดร์ รึบนิตซา และดูเบอซาร์ นอกจากนี้ยังมีกองกำลังสำรองที่สามารถระดมพลได้ประมาณ 15,000-25,000 นาย
โครงสร้างของกองทัพแบ่งออกเป็นทหารบก ทหารอากาศ และหน่วยกำลังภายใน (รวมถึงกองกำลังรักษาความมั่นคงชายแดน)
- ทหารบก เป็นกำลังหลัก มีอาวุธยุทโธปกรณ์สำคัญที่สืบทอดมาจากสมัยโซเวียต รวมถึงรถถัง (ประมาณ 18 คัน เช่น T-64) รถลำเลียงพลหุ้มเกราะ (ประมาณ 107 คัน) ปืนใหญ่สนาม (ประมาณ 73 กระบอก) และหน่วยทำลายรถถัง (ประมาณ 173 หน่วย)
- ทหารอากาศ มีขนาดเล็ก ประกอบด้วยเฮลิคอปเตอร์ เช่น Mi-8 (1 ลำ) และ Mi-24 (1 ลำ) ในอดีตเคยมีเครื่องบินปีกตรึงอย่าง Antonov An-26, Antonov An-2 และ Yakovlev Yak-52 รวมถึงเฮลิคอปเตอร์ Mil Mi-2
ระบบการเกณฑ์ทหารเป็นแบบบังคับสำหรับชายที่มีอายุครบกำหนด
ขีดความสามารถในการปฏิบัติการทางทหารของกองทัพทรานส์นีสเตรียเน้นไปที่การป้องกันดินแดนของตนเองเป็นหลัก แม้ว่าจะมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับกองทัพของประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็ได้รับการฝึกฝนและมีประสบการณ์จากการสู้รบในสงครามทรานส์นีสเตรีย อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงเทคโนโลยีทางทหารที่ทันสมัยและการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ใหม่ ๆ มีข้อจำกัดเนื่องจากสถานะที่ไม่ได้รับการรับรองในระดับสากล
6.2. การประจำการของกองทัพรัสเซีย

การประจำการของกองทัพรัสเซียในทรานส์นีสเตรียเป็นประเด็นสำคัญและเป็นที่ถกเถียงในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและสถานะของภูมิภาค
ภูมิหลังของการประจำการเริ่มต้นขึ้นหลังจากการยุติสงครามทรานส์นีสเตรียในปี 1992 ข้อตกลงหยุดยิงได้กำหนดให้มีกองกำลังรักษาสันติภาพร่วมสามฝ่าย (รัสเซีย มอลโดวา และทรานส์นีสเตรีย) ในเขตความมั่นคง นอกจากนี้ รัสเซียยังคงมีกองกำลังทหารของตนเองประจำการอยู่ ซึ่งเดิมคือส่วนหนึ่งของกองทัพองครักษ์ที่ 14 ของโซเวียต ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น กลุ่มปฏิบัติการกองกำลังรัสเซีย (Operational Group of Russian Forces - OGRF) ขนาดของกองกำลัง OGRF ลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เหลือประมาณ 1,500 นายในช่วงทศวรรษ 2010
เหตุผลทางกฎหมายที่รัสเซียอ้างสำหรับการประจำการกองกำลังคือข้อตกลงหยุดยิงปี 1992 และบทบาทในการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมอลโดวามองว่าการประจำการของกองกำลัง OGRF (นอกเหนือจากส่วนที่เป็นกองกำลังรักษาสันติภาพตามข้อตกลง) เป็นการละเมิดอธิปไตยของมอลโดวา และเรียกร้องให้รัสเซียถอนทหารออกไปมาโดยตลอด
บทบาทของกองกำลังรัสเซียได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จากเดิมที่เป็นกองกำลังสู้รบ ได้กลายเป็นกองกำลังรักษาสันติภาพและผู้พิทักษ์ผลประโยชน์ของรัสเซีย รวมถึงพลเมืองรัสเซียที่อาศัยอยู่ในทรานส์นีสเตรีย นอกจากนี้ กองกำลังรัสเซียยังมีหน้าที่ดูแลคลังแสงอาวุธขนาดใหญ่ที่ตกทอดมาจากสมัยโซเวียตในหมู่บ้านคอบาสนา (Cobasna)
ข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องรวมถึงข้อผูกพันที่รัสเซียทำไว้ในการประชุมสุดยอด OSCE ที่อิสตันบูลปี 1999 ที่จะถอนทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ออกจากมอลโดวา (รวมถึงทรานส์นีสเตรีย) ภายในสิ้นปี 2002 แต่รัสเซียยังไม่ได้ปฏิบัติตามข้อผูกพันนี้อย่างสมบูรณ์ โดยอ้างความจำเป็นในการรักษาสันติภาพและความมั่นคง
ข้อโต้แย้งหลัก ๆ เกี่ยวกับการประจำการของกองทัพรัสเซียคือ รัฐบาลมอลโดวาและหลายประเทศตะวันตกมองว่าเป็นการยึดครองดินแดนของมอลโดวาโดยพฤตินัย และเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทรานส์นีสเตรียอย่างสันติและยั่งยืน รวมถึงเป็นการละเมิดอธิปไตยของมอลโดวา ในเดือนมีนาคม 2022 สมัชชารัฐสภาแห่งสภายุโรป (PACE) ได้ลงมติรับรองว่าทรานส์นีสเตรียเป็นดินแดนที่ถูกยึดครองโดยรัสเซีย
6.3. การควบคุมอาวุธและปัญหาการลดอาวุธ
ปัญหาคลังแสงอาวุธขนาดใหญ่ที่ตกทอดมาจากสมัยโซเวียตในทรานส์นีสเตรียเป็นประเด็นที่น่ากังวลอย่างยิ่งสำหรับความมั่นคงในภูมิภาค คลังแสงหลักตั้งอยู่ที่หมู่บ้านคอบาสนา (Cobasna) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในคลังแสงอาวุธที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันออก โดยมีอาวุธยุทโธปกรณ์ประมาณ 20,000 ตันที่ยังคงหลงเหลืออยู่
ข้อกล่าวหาเรื่องการค้าอาวุธผิดกฎหมายจากทรานส์นีสเตรียเคยเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหลายครั้งในช่วงทศวรรษ 1990 และต้นทศวรรษ 2000 อย่างไรก็ตาม องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE) และสหภาพยุโรปได้ระบุในปี 2005 ว่าไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าทรานส์นีสเตรียมีการค้าอาวุธหรือวัสดุนิวเคลียร์อย่างเป็นระบบ และความกังวลส่วนใหญ่อาจเกิดจากการที่รัฐบาลมอลโดวาพยายามกดดันทางการทรานส์นีสเตรีย รายงานของผู้เชี่ยวชาญจากสหประชาชาติในปี 2007 ก็ระบุว่าหลักฐานการผลิตและค้าอาวุธผิดกฎหมายเข้าและออกจากทรานส์นีสเตรียในอดีตนั้นถูกกล่าวเกินจริง แม้ว่าการค้าอาวุธเบาอาจเคยเกิดขึ้นก่อนปี 2001
กระบวนการหารือเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธและการลดอาวุธตามข้อเรียกร้องของประชาคมระหว่างประเทศยังคงดำเนินอยู่ แต่มีความคืบหน้าน้อยมาก รัสเซียได้ถอนอาวุธยุทโธปกรณ์และกระสุนบางส่วนออกไปในช่วงปี 2000-2003 แต่กระบวนการดังกล่าวหยุดชะงักไปตั้งแต่เดือนมีนาคม 2004 รัสเซียอ้างความจำเป็นในการรักษาความปลอดภัยของคลังแสงและอุปสรรคทางการเมืองในการดำเนินการต่อ ในขณะที่มอลโดวาและชาติตะวันตกเรียกร้องให้รัสเซียปฏิบัติตามข้อผูกพันที่ให้ไว้ในการประชุมสุดยอด OSCE ที่อิสตันบูลปี 1999 ที่จะถอนทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหมดออกจากมอลโดวา
การมีอยู่ของคลังแสงขนาดใหญ่ในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งและสถานะทางการเมืองที่ไม่มั่นคงยังคงเป็นความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการรุกรานยูเครนโดยรัสเซียในปี 2022 ซึ่งทำให้ความตึงเครียดในภูมิภาคเพิ่มสูงขึ้น
7. เขตการปกครอง

ทรานส์นีสเตรียแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 5 เขต (районรายอนภาษารัสเซีย) และ 2 เทศบาลนคร (municipalities) เรียงตามลำดับจากเหนือจรดใต้ (ชื่อในภาษารัสเซียและการทับศัพท์จะอยู่ในวงเล็บ) ดังนี้:
- เขตกามึนกา (Camencaภาษาโรมาเนีย, КаменкаKamensky Districtภาษารัสเซีย)
- ศูนย์กลาง: เมืองกามึนกา (Camenca)
- พื้นที่: 436 km2
- ประชากร (2015): 21,000 คน
- องค์ประกอบทางชาติพันธุ์ (2004): มอลโดวา 47.82%, ยูเครน 42.55%, รัสเซีย 6.89%, อื่น ๆ 2.74%
- เขตรึบนิตซา (Rîbnițaภาษาโรมาเนีย, РыбницаRybnitsky Districtภาษารัสเซีย)
- ศูนย์กลาง: เมืองรึบนิตซา (Rîbnița)
- พื้นที่: 850 km2
- ประชากร (2015): 69,000 คน
- องค์ประกอบทางชาติพันธุ์ (2004): มอลโดวา 29.90%, ยูเครน 45.41%, รัสเซีย 17.22%, อื่น ๆ 7.47%
- เขตดูเบอซาร์ (Dubăsariภาษาโรมาเนีย, ДубоссарыDubossarsky Districtภาษารัสเซีย)
- ศูนย์กลาง: เมืองดูเบอซาร์ (Dubăsari)
- พื้นที่: 381 km2
- ประชากร (2015): 31,000 คน
- องค์ประกอบทางชาติพันธุ์ (2004): มอลโดวา 50.15%, ยูเครน 28.29%, รัสเซีย 19.03%, อื่น ๆ 2.53%
- เขตกริกอรีออปอล (Grigoriopolภาษาโรมาเนีย, ГригориопольGrigoriopolsky Districtภาษารัสเซีย)
- ศูนย์กลาง: เมืองกริกอรีออปอล (Grigoriopol)
- พื้นที่: 822 km2
- ประชากร (2015): 40,000 คน
- องค์ประกอบทางชาติพันธุ์ (2004): มอลโดวา 64.83%, ยูเครน 15.28%, รัสเซีย 17.36%, อื่น ๆ 2.26%
- เขตสลอบอดเซยา (Sloboziaภาษาโรมาเนีย, СлободзеяSlobodzeysky Districtภาษารัสเซีย)
- ศูนย์กลาง: เมืองสลอบอดเซยา (Slobozia)
- พื้นที่: 873 km2
- ประชากร (2015): 84,000 คน
- องค์ประกอบทางชาติพันธุ์ (2004): มอลโดวา 41.51%, ยูเครน 21.71%, รัสเซีย 26.51%, อื่น ๆ 10.27%
เทศบาลนคร (Cities of republican significance):
- นครตีรัสปอล (Tiraspolภาษาโรมาเนีย, Тираспольภาษารัสเซีย)
- เป็นเมืองหลวงและศูนย์กลางการบริหาร
- พื้นที่: 205 km2
- ประชากร (2015): 129,000 คน
- องค์ประกอบทางชาติพันธุ์ (2004): รัสเซีย 41.44%, ยูเครน 32.31%, มอลโดวา 18.41%, อื่น ๆ 7.82%
- นครเบนเดร์ (Bender/Tighinaภาษาโรมาเนีย, Бендерыภาษารัสเซีย)
- ตั้งอยู่บนฝั่งขวา (ตะวันตก) ของแม่น้ำนีสเตอร์ ในทางภูมิศาสตร์อยู่นอกทรานส์นีสเตรีย แต่ถูกควบคุมโดยทางการ PMR และถือเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรบริหารของ PMR
- พื้นที่: 97 km2
- ประชากร (2015): 91,000 คน
- องค์ประกอบทางชาติพันธุ์ (2004): รัสเซีย 43.35%, มอลโดวา 25.03%, ยูเครน 17.98%, อื่น ๆ 13.64%
แต่ละเขตยังแบ่งย่อยออกเป็นเมืองและชุมชน (communes) ลักษณะเฉพาะของแต่ละพื้นที่มักเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบทางชาติพันธุ์และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่น เขตทางตอนเหนือ (กามึนกา, รึบนิตซา) มีประชากรชาวยูเครนและมอลโดวาสูง และมีอุตสาหกรรมหนัก (เช่น โรงงานเหล็กกล้ารึบนิตซา) ในขณะที่เขตทางตอนใต้ (สลอบอดเซยา) มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์มากกว่าและเน้นการเกษตร ตีรัสปอลและเบนเดร์เป็นศูนย์กลางเมืองที่สำคัญ มีประชากรหนาแน่นและเป็นศูนย์กลางการบริหาร เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม
ป้ายทะเบียนรถของทรานส์นีสเตรีย
8. เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของทรานส์นีสเตรียเป็นเศรษฐกิจแบบผสม (mixed economy) ซึ่งผ่านกระบวนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจครั้งใหญ่ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ทำให้บริษัทส่วนใหญ่ในปัจจุบันเป็นของเอกชน โครงสร้างเศรษฐกิจพึ่งพาอุตสาหกรรมหนัก การผลิตไฟฟ้า และการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม ซึ่งรวมกันคิดเป็นประมาณ 80% ของผลผลิตอุตสาหกรรมทั้งหมด อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของทรานส์นีสเตรียเผชิญกับความท้าทายมากมายอันเนื่องมาจากสถานะที่ไม่ได้รับการรับรองในระดับสากล การพึ่งพาการสนับสนุนจากรัสเซีย และผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค
8.1. ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและเศรษฐกิจมหภาค


ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของทรานส์นีสเตรียมีรากฐานมาจากการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่สำคัญของสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตมอลเดเวีย (MSSR) ในสมัยสหภาพโซเวียต ในปี 1990 ภูมิภาคนี้มีสัดส่วนถึง 40% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของมอลโดวา และ 90% ของการผลิตไฟฟ้า แม้ว่าจะมีประชากรเพียง 17% ของทั้งหมด หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตและการประกาศเอกราช ทรานส์นีสเตรียในระยะแรกพยายามที่จะรักษาระบบเศรษฐกิจแบบวางแผน (planned economy) แต่ต่อมาได้เปลี่ยนทิศทางไปสู่เศรษฐกิจแบบตลาด (market economy) ผ่านกระบวนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจครั้งใหญ่ในช่วงปลายทศวรรษ 1990
สถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคในปัจจุบันยังคงเปราะบาง GDP ในปี 2021 อยู่ที่ประมาณ 1.20 B USD และ GDP ต่อหัวอยู่ที่ประมาณ 2.58 K USD ซึ่งต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน อัตราเงินเฟ้อมักจะสูง และภูมิภาคนี้มีหนี้สินจำนวนมาก โดยเฉพาะหนี้ค่าก๊าซธรรมชาติที่ค้างชำระกับก๊าซพรอมของรัสเซีย ซึ่งในปี 2007 มีมูลค่าถึง 1.30 B USD และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การพึ่งพาการสนับสนุนทางเศรษฐกิจจากรัสเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดหาก๊าซธรรมชาติในราคาถูกหรือโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เป็นปัจจัยสำคัญที่ค้ำจุนเศรษฐกิจของทรานส์นีสเตรีย
อย่างไรก็ตาม วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจได้ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 โดยการนำเข้าเพิ่มขึ้น 12% เป็น 1.32 B USD ในขณะที่การส่งออกลดลง 10% เหลือเพียง 346.00 M USD ทำให้เกิดการขาดดุลการค้าถึง 970.00 M USD ซึ่งเกือบเท่ากับ GDP ทั้งปี 2021 ของทรานส์นีสเตรีย สถานการณ์เลวร้ายลงอีกในเดือนมกราคม 2025 เมื่อข้อตกลงการขนส่งก๊าซของรัสเซียผ่านยูเครนหมดอายุลง ส่งผลให้การจ่ายก๊าซไปยังทรานส์นีสเตรียหยุดชะงัก และเกิดวิกฤตพลังงานรุนแรง
นโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญมักมุ่งเน้นไปที่การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคและการดึงดูดการลงทุน แต่ก็เผชิญกับข้อจำกัดจากสถานะที่ไม่ได้รับการรับรอง ผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนค่อนข้างรุนแรง อัตราการว่างงานสูง และมาตรฐานการครองชีพต่ำ สิทธิแรงงานและความเท่าเทียมทางสังคมยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวล
8.2. การค้าต่างประเทศ
การค้าต่างประเทศเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจทรานส์นีสเตรีย แม้ว่าจะเผชิญกับข้อจำกัดจากสถานะที่ไม่ได้รับการรับรองก็ตาม ในปี 2020 กรมศุลกากรทรานส์นีสเตรียรายงานมูลค่าการส่งออกที่ 633.10 M USD และการนำเข้าที่ 1.05 B USD
ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 มากกว่า 50% ของการส่งออกของทรานส์นีสเตรียไปยังกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) โดยมีรัสเซียเป็นตลาดหลัก รวมถึงเบลารุส ยูเครน และมอลโดวา (ซึ่งทางการทรานส์นีสเตรียถือว่าเป็นต่างประเทศ) ตลาดส่งออกนอกกลุ่ม CIS ที่สำคัญ ได้แก่ อิตาลี อียิปต์ กรีซ โรมาเนีย และเยอรมนี สินค้าส่งออกหลักคือเหล็กกล้า ผลิตภัณฑ์สิ่งทอ ไฟฟ้า และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนการนำเข้าส่วนใหญ่มาจากกลุ่ม CIS (มากกว่า 60%) และสหภาพยุโรป (ประมาณ 23%) โดยสินค้านำเข้าหลักคือโลหะที่ไม่ใช่โลหะมีค่า ผลิตภัณฑ์อาหาร และไฟฟ้า
โครงสร้างการค้ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญหลังจากที่มอลโดวาลงนามในความตกลงการสมาคมกับสหภาพยุโรป (EU Association Agreement) ในปี 2014 ซึ่งรวมถึงเขตการค้าเสรีลึกและครอบคลุม (DCFTA) ทรานส์นีสเตรียซึ่งถูกอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของมอลโดวา ได้รับประโยชน์จากการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปโดยปลอดภาษี ส่งผลให้ในปี 2015 สัดส่วนการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นเป็น 27% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด 189.00 M USD ในขณะที่การส่งออกไปยังรัสเซียลดลงเหลือเพียง 7.7% แนวโน้มการเอนเอียงไปทางตลาดยุโรปนี้ยังคงดำเนินต่อไปในปี 2016
การรุกรานยูเครนโดยรัสเซียในปี 2022 และการปิดพรมแดนยูเครน-ทรานส์นีสเตรียโดยฝ่ายยูเครน ทำให้สินค้าทั้งหมดที่จะเข้าหรือออกจากทรานส์นีสเตรียต้องผ่านมอลโดวา ซึ่งหมายความว่าทรานส์นีสเตรียต้องปฏิบัติตามมาตรฐานของมอลโดวาและสหภาพยุโรปในการส่งออกสินค้ามากขึ้น ในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 การส่งออก 48% ไปยังส่วนที่เหลือของมอลโดวา มากกว่า 33% ไปยังสหภาพยุโรป และ 9% ไปยังรัสเซีย ส่วนการนำเข้า 68% มาจากรัสเซีย 14% จากสหภาพยุโรป และ 7% จากมอลโดวา
ผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบศุลกากร (เช่น การที่มอลโดวาเริ่มเก็บภาษีจากบริษัททรานส์นีสเตรียในปี 2024) ได้สร้างความท้าทายเพิ่มเติมให้กับผู้ประกอบการและประชาชนในทรานส์นีสเตรีย
8.3. อุตสาหกรรมหลัก
เศรษฐกิจของทรานส์นีสเตรียพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก โดยมีอุตสาหกรรมหลักหลายประเภทที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ ได้แก่:
- อุตสาหกรรมเหล็กกล้า: อุตสาหกรรมนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมีโรงงานเหล็กกล้ามอลโดวา (Moldova Steel Works หรือ MMZ) ในเมืองรึบนิตซาเป็นหัวใจหลัก โรงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Metalloinvest ของรัสเซีย และมีสัดส่วนรายได้งบประมาณของทรานส์นีสเตรียถึงประมาณ 60% MMZ ผลิตเหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรูปพรรณต่างๆ และส่งออกไปยังหลายประเทศ
- การผลิตไฟฟ้า: ทรานส์นีสเตรียเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาค โดยมีโรงไฟฟ้ากูชูร์กัน (Kuchurgan power station หรือ Moldavskaya GRES) ในเมืองดเนสตรอฟสก์ (Dnestrovsc) เป็นโรงไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุด โรงไฟฟ้านี้เป็นเจ้าของโดยบริษัท Inter RAO UES ของรัสเซีย และผลิตไฟฟ้าส่วนใหญ่ที่ใช้ในมอลโดวา (รวมถึงทรานส์นีสเตรีย) อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียในการผลิตไฟฟ้าเป็นจุดอ่อนสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ด้านพลังงาน
- อุตสาหกรรมสิ่งทอ: บริษัท Tirotex เป็นบริษัทสิ่งทอที่ใหญ่ที่สุดในทรานส์นีสเตรีย และอ้างว่าเป็นบริษัทสิ่งทอที่ใหญ่เป็นอันดับสองในยุโรป Tirotex ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์สิ่งทอหลากหลายประเภท เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน และเสื้อผ้าสำเร็จรูป
- การผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: บริษัท KVINT ซึ่งตั้งอยู่ในตีรัสปอล เป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค ผลิตภัณฑ์หลักคือคอนญัก (brandy) ซึ่งส่งออกไปยังหลายประเทศ นอกจากนี้ยังผลิตไวน์และวอดก้าด้วย
- บริษัทตัวแทนและกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่: กลุ่มบริษัท เชริฟฟ์ (Sheriff) เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลอย่างมากในทรานส์นีสเตรีย ประกอบธุรกิจหลากหลายประเภท ตั้งแต่ซูเปอร์มาร์เก็ต สถานีบริการน้ำมัน โทรคมนาคม สื่อสารมวลชน (สถานีโทรทัศน์ TSV และสถานีวิทยุ INTER-FM) การก่อสร้าง ไปจนถึงสโมสรฟุตบอล เอฟซี เชริฟฟ์ ตีรัสปอล ซึ่งสร้างชื่อเสียงในระดับนานาชาติ
- ภาคการธนาคาร: ภาคการธนาคารในทรานส์นีสเตรียประกอบด้วยธนาคารพาณิชย์ 8 แห่ง รวมถึง Gazprombank
- เกษตรกรรม: แม้ว่าอุตสาหกรรมจะมีความสำคัญ แต่ภาคเกษตรกรรมก็ยังมีบทบาทอยู่ โดยเฉพาะการปลูกพืชผักผลไม้ในเรือนกระจก เช่น มะเขือเทศ ซึ่งเคยเป็นสินค้าส่งออกไปยังรัสเซีย
ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและสวัสดิการแรงงานในภาคอุตสาหกรรมเหล่านี้ยังคงเป็นความท้าทาย การปล่อยมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม และมาตรฐานความปลอดภัยและสวัสดิการของคนงานเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
9. สังคม
สังคมทรานส์นีสเตรียมีลักษณะผสมผสานระหว่างอิทธิพลจากวัฒนธรรมสลาฟ (รัสเซียและยูเครน) และมอลโดวา (โรมาเนีย) โดยมีองค์ประกอบประชากรที่หลากหลาย ศาสนาหลักคือคริสต์นิกายออร์ทอดอกซ์ ระบบการศึกษายังคงใช้มาตรฐานรัสเซียเป็นหลัก สถานการณ์สิทธิมนุษยชนและสภาพแวดล้อมของสื่อยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวล ซึ่งสะท้อนถึงการขาดการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
9.1. ประชากร

ตามการสำรวจสำมะโนประชากรที่จัดทำโดยทางการทรานส์นีสเตรียในปี 2015 จำนวนประชากรทั้งหมดในภูมิภาคอยู่ที่ 475,373 คน ซึ่งลดลง 14.5% เมื่อเทียบกับการสำรวจในปี 2004 (555,347 คน) แนวโน้มประชากรลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 1989 ซึ่งมีประชากรประมาณ 679,000 คน สาเหตุหลักมาจากการมีอัตราการเกิดต่ำและการอพยพย้ายถิ่นออกนอกพื้นที่เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่แน่นอน
ความหนาแน่นของประชากรอยู่ที่ประมาณ 73.5 คนต่อตารางกิโลเมตร อัตราการขยายตัวของเมือง (urbanization rate) อยู่ที่ 69.9% โดยประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองสำคัญ เช่น ตีรัสปอล เบนเดร์ และรึบนิตซา
องค์ประกอบทางชาติพันธุ์ (ตามการสำรวจปี 2015):
- ชาวรัสเซีย: 29.1% (ประมาณ 161,300 คนตามข้อมูลอีกแหล่ง)
- ชาวมอลโดวา: 28.6% (ประมาณ 156,600 คนตามข้อมูลอีกแหล่ง)
- ชาวยูเครน: 22.9% (ประมาณ 126,700 คนตามข้อมูลอีกแหล่ง)
- ชาวบัลแกเรีย: 2.4% (ประมาณ 13,300 คน)
- ชาวกาเกาซ์: 1.1% (ประมาณ 5,700 คน)
- ชาวเบลารุส: 0.5% (ประมาณ 2,800 คน)
- ชาวทรานส์นีสเตรีย (ผู้ที่ระบุตนเองเช่นนั้นเป็นครั้งแรกในการสำรวจปี 2015): 0.2%
- สัญชาติอื่น ๆ: 1.4%
- ไม่ระบุสัญชาติ: ประมาณ 14%
สถานการณ์การใช้ภาษาราชการ: ทรานส์นีสเตรียมีภาษาราชการ 3 ภาษา ได้แก่ ภาษารัสเซีย ภาษามอลโดวา (เขียนด้วยอักษรซีริลลิก) และภาษายูเครน ภาษารัสเซียเป็นภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในการสื่อสารระหว่างชาติพันธุ์และการบริหารราชการ
9.1.1. ผลการสำรวจสำมะโนประชากรในอดีต
การเปลี่ยนแปลงของจำนวนประชากรและองค์ประกอบทางชาติพันธุ์ในทรานส์นีสเตรียสามารถเห็นได้จากผลการสำรวจสำมะโนประชากรในช่วงเวลาต่างๆ:
- ปี 1926 (ในเขต MASSR): องค์ประกอบทางชาติพันธุ์หลักคือ ชาวยูเครน (44.1%), ชาวมอลโดวา/โรมาเนีย (30.1%), ชาวรัสเซีย (13.7%), และชาวยิว
- ปี 1989 (ก่อนการประกาศเอกราช): ประชากรทั้งหมดประมาณ 679,000 คน องค์ประกอบทางชาติพันธุ์หลักคือ ชาวมอลโดวา (39.9%), ชาวยูเครน (28.3%), และชาวรัสเซีย (25.5%) สัดส่วนชาวมอลโดวาลดลง ในขณะที่ชาวรัสเซียเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 1926
- ปี 2004: ประชากรทั้งหมด 555,347 คน องค์ประกอบทางชาติพันธุ์หลักคือ ชาวมอลโดวา (32.1%), ชาวรัสเซีย (30.4%), และชาวยูเครน (28.8%) สัดส่วนชาวมอลโดวาลดลงอีก ในขณะที่สัดส่วนชาวรัสเซียยังคงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
- ปี 2015: ประชากรทั้งหมด 475,373 คน องค์ประกอบทางชาติพันธุ์หลักคือ ชาวรัสเซีย (29.1%), ชาวมอลโดวา (28.6%), และชาวยูเครน (22.9%) สัดส่วนชาวรัสเซียกลายเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดเป็นครั้งแรก (หากไม่นับกลุ่มที่ไม่ระบุสัญชาติ) ในขณะที่สัดส่วนชาวมอลโดวาและยูเครนลดลงเล็กน้อย
แนวโน้มที่เห็นได้ชัดคือจำนวนประชากรโดยรวมลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1989 ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราการเกิดต่ำ การย้ายถิ่นออกนอกพื้นที่เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางองค์ประกอบชาติพันธุ์ ซึ่งสัดส่วนชาวรัสเซียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือคงที่ ในขณะที่สัดส่วนชาวมอลโดวามีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับช่วงต้นศตวรรษที่ 20
9.2. ศาสนา

ศาสนาหลักที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือในทรานส์นีสเตรียคือศาสนาคริสต์นิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 92% ของประชากร ตามสถิติอย่างเป็นทางการของ PMR ศาสนจักรออร์ทอดอกซ์ในทรานส์นีสเตรียอยู่ภายใต้สังฆมณฑลตีรัสปอลและดูเบอซาร์ของคริสตจักรออร์ทอดอกซ์มอลโดวา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรออร์ทอดอกซ์รัสเซีย (เขตอัครบิดรมอสโก) รัฐบาลทรานส์นีสเตรียให้การสนับสนุนการฟื้นฟูและก่อสร้างโบสถ์ออร์ทอดอกซ์ใหม่ ๆ
ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมีผู้นับถือประมาณ 4% ของประชากร ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของทรานส์นีสเตรีย ซึ่งมีชนกลุ่มน้อยชาวโปแลนด์อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
รัฐบาลทรานส์นีสเตรียอ้างว่ามีเสรีภาพทางศาสนาและระบุว่ามีองค์กรและกลุ่มความเชื่อทางศาสนา 114 แห่งที่ได้รับการจดทะเบียนอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่ากลุ่มศาสนาส่วนน้อยบางกลุ่ม โดยเฉพาะพยานพระยะโฮวาและกลุ่มโปรเตสแตนต์บางกลุ่ม ประสบปัญหาในการจดทะเบียนและถูกคุกคาม ในปี 2005 มีรายงานว่ากลุ่มพยานพระยะโฮวาประสบอุปสรรคในการจดทะเบียน และในปี 2007 เครือข่ายการแพร่ภาพคริสเตียน (Christian Broadcasting Network) ซึ่งมีฐานอยู่ในสหรัฐฯ ได้ประณามการประหัตประหารชาวโปรเตสแตนต์ในทรานส์นีสเตรีย สิ่งนี้สะท้อนถึงการขาดการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มศาสนาที่ไม่ใช่กระแสหลัก
นโยบายทางศาสนาของรัฐบาลโดยทั่วไปให้ความสำคัญกับศาสนจักรออร์ทอดอกซ์รัสเซีย และมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อกลุ่มศาสนาส่วนน้อยอย่างเท่าเทียมกัน ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับองค์กรศาสนาต่าง ๆ ยังคงเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนในบริบทของสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพทางศาสนาในภูมิภาค
9.3. การศึกษา
ระบบการศึกษาในทรานส์นีสเตรียยังคงยึดตามมาตรฐานและหลักสูตรของรัสเซียเป็นส่วนใหญ่ ภาษาหลักที่ใช้ในการเรียนการสอนคือภาษารัสเซีย แม้ว่าจะมีโรงเรียนที่ใช้ภาษามอลโดวา (ด้วยอักษรซีริลลิก) และภาษายูเครนอยู่บ้าง โครงสร้างการศึกษาประกอบด้วยระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา
สถาบันอุดมศึกษาหลักในทรานส์นีสเตรียคือ มหาวิทยาลัยแห่งรัฐทรานส์นีสเตรียตารัส เชฟเชนโค (Taras Shevchenko Transnistria State University) ในกรุงตีรัสปอล ซึ่งเปิดสอนในหลากหลายสาขาวิชา อย่างไรก็ตาม ประกาศนียบัตรและปริญญาบัตรที่ออกโดยสถาบันการศึกษาในทรานส์นีสเตรียส่วนใหญ่ไม่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ยกเว้นในรัสเซียและบางประเทศ ส่งผลให้นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาจากทรานส์นีสเตรียอาจประสบปัญหาในการหางานหรือศึกษาต่อในต่างประเทศ โดยเฉพาะในมอลโดวาและประเทศตะวันตก ทำให้รัสเซียกลายเป็นจุดหมายปลายทางหลักสำหรับนักศึกษาและผู้สำเร็จการศึกษา
ประเด็นที่สำคัญและเป็นที่ถกเถียงคือสถานการณ์ของโรงเรียนที่ใช้ภาษาโรมาเนีย (ซึ่งทางการทรานส์นีสเตรียเรียกว่า "ภาษามอลโดวา") ด้วยอักษรละติน มีโรงเรียนเพียงไม่กี่แห่งที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ภาษาและอักษรดังกล่าว และมักเผชิญกับการกดดันและการแทรกแซงจากทางการทรานส์นีสเตรีย กรณีการบังคับปิดโรงเรียนที่ใช้ภาษาโรมาเนียด้วยอักษรละตินในปี 2004 และการปฏิเสธการจดทะเบียนโรงเรียนมัธยมลูเชียน บลากา ในปี 2021 ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศว่าเป็นการละเมิดสิทธิในการศึกษาและการใช้ภาษาแม่ ซึ่งส่งผลกระทบต่ออนาคตของเยาวชนในกลุ่มนี้
การเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมสำหรับทุกกลุ่มชาติพันธุ์และทุกภูมิภาคยังคงเป็นความท้าทาย คุณภาพการศึกษาและทรัพยากรทางการศึกษาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ สภาพแวดล้อมทางการศึกษาโดยรวมได้รับผลกระทบจากสถานะทางการเมืองที่ไม่แน่นอนของทรานส์นีสเตรียและการโดดเดี่ยวในระดับหนึ่งจากประชาคมระหว่างประเทศ
9.4. สิทธิมนุษยชน
สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในทรานส์นีสเตรียเป็นประเด็นที่น่ากังวลและได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและรัฐบาลหลายแห่งมาอย่างต่อเนื่อง องค์กร ฟรีดอมเฮาส์ (Freedom House) ในรายงาน "เสรีภาพในโลก" (Freedom in the World) ปี 2007 ได้จัดให้ทรานส์นีสเตรียเป็นดินแดน "ไม่เสรี" โดยมีสถานการณ์ที่เลวร้ายทั้งในด้านสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพพลเมือง ซึ่งสะท้อนถึงการขาดการปกครองแบบประชาธิปไตยและการละเลยสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
ตามรายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2006 และรายงานอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน ประเด็นสิทธิมนุษยชนที่สำคัญในทรานส์นีสเตรีย ได้แก่:
- การจำกัดสิทธิในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล: ประชาชนมีสิทธิที่จำกัดในการเลือกหรือเปลี่ยนแปลงรัฐบาลของตนเอง การเลือกตั้งมักไม่ได้รับการยอมรับว่าเสรีและเป็นธรรม มีการควบคุมผู้สมัครและการแทรกแซงกระบวนการเลือกตั้ง
- การทรมานและการจับกุมคุมขังโดยพลการ: มีรายงานว่าทางการยังคงใช้การทรมาน การปฏิบัติที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม และการจับกุมคุมขังโดยพลการต่อผู้เห็นต่างทางการเมืองและบุคคลอื่น ๆ
- การจำกัดเสรีภาพในการพูดและสื่อ: สื่อส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลหรือกลุ่มธุรกิจที่ใกล้ชิดกับรัฐบาล สื่ออิสระเผชิญกับการคุกคามและการจำกัดการทำงาน มีกฎหมายที่ลงโทษการวิพากษ์วิจารณ์ภารกิจทางทหารของรัสเซียและนโยบายของรัฐบาล
- การจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมและการสมาคม: ทางการมักไม่อนุญาตให้มีการชุมนุมโดยเสรี และมีการจำกัดการดำเนินงานขององค์กรภาคประชาสังคมอิสระ
- การประหัตประหารกลุ่มศาสนาส่วนน้อย: กลุ่มศาสนาส่วนน้อยบางกลุ่ม โดยเฉพาะพยานพระยะโฮวาและโปรเตสแตนต์บางกลุ่ม ประสบปัญหาในการจดทะเบียนและถูกคุกคาม
- การค้ามนุษย์: ทรานส์นีสเตรียยังคงเป็นแหล่งที่มาและทางผ่านที่สำคัญสำหรับการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก ซึ่งเป็นผลมาจากความยากจนและการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ
- สิทธิของชนกลุ่มน้อยและกลุ่มเปราะบาง: แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะรับรองความเท่าเทียมกัน แต่ในทางปฏิบัติ ชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ (เช่น ผู้ที่ต้องการใช้ภาษาโรมาเนียอักษรละตินในการศึกษา) และกลุ่มเปราะบางอื่น ๆ อาจเผชิญกับการเลือกปฏิบัติหรือการเข้าถึงสิทธิที่จำกัด
- การพัฒนาประชาธิปไตย: การพัฒนาสถาบันประชาธิปไตย หลักนิติธรรม และธรรมาภิบาลยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก อิทธิพลจากภายนอกและการขาดเจตจำนงทางการเมืองในการปฏิรูปเป็นอุปสรรคสำคัญ
ประเด็นเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับปรุงการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและการส่งเสริมประชาธิปไตยในทรานส์นีสเตรีย เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและประกันความเป็นอยู่ที่ดีและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนทุกคนในภูมิภาค
9.4.1. สิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+)
สถานการณ์สิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ในทรานส์นีสเตรียยังคงมีความท้าทายอย่างมากและถูกละเลย ทรานส์นีสเตรียไม่ยอมรับการสมรสของเพศเดียวกันหรือรูปแบบอื่นใดของการเป็นหุ้นส่วนทางกฎหมายสำหรับคู่รักเพศเดียวกัน ประมวลกฎหมายว่าด้วยการสมรสและครอบครัว ซึ่งมีผลบังคับใช้ในปี 2002 กำหนดว่าการสมรสคือการรวมกันโดยสมัครใจระหว่างชายและหญิงเท่านั้น และไม่ได้ให้การยอมรับการเป็นหุ้นส่วนในรูปแบบอื่นใดสำหรับทั้งคู่รักต่างเพศและเพศเดียวกันนอกเหนือจากการสมรส
การรับรู้ทางสังคมต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศโดยทั่วไปยังคงเป็นไปในทางลบ และมีการเลือกปฏิบัติอย่างกว้างขวางในด้านต่าง ๆ เช่น การจ้างงาน ที่อยู่อาศัย และการเข้าถึงบริการสาธารณะ ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศมักต้องปิดบังอัตลักษณ์ทางเพศของตนเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกประณาม คุกคาม หรือแม้กระทั่งความรุนแรง ไม่มีกฎหมายที่คุ้มครองการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของรสนิยมทางเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศ ทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาวะเปราะบางและขาดการคุ้มครองทางกฎหมาย
ความพยายามในการส่งเสริมสิทธิและความเท่าเทียมสำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศในทรานส์นีสเตรียยังมีจำกัดมาก องค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านนี้มีน้อยและเผชิญกับข้อจำกัดในการดำเนินงานอย่างรุนแรงจากทางการ พื้นที่สำหรับการแสดงออกและการรวมกลุ่มของผู้มีความหลากหลายทางเพศมีน้อยมาก สถานการณ์โดยรวมสะท้อนถึงการขาดการยอมรับ การตีตราทางสังคม และการขาดความคุ้มครองทางกฎหมายสำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งเป็นประเด็นที่องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศให้ความสนใจและเรียกร้องให้มีการปรับปรุงอย่างเร่งด่วน เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชนสากล
9.4.2. สื่อมวลชน
สถานการณ์ของสื่อมวลชนในทรานส์นีสเตรียถูกจำกัดและควบคุมอย่างเข้มงวดโดยทางการ ซึ่งเป็นการบั่นทอนเสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน ตามรายงานขององค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE) และองค์กรสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ ทางการทรานส์นีสเตรียยังคงดำเนินนโยบายปิดปากเสียงของฝ่ายค้านอิสระและกลุ่มต่าง ๆ ที่มีความเห็นแตกต่าง
สื่อหลักส่วนใหญ่ ทั้งหนังสือพิมพ์ สถานีวิทยุและโทรทัศน์ อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลหรือกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ เชริฟฟ์ (Sheriff) ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลและมีอิทธิพลอย่างมากในสภานิติบัญญัติ สื่อเหล่านี้มักนำเสนอข่าวสารและมุมมองที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และจำกัดการรายงานข่าวเชิงวิพากษ์วิจารณ์ สถานีโทรทัศน์ TSV และสถานีวิทยุ INTER-FM เป็นตัวอย่างของสื่อที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของเชริฟฟ์
เสรีภาพสื่อถูกจำกัดอย่างมาก สื่ออิสระ (หากมี) เผชิญกับการคุกคาม การเซ็นเซอร์ และอุปสรรคในการดำเนินงาน นักข่าวที่รายงานข่าวเชิงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือสถานการณ์ในทรานส์นีสเตรียอาจเผชิญกับการกลั่นแกล้งหรือการดำเนินคดี ในปี 2005 สภาสูงสุดของทรานส์นีสเตรียได้แก้ไขกฎหมายการเลือกตั้งเพื่อห้ามสื่อที่ควบคุมโดยทางการเผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นและการคาดการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ซึ่งยิ่งเป็นการจำกัดการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นกลางของประชาชน และเป็นการปิดกั้นการตรวจสอบจากสาธารณะ
การเข้าถึงแหล่งข้อมูลข่าวสารทางอินเทอร์เน็ตอาจเปิดกว้างกว่า แต่ก็ยังคงมีการจับตามองและอาจมีการปิดกั้นเนื้อหาที่ถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ สภาพแวดล้อมของสื่อโดยรวมในทรานส์นีสเตรียไม่เอื้อต่อการรายงานข่าวที่เป็นกลางและหลากหลาย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจทางการเมือง
9.4.3. ปัญหาโรงเรียนที่ใช้ภาษาโรมาเนีย
ปัญหาโรงเรียนที่ใช้ภาษาโรมาเนีย (ซึ่งทางการทรานส์นีสเตรียเรียกว่า "ภาษามอลโดวา") ด้วยอักษรละติน เป็นความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์และประเด็นสิทธิมนุษยชนที่สำคัญในทรานส์นีสเตรียมายาวนาน ภูมิหลังของปัญหานี้เกี่ยวข้องกับความพยายามของทางการทรานส์นีสเตรียที่จะส่งเสริมอัตลักษณ์ที่แตกต่างจากมอลโดวา และการใช้ภาษามอลโดวาที่เขียนด้วยอักษรซีริลลิกเป็นภาษาราชการหนึ่ง
ในขณะที่มอลโดวาเปลี่ยนกลับไปใช้อักษรละตินสำหรับภาษาโรมาเนีย/มอลโดวาในปี 1989 ทรานส์นีสเตรียยังคงยืนกรานให้ใช้อักษรซีริลลิกสำหรับ "ภาษามอลโดวา" ในระบบการศึกษาของตน โรงเรียนที่ต้องการจัดการเรียนการสอนเป็นภาษาโรมาเนียด้วยอักษรละติน ซึ่งสอดคล้องกับหลักสูตรของมอลโดวา เผชิญกับการต่อต้านและอุปสรรคจากทางการทรานส์นีสเตรีย มีโรงเรียนเพียงไม่กี่แห่ง (ประมาณ 6-8 แห่ง) ที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการในลักษณะนี้ และมักถูกมองว่าเป็น "โรงเรียนเอกชน" และต้องเผชิญกับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด
สถานการณ์การดำเนินงานของโรงเรียนเหล่านี้เต็มไปด้วยความยากลำบาก ในปี 2004 ทางการทรานส์นีสเตรียได้พยายามบังคับปิดโรงเรียนเหล่านี้ 4 แห่ง โดยอ้างว่าไม่ยอมยื่นขอใบอนุญาตอย่างเป็นทางการ เหตุการณ์นี้จุดชนวนให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการทูตและได้รับการประณามจากประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE) และสหภาพยุโรป ว่าเป็นการละเมิดสิทธิในการศึกษาและสิทธิทางวัฒนธรรม ในที่สุดโรงเรียนเหล่านี้ก็สามารถเปิดดำเนินการต่อได้ในฐานะโรงเรียนเอกชน หลังจากการกดดันจากนานาชาติ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาการคุกคาม การแทรกแซง และการสร้างอุปสรรคต่อการดำเนินงานของโรงเรียนเหล่านี้ยังคงมีอยู่ OSCE ได้เรียกร้องให้ทางการท้องถิ่นในเมืองรึบนิตซาคืนอาคารที่ถูกยึดไปให้กับโรงเรียนที่ใช้ภาษาโรมาเนียด้วยอักษรละติน ครูใหญ่และเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนเหล่านี้ เช่น อียอน ยอฟเชฟ (Ion Iovcev) ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชนและวิพากษ์วิจารณ์ระบอบการปกครองในทรานส์นีสเตรีย มักเผชิญกับการข่มขู่และการกลั่นแกล้ง ในเดือนสิงหาคม 2021 ทางการทรานส์นีสเตรียปฏิเสธที่จะจดทะเบียนโรงเรียนมัธยมลูเชียน บลากา (Lucian Blaga High School) ในกรุงตีรัสปอล และบังคับให้ระงับกิจกรรมเป็นเวลาสามเดือน ซึ่งส่งผลกระทบต่อนักเรียนและถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
ประเด็นสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาแม่ในการศึกษาเป็นหัวใจสำคัญของความขัดแย้งนี้ การจำกัดการใช้ภาษาโรมาเนียด้วยอักษรละตินถูกมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิทางวัฒนธรรมและภาษาของชุมชนที่พูดภาษาโรมาเนียในทรานส์นีสเตรีย และเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการแบ่งแยกทรานส์นีสเตรียออกจากมอลโดวา ซึ่งส่งผลเสียต่ออนาคตทางการศึกษาและโอกาสของเยาวชนกลุ่มนี้
9.5. วันหยุดราชการ
ทรานส์นีสเตรียมีวันหยุดราชการที่สำคัญหลายวัน ซึ่งสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ และวัฒนธรรมของภูมิภาคนี้ วันหยุดเหล่านี้บางส่วนสืบทอดมาจากสมัยสหภาพโซเวียต ในขณะที่บางส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อตั้งและการประกาศเอกราชของทรานส์นีสเตรียเอง วันหยุดราชการที่สำคัญ ได้แก่:
- 1-2 มกราคม: วันขึ้นปีใหม่ (Новый Годภาษารัสเซีย) (เป็นวันหยุดสองวันมาตั้งแต่ปี 2006)
- 7 มกราคม: คริสต์มาส (ตามปฏิทินออร์ทอดอกซ์) (Рождество Христовоภาษารัสเซีย)
- 23 กุมภาพันธ์: วันผู้พิทักษ์ปิตุภูมิ (День защитника Отечестваภาษารัสเซีย)
- 8 มีนาคม: วันสตรีสากล (Международный женский деньภาษารัสเซีย)
- 1-2 พฤษภาคม: วันแรงงานสากล (День солидарности трудящихсяภาษารัสเซีย)
- 9 พฤษภาคม: วันแห่งชัยชนะ (День Победыภาษารัสเซีย) (รำลึกถึงชัยชนะเหนือนาซีเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่สอง)
- 2 กันยายน: วันสาธารณรัฐ (День Республикиภาษารัสเซีย) (รำลึกถึงการประกาศเอกราชของทรานส์นีสเตรียในปี 1990)
- 7 พฤศจิกายน: วันแห่งการปฏิวัติสังคมนิยมเดือนตุลาคมผู้ยิ่งใหญ่ (День Великой Октябрьской социалистической революцииภาษารัสเซีย) (ในอดีต)
- 24 ธันวาคม: วันรัฐธรรมนูญ (День конституцииภาษารัสเซีย) (เริ่มตั้งแต่ปี 1996)
- 25 ธันวาคม: คริสต์มาส (ตามปฏิทินเกรกอเรียน) (Рождество Христово по григорианскому календарюภาษารัสเซีย)
วันหยุดเหล่านี้มักมีการเฉลิมฉลองด้วยกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ขบวนพาเหรด การแสดงทางวัฒนธรรม และพิธีการทางทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันสาธารณรัฐและวันแห่งชัยชนะ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออัตลักษณ์ของทรานส์นีสเตรีย
10. กีฬา
ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในทรานส์นีสเตรีย สโมสรฟุตบอลที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ สโมสรฟุตบอลเชริฟฟ์ตีรัสปอล (FC Sheriff Tiraspol) ซึ่งก่อตั้งโดยกลุ่มบริษัทเชริฟฟ์ สโมสรนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากในการแข่งขันลีกสูงสุดของมอลโดวา และสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นทีมแรกจากมอลโดวาที่ผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาล 2021-2022 ความสำเร็จนี้ทำให้ทรานส์นีสเตรียเป็นที่รู้จักในวงการกีฬาระดับนานาชาติมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานะที่ไม่ได้รับการรับรองของทรานส์นีสเตรีย สโมสรกีฬาและนักกีฬาจากภูมิภาคนี้จึงต้องลงทะเบียนและแข่งขันในนามของมอลโดวาในการแข่งขันระดับนานาชาติ ในปี 2022 ยูฟ่า (UEFA) ได้สั่งห้ามสโมสรเชริฟฟ์ ตีรัสปอล ไม่ให้ลงเล่นเกมเหย้าในการแข่งขันระดับยุโรปในสนามของตนเองในทรานส์นีสเตรีย เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยอันเนื่องมาจากความขัดแย้งในยูเครนที่อยู่ใกล้เคียง
นอกจากฟุตบอลแล้ว กีฬาประเภทอื่น ๆ เช่น บาสเกตบอล วอลเลย์บอล และมวย ก็ได้รับความนิยมในระดับหนึ่งเช่นกัน มีการจัดการแข่งขันกีฬาท้องถิ่นและระดับภูมิภาค แต่การเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติอย่างเป็นทางการในนามของทรานส์นีสเตรียยังคงเป็นไปไม่ได้เนื่องจากข้อจำกัดทางการเมือง