1. ชีวิตช่วงต้นและอาชีพเยาวชน
คาร์ล-ไฮนซ์ ริดเลอ เกิดเมื่อวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1965 ที่เมืองไวเลอร์อิมอัลล์กอย แคว้นชวาเบิน ในเยอรมนีตะวันตก เขาเริ่มต้นเส้นทางฟุตบอลกับสโมสรเยาวชนทีเอสเฟา เอลโฮเฟินในปี ค.ศ. 1974 ก่อนจะย้ายไปร่วมทีมเอสเฟา ไวเลอร์ในปี ค.ศ. 1981 และอยู่กับทีมจนถึงปี ค.ศ. 1982
ในปี ค.ศ. 1983 ริดเลอได้เข้าร่วมสโมสรเอฟซี เอาก์สบวร์กซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลอาวุโสของเขาในบาเยิร์นลีกา ในฤดูกาล 1985-86 เขากลายเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของสโมสรด้วยผลงาน 20-22 ประตู ทำให้ฟอร์มการเล่นของเขาเป็นที่สนใจจากสโมสรระดับสูงกว่า
2. สไตล์การเล่น
คาร์ล-ไฮนซ์ ริดเลอ โดดเด่นในฐานะกองหน้าที่มีความสามารถรอบด้าน แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีรูปร่างที่สูงใหญ่เป็นพิเศษ (สูง 179 cm) แต่ก็มีความแข็งแกร่งและคล่องตัวสูง ความสามารถที่โดดเด่นที่สุดของเขาคือการเล่นลูกกลางอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโหม่งลูกที่แม่นยำ การกระโดดสูง และจังหวะเวลาที่ยอดเยี่ยม ทำให้เขาได้รับฉายาว่า "แอร์" (Air Riedle หรือ "Air") ซึ่งสะท้อนถึงการที่เขาสามารถลอยตัวอยู่ในอากาศได้นาน นอกจากนี้ เขายังถูกเรียกว่า "เมสเซอร์ชมิดต์" (Messerschmitt) ซึ่งเป็นชื่อเครื่องบินรบที่มีชื่อเสียงของเยอรมนี ซึ่งเน้นย้ำถึงพลังในการโหม่งของเขา
นอกจากความสามารถในการโหม่งแล้ว ริดเลอยังมีทักษะการยิงประตูด้วยเท้าที่ดีและมีสัญชาตญาณในการทำประตูที่ยอดเยี่ยม เขาถูกยกย่องว่าเป็นศูนย์หน้าตัวเป้าที่มีประสิทธิภาพ และในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1992 เขาถูกมองว่าเป็นกองหน้าคู่กับเยือร์เกิน คลีนส์มันน์ โดยมีฉายาว่า "ริดเลอเท้า" (foot Riedle) และ "คลีนส์มันน์อากาศ" (air Klinsmann) ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึงความสามารถที่แตกต่างกันแต่เติมเต็มกันและกันของทั้งสองคน

3. อาชีพสโมสร
คาร์ล-ไฮนซ์ ริดเลอ มีเส้นทางอาชีพสโมสรที่หลากหลาย เริ่มต้นในเยอรมนี ก่อนจะย้ายไปเล่นในอิตาลีและอังกฤษ โดยประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์สำคัญทั้งในระดับประเทศและระดับทวีป
3.1. ช่วงเริ่มต้นอาชีพในเยอรมนี
หลังจากโดดเด่นกับเอฟซี เอาก์สบวร์กในบาเยิร์นลีกา สโมสรเบลา-ไวส์ 1890 เบอร์ลินที่เพิ่งเลื่อนชั้นสู่บุนเดสลีกาได้เซ็นสัญญากับเขาในราคา 33,000 มาร์กเยอรมัน เขาลงสนามนัดแรกในลีกให้กับเบลา-ไวส์ เบอร์ลินเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1986 และยิงประตูได้ในเกมที่ทีมพ่ายไคเซอร์สเลาเทิร์น 1-4 คาบ้าน ถึงแม้จะอยู่กับทีมเพียงฤดูกาลเดียวและทำได้ 10 ประตู แต่เขาก็ยังคงฟอร์มการเล่นที่น่าประทับใจ
หลังจากการตกชั้นของเบลา-ไวส์ เบอร์ลิน ริดเลอได้เซ็นสัญญากับแวร์เดอร์ เบรเมิน ซึ่งนำโดยผู้จัดการทีมระดับตำนานอย่างอ็อทโท เรฮาเกิล ริดเลอชื่นชมเรฮาเกิลว่าช่วยให้เขาพัฒนาเป็นผู้เล่นที่ดีขึ้น ในฤดูกาลแรกของเขากับเบรเมิน (1987-88) เขายิงได้ 18 ประตูจากการลงสนาม 33 นัดในลีก ซึ่งเป็นผู้ทำประตูสูงสุดอันดับสองรองจากเยือร์เกิน คลีนส์มันน์ และทำได้รวม 24 ประตูในทุกรายการ ช่วยให้สโมสรคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้สำเร็จ ตลอดระยะเวลาสามปีกับเบรเมิน เขายิงไป 58 ประตูในทุกรายการ และพาทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเดเอ็ฟเบ-โพคาลสองครั้งติดต่อกัน (ฤดูกาล 1988-89 และ 1989-90) แต่แพ้ทั้งสองครั้ง โดยเขายิงประตูเปิดเกมในนัดชิงชนะเลิศปี ค.ศ. 1989 ซึ่งเบรเมินพ่ายโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ไป 1-4 นอกจากนี้ เขายังทำผลงานโดดเด่นในยูฟ่าคัพ ฤดูกาล 1989-90 โดยยิงได้ 3 ประตูในการแข่งขันกับนาโปลี
3.2. ย้ายไปอิตาลี: ลาซิโอ
ในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1990 คาร์ล-ไฮนซ์ ริดเลอ ได้ย้ายไปร่วมทีมลาซิโอในเซเรียอาของอิตาลี ด้วยค่าตัว 13 ล้านมาร์กเยอรมัน ซึ่งถือเป็นค่าตัวที่สูงที่สุดในยุโรป ณ ช่วงเวลานั้น ตลอดระยะเวลาที่เขาค้าแข้งกับสโมสรจากโรมแห่งนี้ ลาซิโอไม่สามารถคว้าถ้วยรางวัลใด ๆ ได้หรือเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศรายการสำคัญได้เลย
ผลงานที่ดีที่สุดของเขาเกิดขึ้นในฤดูกาล 1991-92 เมื่อเขายิงได้ 13 ประตูจากการลงสนาม 29 นัดในเซเรียอา ช่วยให้ลาซิโอจบฤดูกาลในอันดับที่ 10 ในอีกสองปีจากทั้งหมดสามปีที่อยู่กับลาซิโอ เขายังได้เล่นร่วมกับเพื่อนร่วมชาติอย่างโทมัส ดอลล์ด้วย ในฤดูกาล 1992-93 ลาซิโอทำผลงานได้ดีที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1970 โดยจบอันดับ 5 ในลีก แต่ริดเลอเริ่มได้รับโอกาสลงสนามน้อยลงเล็กน้อยเนื่องจากสโมสรมีผู้เล่นต่างชาติถึงสี่คนในทีม
3.3. ความสำเร็จกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
ริดเลอเดินทางกลับสู่เยอรมนีในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1993 และเข้าร่วมทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ โดยมีค่าตัวประมาณ 9.5 ล้านมาร์กเยอรมัน เขาเป็นผู้เล่นตัวจริงตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ที่อยู่กับดอร์ทมุนด์ โดยมักจะจับคู่กับสเตฟาน ชาปุยซาในแนวรุก แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำประตูในลีกได้เป็นตัวเลขสองหลักในแต่ละฤดูกาล แต่เขาก็มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการพาทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้สองฤดูกาลติดต่อกันในฤดูกาล1994-95 และ1995-96 โดยทำได้รวมกัน 13 ประตูในสองฤดูกาลนี้
จุดสูงสุดในอาชีพของริดเลอมาถึงในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 1996-97 ที่เขาทำสองประตูในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 1997 กับยูเวนตุส ซึ่งช่วยให้ดอร์ทมุนด์เอาชนะไปได้ 3-1 คว้าแชมป์ยุโรปเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร เหตุการณ์นี้ทำให้เขาเป็นที่จดจำในฐานะวีรบุรุษผู้พาทีมคว้าแชมป์ "บิ๊กเอียร์"
3.4. ช่วงปลายอาชีพในอังกฤษ
ในปี ค.ศ. 1997 ริดเลอได้ย้ายมาร่วมทีมลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เพื่อมาแทนที่สแตน คอลลีมอร์ที่ย้ายไปแอสตันวิลลา อย่างไรก็ตาม เขาไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนามอย่างสม่ำเสมอนักในช่วงที่อยู่แอนฟิลด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ไมเคิล โอเวน กองหน้าดาวรุ่งวัย 18 ปี เริ่มก้าวขึ้นมาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม
ในช่วงปลายเดือนกันยายน ค.ศ. 1999 ริดเลอในวัย 34 ปี ได้ย้ายไปร่วมทีมฟูลัมในฟุตบอลลีกเฟิสต์ดิวิชัน ซึ่งเป็นลีกระดับรองลงมา ที่นั่นเขาได้ร่วมงานกับรอย อีแวนส์ อดีตผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลของเขา ริดเลอได้รับบทบาทเป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีมชั่วคราวจนกระทั่งสิ้นสุดฤดูกาล 1999-2000 หลังจากที่พอล เบรสเวลล์ถูกปลดออกจากตำแหน่ง
ก่อนจะสิ้นสุดฤดูกาลถัดมา ซึ่งเขาทำได้ 1 ประตูจากการลงสนาม 14 นัด และช่วยให้ฟูลัมเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ เขาก็ได้ประกาศเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2002 ริดเลเลอพยายามกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้งโดยเข้าร่วมการฝึกซ้อมกับเอฟซี ฟาดูซในลีชเทินชไตน์ แต่ก็ไม่ได้รับสัญญา
4. อาชีพทีมชาติ
ริดเลอมีบทบาทสำคัญในทีมชาติเยอรมนีทั้งในระดับเยาวชนและชุดใหญ่ โดยมีส่วนร่วมในการแข่งขันระดับนานาชาติที่สำคัญหลายรายการ
4.1. ทีมเยาวชนและโอลิมปิก
ริดเลอเริ่มเล่นในระดับทีมชาติเยาวชนเมื่อถูกเรียกตัวติดทีมชาติเยอรมนี รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี หลังจากฤดูกาล 1985-86
ในปี ค.ศ. 1988 เขาได้รับการคัดเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติเยอรมนีตะวันตกชุดโอลิมปิก เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโอลิมปิกฤดูร้อน 1988 ที่โซล ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งทีมสามารถคว้าเหรียญทองแดงได้สำเร็จ โดยมีเพื่อนร่วมทีมอย่างเยือร์เกิน คลีนส์มันน์และโทมัส เฮสเลอร์ร่วมทีมด้วย
4.2. ทีมชาติชุดใหญ่
คาร์ล-ไฮนซ์ ริดเลอ ลงสนามนัดแรกให้กับเยอรมนีตะวันตกเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1988 ในเกมเยือนที่พบกับฟินแลนด์ในฟุตบอลโลก 1990 รอบคัดเลือก และยิงประตูได้ในเกมที่เยอรมนีชนะ 4-0
ในฟุตบอลโลก 1990 ที่ประเทศอิตาลี เขาได้รับเลือกจากผู้จัดการทีมฟรันทซ์ เบ็คเคินเบาเออร์ให้เป็นผู้เล่นสำรองของเยือร์เกิน คลีนส์มันน์และรูดี เฟิลเลอร์ แม้จะถูกจัดให้เป็นกองหน้าตัวเลือกที่สาม แต่เขาก็ได้ลงสนาม 4 นัดในฐานะผู้เล่นสำรอง และมีส่วนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่สามมาครองได้สำเร็จ ในรอบรองชนะเลิศกับอังกฤษ เฟิลเลอร์ได้รับบาดเจ็บในครึ่งแรกและริดเลอถูกส่งลงมาแทน เกมนั้นจบลงด้วยการดวลจุดโทษ และริดเลอก็ยิงจุดโทษเข้า ซึ่งช่วยให้เยอรมนีผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม เฟิลเลอร์ฟื้นตัวทันเวลาและได้ลงเป็นตัวจริงในรอบชิงชนะเลิศ ทำให้ริดเลอต้องเป็นตัวสำรอง
หนึ่งในเกมที่น่าจดจำที่สุดของริดเลอในนามทีมชาติเยอรมนีคือในรอบรองชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1992 กับสวีเดน เจ้าภาพ ซึ่งเขาทำได้ถึงสองประตูในชัยชนะ 3-2 และพาทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ในที่สุด ในรายการนี้ เขายังคว้ารางวัลผู้ทำประตูสูงสุดร่วมกับเฮนริค ลาร์เซน เดนนิส แบร์กคัมป์ และโทมัส โบรลิน ด้วยผลงาน 3 ประตู
ริดเลอได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลก 1994 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง โดยยิงได้ 1 ประตูในเกมรอบแบ่งกลุ่มที่เยอรมนีเอาชนะเกาหลีใต้ 3-2 ตลอดอาชีพการค้าแข้งในนามทีมชาติชุดใหญ่ เขาติดทีมชาติรวม 42 นัดและยิงได้ 16 ประตู
4.2.1. ประตูในนามทีมชาติ
คาร์ล-ไฮนซ์ ริดเลอ ทำประตูได้ 16 ประตูจากการลงสนาม 42 นัดให้กับทีมชาติเยอรมนี (รวมถึงเยอรมนีตะวันตก) ระหว่างปี ค.ศ. 1988 ถึง 1994:
ลำดับ | วันที่ | สถานที่ | คู่แข่งขัน | ประตู | ผลการแข่งขัน | การแข่งขัน |
---|---|---|---|---|---|---|
1. | 31 สิงหาคม 1988 | เฮลซิงกิ, ฟินแลนด์ | ฟินแลนด์ | 4-0 | 4-0 | ฟุตบอลโลก 1990 รอบคัดเลือก |
2. | 26 เมษายน 1989 | รอตเทอร์ดาม, เนเธอร์แลนด์ | เนเธอร์แลนด์ | 1-0 | 1-1 | ฟุตบอลโลก 1990 รอบคัดเลือก |
3. | 19 ธันวาคม 1990 | ชตุทท์การ์ท, เยอรมนีตะวันตก | สวิตเซอร์แลนด์ | 2-0 | 4-0 | กระชับมิตร |
4. | 11 กันยายน 1991 | ลอนดอน, อังกฤษ | อังกฤษ | 1-0 | 1-0 | กระชับมิตร |
5. | 16 ตุลาคม 1991 | เนือร์นแบร์ค, เยอรมนี | เวลส์ | 3-0 | 4-1 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1992 รอบคัดเลือก |
6. | 18 ธันวาคม 1991 | เลเวอร์คูเซิน, เยอรมนี | ลักเซมเบิร์ก | 3-0 | 4-0 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1992 รอบคัดเลือก |
7. | 15 มิถุนายน 1992 | นอร์เชอปิง, สวีเดน | สกอตแลนด์ | 1-0 | 2-0 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1992 |
8. | 21 มิถุนายน 1992 | ซอลนา, สวีเดน | สวีเดน | 2-0 | 3-2 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1992 |
9. | 3-1 | |||||
10. | 9 กันยายน 1992 | โคเปนเฮเกน, เดนมาร์ก | เดนมาร์ก | 1-0 | 1-2 | กระชับมิตร |
11. | 24 มีนาคม 1993 | กลาสโกว์, สกอตแลนด์ | สกอตแลนด์ | 1-0 | 1-0 | กระชับมิตร |
12. | 13 มิถุนายน 1993 | ชิคาโก, สหรัฐอเมริกา | สหรัฐอเมริกา | 2-1 | 4-3 | ยูเอสคัพ 1993 |
13. | 3-1 | |||||
14. | 4-1 | |||||
15. | 13 ตุลาคม 1993 | คาร์ลสรูเออ, เยอรมนี | อุรุกวัย | 3-0 | 5-0 | กระชับมิตร |
16. | 27 มิถุนายน 1994 | แดลลัส, สหรัฐอเมริกา | เกาหลีใต้ | 2-0 | 3-2 | ฟุตบอลโลก 1994 |
5. อาชีพหลังการเป็นนักฟุตบอล
หลังจากเกษียณจากการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ คาร์ล-ไฮนซ์ ริดเลอ ยังคงมีบทบาทในวงการฟุตบอลและดำเนินธุรกิจส่วนตัว
5.1. บทบาทการเป็นผู้จัดการทีมและงานบริหาร
หลังจากแขวนสตั๊ด ริดเลอได้รับตำแหน่งผู้เล่น-ผู้จัดการทีมชั่วคราวของฟูลัมร่วมกับรอย อีแวนส์ ในช่วงปลายฤดูกาล 1999-2000
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2004 เขาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬาให้กับสโมสรกราสฮอปเปอร์คลับ ซือริชในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จนกระทั่งประกาศลาออกจากตำแหน่งในเดือนเมษายน ค.ศ. 2007 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2006-07
ริดเลอยังคงเชื่อมโยงกับวงการฟุตบอลในฐานะทูตสโมสรและทูตการแข่งขัน ในวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 2014 ยูฟ่าได้ประกาศให้เขาเป็นทูตสำหรับการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ ฤดูกาล 2014-15 ซึ่งจัดขึ้นที่เบอร์ลิน นอกจากนี้ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2014 เขายังได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตสันถวไมตรีระหว่างประเทศของสโมสรโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ซึ่งเป็นอดีตสโมสรที่เขาสร้างชื่อเสียงอีกด้วย และยังได้เป็นทูตของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2024 ร่วมกับซีเนดีน ซีดาน ตำนานของเรอัลมาดริด
5.2. กิจกรรมอื่นๆ
นอกเหนือจากบทบาทในวงการฟุตบอล ริดเลอยังเป็นเจ้าของโรงแรมระดับ 4 ดาว และบริหารสถาบันสอนฟุตบอลในหมู่บ้านโอเบอร์สเตาเฟิน ทางตอนใต้ของอัลล์กอย ซึ่งสะท้อนถึงความสนใจในการพัฒนาเยาวชนและธุรกิจของเขา
6. ชีวิตส่วนตัว
คาร์ล-ไฮนซ์ ริดเลอ แต่งงานกับกาบรีเอเลอ และมีบุตรด้วยกันสามคน ได้แก่ อาเลสซันโดร ซึ่งเป็นนักฟุตบอลอาชีพในตำแหน่งกองหน้าเช่นกัน และบุตรอีกสองคนคือ โดมินิค และ วิเวียน-โยอานา
7. ความสำเร็จและเกียรติประวัติ
คาร์ล-ไฮนซ์ ริดเลอ ประสบความสำเร็จอย่างสูงตลอดอาชีพนักฟุตบอล โดยได้รับทั้งถ้วยรางวัลระดับสโมสรและระดับทีมชาติ รวมถึงรางวัลส่วนตัว:
แวร์เดอร์ เบรเมิน
- บุนเดสลีกา: 1987-88
- เดเอฟแอล-ซูเปอร์คัพ: 1988
- เดเอฟเบ-โพคาล รองชนะเลิศ: 1988-89, 1989-90
โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
- ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก: 1996-97
- บุนเดสลีกา: 1994-95, 1995-96
- เดเอฟแอล-ซูเปอร์คัพ: 1995, 1996
ฟูลัม
- ฟุตบอลลีกแชมเปียนชิป: 2000-01
เยอรมนี
- ฟุตบอลโลก: 1990
- ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รองชนะเลิศ: 1992
- โอลิมปิกฤดูร้อน: เหรียญทองแดง 1988
- ยูเอสคัพ: 1993
รางวัลส่วนตัว
- ยูฟ่าคัพ ผู้ทำประตูสูงสุด: 1989-90 (ร่วม)
- ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป: ผู้ทำประตูสูงสุด 1992 (ร่วม)
8. สถิติอาชีพ
คาร์ล-ไฮนซ์ ริดเลอ มีสถิติอาชีพที่น่าประทับใจทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ
8.1. สถิติสโมสร
สโมสร | ฤดูกาล | ลีก | บอลถ้วยในประเทศ | ลีกคัพ | ทวีป | อื่น ๆ | รวม | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ดิวิชัน | ลงสนาม | ประตู | ลงสนาม | ประตู | ลงสนาม | ประตู | ลงสนาม | ประตู | ลงสนาม | ประตู | ลงสนาม | ประตู | ||
เบลา-ไวส์ 1890 เบอร์ลิน | 1986-87 | บุนเดสลีกา | 34 | 10 | 3 | 4 | - | - | - | 37 | 14 | |||
แวร์เดอร์ เบรเมิน | 1987-88 | บุนเดสลีกา | 33 | 18 | 6 | 2 | - | 10 | 4 | - | 49 | 24 | ||
1988-89 | บุนเดสลีกา | 33 | 13 | 6 | 5 | - | 5 | 1 | 1 | 1 | 45 | 20 | ||
1989-90 | บุนเดสลีกา | 20 | 7 | 4 | 2 | - | 8 | 6 | - | 32 | 15 | |||
รวม | 86 | 38 | 16 | 9 | 0 | 0 | 23 | 11 | 1 | 1 | 126 | 59 | ||
ลาซิโอ | 1990-91 | เซเรียอา | 33 | 9 | 2 | 0 | - | - | - | 35 | 9 | |||
1991-92 | เซเรียอา | 29 | 13 | 4 | 0 | - | - | - | 33 | 13 | ||||
1992-93 | เซเรียอา | 22 | 8 | 4 | 2 | - | - | - | 26 | 10 | ||||
รวม | 84 | 30 | 10 | 2 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 94 | 32 | ||
โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ | 1993-94 | บุนเดสลีกา | 22 | 4 | 0 | 0 | - | 5 | 0 | - | 27 | 4 | ||
1994-95 | บุนเดสลีกา | 29 | 6 | 2 | 1 | - | 9 | 6 | - | 40 | 13 | |||
1995-96 | บุนเดสลีกา | 18 | 7 | 0 | 0 | - | 4 | 1 | - | 22 | 8 | |||
1996-97 | บุนเดสลีกา | 18 | 7 | 0 | 0 | - | 5 | 4 | - | 23 | 11 | |||
1997-98 | บุนเดสลีกา | 0 | 0 | 0 | 0 | 1 | 0 | 0 | 0 | - | 1 | 0 | ||
รวม | 87 | 24 | 2 | 1 | 1 | 0 | 23 | 11 | 0 | 0 | 113 | 36 | ||
ลิเวอร์พูล | 1997-98 | พรีเมียร์ลีก | 25 | 6 | 1 | 0 | 5 | 0 | 3 | 1 | - | 34 | 7 | |
1998-99 | พรีเมียร์ลีก | 34 | 5 | 1 | 0 | 1 | 0 | 4 | 1 | - | 40 | 6 | ||
1999-2000 | พรีเมียร์ลีก | 1 | 0 | 0 | 0 | 1 | 2 | 0 | 0 | - | 2 | 2 | ||
รวม | 60 | 11 | 2 | 0 | 7 | 2 | 7 | 2 | 0 | 0 | 76 | 15 | ||
ฟูลัม | 1999-2000 | ฟุตบอลลีกเฟิสต์ดิวิชัน | 21 | 5 | 1 | 0 | 0 | 0 | - | - | 22 | 5 | ||
2000-01 | ฟุตบอลลีกเฟิสต์ดิวิชัน | 14 | 1 | 0 | 0 | 0 | 0 | - | - | 14 | 1 | |||
รวม | 35 | 6 | 1 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 36 | 6 | ||
รวมตลอดอาชีพ | 386 | 119 | 34 | 16 | 8 | 2 | 53 | 24 | 1 | 1 | 482 | 162 |
8.2. สถิติทีมชาติ
ทีมชาติ | ปี | ลงสนาม | ประตู |
---|---|---|---|
เยอรมนี | 1988 | 1 | 1 |
1989 | 3 | 1 | |
1990 | 9 | 1 | |
1991 | 5 | 3 | |
1992 | 10 | 4 | |
1993 | 8 | 5 | |
1994 | 6 | 1 | |
รวม | 42 | 16 |
9. มรดก
คาร์ล-ไฮนซ์ ริดเลอ ยังคงถูกจดจำในฐานะหนึ่งในกองหน้าเยอรมันที่มีความสามารถโดดเด่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสไตล์การเล่นที่โดดเด่นในการโหม่งลูกกลางอากาศ ซึ่งทำให้เขาได้รับฉายา "แอร์" ตลอดอาชีพค้าแข้ง ประตูสำคัญของเขาในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 1997 ซึ่งช่วยให้โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์คว้าแชมป์ได้สำเร็จ ยังคงเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่แฟนบอลจดจำได้ดี
หลังจากการเลิกเล่น เขายังคงรักษาสายสัมพันธ์กับวงการฟุตบอลผ่านบทบาทการเป็นผู้อำนวยการกีฬาและทูตสโมสร รวมถึงการเป็นทูตให้กับยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในโอกาสสำคัญ ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลและความเชื่อมโยงที่เขายังคงมีต่อวงการฟุตบอลในปัจจุบัน ชื่อของเขายังคงเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จและความมุ่งมั่นในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ