1. ชีวิตช่วงต้นและฐานะกษัตริย์
ซีเมออนทรงมีชีวิตช่วงต้นที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่การประสูติในฐานะเจ้าชายแห่งราชวงศ์บัลแกเรีย การขึ้นครองราชย์ในวัยเยาว์ภายใต้คณะผู้สำเร็จราชการ ไปจนถึงการเสด็จลี้ภัยออกจากประเทศหลังจากการสิ้นสุดของระบอบกษัตริย์
1.1. การประสูติและวัยเยาว์


ซีเมออน บอรีซอฟ ซักสโกบูร์กกอตสกี ประสูติเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1937 ณ พระราชวังซาร์สกา ในกรุงโซเฟีย ราชอาณาจักรบัลแกเรีย พระองค์เป็นพระโอรสในพระเจ้าซาร์บอริสที่ 3 แห่งบัลแกเรีย และเจ้าหญิงจีโอวันนาแห่งซาวอย พระราชมารดาของพระองค์เป็นพระธิดาของสมเด็จพระเจ้าวิกเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 แห่งอิตาลี และพระราชินีเอเลนาแห่งอิตาลี ทำให้ซีเมออนมีสายเลือดจากราชวงศ์ซาวอยแห่งอิตาลี และราชวงศ์มอนเตเนโกร ส่วนฝ่ายพระบิดาคือราชวงศ์ซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา-โคฮารี ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของราชวงศ์ซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา ที่มีบทบาทสำคัญในราชวงศ์ยุโรปหลายแห่ง เช่น เบลเยียมและสหราชอาณาจักร พระองค์เป็นพระบุตรรวมเพียงสองพระองค์ โดยมีพระเชษฐภคินีคือเจ้าหญิงมารี หลุยส์แห่งบัลแกเรีย ไม่มีพระอนุชาหรือพระขนิษฐา
หลังจากประสูติ พระเจ้าซาร์บอริสที่ 3 ได้ส่งนายทหารจากกองทัพอากาศไปยังแม่น้ำจอร์แดนเพื่อนำน้ำมาประกอบพิธีบัพติศมาแก่เจ้าชายซีเมออนตามนิกายออร์ทอดอกซ์
1.2. การขึ้นครองราชย์และคณะผู้สำเร็จราชการ
ซีเมออนขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าซาร์แห่งบัลแกเรียในพระนามซีเมออนที่ 2 เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 1943 หลังจากพระราชบิดาเสด็จสวรรคตอย่างกะทันหันและเป็นปริศนา หลังจากที่พระองค์เพิ่งเสด็จกลับจากการเข้าพบอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ในเยอรมนี ในขณะนั้น พระองค์มีพระชนมายุเพียง 6 พรรษาเท่านั้น
เนื่องจากพระองค์ยังทรงพระเยาว์มาก จึงมีการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ขึ้น ประกอบด้วยเจ้าชายคิริลแห่งบัลแกเรียผู้เป็นพระปิตุลา, นายกรัฐมนตรีบอซดัน ฟิลอฟ และพลโทนิโคลา มิฮอฟแห่งกองทัพบัลแกเรีย ซีเมออนทรงเล่าถึงเหตุการณ์ในวัยเยาว์ว่า: "ฉันจำได้ว่า เมื่ออายุประมาณ 5 ขวบ วันหนึ่งขณะเล่นอยู่กับมารี หลุยส์ พระพี่นาง ราชองครักษ์เข้ามาหาฉัน โดยใช้สรรพนามแปลก ๆ เขาเรียกฉันเป็นภาษาอังกฤษว่า "Your Majesty" และบอกว่า "The King is Dead, Long Live the King" หมายความว่า ทูลกระหม่อมพ่อของฉันสวรรคต และฉันได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว จากนั้นเสด็จอาก็มาพาเราไปโซเฟียเพื่อถวายบังคมพระบรมศพ"
ภายใต้รัชสมัยของพระเจ้าซาร์บอริสที่ 3 บัลแกเรียได้เข้าร่วมฝ่ายอักษะในสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ยังคงรักษาสัมพันธภาพทางการทูตกับสหภาพโซเวียตได้ อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1944 โจเซฟ สตาลินได้ประกาศสงครามกับบัลแกเรียอย่างเป็นทางการ และสามวันต่อมา กองทัพแดงได้เข้ายึดครองประเทศโดยไม่พบการต่อต้านใด ๆ ในวันถัดมาคือวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1944 เจ้าชายคิริลและคณะผู้สำเร็จราชการคนอื่น ๆ ถูกรัฐประหารที่ได้รับการสนับสนุนจากโซเวียตและถูกจับกุม คณะผู้สำเร็จราชการทั้งสาม รวมถึงสมาชิกของรัฐบาลสามชุดสุดท้าย สมาชิกรัฐสภา ผู้นำกองทัพ และนักข่าวที่มีชื่อเสียง ถูกคอมมิวนิสต์ประหารชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1947
1.3. การลี้ภัย

หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว สมาชิกราชวงศ์ที่เหลือ ประกอบด้วยพระราชินีจีโอวันนา พระองค์ซีเมออนที่ 2 เจ้าหญิงมารี หลุยส์แห่งบัลแกเรีย และเจ้าหญิงยูโดเซียแห่งบัลแกเรีย ได้รับอนุญาตให้พำนักอยู่ที่พระราชวังวรานาใกล้กรุงโซเฟีย ขณะที่คณะผู้สำเร็จราชการชุดใหม่ซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ทั้งหมดได้รับการแต่งตั้ง ได้แก่ โทดอร์ ปัฟลอฟ, เวเนลิน กาเนฟ และซเวตโก บอโบเชฟสกี พระราชินีจีโอวันนาทรงบันทึกถึงเหตุการณ์ในช่วงนั้นว่า "ทหารโซเวียตในครั้งนั้นได้มีความสนุกจากการไล่ยิงพสกนิกรในทุก ๆ ที่ที่นอกเหนือจากได้รับคำสั่งจากคณะรัฐบาล ซึ่งตอนนั้นฉันกำลังเดินกับลูก ๆ อยู่ที่ที่นั้น"
ในวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1946 มีการลงประชามติจัดขึ้นต่อหน้ากองทัพโซเวียต เพื่อเสนอให้ยกเลิกระบอบกษัตริย์และประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐ ตัวเลขอย่างเป็นทางการระบุว่ามีผู้เห็นด้วยถึง 95.6% ที่จะยุติระบอบกษัตริย์ที่ดำเนินมา 68 ปี อย่างไรก็ตาม การลงประชามติดังกล่าวได้ละเมิดรัฐธรรมนูญทาร์โนโว ซึ่งระบุว่าการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองของรัฐสามารถกระทำได้โดยสมัชชาแห่งชาติที่เรียกประชุมโดยองค์พระเจ้าซาร์เท่านั้น
ในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1946 ราชวงศ์ถูกบังคับให้เสด็จลี้ภัยออกจากบัลแกเรีย โดยได้รับอนุญาตให้นำทรัพย์สินติดตัวไปได้จำนวนมาก ราชวงศ์ได้เสด็จไปยังอะเล็กซานเดรีย อียิปต์ ซึ่งเป็นที่ประทับของพระเจ้าวิกเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 ผู้เป็นพระอัยกาของซีเมออน ซึ่งประทับอยู่ที่นั่นภายหลังจากการลี้ภัยออกจากอิตาลี พระราชวงศ์บัลแกเรียมีชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างยากลำบากในอียิปต์ โดยมีทรัพย์สินเพียงพระองค์ละ 200 USD เท่านั้น ซีเมออนทรงสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยวิกตอเรียในอะเล็กซานเดรียในปี ค.ศ. 1951 โดยทรงศึกษาพร้อมกับมกุฎราชกุมารเลกาแห่งแอลเบเนีย ซีเมออนทรงเล่าถึงการลี้ภัยในอียิปต์ว่า: "ทำไมจึงต้องเป็นอียิปต์ ก็เพราะพระเจ้าวิกเตอร์ เอ็มมานูเอลและพระราชินีเอเลนาแห่งอิตาลี ตายายของฉันลี้ภัยอยู่ที่นั่น ฉันเรียนชั้นประถมที่วิกตอเรียคอลเลจ โรงเรียนชั้นดีของอียิปต์ ที่อะเล็กซานเดรีย มีเพื่อนร่วมชั้นคือเจ้าชายฮุสเซน บิน ตะลาล ซึ่งต่อมาได้เป็นกษัตริย์แห่งจอร์แดน"
หลังจากที่พระเจ้าวิกเตอร์ เอ็มมานูเอลผู้เป็นพระอัยกาเสด็จสวรรคต พระราชินีจีโอวันนาทรงได้รับมรดก ทำให้ฐานะทางการเงินของราชวงศ์ดีขึ้นมาก ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1951 จอมพลฟรันซิสโก ฟรังโกผู้นำสเปน ได้ถวายที่ลี้ภัยแก่ราชวงศ์บัลแกเรีย และราชวงศ์ได้ย้ายไปประทับที่มาดริด สเปน ในปี ค.ศ. 1954 ซีเมออนได้เข้าร่วม "การล่องเรือของกษัตริย์" ที่จัดโดยสมเด็จพระราชาธิบดีปอลที่ 1 แห่งกรีซ และพระราชินีเฟเดริกา ซึ่งมีพระราชวงศ์กว่า 100 พระองค์จากทั่วทวีปยุโรปเข้าร่วม
2. การศึกษาและชีวิตส่วนตัว
ซีเมออนทรงใช้ชีวิตในช่วงลี้ภัยเพื่อแสวงหาความรู้และสร้างรากฐานชีวิตส่วนตัว พระองค์ทรงมุ่งมั่นในการศึกษา การฝึกฝนทางทหาร และการประกอบอาชีพในธุรกิจ ก่อนจะเข้าสู่การสมรสและมีครอบครัว
2.1. การศึกษาและการฝึกทางทหาร
ในมาดริด ซีเมออนทรงศึกษาที่โรงเรียนมัธยมลีเซฟร็องแซ อย่างไรก็ตาม บันทึกบางแหล่งระบุว่าพระองค์ทรงศึกษายังไม่สำเร็จ ในวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1955 เมื่อมีพระชนมายุ 18 พรรษา ตามรัฐธรรมนูญทาร์โนโว พระองค์ได้ทรงประกาศต่อชาวบัลแกเรียว่า พระองค์ยังคงเป็นพระเจ้าซาร์แห่งบัลแกเรียและยืนยันพระประสงค์ที่จะเป็นพระเจ้าซาร์ของชาวบัลแกเรียทุกคน โดยจะปฏิบัติตามหลักการที่ตรงกันข้ามกับระบอบคอมมิวนิสต์ที่ปกครองบัลแกเรียอยู่ในขณะนั้น
ในปี ค.ศ. 1958 พระองค์ทรงสมัครเข้าศึกษาที่วิทยาลัยและสถาบันการทหารวัลเลย์ฟอร์จในสหรัฐอเมริกา ซึ่งพระองค์เป็นที่รู้จักในนาม "นักเรียนนายร้อยริลสกี หมายเลข 6883" และทรงสำเร็จการศึกษาในตำแหน่งร้อยตรี หลังจากนั้น ระหว่างปี ค.ศ. 1959 ถึง ค.ศ. 1962 พระองค์ได้เสด็จกลับสเปนอีกครั้งเพื่อศึกษากฎหมายและบริหารธุรกิจ
2.2. อาชีพนักธุรกิจ
หลังจากสำเร็จการศึกษา ซีเมออนทรงผันตัวมาเป็นนักธุรกิจ พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งประธานบริษัททอมสัน เอสเอ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของกลุ่มธุรกิจป้องกันประเทศและอิเล็กทรอนิกส์ของฝรั่งเศสในประเทศสเปน เป็นระยะเวลา 13 ปี นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงเป็นที่ปรึกษาในภาคส่วนธนาคาร, โรงแรม, อิเล็กทรอนิกส์ และจัดเลี้ยง พระองค์เคยพยายามจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ
2.3. การสมรสและบุตร
ในวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 1962 ซีเมออนทรงอภิเษกสมรสกับมาร์การิตา โกเมซ-อาเซโบ อี เซฮูเอลา สตรีสูงศักดิ์ชาวสเปน การอภิเษกสมรสครั้งนี้ไม่ได้เป็นไปโดยง่าย เนื่องจากพระองค์ทรงนับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์ทอดอกซ์ ในขณะที่พระชายาทรงนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ซีเมออนต้องเสด็จเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาถึงสามครั้ง กว่าจะทรงได้รับอนุญาตให้จัดพิธีอภิเษกสมรสได้ โดยมีข้อแม้ให้จัดพิธีในโบสถ์ของทั้งสองนิกาย
ทั้งสองพระองค์มีพระบุตรรวม 5 พระองค์ เป็นพระโอรส 4 พระองค์ และพระธิดา 1 พระองค์ ซึ่งปัจจุบันทั้งหมดทรงอภิเษกสมรสกับชาวสเปน พระโอรสทั้งหมดได้รับพระนามตามพระเจ้าซาร์บัลแกเรีย ส่วนพระธิดามีพระนามเป็นภาษาบัลแกเรีย แม้ว่าจะมีพระราชนัดดาเพียง 4 พระองค์จากทั้งหมด 11 พระองค์ที่มีพระนามเป็นภาษาบัลแกเรีย (คือ บอริส, โซเฟีย, มีร์โก และซีเมออน)
- คาร์ดัม เจ้าชายแห่งทาร์โนโว (ค.ศ. 1962 - 7 เมษายน ค.ศ. 2015) ทรงอภิเษกสมรสกับมิเรียม อุงเกรีย อี โลเปซ มีพระโอรส 2 พระองค์ คือ บอริส และเบลตรัน
- คิริล เจ้าชายแห่งเพรซลาฟ (ประสูติ ค.ศ. 1964) ทรงอภิเษกสมรสกับมารีอา เดล โรซาริโอ นาดาล อี ฟุสเตร์ เด ปุยช์ดอร์ฟิลา มีพระธิดา 2 พระองค์ คือ มาฟัลดา, โอลิมปิอา และพระโอรส 1 พระองค์ คือทัสซิโล
- คูบราต เจ้าชายแห่งปานาจูรีชเต (ประสูติ ค.ศ. 1965) ทรงอภิเษกสมรสกับคาร์ลา มารีอา เด ลา โซเลดัด โรโย-วิยาโนบา อี อูเรสตาราซู มีพระโอรส 3 พระองค์ คือ มีร์โก, ลูกาส และตีร์โซ
- คอนสตันติน-อาเซน เจ้าชายแห่งวิดิน (ประสูติ ค.ศ. 1967) ทรงอภิเษกสมรสกับมารีอา กราเซีย เด ลา ราซิลยา อี กอร์ตาซาร์ มีพระโอรสและพระธิดาฝาแฝด คือ อุมแบร์โต และโซเฟีย
- คาลินา เจ้าหญิงแห่งบัลแกเรีย (ประสูติ ค.ศ. 1972) ทรงอภิเษกสมรสกับคิติน มูญอซ มีพระโอรส 1 พระองค์ คือ ซีเมออน ฮัสซัน มูญอซ
3. การกลับคืนสู่บัลแกเรียและบทบาททางการเมือง
ภายหลังการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ ซีเมออนได้เสด็จกลับบัลแกเรียและเริ่มต้นบทบาทใหม่ทางการเมืองในฐานะนายกรัฐมนตรี ทรงนำพาประเทศสู่การปฏิรูปและประชาธิปไตย
3.1. การเดินทางกลับสู่บัลแกเรีย
ในปี ค.ศ. 1990 เพียงไม่กี่เดือนหลังจากการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ซีเมออนได้รับหนังสือเดินทางบัลแกเรียฉบับใหม่ และในปี ค.ศ. 1996 ซึ่งเป็นปีครบรอบ 50 ปีของการยกเลิกระบอบกษัตริย์ พระองค์ได้เสด็จกลับมายังบัลแกเรีย การกลับมาของพระองค์ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากฝูงชนจำนวนมากในหลายพื้นที่ โดยบางครั้งผู้คนก็ตะโกนว่า "เราต้องการกษัตริย์!"
ในช่วงแรก พระองค์ไม่ได้แสดงท่าทีหรือประกาศทางการเมืองใด ๆ และในการสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ในปี ค.ศ. 1990 พระองค์ได้ปฏิเสธที่จะเรียกร้องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินใด ๆ ของรัฐ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ความรู้สึกที่ดีของสังคมที่มีต่อพระองค์ค่อย ๆ ลดลง เนื่องจากซีเมออนได้เริ่มดำเนินการทวงคืนพื้นที่และอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากในบัลแกเรียที่เคยอยู่ภายใต้การบริหารของราชวงศ์ก่อนปี ค.ศ. 1945 ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงได้รับพระราชวังวรานาและพระราชวังซาร์สกา บิสทริตสาคืนมา แต่พระองค์ก็ทรงรับทรัพย์สินเพียงบางส่วนและมอบส่วนที่เหลือคืนแก่รัฐบาลเพื่อเป็นสมบัติของประชาชน
การเสด็จกลับประเทศของพระองค์เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของการเป็นประชาธิปไตยหลังจากการการปฏิวัติในยุโรปตะวันออก ความคาดหวังที่มีต่อซีเมออนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสถานะอดีตกษัตริย์และประสบการณ์ในฐานะนักธุรกิจจากโลกตะวันตก
3.2. การก่อตั้งพรรค NMSP
ในปี ค.ศ. 2001 ซีเมออนซึ่งในขณะนั้นได้ใช้ชื่อว่า ซีเมออน บอรีซอฟ ซักสโกบูร์กกอตสกี ได้ประกาศเจตจำนงที่จะกลับมายังบัลแกเรียเพื่อก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ ชื่อว่า ขบวนการแห่งชาติเพื่อซีเมออนที่ 2 (National Movement Simeon IIภาษาอังกฤษ) ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น ขบวนการแห่งชาติเพื่อความมั่นคงและความก้าวหน้า (National Movement for Stability and ProgressNMSPภาษาอังกฤษ) โดยพรรคมีเป้าหมายหลักคือ "การปฏิรูปและความซื่อสัตย์ทางการเมือง" ซีเมออนได้ให้คำมั่นสัญญาว่าภายใน 800 วัน ชาวบัลแกเรียจะสัมผัสได้ถึงผลกระทบเชิงบวกที่ชัดเจนจากรัฐบาลของพระองค์ และจะมีมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
3.3. การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี


พรรค NMSP ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งรัฐสภาเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 2001 โดยคว้าได้ถึง 120 ที่นั่งจากทั้งหมด 240 ที่นั่งในรัฐสภาบัลแกเรีย เอาชนะพรรคการเมืองใหญ่สองพรรคที่มีอยู่เดิม ซีเมออนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีบัลแกเรียในวันที่ 24 กรกฎาคม โดยทรงจัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับขบวนการเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (MRF) ซึ่งเป็นพรรคของกลุ่มชาติพันธุ์เติร์ก พระองค์ทรงมอบตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลของพระองค์ส่วนใหญ่ให้แก่นักเทคนิคและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับการศึกษาจากโลกตะวันตก
ในช่วงที่พระองค์ดำรงตำแหน่ง รัฐบาลของพระองค์มีผลงานสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของบัลแกเรียจากการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างหนักของรัฐบาลชุดก่อนหน้า พระองค์นำบัลแกเรียเข้าร่วมองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO) และร่วมกับสหรัฐอเมริกาในการต่อต้านอิรัก นอกจากนี้ ในปี ค.ศ. 2002 พระองค์ยังได้รับรางวัลเส้นทางสู่สันติภาพ (Path to Peace Award) จากมูลนิธิเส้นทางสู่สันติภาพ การปฏิรูปเศรษฐกิจของพระองค์มีส่วนสำคัญในการนำบัลแกเรียเข้าสู่สหภาพยุโรปในปี ค.ศ. 2007 หลังจากที่พระองค์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ซีเมออนเป็นหนึ่งในบุคคลเพียงไม่กี่คนในประวัติศาสตร์ที่เคยเป็นทั้งพระมหากษัตริย์และหัวหน้ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากในเวทีการเมืองโลก
3.4. หลังพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ในการเลือกตั้งปี ค.ศ. 2005 พรรคของซีเมออนได้อันดับสอง และเข้าร่วมในรัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคสังคมนิยมบัลแกเรีย (BSP) รวมถึงพรรคขบวนการเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (MRF) ซีเมออนได้รับตำแหน่งประธานคณะมนตรีพันธมิตรอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งเป็นตำแหน่งพิธีการ
ในการเลือกตั้งปี ค.ศ. 2009 พรรคของพระองค์ได้รับคะแนนเสียงเพียง 3.01% และไม่ได้รับที่นั่งในรัฐสภา หลังจากนั้นไม่นาน ในวันที่ 6 กรกฎาคม พระองค์ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้นำพรรค NMSP และประกาศเกษียณจากการเมือง
4. แนวคิดและอิทธิพล
ซีเมออนทรงมีจุดยืนที่น่าสนใจเกี่ยวกับการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ในบัลแกเรีย รวมถึงเส้นทางการเมืองและนโยบายของพระองค์ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการพัฒนาประชาธิปไตยและการปฏิรูปสังคมของประเทศ
4.1. ทัศนะเกี่ยวกับการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์
แม้จะยังไม่เคยสละราชบัลลังก์บัลแกเรียอย่างเป็นทางการ ซีเมออนและราชวงศ์ของพระองค์ได้มีส่วนร่วมในสื่อและกิจกรรมทางการเมืองในบัลแกเรียมาอย่างยาวนาน ในช่วงที่ประทับลี้ภัย พระองค์ทรงใช้พระอิสริยยศ "พระเจ้าซาร์แห่งบัลแกเรีย" ในถ้อยแถลงทางการเมือง อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เสด็จนิวัติบัลแกเรีย พระองค์ได้ทรงหลีกเลี่ยงที่จะเปิดเผยทัศนะเกี่ยวกับการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์อย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าชื่อเดิมของพรรคที่ทรงก่อตั้งจะคือ "ขบวนการแห่งชาติเพื่อซีเมออนที่ 2" ก็ตาม
เมื่อครั้งที่ทรงเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซีเมออนได้ทรงถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อรักษารัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐบัลแกเรีย ซึ่งหลายคนตีความว่าเป็นการสละราชบัลลังก์ แต่พระองค์ทรงยืนยันว่าการตัดสินใจเรื่องการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์นั้นขึ้นอยู่กับประชาชนชาวบัลแกเรียที่จะเป็นผู้ตัดสิน
ในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 ศาสนจักรออร์ทอดอกซ์บัลแกเรียได้ประกาศผ่านเว็บไซต์ของตนว่า ซีเมออน ซักสโกบูร์กกอตสกี จะถูกกล่าวถึงในพระนาม "พระเจ้าซาร์แห่งบัลแกเรีย" ในพิธีสาธารณะและส่วนตัวทั้งหมดที่จัดขึ้นในเขตปกครองของคริสตจักร อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโรเซน เพลฟเนลีฟได้แสดงความกังวลในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 โดยกล่าวว่าการกระทำดังกล่าวอาจแบ่งแยกชาวคริสต์ออกเป็นผู้สนับสนุนระบอบกษัตริย์และระบอบสาธารณรัฐ และหวังว่าศาสนจักรจะพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้ง ในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 ซีเมออนได้ส่งจดหมายถึงอัครบิดร เพื่อขอให้ระงับการตัดสินใจดังกล่าว
4.2. อิทธิพลทางการเมืองและการประเมินผล
การกลับมาของซีเมออนสู่เวทีการเมืองและการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพระองค์ ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับประเทศในอดีตกลุ่มตะวันออก ซึ่งจุดประกายความหวังให้กับราชวงศ์ที่พลัดถิ่นอื่น ๆ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดสามารถสร้างอิทธิพลทางการเมืองได้เทียบเท่ากับพระองค์ก็ตาม
ในด้านการบริหารประเทศ นโยบายของพระองค์ในฐานะนายกรัฐมนตรีมุ่งเน้นไปที่การปฏิรูปเศรษฐกิจและความซื่อสัตย์ ซึ่งช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของบัลแกเรียอย่างมีนัยสำคัญ และนำไปสู่การเป็นสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ รวมถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าร่วมสหภาพยุโรปในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม หลังจากพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ความเห็นอกเห็นใจจากสังคมที่มีต่อพระองค์ค่อย ๆ ลดลง เนื่องจากพระองค์ได้พยายามเรียกร้องกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของระบอบกษัตริย์ก่อนปี ค.ศ. 1945 ซึ่งเป็นประเด็นที่สร้างความขัดแย้งและทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับแรงจูงใจทางการเมืองของพระองค์
5. พระอิสริยยศและเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ซีเมออน ซักสโกบูร์กกอตสกี ทรงได้รับพระอิสริยยศและเครื่องราชอิสริยาภรณ์มากมาย ทั้งในฐานะพระประมุขแห่งบัลแกเรียและในบทบาททางการเมืองและสังคม รวมถึงเกียรติยศจากราชวงศ์ต่างประเทศ
5.1. พระอิสริยยศและเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งราชวงศ์
- 16 มิถุนายน ค.ศ. 1937 - 28 สิงหาคม ค.ศ. 1943: เจ้าชายแห่งทาร์โนโว
- 28 สิงหาคม ค.ศ. 1943 - 15 กันยายน ค.ศ. 1946: พระเจ้าซาร์แห่งบัลแกเรีย
- 15 กันยายน ค.ศ. 1946 - ปัจจุบัน: พระเจ้าซาร์ซีเมออนที่ 2 แห่งบัลแกเรีย (พระอิสริยยศที่ทรงอ้างสิทธิ์และโดยธรรมเนียม)
- 24 กรกฎาคม ค.ศ. 2001 - 17 สิงหาคม ค.ศ. 2005: ซีเมออน ซักสโกบูร์กกอตสกี (ในฐานะนายกรัฐมนตรี)
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ราชวงศ์
- House of Saxe-Coburg-Gotha-Koháryภาษาอังกฤษ: อัศวินและแกรนด์มาสเตอร์แห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญซีริลและเมโทเดียส
- House of Saxe-Coburg-Gotha-Koháryภาษาอังกฤษ: แกรนด์มาสเตอร์แห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ราชวงศ์นักบุญอะเล็กซานเดอร์
- House of Saxe-Coburg-Gotha-Koháryภาษาอังกฤษ: แกรนด์มาสเตอร์แห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ราชวงศ์แห่งความกล้าหาญ
- House of Saxe-Coburg-Gotha-Koháryภาษาอังกฤษ: แกรนด์มาสเตอร์แห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ราชวงศ์พลเรือนดีเด่น
- House of Saxe-Coburg-Gotha-Koháryภาษาอังกฤษ: แกรนด์มาสเตอร์แห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ราชวงศ์ทหารดีเด่น
- House of Saxe-Coburg-Gotha-Koháryภาษาอังกฤษ: ผู้ได้รับเหรียญราชการแห่งพระเจ้าซาร์ซีเมออนที่ 2
5.2. เครื่องราชอิสริยาภรณ์และเกียรติคุณทางการเมือง
เครื่องราชอิสริยาภรณ์และเกียรติคุณระดับชาติ (บัลแกเรีย)
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์สตารา พลานินา ชั้นสูงสุด
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์ความยุติธรรม จากกระทรวงกลาโหมบัลแกเรีย
เครื่องราชอิสริยาภรณ์และเกียรติคุณจากรัฐและราชวงศ์ต่างประเทศ
- เบลเยียม: เครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งมงกุฎ ชั้นสูงสุด
- ฝรั่งเศส: เครื่องราชอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ ชั้นสูงสุด
- ราชวงศ์ออร์เลอ็อง-ฝรั่งเศส: อัศวินชั้นสูงสุดแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญลาซารัส
- ราชวงศ์กรีก: อัศวินชั้นสูงสุดแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ราชวงศ์แห่งพระผู้ไถ่
- ราชวงศ์อิตาลี: อัศวินแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งการประกาศอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง
- นครรัฐวาติกัน: อัศวินชั้นสูงสุดแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์สุสานศักดิ์สิทธิ์
- คณะทหารองค์อธิปไตยแห่งมอลตา: อัศวินนายกแกรนด์ครอสแห่งเกียรติคุณและการอุทิศตน
- ราชวงศ์ซิซิลีทั้งสอง: อัศวินแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ราชวงศ์นักบุญยานูอาริอุส, อัศวินนายกแกรนด์ครอสแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนักบุญจอร์จ
- จอร์แดน: แกรนด์คอร์ดองแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุดแห่งการฟื้นฟู, แกรนด์คอร์ดองแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งอิสรภาพ
- ปาเลสไตน์: แกรนด์คอลลาร์แห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งปาเลสไตน์
- ราชวงศ์โปรตุเกส: อัศวินชั้นสูงสุดแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งการปฏิสนธินิรมลแห่งวิลาวิซอซา
- ราชวงศ์รัสเซีย: อัศวินแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์จักรพรรดินักบุญอันเดรย์
- สเปน: อัศวินชั้นสูงสุดแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์คาร์ลอสที่ 3, อัศวินแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขนแกะทองคำ
รางวัลระดับชาติ (บัลแกเรีย)
- หน่วยทหารรักษาพระองค์บัลแกเรีย: ใบประกาศเกียรติคุณกิตติมศักดิ์
- ชมรมชีตาลีชเตบัลแกเรีย: ตราเกียรติยศครบรอบ
รางวัลจากต่างประเทศ
- สหภาพยุโรป: รางวัลการบูรณาการของสมาพันธรัฐแพนยูโรป
- โรมาเนีย: ใบประกาศเกียรติคุณกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยบูคาเรสต์
- สเปน: บุตรบุญธรรมแห่งมาดริด
- สโลวาเกีย: แผ่นจารึกต้นไม้แห่งสันติภาพ (ค.ศ. 2023), ผู้อุปถัมภ์การบูรณะรูปปั้นนักบุญจอห์นแห่งเนโปมุกในเมืองดิวินา (ค.ศ. 2017)
สัญลักษณ์และตราประจำพระองค์
อุปถัมภ์ระดับชาติ (บัลแกเรีย)
- ผู้อุปถัมภ์วันชาติบัลแกเรีย
อุปถัมภ์จากต่างประเทศ
- สโลวาเกีย: ผู้อุปถัมภ์การบูรณะรูปปั้นนักบุญจอห์นแห่งเนโปมุกในเมืองดิวินา ซึ่งดำเนินการภายใต้การอุปถัมภ์ของสถานทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำสโลวาเกีย (ค.ศ. 2017)
6. เชื้อสาย
เชื้อสายของซีเมออน ซักสโกบูร์กกอตสกี | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
16. | เจ้าชายออกัสต์แห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา | 8. | พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งบัลแกเรีย | 17. | เจ้าหญิงเคลเมนไทน์แห่งออร์เลอ็อง | ||
4. | พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งบัลแกเรีย | 18. | โรเบิร์ตที่ 1 ดยุกแห่งปาร์มา | ||||
9. | เจ้าหญิงมารี หลุยส์แห่งบูร์บง-ปาร์มา | 19. | เจ้าหญิงมารีอา ปีอาแห่งบูร์บง-ซิซิลีทั้งสอง | ||||
2. | พระเจ้าบอริสที่ 3 แห่งบัลแกเรีย | 20. | พระเจ้าอุมแบร์โตที่ 1 แห่งอิตาลี | ||||
10. | พระเจ้าวิกเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 แห่งอิตาลี | 21. | เจ้าหญิงมาร์เกริตาแห่งซาวอย | ||||
5. | เจ้าหญิงจีโอวันนาแห่งซาวอย | 22. | พระเจ้านิโคลัสที่ 1 แห่งมอนเตเนโกร | ||||
11. | เจ้าหญิงเอเลนาแห่งมอนเตเนโกร | 23. | มิเลนา วูโคติช | ||||
1. | ซีเมออน ซักสโกบูร์กกอตสกี | 24. | เจ้าชายออกัสต์แห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา | ||||
12. | พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งบัลแกเรีย | 25. | เจ้าหญิงเคลเมนไทน์แห่งออร์เลอ็อง | ||||
6. | พระเจ้าบอริสที่ 3 แห่งบัลแกเรีย | 26. | โรเบิร์ตที่ 1 ดยุกแห่งปาร์มา | ||||
13. | เจ้าหญิงมารี หลุยส์แห่งบูร์บง-ปาร์มา | 27. | เจ้าหญิงมารีอา ปีอาแห่งบูร์บง-ซิซิลีทั้งสอง | ||||
3. | เจ้าหญิงจีโอวันนาแห่งซาวอย | 28. | พระเจ้าอุมแบร์โตที่ 1 แห่งอิตาลี | ||||
14. | พระเจ้าวิกเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 แห่งอิตาลี | 29. | เจ้าหญิงมาร์เกริตาแห่งซาวอย | ||||
7. | เจ้าหญิงเอเลนาแห่งมอนเตเนโกร | 30. | พระเจ้านิโคลัสที่ 1 แห่งมอนเตเนโกร | ||||
15. | มิเลนา วูโคติช | 31. | มิเลนา วูโคติช |