1. ภาพรวม
ราชรัฐลีชเทินชไตน์ (Fürstentum Liechtensteinฟือร์ชเทินทูม ลีชเทินชไตน์ภาษาเยอรมัน) หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่า ลีชเทินชไตน์ (Liechtensteinลีชเทินชไตน์ภาษาเยอรมัน) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลขนาดเล็กในภูมิภาคยุโรปกลาง ตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาแอลป์ระหว่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์ทางทิศตะวันตกและทิศใต้ และประเทศออสเตรียทางทิศตะวันออกและทิศเหนือ ประเทศนี้ปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยมีเจ้าชายแห่งลีชเทินชไตน์เป็นประมุขแห่งรัฐ ภาษาเยอรมันเป็นภาษาราชการ
ด้วยพื้นที่เพียง 160 km2 และประชากรประมาณ 40,023 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2019) ลีชเทินชไตน์จึงเป็นหนึ่งในประเทศที่เล็กที่สุดในยุโรป เมืองหลวงคือวาดุซ และเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือชาน แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ลีชเทินชไตน์ก็มีความโดดเด่นทางเศรษฐกิจ โดยมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ต่อหัวสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเมื่อปรับตามความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ ภาคบริการทางการเงินที่แข็งแกร่งมีศูนย์กลางอยู่ที่วาดุซ ในอดีต ลีชเทินชไตน์เคยเป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งหลบเลี่ยงภาษีสำหรับมหาเศรษฐี แต่ได้พยายามปรับปรุงภาพลักษณ์นี้อย่างต่อเนื่อง ภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูงทำให้เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับกีฬาฤดูหนาวที่สำคัญ
ประวัติศาสตร์ของลีชเทินชไตน์เริ่มต้นจากการรวมตัวของแคว้นเชลเลินแบร์คและเคาน์ตีวาดุซในปี ค.ศ. 1719 และได้พัฒนาจนเป็นรัฐเอกราชที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสวิตเซอร์แลนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งรวมถึงการใช้ฟรังก์สวิสเป็นสกุลเงินและมีสหภาพศุลกากรร่วมกัน ลีชเทินชไตน์วางตัวเป็นกลางในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และได้พัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญหลังสงคราม การเมืองภายในประเทศมีลักษณะเฉพาะคือการผสมผสานระหว่างระบอบราชาธิปไตย ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน และประชาธิปไตยทางตรง โดยเจ้าชายผู้ครองรัฐยังคงมีอำนาจบริหารและนิติบัญญัติที่สำคัญ
ในด้านสังคม ลีชเทินชไตน์ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน โดยมีการให้สิทธิเลือกตั้งแก่สตรีในปี ค.ศ. 1984 และมีความก้าวหน้าในการรับรองสิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ลีชเทินชไตน์เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ สมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) และสภายุโรป (CoE) และแม้จะไม่ใช่สมาชิกสหภาพยุโรป (EU) แต่ก็มีส่วนร่วมในเขตเศรษฐกิจยุโรป (EEA) และพื้นที่เชงเกน วัฒนธรรมของลีชเทินชไตน์ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากประเทศเพื่อนบ้านที่พูดภาษาเยอรมัน โดยมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะและเทศกาลทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย
2. ประวัติศาสตร์
2.1. สมัยโบราณและสมัยกลางตอนต้น


ร่องรอยการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดในบริเวณที่เป็นประเทศลีชเทินชไตน์ในปัจจุบัน ย้อนกลับไปได้ถึงยุคพาลีโอลิทิกตอนกลาง (Middle Paleolithic era) ชุมชนเกษตรกรรมในยุคหินใหม่ (Neolithic) เริ่มปรากฏในหุบเขาต่าง ๆ ราว 5,300 ปีก่อนคริสตกาล
วัฒนธรรมฮัลล์ชตัทท์ (Hallstatt culture) และวัฒนธรรมลาแตน (La Tène culture) เจริญรุ่งเรืองในช่วงปลายยุคเหล็ก ตั้งแต่ประมาณ 450 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมกรีกโบราณและอารยธรรมอีทรัสคัน กลุ่มชนเผ่าที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคแอลป์คือชาวเฮลเวทิไอ (Helvetii) ในปี 58 ก่อนคริสตกาล ในยุทธการที่บิบลักเทอ จูเลียส ซีซาร์ ได้เอาชนะชนเผ่าต่าง ๆ ในเทือกเขาแอลป์ ทำให้ภูมิภาคนี้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของโรมโบราณ ต่อมาในปี 15 ก่อนคริสตกาล จักรพรรดิทีแบริอัส ซึ่งต่อมาเป็นจักรพรรดิโรมันองค์ที่สอง พร้อมด้วยพระอนุชา เนโร คลอดิอุส ดรูซุส ได้พิชิตพื้นที่เทือกเขาแอลป์ทั้งหมด
หลังจากนั้น ลีชเทินชไตน์ได้ถูกรวมเข้ากับมณฑลไรเทีย (Raetia) ของจักรวรรดิโรมัน พื้นที่นี้มีกองทหารโรมันประจำการอยู่ ซึ่งได้สร้างค่ายทหารขนาดใหญ่ที่บริกันทิอุม (Brigantium) (ปัจจุบันคือเมืองเบรเกนซ์ ประเทศออสเตรีย) ใกล้ทะเลสาบคอนชตันซ์ และที่มาเกีย (Magia) (ปัจจุบันคือเมืองไมเอินเฟ็ลท์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์) ชาวโรมันได้สร้างและบำรุงรักษาถนนโรมันซึ่งตัดผ่านดินแดนแห่งนี้ ประมาณปี ค.ศ. 260 บริกันทิอุมถูกทำลายโดยชาวอาลามานน์ (Alemanni) ซึ่งเป็นกลุ่มชนเจอร์แมนิกที่ต่อมาได้ตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้ราวปี ค.ศ. 450
ในสมัยยุคกลางตอนต้น ชาวอาลามานน์ได้ตั้งถิ่นฐานทางตะวันออกของที่ราบสูงสวิสในคริสต์ศตวรรษที่ 5 และในหุบเขาของเทือกเขาแอลป์ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8 โดยลีชเทินชไตน์ตั้งอยู่ทางขอบตะวันออกของอาลามานเนีย (Alamannia) ในคริสต์ศตวรรษที่ 6 ภูมิภาคทั้งหมดกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิแฟรงก์ หลังชัยชนะของโคลวิสที่ 1 เหนือชาวอาลามานน์ที่ยุทธการที่ทอลบิอักในปี ค.ศ. 504
พื้นที่ซึ่งต่อมากลายเป็นลีชเทินชไตน์ยังคงอยู่ภายใต้อำนาจของแฟรงก์ (ราชวงศ์เมโรแว็งเชียงและการอแล็งเฌียง) จนกระทั่งสนธิสัญญาแวร์เดิงได้แบ่งจักรวรรดิการอแล็งเฌียงในปี ค.ศ. 843 หลังการสิ้นพระชนม์ของชาร์เลอมาญในปี ค.ศ. 814 ดินแดนของลีชเทินชไตน์ในปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก ต่อมาได้รวมกับอาณาจักรแฟรงก์กลางภายใต้จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ราวปี ค.ศ. 1000 จนถึงประมาณปี ค.ศ. 1100 ภาษาที่โดดเด่นในพื้นที่คือภาษาโรมานี แต่หลังจากนั้นภาษาเยอรมันเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้น ในปี ค.ศ. 1300 ประชากรอาลามานน์อีกกลุ่มหนึ่งคือชาววัลเซอร์ (Walsers) ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในรัฐวาเล ได้เข้ามาในภูมิภาคนี้และตั้งถิ่นฐาน หมู่บ้านบนภูเขาทรีเซินแบร์คในปัจจุบันยังคงรักษาลักษณะของภาษาถิ่นวัลเซอร์ไว้
2.2. การปรากฏตัวของราชวงศ์ลีชเทินชไตน์และการได้มาซึ่งดินแดน

ราวปี ค.ศ. 1200 การปกครองดินแดนต่าง ๆ ทั่วที่ราบสูงแอลป์อยู่ภายใต้การควบคุมของราชวงศ์ซาวอย เซริงเงิน ฮับส์บูร์ก และคีบูร์ก ภูมิภาคอื่น ๆ ได้รับสถานะจักรวรรดิอิมพีเรียลอิมมีเดียซี (Imperial immediacy) ซึ่งทำให้จักรวรรดิสามารถควบคุมเส้นทางผ่านภูเขาได้โดยตรง เมื่อราชวงศ์คีบูร์กสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1264 ราชวงศ์ฮับส์บูร์กภายใต้พระเจ้ารูดอล์ฟที่ 1 จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในปี ค.ศ. 1273 ได้ขยายอาณาเขตไปยังที่ราบสูงแอลป์ตะวันออกซึ่งรวมถึงดินแดนของลีชเทินชไตน์ ภูมิภาคนี้ถูกมอบให้แก่เคานต์แห่งโฮเอเนมส์จนกระทั่งมีการขายให้แก่ราชวงศ์ลีชเทินชไตน์ในปี ค.ศ. 1699
ในปี ค.ศ. 1396 วาดุซ ซึ่งเป็นภูมิภาคทางใต้ของลีชเทินชไตน์ ได้รับสถานะจักรวรรดิอิมพีเรียลอิมมีเดียซี นั่นคืออยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว
ตระกูลที่ราชรัฐแห่งนี้ใช้ชื่อตามนั้น เดิมมาจากปราสาทลีชเทินชไตน์ในโลว์เออร์ออสเตรีย ซึ่งพวกเขาครอบครองมาอย่างน้อยตั้งแต่ปี ค.ศ. 1140 จนถึงศตวรรษที่ 13 และอีกครั้งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1807 เป็นต้นมา ตระกูลลีชเทินชไตน์ได้ครอบครองที่ดินส่วนใหญ่ในโมราเวีย โลว์เออร์ออสเตรีย ไซลีเชีย และดัชชีสติเรีย เนื่องจากดินแดนเหล่านี้ทั้งหมดถือครองในลักษณะศักดินาจากเจ้าขุนมูลนายที่อาวุโสกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสาขาต่าง ๆ ของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ทำให้ราชวงศ์ลีชเทินชไตน์ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดเบื้องต้นในการมีสิทธิ์ได้รับที่นั่งในสภานิติบัญญัติแห่งจักรวรรดิ (Reichstagไรชส์ทาคภาษาเยอรมัน) ได้ แม้ว่าเจ้าชายลีชเทินชไตน์หลายพระองค์จะทรงรับใช้ผู้ปกครองฮับส์บูร์กหลายพระองค์ในฐานะที่ปรึกษาใกล้ชิด แต่หากไม่มีดินแดนใดที่ถือครองโดยตรงจากบัลลังก์ของจักรวรรดิ พวกเขาก็มีอำนาจน้อยมากในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
ด้วยเหตุนี้ ตระกูลจึงพยายามแสวงหาดินแดนที่จะจัดอยู่ในประเภท unmittelbarอุนมิทเทิลบาร์ภาษาเยอรมัน หรือถือครองโดยไม่มีการถือครองศักดินาขั้นกลางใด ๆ โดยตรงจากจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 คาร์ลที่ 1 แห่งลีชเทินชไตน์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Fürstเฟือสท์ภาษาเยอรมัน (เจ้าชาย) โดยจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์มัททีอัส หลังจากที่พระองค์ทรงเข้าข้างจักรพรรดิในศึกการเมือง ฮันส์-อาดัมที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ซื้อแคว้นเชลเลินแบร์ค (Herrschaft Schellenbergแฮร์ชาฟท์ เชลเลินแบร์คภาษาเยอรมัน) และเคาน์ตีวาดุซ (ในปี ค.ศ. 1699 และ ค.ศ. 1712 ตามลำดับ) จากตระกูลโฮเอเนมส์ เชลเลินแบร์คและวาดุซที่เล็กจิ๋วนี้มีสถานะทางการเมืองตรงตามที่ต้องการ คือไม่มีเจ้าเหนือหัวทางศักดินาอื่นใดนอกจากองค์จักรพรรดิ
2.3. การก่อตั้งและการพัฒนาของราชรัฐ (ค.ศ. 1719 - ศตวรรษที่ 19)
เมื่อวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 1719 หลังจากที่ดินแดนต่าง ๆ ได้ถูกซื้อไปแล้ว จักรพรรดิคาร์ลที่ 6 ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้วาดุซและเชลเลินแบร์คถูกรวมเข้าด้วยกัน และยกสถานะดินแดนที่จัดตั้งขึ้นใหม่ให้เป็น Reichsfürstentumไรชส์เฟือร์ชเทินทูมภาษาเยอรมัน (ราชรัฐของจักรวรรดิ) โดยใช้ชื่อว่า "ลีชเทินชไตน์" เพื่อเป็นเกียรติแก่ "[ข้ารับใช้ที่แท้จริงของพระองค์] อันโทน ฟลอเรียน แห่งลีชเทินชไตน์" ในวันดังกล่าว ลีชเทินชไตน์ได้กลายเป็นรัฐสมาชิกจักรวรรดิอิมพีเรียลอิมมีเดียซี (imperial immediacy) ที่มีอธิปไตยสมบูรณ์เกือบทั้งหมดของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 อันเป็นผลมาจากสงครามนโปเลียนในยุโรป จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพของฝรั่งเศส หลังจากการพ่ายแพ้อย่างย่อยยับที่ยุทธการที่เอาสเทอร์ลิทซ์ต่อนโปเลียนในปี ค.ศ. 1805 ในปี ค.ศ. 1806 จักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 สละราชสมบัติและยุบจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นการสิ้นสุดการปกครองแบบศักดินาที่ยาวนานกว่า 960 ปี นโปเลียนได้จัดระเบียบจักรวรรดิส่วนใหญ่ใหม่เป็นสมาพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์ การปรับโครงสร้างทางการเมืองนี้ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อลีชเทินชไตน์ สถาบันทางจักรวรรดิ กฎหมาย และการเมืองในอดีตได้ถูกยุบเลิกไป รัฐจึงสิ้นสุดพันธะผูกพันกับเจ้าเหนือหัวทางศักดินาใด ๆ นอกพรมแดนของตน
เอกสารเผยแพร่สมัยใหม่โดยทั่วไปถือว่าอธิปไตยของลีชเทินชไตน์เกิดจากเหตุการณ์เหล่านี้ เจ้าชายแห่งลีชเทินชไตน์สิ้นสุดพันธะผูกพันกับเจ้าเหนือหัวใด ๆ ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1806 เมื่อสมาพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์ก่อตั้งขึ้น เจ้าชายแห่งลีชเทินชไตน์ทรงเป็นสมาชิก ในความเป็นจริงคือข้าราชบริพารของเจ้าเหนือหัว ซึ่งมีตำแหน่งเป็น ผู้พิทักษ์ คือจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศส จนกระทั่งการยุบสมาพันธรัฐในวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 1813
ไม่นานหลังจากนั้น ลีชเทินชไตน์ได้เข้าร่วมสมาพันธรัฐเยอรมัน (20 มิถุนายน ค.ศ. 1815 - 23 สิงหาคม ค.ศ. 1866) ซึ่งมีจักรพรรดิออสเตรียเป็นประธาน
ในปี ค.ศ. 1818 เจ้าชายโยฮันน์ที่ 1 ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับจำกัดแก่ดินแดน ในปีเดียวกันนั้น เจ้าชายอลัวส์ ได้กลายเป็นสมาชิกพระองค์แรกของราชวงศ์ลีชเทินชไตน์ที่เสด็จเยือนราชรัฐที่ใช้ชื่อตระกูลของพระองค์ การเสด็จเยือนครั้งต่อไปเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1842
พัฒนาการในช่วงศตวรรษที่ 19 รวมถึง:
- ค.ศ. 1842: โรงงานผลิตเซรามิกแห่งแรกเปิดทำการ
- ค.ศ. 1861: ธนาคารออมสินและเงินกู้ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับโรงงานทอผ้าฝ้ายแห่งแรก
- ค.ศ. 1866: สมาพันธรัฐเยอรมันถูกยุบ
- ค.ศ. 1868: กองทัพลีชเทินชไตน์ถูกยุบด้วยเหตุผลทางการเงิน
- ค.ศ. 1872: เส้นทางรถไฟเฟ็ลท์เคียร์ช-บุคส์ระหว่างสวิตเซอร์แลนด์และจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีถูกสร้างผ่านลีชเทินชไตน์
- ค.ศ. 1886: สะพานสองแห่งข้ามแม่น้ำไรน์ไปยังสวิตเซอร์แลนด์ถูกสร้างขึ้น
ในปี ค.ศ. 1884 เจ้าชายโยฮันน์ที่ 2 ได้แต่งตั้งคาร์ล ฟอน อิน แดร์ เมาアー ขุนนางชาวออสเตรีย ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการแห่งลีชเทินชไตน์
2.4. ศตวรรษที่ 20


จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ลีชเทินชไตน์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจักรวรรดิออสเตรียในตอนแรก และต่อมากับจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี เจ้าชายผู้ปกครองยังคงได้รับความมั่งคั่งส่วนใหญ่จากที่ดินในดินแดนของฮับส์บูร์ก และใช้เวลาส่วนใหญ่ที่พระราชวังสองแห่งในเวียนนา ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งบีบให้ประเทศต้องสรุปสหภาพศุลกากรและการเงินกับประเทศเพื่อนบ้านอีกประเทศหนึ่งคือสวิตเซอร์แลนด์ นอกจากนี้ ความไม่สงบในหมู่ประชาชนอันเนื่องมาจากความเสียหายทางเศรษฐกิจจากสงครามยังนำไปสู่การรัฐประหารในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ซึ่งนำไปสู่กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่บนพื้นฐานของระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งประกาศใช้ในปี ค.ศ. 1921
ในปี ค.ศ. 1929 เจ้าชายฟรันซ์ที่ 1 พระชันษา 75 ปี ได้ขึ้นครองราชย์ พระองค์เพิ่งอภิเษกสมรสกับเอลิซาเบธ ฟอน กุทมันน์ สตรีผู้มั่งคั่งจากเวียนนา ซึ่งบิดาของนางเป็นนักธุรกิจชาวยิวจากโมราเวีย แม้ว่าลีชเทินชไตน์จะไม่มีพรรคนาซีอย่างเป็นทางการ แต่ขบวนการสนับสนุนนาซีก็ได้เกิดขึ้นภายในพรรคสหภาพแห่งชาติ กลุ่มนาซีท้องถิ่นในลีชเทินชไตน์ระบุว่าเอลิซาเบธเป็น "ปัญหา" ชาวยิวของพวกเขา การปลุกระดมที่สนับสนุนนาซียังคงมีอยู่ในลีชเทินชไตน์ตลอดทศวรรษ 1930 โดยมีความพยายามรัฐประหารในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1939 ขณะที่ฟรันซ์ โยเซฟที่ 2 เสด็จเยือนเบอร์ลิน
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1938 ไม่นานหลังจากการผนวกออสเตรียโดยนาซีเยอรมนี เจ้าชายฟรันซ์ได้แต่งตั้งพระนัดดาและรัชทายาทโดยสันนิษฐานของพระองค์คือ เจ้าชายฟรันซ์ โยเซฟ พระชันษา 31 ปี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หลังจากแต่งตั้งพระนัดดาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้ว พระองค์ก็เสด็จไปยังเฟลด์แบร์ก เชโกสโลวาเกีย และในวันที่ 25 กรกฎาคม พระองค์สิ้นพระชนม์ที่ปราสาทเฟลด์แบร์ก หนึ่งในปราสาทของตระกูล และเจ้าชายฟรันซ์ โยเซฟ ก็ได้สืบทอดราชสมบัติเป็นเจ้าชายแห่งลีชเทินชไตน์อย่างเป็นทางการ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ลีชเทินชไตน์ยังคงเป็นกลางอย่างเป็นทางการ โดยมองหาความช่วยเหลือและคำแนะนำจากสวิตเซอร์แลนด์เพื่อนบ้าน ในขณะที่สมบัติของตระกูลจากดินแดนและทรัพย์สินของราชวงศ์ในโบฮีเมีย โมราเวีย และไซลีเชีย ถูกนำไปยังลีชเทินชไตน์เพื่อความปลอดภัย ปฏิบัติการแทนเนนบอม (Operation Tannenbaum) ซึ่งเป็นแผนการของนาซีในการพิชิตสวิตเซอร์แลนด์ ก็รวมถึงลีชเทินชไตน์ด้วย และความฝัน "รวมชาติเยอรมัน" (Pan German) ของนาซีที่จะรวมผู้พูดภาษาเยอรมันทั้งหมดในจักรวรรดิไรช์ (Reich) ก็จะรวมถึงประชากรของลีชเทินชไตน์ด้วย อย่างไรก็ตาม ในที่สุดนาซีก็ล้มเลิกการดำเนินการตามแผนนี้ และลีชเทินชไตน์ก็รอดพ้นจากการยึดครองของนาซี
เมื่อสงครามสิ้นสุดลง เชโกสโลวาเกียและโปแลนด์ ซึ่งดำเนินการเพื่อยึดทรัพย์สินที่ถือว่าเป็นของเยอรมัน ได้ยึดทรัพย์สินทั้งหมดของราชวงศ์ลีชเทินชไตน์ในสามภูมิภาคนั้น การยึดทรัพย์สิน (ซึ่งเป็นประเด็นพิพาททางกฎหมายในปัจจุบันที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ) รวมถึงที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและป่าไม้กว่า 1.60 K km2 (ที่โดดเด่นที่สุดคือภูมิทัศน์วัฒนธรรมเลดนิเซ-วัลติเซที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก) และปราสาทและพระราชวังของตระกูลหลายแห่ง
ในปี ค.ศ. 2005 การสืบสวนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลเปิดเผยว่า แรงงานทาสชาวยิวจากค่ายกักกันชตราสโฮฟ ซึ่งจัดหาโดยหน่วยเอ็สเอ็ส (SS) ได้ทำงานในที่ดินในออสเตรียที่เป็นของราชวงศ์ลีชเทินชไตน์ รายงานระบุว่าแม้จะไม่พบหลักฐานว่าราชวงศ์รับรู้ถึงการใช้แรงงานทาส แต่ราชวงศ์ก็ต้องรับผิดชอบ
พลเมืองลีชเทินชไตน์ถูกห้ามไม่ให้เข้าเชโกสโลวาเกียในช่วงสงครามเย็น ความขัดแย้งทางการทูตเกี่ยวกับกฤษฎีกาเบเนช (Beneš decrees) ที่เป็นที่ถกเถียงหลังสงคราม ส่งผลให้ลีชเทินชไตน์ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับสาธารณรัฐเช็กหรือสโลวาเกีย ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างลีชเทินชไตน์และสาธารณรัฐเช็กก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 และกับสโลวาเกียเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 2009
เมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1990 ลีชเทินชไตน์ได้รับการยอมรับเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติเป็นรัฐสมาชิกลำดับที่ 160 ในฐานะสมาชิกของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ประเทศขนาดเล็กแห่งนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ไม่ได้มีบทบาทสำคัญในองค์การชำนัญพิเศษแห่งสหประชาชาติ
ศูนย์กลางทางการเงิน
ลีชเทินชไตน์ประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ราชวงศ์ลีชเทินชไตน์มักต้องขายสมบัติทางศิลปะของตระกูล รวมถึงภาพวาด จีเนฟรา เด เบนชี โดยเลโอนาร์โด ดา วินชี ซึ่งหอศิลป์แห่งชาติ (สหรัฐ)ซื้อไปในปี ค.ศ. 1967 ด้วยราคา 5.00 M USD ซึ่งเป็นราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับภาพวาดในขณะนั้น
ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ลีชเทินชไตน์ใช้อัตราภาษีนิติบุคคลที่ต่ำเพื่อดึงดูดบริษัทจำนวนมากและกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
ลีชเทินชไตน์เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในยุโรป (ร่วมกับโมนาโกและซานมารีโน) ที่ไม่มีสนธิสัญญาภาษีกับสหรัฐอเมริกา และความพยายามในการทำสนธิสัญญาดังกล่าวดูเหมือนจะหยุดชะงักไป
ณ เดือนกันยายน ค.ศ. 2019 เจ้าชายแห่งลีชเทินชไตน์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดอันดับห้าของโลก โดยมีทรัพย์สินประมาณ 3.50 B USD ประชากรของประเทศมีมาตรฐานการครองชีพสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
2.5. ศตวรรษที่ 21
ในปี ค.ศ. 2003 มีการลงประชามติเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งส่งผลให้เจ้าชายผู้ครองรัฐได้รับอำนาจมากขึ้น หลังจากที่พระองค์ขู่ว่าจะเสด็จออกจากประเทศหากการลงประชามติไม่ผ่าน อำนาจเหล่านี้รวมถึงการสามารถปลดรัฐบาล แต่งตั้งผู้พิพากษา และวีโต้กฎหมายได้
เรื่องอื้อฉาวด้านภาษีในปี ค.ศ. 2008 หรือที่เรียกว่า 2008 Liechtenstein tax affair เป็นชุดของการสืบสวนภาษีในหลายประเทศ ซึ่งรัฐบาลสงสัยว่าพลเมืองบางส่วนได้หลีกเลี่ยงภาระภาษีโดยใช้ธนาคารและทรัสต์ในลีชเทินชไตน์ เรื่องนี้แดงขึ้นจากการสืบสวนการหลีกเลี่ยงภาษีครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในเยอรมนี นอกจากนี้ยังถูกมองว่าเป็นความพยายามที่จะกดดันลีชเทินชไตน์ ซึ่งในขณะนั้นยังคงเป็นหนึ่งในแหล่งหลบเลี่ยงภาษีที่ไม่ให้ความร่วมมือ ที่เหลืออยู่ พร้อมกับอันดอร์ราและโมนาโก ตามที่องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ในปารีสระบุไว้ในปี ค.ศ. 2007 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 2009 OECD ได้ถอดลีชเทินชไตน์ออกจากบัญชีดำประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมือ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐเช็กและสโลวาเกียในปี ค.ศ. 2009 หลังจากความขัดแย้งอันยาวนานเกี่ยวกับกฤษฎีกาเบเนช ลีชเทินชไตน์ยังคงเป็นกลางและมุ่งเน้นไปที่การเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่แข็งแกร่งและมีเสถียรภาพ โดยพยายามปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานสากลด้านความโปร่งใสทางภาษี
เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 2024 ลีชเทินชไตน์ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ในระหว่างการประชุมประจำปีของกลุ่มธนาคารโลก ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
3. ภูมิศาสตร์
3.1. ลักษณะภูมิประเทศและพรมแดน

ลีชเทินชไตน์ตั้งอยู่ในหุบเขาแม่น้ำไรน์ตอนบนของเทือกเขาแอลป์ในทวีปยุโรป มีพรมแดนทางทิศตะวันออกติดกับรัฐฟอร์อาร์ลแบร์คของประเทศออสเตรีย ทางทิศใต้ติดกับรัฐเกราบึนเดิน (สวิตเซอร์แลนด์) และทางทิศตะวันตกติดกับรัฐซังคท์กัลเลิน (สวิตเซอร์แลนด์) แม่น้ำไรน์เป็นพรมแดนทางตะวันตกทั้งหมดของลีชเทินชไตน์ เมื่อวัดจากทิศใต้ไปทิศเหนือ ประเทศมีความยาวประมาณ 24 km ในปี ค.ศ. 1943 มีการสร้างคลองภายในประเทศเชื่อมต่อกับแม่น้ำไรน์
จุดที่สูงที่สุดคือยอดกราอูชปิทซ์ (Grauspitz) มีความสูง 2.60 K m แม้จะตั้งอยู่ในเทือกเขาแอลป์ แต่ลมใต้ที่พัดปกคลุมทำให้ภูมิอากาศค่อนข้างอบอุ่น ในฤดูหนาว ลาดเขาเหมาะสำหรับการเล่นกีฬาฤดูหนาว การสำรวจใหม่โดยใช้การวัดพรมแดนของประเทศที่แม่นยำยิ่งขึ้นในปี ค.ศ. 2006 กำหนดพื้นที่ไว้ที่ 160 km2 โดยมีพรมแดนยาว 77.9 km พรมแดนของลีชเทินชไตน์ยาวกว่าที่เคยคิดไว้ก่อนหน้านี้ 1.9 km
ลีชเทินชไตน์เป็นหนึ่งในสองประเทศของโลกที่เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลแบบสองชั้น (doubly landlocked countries) คือประเทศที่ถูกล้อมรอบด้วยประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลอื่น ๆ (อีกประเทศหนึ่งคืออุซเบกิสถาน) ลีชเทินชไตน์เป็นรัฐอธิปไตยที่เล็กที่สุดเป็นอันดับหกของโลกตามพื้นที่
ราชรัฐลีชเทินชไตน์แบ่งออกเป็น 11 เทศบาล เรียกว่า Gemeindenภาษาเยอรมัน (เอกพจน์ Gemeindeภาษาเยอรมัน) เทศบาลส่วนใหญ่ประกอบด้วยเมืองหรือหมู่บ้านเพียงแห่งเดียว เทศบาลห้าแห่ง (เอ็ชเชิน กัมพรีน เมาเริน รุกเก็ล และเช็ลเลินแบร์ค) อยู่ในเขตเลือกตั้ง อุนเทอร์ลันท์ (Unterland - ประเทศตอนล่าง) และส่วนที่เหลือ (บัลท์เซิร์ส พลังเคิน ชาน ทรีเซิน ทรีเซินแบร์ค และวาดุซ) อยู่ใน โอเบอร์ลันท์ (Oberland - ประเทศตอนบน)
ธนาคารโลกไม่ได้รวมลีชเทินชไตน์ไว้ในรายชื่อ 50 "รัฐขนาดเล็ก" ตามเกณฑ์การรวมของตน
3.2. ภูมิอากาศ

แม้ว่าลีชเทินชไตน์จะตั้งอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบแอลป์ แต่ลมทางใต้ที่พัดปกคลุมทำให้ภูมิอากาศของประเทศค่อนข้างอบอุ่น ภูมิอากาศเป็นแบบภูมิอากาศภาคพื้นทวีป โดยมีฤดูหนาวที่หนาวเย็นและมีเมฆมาก มีฝนและหิมะตกบ่อยครั้ง ฤดูร้อนอากาศเย็นสบายถึงค่อนข้างอบอุ่น มีเมฆมาก และมีความชื้น
ภูมิอากาศของประเทศค่อนข้างไม่รุนแรงนักถึงแม้จะตั้งอยู่ในเขตภูเขาสูงก็ตาม ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากลมเฟิน (Foehn) (ลมฤดูใบไม้ร่วงที่อบอุ่นและแห้ง) ทำให้ฤดูเพาะปลูกยาวนานขึ้นในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง และอุณหภูมิประมาณ 15 °C เนื่องจากลมเฟินที่พัดแรงจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแม้ในฤดูหนาว เทือกเขาของสวิตเซอร์แลนด์และรัฐฟอร์อาร์ลแบร์คที่อยู่ต้นลมช่วยป้องกันลมหนาวจากขั้วโลกและลมแอตแลนติก ทำให้เกิดชั้นป้องกันภายในแบบฉบับของเทือกเขาแอลป์ ราชรัฐแห่งนี้มีสวนผลไม้พร้อมทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม และมีประเพณีการปลูกองุ่นมายาวนาน พื้นที่ขนาดเล็กของลีชเทินชไตน์แทบไม่มีบทบาทต่อความแตกต่างของภูมิอากาศ แต่การแบ่งตามแนวดิ่งออกเป็นระดับความสูงต่าง ๆ กลับมีความสำคัญอย่างยิ่ง ทำให้เกิดความแตกต่างทางภูมิอากาศอย่างมีนัยสำคัญ
ในฤดูหนาว อุณหภูมิไม่ค่อยลดต่ำกว่า -15 °C ในขณะที่ฤดูร้อนอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 20 °C ถึง 28 °C ปริมาณน้ำฝนรายปีโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 900 mm ถึง 1.20 K mm แต่ในเขตเทือกเขาแอลป์โดยตรง ปริมาณหยาดน้ำฟ้ามักสูงถึง 1.90 K mm ระยะเวลาแสงแดดเฉลี่ยประมาณ 1,600 ชั่วโมงต่อปี
เดือน | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. | ก.ย. | ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ทั้งปี |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย (°C) | 5.0 | 6.8 | 11.8 | 16.0 | 20.1 | 23.2 | 24.9 | 24.3 | 20.0 | 15.7 | 9.5 | 5.5 | 15.2 |
อุณหภูมิเฉลี่ยรายวัน (°C) | 1.4 | 2.7 | 6.8 | 10.7 | 14.7 | 17.9 | 19.4 | 19.1 | 15.0 | 11.1 | 5.7 | 2.2 | 10.6 |
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย (°C) | -2.0 | -1.1 | 2.3 | 5.6 | 9.7 | 13.0 | 14.6 | 14.6 | 10.8 | 6.9 | 2.2 | -1.1 | 6.3 |
ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย (มม.) | 41 | 34 | 54 | 57 | 90 | 116 | 130 | 144 | 96 | 68 | 56 | 54 | 940 |
ปริมาณหิมะเฉลี่ย (ซม.) | 14.2 | 14.4 | 6.4 | 0.4 | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 4.7 | 11.9 | 52.0 |
จำนวนวันที่มีหยาดน้ำฟ้าเฉลี่ย (≥ 1.0 มม.) | 7.4 | 6.6 | 9.0 | 8.9 | 11.8 | 12.9 | 13.2 | 13.3 | 10.1 | 8.7 | 8.7 | 8.7 | 119.3 |
จำนวนวันที่มีหิมะตกเฉลี่ย (≥ 1.0 ซม.) | 3.9 | 3.9 | 2.1 | 0.2 | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 1.4 | 3.3 | 14.8 |
ความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ย (%) | 75 | 69 | 66 | 63 | 67 | 70 | 71 | 74 | 76 | 76 | 77 | 77 | 72 |
ชั่วโมงแสงแดดเฉลี่ยรายเดือน | 72 | 92 | 131 | 156 | 168 | 181 | 197 | 183 | 147 | 114 | 67 | 53 | 1563 |
สัดส่วนแสงแดดที่เป็นไปได้ (%) | 40 | 44 | 47 | 49 | 46 | 48 | 52 | 54 | 52 | 48 | 36 | 34 | 47 |
3.3. แม่น้ำและทะเลสาบ
แม่น้ำไรน์เป็นแหล่งน้ำที่ยาวและใหญ่ที่สุดในลีชเทินชไตน์ ด้วยความยาวประมาณ 27 km แม่น้ำสายนี้เป็นพรมแดนธรรมชาติกับสวิตเซอร์แลนด์ และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดหาน้ำของลีชเทินชไตน์ นอกจากนี้ แม่น้ำไรน์ยังเป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจที่สำคัญสำหรับประชากร
ด้วยความยาว 10 km แม่น้ำซามินาเป็นแม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับสองในราชรัฐ แม่น้ำที่มีกระแสน้ำเชี่ยวนี้เริ่มต้นที่ทรีเซินแบร์คและไหลลงสู่แม่น้ำอิลล์ในออสเตรีย (ใกล้เมืองเฟ็ลท์เคียร์ช)
ทะเลสาบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเพียงแห่งเดียวในลีชเทินชไตน์คือ ทะเลสาบกัมพรีเนอร์เซเลอ ซึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1927 จากเหตุการณ์อุทกภัยของแม่น้ำไรน์ที่ก่อให้เกิดการกัดเซาะอย่างรุนแรง นอกจากนี้ ยังมีทะเลสาบที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์แห่งอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า หนึ่งในนั้นคือ อ่างเก็บน้ำชเตค (Steg Reservoir) ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในลีชเทินชไตน์
3.4. ภูเขา
ประมาณครึ่งหนึ่งของดินแดนลีชเทินชไตน์เป็นภูเขา ลีชเทินชไตน์ตั้งอยู่ในเขตเทือกเขาเรติคอน (Rhaetikon) ทั้งหมด และด้วยเหตุนี้ - ขึ้นอยู่กับการจำแนกประเภทของเทือกเขาแอลป์ - จึงจัดอยู่ในเทือกเขาแอลป์ตะวันออก (การแบ่งเทือกเขาแอลป์ออกเป็นสองส่วน) หรือเทือกเขาแอลป์ตอนกลาง (การแบ่งเทือกเขาแอลป์ออกเป็นสามส่วน)
จุดที่สูงที่สุดของลีชเทินชไตน์คือยอดเขาฟอร์เดเรอ กราอูชปิทซ์ (Vordere Grauspitz หรือ Vordergrauspitz) ซึ่งมีความสูง 2.60 K m เหนือระดับน้ำทะเล ในขณะที่จุดต่ำสุดคือรุกเกลเลอร์ รีท (Ruggeller Riet) ซึ่งมีความสูง 430 m เหนือระดับน้ำทะเล
โดยรวมแล้ว มีภูเขา 32 ลูกในลีชเทินชไตน์ที่มีความสูงอย่างน้อย 2.00 K m ยอดเขาฟัลค์นิสฮอร์น (Falknishorn) ที่ความสูง 2.45 K m เหนือระดับน้ำทะเล เป็นภูเขาที่สูงเป็นอันดับห้าในลีชเทินชไตน์และเป็นจุดใต้สุดของประเทศ จุดสามเหลี่ยมชายแดนลีชเทินชไตน์-เกราบึนเดิน-ฟอร์อาร์ลแบร์ค คือยอดเขานาฟคอฟ (Naafkopf) (2.57 K m เหนือระดับน้ำทะเล)
นอกเหนือจากยอดเขาในแนวเทือกเขาแอลป์ ซึ่งอยู่ในกลุ่มเทือกเขาแอลป์หินปูนแล้ว ยังมีภูเขาโดด (inselbergs) สองลูก คือ เฟลเชอร์แบร์ก (Fläscherberg) (1.14 K m) ทางใต้ และเอ็ชเนอร์แบร์ก (Eschnerberg) (698 m) ทางเหนือ ซึ่งโผล่ขึ้นมาจากหุบเขาไรน์และอยู่ในเขต Helvetic cover หรือเขตฟลิช (flysch) ของเทือกเขาแอลป์ เอ็ชเนอร์แบร์กเป็นพื้นที่ตั้งถิ่นฐานที่สำคัญในอุนเทอร์ลันท์ของลีชเทินชไตน์
4. การเมือง
4.1. โครงสร้างรัฐบาล


ลีชเทินชไตน์มีระบบการเมืองที่ค่อนข้างซับซ้อน ซึ่งผสมผสานองค์ประกอบของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน และประชาธิปไตยทางตรง พระมหากษัตริย์ยังคงมีอำนาจบริหารและนิติบัญญัติที่กว้างขวาง และมีบทบาทอย่างแข็งขันในการเมืองในชีวิตประจำวันของประเทศ และเหนืออำนาจทั้งสามฝ่าย ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ยุโรปเพียงพระองค์เดียวที่ยังคงมีบทบาทเช่นนั้น ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนและประชาธิปไตยทางตรงอยู่ร่วมกัน โดยรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งจะออกกฎหมาย และผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถเสนอและออกกฎหมายและแก้ไขรัฐธรรมนูญได้โดยอิสระจากฝ่ายนิติบัญญัติ อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับกฎหมายที่ผ่านโดยฝ่ายนิติบัญญัติ กฎหมายเหล่านี้สามารถถูกยับยั้งโดยพระมหากษัตริย์ได้
เจ้าชายผู้ครองรัฐเป็นประมุขแห่งรัฐและเป็นตัวแทนของลีชเทินชไตน์ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (แม้ว่าสวิตเซอร์แลนด์จะรับผิดชอบความสัมพันธ์ทางการทูตส่วนใหญ่ของลีชเทินชไตน์ก็ตาม)
รัฐธรรมนูญแห่งลีชเทินชไตน์ฉบับปัจจุบันได้รับการรับรองในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2003 โดยแก้ไขรัฐธรรมนูญปี ค.ศ. 1921 ทำให้เจ้าชายมีอำนาจยับยั้งที่กว้างขวาง และสามารถปลดรัฐบาลและปกครองโดยอำนาจตามพระราชกฤษฎีกา และยังคงรักษาบทบาทที่แข็งขันของเจ้าชายในกระบวนการนิติบัญญัติ บีบีซีระบุว่าลีชเทินชไตน์หลังปี ค.ศ. 2003 "โดยพฤตินัย" เป็น "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์" ก่อนการลงประชามติไม่นาน คณะกรรมาธิการเวนิสของสภายุโรปได้เผยแพร่รายงานฉบับสมบูรณ์ที่วิเคราะห์การแก้ไข โดยให้ความเห็นว่าการแก้ไขดังกล่าวไม่สอดคล้องกับมาตรฐานประชาธิปไตยของยุโรป
อำนาจนิติบัญญัติเป็นของสภาลันท์ทาค (Landtag) ซึ่งเป็นระบบสภาเดียว ประกอบด้วยสมาชิก 25 คน ที่มาจากการเลือกตั้งในวาระสูงสุดสี่ปีตามสูตรการเลือกตั้งระบบสัดส่วน สมาชิกสิบห้าคนได้รับเลือกจากโอเบอร์ลันท์ (Oberland - ประเทศตอนบน) และสิบคนจากอุนเทอร์ลันท์ (Unterland - ประเทศตอนล่าง) พรรคการเมืองต้องได้รับคะแนนเสียงอย่างน้อย 8% ของคะแนนเสียงทั่วประเทศจึงจะได้ที่นั่งในรัฐสภา ซึ่งเพียงพอสำหรับสองที่นั่งในสภานิติบัญญัติ 25 ที่นั่ง รัฐสภาเสนอและอนุมัติรัฐบาล ซึ่งเจ้าชายจะทรงแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ รัฐสภายังสามารถลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลทั้งคณะหรือสมาชิกรายบุคคลได้
รัฐบาลประกอบด้วยหัวหน้ารัฐบาล (นายกรัฐมนตรี) และที่ปรึกษารัฐบาลสี่คน (รัฐมนตรี) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าชายตามข้อเสนอของรัฐสภาและด้วยความเห็นชอบของรัฐสภา และสะท้อนถึงความสมดุลของพรรคการเมืองในรัฐสภา รัฐธรรมนูญกำหนดให้สมาชิกอย่างน้อยสองคนของรัฐบาลต้องได้รับการเลือกจากแต่ละภูมิภาคทั้งสอง สมาชิกของรัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภาทั้งในฐานะกลุ่มและรายบุคคล รัฐสภาอาจขอให้เจ้าชายถอดถอนรัฐมนตรีรายบุคคลหรือทั้งรัฐบาล หรือเจ้าชายอาจทำเช่นนั้นโดยฝ่ายเดียว
รัฐสภาเลือกจากสมาชิกของตนเป็น "ลันเดสเอาส์ชุส" (Landesausschuss - คณะกรรมการแห่งชาติ) ซึ่งประกอบด้วยประธานรัฐสภาและสมาชิกเพิ่มเติมสี่คน คณะกรรมการแห่งชาติมีหน้าที่กำกับดูแลรัฐสภา รัฐสภาแบ่งปันอำนาจในการเสนอกฎหมายใหม่กับเจ้าชาย และกับพลเมือง เนื่องจากทั้งรัฐสภาและพลเมืองสามารถริเริ่มการลงประชามติได้
อำนาจตุลาการเป็นของศาลภูมิภาคที่วาดุซ ศาลอุทธรณ์สูงสุดของเจ้าชายที่วาดุซ ศาลฎีกาของเจ้าชาย ศาลปกครอง และศาลแห่งรัฐ ศาลแห่งรัฐมีอำนาจตัดสินความสอดคล้องของกฎหมายกับรัฐธรรมนูญและมีสมาชิกห้าคนซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยรัฐสภา
4.2. รัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญแห่งลีชเทินชไตน์ฉบับแรกตราขึ้นในปี ค.ศ. 1921 ซึ่งกำหนดให้ลีชเทินชไตน์เป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญที่ปกครองโดยเจ้าชายผู้ครองรัฐจากราชวงศ์ลีชเทินชไตน์ มีการใช้ระบบรัฐสภา แม้ว่าเจ้าชายผู้ครองรัฐจะยังคงมีอำนาจทางการเมืองที่สำคัญอยู่ก็ตาม
ในปี ค.ศ. 2003 ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งสำคัญ ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในโครงสร้างอำนาจของประเทศ การแก้ไขครั้งนี้ให้เจ้าชายมีอำนาจในการวีโต้กฎหมายที่กว้างขวางขึ้น สามารถปลดรัฐบาล และปกครองโดยอาศัยอำนาจตามพระราชกฤษฎีกา นอกจากนี้ยังคงรักษาบทบาทที่แข็งขันของเจ้าชายในกระบวนการนิติบัญญัติ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากคณะกรรมาธิการเวนิสของสภายุโรปว่าไม่สอดคล้องกับมาตรฐานประชาธิปไตยของยุโรป เนื่องจากเป็นการเพิ่มอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมาก
แม้จะมีการแก้ไขเหล่านี้ รัฐธรรมนูญยังคงรับรองหลักการประชาธิปไตยทางตรง โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถเสนอและออกกฎหมายและแก้ไขรัฐธรรมนูญได้โดยอิสระจากฝ่ายนิติบัญญัติ อย่างไรก็ตาม กฎหมายที่ผ่านการลงประชามติก็ยังคงสามารถถูกวีโต้โดยเจ้าชายได้เช่นกัน ประเด็นเรื่องความสมดุลระหว่างอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์กับการตรวจสอบถ่วงดุลตามระบอบประชาธิปไตยยังคงเป็นหัวข้อสำคัญในการอภิปรายทางการเมืองของลีชเทินชไตน์
4.3. พรรคการเมืองหลัก
ระบบการเมืองของลีชเทินชไตน์มีลักษณะเป็นระบบหลายพรรค แต่ในทางปฏิบัติ การเมืองถูกครอบงำโดยพรรคการเมืองหลักสองพรรค ได้แก่:
- พรรคพลเมืองก้าวหน้า (Fortschrittliche Bürgerparteiฟอร์ทชริทลิเคอ บือร์เกอร์พาร์ไทภาษาเยอรมัน; FBP) เป็นพรรคการเมืองอนุรักษนิยม ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1918 FBP เป็นหนึ่งในสองพรรคการเมืองหลักในลีชเทินชไตน์ และมีประวัติศาสตร์ยาวนานในการเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลผสมหรือเป็นพรรครัฐบาลหลัก พรรคนี้มักจะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มธุรกิจและผู้มีแนวคิดอนุรักษนิยมทางสังคม
- พรรคสหภาพปิตุภูมิ (Vaterländische Unionฟาเทอร์เลนดิชเชอ อูนิโอนภาษาเยอรมัน; VU) เป็นพรรคการเมืองคริสเตียนประชาธิปไตยที่มีแนวโน้มไปทางเสรีนิยม ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1936 จากการรวมตัวของพรรคประชาชนคริสเตียน-สังคมนิยมและกลุ่มอื่น ๆ VU เป็นพรรคหลักอีกพรรคหนึ่งและมักจะสลับกันเป็นแกนนำรัฐบาลกับ FBP หรือเข้าร่วมรัฐบาลผสม พรรคนี้มีฐานเสียงที่กว้างกว่าและมักจะดึงดูดผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีแนวคิดเป็นกลางหรือก้าวหน้ากว่าเล็กน้อย
ทั้งสองพรรคมักจะจัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกัน ทำให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองในระดับสูง พรรคการเมืองขนาดเล็กอื่น ๆ ก็มีบทบาทเช่นกัน แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีอิทธิพลน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ FBP และ VU ระบบการเลือกตั้งแบบการเลือกตั้งระบบสัดส่วนช่วยให้พรรคขนาดเล็กสามารถมีผู้แทนในสภาลันท์ทาคได้ หากพวกเขาสามารถผ่านเกณฑ์คะแนนเสียงขั้นต่ำ 8%
4.4. สิทธิมนุษยชน
ลีชเทินชไตน์โดยรวมถือเป็นประเทศที่มีแนวคิดอนุรักษนิยมทางสังคม ประเด็นสำคัญด้านสิทธิมนุษยชนและความก้าวหน้าทางสังคมมีดังนี้:
- สิทธิเลือกตั้งของสตรี: ลีชเทินชไตน์เป็นประเทศสุดท้ายในยุโรปที่ให้สิทธิเลือกตั้งแก่สตรี เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1984 หลังจากการลงประชามติสามครั้งก่อนหน้านี้ในปี ค.ศ. 1968, 1971 และ 1973 ที่ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว การลงประชามติในปี ค.ศ. 1984 ซึ่งอนุญาตให้เฉพาะผู้ชายลงคะแนนเสียงเท่านั้น ผ่านไปด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 51.3%
- สิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBT): ในปี ค.ศ. 2024 ลีชเทินชไตน์ได้ผ่านกฎหมายการสมรสเพศเดียวกัน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี ค.ศ. 2025 ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในการรับรองสิทธิของกลุ่ม LGBT
- กฎหมายการทำแท้ง: การทำแท้งยังคงเป็นความผิดทางอาญาในลีชเทินชไตน์ และเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างต่อเนื่องในสังคม
- เสรีภาพในการนับถือศาสนา: ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเป็นศาสนาประจำชาติ แต่รัฐธรรมนูญรับรองเสรีภาพในการนับถือศาสนาแก่พลเมืองทุกคน
- สิทธิอื่น ๆ: โดยทั่วไปแล้ว ลีชเทินชไตน์ให้ความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เช่น เสรีภาพในการแสดงออก การชุมนุม และการสมาคม อย่างไรก็ตาม ขนาดของประเทศและลักษณะอนุรักษนิยมของสังคมอาจส่งผลต่อการแสดงออกในประเด็นที่ละเอียดอ่อนบางประการ
องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศยังคงติดตามสถานการณ์ในลีชเทินชไตน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความเท่าเทียมทางเพศ สิทธิ LGBT และกฎหมายการทำแท้ง เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าทางสังคมและการไม่แบ่งแยกอย่างต่อเนื่อง
5. เขตการปกครอง

ราชรัฐลีชเทินชไตน์แบ่งการปกครองออกเป็น 11 เทศบาล (Gemeindenเกไมน์เดินภาษาเยอรมัน; เอกพจน์: Gemeindeเกไมน์เดอภาษาเยอรมัน) เทศบาลส่วนใหญ่ประกอบด้วยเมืองหรือหมู่บ้านเพียงแห่งเดียว เทศบาลเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็นสองเขตเลือกตั้งหลักคือ โอเบอร์ลันท์ (Oberland หรือ ประเทศตอนบน) และ อุนเทอร์ลันท์ (Unterland หรือ ประเทศตอนล่าง) ซึ่งสะท้อนถึงการแบ่งแยกทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ของประเทศ
เทศบาลทั้ง 11 แห่ง ได้แก่:
ธง | ตราอาร์ม | ชื่อเทศบาล (ภาษาไทย) | ชื่อเทศบาล (ภาษาเยอรมัน) | ประชากร (31 ธันวาคม 2021) | พื้นที่ (ตร.กม.) | เขตเลือกตั้ง | หมายเหตุ |
---|---|---|---|---|---|---|---|
วาดุซ | Vaduz | 5,701 | 17.3 km2 | โอเบอร์ลันท์ | เมืองหลวง | ||
ชาน | Schaan | 6,037 | 26.8 km2 | โอเบอร์ลันท์ | เมืองที่ใหญ่ที่สุด | ||
บัลท์เซิร์ส | Balzers | 4,667 | 19.6 km2 | โอเบอร์ลันท์ | |||
ทรีเซิน | Triesen | 5,330 | 26.4 km2 | โอเบอร์ลันท์ | |||
เอ็ชเชิน | Eschen | 4,523 | 10.3 km2 | อุนเทอร์ลันท์ | รวมถึงหมู่บ้านเนนเดลน์ (Nendeln) | ||
เมาเริน | Mauren | 4,459 | 7.5 km2 | อุนเทอร์ลันท์ | รวมถึงหมู่บ้านชานวัลด์ (Schaanwald) | ||
ทรีเซินแบร์ค | Triesenberg | 2,634 | 29.8 km2 | โอเบอร์ลันท์ | เทศบาลที่ใหญ่ที่สุดตามพื้นที่ | ||
รุกเก็ล | Ruggell | 2,404 | 7.4 km2 | อุนเทอร์ลันท์ | |||
กัมพรีน | Gamprin | 1,686 | 6.1 km2 | อุนเทอร์ลันท์ | รวมถึงหมู่บ้านเบนเดิร์น (Bendern) | ||
เช็ลเลินแบร์ค | Schellenberg | 1,107 | 3.5 km2 | อุนเทอร์ลันท์ | |||
พลังเคิน | Planken | 478 | 5.3 km2 | โอเบอร์ลันท์ | เทศบาลที่เล็กที่สุดตามประชากร |
การแบ่งแยกระหว่างโอเบอร์ลันท์และอุนเทอร์ลันท์มีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์ของสองภูมิภาคเดิมคือ เคาน์ตีวาดุซ (โอเบอร์ลันท์) และแคว้นเชลเลินแบร์ค (อุนเทอร์ลันท์) ซึ่งรวมกันเป็นราชรัฐลีชเทินชไตน์ในปี ค.ศ. 1719 การแบ่งแยกนี้ยังคงมีความสำคัญในปัจจุบัน เช่น ในการจัดสรรที่นั่งในรัฐสภา
6. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
6.1. ภาพรวมนโยบายต่างประเทศ


ด้วยการที่ไม่มีอำนาจทางการเมืองหรือทางทหาร ลีชเทินชไตน์จึงพยายามรักษาอธิปไตยของตนตลอด 300 ปีที่ผ่านมาผ่านการเป็นสมาชิกในประชาคมทางกฎหมาย ความร่วมมือระหว่างประเทศและการรวมกลุ่มของยุโรปจึงเป็นหลักการสำคัญของนโยบายต่างประเทศของลีชเทินชไตน์ โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาสิทธิอธิปไตยของประเทศตามที่ได้รับการยอมรับภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ปัจจัยสำคัญสำหรับความชอบธรรมภายในประเทศและความยั่งยืนของนโยบายต่างประเทศนี้คือกลไกการตัดสินใจแบบประชาธิปไตยทางตรงที่เข้มแข็งและมุ่งเน้นพลเมือง ซึ่งมีรากฐานอยู่ในรัฐธรรมนูญปี ค.ศ. 1921 ของลีชเทินชไตน์
ขั้นตอนทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญในนโยบายการรวมกลุ่มและความร่วมมือของลีชเทินชไตน์ ได้แก่ การเข้าร่วมสมาพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์ในปี ค.ศ. 1806 การเข้าร่วมสมาพันธรัฐเยอรมันในปี ค.ศ. 1815 การทำข้อตกลงทางศุลกากรและสกุลเงินทวิภาคีกับราชวงศ์ฮาพส์บวร์คในปี ค.ศ. 1852 และสุดท้ายคือสนธิสัญญาศุลกากรกับสวิตเซอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 1923 ซึ่งตามมาด้วยสนธิสัญญาทวิภาคีที่สำคัญอื่น ๆ อีกหลายฉบับ
การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสงครามตามมาด้วยการเข้าร่วมธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี ค.ศ. 1950 ลีชเทินชไตน์ลงนามใน Helsinki Final Act ของ CSCE (ปัจจุบันคือ OSCE) ร่วมกับอีก 34 รัฐในปี ค.ศ. 1975 ลีชเทินชไตน์เข้าร่วมสภายุโรปในปี ค.ศ. 1978 และได้รับการยอมรับเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ (UN) เมื่อวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1990 ในปี ค.ศ. 1991 ลีชเทินชไตน์เข้าร่วมสมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) ในฐานะสมาชิกเต็มตัว และตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 ลีชเทินชไตน์เป็นสมาชิกของเขตเศรษฐกิจยุโรป (EEA) และองค์การการค้าโลก (WTO)


ในปี ค.ศ. 2008 ลีชเทินชไตน์เข้าร่วมข้อตกลงเชงเกน/ดับลินพร้อมกับสวิตเซอร์แลนด์ จากมุมมองด้านนโยบายเศรษฐกิจและการรวมกลุ่ม ความสัมพันธ์ภายใต้กรอบของ EEA และ EU มีความสำคัญเป็นพิเศษในนโยบายต่างประเทศของลีชเทินชไตน์ เจ้าชายรัชทายาทแห่งลีชเทินชไตน์ยังทรงเข้าร่วมการประชุมประจำปีของประมุขแห่งรัฐของประเทศที่พูดภาษาเยอรมัน (ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก EU และไม่ใช่สมาชิก EU)
ความสัมพันธ์กับสวิตเซอร์แลนด์มีความกว้างขวางเป็นพิเศษเนื่องจากความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในหลายด้าน สวิตเซอร์แลนด์ปฏิบัติหน้าที่ในบางแห่งซึ่งจะเป็นการยากสำหรับราชรัฐที่จะจัดการด้วยตนเองเนื่องจากขนาดที่เล็ก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 สวิตเซอร์แลนด์ได้แต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำลีชเทินชไตน์ แต่พำนักอยู่ที่กรุงเบิร์น การเป็นผู้แทนกงสุลของลีชเทินชไตน์ส่วนใหญ่ได้รับการจัดการโดยสวิตเซอร์แลนด์ตั้งแต่สนธิสัญญาศุลกากรกับสวิตเซอร์แลนด์ปี ค.ศ. 1923
ลีชเทินชไตน์มีคณะผู้แทนทางการทูตโดยตรงในเวียนนา กรุงเบิร์น เบอร์ลิน บรัสเซลส์ สทราซบูร์ และวอชิงตัน ดี.ซี. รวมถึงคณะผู้แทนถาวรในนิวยอร์กและเจนีวาต่อสหประชาชาติ ปัจจุบัน คณะผู้แทนทางการทูตจาก 78 ประเทศได้รับการรับรองให้ประจำการในลีชเทินชไตน์ แต่ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเบิร์น สถานทูตในบรัสเซลส์ประสานงานการติดต่อกับสหภาพยุโรป เบลเยียม และสันตะสำนักด้วย
เป็นเวลานาน ความสัมพันธ์ทางการทูตกับเยอรมนีได้รับการดูแลผ่านเอกอัครราชทูตที่ไม่ได้พำนักถาวร กล่าวคือ เป็นบุคคลติดต่อที่ไม่ได้พำนักถาวรในเยอรมนี อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 ลีชเทินชไตน์มีเอกอัครราชทูตประจำถาวรในกรุงเบอร์ลิน ในขณะที่สถานทูตเยอรมันในสวิตเซอร์แลนด์ก็รับผิดชอบราชรัฐด้วย กระทรวงการต่างประเทศของลีชเทินชไตน์เห็นว่าการติดต่อเหล่านี้มีประโยชน์อย่างยิ่งและมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับเศรษฐกิจ
ความขัดแย้งเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลธนาคารและภาษีทำให้ความสัมพันธ์กับเยอรมนีตึงเครียดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 2009 ลีชเทินชไตน์และเยอรมนีได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านภาษี เนื้อหาของข้อตกลงเป็นไปตามข้อตกลงต้นแบบของ OECD และกำหนดให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องภาษีตามคำขอ เริ่มตั้งแต่ปีภาษี 2010 นอกจากนี้ ลีชเทินชไตน์ยังถือว่าเยอรมนีเป็นพันธมิตรที่สำคัญในการปกป้องผลประโยชน์ของตนในการรวมกลุ่มของยุโรป ในระดับวัฒนธรรม การสนับสนุนโครงการมีบทบาทสำคัญเป็นพิเศษ ตัวอย่างเช่น มูลนิธิฮิลติ (Hilti Foundation) ได้ให้ทุนสนับสนุนนิทรรศการ "สมบัติที่จมหายไปของอียิปต์" ในกรุงเบอร์ลิน และรัฐได้บริจาคเงิน 20,000 ยูโร หลังเหตุเพลิงไหม้ที่หอสมุดดัชเชสอันนา อมาเลีย ในไวมาร์
ลีชเทินชไตน์เป็นสมาชิกของฟอรัมแห่งรัฐขนาดเล็ก (Forum of Small States) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1992 โดยสิงคโปร์ ปัจจุบันประกอบด้วย 108 ประเทศที่มีประชากรน้อยกว่าสิบล้านคน ณ เวลาที่เข้าร่วม
ลีชเทินชไตน์เป็นสมาชิกของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ตั้งแต่การประชุมประจำปีของกลุ่มธนาคารโลก ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 2024
6.2. ความสัมพันธ์กับสวิตเซอร์แลนด์
ความสัมพันธ์ระหว่างลีชเทินชไตน์กับสวิตเซอร์แลนด์มีความใกล้ชิดและครอบคลุมในหลายมิติเป็นอย่างยิ่ง นับเป็นความสัมพันธ์ที่พิเศษและมีลักษณะเฉพาะตัวสูง เนื่องจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงทั้งสองประเทศเข้าด้วยกันอย่างแน่นแฟ้น
- สหภาพศุลกากรและการเงิน: ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1923 ลีชเทินชไตน์และสวิตเซอร์แลนด์ได้ทำสนธิสัญญาศุลกากรร่วมกัน ทำให้ลีชเทินชไตน์เป็นส่วนหนึ่งของเขตศุลกากรสวิส และใช้ฟรังก์สวิส (CHF) เป็นสกุลเงินอย่างเป็นทางการ ซึ่งหมายความว่าไม่มีการควบคุมชายแดนสำหรับสินค้าและผู้คนระหว่างสองประเทศ และกฎระเบียบทางการค้าส่วนใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์มีผลบังคับใช้ในลีชเทินชไตน์ด้วย ความร่วมมือนี้เป็นรากฐานสำคัญของเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของลีชเทินชไตน์
- การเป็นผู้แทนทางการทูตและกงสุล: เนื่องจากขนาดที่เล็ก ลีชเทินชไตน์จึงอาศัยสวิตเซอร์แลนด์ในการเป็นผู้แทนผลประโยชน์ทางการทูตและกงสุลในหลายประเทศทั่วโลกที่ลีชเทินชไตน์ไม่มีสถานทูตหรือสถานกงสุลของตนเอง อย่างไรก็ตาม ลีชเทินชไตน์ยังคงมีสถานทูตของตนเองในประเทศสำคัญบางแห่ง เช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ออสเตรีย และเบลเยียม (สำหรับสหภาพยุโรป)
- ความร่วมมือทางกฎหมายและตุลาการ: มีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในด้านกฎหมายและตุลาการ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายและการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
- ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคม: พลเมืองของทั้งสองประเทศสามารถเดินทาง ทำงาน และอาศัยอยู่ในอีกประเทศหนึ่งได้อย่างเสรี ตลาดแรงงานมีการเชื่อมโยงกันอย่างมาก โดยมีชาวสวิสจำนวนไม่น้อยที่เดินทางมาทำงานในลีชเทินชไตน์ และในทางกลับกัน
- ความมั่นคง: แม้ว่าลีชเทินชไตน์จะไม่มีกองทัพเป็นของตนเอง แต่ก็มีความเข้าใจร่วมกันว่าสวิตเซอร์แลนด์จะมีบทบาทในการรักษาความมั่นคงในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ไม่มีสนธิสัญญาอย่างเป็นทางการที่ระบุว่าสวิตเซอร์แลนด์ต้องปกป้องลีชเทินชไตน์ทางทหาร
- วัฒนธรรมและภาษา: ทั้งสองประเทศใช้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาราชการ (โดยมีภาษาถิ่นอาลามานนิกที่คล้ายคลึงกัน) และมีความใกล้ชิดทางวัฒนธรรมสูง
ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองและเสถียรภาพของลีชเทินชไตน์ ทำให้ประเทศสามารถดำเนินบทบาทในเวทีระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้จะมีขนาดเล็กก็ตาม
6.3. สหภาพยุโรปและองค์กรยุโรป
ลีชเทินชไตน์ไม่ได้เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (EU) แต่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและบูรณาการอย่างมากกับโครงสร้างของยุโรปผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้:
- เขตเศรษฐกิจยุโรป (EEA): ลีชเทินชไตน์เข้าร่วม EEA ในปี ค.ศ. 1995 ซึ่งทำให้ประเทศสามารถเข้าถึงตลาดเดียวของยุโรปได้อย่างเต็มที่ ข้อตกลง EEA ครอบคลุม "เสรีภาพสี่ประการ" ของการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ ทุน และบุคคล ระหว่างประเทศสมาชิก EEA (EU 27 ประเทศ, นอร์เวย์, ไอซ์แลนด์ และลีชเทินชไตน์) การเป็นสมาชิก EEA มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจที่เน้นการส่งออกของลีชเทินชไตน์
- สมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA): ลีชเทินชไตน์เป็นสมาชิกของ EFTA ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 EFTA ทำหน้าที่เป็นเวทีสำหรับประเทศสมาชิก (ปัจจุบันคือ ไอซ์แลนด์ ลีชเทินชไตน์ นอร์เวย์ และสวิตเซอร์แลนด์) ในการประสานงานนโยบายการค้าและเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศนอกสหภาพยุโรป
- พื้นที่เชงเกน: ลีชเทินชไตน์เข้าร่วมพื้นที่เชงเกนในปี ค.ศ. 2008 (มีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 2011) ทำให้มีการยกเลิกการควบคุมพรมแดนสำหรับบุคคลระหว่างลีชเทินชไตน์กับประเทศสมาชิกเชงเกนอื่น ๆ ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางและการท่องเที่ยว
- สภายุโรป (CoE): ลีชเทินชไตน์เป็นสมาชิกของสภายุโรปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1978 องค์กรนี้มุ่งเน้นการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และหลักนิติธรรมในทวีปยุโรป การเป็นสมาชิก CoE แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของลีชเทินชไตน์ต่อค่านิยมเหล่านี้
- ข้อตกลงทวิภาคีอื่น ๆ: นอกจากกรอบพหุภาคีเหล่านี้ ลีชเทินชไตน์ยังมีความตกลงทวิภาคีกับสหภาพยุโรปในด้านต่าง ๆ เช่น ภาษีอากร การเกษตร และความปลอดภัยทางอาหาร
แม้จะบูรณาการเข้ากับยุโรปอย่างลึกซึ้ง แต่ลีชเทินชไตน์ยังคงรักษาอธิปไตยและลักษณะเฉพาะของตนไว้ได้ นโยบายยุโรปของลีชเทินชไตน์มุ่งเน้นไปที่การได้รับประโยชน์สูงสุดจากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็รักษาความยืดหยุ่นในด้านนโยบายภายในประเทศ การตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมสหภาพยุโรปหรือไม่นั้นยังคงเป็นประเด็นที่เปิดกว้าง แต่ในปัจจุบันยังไม่มีฉันทามติในเรื่องนี้
6.4. สหประชาชาติ
ลีชเทินชไตน์เข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ (UN) เมื่อวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1990 นับเป็นรัฐสมาชิกลำดับที่ 160 การตัดสินใจเข้าร่วม UN สะท้อนถึงความปรารถนาของลีชเทินชไตน์ที่จะมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในประชาคมระหว่างประเทศและส่งเสริมค่านิยมสากล แม้จะเป็นประเทศขนาดเล็กก็ตาม
บทบาทและกิจกรรมของลีชเทินชไตน์ในสหประชาชาติมีลักษณะเด่นดังนี้:
- การส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรม: ลีชเทินชไตน์ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนทั่วโลก มีบทบาทในการสนับสนุนการทำงานของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) และมักจะร่วมผลักดันประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความยุติธรรมระหว่างประเทศ
- การพัฒนาที่ยั่งยืน: ประเทศมีส่วนร่วมในการอภิปรายและโครงการที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) โดยให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาทางสังคม
- การทูตพหุภาคี: ในฐานะรัฐขนาดเล็ก ลีชเทินชไตน์มองว่าการทูตพหุภาคีเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสดงจุดยืนและปกป้องผลประโยชน์ของตนในเวทีโลก มักจะทำงานร่วมกับกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน (like-minded countries) ในประเด็นต่าง ๆ
- สันติภาพและความมั่นคง: แม้จะไม่มีกองทัพ ลีชเทินชไตน์สนับสนุนความพยายามในการสร้างสันติภาพ การลดอาวุธ และการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์
- การมีส่วนร่วมในหน่วยงานเฉพาะทาง: ลีชเทินชไตน์เป็นสมาชิกของหน่วยงานเฉพาะทางหลายแห่งของสหประชาชาติ และมีส่วนร่วมในกิจกรรมของหน่วยงานเหล่านั้นตามความสามารถและทรัพยากรที่มี
แม้จะมีทรัพยากรที่จำกัด ลีชเทินชไตน์พยายามที่จะเป็นสมาชิกที่มีความรับผิดชอบและมีส่วนร่วมในสหประชาชาติ โดยเน้นการทำงานในประเด็นที่ตนมีความเชี่ยวชาญและสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกได้ การเป็นสมาชิก UN ยังช่วยเสริมสร้างสถานะความเป็นรัฐอธิปไตยของลีชเทินชไตน์ในประชาคมระหว่างประเทศ
6.5. ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศสำคัญ
นอกเหนือจากความสัมพันธ์ที่พิเศษกับสวิตเซอร์แลนด์และบทบาทในองค์กรยุโรป ลีชเทินชไตน์ยังรักษาความสัมพันธ์ทวิภาคีที่สำคัญกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศสำคัญอื่น ๆ ดังนี้:
- ประเทศออสเตรีย: ออสเตรียเป็นประเทศเพื่อนบ้านทางทิศตะวันออกและมีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกับลีชเทินชไตน์ มีความร่วมมือในหลายด้าน เช่น การค้า การท่องเที่ยว การศึกษา และการบังคับใช้กฎหมายตามแนวชายแดน รัฐฟอร์อาร์ลแบร์คของออสเตรียซึ่งมีพรมแดนติดกัน มีความเชื่อมโยงเป็นพิเศษกับลีชเทินชไตน์
- ประเทศเยอรมนี: เยอรมนีเป็นคู่ค้าที่สำคัญและเป็นประเทศที่มีอิทธิพลในยุโรป ความสัมพันธ์กับเยอรมนีครอบคลุมด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการเมือง มีความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านภาษีเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งเคยเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนในอดีต แต่ปัจจุบันมีความร่วมมือที่ดีขึ้น
- ประเทศสาธารณรัฐเช็กและประเทศสโลวาเกีย: ความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐเช็กและสโลวาเกียมีความซับซ้อนทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากประเด็นการยึดทรัพย์สินของราชวงศ์ลีชเทินชไตน์หลังสงครามโลกครั้งที่สองภายใต้กฤษฎีกาเบเนช (Beneš decrees) อย่างไรก็ตาม ได้มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับทั้งสองประเทศในปี ค.ศ. 2009 ซึ่งเป็นการเปิดทางสู่การพัฒนาความร่วมมือในอนาคต แม้ว่าประเด็นเรื่องทรัพย์สินจะยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์
- ประเทศสหรัฐอเมริกา: สหรัฐอเมริกาเป็นพันธมิตรที่สำคัญนอกยุโรป ความสัมพันธ์มุ่งเน้นไปที่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การลงทุน และการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อต่อต้านอาชญากรรมทางการเงินและการก่อการร้าย ลีชเทินชไตน์มีสถานทูตในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์เหล่านี้
- ประเทศอื่น ๆ: ลีชเทินชไตน์ยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกผ่านสถานทูตของตนในต่างประเทศ (เช่น ในบรัสเซลส์ เบอร์ลิน เวียนนา) และผ่านสถานทูตสวิสที่ทำหน้าที่เป็นผู้แทนในหลายกรณี นโยบายต่างประเทศมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การสนับสนุนค่านิยมสากล เช่น สิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรม และการมีส่วนร่วมในประเด็นระดับโลกที่สำคัญ
โดยรวมแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของลีชเทินชไตน์มีลักษณะที่เน้นความร่วมมือ การทูตพหุภาคี และการรักษาความเป็นกลาง พร้อมกับการปกป้องผลประโยชน์ของชาติในฐานะรัฐอธิปไตยขนาดเล็กที่มีบทบาทในประชาคมระหว่างประเทศ
7. การป้องกันประเทศและความมั่นคง
7.1. การยุบกองทัพและความเป็นกลาง
ประวัติศาสตร์การป้องกันประเทศของลีชเทินชไตน์มีความโดดเด่นจากการตัดสินใจยุบกองทัพอย่างถาวร:
- ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์: ลีชเทินชไตน์มีกองทัพขนาดเล็กมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ โดยมีหน้าที่หลักในการป้องกันดินแดนและปฏิบัติตามพันธกรณีต่อจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และต่อมาคือสมาพันธรัฐเยอรมัน
- การยุบกองทัพ: ในปี ค.ศ. 1868 ไม่นานหลังจากสงครามออสเตรีย-ปรัสเซีย ซึ่งกองทัพลีชเทินชไตน์จำนวน 80 นายถูกส่งไปรักษาการณ์ชายแดนอิตาลีแต่ไม่ได้เข้าร่วมการรบใด ๆ รัฐสภาได้ลงมติให้ยุบกองทัพด้วยเหตุผลทางการเงิน การตัดสินใจนี้ได้รับการอนุมัติจากเจ้าชายโยฮันน์ที่ 2 เจ้าชายแห่งลีชเทินชไตน์ และตั้งแต่นั้นมา ลีชเทินชไตน์ก็ไม่มีกองทัพประจำการอีกเลย มีเรื่องเล่าว่าทหารหน่วยสุดท้ายที่กลับมามีจำนวน 81 นาย เนื่องจากมีนายทหารอิตาลีติดตามกลับมาด้วย
- นโยบายความเป็นกลางถาวร: การยุบกองทัพสอดคล้องกับนโยบายความเป็นกลางถาวรของลีชเทินชไตน์ ซึ่งประเทศได้ยึดถือมาอย่างต่อเนื่อง ลีชเทินชไตน์ไม่ได้เข้าร่วมในความขัดแย้งทางทหารใด ๆ และมุ่งเน้นการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศด้วยสันติวิธี
- ความมั่นคงผ่านความร่วมมือ: แม้จะไม่มีกองทัพ ลีชเทินชไตน์อาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสวิตเซอร์แลนด์และออสเตรีย รวมถึงการเป็นสมาชิกในองค์กรระหว่างประเทศเพื่อรับประกันความมั่นคงและอธิปไตยของตน ไม่มีสนธิสัญญาอย่างเป็นทางการที่ระบุว่าสวิตเซอร์แลนด์มีหน้าที่ปกป้องลีชเทินชไตน์ทางทหาร แต่มีความเข้าใจร่วมกันถึงความร่วมมือในยามวิกฤต
การไม่มีกองทัพทำให้ลีชเทินชไตน์สามารถจัดสรรทรัพยากรไปสู่การพัฒนาด้านอื่น ๆ เช่น เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และยังเสริมสร้างภาพลักษณ์ในฐานะรัฐที่รักสันติในประชาคมระหว่างประเทศ
7.2. ตำรวจและความมั่นคงภายใน

การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงภายในประเทศลีชเทินชไตน์เป็นหน้าที่หลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (Landespolizeiลันเดิสโพลิทไซภาษาเยอรมัน):
- โครงสร้างองค์กร: สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยงานตำรวจพลเรือนเพียงแห่งเดียวในประเทศ ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ประมาณ 87 นาย และเจ้าหน้าที่พลเรือนอีก 38 คน รวมเป็น 125 คน เจ้าหน้าที่ทุกคนมีอาวุธขนาดเล็กประจำกาย
- ภารกิจหลัก: ภารกิจของตำรวจแห่งชาติครอบคลุมการบังคับใช้กฎหมาย การป้องกันอาชญากรรม การสืบสวนสอบสวน การควบคุมการจราจร การรักษาความปลอดภัยสาธารณะ และการให้ความช่วยเหลือในสถานการณ์ฉุกเฉิน นอกจากนี้ยังมีหน่วยพิเศษ เช่น หน่วยรักษาความปลอดภัยและคุ้มกันบุคคลสำคัญ รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่รักษาการณ์และพิธีการเกียรติยศที่พระราชวังและงานราชการ ซึ่งอาจถือเป็นกองกำลังกึ่งทหาร (paramilitary) ที่เรียกว่า Princely Liechtenstein Security Corps
- ความร่วมมือระหว่างประเทศ: สำนักงานตำรวจแห่งชาติลีชเทินชไตน์มีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานตำรวจของประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะสวิตเซอร์แลนด์และออสเตรีย มีสนธิสัญญาไตรภาคีที่ช่วยให้เกิดความร่วมมือข้ามพรมแดนอย่างมีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับอาชญากรรมและการรักษาความปลอดภัยในภูมิภาค นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกขององค์กรตำรวจสากล เช่น อินเตอร์โพล (Interpol) และยูโรโปล (Europol) ผ่านข้อตกลงพิเศษ
- สถานการณ์ความมั่นคงภายใน: ลีชเทินชไตน์มีอัตราอาชญากรรมที่ต่ำที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เรือนจำของประเทศมีผู้ต้องขังจำนวนน้อยมาก และผู้ที่ถูกตัดสินจำคุกเกินสองปีจะถูกส่งไปรับโทษในเขตอำนาจศาลของออสเตรีย
- การป้องกันนิวเคลียร์: เมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 2017 ลีชเทินชไตน์ได้ลงนามในสนธิสัญญาว่าด้วยการห้ามอาวุธนิวเคลียร์ของสหประชาชาติ
แม้จะไม่มีกองทัพ แต่ลีชเทินชไตน์สามารถรักษาสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและมั่นคงสำหรับพลเมืองและผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดีผ่านการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและความร่วมมือระหว่างประเทศ
8. เศรษฐกิจ
8.1. ภาพรวมเศรษฐกิจ

แม้จะมีทรัพยากรธรรมชาติที่จำกัด ลีชเทินชไตน์เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่มีบริษัทจดทะเบียนมากกว่าจำนวนพลเมือง ประเทศได้พัฒนาเศรษฐกิจแบบระบบเศรษฐกิจแบบเสรีที่เจริญรุ่งเรืองและมีอุตสาหกรรมขั้นสูง รวมถึงภาคบริการทางการเงินและมาตรฐานการครองชีพที่เทียบได้กับพื้นที่เมืองของประเทศเพื่อนบ้านในยุโรปที่ใหญ่กว่ามาก
ลีชเทินชไตน์เข้าร่วมในสหภาพศุลกากรกับสวิตเซอร์แลนด์และใช้ฟรังก์สวิสเป็นสกุลเงินประจำชาติ ประเทศนำเข้าพลังงานประมาณ 85% ของการใช้ทั้งหมด ลีชเทินชไตน์เป็นสมาชิกของเขตเศรษฐกิจยุโรป (EEA) ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างสมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) และสหภาพยุโรป (EU) ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1995
รัฐบาลกำลังดำเนินการเพื่อปรับนโยบายเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับนโยบายของยุโรปที่บูรณาการ ในปี ค.ศ. 2008 อัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.5% ลีชเทินชไตน์มีโรงพยาบาลเพียงแห่งเดียวคือ โรงพยาบาลแห่งรัฐลีชเทินชไตน์ (Liechtensteinisches Landesspital) ในวาดุซ ณ ปี ค.ศ. 2014 เดอะเวิลด์แฟกต์บุกของซีไอเอประเมินว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) บนพื้นฐานความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้ออยู่ที่ 4.978 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ ปี ค.ศ. 2021 ค่าประมาณต่อหัวอยู่ที่ 184,083 ดอลลาร์สหรัฐ
ในแง่ของความเสมอภาคทางสังคมและการกระจายรายได้ ลีชเทินชไตน์มีระบบสวัสดิการสังคมที่ครอบคลุม ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากระบบภาษีและเงินสมทบประกันสังคม อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ ประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำทางรายได้และความมั่งคั่งยังคงเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการพิจารณา แม้ว่าโดยรวมแล้วมาตรฐานการครองชีพจะสูงมากสำหรับประชากรส่วนใหญ่ ความพยายามในการรักษาอัตราการว่างงานที่ต่ำและการเข้าถึงการศึกษาและบริการสุขภาพที่มีคุณภาพเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของประเทศต่อความเป็นอยู่ที่ดีของพลเมือง
8.2. อุตสาหกรรมหลัก


เศรษฐกิจของลีชเทินชไตน์มีความหลากหลายและพัฒนาอย่างสูง โดยมีภาคอุตสาหกรรมหลักดังนี้:
- ภาคการผลิต: เป็นภาคส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของลีชเทินชไตน์ อุตสาหกรรมหลักได้แก่
- อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องมือวัดความเที่ยงตรงสูง: บริษัทหลายแห่งในลีชเทินชไตน์เป็นผู้นำระดับโลกในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เฉพาะทาง เครื่องมือวัด และส่วนประกอบที่มีความแม่นยำสูง
- การผลิตโลหะและเครื่องมือไฟฟ้า: ฮิลติ (Hilti AG) ซึ่งเป็นผู้ผลิตระบบยึดโดยตรงและเครื่องมือไฟฟ้าระดับไฮเอนด์อื่น ๆ เป็นบริษัทที่เป็นที่รู้จักในระดับสากลและเป็นนายจ้างรายใหญ่ที่สุดของประเทศ
- เภสัชภัณฑ์และการแพทย์: รวมถึงการผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์และทันตกรรม
- สิ่งทอและเซรามิก: แม้จะมีการแข่งขันสูง แต่ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของภาคการผลิต
- การแปรรูปอาหาร: มีบทบาทในการตอบสนองความต้องการภายในประเทศและส่งออก
- บริการทางการเงิน: ภาคการเงินเป็นอีกหนึ่งเสาหลักของเศรษฐกิจลีชเทินชไตน์ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่วาดุซ รวมถึงบริการธนาคาร การจัดการสินทรัพย์ และการประกันภัย ในอดีตมีชื่อเสียงด้านกฎหมายการธนาคารที่เข้มงวดและการรักษาความลับ แต่ปัจจุบันได้ปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้านความโปร่งใสทางภาษีมากขึ้น
- การท่องเที่ยว: ด้วยทัศนียภาพของเทือกเขาแอลป์ ปราสาทเก่าแก่ และกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น สกี ทำให้การท่องเที่ยวเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญ
- เกษตรกรรมและปศุสัตว์ขนาดเล็ก: แม้จะมีสัดส่วนใน GDP น้อยลง แต่เกษตรกรรมยังคงมีบทบาทสำคัญในการรักษภูมิทัศน์และวัฒนธรรมท้องถิ่น ผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด มันฝรั่ง ผลิตภัณฑ์นม ปศุสัตว์ และไวน์ ไร่นาและฟาร์มขนาดเล็กจำนวนมากพบได้ทั้งในโอเบอร์ลันท์และอุนเทอร์ลันท์
ในด้านสิทธิและสภาพแรงงาน ลีชเทินชไตน์มีกฎหมายแรงงานที่สอดคล้องกับมาตรฐานยุโรป ให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างในด้านต่าง ๆ เช่น ค่าจ้างขั้นต่ำ (แม้ว่าจะไม่ได้กำหนดไว้ในระดับชาติ แต่มีการตกลงผ่านข้อตกลงร่วม) ชั่วโมงการทำงาน วันหยุด และความปลอดภัยในที่ทำงาน สหภาพแรงงานมีบทบาทในการเจรจาต่อรองเงื่อนไขการจ้างงาน รัฐบาลให้ความสำคัญกับการรักษาสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและการมีส่วนร่วมของพนักงานในกระบวนการตัดสินใจของบริษัท
8.3. ระบบภาษีอากร

ระบบภาษีอากรของลีชเทินชไตน์มีลักษณะเฉพาะที่ดึงดูดทั้งบุคคลและบริษัทจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้มีการปฏิรูปเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลมากขึ้น:
- อัตราภาษีที่ต่ำ: ลีชเทินชไตน์มีชื่อเสียงด้านอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ค่อนข้างต่ำ อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นพื้นฐานคือ 1.2% เมื่อรวมกับภาษีเงินได้เพิ่มเติมที่เรียกเก็บโดยเทศบาล อัตราภาษีเงินได้รวมอยู่ที่ 17.82% ภาษีเงินได้เพิ่มเติม 4.3% ถูกเรียกเก็บจากพนักงานทุกคนภายใต้โครงการประกันสังคมของประเทศ อัตรานี้สูงขึ้นสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ สูงสุดถึง 11% ทำให้อัตราภาษีเงินได้สูงสุดรวมประมาณ 29% อัตราภาษีพื้นฐานสำหรับภาษีความมั่งคั่งคือ 0.06% ต่อปี และอัตราภาษีรวมทั้งหมดคือ 0.89% อัตราภาษีสำหรับกำไรของบริษัทคือ 12.5%
- ชื่อเสียงในอดีตในฐานะแหล่งหลบเลี่ยงภาษี (Tax Haven): ในอดีต ลีชเทินชไตน์เคยถูกมองว่าเป็นแหล่งหลบเลี่ยงภาษี เนื่องจากกฎหมายการธนาคารที่เข้มงวด การรักษาความลับสูง และอัตราภาษีที่ต่ำ ซึ่งดึงดูดความมั่งคั่งจากต่างประเทศจำนวนมาก สิ่งนี้นำไปสู่เรื่องอื้อฉาว เช่น 2008 Liechtenstein tax affair ซึ่งเปิดโปงการหลีกเลี่ยงภาษีโดยพลเมืองของประเทศอื่น ๆ
- ความพยายามในการส่งเสริมความร่วมมือด้านภาษีระหว่างประเทศและความโปร่งใส: เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันจากนานาชาติและปรับปรุงภาพลักษณ์ ลีชเทินชไตน์ได้ดำเนินการปฏิรูปที่สำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา:
- การลงนามในข้อตกลงแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษี (Tax Information Exchange Agreements - TIEAs) และอนุสัญญาภาษีซ้อน (Double Taxation Agreements - DTAs) กับหลายประเทศ
- การนำมาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลอัตโนมัติ (Automatic Exchange of Information - AEOI) ของOECD มาใช้
- การยกเลิกกฎหมายที่เอื้อต่อการปกปิดความเป็นเจ้าของทรัพย์สิน
- ความร่วมมือกับสหภาพยุโรปในการต่อต้านการหลีกเลี่ยงภาษีและการฉ้อโกงภาษี ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2015 สหภาพยุโรปและลีชเทินชไตน์ได้ลงนามในข้อตกลงทางภาษีเพื่อให้แน่ใจว่ามีการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินโดยอัตโนมัติในกรณีที่มีข้อพิพาททางภาษี การรวบรวมข้อมูลเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 2016
- ภาษีการให้และภาษีมรดก: ภาษีการให้และภาษีมรดกของลีชเทินชไตน์แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของผู้รับกับผู้ให้และจำนวนมรดก ภาษีอยู่ระหว่าง 0.5% ถึง 0.75% สำหรับคู่สมรสและบุตร และ 18% ถึง 27% สำหรับผู้รับที่ไม่ใช่ญาติ ภาษีมรดกเป็นแบบก้าวหน้า
ความพยายามเหล่านี้ส่งผลให้ OECD ถอดลีชเทินชไตน์ออกจาก "บัญชีดำ" ของประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมือด้านภาษีในปี ค.ศ. 2009 ลีชเทินชไตน์มุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่มีความรับผิดชอบและโปร่งใสในเวทีระหว่างประเทศ
8.4. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจของลีชเทินชไตน์ โดยอาศัยทรัพยากรทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์:
- ทรัพยากรทางการท่องเที่ยว:
- ทัศนียภาพเทือกเขาแอลป์: ภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูงเป็นจุดดึงดูดหลัก มีเส้นทางเดินป่า ปีนเขา และปั่นจักรยานเสือภูเขาที่สวยงามในฤดูร้อน ในฤดูหนาว รีสอร์ทสกี เช่น มัลบุน (Malbun) เป็นที่นิยมสำหรับนักสกีและนักสโนว์บอร์ด
- แหล่งมรดกทางวัฒนธรรม:
- ปราสาทวาดุซ (Vaduz Castle): สัญลักษณ์ของประเทศและเป็นที่ประทับของเจ้าชาย แม้จะไม่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมภายใน แต่ก็เป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยม
- ปราสาทกูเทนแบร์ก (Gutenberg Castle): ปราสาทสมัยกลางที่เปิดให้เข้าชมบางส่วน
- มหาวิหารวาดุซ (Vaduz Cathedral) หรือ มหาวิหารเซนต์ฟลอริน
- พิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น พิพิธภัณฑ์ศิลปะลีชเทินชไตน์ (Kunstmuseum Liechtenstein) พิพิธภัณฑ์แห่งชาติลีชเทินชไตน์ (Liechtensteinisches Landesmuseum) และพิพิธภัณฑ์ตราไปรษณียากร (Postal Museum)
- เสน่ห์ของเมืองเล็ก: วาดุซ เมืองหลวง มีบรรยากาศที่เงียบสงบและมีร้านค้า ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม
- สถานะการดึงดูดนักท่องเที่ยว: ลีชเทินชไตน์ดึงดูดนักท่องเที่ยวหลากหลายกลุ่ม ทั้งผู้ที่สนใจกิจกรรมกลางแจ้ง ผู้ที่ชื่นชอบวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ และผู้ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ในประเทศขนาดเล็กที่มีเอกลักษณ์ ในปี ค.ศ. 2021 มีนักท่องเที่ยวเกือบ 80,000 คน และในช่วงสิบสองปีก่อนหน้านั้น จำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ระหว่างประมาณ 60,000 ถึง 100,000 คนต่อปี
- การมีส่วนช่วยทางเศรษฐกิจ: การท่องเที่ยวสร้างรายได้และตำแหน่งงานให้กับประเทศ ทั้งในภาคโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร การขนส่ง และบริการที่เกี่ยวข้อง รัฐบาลและภาคเอกชนให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม
ลีชเทินชไตน์พยายามส่งเสริมตนเองในฐานะจุดหมายปลายทางที่มีคุณภาพสูง โดยเน้นประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวและความงามตามธรรมชาติและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์
9. สังคม
9.1. ประชากร

ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2021 ลีชเทินชไตน์มีประชากร 39,315 คน ทำให้เป็นประเทศที่เล็กที่สุดเป็นอันดับสี่ในยุโรป รองจากนครรัฐวาติกัน ซานมารีโน และโมนาโก ประชากรส่วนใหญ่เป็นผู้พูดภาษาอาลามานนิกเยอรมัน (Alemannic German) อย่างไรก็ตาม ประมาณหนึ่งในสามของประชากรเป็นชาวต่างชาติ โดยส่วนใหญ่เป็นผู้พูดภาษาเยอรมันจากเยอรมนี ออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงชาวสวิสอื่น ๆ ชาวอิตาลี และชาวเติร์ก ชาวต่างชาติคิดเป็นสองในสามของกำลังแรงงานในประเทศ
ตัวชี้วัดทางประชากรที่สำคัญ:
- ความหนาแน่นของประชากร: ด้วยพื้นที่ 160 km2 ความหนาแน่นของประชากรอยู่ที่ประมาณ 246 คนต่อตารางกิโลเมตร ซึ่งค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับขนาดประเทศ
- อายุขัยเฉลี่ย: ชาวลีชเทินชไตน์มีอายุขัยเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดอยู่ที่ 82.0 ปี (ประมาณการปี ค.ศ. 2018) โดยแบ่งเป็นเพศชาย 79.8 ปี และเพศหญิง 84.8 ปี
- อัตราการเกิดและอัตราการตาย: อัตราการเกิดและอัตราการตายค่อนข้างต่ำ สอดคล้องกับแนวโน้มของประเทศพัฒนาแล้ว
- อัตราการตายของทารก: อยู่ที่ 4.2 ต่อ 1,000 การเกิดมีชีพ (ประมาณการปี ค.ศ. 2018)
โครงสร้างประชากรของลีชเทินชไตน์สะท้อนถึงความเป็นสังคมที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม อันเนื่องมาจากการเปิดรับแรงงานต่างชาติเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
9.2. ภาษา
ภาษาเยอรมันเป็นภาษาราชการของลีชเทินชไตน์ จากข้อมูลในปี ค.ศ. 2020 ประชากร 92% ใช้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาหลัก อย่างไรก็ตาม ภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวันของประชากรส่วนใหญ่ (73%) เป็นภาษาถิ่นอาลามานนิก (Alemannic dialect) ซึ่งเป็นกลุ่มภาษาเยอรมันตอนบน (Upper German) ภาษาถิ่นนี้มีความแตกต่างอย่างมากจากภาษาเยอรมันมาตรฐาน (Standard German) แต่มีความใกล้ชิดกับภาษาถิ่นที่ใช้ในภูมิภาคใกล้เคียง เช่น สวิตเซอร์แลนด์และรัฐฟอร์อาร์ลแบร์คของออสเตรีย
ในเทศบาลทรีเซินแบร์ค มีการใช้ภาษาถิ่นวัลเซอร์ (Walser German dialect) ซึ่งเป็นภาษาถิ่นอาลามานนิกอีกแขนงหนึ่งที่ได้รับการส่งเสริมโดยเทศบาล ภาษาถิ่นวัลเซอร์มีรากฐานมาจากผู้ตั้งถิ่นฐานที่อพยพมาจากภูมิภาครัฐวาเลของสวิตเซอร์แลนด์ในยุคกลาง
แม้ว่าภาษาถิ่นจะถูกใช้อย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวัน แต่ภาษาเยอรมันมาตรฐานสวิส (Swiss Standard German) ก็เป็นที่เข้าใจและพูดได้โดยชาวลีชเทินชไตน์ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในบริบทที่เป็นทางการ การศึกษา และสื่อสารมวลชน การใช้ภาษาที่หลากหลายนี้สะท้อนถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของประเทศที่เชื่อมโยงกับภูมิภาคที่พูดภาษาเยอรมันโดยรอบ
9.3. ศาสนา

ตามรัฐธรรมนูญแห่งลีชเทินชไตน์ ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเป็นศาสนาประจำชาติอย่างเป็นทางการ:
โบสถ์คาทอลิกเป็นโบสถ์แห่งรัฐ และด้วยเหตุนี้จะได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่จากรัฐ
ลีชเทินชไตน์ให้การคุ้มครองแก่ผู้นับถือศาสนาทุกศาสนา และถือว่า "ผลประโยชน์ทางศาสนาของประชาชน" เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกของรัฐบาล ในโรงเรียนของลีชเทินชไตน์ แม้จะมีการอนุญาตให้ยกเว้นได้ แต่การศึกษาศาสนาในนิกายคาทอลิกหรือโปรเตสแตนต์ (ทั้งลูเทอแรนหรือแคลวินิสต์ หรือทั้งสองอย่าง) เป็นข้อบังคับตามกฎหมาย รัฐบาลให้การยกเว้นภาษีแก่องค์กรทางศาสนา จากข้อมูลของศูนย์วิจัยพิว ความขัดแย้งทางสังคมที่เกิดจากความเป็นปรปักษ์ทางศาสนามีต่ำในลีชเทินชไตน์ เช่นเดียวกับการจำกัดการปฏิบัติศาสนกิจของรัฐบาล
จากการสำรวจสำมะโนประชากรปี ค.ศ. 2010 ประชากรทั้งหมด 85.8% เป็นคริสเตียน โดย 75.9% นับถือนิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งจัดอยู่ในอัครสังฆมณฑลโรมันคาทอลิกแห่งวาดุซ ในขณะที่ 9.6% เป็นโปรเตสแตนต์ ซึ่งส่วนใหญ่จัดอยู่ในคริสตจักรผู้เผยแพร่ศาสนาในลีชเทินชไตน์ (คริสตจักรสหภาพ, ลูเทอแรนและปฏิรูป) และคริสตจักรลูเทอแรนผู้เผยแพร่ศาสนาในลีชเทินชไตน์ หรือเป็นออร์ทอดอกซ์ ซึ่งส่วนใหญ่จัดอยู่ในคริสตจักรออร์ทอดอกซ์คริสเตียน มีชุมชนชาวยิวขนาดเล็กจำนวน 30 คนที่เข้าร่วมโบสถ์ยิวในสวิตเซอร์แลนด์ ศาสนาชนกลุ่มน้อยที่ใหญ่ที่สุดคืออิสลาม (5.4% ของประชากรทั้งหมด)
9.4. การศึกษา
อัตราการรู้หนังสือของลีชเทินชไตน์อยู่ที่ 100% ในรายงานของโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (PISA) ปี ค.ศ. 2006 ซึ่งประสานงานโดยองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ได้จัดอันดับการศึกษาของลีชเทินชไตน์ว่าดีที่สุดเป็นอันดับที่ 10 ของโลก ในปี ค.ศ. 2012 ลีชเทินชไตน์มีคะแนน PISA สูงที่สุดในบรรดาประเทศในยุโรป
ภายในลีชเทินชไตน์มีศูนย์การศึกษาระดับอุดมศึกษาหลักสี่แห่ง:
- มหาวิทยาลัยลีชเทินชไตน์ (University of Liechtenstein)
- มหาวิทยาลัยเอกชนในราชรัฐลีชเทินชไตน์ (Private University in the Principality of Liechtenstein)
- สถาบันลีชเทินชไตน์ (Liechtenstein Institute)
- สถาบันปรัชญานานาชาติ ลีชเทินชไตน์ (International Academy of Philosophy, Liechtenstein)
มีโรงเรียนมัธยมศึกษาของรัฐเก้าแห่งในประเทศ ได้แก่:
- โรงเรียนมัธยมลีชเทินชไตน์ (Liechtensteinisches Gymnasium) ในวาดุซ
- โรงเรียนเรอาลชูเลอ วาดุซ (Realschule Vaduz) และโรงเรียนโอเบอร์ชูเลอ วาดุซ (Oberschule Vaduz) ในศูนย์การศึกษามือเลอโฮลซ์ 2 (Schulzentrum Mühleholz II) ในวาดุซ
- โรงเรียนเรอาลชูเลอ ชาน (Realschule Schaan) และโรงเรียนกีฬาลิกเตนสไตน์ (Sportschule Liechtenstein) ในชาน
ระบบการศึกษาของลีชเทินชไตน์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะที่หลากหลายและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้พลเมืองสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
9.5. สาธารณสุขและการแพทย์
ลีชเทินชไตน์มีระบบสาธารณสุขและการแพทย์ที่มีมาตรฐานสูง ซึ่งให้การดูแลสุขภาพที่ครอบคลุมแก่พลเมืองทุกคน:
- ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ: การประกันสุขภาพเป็นภาคบังคับสำหรับผู้พำนักอาศัยในลีชเทินชไตน์ทุกคน ระบบนี้รับประกันการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่จำเป็น โดยมีทั้งผู้ให้บริการภาครัฐและเอกชน
- การให้บริการทางการแพทย์:
- โรงพยาบาลแห่งรัฐลีชเทินชไตน์ (Liechtensteinisches Landesspitalลีชเทินชไตนิชเชิส ลันเดิสชปิทาลภาษาเยอรมัน): ตั้งอยู่ในกรุงวาดุซ เป็นโรงพยาบาลของรัฐเพียงแห่งเดียวในประเทศ ให้บริการทางการแพทย์ขั้นพื้นฐานและบริการฉุกเฉิน สำหรับการรักษาที่ซับซ้อนหรือเฉพาะทางมากขึ้น ผู้ป่วยมักจะถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาลในสวิตเซอร์แลนด์หรือออสเตรีย ซึ่งลีชเทินชไตน์มีความตกลงร่วมกัน
- คลินิกแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ: มีเครือข่ายแพทย์ทั่วไปและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกระจายอยู่ทั่วประเทศ ให้บริการดูแลสุขภาพเบื้องต้นและเฉพาะทาง
- บริการฉุกเฉิน: มีระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินที่ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว
- มาตรฐานด้านสาธารณสุข: ลีชเทินชไตน์มีมาตรฐานด้านสาธารณสุขโดยรวมที่สูงมาก มีการให้ความสำคัญกับการป้องกันโรค การส่งเสริมสุขภาพ และการดูแลผู้สูงอายุ
- อายุขัยเฉลี่ย: สะท้อนถึงคุณภาพของระบบสาธารณสุข โดยประชากรมีอายุขัยเฉลี่ยที่สูงมาก (ประมาณ 82.0 ปี)
- ความร่วมมือระหว่างประเทศ: เนื่องจากขนาดที่เล็ก ลีชเทินชไตน์จึงมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับสวิตเซอร์แลนด์และออสเตรียในด้านสาธารณสุขและการแพทย์ รวมถึงการแบ่งปันทรัพยากรและความเชี่ยวชาญ
โดยรวมแล้ว ระบบสาธารณสุขของลีชเทินชไตน์มุ่งเน้นการให้บริการที่มีคุณภาพสูงและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน แม้ว่าอาจต้องพึ่งพาประเทศเพื่อนบ้านสำหรับบริการทางการแพทย์บางประเภทที่ซับซ้อนก็ตาม
9.6. สื่อสารมวลชน
ภูมิทัศน์สื่อของลีชเทินชไตน์มีขนาดเล็กแต่มีความหลากหลาย สะท้อนถึงความเป็นประเทศขนาดเล็กที่เปิดกว้าง:
- หนังสือพิมพ์: หนังสือพิมพ์รายวันหลักของประเทศมีสองฉบับคือ:
- ลีชเทินชไตเนอร์ ฟาเทอร์ลันท์ (Liechtensteiner Vaterlandลีชเทินชไตเนอร์ ฟาเทอร์ลันท์ภาษาเยอรมัน): เป็นหนังสือพิมพ์ที่เก่าแก่และมีอิทธิพลมากที่สุดฉบับหนึ่ง มีแนวโน้มทางการเมืองค่อนไปทางพรรคสหภาพปิตุภูมิ (VU)
- ลีชเทินชไตเนอร์ ฟอล์คสบลัทท์ (Liechtensteiner Volksblattลีชเทินชไตเนอร์ ฟอล์คสบลัทท์ภาษาเยอรมัน): เป็นหนังสือพิมพ์รายวันอีกฉบับหนึ่ง มีแนวโน้มทางการเมืองค่อนไปทางพรรคพลเมืองก้าวหน้า (FBP) (หมายเหตุ: Volksblatt ได้ยุติการพิมพ์ฉบับรายวันในปี ค.ศ. 2023 และเปลี่ยนเป็นฉบับสุดสัปดาห์)
- สถานีวิทยุ:
- วิทยุลีชเทินชไตน์ (Radio Liechtensteinราดิโอ ลีชเทินชไตน์ภาษาเยอรมัน): เป็นสถานีวิทยุสาธารณะของรัฐเพียงแห่งเดียวในประเทศ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2004 พร้อมกับผู้แพร่ภาพกระจายเสียงสาธารณะ Liechtensteinischer Rundfunkลีชเทินชไตนิชเชอร์ รุนด์ฟุงค์ภาษาเยอรมัน (LRF) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการสถานี ตั้งอยู่ในทรีเซิน
- สถานีโทรทัศน์:
- 1FLTV: เป็นสถานีโทรทัศน์เอกชนเพียงแห่งเดียวในประเทศ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2008 โดยมีเป้าหมายที่จะเข้าร่วมสหภาพการกระจายเสียงและแพร่ภาพแห่งยุโรป แต่ไม่สำเร็จและได้ยกเลิกความตั้งใจดังกล่าวไปแล้ว
- ลันเดสคานาล (Landeskanalลันเดสคานาลภาษาเยอรมัน - ช่องแห่งชาติ): ดำเนินการโดยหน่วยงานสารสนเทศและการสื่อสารของรัฐบาล ออกอากาศการประชุมของรัฐบาล รายการกิจการสาธารณะ และกิจกรรมทางวัฒนธรรม
ช่องทั้งสองสามารถรับชมได้ผ่านผู้ให้บริการเคเบิลท้องถิ่น พร้อมกับช่องหลักทั้งหมดจากประเทศที่พูดภาษาเยอรมันอื่น ๆ ตั้งแต่สวิตเซอร์แลนด์ปิดเครือข่ายโทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบดิจิทัลในปี ค.ศ. 2019 สัญญาณโทรทัศน์ฟรีเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่คือช่องของเยอรมันและออสเตรียจากสถานีส่งเพแฟนเดอร์ (Sender Pfänder) ในเบรเกนซ์
- การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต: การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเป็นที่แพร่หลายในลีชเทินชไตน์ มีผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่หลักคือ เทเลคอม ลีชเทินชไตน์ (Telecom Liechtenstein) ซึ่งตั้งอยู่ในวาดุซ ประชาชนสามารถเข้าถึงข่าวสารและข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ทั่วโลกได้อย่างง่ายดาย
- วิทยุสมัครเล่น: เป็นงานอดิเรกของพลเมืองและผู้มาเยือนบางส่วน อย่างไรก็ตาม ต่างจากประเทศอธิปไตยอื่น ๆ เกือบทั้งหมด ลีชเทินชไตน์ไม่มีรหัสเรียกขานของ ITU เป็นของตนเอง โดยทั่วไปแล้ว นักวิทยุสมัครเล่นจะได้รับสัญญาณเรียกขานด้วยคำนำหน้าของสวิส "HB" ตามด้วย "0" หรือ "L"
เสรีภาพของสื่อได้รับการรับรองในลีชเทินชไตน์ แต่เนื่องจากขนาดของตลาดสื่อที่เล็ก ทำให้สื่อท้องถิ่นอาจมีข้อจำกัดในด้านทรัพยากร อย่างไรก็ตาม ประชาชนสามารถเข้าถึงสื่อจากประเทศเพื่อนบ้านที่พูดภาษาเยอรมันได้อย่างกว้างขวาง ทำให้มีแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย
10. การคมนาคม
10.1. การคมนาคมทางถนน

ลีชเทินชไตน์มีเครือข่ายถนนที่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี มีความยาวรวมประมาณ 250 km และมีเส้นทางจักรยานที่ทำเครื่องหมายไว้ระยะทาง 90 km
ระบบขนส่งสาธารณะทางถนนที่สำคัญคือ ลีชเทินชไตน์บัส (Liechtenstein Bus หรือ LIEMobil) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของระบบโพสต์บัสสวิตเซอร์แลนด์ (PostBus Switzerland) แต่ดำเนินการแยกต่างหาก ลีชเทินชไตน์บัสให้บริการเส้นทางรถโดยสารภายในประเทศและเชื่อมต่อกับเครือข่ายรถโดยสารและรถไฟของสวิตเซอร์แลนด์ที่เมืองบุคส์และซาร์กันส์ตามลำดับ ผู้ถือบัตร Swiss Travel Pass (เฉพาะผู้ที่ไม่ได้พำนักในสวิตเซอร์แลนด์หรือลีชเทินชไตน์) สามารถเดินทางด้วยรถโดยสารของลีชเทินชไตน์ได้ฟรี
10.2. การคมนาคมทางราง

เส้นทางรถไฟสายเดียวในลีชเทินชไตน์คือรถไฟสายเฟ็ลท์เคียร์ช-บุคส์ (Feldkirch-Buchs railway) ซึ่งมีระยะทาง 9.5 km ตั้งอยู่ภายในราชรัฐ เส้นทางนี้เชื่อมต่อเมืองเฟ็ลท์เคียร์ชในรัฐฟอร์อาร์ลแบร์ค (ออสเตรีย) กับเมืองบุคส์ในรัฐซังคท์กัลเลิน (สวิตเซอร์แลนด์) มีสถานีรถไฟสี่แห่งในลีชเทินชไตน์ ได้แก่ ชาน-วาดุซ (Schaan-Vaduz) ฟอร์สท์ฮิลติ (Forst Hilti) เนนเดลน์ (Nendeln) และชานวัลด์ (Schaanwald) (จากตะวันตกไปตะวันออก) ยกเว้นสถานีชานวัลด์ซึ่งปิดให้บริการในปี ค.ศ. 2013 สถานีเหล่านี้มีรถไฟภูมิภาคสาย S2 ของเอส-บาห์นฟอร์อาร์ลแบร์ค (Vorarlberg S-Bahn) ให้บริการ ซึ่งวิ่งระหว่างสถานีเฟ็ลท์เคียร์ชและสถานีบุคส์เอสจี (Buchs SG) เฉพาะวันทำการ บริการนี้ดำเนินการโดยการรถไฟสหพันธรัฐออสเตรีย (ÖBB) แผนการปรับปรุงเส้นทางและเพิ่มปริมาณการเดินรถไฟถูกระงับโดยการลงประชามติในปี ค.ศ. 2020
ในนามแล้ว ลีชเทินชไตน์อยู่ในเขตการขนส่ง Ostwind ซึ่งรวมถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสวิตเซอร์แลนด์ด้วย รถไฟทางไกลไรล์เจ็ต (Railjet) และยูโรซิตี้ (EuroCity) ไม่จอดที่สถานีในลีชเทินชไตน์
10.3. การคมนาคมทางอากาศ

ลีชเทินชไตน์เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ไม่มีท่าอากาศยาน ท่าอากาศยานซือริชใกล้เมืองซือริช ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (ห่างออกไป 130 km โดยทางถนน) เป็นท่าอากาศยานขนาดใหญ่ที่ใกล้ที่สุด ท่าอากาศยานขนาดเล็กที่ใกล้ที่สุดคือท่าอากาศยานซังคท์กัลเลิน-อัลเทนไรน์ (ห่างออกไป 50 km) ท่าอากาศยานฟรีดริชส์ฮาเฟินยังให้บริการการเดินทางไปยังลีชเทินชไตน์ เนื่องจากอยู่ห่างออกไป 85 km ลานจอดเฮลิคอปเตอร์บัลท์เซิร์ส (Balzers Heliport) ให้บริการสำหรับเที่ยวบินเฮลิคอปเตอร์เช่าเหมาลำ
11. วัฒนธรรม
วัฒนธรรมของลีชเทินชไตน์ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากประเทศเพื่อนบ้านที่พูดภาษาเยอรมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ออสเตรียและสวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงภูมิภาคทางใต้ของเยอรมนี เช่น บาวาเรียและบาเดิน-เวือร์ทเทมแบร์ค และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทีโรลและฟอร์อาร์ลแบร์คของออสเตรีย สังคมประวัติศาสตร์แห่งราชรัฐลีชเทินชไตน์และพิพิธภัณฑ์แห่งชาติลีชเทินชไตน์มีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของประเทศ
11.1. ศิลปะและพิพิธภัณฑ์

ลีชเทินชไตน์มีสถานที่ทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจหลายแห่ง:
- พิพิธภัณฑ์ศิลปะลีชเทินชไตน์ (Kunstmuseum Liechtenstein): เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่และร่วมสมัยระดับนานาชาติ จัดแสดงคอลเลกชันศิลปะนานาชาติที่สำคัญ อาคารพิพิธภัณฑ์ออกแบบโดยสถาปนิกชาวสวิส มอร์เกอร์, เดเกโล และเคเรซ ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญในวาดุซ สร้างเสร็จในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2000 มีลักษณะเป็น "กล่องสีดำ" ทำจากคอนกรีตสีเข้มและหินบะซอลต์สีดำ คอลเลกชันของพิพิธภัณฑ์ยังเป็นคอลเลกชันศิลปะแห่งชาติของลีชเทินชไตน์อีกด้วย
- พิพิธภัณฑ์แห่งชาติลีชเทินชไตน์ (Liechtensteinisches Landesmuseum): จัดแสดงนิทรรศการถาวรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมและธรรมชาติของลีชเทินชไตน์ รวมถึงนิทรรศการพิเศษต่าง ๆ เป็นสถานที่สำคัญในการเรียนรู้เกี่ยวกับมรดกของประเทศ
- พิพิธภัณฑ์ตราไปรษณียากร (Postal Museum): จัดแสดงคอลเลกชันตราไปรษณียากรที่มีชื่อเสียงของลีชเทินชไตน์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านการออกแบบที่สวยงามและเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศในอดีต
- พิพิธภัณฑ์สกี (Ski Museum): จัดแสดงประวัติศาสตร์และพัฒนาการของกีฬาสกีในลีชเทินชไตน์ ซึ่งเป็นกีฬาฤดูหนาวที่สำคัญของประเทศ
- พิพิธภัณฑ์วิถีชีวิตชนบทอายุ 500 ปี (500-year-old Rural Lifestyle Museum): นำเสนอภาพชีวิตความเป็นอยู่ในชนบทของลีชเทินชไตน์ในอดีต
- หอสมุดแห่งรัฐลีชเทินชไตน์ (Liechtenstein State Library): เป็นหอสมุดที่รับการฝากตามกฎหมายสำหรับหนังสือทุกเล่มที่ตีพิมพ์ในประเทศ
- คอลเลกชันศิลปะส่วนพระองค์ของเจ้าชายแห่งลีชเทินชไตน์ (Private Art Collection of the Prince of Liechtenstein): เป็นหนึ่งในคอลเลกชันศิลปะส่วนตัวชั้นนำของโลก จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลีชเทินชไตน์ในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย
สถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ปราสาทวาดุซ ปราสาทกูเทนแบร์ก และมหาวิหารวาดุซ
กวี อิดา ออสเปลท์-อามันน์ (Ida Ospelt-Amann) ตีพิมพ์ผลงานของเธอเฉพาะในภาษาถิ่นอาลามานนิกของวาดุซ
11.2. ดนตรีและศิลปะการแสดง
ดนตรีและการละครเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมลีชเทินชไตน์ มีองค์กรดนตรีมากมาย เช่น Liechtenstein Musical Company, เทศกาลกีตาร์ประจำปี (Annual Guitar Days) และสมาคมนานาชาติโยเซฟ กาเบรียล ไรน์แบร์เกอร์ (International Josef Gabriel Rheinberger Society) ซึ่งจัดการแสดงในโรงละครหลักสองแห่ง
สถาบันการศึกษาด้านดนตรีที่สำคัญ ได้แก่:
- โรงเรียนดนตรีลีชเทินชไตน์ (Liechtenstein School of Music): เป็นสถาบันหลักในการให้การศึกษาด้านดนตรีแก่เยาวชนและผู้ใหญ่ มีหลักสูตรหลากหลายและจัดกิจกรรมดนตรีเป็นประจำ
- กลุ่มดนตรีต่าง ๆ: มีวงดนตรีและคณะนักร้องประสานเสียงหลายกลุ่มที่ hoạt động ในลีชเทินชไตน์ ครอบคลุมแนวดนตรีหลากหลาย ตั้งแต่ดนตรีคลาสสิกไปจนถึงดนตรีพื้นเมืองและสมัยใหม่
- กิจกรรมศิลปะการแสดง: มีการจัดคอนเสิร์ต การแสดงละคร และกิจกรรมศิลปะการแสดงอื่น ๆ เป็นประจำตลอดทั้งปี ทั้งโดยศิลปินท้องถิ่นและศิลปินรับเชิญจากต่างประเทศ เทศกาลดนตรีและวัฒนธรรมต่าง ๆ ช่วยเพิ่มชีวิตชีวาให้กับฉากศิลปะของประเทศ
โยเซฟ ไรน์แบร์เกอร์ (Josef Rheinberger) นักประพันธ์เพลงและนักออร์แกนชื่อดัง เกิดที่วาดุซในปี ค.ศ. 1839 ผลงานของเขายังคงได้รับการยกย่องและแสดงในระดับสากล
11.3. วัฒนธรรมอาหาร
วัฒนธรรมอาหารของลีชเทินชไตน์ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย และเยอรมนี อาหารพื้นเมืองมักจะเรียบง่ายแต่มีคุณค่าทางโภชนาการ โดยเน้นวัตถุดิบในท้องถิ่น
อาหารที่ขึ้นชื่อและเป็นที่รู้จัก ได้แก่:
- เคสเนิพเฟลอ (Käsknöpfleเคสเนิพเฟลอภาษาเยอรมัน): เป็นอาหารจานหลักที่คล้ายกับสปาเอซเลอ (Spätzle) หรือเกี๊ยวขนาดเล็ก ทำจากแป้ง ไข่ และนม เสิร์ฟพร้อมชีสขูด (มักเป็นชีสท้องถิ่นรสเข้ม) และหัวหอมทอดกรอบ ถือเป็นอาหารประจำชาติอย่างหนึ่งของลีชเทินชไตน์
- ริเบิล (Ribelรีเบิลภาษาเยอรมัน): เป็นอาหารที่ทำจากข้าวโพดหรือข้าวสาลี เป็นอาหารพื้นบ้านดั้งเดิมที่เรียบง่าย มักรับประทานเป็นอาหารเช้าหรืออาหารว่าง
- ซุปและสตูว์ต่าง ๆ: เนื่องจากมีอากาศหนาวเย็น ซุปและสตูว์ที่ทำจากเนื้อสัตว์ ผัก และธัญพืชจึงเป็นที่นิยม
- ผลิตภัณฑ์จากนม: ชีสและผลิตภัณฑ์จากนมอื่น ๆ มีคุณภาพดีและเป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหารหลายชนิด
- เนื้อสัตว์และไส้กรอก: คล้ายกับอาหารเยอรมันและออสเตรีย มีการบริโภคเนื้อหมู เนื้อวัว และไส้กรอกหลากหลายประเภท
- ขนมปัง: มีขนมปังหลากหลายชนิด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของอาหารทุกมื้อ
- ไวน์: ลีชเทินชไตน์มีการผลิตไวน์คุณภาพดี โดยเฉพาะไวน์ขาวจากองุ่นพันธุ์ท้องถิ่น การเยี่ยมชมไร่องุ่นและชิมไวน์เป็นกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ
วัฒนธรรมการกินของลีชเทินชไตน์ยังสะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับวัตถุดิบตามฤดูกาลและการเฉลิมฉลองเทศกาลต่าง ๆ ผ่านอาหารพิเศษประจำเทศกาล
11.4. เทศกาลและวันหยุดนักขัตฤกษ์
ลีชเทินชไตน์มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่สำคัญหลายวัน ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรม ประเพณี และศาสนาของประเทศ:
- วันชาติ (Staatsfeiertagชตาทส์ไฟเออร์ทาคภาษาเยอรมัน): ตรงกับวันที่ 15 สิงหาคม เป็นวันหยุดที่สำคัญที่สุดของชาติ วันนี้ยังเป็นวันสมโภชแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ (Assumption of Mary) ซึ่งเป็นวันหยุดทางศาสนาด้วย ในวันชาติจะมีการเฉลิมฉลองทั่วประเทศ โดยมีกิจกรรมหลักจัดขึ้นที่วาดุซ รวมถึงการกล่าวสุนทรพจน์โดยเจ้าชาย การแสดงดอกไม้ไฟ และการเปิดปราสาทวาดุซให้ประชาชนเข้าชมบางส่วน ซึ่งเป็นโอกาสพิเศษที่ประชาชนจะได้พบปะกับสมาชิกราชวงศ์
- เทศกาลทางศาสนาตามประเพณี: เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก วันหยุดทางศาสนาจึงมีความสำคัญมาก ได้แก่:
- วันขึ้นปีใหม่ (1 มกราคม)
- วันสมโภชพระคริสต์แสดงองค์ (Epiphany - 6 มกราคม)
- วันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ (Maundy Thursday)
- วันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday)
- วันจันทร์อีสเตอร์ (Easter Monday)
- วันแรงงานสากล (1 พฤษภาคม)
- วันเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระเยซู (Ascension Day)
- วันจันทร์วิทซัน (Whit Monday หรือ Pentecost Monday)
- วันสมโภชพระวรกายและพระโลหิตพระคริสต์ (Corpus Christi)
- วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย (All Saints' Day - 1 พฤศจิกายน)
- วันสมโภชพระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมล (Immaculate Conception - 8 ธันวาคม)
- คริสต์มาส (25 ธันวาคม)
- วันนักบุญสเทเฟน (St. Stephen's Day - 26 ธันวาคม)
- เทศกาลท้องถิ่น: นอกจากวันหยุดนักขัตฤกษ์แล้ว ยังมีเทศกาลและงานเฉลิมฉลองท้องถิ่นต่าง ๆ ที่จัดขึ้นตลอดทั้งปี ซึ่งสะท้อนถึงประเพณีและวัฒนธรรมของแต่ละเทศบาล เช่น เทศกาลเก็บเกี่ยวองุ่น เทศกาลดนตรี และตลาดคริสต์มาส
- ฟุงเคินซอนทาค (Funkensonntagฟุงเคินซอนทาคภาษาเยอรมัน - Spark Sunday): เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นในวันอาทิตย์แรกของเทศกาลมหาพรต (Lent) เพื่อขับไล่ฤดูหนาว มีการจุดกองไฟขนาดใหญ่ เป็นประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดกันมา
ในวันหยุดนักขัตฤกษ์ โดยเฉพาะวันชาติ ประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองระดับชาติที่ปราสาท ซึ่งมีการกล่าวสุนทรพจน์และเสิร์ฟเบียร์ฟรี
12. กีฬา
แม้จะเป็นประเทศขนาดเล็ก ลีชเทินชไตน์ก็มีผลงานที่น่าประทับใจในวงการกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกีฬาฤดูหนาว
12.1. ฟุตบอล
สมาคมฟุตบอลลีชเทินชไตน์ (Liechtenstein Football Association) เป็นสมาชิกของยูฟ่า (UEFA) และฟีฟ่า (FIFA)
- การไม่มีลีกอาชีพ: ลีชเทินชไตน์เป็นหนึ่งในสมาชิกยูฟ่าไม่กี่ประเทศที่ไม่มีลีกฟุตบอลอาชีพเป็นของตนเอง สโมสรฟุตบอลของลีชเทินชไตน์ เช่น เอฟซีวาดุซ (FC Vaduz) และสโมสรอื่น ๆ จะเข้าร่วมแข่งขันในระบบลีกของสวิตเซอร์แลนด์ เอฟซีวาดุซเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด โดยเคยแข่งขันในสวิสซูเปอร์ลีก (Swiss Super League) ซึ่งเป็นลีกสูงสุดของสวิตเซอร์แลนด์ และปัจจุบันเล่นอยู่ในสวิสแชลเลนจ์ลีก (Swiss Challenge League) ซึ่งเป็นลีกระดับสอง
- ลีชเทินชไตน์ฟุตบอลคัพ (Liechtenstein Football Cup): เป็นการแข่งขันฟุตบอลถ้วยประจำปีของประเทศ ทีมที่ชนะเลิศจะได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก เอฟซีวาดุซเป็นทีมที่ครองความยิ่งใหญ่ในการแข่งขันรายการนี้
- ทีมชาติลีชเทินชไตน์ (Liechtenstein national football team): แม้ว่าทีมชาติลีชเทินชไตน์มักจะถูกมองว่าเป็นทีมรองบ่อนในการแข่งขันระดับนานาชาติ แต่ก็เคยสร้างผลงานที่น่าประหลาดใจได้บ้าง เช่น การเสมอกับโปรตุเกส 2-2 ในปี ค.ศ. 2004 และการเอาชนะลักเซมเบิร์ก 4-0 ในการแข่งขันรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2006 รวมถึงการเอาชนะลัตเวีย 1-0 และไอซ์แลนด์ 3-0 ในรอบคัดเลือกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 และการเอาชนะลิทัวเนีย 2-0 ในปี ค.ศ. 2011 และมอลโดวา 1-0 ในปี ค.ศ. 2014
ลีชเทินชไตน์ยังมีการแข่งขันฟุตบอลเยาวชน โดยเข้าร่วมการแข่งขัน Switzerland U16 Cup Tournament ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เล่นเยาวชนได้แข่งขันกับสโมสรฟุตบอลชั้นนำ
12.2. กีฬาฤดูหนาว


ลีชเทินชไตน์มีความโดดเด่นอย่างมากในกีฬาฤดูหนาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกีฬาสกีลงเขา (Alpine skiing) พื้นที่สกีเพียงแห่งเดียวของประเทศคือมัลบุน (Malbun)
- ความสำเร็จในโอลิมปิก: ลีชเทินชไตน์เป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร โดยคว้าเหรียญรางวัลโอลิมปิกมาแล้วทั้งหมด 10 เหรียญ (ทั้งหมดมาจากกีฬาสกีลงเขา) ทำให้ลีชเทินชไตน์เป็นประเทศที่คว้าเหรียญรางวัลโอลิมปิกต่อหัวประชากรมากที่สุดในโลก ลีชเทินชไตน์เป็นประเทศที่เล็กที่สุดที่คว้าเหรียญรางวัลในกีฬาโอลิมปิกใด ๆ (ทั้งฤดูหนาวและฤดูร้อน) และปัจจุบันเป็นประเทศเดียวที่คว้าเหรียญรางวัลในโอลิมปิกฤดูหนาวแต่ไม่เคยคว้าเหรียญในโอลิมปิกฤดูร้อน
- นักกีฬาที่มีชื่อเสียง:
- ฮันนี เวนเซล (Hanni Wenzel): คว้า 2 เหรียญทองและ 1 เหรียญเงินในโอลิมปิกฤดูหนาว 1980 (และ 1 เหรียญทองแดงในปี 1976)
- อันเดรียส เวนเซล (Andreas Wenzel): น้องชายของฮันนี คว้า 1 เหรียญเงินในปี 1980 และ 1 เหรียญทองแดงในปี 1984 ในประเภทไจแอนท์สลาลอม
- ทีนา ไวราเทอร์ (Tina Weirather): ลูกสาวของฮันนี คว้า 1 เหรียญทองแดงในปี 2018 ในประเภทซูเปอร์จี
- นักสกีที่มีชื่อเสียงคนอื่น ๆ ได้แก่ มาร์โค บือเชล (Marco Büchel), วิลลี ฟรอมเมลท์ (Willi Frommelt), พอล ฟรอมเมลท์ (Paul Frommelt) และอูร์ซูลา คอนเซทท์ (Ursula Konzett)
ความสำเร็จเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความสามารถของนักกีฬาลีชเทินชไตน์ในเวทีระดับโลก แม้จะมีทรัพยากรที่จำกัดก็ตาม
12.3. กีฬาอื่น ๆ
นอกเหนือจากฟุตบอลและกีฬาฤดูหนาวแล้ว ลีชเทินชไตน์ยังมีกิจกรรมและการเข้าร่วมการแข่งขันในกีฬาประเภทอื่น ๆ แม้ว่าอาจจะไม่โดดเด่นเท่า:
- เทนนิส: สเตฟานี โฟกท์ (Stephanie Vogt) และคาทินกา ฟอน ไดช์มันน์ (Kathinka von Deichmann) เป็นนักเทนนิสหญิงที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งในการแข่งขันระดับอาชีพ
- ว่ายน้ำ: ยูเลีย ฮาสเลอร์ (Julia Hassler) และคริสทอฟ ไมเออร์ (Christoph Meier) เป็นตัวแทนประเทศในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 โดยฮาสเลอร์เป็นผู้ถือธงชาติในพิธีเปิด
- กีฬามอเตอร์สปอร์ต: เป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างน่าประหลาดใจในหมู่ชาวลีชเทินชไตน์ ริคกี ฟอน โอเปิล (Rikky von Opel) นักแข่งรถชาวอเมริกัน-เยอรมัน-โคลอมเบีย แข่งขันภายใต้ธงลีชเทินชไตน์ในฟอร์มูลาวันฤดูกาล 1973 และ 1974 มันเฟรด ชูร์ติ (Manfred Schurti) เข้าร่วมการแข่งขันเลอม็อง 24 ชั่วโมง 9 ครั้งในฐานะนักขับโรงงานของปอร์เช่ โดยผลงานที่ดีที่สุดคืออันดับ 4 โดยรวมในปี 1976 ปัจจุบันประเทศมีตัวแทนในระดับนานาชาติคือ ฟาเบียน โวห์ลเวนด์ (Fabienne Wohlwend) และมัทธีอัส ไกเซอร์ (Matthias Kaiser) ในการแข่งขันรถแข่งประเภทเอ็นดูรานซ์
- รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า: ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2020 มิเชล ฟอน เทลล์ (Michel von Tell) ศิลปิน ได้สร้างสถิติโลกด้านระยะทางสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในลีชเทินชไตน์ โดยขับรถจักรยานยนต์ฮาร์ลีย์-เดวิดสันไฟฟ้ารุ่นแรกเป็นระยะทางกว่า 1,000 ไมล์ภายใน 24 ชั่วโมง สถิตินี้ยังคงอยู่จนถึงปี ค.ศ. 2023 และสิ้นสุดที่รุกเก็ล (Ruggell) เหตุการณ์นี้ได้รับความสนใจจากสื่อทั่วโลก
แม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่ลีชเทินชไตน์ก็สนับสนุนการมีส่วนร่วมในกีฬาหลากหลายประเภท และนักกีฬาก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแข่งขันในระดับนานาชาติ