1. ภาพรวม
ประเทศลักเซมเบิร์ก หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ ราชรัฐลักเซมเบิร์ก เป็นประเทศขนาดเล็กที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในภูมิภาคตะวันตกของทวีปยุโรป มีพรมแดนติดกับเบลเยียมทางทิศตะวันตกและทิศเหนือ เยอรมนีทางทิศตะวันออก และฝรั่งเศสทางทิศใต้ เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือนครลักเซมเบิร์ก ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ที่ตั้งสถาบันหลักของสหภาพยุโรป (ร่วมกับบรัสเซลส์ แฟรงก์เฟิร์ต และสทราซบูร์) และเป็นที่ตั้งของศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นหน่วยงานตุลาการสูงสุดของสหภาพยุโรป
ด้วยขนาดพื้นที่ประมาณ 2.59 K km2 และประชากรราว 672,050 คน (ณ เดือนมกราคม ค.ศ. 2024) ลักเซมเบิร์กจึงเป็นหนึ่งในรัฐอธิปไตยที่เล็กที่สุดและมีประชากรน้อยที่สุดในยุโรป อย่างไรก็ตาม ประเทศนี้มีอัตราการเติบโตของประชากรสูง โดยเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรเป็นชาวต่างชาติ ลักเซมเบิร์กปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน โดยมีพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญคือ แกรนด์ดยุกอ็องรีแห่งลักเซมเบิร์กเป็นประมุขแห่งรัฐ ทำให้ลักเซมเบิร์กเป็นราชรัฐ (Grand Duchy) เพียงแห่งเดียวที่ยังคงมีอยู่ในโลก
ประวัติศาสตร์ของลักเซมเบิร์กเริ่มต้นจากการเป็นเคาน์ตีลักเซมเบิร์กในปี ค.ศ. 963 ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และราชวงศ์ลักเซมเบิร์กได้มีบทบาทสำคัญในการปกครองจักรวรรดิในช่วงสมัยกลางตอนปลาย ก่อนที่จะถูกรวมเข้ากับดินแดนของเนเธอร์แลนด์ของฮาพส์บวร์ค และต่อมาถูกฝรั่งเศสและออสเตรียปกครอง ลักเซมเบิร์กได้รับเอกราชบางส่วนหลังการประชุมใหญ่แห่งเวียนนาในปี ค.ศ. 1815 และได้รับเอกราชสมบูรณ์พร้อมสถานะความเป็นกลางถาวรในปี ค.ศ. 1867 แม้จะถูกเยอรมนีเข้ายึดครองในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2 ลักเซมเบิร์กได้ละทิ้งนโยบายความเป็นกลางหลังสงคราม และกลายเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งองค์กรระหว่างประเทศที่สำคัญหลายแห่ง เช่น สหประชาชาติ เนโท และสหภาพยุโรป ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการบูรณาการและความร่วมมือระหว่างประเทศ
ลักเซมเบิร์กเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีเศรษฐกิจก้าวหน้าและมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวที่ปรับตามความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ (PPP) สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ระบบเศรษฐกิจมีพื้นฐานสำคัญจากภาคบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการเงิน ซึ่งทำให้ลักเซมเบิร์กเป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม สถานะนี้ก็นำมาซึ่งการตรวจสอบในประเด็นเรื่องการเป็นแหล่งหลบเลี่ยงภาษี ลักเซมเบิร์กมีมาตรฐานการครองชีพที่สูง มีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระดับสูง และให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน รวมถึงสิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ สังคมลักเซมเบิร์กมีลักษณะเป็นพหุวัฒนธรรม โดยมีการใช้สามภาษาอย่างเป็นทางการคือ ภาษาลักเซมเบิร์ก ภาษาฝรั่งเศส และภาษาเยอรมัน วัฒนธรรมของประเทศสะท้อนอิทธิพลจากประเทศเพื่อนบ้านทั้งฝรั่งเศสและเยอรมนี เมืองเก่าและป้อมปราการของนครลักเซมเบิร์กได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปี ค.ศ. 1994 ในฐานะเป็นศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมที่สำคัญ
2. ชื่อประเทศ
ชื่อประเทศอย่างเป็นทางการของลักเซมเบิร์กคือ ราชรัฐลักเซมเบิร์ก ซึ่งในภาษาท้องถิ่นมีการเรียกชื่อดังนี้:
- ภาษาลักเซมเบิร์ก: Groussherzogtum Lëtzebuergโกรสแฮร์โซกทุม เลิตเซอบัวช์ภาษาลักเซมเบิร์ก, Letzeburgesch
- ภาษาฝรั่งเศส: Grand-Duché de Luxembourgกร็อง-ดูเช เดอ ลุกซ็องบูร์ภาษาฝรั่งเศส
- ภาษาเยอรมัน: Großherzogtum Luxemburgโกรสแฮร์โซกทุม ลุกซัมบวร์คภาษาเยอรมัน
ชื่อเรียกโดยทั่วไปคือ ลักเซมเบิร์ก ซึ่งในภาษาต่าง ๆ ออกเสียงว่า:
- ภาษาลักเซมเบิร์ก: Lëtzebuergเลิตเซอบัวช์ภาษาลักเซมเบิร์ก, Letzeburgesch
- ภาษาฝรั่งเศส: Luxembourgลุกซ็องบูร์ภาษาฝรั่งเศส
- ภาษาเยอรมัน: Luxemburgลุกซัมบวร์คภาษาเยอรมัน
- ภาษาอังกฤษ: Luxembourgลักเซิมเบิร์กภาษาอังกฤษ
ชื่อ "ลักเซมเบิร์ก" มีที่มาจากคำว่า "Lucilinburhuc" ซึ่งเป็นภาษาเยอรมันสูงเก่า หมายถึง "ปราสาทเล็ก" (little castle) หรือ "ป้อมปราการเล็ก" (small fortress) คำนี้ถูกบันทึกครั้งแรกเมื่อเคานต์ซีกฟรีดแห่งอาร์เดนเนส (Siegfried, Count of the Ardennes) ได้ครอบครองพื้นที่บริเวณนี้ในปี ค.ศ. 963 และสร้างปราสาทขึ้นบนโขดหินบ็อค (Bock) ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทลักเซมเบิร์กในปัจจุบัน บริเวณรอบปราสาทนี้ได้พัฒนาเป็นเมืองและต่อมาเป็นรัฐที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ชื่อ "Lucilinburhuc" ได้ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเป็น "Lützelburg" และในที่สุดก็เป็น "Luxemburg" ในภาษาเยอรมัน และ "Luxembourg" ในภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษ ซึ่งสะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศในฐานะจุดยุทธศาสตร์ที่มีป้อมปราการแข็งแกร่ง
3. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของลักเซมเบิร์กเป็นเรื่องราวของการต่อสู้เพื่อเอกราชและการพัฒนาท่ามกลางมหาอำนาจในยุโรป ดินแดนนี้ผ่านการปกครองจากหลายจักรวรรดิและราชวงศ์ จนกระทั่งก่อตั้งเป็นรัฐเอกราชที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง
3.1. สมัยโบราณและสมัยกลางตอนต้น

ร่องรอยแรกสุดของการตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่เป็นประเทศลักเซมเบิร์กในปัจจุบัน ย้อนกลับไปได้ถึงยุคหินเก่าตอนปลาย (Paleolithic Age) ราว 35,000 ปีที่แล้ว ตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ชนเผ่าเคลต์ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในภูมิภาคระหว่างแม่น้ำไรน์และแม่น้ำเมิซ หกศตวรรษต่อมา ชาวโรมันเรียกชนเผ่าเคลต์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้โดยรวมว่า เทรเวรี (Treveri) มีการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีจำนวนมากที่พิสูจน์การมีอยู่ของพวกเขาในลักเซมเบิร์ก ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือออปปิดุม (oppidum) หรือเมืองป้อมปราการของทิเทลแบร์ก (Titelberg)
ประมาณปี 58 ถึง 51 ก่อนคริสตกาล ชาวโรมันได้รุกรานดินแดนนี้เมื่อจูเลียส ซีซาร์พิชิตกอลและส่วนหนึ่งของเจอร์มาเนียจนถึงชายแดنแม่น้ำไรน์ ทำให้พื้นที่ที่เป็นประเทศลักเซมเบิร์กในปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันเป็นเวลา 450 ปีต่อมา โดยอยู่ภายใต้ความสงบสุขของพักซ์โรมานา (Pax Romana) เช่นเดียวกับชาวกอล ชาวเคลต์ในลักเซมเบิร์กได้รับเอาวัฒนธรรม ภาษา ศีลธรรม และวิถีชีวิตแบบโรมันเข้ามา กลายเป็นสิ่งที่นักประวัติศาสตร์ภายหลังเรียกว่าอารยธรรมกอล-โรมัน (Gallo-Roman civilization) หลักฐานจากยุคนี้รวมถึงดาลไฮม์ริคเซียคุม (Dalheim Ricciacum) และโมเสกวิชเทิน (Vichten mosaic) ซึ่งจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และศิลปะแห่งชาติในนครลักเซมเบิร์ก
ดินแดนนี้ถูกแทรกซึมโดยชนเผ่าแฟรงก์ซึ่งเป็นชาวเจอร์แมนิกตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 และถูกทอดทิ้งโดยโรมในปี ค.ศ. 406 หลังจากนั้นจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรแฟรงก์ ชาวซาเลียนแฟรงก์ (Salian Franks) ที่ตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้มักถูกกล่าวถึงว่าเป็นผู้นำภาษาเจอร์แมนิกมาสู่ลักเซมเบิร์กในปัจจุบัน เนื่องจากภาษาแฟรงก์เก่า (Old Frankish language) ที่พวกเขาพูดนั้น นักภาษาศาสตร์ถือว่าเป็นบรรพบุรุษโดยตรงของภาษาถิ่นโมแซลฟรังโกเนียน (Moselle Franconian dialect) ซึ่งต่อมาได้พัฒนาไปเป็นภาษาลักเซมเบิร์กสมัยใหม่ รวมถึงภาษาอื่น ๆ ด้วย
การทำให้ลักเซมเบิร์กเป็นคริสเตียน (Christianization) โดยทั่วไปย้อนกลับไปถึงปลายศตวรรษที่ 7 บุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดในบริบทนี้คือ นักบุญวิลลิบรอร์ด (Willibrord) นักบุญมิชชันนารีชาวนอร์ทัมเบรีย ซึ่งร่วมกับพระสงฆ์รูปอื่น ๆ ได้ก่อตั้งอารามเอชเทอร์นัค (Abbey of Echternach) ในปี ค.ศ. 698 และได้รับการเฉลิมฉลองเป็นประจำทุกปีในขบวนแห่นักเต้นแห่งเอชเทอร์นัค (Dancing procession of Echternach) เป็นเวลาหลายศตวรรษ อารามแห่งนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในอารามที่มีอิทธิพลมากที่สุดในยุโรปเหนือ Codex Aureus of Echternach ซึ่งเป็นคัมภีร์โบราณที่สำคัญที่ยังหลงเหลืออยู่ เขียนด้วยหมึกทองคำทั้งเล่ม ถูกผลิตขึ้นที่นี่ในศตวรรษที่ 11 สิ่งที่เรียกว่าคัมภีร์ไบเบิลของจักรพรรดิ (Emperor's Bible) และพระวรสารทองคำของเฮนรีที่ 3 (Golden Gospels of Henry III) ก็ถูกผลิตขึ้นที่เอชเทอร์นัคในช่วงเวลานี้เช่นกัน การก่อตั้งอารามแห่งนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการเผยแผ่ศาสนาคริสต์และวัฒนธรรมความรู้ในภูมิภาค ซึ่งส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและความเชื่อของประชาชนในท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง
3.2. เคาน์ตีลักเซมเบิร์ก (ค.ศ. 963 - 1354)

เมื่อจักรวรรดิการอแล็งเฌียงถูกแบ่งหลายครั้ง เริ่มต้นด้วยสนธิสัญญาแวร์เดิงในปี ค.ศ. 843 ดินแดนที่เป็นประเทศลักเซมเบิร์กในปัจจุบันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรแฟรงก์กลาง (ค.ศ. 843-855) อาณาจักรโลทาริงเกีย (ค.ศ. 855-959) และในที่สุดก็เป็นส่วนหนึ่งของดัชชีลอแรน (ค.ศ. 959-1059) ซึ่งตัวมันเองได้กลายเป็นรัฐหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
ประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ของลักเซมเบิร์กเริ่มต้นด้วยการที่ซีกฟรีดแห่งลักเซมเบิร์ก (Siegfried, Count of the Ardennes) ได้มาซึ่ง Lucilinburhuc (ปัจจุบันคือปราสาทลักเซมเบิร์ก) ซึ่งตั้งอยู่บนโขดหินบ็อค (Bock) ในปี ค.ศ. 963 ผ่านทางการแลกเปลี่ยนกับอารามเซนต์มักซิมิน เมืองเทรียร์ (St. Maximin's Abbey, Trier) รอบ ๆ ป้อมปราการนี้ เมืองได้ค่อย ๆ พัฒนาขึ้น ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางของรัฐที่มีคุณค่าทางยุทธศาสตร์อย่างยิ่งภายในดัชชีลอแรน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ป้อมปราการได้รับการขยายโดยทายาทของซีกฟรีด และในปี ค.ศ. 1083 หนึ่งในนั้นคือ คอนราดที่ 1 เคานต์แห่งลักเซมเบิร์ก (Conrad I) เป็นคนแรกที่เรียกตนเองว่า "เคานต์แห่งลักเซมเบิร์ก" และด้วยเหตุนี้จึงเป็นการก่อตั้งเคาน์ตีลักเซมเบิร์ก (County of Luxembourg) ที่เป็นอิสระขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ (ซึ่งยังคงเป็นรัฐภายในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์) การก่อตั้งเคาน์ตีนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างอัตลักษณ์ทางการเมืองและดินแดนของลักเซมเบิร์ก ซึ่งค่อย ๆ พัฒนาอำนาจและอิทธิพลในภูมิภาค
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 13 เคานต์แห่งลักเซมเบิร์กสามารถสร้างความมั่งคั่งและอำนาจได้อย่างมาก และได้ขยายอาณาเขตจากแม่น้ำเมิซไปจนถึงแม่น้ำโมแซล ในรัชสมัยของเฮนรีที่ 5 ผู้ผมทอง (Henry V the Blonde) เมืองบิตบูร์ก (Bitburg) ลารอช-อ็อง-อาร์เดน (La Roche-en-Ardenne) ดูร์บุย (Durbuy) อาร์ลง (Arlon) ทียงวีล (Thionville) มาร์วีล (Marville) ลงวี (Longwy) และในปี ค.ศ. 1264 เคาน์ตีแห่งวีอ็องเด็น (County of Vianden) ที่เป็นคู่แข่ง (และรวมถึงซังคท์วิท (St Vith) และชไลเดิน (Schleiden)) ได้ถูกรวมเข้าด้วยกันโดยตรงหรือกลายเป็นรัฐบริวารของเคาน์ตีลักเซมเบิร์ก การขยายตัวนี้สะท้อนถึงความทะเยอทะยานทางการเมืองและการทหารของราชวงศ์ลักเซมเบิร์ก อุปสรรคสำคัญเพียงอย่างเดียวในระหว่างการขึ้นสู่อำนาจของพวกเขาเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1288 เมื่อเฮนรีที่ 6 และพี่น้องอีกสามคนเสียชีวิตในยุทธการที่โวริงเงิน (Battle of Worringen) ขณะพยายามเพิ่มดัชชีลิมบวร์ค (Duchy of Limburg) เข้ามาในอาณาจักรของตนแต่ไม่สำเร็จ แม้จะพ่ายแพ้ แต่ยุทธการที่โวริงเงินก็ช่วยให้เคานต์แห่งลักเซมเบิร์กได้รับเกียรติยศทางทหารซึ่งพวกเขาเคยขาดไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วพวกเขาขยายอาณาเขตด้วยการสืบทอดมรดก การแต่งงาน และการได้รับศักดินา (fiefdoms)
การขึ้นสู่อำนาจของเคานต์แห่งลักเซมเบิร์กถึงจุดสูงสุดเมื่อไฮน์ริชที่ 7 ได้เป็นกษัตริย์แห่งชาวโรมัน (King of the Romans) กษัตริย์แห่งอิตาลี (King of Italy) และในที่สุด ในปี ค.ศ. 1312 ก็ได้เป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ การขึ้นสู่ตำแหน่งจักรพรรดิของไฮน์ริชที่ 7 ไม่เพียงแต่เป็นการยกระดับสถานะของราชวงศ์ลักเซมเบิร์กเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างรากฐานสำหรับการขยายอิทธิพลของราชวงศ์ในยุโรปกลางต่อไป
3.3. ดัชชีลักเซมเบิร์กและยุครุ่งเรือง (ค.ศ. 1354 - 1443)

ด้วยการขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิของไฮน์ริชที่ 7 ราชวงศ์ราชวงศ์ลักเซมเบิร์กไม่เพียงแต่เริ่มปกครองจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ยังเริ่มใช้อิทธิพลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเหนือส่วนอื่น ๆ ของยุโรปกลางอีกด้วย
พระโอรสของไฮน์ริชคือ จอห์นผู้ตาบอด (John the Blind) นอกจากจะเป็นเคานต์แห่งลักเซมเบิร์กแล้ว ยังได้เป็นกษัตริย์แห่งโบฮีเมียอีกด้วย พระองค์ยังคงเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์และนิทานพื้นบ้านของลักเซมเบิร์ก และนักประวัติศาสตร์หลายคนถือว่าพระองค์เป็นตัวอย่างที่ดีเลิศของอัศวินในยุคกลาง พระองค์ยังเป็นที่รู้จักจากการก่อตั้งชูเบอร์ฟูเออร์ (Schueberfouer) ในปี ค.ศ. 1340 และจากการสวรรคตอย่างกล้าหาญในยุทธการที่เครซีในปี ค.ศ. 1346 จอห์นผู้ตาบอดได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษของชาติในลักเซมเบิร์ก
ในศตวรรษที่ 14 และต้นศตวรรษที่ 15 สมาชิกอีกสามคนของราชวงศ์ลักเซมเบิร์กได้ครองราชย์เป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และกษัตริย์โบฮีเมีย ได้แก่ คาร์ลที่ 4 ซีกิสมุนท์ (ผู้ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งฮังการีและโครเอเชียด้วย) และเวนสเลาสที่ 4 คาร์ลที่ 4 ได้สร้างสารตราทองคำปี 1356 (Golden Bull of 1356) ซึ่งเป็นพระราชกฤษฎีกาที่กำหนดลักษณะสำคัญของโครงสร้างรัฐธรรมนูญของจักรวรรดิไว้อย่างยาวนาน ลักเซมเบิร์กยังคงเป็นศักดินาอิสระ (เคาน์ตี) ของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และในปี ค.ศ. 1354 คาร์ลที่ 4 ได้ยกสถานะขึ้นเป็นดัชชี โดยมีเวนสเลาสที่ 1 พระอนุชาต่างมารดาของพระองค์ กลายเป็นดยุกแห่งลักเซมเบิร์กคนแรก ในขณะที่พระญาติของพระองค์กำลังยุ่งอยู่กับการปกครองและขยายอำนาจภายในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และที่อื่น ๆ เวนสเลาสได้ผนวกเคาน์ตีชินี (County of Chiny) ในปี ค.ศ. 1364 และด้วยเหตุนี้ ดินแดนของดัชชีลักเซมเบิร์กใหม่จึงขยายอาณาเขตไปถึงจุดที่กว้างใหญ่ที่สุด การยกฐานะเป็นดัชชีและการขยายอาณาเขตนี้สะท้อนถึงจุดสูงสุดของอำนาจและอิทธิพลของลักเซมเบิร์กในยุคนี้ ซึ่งถือเป็นยุคทองทั้งทางการเมืองและวัฒนธรรม
ในช่วง 130 ปีนี้ ราชวงศ์ลักเซมเบิร์กได้แข่งขันกับราชวงศ์ฮาพส์บูร์กเพื่อชิงความเป็นใหญ่ภายในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และยุโรปกลาง ทุกอย่างสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1443 เมื่อราชวงศ์ลักเซมเบิร์กประสบวิกฤตการสืบราชบัลลังก์ อันเนื่องมาจากการขาดทายาทชายเพื่อสืบทอดบัลลังก์ เนื่องจากทั้งซีกิสมุนท์และเอลิซาเบธแห่งเกอร์ลิทซ์ (Elizabeth of Görlitz) ต่างก็ไม่มีทายาท ทรัพย์สินทั้งหมดของราชวงศ์ลักเซมเบิร์กจึงถูกแจกจ่ายใหม่ในหมู่ขุนนางยุโรป ดัชชีลักเซมเบิร์กกลายเป็นสมบัติของฟีลิปผู้ดีงาม (Philip the Good) ดยุกแห่งบูร์กอญ
เมื่อราชวงศ์ลักเซมเบิร์กสิ้นสุดลงและลักเซมเบิร์กกลายเป็นส่วนหนึ่งของเนเธอร์แลนด์ของบูร์กอญ (Burgundian Netherlands) เหตุการณ์นี้ถือเป็นการเริ่มต้นของการปกครองโดยอำนาจจากภายนอกเป็นเวลาเกือบ 400 ปีสำหรับลักเซมเบิร์ก การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสถานะทางการเมืองและเอกราชของลักเซมเบิร์กในระยะยาว
3.4. สมัยการปกครองโดยอำนาจจากภายนอก (ค.ศ. 1443 - 1794)
ในปี ค.ศ. 1482 ฟีลิปผู้หล่อเหลา (Philip the Handsome) ได้รับมรดกทั้งหมดซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อเนเธอร์แลนด์ของฮาพส์บูร์ก (Habsburg Netherlands) และรวมถึงดัชชีลักเซมเบิร์กด้วย เป็นเวลาเกือบ 320 ปีที่ลักเซมเบิร์กยังคงเป็นสมบัติของราชวงศ์ฮาพส์บูร์กผู้ทรงอำนาจ โดยเริ่มแรกอยู่ภายใต้การปกครองของออสเตรีย (ค.ศ. 1506-1556) จากนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของสเปน (ค.ศ. 1556-1714) ก่อนจะกลับไปอยู่ภายใต้การปกครองของออสเตรียอีกครั้ง (ค.ศ. 1714-1794)
การกลายเป็นสมบัติของฮาพส์บูร์กทำให้ดัชชีลักเซมเบิร์ก เช่นเดียวกับหลายประเทศในยุโรปในขณะนั้น เข้าไปพัวพันอย่างหนักในความขัดแย้งมากมายเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในยุโรประหว่างประเทศที่ฮาพส์บูร์กปกครองกับราชอาณาจักรฝรั่งเศส
ในปี ค.ศ. 1542 พระเจ้าฟร็องซัวที่ 1 กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส ได้รุกรานลักเซมเบิร์กถึงสองครั้ง แต่กองทัพฮาพส์บูร์กภายใต้การนำของจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 สามารถยึดดัชชีกลับคืนมาได้ทุกครั้ง
ลักเซมเบิร์กกลายเป็นส่วนหนึ่งของเนเธอร์แลนด์ของสเปนในปี ค.ศ. 1556 และเมื่อฝรั่งเศสและสเปนเกิดสงครามในปี ค.ศ. 1635 ซึ่งนำไปสู่สนธิสัญญาพิเรนีส ซึ่งมีการตัดสินใจแบ่งส่วนลักเซมเบิร์กครั้งแรก ภายใต้สนธิสัญญานี้ สเปนได้ยกป้อมปราการของลักเซมเบิร์กที่สเตอเนย์ (Stenay) ทียงวีล (Thionville) และมงต์เมดี (Montmédy) รวมถึงดินแดนโดยรอบให้แก่ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการลดขนาดของลักเซมเบิร์กเป็นครั้งแรกในรอบหลายศตวรรษ การเปลี่ยนแปลงดินแดนนี้ส่งผลกระทบต่อประชาชนในท้องถิ่นที่ต้องปรับตัวเข้ากับการปกครองใหม่และอัตลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
ในบริบทของสงครามเก้าปีในปี ค.ศ. 1684 ฝรั่งเศสได้รุกรานลักเซมเบิร์กอีกครั้ง โดยยึดครองและครอบครองดัชชีจนถึงปี ค.ศ. 1697 เมื่อถูกส่งคืนให้สเปนเพื่อเป็นการสนับสนุนราชวงศ์บูร์บงในช่วงก่อนเกิดสงครามสืบราชบัลลังก์สเปน เมื่อสงครามปะทุขึ้นในปี ค.ศ. 1701 ลักเซมเบิร์กและเนเธอร์แลนด์ของสเปนถูกปกครองโดยฝ่ายที่สนับสนุนฝรั่งเศสภายใต้ผู้ว่าการมักซีมีเลียนที่ 2 เอมานูเอล ผู้คัดเลือกแห่งบาวาเรีย (Maximilian II Emanuel, Elector of Bavaria) และเข้าข้างฝ่ายบูร์บง ดัชชีถูกยึดครองโดยกองกำลังพันธมิตรที่สนับสนุนออสเตรียในระหว่างความขัดแย้ง และถูกมอบให้ออสเตรียเมื่อสงครามสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1714
เนื่องจากดัชชีลักเซมเบิร์กถูกส่งต่อระหว่างการปกครองของสเปน ออสเตรีย และฝรั่งเศสอยู่บ่อยครั้ง แต่ละชาติที่เข้ายึดครองต่างก็มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างและขยายป้อมปราการลักเซมเบิร์ก (Fortress of Luxembourg) ซึ่งปราสาทลักเซมเบิร์กได้พัฒนามาตลอดหลายปี ตัวอย่างหนึ่งคือวิศวกรทหารชาวฝรั่งเศส มาร์กี เดอ โวบ็อง (Marquis de Vauban) ผู้ซึ่งได้พัฒนาป้อมปราการรอบ ๆ และบนที่สูงของเมือง กำแพงป้อมปราการเหล่านี้ยังคงมองเห็นได้ในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงการปกครองอย่างต่อเนื่องเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจสำหรับประชาชนในท้องถิ่น แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ลักเซมเบิร์กกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีป้อมปราการแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
3.5. การปฏิวัติฝรั่งเศสและยุคนโปเลียน (ค.ศ. 1794 - 1815)
ในระหว่างสงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่หนึ่ง (War of the First Coalition) ฝรั่งเศสในยุคปฏิวัติได้รุกรานเนเธอร์แลนด์ของออสเตรีย และรวมถึงลักเซมเบิร์กด้วย ในช่วงปี ค.ศ. 1793 และ 1794 ดินแดนส่วนใหญ่ของดัชชีถูกยึดครองอย่างรวดเร็ว และกองทัพปฏิวัติฝรั่งเศสได้ก่อความโหดร้ายและปล้นสะดมพลเรือนและอารามในลักเซมเบิร์กหลายครั้ง เหตุการณ์ที่อื้อฉาวที่สุดคือการสังหารหมู่ที่ดิฟเฟอร์แดงจ์ (Differdange) และดูเดอลังจ์ (Dudelange) รวมถึงการทำลายอารามแคลร์ฟงแตน (Clairefontaine Abbey) อารามเอชเทอร์นัค (Abbey of Echternach) และอารามออร์วาล (Orval Abbey) การกระทำเหล่านี้สร้างความหวาดกลัวและความทุกข์ยากแก่ประชาชนในท้องถิ่นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ป้อมปราการลักเซมเบิร์กสามารถต้านทานได้นานเกือบ 7 เดือน ก่อนที่กองกำลังออสเตรียที่รักษาการณ์อยู่จะยอมจำนน การป้องกันที่ยาวนานของลักเซมเบิร์กทำให้ลาซาร์ การ์โน (Lazare Carnot) ขนานนามลักเซมเบิร์กว่าเป็น "ป้อมปราการที่ดีที่สุดในโลก ยกเว้นยิบรอลตาร์" ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเล่นของเมืองว่า ยิบรอลตาร์แห่งทิศเหนือ (Gibraltar of the North)
ลักเซมเบิร์กถูกผนวกเข้ากับฝรั่งเศส กลายเป็นจังหวัดฟอแรทส์ (département des forêts หรือจังหวัดแห่งป่าไม้) และการรวมอดีตดัชชีเข้าเป็นจังหวัดหนึ่งของฝรั่งเศสได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการตามสนธิสัญญากัมโปฟอร์มีโอในปี ค.ศ. 1797
ตั้งแต่เริ่มการยึดครอง เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสใหม่ในลักเซมเบิร์กซึ่งพูดแต่ภาษาฝรั่งเศส ได้ดำเนินการปฏิรูปตามแบบสาธารณรัฐหลายประการ รวมถึงหลักการฆราวาสนิยม (laicism) ซึ่งก่อให้เกิดเสียงคัดค้านอย่างรุนแรงในลักเซมเบิร์กที่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคาทอลิกอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ภาษาฝรั่งเศสถูกกำหนดให้เป็นภาษาทางการเพียงภาษาเดียว และชาวลักเซมเบิร์กถูกกีดกันจากการเข้าถึงบริการพลเรือนทั้งหมด เมื่อกองทัพฝรั่งเศสเริ่มเกณฑ์ทหารจากประชากรในท้องถิ่น การจลาจลก็ปะทุขึ้น ซึ่งถึงจุดสูงสุดในปี ค.ศ. 1798 เมื่อชาวนาลักเซมเบิร์กเริ่มการกบฏ แม้ว่าฝรั่งเศสจะสามารถปราบปรามการกบฏที่เรียกว่า เคลือปเปลคริช (Klëppelkrich) ได้อย่างรวดเร็ว แต่เหตุการณ์นี้ก็ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อความทรงจำทางประวัติศาสตร์ของประเทศและพลเมือง การปกครองของฝรั่งเศสได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและอุดมการณ์ที่สำคัญ เช่น แนวคิดเรื่องสิทธิพลเมืองและความเสมอภาค แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความขัดแย้งและความตึงเครียดกับค่านิยมและประเพณีดั้งเดิมของชาวลักเซมเบิร์ก
อย่างไรก็ตาม แนวคิดหลายประการของสาธารณรัฐในยุคนี้ยังคงมีผลกระทบที่ยั่งยืนต่อลักเซมเบิร์ก หนึ่งในตัวอย่างมากมายคือการนำประมวลกฎหมายนโปเลียน (Napoleonic Code) มาใช้ในปี ค.ศ. 1804 ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้มาจนถึงปัจจุบัน ประมวลกฎหมายนี้ได้วางรากฐานระบบกฎหมายสมัยใหม่ของลักเซมเบิร์ก และส่งเสริมหลักการความเสมอภาคทางกฎหมาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญในยุคนั้น
3.6. การก่อตั้งราชรัฐและกระบวนการสู่ความเป็นเอกราช (ค.ศ. 1815 - 1890)
หลังจากการพ่ายแพ้ของนโปเลียนในปี ค.ศ. 1815 ตามสนธิสัญญาปารีส ดัชชีลักเซมเบิร์กได้รับการฟื้นฟู อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในอดีตดินแดนนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และเนเธอร์แลนด์ของฮาพส์บูร์ก ทั้งราชอาณาจักรปรัสเซียและสหราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์จึงอ้างสิทธิ์ในดินแดนนี้ ในการประชุมใหญ่แห่งเวียนนา มหาอำนาจได้ตัดสินใจให้ลักเซมเบิร์กเป็นรัฐสมาชิกของสมาพันธรัฐเยอรมันที่จัดตั้งขึ้นใหม่ แต่ในขณะเดียวกัน พระเจ้าวิลเลิมที่ 1 แห่งเนเธอร์แลนด์ กษัตริย์แห่งเนเธอร์แลนด์ ก็จะทรงเป็นประมุขแห่งรัฐในสหภาพส่วนตัวด้วย เพื่อตอบสนองความต้องการของปรัสเซีย จึงมีการตัดสินใจว่าไม่เพียงแต่ป้อมปราการลักเซมเบิร์กจะต้องมีทหารปรัสเซียประจำการเท่านั้น แต่ดินแดนส่วนใหญ่ของลักเซมเบิร์ก (ส่วนใหญ่คือพื้นที่รอบ ๆ บิตบูร์กและซังคท์วิท) จะต้องกลายเป็นของปรัสเซีย นี่เป็นครั้งที่สองที่ดัชชีลักเซมเบิร์กถูกลดขนาดลง และเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อการแบ่งส่วนลักเซมเบิร์กครั้งที่สอง เพื่อเป็นการชดเชยการสูญเสียนี้ จึงมีการตัดสินใจยกระดับดัชชีขึ้นเป็นแกรนด์ดัชชี (Grand-Duchy) ทำให้กษัตริย์ดัตช์มีพระอิสริยยศเพิ่มเติมคือแกรนด์ดยุกแห่งลักเซมเบิร์ก อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1816 ถึง 1830 พระเจ้าวิลเลิมที่ 1 ทรงเพิกเฉยต่ออธิปไตยของดัชชี โดยทรงปฏิบัติต่อลักเซมเบิร์กเสมือนเป็นชาติที่ถูกพิชิต และเก็บภาษีอย่างหนักจากประชาชน
หลังจากเบลเยียมได้รับเอกราชหลังการปฏิวัติเบลเยียมปี 1830-1831 ที่ประสบความสำเร็จ เบลเยียมได้อ้างสิทธิ์ในราชรัฐลักเซมเบิร์กทั้งหมดว่าเป็นส่วนหนึ่งของเบลเยียม อย่างไรก็ตาม กษัตริย์ดัตช์ซึ่งทรงเป็นแกรนด์ดยุกแห่งลักเซมเบิร์กด้วย รวมถึงปรัสเซีย ไม่ต้องการสูญเสียการควบคุมป้อมปราการอันแข็งแกร่งของลักเซมเบิร์ก และไม่เห็นด้วยกับการอ้างสิทธิ์ของเบลเยียม ข้อพิพาทนี้ได้รับการแก้ไขในสนธิสัญญาลอนดอนปี 1839 ซึ่งมีการตัดสินใจแบ่งส่วนลักเซมเบิร์กครั้งที่สาม ในครั้งนี้ ดินแดนถูกลดขนาดลงมากกว่าครึ่ง โดยส่วนที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลักทางตะวันตกของประเทศ (แต่ก็รวมถึงส่วนที่ใช้ภาษาลักเซมเบิร์กในขณะนั้นของอาเรเลอร์ลันด์ (Arelerland)) ถูกโอนไปยังรัฐเบลเยียมใหม่ ทำให้ลักเซมเบิร์กมีพรมแดนดังเช่นปัจจุบัน สนธิสัญญาปี 1839 ยังได้สถาปนาเอกราชโดยสมบูรณ์ของราชรัฐลักเซมเบิร์กที่ยังคงใช้ภาษาเยอรมันเป็นหลัก การแบ่งแยกดินแดนครั้งนี้สร้างความรู้สึกสูญเสียและความไม่พอใจในหมู่ชาวลักเซมเบิร์กบางส่วน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสำนึกแห่งชาติที่เข้มแข็งขึ้นในดินแดนที่เหลืออยู่
ในปี ค.ศ. 1842 ลักเซมเบิร์กเข้าร่วมสหภาพศุลกากรเยอรมัน (ซอลแฟร์ไอน์) ซึ่งส่งผลให้ตลาดเยอรมันเปิดกว้าง การพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กกล้าของลักเซมเบิร์ก และการขยายเครือข่ายทางรถไฟของลักเซมเบิร์กตั้งแต่ปี ค.ศ. 1855 ถึง 1875
หลังวิกฤตการณ์ลักเซมเบิร์กปี 1866 เกือบจะนำไปสู่สงครามระหว่างปรัสเซียกับฝรั่งเศส เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่ต้องการเห็นอีกฝ่ายมีอิทธิพลเหนือลักเซมเบิร์กและป้อมปราการอันแข็งแกร่ง เอกราชและความเป็นกลางของราชรัฐได้รับการยืนยันอีกครั้งโดยสนธิสัญญาลอนดอนฉบับที่สอง และในที่สุดปรัสเซียก็ยินยอมถอนทหารออกจากป้อมปราการลักเซมเบิร์กภายใต้เงื่อนไขว่าป้อมปราการจะต้องถูกรื้อถอน ซึ่งเกิดขึ้นในปีเดียวกัน ในช่วงสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียปี 1870 ความเป็นกลางของลักเซมเบิร์กได้รับการเคารพ และทั้งฝรั่งเศสและเยอรมนีไม่ได้รุกรานประเทศ
อันเป็นผลมาจากข้อพิพาทที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าระหว่างมหาอำนาจยุโรป ประชาชนลักเซมเบิร์กค่อย ๆ พัฒนาจิตสำนึกแห่งความเป็นอิสระและการตื่นตัวของสำนึกแห่งชาติก็เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 ประชาชนลักเซมเบิร์กเริ่มเรียกตนเองว่า ชาวลักเซมเบิร์ก แทนที่จะเป็นส่วนหนึ่งของชาติใหญ่ ๆ ที่อยู่รายรอบ จิตสำนึกของ Mir wëlle bleiwe wat mir sinn ("เราต้องการคงอยู่ดังที่เราเป็น") ถึงจุดสูงสุดในปี ค.ศ. 1890 เมื่อก้าวสุดท้ายสู่ความเป็นเอกราชโดยสมบูรณ์ได้เกิดขึ้นในที่สุด: เนื่องจากวิกฤตการสืบราชบัลลังก์ ราชวงศ์เนเธอร์แลนด์จึงสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งแกรนด์ดยุกแห่งลักเซมเบิร์ก เริ่มต้นด้วยอดอลฟ์แห่งนัสเซา-ไวล์บวร์ก (Adolph of Nassau-Weilburg) ราชรัฐจะมีราชวงศ์ของตนเอง ซึ่งเป็นการยืนยันเอกราชโดยสมบูรณ์ของประเทศ การตื่นตัวของสำนึกแห่งชาตินี้เป็นรากฐานสำคัญในการสร้างรัฐชาติลักเซมเบิร์กที่เข้มแข็งและเป็นอิสระในเวลาต่อมา
3.7. สงครามโลกทั้งสองครั้งและช่วงเวลาระหว่างสงคราม (ค.ศ. 1890 - 1945)
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จักรวรรดิเยอรมันได้ละเมิดสถานะความเป็นกลางของลักเซมเบิร์กโดยการรุกรานเพื่อเอาชนะฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการยึดครองของเยอรมนี ลักเซมเบิร์กก็ได้รับอนุญาตให้รักษาเอกราชและกลไกทางการเมืองส่วนใหญ่ไว้ได้ รัฐบาลลักเซมเบิร์กซึ่งไม่ทราบว่าเยอรมนีมีแผนลับที่จะผนวกลักเซมเบิร์กเข้ากับตนในกรณีที่เยอรมนีได้รับชัยชนะ (Septemberprogramm) ยังคงดำเนินนโยบายความเป็นกลางอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม ประชาชนลักเซมเบิร์กไม่เชื่อว่าเยอรมนีมีเจตนาดี โดยเกรงว่าเยอรมนีจะผนวกลักเซมเบิร์ก ชาวลักเซมเบิร์กประมาณ 1,000 คนเข้าร่วมกองทัพฝรั่งเศส การเสียสละของพวกเขาได้รับการรำลึกถึงที่อนุสาวรีย์เกลเลอ ฟรา (Gëlle Fra) การยึดครองครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและสังคมของลักเซมเบิร์ก ทำให้เกิดความขาดแคลนอาหารและสินค้าจำเป็น และสร้างความไม่พอใจต่อการปกครองของเยอรมนี
หลังสงคราม แกรนด์ดัชเชสมารี-อาเดลาอีด ถูกมองจากหลายฝ่าย (รวมถึงรัฐบาลฝรั่งเศสและเบลเยียม) ว่าได้ร่วมมือกับเยอรมนี และเสียงเรียกร้องให้พระองค์สละราชสมบัติและสถาปนาสาธารณรัฐก็ดังขึ้น หลังจากการถอนทัพของกองทัพเยอรมัน กลุ่มคอมมิวนิสต์ในนครลักเซมเบิร์กและเอสช์-ซูร์-อัลแซตพยายามสถาปนาสาธารณรัฐโซเวียตของคนงาน คล้ายกับที่เกิดขึ้นในเยอรมนี แต่ความพยายามเหล่านี้กินเวลาเพียง 2 วัน
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ข้อเสนอในสภาผู้แทนราษฎรที่เรียกร้องให้ล้มล้างสถาบันกษัตริย์พ่ายแพ้ไปอย่างฉิวเฉียดด้วยคะแนนเสียง 21 ต่อ 19 (งดออกเสียง 3 เสียง)
ฝรั่งเศสตั้งคำถามถึงความเป็นกลางของรัฐบาลลักเซมเบิร์ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งของแกรนด์ดัชเชสมารี-อาเดลาอีดในช่วงสงคราม และเสียงเรียกร้องให้ผนวกลักเซมเบิร์กเข้ากับฝรั่งเศสหรือเบลเยียมก็ดังขึ้นในทั้งสองประเทศ ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1919 กองร้อยหนึ่งของกองทัพลักเซมเบิร์กก่อการกบฏ โดยประกาศตนเป็นกองทัพของสาธารณรัฐใหม่ แต่กองทหารฝรั่งเศสได้เข้าแทรกแซงและยุติการกบฏ อย่างไรก็ตาม การไม่ภักดีที่แสดงออกมาจากกองกำลังติดอาวุธของพระองค์เองนั้นมากเกินไปสำหรับมารี-อาเดลาอีด พระองค์จึงสละราชสมบัติให้แก่พระขนิษฐาคือชาร์ล็อตในอีก 5 วันต่อมา ในปีเดียวกัน ในการลงประชามติ ประชาชนลักเซมเบิร์ก 77.8% ลงคะแนนเสียงสนับสนุนการรักษาสถาบันกษัตริย์และปฏิเสธการสถาปนาสาธารณรัฐ ในช่วงเวลานี้ เบลเยียมผลักดันให้มีการผนวกลักเซมเบิร์ก อย่างไรก็ตาม ข้อเรียกร้องดังกล่าวทั้งหมดถูกปฏิเสธในการประชุมสันติภาพปารีส ซึ่งเป็นการรับประกันเอกราชของลักเซมเบิร์ก
ในปี ค.ศ. 1939 กองทัพลักเซมเบิร์กเพิ่มกำลังพลเป็น 425 นายเนื่องจากการปรากฏตัวของนาซีเยอรมนี เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 ลักเซมเบิร์กได้ปิดแนวป้องกันชูสเตอร์กับเยอรมนี หนึ่งวันต่อมา ความเป็นกลางของลักเซมเบิร์กถูกละเมิดอีกครั้งเมื่อกองทัพแวร์มัคท์ของนาซีเยอรมนีได้บุกเข้าประเทศ "โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร" ตรงกันข้ามกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในระหว่างการยึดครองลักเซมเบิร์กของเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศถูกปฏิบัติเสมือนเป็นดินแดนของเยอรมนีและถูกผนวกเข้ากับจังหวัดเกามอแซลลันด์ของนาซีเยอรมนีอย่างไม่เป็นทางการ ในครั้งนี้ ลักเซมเบิร์กไม่ได้คงความเป็นกลางอีกต่อไป เนื่องจากรัฐบาลพลัดถิ่นของลักเซมเบิร์กที่ตั้งอยู่ในลอนดอนได้สนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตร โดยส่งกลุ่มอาสาสมัครขนาดเล็กเข้าร่วมในการบุกครองนอร์ม็องดี และมีขบวนการต่อต้านหลายกลุ่มก่อตั้งขึ้นภายในประเทศที่ถูกยึดครอง การยึดครองของนาซีนำมาซึ่งการกดขี่ข่มเหง การละเมิดสิทธิมนุษยชน และการบังคับใช้แรงงาน ประชาชนลักเซมเบิร์กจำนวนมากต้องทนทุกข์ทรมานภายใต้การปกครองที่โหดร้ายนี้ ขบวนการต่อต้านได้แสดงออกถึงความกล้าหาญและความมุ่งมั่นในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพ
ด้วยประชากรก่อนสงครามเสียชีวิต 2.45% และอาคารหนึ่งในสามของลักเซมเบิร์กถูกทำลายหรือเสียหายอย่างหนัก (ส่วนใหญ่เนื่องจากยุทธการตอกลิ่ม) ลักเซมเบิร์กประสบความสูญเสียดังกล่าวสูงที่สุดในยุโรปตะวันตก แต่ความมุ่งมั่นในการทำสงครามของฝ่ายสัมพันธมิตรไม่เคยถูกตั้งคำถาม ชาวยิวในลักเซมเบิร์กประมาณ 1,000-2,500 คนถูกสังหารในฮอโลคอสต์ สงครามโลกครั้งที่สองได้ทิ้งบาดแผลลึกซึ้งไว้ในสังคมลักเซมเบิร์ก แต่ในขณะเดียวกันก็เสริมสร้างความมุ่งมั่นในการสร้างสันติภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศ
3.8. การพัฒนาหลังสงครามและการรวมกลุ่มยุโรป (ค.ศ. 1945 - ปัจจุบัน)
ราชรัฐลักเซมเบิร์กกลายเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งสหประชาชาติในปี ค.ศ. 1945 สถานะความเป็นกลางของลักเซมเบิร์กภายใต้รัฐธรรมนูญสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1948 และในเดือนเมษายน ค.ศ. 1949 ก็ได้เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งเนโทด้วยเช่นกัน ในช่วงสงครามเย็น ลักเซมเบิร์กยังคงมีส่วนร่วมในฝ่ายกลุ่มตะวันตก (Western Bloc) ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 กองกำลังขนาดเล็กได้เข้าร่วมรบในสงครามเกาหลี กองทหารลักเซมเบิร์กยังได้ถูกส่งไปประจำการที่อัฟกานิสถานเพื่อสนับสนุนISAF
ลักเซมเบิร์กได้รับเหรียญทองเหรียญแรกในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1952 ที่เฮลซิงกิ เมื่อโจซี บาร์เธล (Josy Barthel) ชนะการแข่งขันวิ่ง 1500 เมตร
ในช่วงทศวรรษที่ 1950 ลักเซมเบิร์กกลายเป็นหนึ่งในหกประเทศผู้ก่อตั้งประชาคมยุโรป (European Communities) หลังจากการก่อตั้งประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้ายุโรปในปี ค.ศ. 1952 และต่อมาคือการก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรปและประชาคมพลังงานปรมาณูยุโรปในปี ค.ศ. 1958 ในปี ค.ศ. 1993 สององค์กรแรกได้รวมเข้าเป็นสหภาพยุโรป ด้วยนักการเมืองชาวลักเซมเบิร์ก เช่น รอแบร์ ชูมาน (หนึ่งในบิดาผู้ก่อตั้งสหภาพยุโรป) ปีแยร์ แวร์เนอร์ (ถือเป็นบิดาแห่งยูโร) กัสตง ทอร์น ฌาคส์ ซ็องแตร์ และฌ็อง-โคลท ยุงเคอร์ (อดีตประธานคณะกรรมาธิการยุโรปทุกคน) ได้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการก่อตั้งและการสถาปนาสหภาพยุโรป ในปี ค.ศ. 1999 ลักเซมเบิร์กเข้าร่วมยูโรโซน หลังจากนั้น ประเทศได้รับเลือกเป็นสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ค.ศ. 2013-2014)
อุตสาหกรรมเหล็กกล้าซึ่งใช้ประโยชน์จากแหล่งแร่เหล็กที่อุดมสมบูรณ์ในแรดแลนส์ (Red Lands) ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมของลักเซมเบิร์ก หลังจากการเสื่อมถอยของอุตสาหกรรมเหล็กกล้าในทศวรรษที่ 1970 ประเทศได้มุ่งเน้นไปที่การสถาปนาตนเองเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลกและพัฒนาจนกลายเป็นศูนย์กลางการธนาคารที่มีชื่อเสียงดังเช่นในปัจจุบัน ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 21 รัฐบาลได้มุ่งเน้นการพัฒนาประเทศไปสู่เศรษฐกิจฐานความรู้ (knowledge economy) ด้วยการก่อตั้งมหาวิทยาลัยลักเซมเบิร์กและโครงการอวกาศแห่งชาติ ในปี ค.ศ. 2020 ลักเซมเบิร์กกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่ให้บริการขนส่งสาธารณะฟรีในระดับชาติ
เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 2023 สภาผู้แทนราษฎรของลักเซมเบิร์กได้ผ่านกฎหมายเพื่อปรับปรุงเครดิตภาษีการลงทุนในปัจจุบันให้ทันสมัย ซึ่งมีผลบังคับใช้น้อยกว่าสองสัปดาห์ต่อมาในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2024 การพัฒนาหลังสงครามของลักเซมเบิร์กสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากประเทศที่เคยถูกยึดครองไปสู่รัฐสมัยใหม่ที่มั่งคั่งและมีบทบาทสำคัญในเวทีระหว่างประเทศ โดยยังคงยึดมั่นในคุณค่าสังคมเสรีนิยม เช่น ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และความร่วมมือระหว่างประเทศ
4. ภูมิศาสตร์
ลักเซมเบิร์กเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปยุโรป มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเบลเยียมทางทิศตะวันตกและทิศเหนือ ประเทศเยอรมนีทางทิศตะวันออก และประเทศฝรั่งเศสทางทิศใต้ ด้วยพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 2.59 K km2 ลักเซมเบิร์กจึงเป็นหนึ่งในประเทศที่เล็กที่สุดในยุโรป โดยมีความยาวจากเหนือจรดใต้ประมาณ 82 km และความกว้างจากตะวันออกจรดตะวันตกประมาณ 57 km ประเทศนี้ตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 49° ถึง 51° เหนือ และลองจิจูด 5° ถึง 7° ตะวันออก

ลักษณะภูมิประเทศของลักเซมเบิร์กแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก คือ ภาคเหนือที่เรียกว่า "เอิสลิง" (Éislek หรือ Oesling) และภาคใต้ที่เรียกว่า "กุตต์ลันด์" (Guttland) เอิสลิงเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาอาร์เดนส์ มีลักษณะเป็นที่ราบสูงและเนินเขา มีความหนาแน่นของประชากรเบาบางและส่วนใหญ่เป็นป่าไม้ จุดสูงสุดของประเทศคือเนินเขาคไนฟฟ์ (Kneiff) ใกล้กับเมืองวิลเวอร์แดงจ์ (Wilwerdange) ซึ่งมีความสูง 560 m เหนือระดับน้ำทะเล ในขณะที่กุตต์ลันด์ทางตอนใต้มีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มและเนินเขาเตี้ย ๆ มีความอุดมสมบูรณ์และเป็นที่ตั้งของเมืองใหญ่ส่วนใหญ่รวมถึงนครลักเซมเบิร์กด้วย
แม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านลักเซมเบิร์ก ได้แก่ แม่น้ำโมแซล ซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติทางตะวันออกกับเยอรมนี และเป็นแหล่งเพาะปลูกองุ่นสำหรับทำไวน์ที่มีชื่อเสียง แม่น้ำซาวเออร์ (Sauer) และแม่น้ำอัวร์ (Our) ก็เป็นส่วนหนึ่งของพรมแดนด้านตะวันออกเช่นกัน แม่น้ำสายอื่น ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ แม่น้ำอัลแซต (Alzette) ซึ่งไหลผ่านนครลักเซมเบิร์ก แม่น้ำอัตแตร์ (Attert) แม่น้ำแคลร์ฟ (Clerve) และแม่น้ำวิลทซ์ (Wiltz)
สภาพภูมิอากาศของลักเซมเบิร์กเป็นแบบอบอุ่นชื้นภาคพื้นสมุทร โดยได้รับอิทธิพลจากมหาสมุทรแอตแลนติก ทำให้ฤดูหนาวไม่หนาวจัดและฤดูร้อนไม่ร้อนจัดจนเกินไป มีปริมาณน้ำฝนค่อนข้างสม่ำเสมอตลอดทั้งปี
ลักเซมเบิร์กให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ มีพื้นที่ป่าไม้และอุทยานธรรมชาติหลายแห่ง ประเทศนี้มุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืนและมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มแข็ง อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมบางประการ เช่น มลพิษทางอากาศและมลพิษทางน้ำจากการเกษตรและอุตสาหกรรม รวมถึงแรงกดดันจากการขยายตัวของเมืองและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
4.1. ภูมิประเทศ
ลักเซมเบิร์กสามารถแบ่งออกเป็นสองภูมิภาคหลักทางภูมิศาสตร์ คือ เอิสลิง (Éislek หรือ Oesling) ทางตอนเหนือ และกุตต์ลันด์ (Guttland) ทางตอนใต้ ซึ่งคิดเป็นประมาณสองในสามของพื้นที่ประเทศ
เอิสลิง (Éislek) ทางตอนเหนือเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาอาร์เดนส์ มีลักษณะเป็นที่ราบสูงและเนินเขาเตี้ย ๆ ที่มีความสูงเฉลี่ยระหว่าง 400 m ถึง 500 m เหนือระดับน้ำทะเล จุดสูงสุดของประเทศคือเนินเขาคไนฟฟ์ (Kneiff) ที่ 560 m ตั้งอยู่ในภูมิภาคนี้ ใกล้กับเมืองวิลเวอร์แดงจ์ (Wilwerdange) ภูเขาอื่น ๆ ที่มีความสำคัญ ได้แก่ บวร์กพลาทซ์ (Buurgplaatz) ที่ 559 m ใกล้กับฮูลแดงจ์ (Huldange) และนาโปเลองส์การ์ด (Napoléonsgaard) ที่ 554 m ใกล้กับรัมบรูช (Rambrouch) ภูมิภาคนี้มีประชากรเบาบาง และมีเพียงเมืองเดียวคือวิลทซ์ (Wiltz) ที่มีประชากรมากกว่าห้าพันคน ลักษณะเด่นคือมีป่าไม้หนาแน่น หุบเขาลึก และแม่น้ำที่คดเคี้ยว เช่น แม่น้ำวิลทซ์ แม่น้ำแคลร์ฟ และแม่น้ำซาวเออร์ตอนบน
กุตต์ลันด์ (Guttland) ทางตอนใต้มีประชากรหนาแน่นกว่าเอิสลิง และมีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายกว่า สามารถแบ่งออกเป็นห้าอนุภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ย่อย ๆ ได้แก่
- ที่ราบสูงลักเซมเบิร์ก (Luxembourg plateau) ตั้งอยู่ทางตอนใต้-กลางของประเทศ เป็นที่ราบกว้างใหญ่ที่เกิดจากหินทราย เป็นที่ตั้งของนครลักเซมเบิร์ก
- สวิตเซอร์แลนด์น้อย (Little Switzerland หรือ Petite Suisse Luxembourgeoise) ทางตะวันออกของลักเซมเบิร์ก มีลักษณะภูมิประเทศเป็นหินขรุขระและป่าไม้หนาแน่น มีหุบเขาและหน้าผาที่สวยงาม เป็นที่นิยมสำหรับการการเดินป่า
- หุบเขาโมแซล (Moselle valley) เป็นภูมิภาคที่ต่ำที่สุด ตั้งอยู่ตามแนวชายแดนตะวันออกเฉียงใต้ เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการปลูกองุ่นและผลิตไวน์ขาว
- แรดแลนส์ (Red Lands หรือ Terres Rouges) ทางตอนใต้และตะวันตกเฉียงใต้สุด เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเหล็กกล้าในอดีตของลักเซมเบิร์ก และเป็นที่ตั้งของเมืองใหญ่หลายแห่งของประเทศ ชื่อ "แรดแลนส์" มาจากสีแดงของดินที่มีแร่เหล็กสูง
- พื้นที่อื่น ๆ ในกุตต์ลันด์มีลักษณะเป็นเนินเขาเตี้ย ๆ และที่ราบเกษตรกรรมที่อุดมสมบูรณ์
พรมแดนระหว่างลักเซมเบิร์กและเยอรมนีเกิดขึ้นจากแม่น้ำสามสาย คือ แม่น้ำโมแซล แม่น้ำซาวเออร์ และแม่น้ำอัวร์ แม่น้ำสายสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ แม่น้ำอัลแซต แม่น้ำอัตแตร์ แม่น้ำแคลร์ฟ และแม่น้ำวิลทซ์ หุบเขาของแม่น้ำซาวเออร์ตอนกลางและแม่น้ำอัตแตร์เป็นแนวแบ่งเขตระหว่างกุตต์ลันด์และเอิสลิง
4.2. ภูมิอากาศ
ลักเซมเบิร์กมีสภาพภูมิอากาศแบบภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้นภาคพื้นสมุทร (oceanic climate) ตามระบบการจำแนกภูมิอากาศแบบเคิพเพิน คือ Cfb ซึ่งมีลักษณะเด่นคือปริมาณน้ำฝนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายฤดูร้อน ฤดูร้อนโดยทั่วไปจะอบอุ่นและฤดูหนาวจะเย็นสบาย
อุณหภูมิเฉลี่ยรายปีในนครลักเซมเบิร์กอยู่ที่ประมาณ 8.6 °C (จากการเฉลี่ย 30 ปีระหว่าง ค.ศ. 1961-2000) เดือนที่หนาวที่สุดคือเดือนมกราคม โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ย 0.2 °C ส่วนเดือนที่ร้อนที่สุดคือเดือนกรกฎาคม โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ย 17.2 °C อิทธิพลจากมหาสมุทรแอตแลนติกช่วยบรรเทาความรุนแรงของสภาพอากาศ ทำให้ฤดูหนาวไม่หนาวจัดจนเกินไป และฤดูร้อนก็ไม่ร้อนจัดมากนัก
ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ประมาณ 847.7 mm โดยกระจายตัวค่อนข้างสม่ำเสมอตลอดทั้งปี เดือนที่มีปริมาณน้ำฝนน้อยที่สุดคือเดือนกุมภาพันธ์ (59.6 mm) และเดือนที่มีปริมาณน้ำฝนมากที่สุดคือเดือนพฤศจิกายน (79.3 mm) โดยทั่วไปแล้ว ทุกเดือนจะมีวันที่ฝนตกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของเดือน
ความชื้นสัมพัทธ์ต่ำสุดในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน อยู่ที่ประมาณ 73% และสูงสุดในเดือนธันวาคมที่ 90% ค่าเฉลี่ยความชื้นสัมพัทธ์ต่อปีอยู่ที่ 81%
ลักษณะภูมิอากาศเช่นนี้เอื้ออำนวยต่อการเกษตรในภาคใต้ของประเทศ (กุตต์ลันด์) และการเจริญเติบโตของป่าไม้ในภาคเหนือ (เอิสลิง) อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกอาจส่งผลกระทบต่อรูปแบบอุณหภูมิและปริมาณน้ำฝนในอนาคต ซึ่งเป็นความท้าทายที่ลักเซมเบิร์กต้องเตรียมรับมือ
4.3. สิ่งแวดล้อม
ลักเซมเบิร์กให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ประเทศนี้มีพื้นที่ป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอิสลิงทางตอนเหนือ และมีอุทยานธรรมชาติหลายแห่งที่จัดตั้งขึ้นเพื่อปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิทัศน์ที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น อุทยานธรรมชาติโอเบอร์ซาวเออร์ (Upper Sûre Nature Park) และอุทยานธรรมชาติอัวร์ (Our Nature Park)
ตามดัชนีประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Performance Index) ในปี ค.ศ. 2012 ลักเซมเบิร์กเป็นหนึ่งในประเทศที่มีผลการดำเนินงานด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมดีที่สุดในโลก โดยอยู่ในอันดับที่ 4 จาก 132 ประเทศที่ได้รับการประเมิน และในปี ค.ศ. 2020 อยู่ในอันดับที่ 2 จาก 180 ประเทศ นอกจากนี้ ลักเซมเบิร์กยังติดอันดับ 6 ในกลุ่มเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก 10 อันดับแรกจากการจัดอันดับของเมอร์เซอร์ (Mercer)
รัฐบาลลักเซมเบิร์กได้กำหนดเป้าหมายที่ท้าทายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ลง 55% ภายใน 10 ปี และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2050 นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ขึ้นห้าเท่า เพื่อส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นโยบายเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
อย่างไรก็ตาม ลักเซมเบิร์กก็ยังคงเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญบางประการ ดัชนีความสมบูรณ์ของภูมิทัศน์ป่าไม้ (Forest Landscape Integrity Index) ในปี ค.ศ. 2019 มีค่าเฉลี่ย 1.12/10 ซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่ 164 จาก 172 ประเทศทั่วโลก สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการรักษาความสมบูรณ์ของระบบนิเวศป่าไม้ ปัญหามลพิษทางอากาศและทางน้ำจากการเกษตร อุตสาหกรรม และการคมนาคมขนส่งยังคงเป็นประเด็นที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแรงกดดันจากการขยายตัวของเมืองและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ
ความพยายามในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของลักเซมเบิร์กครอบคลุมถึงการจัดการของเสีย การส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน และการสร้างความตระหนักรู้ในหมู่ประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อม นโยบายขนส่งสาธารณะฟรีที่เริ่มใช้ในปี ค.ศ. 2020 ก็เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล การสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการรักษาสิ่งแวดล้อมยังคงเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับลักเซมเบิร์กในอนาคต
5. การเมือง
ลักเซมเบิร์กปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน โดยมีพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญเป็นประมุขของรัฐ รัฐธรรมนูญแห่งลักเซมเบิร์ก ซึ่งประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 1868 และมีการแก้ไขเพิ่มเติมล่าสุดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2023 เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ระบบการเมืองให้ความสำคัญกับการพัฒนาประชาธิปไตย หลักนิติธรรม และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ซึ่งสอดคล้องกับค่านิยมสังคมเสรีนิยม

ดัชนีประชาธิปไตย (Democracy Index) จัดให้ลักเซมเบิร์กเป็น "ประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ" (full democracy) สะท้อนถึงเสรีภาพทางการเมือง สิทธิพลเมือง และกระบวนการเลือกตั้งที่เป็นธรรม ระบบพรรคการเมืองเป็นแบบระบบหลายพรรค โดยมีพรรคการเมืองหลักหลายพรรคที่มีอุดมการณ์แตกต่างกันเข้าร่วมในการแข่งขันทางการเมือง การเลือกตั้งจัดขึ้นเป็นประจำและถือว่ามีความโปร่งใสและยุติธรรม ระบบตุลาการมีความเป็นอิสระและทำหน้าที่ตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ
5.1. โครงสร้างรัฐบาล

โครงสร้างรัฐบาลของลักเซมเบิร์กประกอบด้วยสถาบันหลักสามฝ่ายตามหลักการการแบ่งแยกอำนาจ คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ โดยมีแกรนด์ดยุกแห่งลักเซมเบิร์กทรงเป็นประมุขแห่งรัฐภายใต้ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
- แกรนด์ดยุก (Grand Duke): ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งลักเซมเบิร์ก พระราชอำนาจส่วนใหญ่เป็นไปในทางพิธีการและเป็นสัญลักษณ์ แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะให้อำนาจบางประการแก่พระองค์ เช่น อำนาจในการยุบสภานิติบัญญัติและจัดการเลือกตั้งใหม่ (ซึ่งต้องกระทำภายในสามเดือน) แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1919 อำนาจอธิปไตยเป็นของชาติ ซึ่งแกรนด์ดยุกทรงใช้อำนาจนั้นตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย พระองค์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีตามผลการเลือกตั้งและความเห็นชอบของรัฐสภา
- ฝ่ายนิติบัญญัติ (Legislature): อำนาจนิติบัญญัติเป็นของสภาผู้แทนราษฎร (Chamber of Deputies หรือ Chambre des Députés) ซึ่งเป็นสภาเดี่ยว ประกอบด้วยสมาชิก 60 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงในระบบสัดส่วนจากสี่เขตเลือกตั้ง มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี สภามีหน้าที่ในการออกกฎหมาย อนุมัติงบประมาณ และตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร
- ฝ่ายบริหาร (Executive): อำนาจบริหารอยู่ที่แกรนด์ดยุกและคณะรัฐมนตรี ซึ่งประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล และรัฐมนตรีคนอื่น ๆ คณะรัฐมนตรีรับผิดชอบในการดำเนินนโยบายของรัฐและบริหารราชการแผ่นดิน นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต้องได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร
- คณะที่ปรึกษาแห่งรัฐ (Council of State หรือ Conseil d'État): เป็นองค์กรที่ปรึกษา ประกอบด้วยพลเมือง 21 คนที่ได้รับการแต่งตั้งจากแกรนด์ดยุก มีหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่สภาผู้แทนราษฎรในการร่างกฎหมาย และตรวจสอบว่าร่างกฎหมายสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและหลักการทางกฎหมายทั่วไปหรือไม่ แม้ว่าความเห็นของคณะที่ปรึกษาแห่งรัฐจะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่ก็มีอิทธิพลอย่างมากในกระบวนการนิติบัญญัติ
โครงสร้างรัฐบาลของลักเซมเบิร์กได้รับการออกแบบมาเพื่อส่งเสริมเสถียรภาพทางการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน และการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจระหว่างสถาบันต่าง ๆ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตยของประเทศ
5.2. เขตการปกครอง


คาแพ็ลเลิน (1) - เคลียร์ฟ (2) - ดิกเคริช (3) - เอียชเทอร์นัค (4) - แอฌวลต์เซิชท์ (5) - เกร็ยเวอมาเคอร์ (6) - ลักเซมเบิร์ก (7) - เมียร์ช (8) - เร็ยเดิน (9) - เร็ยเมิช (10) - ไฟอาเนิน (11) - โวลตส์ (12)
ประเทศลักเซมเบิร์กมีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็นหน่วยย่อยเพื่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการท้องถิ่นและการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน โครงสร้างหลักประกอบด้วย จังหวัด (canton) และ เทศบาล (commune)
- จังหวัด (Cantons): ลักเซมเบิร์กแบ่งออกเป็น 12 จังหวัด จังหวัดเหล่านี้เป็นหน่วยการปกครองระดับกลาง ทำหน้าที่เป็นเขตอำนาจศาลและเขตเลือกตั้งในบางกรณี แต่ไม่มีอำนาจบริหารหรือนิติบัญญัติในระดับจังหวัดอย่างชัดเจน บทบาทหลักของจังหวัดในปัจจุบันเกี่ยวข้องกับการแบ่งพื้นที่ทางภูมิศาสตร์และการจัดองค์กรของรัฐในระดับภูมิภาคมากกว่าที่จะเป็นการปกครองตนเอง
รายชื่อจังหวัดทั้ง 12 แห่ง ได้แก่ คาแพ็ลเลิน (Capellen), เคลียร์ฟ (Clervaux), ดิกเคริช (Diekirch), เอียชเทอร์นัค (Echternach), แอฌวลต์เซิชท์ (Esch-sur-Alzette), เกร็ยเวอมาเคอร์ (Grevenmacher), ลักเซมเบิร์ก (Luxembourg), เมียร์ช (Mersch), เร็ยเดิน (Redange), เร็ยเมิช (Remich), ไฟอาเนิน (Vianden), และโวลตส์ (Wiltz)
- เทศบาล (Communes): เทศบาลเป็นหน่วยการปกครองท้องถิ่นขั้นพื้นฐานและมีความสำคัญที่สุดในลักเซมเบิร์ก ปัจจุบัน (ณ ค.ศ. 2023) ลักเซมเบิร์กมีเทศบาลจำนวน 100 แห่ง เทศบาลแต่ละแห่งมีสภาเทศบาล (communal council) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน และมีนายกเทศมนตรี (mayor หรือ bourgmestre) เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของเทศบาล เทศบาลมีอำนาจและความรับผิดชอบในการจัดการกิจการในท้องถิ่นหลายด้าน เช่น การศึกษาขั้นพื้นฐาน การวางผังเมือง การจัดการขยะ การบำรุงรักษาถนนและสาธารณูปโภคท้องถิ่น การให้บริการทางสังคม และการรักษาความสงบเรียบร้อยในชุมชน
ในจำนวนเทศบาลทั้งหมด มี 12 เทศบาลที่ได้รับสถานะเป็น เมือง (city หรือ ville) ซึ่งโดยทั่วไปเป็นเทศบาลที่มีขนาดใหญ่และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์หรือเศรษฐกิจมากกว่า นครลักเซมเบิร์ก (Luxembourg City) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
ในอดีต ลักเซมเบิร์กเคยมีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 3 เขต (districts) ได้แก่ ดิกเคริช (Diekirch), เกร็ยเวอมาเคอร์ (Grevenmacher), และลักเซมเบิร์ก (Luxembourg) ซึ่งเป็นหน่วยที่ใหญ่กว่าจังหวัด แต่เขตเหล่านี้ถูกยกเลิกไปในปี ค.ศ. 2015 เพื่อลดความซับซ้อนของโครงสร้างการบริหารและเสริมสร้างบทบาทของเทศบาลในการปกครองท้องถิ่น
ระบบการปกครองท้องถิ่นของลักเซมเบิร์กให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจไปยังเทศบาล เพื่อให้การบริหารจัดการสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในแต่ละท้องที่ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพลเมืองในการพัฒนาชุมชนของตนเอง
5.3. ระบบตุลาการ
ระบบตุลาการของลักเซมเบิร์กมีพื้นฐานมาจากระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร (civil law) ซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างมากจากประมวลกฎหมายนโปเลียนของฝรั่งเศส โครงสร้างองค์กรศาลได้รับการออกแบบมาเพื่อรับประกันความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการ และเพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปอย่างยุติธรรมและมีประสิทธิภาพ
โครงสร้างศาลหลักของลักเซมเบิร์กประกอบด้วย:
- ศาลแขวง (Justices de paix / Peace courts): เป็นศาลชั้นต้นที่พิจารณาคดีแพ่งและคดีอาญาเล็กน้อย รวมถึงข้อพิพาทที่มีมูลค่าไม่สูงมากนัก มีศาลแขวงตั้งอยู่ในเมืองเอสช์-ซูร์-อัลแซต (Esch-sur-Alzette) นครลักเซมเบิร์ก (Luxembourg City) และดิกเคริช (Diekirch)
- ศาลชั้นต้น (District tribunals หรือ Tribunaux d'arrondissement): มีสองแห่งคือที่นครลักเซมเบิร์กและดิกเคริช ศาลเหล่านี้มีเขตอำนาจในการพิจารณาคดีแพ่งและคดีอาญาที่ร้ายแรงกว่าคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลแขวง รวมถึงคดีอุทธรณ์จากศาลแขวงในบางกรณี
- ศาลยุติธรรมสูงสุด (Superior Court of Justice หรือ Cour Supérieure de Justice): ตั้งอยู่ที่นครลักเซมเบิร์ก เป็นศาลสูงสุดในระบบศาลยุติธรรมทั่วไป ประกอบด้วย:
- ศาลอุทธรณ์ (Court of Appeal หรือ Cour d'Appel): พิจารณาคำอุทธรณ์จากคำพิพากษาของศาลชั้นต้นทั้งในคดีแพ่งและคดีอาญา
- ศาลฎีกา (Court of Cassation หรือ Cour de Cassation): เป็นศาลสูงสุดที่พิจารณาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ได้พิจารณาข้อเท็จจริงใหม่ มีอำนาจในการยกเลิกคำพิพากษาของศาลล่างหากพบว่ามีการใช้กฎหมายหรือกระบวนการพิจารณาที่ไม่ถูกต้อง
นอกจากศาลยุติธรรมทั่วไปแล้ว ลักเซมเบิร์กยังมีศาลพิเศษอื่น ๆ อีก ได้แก่:
- ศาลปกครอง (Administrative Tribunal หรือ Tribunal administratif): พิจารณาข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับหน่วยงานของรัฐ หรือระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเองที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจทางปกครอง
- ศาลปกครองสูงสุด (Administrative Court หรือ Cour administrative): พิจารณาคำอุทธรณ์จากคำพิพากษาของศาลปกครอง
- ศาลรัฐธรรมนูญ (Constitutional Court หรือ Cour constitutionnelle): มีอำนาจในการพิจารณาว่ากฎหมายต่าง ๆ สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ ศาลนี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเสริมสร้างการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานและหลักนิติธรรม
ความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญ ผู้พิพากษาได้รับการแต่งตั้งและมีหลักประกันในการดำรงตำแหน่งเพื่อป้องกันการแทรกแซงจากฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติ ระบบตุลาการของลักเซมเบิร์กมุ่งเน้นการให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม และการรักษาหลักนิติธรรม ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบอบประชาธิปไตยแบบสังคมเสรีนิยม
6. กองทัพ

กองทัพลักเซมเบิร์ก (Luxembourg Armed Forces หรือ Lëtzebuerger Arméi) เป็นกองกำลังทหารขนาดเล็กที่มีหน้าที่หลักในการป้องกันประเทศ รักษาความมั่นคงภายใน และเข้าร่วมในภารกิจรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ กองทัพอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน โดยมีแกรนด์ดยุกแห่งลักเซมเบิร์กทรงเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (ปัจจุบันคือ ยูริโกะ บาเคส ณ ปี ค.ศ. 2023) เป็นผู้ดูแลการปฏิบัติงานของกองทัพ หัวหน้าฝ่ายวิชาชีพของกองทัพคือหัวหน้าฝ่ายกลาโหม (Chief of Defence) ซึ่งรายงานตรงต่อรัฐมนตรีและมียศนายพล
กองทัพลักเซมเบิร์กส่วนใหญ่ตั้งฐานอยู่ที่ค่ายทหาร Centre militaire Caserne Grand-Duc Jean บนเนินเขา Härebierg ในเมืองดิกเคริช (Diekirch) ส่วนกองบัญชาการใหญ่ (État-Major) ตั้งอยู่ในนครลักเซมเบิร์ก
เนื่องจากเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ลักเซมเบิร์กจึงไม่มีกองทัพเรือ ในส่วนของกองทัพอากาศ เครื่องบินเตือนภัยและควบคุมทางอากาศ (AWACS) ของเนโทจำนวน 17 ลำ ได้รับการจดทะเบียนเป็นอากาศยานของลักเซมเบิร์ก นอกจากนี้ ตามข้อตกลงร่วมกับเบลเยียม ทั้งสองประเทศได้ร่วมกันจัดหาเงินทุนสำหรับเครื่องบินขนส่งทางทหาร เอ400เอ็ม (Airbus A400M) จำนวน 1 ลำ
ลักเซมเบิร์กได้เข้าร่วมในกองกำลังผสมยุโรป (Eurocorps) และได้ส่งกำลังทหารเข้าร่วมภารกิจของUNPROFOR และภารกิจIFOR ในอดีตยูโกสลาเวีย และได้เข้าร่วมกับกองกำลังขนาดเล็กในภารกิจ SFOR ของเนโทในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา กองทหารลักเซมเบิร์กยังได้ถูกส่งไปประจำการที่อัฟกานิสถานเพื่อสนับสนุนISAF นอกจากนี้ กองทัพยังได้มีส่วนร่วมในภารกิจบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรม เช่น การจัดตั้งค่ายผู้ลี้ภัยสำหรับชาวเคิร์ดและการจัดส่งเสบียงฉุกเฉินไปยังแอลเบเนีย
ถึงแม้จะมีขนาดเล็ก แต่กองทัพลักเซมเบิร์กก็มีบทบาทในการแสดงความรับผิดชอบต่อความมั่นคงร่วมกันในระดับภูมิภาคและนานาชาติ การมีส่วนร่วมในภารกิจเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของลักเซมเบิร์กในการส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพระหว่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับค่านิยมสังคมเสรีนิยมที่ให้ความสำคัญกับความร่วมมือและความมั่นคงของมนุษย์
7. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

นโยบายต่างประเทศของลักเซมเบิร์กมีพื้นฐานอยู่บนการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ การสนับสนุนการรวมกลุ่มในยุโรป การเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ และการปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งสอดคล้องกับค่านิยมสังคมเสรีนิยม ในฐานะประเทศขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ใจกลางยุโรป ลักเซมเบิร์กให้ความสำคัญกับการทูตพหุภาคีและมีบทบาทแข็งขันในองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง
ลักเซมเบิร์กเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งขององค์กรสำคัญๆ เช่น สหประชาชาติ เนโท สหภาพยุโรป (EU) องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) และเบเนลักซ์ (Benelux Economic Union) ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจกับเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ การเป็นสมาชิกองค์กรเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของลักเซมเบิร์กในการทำงานร่วมกับประเทศอื่น ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาระดับโลกและส่งเสริมสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง
นโยบายต่างประเทศของลักเซมเบิร์กให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการบูรณาการยุโรป ประเทศนี้มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งและพัฒนาสหภาพยุโรป และนครลักเซมเบิร์กเป็นที่ตั้งของสถาบันสำคัญหลายแห่งของ EU เช่น ศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป ศาลผู้ตรวจบัญชียุโรป (European Court of Auditors) ธนาคารเพื่อการลงทุนยุโรป (European Investment Bank) และสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (Eurostat) รวมถึงสำนักเลขาธิการของรัฐสภายุโรป การเป็นที่ตั้งของสถาบันเหล่านี้ทำให้ลักเซมเบิร์กมีอิทธิพลและบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายของ EU
ลักเซมเบิร์กยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และหลักนิติธรรมในเวทีระหว่างประเทศ ประเทศนี้มักจะแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในประเด็นเหล่านี้และสนับสนุนความพยายามในการสร้างสังคมที่เปิดกว้างและเท่าเทียมกันทั่วโลก นอกจากนี้ ลักเซมเบิร์กยังเป็นประเทศผู้บริจาคที่สำคัญในการให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาแก่ประเทศกำลังพัฒนา โดยมุ่งเน้นโครงการที่ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน การศึกษา และสาธารณสุข
ในด้านความมั่นคง ลักเซมเบิร์กเป็นสมาชิกของเนโทและมีส่วนร่วมในภารกิจรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ แม้ว่าจะมีกองทัพขนาดเล็ก แต่ประเทศนี้ก็แสดงความรับผิดชอบต่อความมั่นคงร่วมกันในระดับภูมิภาคและนานาชาติ
ความสัมพันธ์ทวิภาคีกับประเทศเพื่อนบ้าน (เยอรมนี ฝรั่งเศส เบลเยียม) มีความใกล้ชิดเป็นพิเศษทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม นอกจากนี้ ลักเซมเบิร์กยังรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก และพยายามส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น การค้า การลงทุน และวัฒนธรรม โดยคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและมนุษยธรรมในความสัมพันธ์เหล่านั้น
7.1. บทบาทในสหภาพยุโรป
ลักเซมเบิร์กมีบทบาทสำคัญและยาวนานในการก่อตั้งและพัฒนาสหภาพยุโรป (EU) โดยเป็นหนึ่งในหกประเทศสมาชิกผู้ก่อตั้งประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้ายุโรป (ECSC) ในปี ค.ศ. 1951 ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของ EU ในปัจจุบัน ความมุ่งมั่นของลักเซมเบิร์กต่อการรวมกลุ่มในยุโรปสะท้อนให้เห็นผ่านการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในทุกขั้นตอนของการพัฒนา EU
นักการเมืองชาวลักเซมเบิร์กหลายคนมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของ EU เช่น รอแบร์ ชูมาน (Robert Schuman) หนึ่งใน "บิดาผู้ก่อตั้งยุโรป" ผู้เสนอแผนชูมานซึ่งนำไปสู่การก่อตั้ง ECSC และอดีตนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมาธิการยุโรปหลายท่าน เช่น กัสตง ทอร์น (Gaston Thorn) ฌาคส์ ซ็องแตร์ (Jacques Santer) และฌ็อง-โคลท ยุงเคอร์ (Jean-Claude Juncker) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของลักเซมเบิร์กในเวทีการเมืองยุโรป แม้จะเป็นประเทศขนาดเล็ก
นครลักเซมเบิร์กเป็นหนึ่งในสามเมืองหลวงอย่างเป็นทางการของสหภาพยุโรป (ร่วมกับบรัสเซลส์และสทราซบูร์) และเป็นที่ตั้งของสถาบันสำคัญหลายแห่งของ EU ได้แก่:
- ศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป (Court of Justice of the European Union - CJEU)
- ศาลผู้ตรวจบัญชียุโรป (European Court of Auditors - ECA)
- ธนาคารเพื่อการลงทุนยุโรป (European Investment Bank - EIB)
- กองทุนเพื่อการลงทุนยุโรป (European Investment Fund - EIF)
- สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (Eurostat)
- สำนักเลขาธิการของรัฐสภายุโรป
- สำนักงานอัยการยุโรป (European Public Prosecutor's Office - EPPO)
การเป็นที่ตั้งของสถาบันเหล่านี้ไม่เพียงแต่เสริมสร้างบทบาทของลักเซมเบิร์กใน EU เท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสถานะระหว่างประเทศของประเทศอีกด้วย
ลักเซมเบิร์กสนับสนุนการขยายตัวของ EU และการกระชับความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น ตลาดเดียว สกุลเงินยูโร (ซึ่งลักเซมเบิร์กเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งยูโรโซน) นโยบายต่างประเทศและความมั่นคงร่วมกัน และความยุติธรรมและกิจการภายในประเทศ ประเทศนี้มักจะมีบทบาทเป็นคนกลางและผู้สร้างฉันทามติภายใน EU เนื่องจากมีประวัติศาสตร์อันยาวนานในการทำงานร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีขนาดใหญ่กว่า
นโยบายของลักเซมเบิร์กภายใน EU มักจะสะท้อนค่านิยมสังคมเสรีนิยม โดยให้ความสำคัญกับตลาดเดียวที่เปิดกว้าง ควบคู่ไปกับการคุ้มครองทางสังคม สิทธิแรงงาน และสิ่งแวดล้อม ประเทศนี้ยังสนับสนุนการเสริมสร้างความเป็นพลเมืองยุโรป (European citizenship) และการส่งเสริมประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมภายใน EU และประเทศสมาชิก
7.2. ความสัมพันธ์กับประเทศสำคัญ
ลักเซมเบิร์กดำเนินนโยบายต่างประเทศที่มุ่งเน้นความร่วมมือและสร้างสมดุลในความสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเพื่อนบ้านและประเทศมหาอำนาจ ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับค่านิยมสังคมเสรีนิยม การเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ และการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน
- ประเทศเพื่อนบ้าน (เยอรมนี ฝรั่งเศส เบลเยียม): ความสัมพันธ์กับสามประเทศนี้มีความใกล้ชิดและสำคัญอย่างยิ่งในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม มีการค้าและการลงทุนระหว่างกันอย่างกว้างขวาง และมีการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามพรมแดนจำนวนมากในแต่ละวัน (cross-border commuters) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อเศรษฐกิจของลักเซมเบิร์ก ความร่วมมือในกรอบเบเนลักซ์ (Benelux) กับเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ยังคงเป็นกลไกสำคัญในการประสานนโยบายและส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกัน ลักเซมเบิร์กพยายามรักษาสมดุลในความสัมพันธ์กับมหาอำนาจเพื่อนบ้านทั้งสองคือฝรั่งเศสและเยอรมนี โดยมีบทบาทเป็นสะพานเชื่อมและผู้สร้างความเข้าใจอันดีระหว่างกัน
- เนเธอร์แลนด์: แม้จะไม่ได้มีพรมแดนติดกันโดยตรง แต่เนเธอร์แลนด์ก็เป็นพันธมิตรที่สำคัญในกรอบเบเนลักซ์และสหภาพยุโรป ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคยมีประมุขร่วมกันในอดีต
- สหรัฐอเมริกา: ลักเซมเบิร์กมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐอเมริกา ทั้งในฐานะพันธมิตรในเนโทและในด้านเศรษฐกิจ สหรัฐฯ เป็นคู่ค้าและนักลงทุนที่สำคัญของลักเซมเบิร์ก และทั้งสองประเทศมีความร่วมมือในประเด็นระหว่างประเทศหลายด้าน ลักเซมเบิร์กให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก (transatlantic relationship) เพื่อความมั่นคงและเสถียรภาพของยุโรป
- สหราชอาณาจักร: ความสัมพันธ์กับสหราชอาณาจักรยังคงมีความสำคัญ แม้ว่าสหราชอาณาจักรจะออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (Brexit) แล้วก็ตาม ทั้งสองประเทศมีความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์ และยังคงมีความร่วมมือในด้านการค้า การเงิน และความมั่นคง ลักเซมเบิร์กพยายามรักษาความสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์กับสหราชอาณาจักรภายใต้กรอบข้อตกลงใหม่ระหว่าง EU และ UK
- ประเทศอื่น ๆ ในสหภาพยุโรป: ลักเซมเบิร์กมีบทบาทแข็งขันในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศสมาชิก EU อื่น ๆ ทั้งหมด โดยสนับสนุนการขยายตัวของ EU และการกระชับความร่วมมือในด้านต่าง ๆ
- จีน: ความสัมพันธ์กับจีนมีการพัฒนามากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจและการลงทุน อย่างไรก็ตาม ลักเซมเบิร์ก (ร่วมกับ EU) ก็แสดงความกังวลในประเด็นสิทธิมนุษยชนและแนวปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของจีน
ในการดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศสำคัญเหล่านี้ ลักเซมเบิร์กพยายามส่งเสริมค่านิยมประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และหลักนิติธรรม รวมถึงการสนับสนุนการแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธีและความร่วมมือพหุภาคี เมื่อมีประเด็นด้านมนุษยธรรมหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้น ลักเซมเบิร์กมักจะแสดงจุดยืนที่ชัดเจนและสนับสนุนมาตรการระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น การพิจารณามุมมองของฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างสมดุลเป็นหลักการสำคัญในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของลักเซมเบิร์ก
7.2.1. ความสัมพันธ์กับประเทศไทย
ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชรัฐลักเซมเบิร์กกับราชอาณาจักรไทยได้สถาปนาขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 1959 แม้ว่าการติดต่อระหว่างสองประเทศจะมีมาก่อนหน้านั้นบ้างแล้วก็ตาม สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม มีเขตอาณาครอบคลุมประเทศลักเซมเบิร์ก ในขณะที่สถานเอกอัครราชทูตลักเซมเบิร์ก ณ กรุงเทพมหานคร ได้เปิดทำการเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ในทุก ๆ ด้าน
ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศดำเนินไปอย่างราบรื่นและเป็นมิตร โดยมีการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือในหลายด้าน:
- ด้านการเมือง: ทั้งสองประเทศมีการแลกเปลี่ยนการเยือนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงอยู่เป็นระยะ และมีการสนับสนุนซึ่งกันและกันในเวทีระหว่างประเทศในบางโอกาส ลักเซมเบิร์กในฐานะสมาชิกสหภาพยุโรป มีบทบาทในการกำหนดนโยบายของ EU ต่อไทย
- ด้านเศรษฐกิจ: การค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับลักเซมเบิร์กยังมีปริมาณไม่มากนักเมื่อเทียบกับคู่ค้าหลักอื่น ๆ ของไทย แต่ก็มีศักยภาพในการขยายตัว ลักเซมเบิร์กเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญในยุโรป ซึ่งอาจเป็นช่องทางให้ธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนหรือระดมทุนในตลาดการเงินยุโรปได้ สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปยังลักเซมเบิร์กอาจรวมถึงผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป และอัญมณี ในขณะที่สินค้านำเข้าจากลักเซมเบิร์กอาจเป็นเครื่องจักรกล เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์เหล็ก
- ด้านการท่องเที่ยว: นักท่องเที่ยวชาวลักเซมเบิร์กให้ความสนใจเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวนหนึ่งในแต่ละปี โดยชื่นชอบในวัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และการบริการของไทย
- ด้านวัฒนธรรมและการศึกษา: การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศยังมีไม่มากนัก แต่ก็มีความพยายามในการส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนทั้งสองฝ่าย อาจมีการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมหรือการแลกเปลี่ยนนักศึกษาในระดับที่จำกัด
- ความร่วมมือในกรอบอาเซียน-สหภาพยุโรป: ลักเซมเบิร์กในฐานะสมาชิก EU สนับสนุนความร่วมมือระหว่าง EU กับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ซึ่งไทยเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง
ความสัมพันธ์ระหว่างลักเซมเบิร์กกับไทยโดยรวมเป็นไปในทิศทางบวก โดยมีพื้นฐานอยู่บนความเคารพซึ่งกันและกันและผลประโยชน์ร่วมกัน การส่งเสริมความสัมพันธ์ในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และความเข้าใจระหว่างประชาชน จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศในระยะยาว การพิจารณาประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยอาจเป็นส่วนหนึ่งของการหารือระหว่างสองประเทศตามแนวทางนโยบายต่างประเทศของลักเซมเบิร์กที่ให้ความสำคัญกับค่านิยมเหล่านี้
8. เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของลักเซมเบิร์กเป็นระบบเศรษฐกิจแบบตลาดที่มีเสถียรภาพและมีรายได้สูง มีลักษณะเด่นคือการเติบโตในระดับปานกลาง อัตราเงินเฟ้อต่ำ และนวัตกรรมในระดับสูง ลักเซมเบิร์กเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเมื่อวัดจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ต่อหัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปรับตามความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ (PPP) ซึ่งอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลกมาโดยตลอด เศรษฐกิจของประเทศพึ่งพาภาคบริการเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการเงิน ซึ่งทำให้ลักเซมเบิร์กเป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาภาคการเงินก็มีความเสี่ยงเช่นกันดังที่ปรากฏในช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงินโลก
โครงสร้างอุตสาหกรรมของลักเซมเบิร์กได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา จากเดิมที่เคยพึ่งพาอุตสาหกรรมเหล็กกล้าเป็นหลัก ปัจจุบันได้กระจายความเสี่ยงไปสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น เคมีภัณฑ์ ยาง และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ความสัมพันธ์ทางการค้าต่างประเทศมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจขนาดเล็กและเปิดกว้างของลักเซมเบิร์ก โดยเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปและยูโรโซน ทำให้สามารถเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ของยุโรปได้โดยง่าย
ในการวิเคราะห์เศรษฐกิจของลักเซมเบิร์กจากมุมมองสังคมเสรีนิยม จำเป็นต้องพิจารณาถึงผลกระทบทางสังคม ความเสมอภาค และความยั่งยืน ประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำทางรายได้ การกระจายความมั่งคั่ง สิทธิแรงงาน ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการพัฒนาเศรษฐกิจ และบทบาทของรัฐในการส่งเสริมความเป็นธรรมทางสังคมและความกินดีอยู่ดีของประชาชนทุกคนเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ
8.1. โครงสร้างและลักษณะทางเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของลักเซมเบิร์กมีลักษณะเด่นหลายประการที่สะท้อนถึงความเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีความมั่งคั่งสูงและระบบเศรษฐกิจแบบเปิด:
- GDP ต่อหัวสูง: ลักเซมเบิร์กมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ต่อหัวสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทั้งในรูปตัวเงิน (nominal) และเมื่อปรับตามความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ (PPP) ซึ่งบ่งชี้ถึงมาตรฐานการครองชีพที่สูงของประชากร ตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. 2025 (ประมาณการ) GDP (PPP) ต่อหัวอยู่ที่ประมาณ 154.91 K USD และ GDP (nominal) ต่อหัวอยู่ที่ประมาณ 141.08 K USD ซึ่งทั้งสองตัวเลขนี้อยู่ในอันดับที่ 1 ของโลก อย่างไรก็ตาม ควรสังเกตว่าตัวเลข GDP ต่อหัวที่สูงมากนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากจำนวนแรงงานข้ามพรมแดนจำนวนมากที่ทำงานในลักเซมเบิร์กแต่ไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศ ซึ่งทำให้ตัวเลข GDP ถูกหารด้วยจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่จริงเท่านั้น
- อัตราการว่างงานต่ำ: โดยทั่วไปแล้ว ลักเซมเบิร์กมีอัตราการว่างงานที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรป แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยบ้างเป็นครั้งคราว เช่น ในช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงินโลกปี ค.ศ. 2008 อัตราการว่างงานเคยสูงถึง 6.1% ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 แต่โดยรวมยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้
- เศรษฐกิจแบบเปิด: ลักเซมเบิร์กมีเศรษฐกิจแบบเปิดกว้างอย่างมาก โดยพึ่งพาการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศเป็นสำคัญ การเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปและยูโรโซนช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ของยุโรป
- การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ: ลักเซมเบิร์กประสบความสำเร็จอย่างสูงในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการเงินและบริการ นโยบายภาษีที่เอื้ออำนวย เสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐานที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดนักลงทุน
- สถานการณ์ผู้เดินทางข้ามพรมแดนเพื่อทำงาน: ลักเซมเบิร์กมีผู้เดินทางข้ามพรมแดน (cross-border commuters) จากประเทศเพื่อนบ้าน (ฝรั่งเศส เบลเยียม เยอรมนี) เข้ามาทำงานเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน แรงงานเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของลักเซมเบิร์ก โดยเฉพาะในภาคบริการ พวกเขาเสียภาษีในลักเซมเบิร์ก แต่การศึกษาของบุตรหลานบางส่วนอาจได้รับการสนับสนุนจากประเทศที่ตนอาศัยอยู่ ประเด็นนี้ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของลักเซมเบิร์ก แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างภาระให้กับประเทศเพื่อนบ้านในบางด้าน
- ความเหลื่อมล้ำทางรายได้: แม้ว่าจะมีรายได้ต่อหัวสูง แต่ลักเซมเบิร์กก็ยังคงเผชิญกับประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำทางรายได้อยู่บ้าง ดัชนีจีนี (Gini coefficient) ในปี ค.ศ. 2023 อยู่ที่ 30.6 ซึ่งบ่งชี้ถึงระดับความไม่เท่าเทียมกันในการกระจายรายได้ในระดับหนึ่ง การส่งเสริมความเท่าเทียมและการกระจายผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรมจึงเป็นความท้าทายสำคัญ
โครงสร้างเศรษฐกิจของลักเซมเบิร์กได้เปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจที่พึ่งพาอุตสาหกรรมเหล็กกล้า มาเป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยภาคบริการ โดยเฉพาะภาคการเงิน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนใหญ่ของ GDP การกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และเศรษฐกิจอวกาศ เป็นเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลเพื่อสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจในระยะยาว
8.2. อุตสาหกรรมหลัก
เศรษฐกิจของลักเซมเบิร์กมีการกระจายตัวของอุตสาหกรรมที่หลากหลาย แม้ว่าภาคบริการ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการเงิน จะมีบทบาทโดดเด่นที่สุด อุตสาหกรรมหลักที่ประกอบกันเป็นเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่
8.2.1. อุตสาหกรรมการเงิน
อุตสาหกรรมการเงินถือเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจลักเซมเบิร์กและเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ ลักเซมเบิร์กได้พัฒนาตนเองจนกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก โดยมีจุดแข็งในหลายด้าน:
- การธนาคาร: เป็นศูนย์กลางการธนาคารเอกชน (private banking) ที่สำคัญในยูโรโซน และเป็นที่ตั้งของธนาคารระหว่างประเทศจำนวนมากที่ให้บริการลูกค้าทั่วโลก
- กองทุนรวม: ลักเซมเบิร์กเป็นศูนย์กลางกองทุนรวมที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก (รองจากสหรัฐอเมริกา) และใหญ่ที่สุดในยุโรป กฎหมายและสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยทำให้บริษัทจัดการกองทุนจำนวนมากเลือกที่จะจัดตั้งและบริหารกองทุนในลักเซมเบิร์ก
- การประกันภัย: เป็นศูนย์กลางชั้นนำของยุโรปสำหรับบริษัทประกันภัยต่อ (reinsurance companies)
การพัฒนาของอุตสาหกรรมการเงินได้รับแรงหนุนจากเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ กฎหมายที่ทันสมัยและยืดหยุ่น กรอบการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ และแรงงานที่มีทักษะสูง อย่างไรก็ตาม สถานะการเป็นศูนย์กลางทางการเงินก็นำมาซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นการเป็น แหล่งหลบเลี่ยงภาษี (tax haven) หรือการอำนวยความสะดวกในการวางแผนภาษีของบรรษัทข้ามชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเท่าเทียมในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและความเป็นธรรมทางภาษีในระดับสากล เหตุการณ์ ลักเซมเบิร์กลีกส์ (Luxembourg Leaks) ในปี ค.ศ. 2014 ซึ่งเปิดเผยข้อตกลงทางภาษีที่เอื้อประโยชน์แก่บริษัทข้ามชาติจำนวนมาก ได้สร้างแรงกดดันให้ลักเซมเบิร์กต้องปรับปรุงนโยบายภาษีให้มีความโปร่งใสและสอดคล้องกับมาตรฐานสากลมากขึ้น การพิจารณาผลกระทบต่อความเท่าเทียมทางสังคมและการกระจายรายได้จึงเป็นประเด็นสำคัญในการประเมินอุตสาหกรรมนี้
8.2.2. อุตสาหกรรมเหล็กกล้า
อุตสาหกรรมเหล็กกล้าเคยเป็นอุตสาหกรรมหลักและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของลักเซมเบิร์ก โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 20 การค้นพบแร่เหล็กในภูมิภาคทางใต้ (แรดแลนส์) นำไปสู่การเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมนี้ และสร้างงานจำนวนมาก
- กระบวนการพัฒนา: อุตสาหกรรมเหล็กกล้าของลักเซมเบิร์กเริ่มต้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และรุ่งเรืองอย่างมากในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง บริษัท อาร์เบด (Arbed - Aciéries Réunies de Burbach-Eich-Dudelange) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1911 เคยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่ที่สุดของโลก
- สถานการณ์ปัจจุบัน: ตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทั่วโลกเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมเหล็กกล้าของลักเซมเบิร์กต้องปรับตัวและลดขนาดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ลักเซมเบิร์กยังคงเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของ อาร์เซอลอร์มิตตัล (ArcelorMittal) บริษัทเหล็กกล้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเกิดจากการควบรวมกิจการระหว่าง Arcelor (ซึ่ง Arbed เป็นส่วนหนึ่ง) กับ Mittal Steel ในปี ค.ศ. 2006
- ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงด้านแรงงาน: การลดขนาดของอุตสาหกรรมเหล็กกล้าส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและการจ้างงานในลักเซมเบิร์ก ทำให้รัฐบาลต้องพยายามกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจไปสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ โดยเฉพาะภาคบริการ การเปลี่ยนแปลงนี้ยังนำไปสู่การปรับโครงสร้างแรงงานและการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ให้กับอดีตคนงานในอุตสาหกรรมเหล็กกล้า ประเด็นสิทธิแรงงานและความปลอดภัยในการทำงานเคยเป็นเรื่องสำคัญในอุตสาหกรรมนี้ และยังคงเป็นที่สนใจในบริบทของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรม
แม้ว่าบทบาทของอุตสาหกรรมเหล็กกล้าในเศรษฐกิจลักเซมเบิร์กจะลดลง แต่ก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมของประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของภูมิภาคทางใต้
8.2.3. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) และสื่อ
ลักเซมเบิร์กได้พัฒนาตนเองให้เป็นศูนย์กลางที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) และสื่อ โดยได้รับแรงหนุนจากโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้ออำนวย และนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ
- อุตสาหกรรมการสื่อสารผ่านดาวเทียม: ลักเซมเบิร์กเป็นที่ตั้งของบริษัท SES S.A. ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการดาวเทียมรายใหญ่ที่สุดของโลก SES มีบทบาทสำคัญในการให้บริการสื่อสารผ่านดาวเทียมสำหรับการกระจายเสียง โทรคมนาคม และบริการข้อมูลให้กับลูกค้าทั่วโลก การเติบโตของ SES สะท้อนถึงความสำเร็จของลักเซมเบิร์กในการเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมอวกาศเชิงพาณิชย์
- สื่อกระจายเสียง: RTL Group ซึ่งเป็นบริษัทสื่อและความบันเทิงชั้นนำของยุโรป มีสำนักงานใหญ่อยู่ในลักเซมเบิร์ก RTL Group ดำเนินธุรกิจสถานีโทรทัศน์ สถานีวิทยุ และบริษัทผลิตรายการในหลายประเทศทั่วยุโรป การมีอยู่ของ RTL Group ทำให้ลักเซมเบิร์กเป็นศูนย์กลางสำคัญของอุตสาหกรรมสื่อในยุโรป
- ภาค ICT: ลักเซมเบิร์กได้ดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งให้เข้ามาตั้งสำนักงานหรือศูนย์ข้อมูลในประเทศ เช่น สไกป์ (Skype) และแอมะซอน (Amazon) รัฐบาลได้ส่งเสริมนโยบาย "Digital Luxembourg" เพื่อพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางดิจิทัล โดยมุ่งเน้นที่ความมั่นคงไซเบอร์ ฟินเทค (FinTech) และการประมวลผลข้อมูลประสิทธิภาพสูง (High-Performance Computing) การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล เช่น ศูนย์ข้อมูลและเครือข่ายสายใยแก้วนำแสงความเร็วสูง เป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตของภาค ICT
- ผลกระทบต่อสังคม: การพัฒนาของอุตสาหกรรม ICT และสื่อได้สร้างงานที่มีทักษะสูงจำนวนมาก และมีส่วนช่วยในการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตาม การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลก็นำมาซึ่งความท้าทาย เช่น ความต้องการแรงงานที่มีทักษะเฉพาะทาง ประเด็นความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล การส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างทั่วถึงและการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้กับประชาชนจึงเป็นเรื่องสำคัญ
อุตสาหกรรม ICT และสื่อในลักเซมเบิร์กยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากนวัตกรรมและการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต
8.2.4. อุตสาหกรรมอื่น ๆ
นอกจากอุตสาหกรรมการเงิน เหล็กกล้า และ ICT ลักเซมเบิร์กยังมีภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ แม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่า โดยคำนึงถึงความยั่งยืนและผลกระทบต่อชุมชนเป็นสำคัญ:
- เคมีภัณฑ์และยาง: ลักเซมเบิร์กมีอุตสาหกรรมการผลิตเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ยางที่มีความก้าวหน้า บริษัท กู๊ดเยียร์ ผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่ของโลก มีศูนย์นวัตกรรมและโรงงานผลิตในลักเซมเบิร์กมาอย่างยาวนาน อุตสาหกรรมนี้ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืนมากขึ้น
- การท่องเที่ยว: การท่องเที่ยวเป็นภาคส่วนที่กำลังเติบโตและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจลักเซมเบิร์ก ประเทศนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลาย ตั้งแต่เมืองเก่าและป้อมปราการในนครลักเซมเบิร์กซึ่งเป็นมรดกโลกของยูเนสโก ไปจนถึงธรรมชาติที่สวยงามในภูมิภาคเอิสลิงและหุบเขาโมแซล การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การเดินป่า และการปั่นจักรยานเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยม รัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น
- การเกษตร (โดยเฉพาะการผลิตไวน์): แม้ว่าภาคเกษตรกรรมจะมีสัดส่วนน้อยใน GDP แต่ก็ยังคงมีความสำคัญในบางภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตไวน์ในหุบเขาโมแซล ไวน์ขาวจากลักเซมเบิร์ก เช่น Riesling, Pinot Gris, และ Auxerrois มีชื่อเสียงในด้านคุณภาพ เกษตรอินทรีย์และการผลิตอาหารท้องถิ่นกำลังได้รับการส่งเสริมเพื่อความยั่งยืนและเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
- อุตสาหกรรมอื่น ๆ: ยังมีอุตสาหกรรมการผลิตอื่น ๆ เช่น เครื่องจักรกล ชิ้นส่วนยานยนต์ และพลาสติก ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างงานและรายได้ให้กับประเทศ อุตสาหกรรมเหล่านี้มักจะมุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
ในการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล่านี้ ลักเซมเบิร์กให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการรักษาสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชน นโยบายส่งเสริมการลงทุนมักจะพิจารณาถึงผลกระทบต่อความยั่งยืนและการสร้างงานที่มีคุณภาพสำหรับประชาชน
8.3. การคมนาคมขนส่ง

ระบบการคมนาคมขนส่งของลักเซมเบิร์กมีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางการขนส่งและโลจิสติกส์ในยุโรป โครงสร้างพื้นฐานครอบคลุมทั้งทางถนน ทางราง และทางอากาศ
- ทางถนน: เครือข่ายถนนของลักเซมเบิร์กได้รับการพัฒนาอย่างดีเยี่ยม โดยมีทางหลวงพิเศษ (motorways) ที่เชื่อมต่อนครลักเซมเบิร์กกับประเทศเพื่อนบ้าน (เยอรมนี ฝรั่งเศส เบลเยียม) รวมระยะทางประมาณ 165 km ทำให้การเดินทางและการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว ถนนสายหลักอื่น ๆ และถนนในท้องถิ่นก็ได้รับการบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพดี
- ทางราง: การรถไฟแห่งชาติลักเซมเบิร์ก (Société Nationale des Chemins de Fer Luxembourgeois - CFL) ให้บริการรถไฟทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ สถานีรถไฟลักเซมเบิร์ก (Luxembourg railway station) ในนครลักเซมเบิร์กเป็นศูนย์กลางการเดินทางทางรถไฟที่สำคัญ มีการปรับปรุงสถานีเพื่อรองรับรถไฟความเร็วสูง TGV ที่เชื่อมต่อไปยังปารีสและเมืองอื่น ๆ ในยุโรป
- ทางอากาศ: ท่าอากาศยานลักเซมเบิร์ก (Luxembourg Airport หรือ Luxembourg Findel Airport) เป็นท่าอากาศยานระหว่างประเทศเพียงแห่งเดียวของประเทศ และเป็นฐานการบินของสายการบินแห่งชาติ ลักซ์แอร์ (Luxair) รวมถึงสายการบินขนส่งสินค้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรปคือ คาร์โกลักซ์ (Cargolux) ท่าอากาศยานแห่งนี้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการเปิดอาคารผู้โดยสารแห่งใหม่ในปี ค.ศ. 2008 เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น
- การขนส่งสาธารณะ: ลักเซมเบิร์กให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะเพื่อลดปัญหาการจราจรและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 ลักเซมเบิร์กกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่ให้บริการขนส่งสาธารณะฟรีทั่วประเทศ (รวมถึงรถบัส รถราง และรถไฟ) ซึ่งได้รับเงินทุนเกือบทั้งหมดจากภาษีของรัฐบาล นครลักเซมเบิร์กได้นำระบบรถราง (trams) กลับมาให้บริการอีกครั้งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2017 และมีแผนที่จะขยายเส้นทางไปยังพื้นที่ใกล้เคียงในอนาคต
จำนวนรถยนต์ต่อประชากรในลักเซมเบิร์กค่อนข้างสูง โดยมีรถยนต์ 681 คันต่อประชากร 1,000 คน ซึ่งสูงกว่าประเทศส่วนใหญ่ และเป็นรองเพียงสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ไอซ์แลนด์ และรัฐขนาดเล็กอื่น ๆ การส่งเสริมนโยบายขนส่งสาธารณะฟรีจึงเป็นความพยายามที่สำคัญในการลดการพึ่งพารถยนต์ส่วนบุคคล
โดยรวมแล้ว ระบบการคมนาคมขนส่งของลักเซมเบิร์กได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการของประชาชนและภาคธุรกิจ โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การลงทุนอย่างต่อเนื่องในโครงสร้างพื้นฐานและการส่งเสริมนวัตกรรมด้านการขนส่งเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ลักเซมเบิร์กยังคงเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อที่สำคัญในยุโรปต่อไป
8.4. การสื่อสารโทรคมนาคม

อุตสาหกรรมโทรคมนาคมในลักเซมเบิร์กมีลักษณะเปิดเสรีและเครือข่ายการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ได้รับการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญ การแข่งขันระหว่างผู้ให้บริการต่าง ๆ ได้รับการรับประกันโดยกรอบกฎหมาย Paquet Telecom ของรัฐบาลในปี ค.ศ. 2011 ซึ่งเป็นการปรับใช้แนวทางโทรคมนาคมของยุโรป (European Telecom Directives) ให้เข้ากับกฎหมายของลักเซมเบิร์ก สิ่งนี้ส่งเสริมการลงทุนในเครือข่ายและบริการ หน่วยงานกำกับดูแล ILR - Institut Luxembourgeois de Régulation (สถาบันกำกับดูแลแห่งลักเซมเบิร์ก) รับรองการปฏิบัติตามกฎระเบียบทางกฎหมายเหล่านี้
ลักเซมเบิร์กมีเครือข่ายสายใยแก้วนำแสงและสายเคเบิลที่ทันสมัยและครอบคลุมทั่วประเทศ ในปี ค.ศ. 2010 รัฐบาลลักเซมเบิร์กได้เปิดตัวยุทธศาสตร์แห่งชาติสำหรับเครือข่ายความเร็วสูงมาก (National strategy for very high-speed networks) โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำระดับโลกในด้านบรอดแบนด์ความเร็วสูงมาก โดยการบรรลุความครอบคลุม 1 Gbit/s เต็มรูปแบบทั่วประเทศภายในปี ค.ศ. 2020 ในปี ค.ศ. 2011 ลักเซมเบิร์กมีความครอบคลุมของเครือข่ายการเข้าถึงยุคถัดไป (Next-generation access - NGA) ถึง 75% ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2013 ลักเซมเบิร์กมีความเร็วในการดาวน์โหลดสูงเป็นอันดับหกของโลกและสูงเป็นอันดับสองในยุโรป: 32.46 Mbit/s
ที่ตั้งของประเทศในยุโรปกลาง เศรษฐกิจที่มั่นคง และภาษีต่ำ เอื้ออำนวยต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคม ลักเซมเบิร์กอยู่ในอันดับสองของโลกในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ในดัชนีการพัฒนา ICT ของ ITU (ITU ICT Development Index) และอันดับที่ 8 ในการศึกษาคุณภาพบรอดแบนด์ทั่วโลกปี 2009 (Global Broadband Quality Study 2009) โดยมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดและมหาวิทยาลัยโอเบียโด
ลักเซมเบิร์กเชื่อมต่อกับศูนย์แลกเปลี่ยนอินเทอร์เน็ตหลักของยุโรปทั้งหมด (เช่น AMS-IX อัมสเตอร์ดัม, DE-CIX แฟรงก์เฟิร์ต, LINX ลอนดอน) ศูนย์ข้อมูล (datacenters) และจุดเชื่อมต่อ (POPs) ผ่านเครือข่ายใยแก้วนำแสงแบบสำรอง (redundant optical networks) นอกจากนี้ ประเทศยังเชื่อมต่อกับบริการห้องประชุมเสมือน (virtual meetme room services - vmmr) ของผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลระหว่างประเทศ Ancotel ซึ่งช่วยให้ลักเซมเบิร์กสามารถเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมและผู้ให้บริการข้อมูลรายใหญ่ทั้งหมดทั่วโลก โดยมีจุดเชื่อมต่อในแฟรงก์เฟิร์ต ลอนดอน นิวยอร์ก และฮ่องกง
ลักเซมเบิร์กได้สถาปนาตนเองให้เป็นหนึ่งในศูนย์กลางเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ชั้นนำในยุโรป โดยรัฐบาลลักเซมเบิร์กให้การสนับสนุนโครงการริเริ่มต่าง ๆ เช่น Luxembourg House of Financial Technology (LHoFT)
มีศูนย์ข้อมูลประมาณ 20 แห่งที่ดำเนินงานในลักเซมเบิร์ก โดยมีศูนย์ข้อมูล 6 แห่งที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Tier IV Design ได้แก่ ebrc (3 แห่ง) LuxConnect (2 แห่ง) และ European Data Hub (1 แห่ง) ในการสำรวจศูนย์ข้อมูลระหว่างประเทศ 9 แห่งที่ดำเนินการในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2012 และมกราคม ค.ศ. 2013 ซึ่งวัดความพร้อมใช้งาน (up-time) และประสิทธิภาพ (ความล่าช้าในการรับข้อมูลจากเว็บไซต์ที่ร้องขอ) ศูนย์ข้อมูลของลักเซมเบิร์กครองตำแหน่งสามอันดับแรก
โครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารโทรคมนาคมที่แข็งแกร่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของลักเซมเบิร์ก และสนับสนุนบทบาทของประเทศในฐานะศูนย์กลางธุรกิจและเทคโนโลยีในยุโรป
9. สังคม

สังคมลักเซมเบิร์กมีลักษณะเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมและมีความหลากหลายสูง โดยมีประชากรจำนวนมากเป็นชาวต่างชาติและผู้มีภูมิหลังเป็นผู้อพยพ ประเทศนี้ให้ความสำคัญกับความเสมอภาค สิทธิของกลุ่มต่าง ๆ และการพัฒนาประชาธิปไตยในระดับสังคม ซึ่งสอดคล้องกับค่านิยมสังคมเสรีนิยม ระบบสวัสดิการสังคมมีความครอบคลุมและมีคุณภาพสูง ทำให้ประชาชนมีมาตรฐานการครองชีพที่ดี
9.1. ประชากร
ณ วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2024 ลักเซมเบิร์กมีประชากรประมาณ 672,050 คน ทำให้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีประชากรน้อยที่สุดในยุโรป อย่างไรก็ตาม ลักเซมเบิร์กมีอัตราการเติบโตของประชากรสูงที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการย้ายถิ่นฐานเข้ามาของชาวต่างชาติ
ลักษณะทางประชากรศาสตร์ที่สำคัญ:
- ขนาดประชากรและอัตราการเติบโต: ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากประมาณ 512,353 คนในปี ค.ศ. 2011 (สำมะโนประชากร) เป็น 672,050 คนในปี ค.ศ. 2024 การเติบโตนี้ขับเคลื่อนโดยการเพิ่มขึ้นของประชากรตามธรรมชาติ (จำนวนการเกิดมากกว่าการตาย) และที่สำคัญกว่านั้นคือการย้ายถิ่นสุทธิที่เป็นบวก
- โครงสร้างอายุ: เช่นเดียวกับประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ ในยุโรป ลักเซมเบิร์กกำลังเผชิญกับภาวะสังคมผู้สูงอายุ แต่ผลกระทบนี้บรรเทาลงได้บ้างจากการไหลเข้าของผู้อพยพวัยทำงาน
- ความหนาแน่นของประชากร: ด้วยพื้นที่ประมาณ 2.59 K km2 ความหนาแน่นของประชากรอยู่ที่ประมาณ 255 คนต่อตารางกิโลเมตร (ณ ปี ค.ศ. 2024) ซึ่งค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของยุโรป
- สถานะการกลายเป็นเมือง: ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตเมือง โดยเฉพาะในและรอบ ๆ นครลักเซมเบิร์ก ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการบริหารของประเทศ เมืองใหญ่อื่น ๆ เช่น เอสช์-ซูร์-อัลแซต ดิฟเฟอร์แดงจ์ และดูเดอลังจ์ ก็มีความหนาแน่นของประชากรสูงเช่นกัน
ลักเซมเบิร์กเป็นสังคมที่มีความเป็นสากลสูง โดยเกือบครึ่งหนึ่งของประชากร (ประมาณ 47% ในปี ค.ศ. 2023) เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งมาจากกว่า 170 ประเทศทั่วโลก กลุ่มชาวต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดคือชาวโปรตุเกส ฝรั่งเศส อิตาลี เบลเยียม และเยอรมัน การมีอยู่ของประชากรที่หลากหลายทางเชื้อชาตินี้ทำให้ลักเซมเบิร์กเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมอย่างแท้จริง
9.2. กลุ่มชาติพันธุ์และการย้ายถิ่นฐาน
อันดับ | ประเทศ | จำนวนประชากร |
---|---|---|
1 | โปรตุเกส | 90,915 |
2 | ฝรั่งเศส | 49,234 |
3 | อิตาลี | 25,116 |
4 | เบลเยียม | 18,889 |
5 | เยอรมนี | 12,480 |
6 | สเปน | 9,540 |
7 | โรมาเนีย | 6,828 |
8 | ยูเครน | 5,357 |
9 | โปแลนด์ | 5,217 |
10 | อินเดีย | 5,091 |
สังคมลักเซมเบิร์กมีลักษณะเป็นพหุวัฒนธรรมอย่างเด่นชัด โดยมีสัดส่วนประชากรชาวต่างชาติสูงมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการย้ายถิ่นฐานเข้ามาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา
- องค์ประกอบของกลุ่มชาติพันธุ์หลัก:
- ชาวลักเซมเบิร์กโดยกำเนิด: คิดเป็นสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด พวกเขามีรากฐานทางวัฒนธรรมและภาษาที่เป็นเอกลักษณ์คือภาษาลักเซมเบิร์ก
- ชาวต่างชาติ: ณ ปี ค.ศ. 2024 ชาวต่างชาติคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 48% ของประชากรทั้งหมด กลุ่มชาวต่างชาติที่ใหญ่ที่สุด ได้แก่:
- ชาวโปรตุเกส: เป็นกลุ่มผู้อพยพที่ใหญ่ที่สุดในลักเซมเบิร์ก โดยมีจำนวนประมาณ 90,915 คน (ค.ศ. 2024) การย้ายถิ่นฐานของชาวโปรตุเกสเริ่มขึ้นอย่างจริงจังในช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 เพื่อตอบสนองความต้องการแรงงานในภาคอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง
- ชาวฝรั่งเศส: เป็นกลุ่มใหญ่อันดับสอง มีจำนวนประมาณ 49,234 คน (ค.ศ. 2024) ส่วนใหญ่เป็นแรงงานข้ามพรมแดนหรือผู้ที่เข้ามาทำงานในภาคบริการและการเงิน
- ชาวอิตาลี: มีจำนวนประมาณ 25,116 คน (ค.ศ. 2024) การย้ายถิ่นฐานของชาวอิตาลีมีมาตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
- ชาวเบลเยียม: มีจำนวนประมาณ 18,889 คน (ค.ศ. 2024) เนื่องจากมีพรมแดนติดกันและมีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ที่ใกล้ชิด
- ชาวเยอรมัน: มีจำนวนประมาณ 12,480 คน (ค.ศ. 2024) ด้วยเหตุผลคล้ายกับชาวเบลเยียม
- นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้อพยพจากประเทศอื่น ๆ ในสหภาพยุโรป (เช่น สเปน โรมาเนีย โปแลนด์) และจากนอกสหภาพยุโรป (เช่น ยูเครน อินเดีย) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- สถานะของผู้อพยพ: ผู้อพยพส่วนใหญ่ในลักเซมเบิร์กเป็นพลเมืองของสหภาพยุโรป ซึ่งมีสิทธิในการเคลื่อนย้ายและทำงานอย่างเสรีภายใน EU ลักเซมเบิร์กยังเปิดรับผู้ขอลี้ภัยและผู้อพยพด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม แม้ว่าจำนวนจะไม่มากเท่าประเทศอื่น ๆ ในยุโรป
- นโยบายพหุวัฒนธรรมและการบูรณาการทางสังคม: ลักเซมเบิร์กมีนโยบายที่ส่งเสริมพหุวัฒนธรรมและการบูรณาการทางสังคมของผู้อพยพ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ภาษา (ฝรั่งเศส เยอรมัน และลักเซมเบิร์ก) การศึกษา และการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานของผู้อพยพ มีโครงการและบริการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้อพยพในการปรับตัวเข้ากับสังคมลักเซมเบิร์ก อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในการบูรณาการยังคงมีอยู่ เช่น การเลือกปฏิบัติในบางกรณี และความแตกต่างทางวัฒนธรรม
จากมุมมองสังคมเสรีนิยม การให้ความสำคัญกับสิทธิและความเป็นอยู่ที่ดีของชนกลุ่มน้อยและผู้อพยพเป็นสิ่งสำคัญ การสร้างสังคมที่เปิดกว้างและยอมรับความหลากหลาย การต่อต้านการเลือกปฏิบัติ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกันของทุกคนในสังคมเป็นเป้าหมายหลัก การย้ายถิ่นฐานได้นำมาซึ่งความหลากหลายทางวัฒนธรรมและพลวัตทางเศรษฐกิจให้กับลักเซมเบิร์ก แต่ก็จำเป็นต้องมีการจัดการอย่างเหมาะสมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้น
9.3. ภาษา

ลักเซมเบิร์กมีสถานการณ์ทางภาษาที่เป็นเอกลักษณ์และซับซ้อน โดยมีภาษาราชการสามภาษาคือ ภาษาลักเซมเบิร์ก (Lëtzebuergesch) ภาษาฝรั่งเศส (Français) และภาษาเยอรมัน (Deutsch) ซึ่งสะท้อนถึงตำแหน่งทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ของประเทศที่อยู่ระหว่างอิทธิพลของวัฒนธรรมโรมานซ์และเจอร์แมนิก
- ภาษาลักเซมเบิร์ก (Lëtzebuergesch):
- เป็นภาษาประจำชาติของลักเซมเบิร์กตามกฎหมายปี ค.ศ. 1984
- เป็นภาษามอแซลฟรังโกเนียน (Moselle Franconian) ซึ่งเป็นภาษาถิ่นหนึ่งของกลุ่มภาษาเยอรมันกลาง-ตะวันตก (West Central German) แต่ก็ได้รับอิทธิพลจากภาษาฝรั่งเศสอย่างมาก โดยมีคำยืมจากภาษาฝรั่งเศสกว่า 5,000 คำ
- เป็นภาษาแม่หรือ "ภาษาของหัวใจ" สำหรับชาวลักเซมเบิร์กส่วนใหญ่ และเป็นภาษาที่ใช้ในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ในครอบครัว และในหมู่เพื่อนฝูง
- มีการใช้ภาษาลักเซมเบิร์กเพิ่มขึ้นในสื่อต่าง ๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ และวรรณกรรม แม้ว่าภาษาเขียนจะยังไม่แพร่หลายเท่าภาษาพูด
- ความรู้ภาษาลักเซมเบิร์กเป็นหนึ่งในเกณฑ์สำหรับการขอสัญชาติลักเซมเบิร์ก
- ภาษาฝรั่งเศส:
- เป็นภาษาที่ใช้ในทางกฎหมาย การบริหารราชการ และการพิจารณาคดีเป็นหลัก กฎหมายและข้อบังคับต่าง ๆ ตราขึ้นเป็นภาษาฝรั่งเศส
- เป็นภาษาที่ใช้ในการสื่อสารสาธารณะเป็นวงกว้าง เช่น ป้ายประกาศ ป้ายจราจร และในภาคธุรกิจ
- ในระบบการศึกษา ภาษาฝรั่งเศสเริ่มสอนตั้งแต่อายุ 7 ขวบ และเป็นภาษาหลักในการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษา
- จากการสำรวจในปี ค.ศ. 2021 ประชากรถึง 98% สามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้ในระดับสูง ทำให้เป็นภาษาที่คนส่วนใหญ่รู้จักและใช้ได้ดีที่สุดในประเทศ
- ภาษาเยอรมัน:
- เป็นภาษาที่ใช้ในสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อกระจายเสียงควบคู่ไปกับภาษาฝรั่งเศส
- เป็นภาษาแรกที่สอนในโรงเรียนประถมศึกษา (เป็นภาษาสำหรับการเรียนรู้การอ่านเขียน)
- ชาวลักเซมเบิร์กส่วนใหญ่มองว่าภาษาเยอรมันเป็นภาษาที่สองของตน เนื่องจากมีความคล้ายคลึงกับภาษาลักเซมเบิร์กสูง
- การใช้ภาษาจริงในภาคส่วนต่าง ๆ:
- ในชีวิตประจำวัน ชาวลักเซมเบิร์กมักใช้ภาษาลักเซมเบิร์กในการสนทนา
- ในการทำงาน ภาคเอกชนส่วนใหญ่ (56%) ระบุว่าภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาหลักในการทำงาน ตามมาด้วยภาษาลักเซมเบิร์ก (20%) ภาษาอังกฤษ (18%) และภาษาเยอรมัน (6%) (ข้อมูลจากปี ค.ศ. 2015)
- ในรัฐสภา การอภิปรายส่วนใหญ่เป็นภาษาลักเซมเบิร์ก แต่เอกสารราชการมักเป็นภาษาฝรั่งเศส (และบางครั้งมีภาษาเยอรมันประกอบ)
- ภาษาอังกฤษมีความสำคัญเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาคการเงินและธุรกิจระหว่างประเทศ ประชากร 80% สามารถสนทนาภาษาอังกฤษได้ (ข้อมูลปี ค.ศ. 2018)
- ภาษาโปรตุเกสก็มีการใช้อย่างแพร่หลายในชุมชนชาวโปรตุเกส ซึ่งเป็นกลุ่มผู้อพยพที่ใหญ่ที่สุด
ผลกระทบต่ออัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม: ระบบสามภาษานี้เป็นส่วนสำคัญของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของลักเซมเบิร์ก ทำให้ชาวลักเซมเบิร์กมีความสามารถในการสื่อสารหลายภาษาและเปิดรับวัฒนธรรมที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม ก็มีความกังวลในหมู่คนบางกลุ่มเกี่ยวกับการครอบงำของภาษาฝรั่งเศส (francization) และอนาคตของภาษาลักเซมเบิร์กและภาษาเยอรมันในประเทศ โดยเกรงว่าอาจนำไปสู่การเป็นประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก หรือใช้ภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษเป็นหลักในระยะยาว
การรักษาสมดุลระหว่างการใช้ภาษาทั้งสามและการส่งเสริมภาษาลักเซมเบิร์กให้ยังคงมีบทบาทสำคัญในสังคมเป็นประเด็นที่รัฐบาลและสังคมลักเซมเบิร์กให้ความสำคัญ
9.4. ศาสนา
ลักเซมเบิร์กเป็นรัฐฆราวาส (secular state) ซึ่งหมายความว่ารัฐไม่มีศาสนาประจำชาติอย่างเป็นทางการ และรับประกันเสรีภาพทางศาสนาและความเชื่อให้กับพลเมืองทุกคนตามรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม รัฐยังคงให้การยอมรับและมีความสัมพันธ์กับศาสนาบางศาสนาผ่านระบบอนุสัญญา (conventions) ซึ่งเป็นการจัดเตรียมทางการเงินและการบริหารจัดการบางส่วน
- การกระจายตัวของศาสนาหลัก:
- นิกายโรมันคาทอลิก: เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในลักเซมเบิร์กตามธรรมเนียมปฏิบัติ รวมถึงราชวงศ์แกรนด์ดยุกด้วย แม้ว่าจำนวนผู้ปฏิบัติศาสนกิจอย่างสม่ำเสมอจะลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ศาสนาคาทอลิกยังคงมีอิทธิพลทางวัฒนธรรมและสังคมอยู่มาก จากการประมาณการในปี ค.ศ. 2018 โดย ยูโรบารอมิเตอร์ 73.2% ของประชากรระบุว่าเป็นคริสเตียน โดย 63.8% เป็นคาทอลิก
- ศาสนาคริสต์นิกายอื่น ๆ: รวมถึงโปรเตสแตนต์ (เช่น ลูเธอรัน, คาลวินิสต์, เมนโนไนต์), ออร์ทอดอกซ์ (เช่น กรีกออร์ทอดอกซ์, รัสเซียออร์ทอดอกซ์), และแองกลิคัน ซึ่งมีผู้นับถือเป็นชนกลุ่มน้อย คิดเป็นประมาณ 9.4% ของประชากรที่เป็นคริสเตียน (ข้อมูลปี 2018)
- ศาสนาอิสลาม: เป็นศาสนาของชนกลุ่มน้อยที่กำลังเติบโต โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการย้ายถิ่นฐาน
- ศาสนายูดาห์: มีชุมชนชาวยิวขนาดเล็กแต่มีประวัติศาสตร์ยาวนานในลักเซมเบิร์ก
- ผู้ไม่นับถือศาสนา/อไญยนิยม/อเทวนิยม: สัดส่วนของผู้ที่ระบุว่าไม่มีศาสนา (irreligion) หรือไม่เชื่อในพระเจ้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากข้อมูล Eurobarometer ปี 2018 ประมาณ 23.4% ของประชากรระบุว่าไม่มีศาสนา
- ศาสนาอื่น ๆ: มีผู้นับถือศาสนาอื่น ๆ เช่น ศาสนาพุทธ หรือความเชื่ออื่น ๆ ในสัดส่วนที่น้อยมาก (ประมาณ 3.2% เป็นศาสนาอื่น ๆ หรือไม่ระบุ)
- ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับรัฐ: รัฐลักเซมเบิร์กให้การยอมรับศาสนาบางศาสนาผ่านอนุสัญญา ซึ่งรวมถึงศาสนาคาทอลิก, โปรเตสแตนต์, ยูดาห์, กรีกออร์ทอดอกซ์, แองกลิกัน, รัสเซียออร์ทอดอกซ์, ลูเธอรัน, คาลวินิสต์, เมนโนไนต์, และอิสลาม การยอมรับนี้ทำให้รัฐมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทางศาสนาและการแต่งตั้งผู้นำศาสนาในบางกรณี และในทางกลับกัน รัฐก็ให้การสนับสนุนทางการเงินสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและเงินเดือนของนักบวชบางส่วน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 เป็นต้นมา รัฐบาลไม่สามารถเก็บสถิติเกี่ยวกับความเชื่อหรือการปฏิบัติทางศาสนาของประชาชนได้โดยตรง
- เสรีภาพทางศาสนา: รัฐธรรมนูญลักเซมเบิร์กรับประกันเสรีภาพทางศาสนาและความเชื่อ ซึ่งหมายความว่าทุกคนมีสิทธิที่จะนับถือศาสนาหรือไม่นับถือศาสนาใด ๆ ก็ได้ และมีสิทธิที่จะปฏิบัติศาสนกิจตามความเชื่อของตนโดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติ
- ประเพณีทางศาสนา: วันหยุดราชการหลายวันในลักเซมเบิร์กมีรากฐานมาจากประเพณีทางศาสนาคริสต์ เช่น วันคริสต์มาส วันอีสเตอร์ และวันสมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ (Assumption Day) ประเพณีและเทศกาลทางศาสนายังคงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวลักเซมเบิร์กจำนวนมาก
สังคมลักเซมเบิร์กในปัจจุบันมีลักษณะเป็นพหุนิยมทางศาสนาและความเชื่อมากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงความหลากหลายของประชากรและการเปลี่ยนแปลงทัศนคติทางสังคม การเคารพความแตกต่างทางความเชื่อและการส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างกลุ่มศาสนาต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญในสังคมเสรีนิยม
9.5. การศึกษา

ระบบการศึกษาของลักเซมเบิร์กมีลักษณะเด่นคือการใช้หลายภาษาในการเรียนการสอน ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นสังคมพหุภาษาของประเทศ การศึกษาภาคบังคับเริ่มตั้งแต่อายุ 4 ปีจนถึง 16 ปี โรงเรียนส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนรัฐบาลและไม่มีค่าเล่าเรียน
- ระบบหลายภาษา:
- ช่วงปีแรก ๆ ของการศึกษาประถมศึกษา (enseignement fondamental ซึ่งรวมถึงระดับอนุบาลและประถมศึกษา) จะใช้ภาษาลักเซมเบิร์กเป็นหลักในการสอน
- ต่อมาจะเปลี่ยนไปใช้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาหลักในการสอนอ่านเขียนและวิชาส่วนใหญ่ในระดับประถมศึกษา
- ในระดับมัธยมศึกษา (enseignement secondaire) ภาษาที่ใช้ในการสอนจะเปลี่ยนเป็นภาษาฝรั่งเศสเป็นหลักในหลายวิชา
- ความสามารถในการใช้ทั้งสามภาษา (ลักเซมเบิร์ก เยอรมัน ฝรั่งเศส) เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา
- นอกจากนี้ ภาษาอังกฤษยังเป็นวิชาบังคับในหลักสูตร และประชากรลักเซมเบิร์กจำนวนมากสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคการเงินและธุรกิจระหว่างประเทศ
- ภาษาโปรตุเกส ซึ่งเป็นภาษาของกลุ่มผู้อพยพที่ใหญ่ที่สุด ก็มีผู้ใช้จำนวนมากในชุมชนชาวโปรตุเกส
- หลักสูตรการศึกษา:
- ระดับประถมศึกษา (enseignement fondamental): ครอบคลุมตั้งแต่อายุ 4 ถึง 11 ปี แบ่งเป็น 4 วัฏจักร (cycles)
- ระดับมัธยมศึกษา (enseignement secondaire): หลังจากจบการศึกษาภาคบังคับ นักเรียนสามารถเลือกเรียนต่อในสายสามัญ (classical secondary education หรือ enseignement secondaire classique - ESC) ซึ่งเน้นวิชาการและเตรียมความพร้อมสำหรับการศึกษาระดับอุดมศึกษา หรือสายอาชีวศึกษา (general secondary education หรือ enseignement secondaire général - ESG) ซึ่งเน้นทักษะทางวิชาชีพและสามารถนำไปสู่การศึกษาระดับสูงหรือการเข้าสู่ตลาดแรงงานได้
- ระดับอุดมศึกษา: มหาวิทยาลัยลักเซมเบิร์ก (University of Luxembourg) เป็นมหาวิทยาลัยแห่งเดียวในประเทศ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2003 ให้บริการหลักสูตรในระดับปริญญาตรี โท และเอก ในหลากหลายสาขาวิชา นอกจากนี้ยังมีสถาบันอุดมศึกษาเฉพาะทางอื่น ๆ เช่น Luxembourg School of Business ซึ่งเป็นโรงเรียนธุรกิจเอกชนที่ได้รับการรับรองในปี ค.ศ. 2017 รวมถึงวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยต่างชาติ เช่น ศูนย์ยุโรปโดลีบัวส์ มหาวิทยาลัยไมแอมี (Miami University Dolibois European Center) ในเมืองดิฟเฟอร์แดงจ์
- การเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม: รัฐบาลลักเซมเบิร์กให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นใจว่าเด็กทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่คำนึงถึงภูมิหลังทางสังคมหรือเศรษฐกิจ มีระบบสนับสนุนสำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ และมีความพยายามในการบูรณาการนักเรียนจากภูมิหลังที่หลากหลายเข้าสู่ระบบการศึกษาหลัก
ระบบการศึกษาหลายภาษาของลักเซมเบิร์กเป็นทั้งจุดแข็งและจุดท้าทาย จุดแข็งคือช่วยให้นักเรียนมีความสามารถทางภาษาที่หลากหลาย ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในตลาดแรงงานระหว่างประเทศและในสังคมพหุวัฒนธรรมของลักเซมเบิร์กเอง อย่างไรก็ตาม ก็อาจเป็นความท้าทายสำหรับนักเรียนบางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้มีภาษาใดภาษาหนึ่งในสามภาษาเป็นภาษาแม่ การส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาและการสนับสนุนนักเรียนที่มีความหลากหลายทางภาษาจึงเป็นประเด็นสำคัญในการพัฒนาระบบการศึกษาต่อไป
9.6. สาธารณสุข
ระบบสาธารณสุขของลักเซมเบิร์กได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพสูงและให้การดูแลสุขภาพที่ครอบคลุมแก่ประชาชนทุกคนในประเทศ โดยมีพื้นฐานอยู่บนหลักการของการเข้าถึงอย่างถ้วนหน้าและความเป็นปึกแผ่นทางสังคม (social solidarity)
- ระบบการแพทย์และระดับสาธารณสุข: ลักเซมเบิร์กมีระบบการประกันสุขภาพภาคบังคับ ซึ่งหมายความว่าผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศทุกคน (รวมถึงแรงงานข้ามพรมแดน) จะต้องเป็นสมาชิกของกองทุนประกันสุขภาพ (health insurance fund หรือ caisse de maladie) ระบบนี้ให้ความคุ้มครองค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ส่วนใหญ่ รวมถึงการไปพบแพทย์ ค่ายา ค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาล และบริการอื่น ๆ ผู้ป่วยสามารถเลือกแพทย์และโรงพยาบาลได้อย่างอิสระ อัตราการครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพโดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 80-90% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด
- ดัชนีชี้วัดสุขภาพที่สำคัญ: ลักเซมเบิร์กมีดัชนีชี้วัดสุขภาพที่ดีในหลายด้าน เช่น อายุคาดเฉลี่ยที่ค่อนข้างสูง อัตราการตายของทารกต่ำ และการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูง รัฐบาลมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย
- ระบบสวัสดิการสังคมที่ครอบคลุมการดูแลสุขภาพ: ระบบสวัสดิการสังคมของลักเซมเบิร์กให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพของประชาชนเป็นอย่างมาก นอกจากการประกันสุขภาพภาคบังคับแล้ว ยังมีโครงการและบริการอื่น ๆ ที่สนับสนุนสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน เช่น การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค และการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุและผู้ทุพพลภาพ
- ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ: จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของรัฐบาลลักเซมเบิร์กอยู่ที่ประมาณ 8,182 ดอลลาร์สหรัฐต่อประชากรหนึ่งคน (ข้อมูล ณ ปี ค.ศ. 2010 หรือใกล้เคียง) ลักเซมเบิร์กใช้จ่ายงบประมาณเกือบ 7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไปกับบริการด้านสุขภาพและโครงการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการใช้จ่ายด้านสุขภาพสูงที่สุดในยุโรป
คุณภาพของสถานพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ในลักเซมเบิร์กโดยทั่วไปถือว่าดีเยี่ยม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นประเทศขนาดเล็ก บางครั้งผู้ป่วยที่มีภาวะซับซ้อนอาจต้องเดินทางไปรับการรักษาในประเทศเพื่อนบ้านที่มีศูนย์การแพทย์เฉพาะทางขนาดใหญ่กว่า
การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค และการรับมือกับความท้าทายด้านสุขภาพใหม่ ๆ เช่น โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และผลกระทบจากสังคมผู้สูงอายุ เป็นประเด็นที่ระบบสาธารณสุขของลักเซมเบิร์กให้ความสำคัญในการพัฒนาต่อไป
9.7. กฎหมายและความสงบเรียบร้อย
ระบบกฎหมายของลักเซมเบิร์กมีพื้นฐานอยู่บนระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร (civil law tradition) โดยได้รับอิทธิพลอย่างมากจากประมวลกฎหมายนโปเลียนของฝรั่งเศส ซึ่งยังคงเป็นรากฐานสำคัญของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในปัจจุบัน นอกจากนี้ กฎหมายลักเซมเบิร์กยังได้รับอิทธิพลจากกฎหมายเยอรมันและกฎหมายของสหภาพยุโรปด้วย
- ลักษณะพื้นฐานของระบบกฎหมาย:
- รัฐธรรมนูญ: รัฐธรรมนูญแห่งลักเซมเบิร์กเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ กำหนดโครงสร้างการปกครอง สิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพลเมือง และหลักการแบ่งแยกอำนาจ
- กฎหมายที่ตราขึ้น: กฎหมายส่วนใหญ่ตราขึ้นโดยสภาผู้แทนราษฎร (Chamber of Deputies)
- ความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการ: ระบบศาลมีความเป็นอิสระในการพิจารณาคดีตามกฎหมาย
- หลักนิติธรรม: การดำเนินงานของรัฐและพลเมืองอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย
- สถานการณ์ความสงบเรียบร้อยและอัตราการเกิดอาชญากรรม:
- โดยทั่วไปแล้ว ลักเซมเบิร์กถือเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูงและมีอัตราอาชญากรรมต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรป คุณภาพชีวิตที่ดีและระบบสวัสดิการสังคมที่เข้มแข็งมีส่วนช่วยในการรักษาความสงบเรียบร้อย
- อาชญากรรมที่พบบ่อยมักเป็นอาชญากรรมเกี่ยวกับทรัพย์สิน เช่น การลักทรัพย์ การงัดแงะ หรือการโจรกรรมรถยนต์ อาชญากรรมรุนแรง เช่น ฆาตกรรม หรือการปล้นโดยใช้อาวุธ เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
- อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับอาชญากรรมบางประเภท เช่น อาชญากรรมไซเบอร์ การฉ้อโกงทางการเงิน และการค้ายาเสพติด ซึ่งเป็นความท้าทายที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต้องรับมือ
- การที่ลักเซมเบิร์กตั้งอยู่ใจกลางยุโรปและมีพรมแดนเปิดกับประเทศเพื่อนบ้าน อาจทำให้เป็นเส้นทางผ่านหรือเป้าหมายของกลุ่มอาชญากรข้ามชาติได้ในบางกรณี
- การพิจารณาถึงความเป็นธรรมทางสังคมและการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม:
- ลักเซมเบิร์กให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นใจว่าทุกคนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเท่าเทียมกัน มีระบบให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย (legal aid) สำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย
- ความเป็นธรรมทางสังคมเป็นหลักการสำคัญในการพัฒนากฎหมายและนโยบายต่าง ๆ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและคุ้มครองสิทธิของกลุ่มเปราะบาง
- การปฏิรูปกฎหมายและการปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
โดยรวมแล้ว ลักเซมเบิร์กเป็นประเทศที่มีความสงบเรียบร้อยและมีระบบกฎหมายที่มั่นคง ซึ่งเอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม อย่างไรก็ตาม การรักษาความปลอดภัยและการปรับปรุงระบบยุติธรรมให้ตอบสนองต่อความท้าทายใหม่ ๆ ยังคงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับประเทศ
9.8. สิทธิมนุษยชน
ลักเซมเบิร์กเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ทั้งในระดับประเทศและในเวทีระหว่างประเทศ รัฐธรรมนูญและกฎหมายของลักเซมเบิร์กรับประกันสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานหลายประการ และประเทศเป็นภาคีของอนุสัญญาและตราสารระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่สำคัญหลายฉบับ
- สถานการณ์สิทธิมนุษยชนโดยรวม: โดยทั่วไปแล้ว สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในลักเซมเบิร์กถือว่าดีมาก มีการเคารพสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เช่น เสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพในการชุมนุม และเสรีภาพในการสมาคม รวมถึงสิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีอย่างยุติธรรม รัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความเท่าเทียมกันและการไม่เลือกปฏิบัติ
- ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน:
- ความเท่าเทียมทางเพศ: ลักเซมเบิร์กมีความก้าวหน้าอย่างมากในด้านความเท่าเทียมทางเพศ มีกฎหมายที่ห้ามการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของเพศ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในทุกภาคส่วนของสังคม อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่ เช่น ช่องว่างค่าจ้างระหว่างเพศ (gender pay gap) และการมีผู้หญิงในตำแหน่งผู้นำทางการเมืองและธุรกิจในสัดส่วนที่น้อยกว่าผู้ชาย
- สิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+): ลักเซมเบิร์กเป็นหนึ่งในประเทศที่ก้าวหน้าที่สุดในยุโรปในด้านสิทธิ LGBTQ+ การสมรสเพศเดียวกัน (same-sex marriage) และการรับบุตรบุญธรรมของคู่รักเพศเดียวกันได้รับการรับรองตามกฎหมาย มีกฎหมายที่ห้ามการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของรสนิยมทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ
- สิทธิของชนกลุ่มน้อยและผู้อพยพ: เนื่องจากเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ลักเซมเบิร์กให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิของชนกลุ่มน้อยและผู้อพยพ มีนโยบายส่งเสริมการบูรณาการทางสังคมและการต่อต้านการเลือกปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม ผู้อพยพบางกลุ่มอาจยังคงเผชิญกับความท้าทายในการเข้าถึงโอกาสและการยอมรับในสังคม
- สิทธิเด็ก: การคุ้มครองสิทธิเด็กเป็นเรื่องสำคัญ มีกฎหมายและกลไกในการป้องกันการทารุณกรรมเด็กและการแสวงหาประโยชน์จากเด็ก
- สิทธิผู้พิการ: มีความพยายามในการส่งเสริมสิทธิของผู้ทุพพลภาพและการสร้างสังคมที่ปราศจากอุปสรรค (inclusive society)
- การค้ามนุษย์: ลักเซมเบิร์กเป็นทั้งประเทศปลายทางและทางผ่านสำหรับการค้ามนุษย์ รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือแก่เหยื่อ
- นโยบายที่เกี่ยวข้องและการคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง: รัฐบาลลักเซมเบิร์กมีนโยบายและโครงการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง ซึ่งรวมถึงการจัดตั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (National Human Rights Commission) และการทำงานร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคม องค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนมีบทบาทสำคัญในการติดตามสถานการณ์และผลักดันให้เกิดการปรับปรุง
- การส่งเสริมสังคมที่เปิดกว้าง: ลักเซมเบิร์กมุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมที่เปิดกว้าง ยอมรับความหลากหลาย และเคารพสิทธิของทุกคน การศึกษาด้านสิทธิมนุษยชนและการสร้างความตระหนักรู้ในหมู่ประชาชนเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามนี้
แม้ว่าสถานการณ์สิทธิมนุษยชนโดยรวมจะดี แต่ก็ยังคงมีความท้าทายบางประการที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง เช่น การขจัดการเลือกปฏิบัติในทุกรูปแบบ การสร้างความมั่นใจในการเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเท่าเทียมกัน และการรับมือกับผลกระทบของโลกาภิวัตน์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ต่อสิทธิมนุษยชน การยึดมั่นในหลักการสิทธิมนุษยชนสากลและการทำงานร่วมกับประชาคมระหว่างประเทศยังคงเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายของลักเซมเบิร์ก
10. วัฒนธรรม
วัฒนธรรมของลักเซมเบิร์กเป็นผลพวงจากการผสมผสานระหว่างอิทธิพลของวัฒนธรรมโรมานซ์ (ฝรั่งเศส) และเจอร์แมนิก (เยอรมัน) เนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศที่อยู่ระหว่างสองกลุ่มวัฒนธรรมหลักนี้ นอกจากนี้ การมีประชากรชาวต่างชาติจำนวนมากยังได้เพิ่มความหลากหลายทางวัฒนธรรมให้กับประเทศอีกด้วย ลักเซมเบิร์กให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของตนเองควบคู่ไปกับการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในศิลปะร่วมสมัย
10.1. ศิลปะ

ศิลปะในลักเซมเบิร์กมีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีความหลากหลาย โดยได้รับอิทธิพลจากกระแสศิลปะในยุโรปและพัฒนาเอกลักษณ์ของตนเองขึ้นมา
- ทัศนศิลป์:
- จิตรกรรม: ในอดีต จิตรกรรมในลักเซมเบิร์กได้รับอิทธิพลจากศิลปะศาสนาและภาพเหมือนบุคคล ต่อมาในศตวรรษที่ 19 และ 20 ศิลปินลักเซมเบิร์กเริ่มสำรวจแนวทางใหม่ ๆ เช่น อิมเพรสชันนิสม์ เอกซ์เพรสชันนิสม์ และศิลปะนามธรรม ศิลปินที่มีชื่อเสียง ได้แก่ โจเซฟ คุตเตอร์ (Joseph Kutter) ซึ่งเป็นที่รู้จักจากภาพวาดที่แสดงออกถึงอารมณ์และความรู้สึก และ ธีโอ เคิร์ก (Théo Kerg) ผู้บุกเบิกศิลปะนามธรรมและมีส่วนร่วมในขบวนการศิลปะสมัยใหม่ในยุโรป มิเชล มาเยรุส (Michel Majerus) เป็นศิลปินร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ผลงานของเขามักผสมผสานภาพจากวัฒนธรรมสมัยนิยม สื่อ และประวัติศาสตร์ศิลปะ
- ประติมากรรม: ประติมากรรมในลักเซมเบิร์กมีทั้งงานแบบดั้งเดิมที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและอนุสาวรีย์ และงานร่วมสมัยที่ใช้วัสดุและแนวคิดที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น ผลงานประติมากรรมของ คลอส ซิโต (Claus Cito) ผู้สร้างอนุสาวรีย์ "เกลเลอ ฟรา" (Gëlle Fra) อันเป็นสัญลักษณ์ของนครลักเซมเบิร์ก
- การถ่ายภาพ: เอ็ดเวิร์ด สไตเชน (Edward Steichen) ช่างภาพชาวอเมริกันเชื้อสายลักเซมเบิร์ก เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การถ่ายภาพโลก นิทรรศการ "The Family of Man" ที่เขาเป็นผู้ดูแลและจัดแสดงครั้งแรกที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ นิวยอร์ก ในปี ค.ศ. 1955 ได้รับการยกย่องอย่างสูง และปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกโดยยูเนสโก และจัดแสดงถาวรที่ปราสาทเคลียร์โวซ์ (Clervaux Castle) ในลักเซมเบิร์ก การถ่ายภาพร่วมสมัยในลักเซมเบิร์กก็มีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง โดยมีศิลปินรุ่นใหม่ที่สร้างสรรค์ผลงานที่น่าสนใจ
- พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์: ลักเซมเบิร์กมีพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์หลายแห่งที่จัดแสดงผลงานศิลปะทั้งแบบดั้งเดิมและร่วมสมัย เช่น พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และศิลปะแห่งชาติ (National Museum of History and Art - NMHA) พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่แกรนด์ดยุกฌอง (Grand Duke Jean Museum of Modern Art - Mudam) และ Casino Luxembourg - Forum d'art contemporain ซึ่งเป็นศูนย์กลางสำหรับศิลปะร่วมสมัย
รัฐบาลลักเซมเบิร์กให้การสนับสนุนศิลปะและศิลปินผ่านโครงการต่าง ๆ และการให้ทุน เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และความหลากหลายทางวัฒนธรรมในประเทศ ศิลปะจึงมีบทบาทสำคัญในการสะท้อนอัตลักษณ์และพลวัตของสังคมลักเซมเบิร์ก
10.2. วรรณกรรม
วรรณกรรมลักเซมเบิร์กมีลักษณะเด่นคือการใช้หลายภาษา ซึ่งสะท้อนถึงสถานการณ์ทางภาษาของประเทศ โดยมีผลงานเขียนทั้งในภาษาลักเซมเบิร์ก ภาษาฝรั่งเศส และภาษาเยอรมัน
- ประวัติศาสตร์วรรณกรรม: วรรณกรรมลักเซมเบิร์กในยุคแรก ๆ มักเป็นนิทานพื้นบ้าน บทกวี และงานเขียนทางศาสนา การพัฒนาวรรณกรรมที่เป็นลายลักษณ์อักษรในภาษาลักเซมเบิร์กเริ่มขึ้นอย่างจริงจังในศตวรรษที่ 19 โดยมีบุคคลสำคัญเช่น อ็องตวน เมเยอร์ (Antoine Meyer) มีแชล แล็นทซ์ (Michel Lentz) และแอดมง เดอ ลา ฟงแตน (Edmond de la Fontaine หรือที่รู้จักในนามปากกา "Dicks") ซึ่งถือเป็นกวีเอกของชาติ พวกเขามีบทบาทสำคัญในการสร้างมาตรฐานและส่งเสริมการใช้ภาษาลักเซมเบิร์กในงานวรรณกรรม
- นักเขียนและผลงานสำคัญ:
- ในศตวรรษที่ 20 มีนักเขียนที่สร้างสรรค์ผลงานในภาษาต่าง ๆ เช่น นิโคลาอุส "นิค" เวลเทอร์ (Nikolaus "Nik" Welter) และบัตตี เวเบอร์ (Batty Weber) ซึ่งเขียนทั้งในภาษาเยอรมันและลักเซมเบิร์ก
- วรรณกรรมร่วมสมัยของลักเซมเบิร์กมีความหลากหลายมากขึ้น มีนักเขียนรุ่นใหม่ที่สร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งนวนิยาย เรื่องสั้น บทกวี และบทละคร ตัวอย่างนักเขียนร่วมสมัยที่มีชื่อเสียง ได้แก่ กาย เรอเวนิก (Guy Rewenig) โรเจอร์ แมนเดอร์สชайด์ (Roger Manderscheid) และอานีซ คอลท์ซ (Anise Koltz)
- ฮิวโก เกิร์นสแบ็ก (Hugo Gernsback) บรรณาธิการและนักเขียนผู้เกิดในนครลักเซมเบิร์ก เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการบุกเบิกแนวบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ (science fiction) ในสหรัฐอเมริกา สิ่งพิมพ์ของเขาได้ช่วยตกผลึกแนวคิดของวรรณกรรมประเภทนี้
- ลักษณะของวรรณกรรมหลายภาษา: การที่นักเขียนลักเซมเบิร์กจำนวนมากสามารถเขียนได้หลายภาษาทำให้วรรณกรรมของประเทศมีความหลากหลายและเชื่อมโยงกับกระแสวรรณกรรมในประเทศเพื่อนบ้าน บางครั้งนักเขียนคนเดียวกันอาจสร้างสรรค์ผลงานในหลายภาษา หรือมีการแปลผลงานข้ามภาษากันอย่างกว้างขวาง การใช้หลายภาษายังสะท้อนถึงความซับซ้อนของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและภาษาในลักเซมเบิร์ก
- การส่งเสริมวรรณกรรม: รัฐบาลและองค์กรทางวัฒนธรรมในลักเซมเบิร์กให้การสนับสนุนวรรณกรรมผ่านการให้รางวัล การจัดเทศกาลวรรณกรรม และการส่งเสริมการอ่าน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ และเผยแพร่วรรณกรรมลักเซมเบิร์กให้เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ
วรรณกรรมลักเซมเบิร์กจึงเป็นกระจกสะท้อนสังคม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของประเทศ โดยมีภาษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสดงออกถึงอัตลักษณ์และความหลากหลาย
10.3. ดนตรี
ดนตรีในลักเซมเบิร์กมีความหลากหลายและมีชีวิตชีวา โดยครอบคลุมทั้งดนตรีพื้นบ้าน ดนตรีคลาสสิก และดนตรีสมัยนิยมร่วมสมัย ซึ่งสะท้อนถึงอิทธิพลทางวัฒนธรรมที่หลากหลายของประเทศ
- ดนตรีพื้นบ้าน: ดนตรีพื้นบ้านของลักเซมเบิร์กมีรากฐานมาจากประเพณีของภูมิภาค โดยมีเพลงและการเต้นรำที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน เครื่องดนตรีที่ใช้มักจะเป็นเครื่องดนตรีพื้นเมือง เช่น หีบเพลงชัก (accordion) ไวโอลิน และเครื่องเป่าลมต่าง ๆ ดนตรีพื้นบ้านมักจะเกี่ยวข้องกับเทศกาลและงานเฉลิมฉลองในท้องถิ่น
- ดนตรีสมัยนิยมร่วมสมัย:
- ลักเซมเบิร์กมีวงการดนตรีสมัยนิยมที่กำลังเติบโต โดยมีศิลปินและวงดนตรีที่สร้างสรรค์ผลงานในแนวเพลงต่าง ๆ เช่น ป็อป ร็อก อิเล็กทรอนิกส์ และฮิปฮอป
- มีเทศกาลดนตรีและสถานที่แสดงดนตรีสดหลายแห่งที่เปิดโอกาสให้ศิลปินท้องถิ่นและศิลปินนานาชาติได้แสดงผลงาน
- ลักเซมเบิร์กเคยเป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขันยูโรวิชันซองคอนเทสต์อย่างสม่ำเสมอระหว่างปี ค.ศ. 1956 ถึง 1993 (ยกเว้นปี 1959) และชนะการแข่งขันถึง 5 ครั้ง (ในปี 1961, 1965, 1972, 1973, 1983) และได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน 4 ครั้ง (ในปี 1962, 1966, 1973, 1984) อย่างไรก็ตาม ศิลปินส่วนใหญ่ที่เข้าแข่งขันในนามลักเซมเบิร์กไม่ได้เป็นชาวลักเซมเบิร์กโดยกำเนิด ลักเซมเบิร์กได้กลับเข้าร่วมการแข่งขันอีกครั้งในปี ค.ศ. 2024 โดยเน้นการส่งเสริมดนตรีและศิลปินจากลักเซมเบิร์กเอง
- ดนตรีคลาสสิก:
- ลักเซมเบิร์กมีวงการดนตรีคลาสสิกที่แข็งแกร่ง โดยมีวงออร์เคสตราฟีลาร์โมนิกลักเซมเบิร์ก (Luxembourg Philharmonic Orchestra) เป็นวงออร์เคสตราหลักของประเทศ ซึ่งมีชื่อเสียงในระดับนานาชาติและจัดการแสดงคอนเสิร์ตอย่างสม่ำเสมอ
- ฟีลาร์โมนีลักเซมเบิร์ก (Philharmonie Luxembourg) เป็นศูนย์แสดงคอนเสิร์ตที่ทันสมัยและมีชื่อเสียง เป็นสถานที่จัดการแสดงดนตรีคลาสสิกและดนตรีประเภทอื่น ๆ จากศิลปินทั่วโลก
- มีนักดนตรีและนักประพันธ์เพลงคลาสสิกชาวลักเซมเบิร์กที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับ
- โรงเรียนดนตรีและสถาบันการศึกษาดนตรีหลายแห่งให้การฝึกอบรมแก่นักดนตรีรุ่นใหม่
การสนับสนุนจากภาครัฐและองค์กรเอกชนมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมกิจกรรมทางดนตรีในลักเซมเบิร์ก ทำให้ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศ
10.4. สถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรมในลักเซมเบิร์กสะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานและอิทธิพลทางวัฒนธรรมที่หลากหลายของประเทศ ตั้งแต่ป้อมปราการโบราณไปจนถึงอาคารสมัยใหม่ที่เป็นนวัตกรรม
- อาคารประวัติศาสตร์และป้อมปราการ:
- ลักษณะเด่นที่สุดของสถาปัตยกรรมลักเซมเบิร์กคือป้อมปราการและกำแพงเมืองเก่าในนครลักเซมเบิร์ก ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก ป้อมปราการเหล่านี้สร้างขึ้นและขยายต่อเติมมาหลายศตวรรษโดยผู้ปกครองหลายชาติ เช่น สเปน ออสเตรีย และฝรั่งเศส (โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานของมาร์กี เดอ โวบ็อง วิศวกรทหารชาวฝรั่งเศส) สะท้อนถึงความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของเมืองในอดีต ซากปรักหักพังของปราสาท ป้อมปืน (casemates) และกำแพงหินเป็นเครื่องยืนยันถึงประวัติศาสตร์ทางการทหารที่ยาวนาน
- นอกจากป้อมปราการแล้ว ยังมีปราสาทและคฤหาสน์เก่าแก่กระจายอยู่ทั่วประเทศ เช่น ปราสาทวีอ็องเด็น (Vianden Castle) ปราสาทโบฟอร์ (Beaufort Castle) และปราสาทบูร์กลินสเตอร์ (Bourglinster Castle) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ กอทิก และเรอแนซ็องส์
- โบสถ์และอารามเก่าแก่หลายแห่ง เช่น อาสนวิหารน็อทร์-ดาม (Notre-Dame Cathedral) ในนครลักเซมเบิร์ก และอารามเอชเทอร์นัค (Abbey of Echternach) ก็เป็นตัวอย่างสำคัญของสถาปัตยกรรมทางศาสนา
- สถาปัตยกรรมในเมืองและชนบท:
- ในเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะนครลักเซมเบิร์ก จะพบเห็นอาคารบ้านเรือนแบบดั้งเดิมที่มีหลังคาสูงชันและหน้าต่างแคบ ๆ ซึ่งสร้างด้วยหินในท้องถิ่น
- ในเขตชนบท สถาปัตยกรรมบ้านไร่แบบดั้งเดิม (farmhouses) มักจะเรียบง่ายและกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม
- สถาปัตยกรรมสมัยใหม่และร่วมสมัย:
- ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ลักเซมเบิร์กได้เห็นการพัฒนาสถาปัตยกรรมสมัยใหม่และร่วมสมัยที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในเขตกีร์ชแบร์ก (Kirchberg) ของนครลักเซมเบิร์ก ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบันยุโรปและอาคารสำนักงานที่ทันสมัย
- ตัวอย่างสำคัญของสถาปัตยกรรมร่วมสมัย ได้แก่ ฟีลาร์โมนีลักเซมเบิร์ก (Philharmonie Luxembourg) ซึ่งออกแบบโดย คริสตีย็อง เดอ ปอร์ตซ็องปาร์ก (Christian de Portzamparc) และพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่แกรนด์ดยุกฌอง (Mudam) ซึ่งออกแบบโดย ไอ. เอ็ม. เพย์ (I. M. Pei) สถาปัตยกรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างนวัตกรรมการออกแบบและการใช้งาน
- มีการให้ความสำคัญกับการออกแบบที่ยั่งยืนและการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในโครงการก่อสร้างใหม่ ๆ
การอนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรมเก่าแก่ควบคู่ไปกับการส่งเสริมนวัตกรรมในการออกแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่เป็นสิ่งที่ลักเซมเบิร์กให้ความสำคัญ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่และสะท้อนถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของประเทศ
10.5. อาหาร
อาหารลักเซมเบิร์กสะท้อนถึงที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศที่อยู่ระหว่างโลกละตินและเจอร์แมนิก โดยได้รับอิทธิพลอย่างมากจากอาหารของประเทศเพื่อนบ้านอย่างฝรั่งเศสและเยอรมนี นอกจากนี้ ในช่วงหลัง ๆ อาหารลักเซมเบิร์กยังได้รับการเสริมแต่งจากผู้อพยพชาวอิตาลีและโปรตุเกสจำนวนมาก อาหารพื้นเมืองส่วนใหญ่ของลักเซมเบิร์กซึ่งบริโภคเป็นอาหารประจำวันแบบดั้งเดิม มีรากฐานมาจากอาหารพื้นบ้านของประเทศ เช่นเดียวกับในอาหารเยอรมันที่อยู่ใกล้เคียง
- อาหารแบบดั้งเดิม:
- ยุดมัตการ์เดอบูเนิน (Judd mat Gaardebounen): ถือเป็นอาหารประจำชาติอย่างหนึ่งของลักเซมเบิร์ก ประกอบด้วยคอหมูรมควัน เสิร์ฟพร้อมกับถั่วปากอ้า (broad beans) และมันฝรั่งต้มหรือทอด
- Bouneschlupp: ซุปถั่วเขียวกับมันฝรั่งและเบคอน
- Kachkéis หรือ Cancoillotte: ชีสเหลวที่ทำจากชีสเม็ตทัน (metton cheese) มักจะเสิร์ฟอุ่น ๆ กับขนมปังหรือมันฝรั่ง
- Gromperekichelcher: แพนเค้กมันฝรั่งทอดกรอบ มักจะรับประทานเป็นอาหารว่างหรืออาหารเรียกน้ำย่อย
- Paschtéit หรือ Bouchée à la Reine: พายเนื้อไก่และเห็ดในซอสครีม เสิร์ฟในถ้วยพัฟเพสตรี
- อาหารที่ทำจากปลาแม่น้ำ เช่น ปลาเทราต์และปลาไพค์ ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน
- อิทธิพลจากประเทศเพื่อนบ้าน:
- อาหารฝรั่งเศส: มีอิทธิพลอย่างมากต่ออาหารลักเซมเบิร์ก โดยเฉพาะอาหารชั้นสูง (haute cuisine) และขนมอบ (pâtisserie)
- อาหารเยอรมัน: อาหารประเภทเนื้อสัตว์ ไส้กรอก และอาหารจานเดียวแบบหนัก ๆ หลายชนิดมีลักษณะคล้ายคลึงกับอาหารเยอรมัน
- อาหารเบลเยียม: เฟรนช์ฟราย (frites) และวาฟเฟิล (waffles) ก็เป็นที่นิยมในลักเซมเบิร์กเช่นกัน
- เครื่องดื่ม:
- ไวน์: ลักเซมเบิร์กมีชื่อเสียงในการผลิตไวน์ขาวคุณภาพดีจากหุบเขาโมแซล พันธุ์องุ่นที่สำคัญ ได้แก่ รีสลิง (Riesling), ปิโนกรี (Pinot Gris), ปิโนบล็อง (Pinot Blanc), โอแซรัวบล็อง (Auxerrois), และ รีวาเนอร์ (Rivaner หรือ Müller-Thurgau) นอกจากนี้ยังมีการผลิตไวน์สปาร์กลิงที่เรียกว่า Crémant de Luxembourg ซึ่งมีคุณภาพสูง
- เบียร์: มีโรงเบียร์ท้องถิ่นหลายแห่งที่ผลิตเบียร์หลากหลายสไตล์ เบียร์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ Bofferding, Simon Pils, และ Diekirch
- เครื่องดื่มอื่น ๆ: มีการผลิตเหล้าผลไม้ (schnapps) และเหล้าที่ทำจากพลัม (quetsch)
ลักเซมเบิร์กมียอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อหัวสูงที่สุดในยุโรป อย่างไรก็ตาม สัดส่วนขนาดใหญ่ของแอลกอฮอล์ที่ซื้อโดยลูกค้าจากประเทศเพื่อนบ้านมีส่วนทำให้ระดับการขายแอลกอฮอล์ต่อหัวสูงตามสถิติ ระดับการขายแอลกอฮอล์นี้จึงไม่ได้แสดงถึงการบริโภคแอลกอฮอล์ที่แท้จริงของประชากรลักเซมเบิร์ก
ลักเซมเบิร์กมีจำนวนร้านอาหารที่ได้รับดาวมิชลิน (Michelin-starred restaurants) ต่อหัวสูงเป็นอันดับสองของโลก โดยญี่ปุ่นอยู่ในอันดับหนึ่ง และสวิตเซอร์แลนด์ตามหลังลักเซมเบิร์กเป็นอันดับสาม ซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานที่สูงของวงการอาหารในประเทศ
วัฒนธรรมอาหารของลักเซมเบิร์กจึงเป็นการผสมผสานระหว่างประเพณีท้องถิ่นและอิทธิพลจากต่างประเทศ ทำให้มีความหลากหลายและน่าสนใจ
10.6. กีฬา

กีฬาในลักเซมเบิร์กไม่ได้มุ่งเน้นไปที่กีฬาประจำชาติชนิดใดชนิดหนึ่งโดยเฉพาะเหมือนกับประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป แต่กลับครอบคลุมกีฬาหลากหลายประเภท ทั้งกีฬาประเภททีมและกีฬาประเภทบุคคล แม้จะไม่มีจุดสนใจหลักทางกีฬา แต่มีประชากรมากกว่า 100,000 คนในลักเซมเบิร์ก จากจำนวนประชากรทั้งหมดประมาณ 660,000 คน เป็นสมาชิกที่ได้รับใบอนุญาตของสหพันธ์กีฬาอย่างน้อยหนึ่งแห่ง
สนามกีฬาแห่งชาติลักเซมเบิร์ก (Stade de Luxembourg) ซึ่งตั้งอยู่ในย่านกัสเพอริช (Gasperich) ทางตอนใต้ของนครลักเซมเบิร์ก เป็นสนามกีฬาแห่งชาติและเป็นสถานที่จัดการแข่งขันกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยมีความจุ 9,386 ที่นั่งสำหรับการแข่งขันกีฬา เช่น ฟุตบอลและรักบี้ยูเนียน และ 15,000 ที่นั่งสำหรับคอนเสิร์ต สถานที่จัดการแข่งขันในร่มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศคือ ดีโคค (d'Coque) ในย่านกีร์ชแบร์ก (Kirchberg) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของนครลักเซมเบิร์ก ซึ่งมีความจุ 8,300 ที่นั่ง สนามกีฬานี้ใช้สำหรับการแข่งขันบาสเกตบอล แฮนด์บอล ยิมนาสติก และวอลเลย์บอล รวมถึงรอบชิงชนะเลิศของวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์ยุโรป 2007
กีฬาที่ได้รับความนิยมในลักเซมเบิร์ก ได้แก่:
- ฟุตบอล: เป็นกีฬาประเภททีมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีลีกฟุตบอลในประเทศคือ ลักเซมเบิร์กเนชันนัลดิวิชัน และทีมชาติลักเซมเบิร์กเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติ
- จักรยาน: การขี่จักรยานเป็นที่นิยมอย่างมาก ทั้งในรูปแบบการแข่งขันและการพักผ่อน ลักเซมเบิร์กมีนักกีฬาจักรยานที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคน เช่น ชาร์ลี โกล (Charly Gaul) ผู้ชนะการแข่งขันตูร์เดอฟร็องส์และจีโรดีตาเลีย และพี่น้องตระกูลชเล็ค (Fränk และ Andy Schleck) ซึ่งประสบความสำเร็จในการแข่งขันระดับนานาชาติเช่นกัน ทีมจักรยานถนนหญิงของลักเซมเบิร์กคือ เฮสส์ไซคลิงทีม (Hess Cycling Team)
- กีฬาอื่น ๆ: รวมถึงกรีฑา ว่ายน้ำ เทนนิส บาสเกตบอล วอลเลย์บอล และแฮนด์บอล ซึ่งมีการแข่งขันและสโมสรกีฬาทั่วประเทศ
ลักเซมเบิร์กเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกอย่างสม่ำเสมอ และเคยได้รับเหรียญรางวัลในการแข่งขันกีฬาฤดูหนาวและฤดูร้อน รัฐบาลให้การสนับสนุนการพัฒนากีฬาในทุกระดับ ตั้งแต่กีฬาสมัครเล่นไปจนถึงกีฬาเพื่อความเป็นเลิศ เพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีของประชาชนและการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศในเวทีนานาชาติ
10.7. สื่อ
สื่อในลักเซมเบิร์กมีความหลากหลายและมีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูลข่าวสารและความบันเทิงแก่ประชาชน ภาษาหลักที่ใช้ในสื่อคือภาษาฝรั่งเศสและเยอรมัน แต่ก็มีสื่อในภาษาลักเซมเบิร์กและภาษาอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
- หนังสือพิมพ์: หนังสือพิมพ์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุดคือ ลักเซมเบอร์เกอร์ วอร์ท (Luxemburger Wort) ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์รายวันภาษาเยอรมัน เนื่องจากความเป็นสังคมพหุภาษาของลักเซมเบิร์ก หนังสือพิมพ์มักจะสลับบทความภาษาฝรั่งเศสและบทความภาษาเยอรมันโดยไม่มีการแปล นอกจากนี้ ยังมีสิ่งพิมพ์ภาษาอังกฤษและโปรตุเกสทั้งในระดับชาติและวิทยุ แต่การวัดจำนวนผู้รับชมที่แม่นยำเป็นเรื่องยาก เนื่องจากการสำรวจสื่อระดับชาติโดย ILRES ดำเนินการเป็นภาษาฝรั่งเศส
- การกระจายเสียง (วิทยุและโทรทัศน์): ลักเซมเบิร์กเป็นที่รู้จักในยุโรปจากสถานีวิทยุและโทรทัศน์ (เช่น สถานีวิทยุลักเซมเบิร์ก (Radio Luxembourg) และRTL Group) RTL Group เป็นกลุ่มบริษัทสื่อขนาดใหญ่ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในลักเซมเบิร์ก และดำเนินธุรกิจสถานีโทรทัศน์และวิทยุหลายแห่งทั่วยุโรป
- สื่อดาวเทียม: ลักเซมเบิร์กเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัท SES S.A. (เดิมชื่อ SES Astra) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการดาวเทียมรายใหญ่ที่สุดของโลก ให้บริการสื่อสารผ่านดาวเทียมสำหรับการกระจายเสียงและบริการข้อมูลแก่ลูกค้าทั่วโลก
- ภาพยนตร์: เนื่องจากกฎหมายปี ค.ศ. 1988 ที่กำหนดระบบภาษีพิเศษสำหรับการลงทุนด้านโสตทัศนูปกรณ์ การผลิตภาพยนตร์และการร่วมผลิตภาพยนตร์ในลักเซมเบิร์กจึงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์ที่จดทะเบียนในลักเซมเบิร์กประมาณ 30 บริษัท ลักเซมเบิร์กได้รับรางวัลออสการ์ในปี ค.ศ. 2014 ในสาขาภาพยนตร์แอนิเมชันสั้นยอดเยี่ยม จากเรื่อง มิสเตอร์ฮิวบลอต (Mr Hublot)
- เสรีภาพของสื่อ: ลักเซมเบิร์กให้ความสำคัญกับเสรีภาพของสื่อและเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย สื่อมวลชนสามารถดำเนินงานได้อย่างอิสระและมีบทบาทในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและสถาบันต่าง ๆ
สื่อในลักเซมเบิร์กสะท้อนถึงความเป็นสังคมเปิดและมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมของประเทศ โดยทำหน้าที่เป็นทั้งแหล่งข้อมูล แหล่งความบันเทิง และเวทีสำหรับการอภิปรายสาธารณะ
10.8. สัญลักษณ์ประจำชาติ
สัญลักษณ์ประจำชาติของลักเซมเบิร์กเป็นสิ่งที่แสดงถึงอัตลักษณ์ เอกราช และประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศ สัญลักษณ์ที่สำคัญได้แก่:
- ธงชาติ: ธงชาติลักเซมเบิร์กเป็นธงสามสีแนวนอน ประกอบด้วยแถบสีแดง สีขาว และสีฟ้าอ่อน (หรือสีน้ำเงินซีด) เรียงจากบนลงล่าง ธงนี้เริ่มใช้มาตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 และได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1972 สีของธงมีรากฐานมาจากตราอาร์มของราชวงศ์ลักเซมเบิร์กในอดีต
- เพลงชาติ: เพลงชาติของลักเซมเบิร์กคือ "อ็อนส์ เฮเมชท์" (Ons Heemecht) ซึ่งแปลว่า "บ้านเกิดของเรา" ประพันธ์คำร้องโดย มีแชล แล็นทซ์ (Michel Lentz) และทำนองโดย ฌ็อง อ็องตวน ซินเนน (Jean Antoine Zinnen) ในปี ค.ศ. 1864 เนื้อเพลงสะท้อนถึงความรักชาติ ความภาคภูมิใจในเอกราช และความสวยงามของธรรมชาติในลักเซมเบิร์ก นอกจากนี้ ยังมีเพลงสรรเสริญพระบารมี (royal anthem) คือ "De Wilhelmusภาษาลักเซมเบิร์ก, Letzeburgesch" ซึ่งใช้ในโอกาสที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์
- ตราแผ่นดิน: ตราแผ่นดินของลักเซมเบิร์กมีหลายรูปแบบ ตราใหญ่ (greater coat of arms) ประกอบด้วยสิงโตสีแดงสองหางบนพื้นโล่ลายแถบสีเงินและสีน้ำเงิน มีมงกุฎราชวงศ์อยู่ด้านบน และมีสิงโตสองตัวประคองโล่ ตรานี้มีรากฐานมาจากตราอาร์มของเคานต์เฮนรีที่ 5 แห่งลักเซมเบิร์กในศตวรรษที่ 13
- คำขวัญประจำชาติ: คำขวัญประจำชาติของลักเซมเบิร์กคือ "Mir wëlle bleiwe wat mir sinn" ซึ่งเป็นภาษาลักเซมเบิร์ก แปลว่า "เราต้องการจะยังคงเป็นในสิ่งที่เราเป็น" (We want to remain what we are) คำขวัญนี้สะท้อนถึงความปรารถนาของชาวลักเซมเบิร์กในการรักษาเอกราช อัตลักษณ์ และวัฒนธรรมของตนเอง ท่ามกลางประวัติศาสตร์ที่มักจะถูกรุกรานและปกครองโดยมหาอำนาจภายนอก
สัญลักษณ์เหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชาวลักเซมเบิร์ก โดยเป็นเครื่องเตือนใจถึงประวัติศาสตร์อันยาวนาน การต่อสู้เพื่อเอกราช และความเป็นชาติที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง
10.9. มรดกโลก

ลักเซมเบิร์กมีสถานที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกโดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) หนึ่งแห่ง ซึ่งสะท้อนถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่โดดเด่นในระดับสากล
สถานที่นั้นคือ เมืองเก่าและป้อมปราการของนครลักเซมเบิร์ก (City of Luxembourg: its Old Quarters and Fortifications) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนในปี ค.ศ. 1994
- ความสำคัญ: นครลักเซมเบิร์กเคยเป็นหนึ่งในป้อมปราการที่สำคัญที่สุดในยุโรปตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 จนกระทั่งถูกรื้อถอนบางส่วนในปี ค.ศ. 1867 ตามสนธิสัญญาลอนดอน เนื่องจากที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญระหว่างราชอาณาจักรฝรั่งเศสและจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และต่อมาระหว่างฝรั่งเศสกับสมาพันธรัฐเยอรมัน ทำให้ผู้ปกครองหลายชาติ เช่น ราชวงศ์บูร์กอญ ราชวงศ์ฮาพส์บูร์ก (ทั้งสายสเปนและออสเตรีย) ฝรั่งเศส และปรัสเซีย ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างและเสริมความแข็งแกร่งของป้อมปราการแห่งนี้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายศตวรรษ
- ลักษณะเด่น: พื้นที่มรดกโลกครอบคลุมเมืองเก่า (Ville Haute) และป้อมปราการที่ยังหลงเหลืออยู่ รวมถึงหน้าผาหินบ็อค (Bock Casemates) ซึ่งเป็นเครือข่ายอุโมงค์และห้องใต้ดินที่ซับซ้อน ป้อมทึนเงิน (Fort Thüngen) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "สามลูกโอ๊ก" (Three Acorns) สะพานอโดล์ฟ (Adolphe Bridge) และหุบเขาแม่น้ำอัลแซตและเปตรุส (Alzette and Pétrusse valleys) ที่ล้อมรอบเมืองเก่า สถาปัตยกรรมทางทหารที่โดดเด่นเหล่านี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงวิวัฒนาการของศิลปะการสร้างป้อมปราการในยุโรปเป็นระยะเวลานาน
- คุณค่าสากลอันโดดเด่น: ยูเนสโกยกย่องนครลักเซมเบิร์กในฐานะ "ตัวอย่างที่โดดเด่นของเมืองป้อมปราการในประวัติศาสตร์ยุโรป" และ "เป็นพยานหลักฐานที่สำคัญต่อประวัติศาสตร์ของยุโรปสมัยใหม่" การอนุรักษ์ซากป้อมปราการและเมืองเก่าไว้เป็นอย่างดี ทำให้ผู้มาเยือนสามารถสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่และความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของสถานที่แห่งนี้
นอกจากนี้ ลักเซมเบิร์กยังมีมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Cultural Heritage) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยยูเนสโก คือ ขบวนแห่นักเต้นแห่งเอชเทอร์นัค (Hopping Procession of Echternach) ซึ่งเป็นประเพณีทางศาสนาและการเต้นรำที่มีเอกลักษณ์และสืบทอดกันมาหลายศตวรรษ
การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไม่เพียงแต่เป็นการยอมรับคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของสถานที่เหล่านี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมการอนุรักษ์และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ซึ่งมีความสำคัญต่อการรักษาอัตลักษณ์และความภาคภูมิใจของชาวลักเซมเบิร์ก
10.10. วันหยุดราชการ
ลักเซมเบิร์กมีวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์หลายวันที่สะท้อนถึงประเพณีทางศาสนา ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของประเทศ วันหยุดเหล่านี้เป็นวันที่หน่วยงานราชการและธุรกิจส่วนใหญ่ปิดทำการ และประชาชนมักจะใช้เวลาพักผ่อนหรือเฉลิมฉลองกับครอบครัวและเพื่อนฝูง
วันหยุดราชการที่สำคัญของลักเซมเบิร์ก ได้แก่:
- 1 มกราคม: วันขึ้นปีใหม่ (New Year's Day / Neijoerschdag)
- วันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday / Karfreideg): (เป็นวันหยุดธนาคาร ไม่ใช่วันหยุดราชการทั่วไป แต่หลายธุรกิจอาจปิด)
- วันอีสเตอร์ (Easter Monday / Ouschterméindeg): วันจันทร์หลังวันอีสเตอร์ (วันอาทิตย์) (เป็นวันหยุดเคลื่อนที่)
- 1 พฤษภาคม: วันแรงงาน (Labour Day / Dag vun der Aarbecht)
- 9 พฤษภาคม: วันยุโรป (Europe Day / Europadag): เพื่อรำลึกถึงคำประกาศชูมานในปี ค.ศ. 1950 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมกลุ่มยุโรป
- วันเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระเยซู (Ascension Day / Christi Himmelfaart): วันพฤหัสบดี สัปดาห์ที่ 6 หลังวันอีสเตอร์ (เป็นวันหยุดเคลื่อนที่)
- วันจันทร์เทศกาลเพนเทคอสต์ (Whit Monday / Péngschtméindeg): วันจันทร์หลังวันอาทิตย์เทศกาลเพนเทคอสต์ (เป็นวันหยุดเคลื่อนที่)
- 23 มิถุนายน: วันชาติ (National Day / Nationalfeierdag): เป็นการเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์พระประมุข (เดิมเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของแกรนด์ดัชเชสชาร์ล็อต แต่ยังคงยึดถือวันเดิมเพื่อความสะดวกเนื่องจากสภาพอากาศที่ดีกว่า)
- 15 สิงหาคม: วันอัสสัมชัญ (Assumption Day / Léiffrawëschdag หรือ Mariä Himmelfaart): เป็นวันหยุดทางศาสนาคริสต์
- 1 พฤศจิกายน: วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย (All Saints' Day / Allerhellgen)
- 25 ธันวาคม: วันคริสต์มาส (Christmas Day / Chrëschtdag)
- 26 ธันวาคม: วันนักบุญสเทเฟน (St. Stephen's Day / Stiefesdag): วันที่สองของคริสต์มาส
นอกจากนี้ อาจมีวันหยุดท้องถิ่นหรือวันหยุดพิเศษอื่น ๆ ที่ไม่ใช่วันหยุดราชการทั่วประเทศ การเฉลิมฉลองวันหยุดเหล่านี้มักจะมีกิจกรรมทางวัฒนธรรม ประเพณี และพิธีกรรมทางศาสนาที่แตกต่างกันไป ซึ่งสะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมของลักเซมเบิร์ก
11. เมืองสำคัญ
ลักเซมเบิร์กมีเมืองหลายแห่งที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม แม้ว่านครลักเซมเบิร์กจะเป็นเมืองหลวงและศูนย์กลางหลักของประเทศ แต่เมืองอื่น ๆ ก็มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศเช่นกัน
- นครลักเซมเบิร์ก (Luxembourg City / Lëtzebuerg Stad):
- ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์: ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ บนที่ราบสูงที่ถูกตัดผ่านโดยหุบเขาลึกของแม่น้ำอัลแซต (Alzette) และแม่น้ำเปตรุส (Pétrusse) ทำให้มีลักษณะภูมิประเทศที่โดดเด่นและสวยงาม
- ประชากร: เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศ ประมาณ 132,780 คน (ณ ปี ค.ศ. 2023) และเป็นศูนย์กลางของเขตมหานครที่มีประชากรหนาแน่น
- ลักษณะทางเศรษฐกิจ: เป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศที่สำคัญ เป็นที่ตั้งของธนาคาร สถาบันการเงิน และบริษัทข้ามชาติจำนวนมาก นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของสถาบันสำคัญหลายแห่งของสหภาพยุโรป
- ลักษณะทางวัฒนธรรม: เมืองเก่าและป้อมปราการของนครลักเซมเบิร์กได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก มีพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ โรงละคร และสถานที่จัดคอนเสิร์ตหลายแห่ง เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวาและมีความหลากหลาย
- เอสช์-ซูร์-อัลแซต (Esch-sur-Alzette / Esch-Uelzecht):
- ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์: ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ใกล้กับชายแดนฝรั่งเศส ในภูมิภาค "แรดแลนส์" (Red Lands) ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเหล็กกล้า
- ประชากร: เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ มีประชากรประมาณ 36,625 คน (ณ ปี ค.ศ. 2023)
- ลักษณะทางเศรษฐกิจ: ในอดีตเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเหล็กกล้า ปัจจุบันกำลังพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจที่หลากหลายมากขึ้น โดยเน้นการวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยี เป็นที่ตั้งของวิทยาเขตหลักของมหาวิทยาลัยลักเซมเบิร์ก
- ลักษณะทางวัฒนธรรม: มีสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงยุคอุตสาหกรรม และมีชีวิตชีวาทางวัฒนธรรม โดยมีโรงละคร ศูนย์วัฒนธรรม และเทศกาลต่าง ๆ เคยได้รับเลือกเป็นเมืองหลวงทางวัฒนธรรมของยุโรป (European Capital of Culture) ในปี ค.ศ. 2022 (ร่วมกับเมืองอื่น ๆ)
- ดิฟเฟอร์แดงจ์ (Differdange / Déifferdeng):
- ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์: ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ในภูมิภาค "แรดแลนส์" เช่นกัน
- ประชากร: เป็นเมืองใหญ่อันดับสามของประเทศ มีประชากรประมาณ 29,536 คน (ณ ปี ค.ศ. 2023)
- ลักษณะทางเศรษฐกิจ: เคยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเหล็กกล้าที่สำคัญ ปัจจุบันมีการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการอื่น ๆ เพิ่มขึ้น
- ลักษณะทางวัฒนธรรม: มีพิพิธภัณฑ์อุตสาหกรรม และเป็นที่ตั้งของวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยไมอามี (Miami University Dolibois European Center)
- ดูเดอลังจ์ (Dudelange / Diddeleng):
- ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์: ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ ใกล้กับชายแดนฝรั่งเศส
- ประชากร: มีประชากรประมาณ 21,952 คน (ณ ปี ค.ศ. 2023)
- ลักษณะทางเศรษฐกิจ: เคยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเหล็กกล้า ปัจจุบันมีการพัฒนาอุตสาหกรรมเบาและภาคบริการ
- ลักษณะทางวัฒนธรรม: มีศูนย์วัฒนธรรมภูมิภาค (Centre Culturel Régional opderschmelz) ที่มีชื่อเสียง และมีกิจกรรมทางวัฒนธรรมหลากหลาย
เมืองอื่น ๆ ที่มีความสำคัญในระดับภูมิภาค ได้แก่ ดิกเคริช (Diekirch) เอียชเทอร์นัค (Echternach) และวีอ็องเด็น (Vianden) ซึ่งแต่ละเมืองก็มีลักษณะทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง การพัฒนาเมืองเหล่านี้ให้มีความน่าอยู่และยั่งยืนเป็นเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลลักเซมเบิร์ก
12. บุคคลสำคัญ
ลักเซมเบิร์กมีบุคคลสำคัญหลายท่านที่มีบทบาทหรือสร้างผลงานอันโดดเด่นในด้านต่าง ๆ ทั้งประวัติศาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และกีฬา การพิจารณาบุคคลเหล่านี้จากมุมมองสังคมเสรีนิยม จะเน้นถึงผลกระทบเชิงบวกและลบต่อการพัฒนาประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และความก้าวหน้าทางสังคม
- แกรนด์ดัชเชสชาร์ล็อตแห่งลักเซมเบิร์ก (Grand Duchess Charlotte, 1896-1985): ทรงเป็นประมุขของรัฐในช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พระองค์ทรงเป็นสัญลักษณ์ของเอกภาพและความหวังของชาติในระหว่างการยึดครองของนาซี และมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูประเทศหลังสงคราม การตัดสินพระทัยที่จะไม่ร่วมมือกับผู้ยึดครองและการสนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับการยกย่องอย่างสูง ในช่วงรัชสมัยของพระองค์ ลักเซมเบิร์กได้พัฒนาไปสู่รัฐสมัยใหม่ที่มีเสถียรภาพและเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งองค์กรยุโรปหลายแห่ง บทบาทของพระองค์ในการส่งเสริมเอกราชและอัตลักษณ์ของชาติถือเป็นคุณูปการสำคัญ
- แกรนด์ดยุกฌองแห่งลักเซมเบิร์ก (Grand Duke Jean, 1921-2019): พระโอรสของแกรนด์ดัชเชสชาร์ล็อต ทรงสืบทอดราชสมบัติและดำเนินตามรอยพระบาทของพระราชมารดาในการเป็นประมุขที่เป็นที่เคารพรักของประชาชน ทรงมีบทบาทในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการบูรณาการยุโรปอย่างต่อเนื่อง รัชสมัยของพระองค์เป็นช่วงเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองและการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของลักเซมเบิร์ก
- แกรนด์ดยุกอ็องรีแห่งลักเซมเบิร์ก (Grand Duke Henri, ประสูติ 1955): ประมุของค์ปัจจุบัน ทรงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมภาพลักษณ์ของลักเซมเบิร์กในเวทีระหว่างประเทศ และสนับสนุนกิจกรรมด้านมนุษยธรรมและสิ่งแวดล้อม
- รอแบร์ ชูมาน (Robert Schuman, 1886-1963): แม้ว่าจะเป็นรัฐบุรุษชาวฝรั่งเศส แต่เกิดในลักเซมเบิร์กและถือเป็นหนึ่งใน "บิดาผู้ก่อตั้งยุโรป" แผนชูมานที่เขานำเสนอในปี ค.ศ. 1950 นำไปสู่การก่อตั้งประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้ายุโรป ซึ่งเป็นรากฐานของสหภาพยุโรปในปัจจุบัน วิสัยทัศน์ของเขาในการสร้างสันติภาพและความร่วมมือในยุโรปมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการพัฒนาประชาธิปไตยและความเจริญรุ่งเรืองในทวีป
- ฌ็อง-โคลท ยุงเคอร์ (Jean-Claude Juncker, เกิด 1954): อดีตนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด (1995-2013) และอดีตประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (2014-2019) มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจและการเงินของลักเซมเบิร์กและการรวมกลุ่มยุโรป อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ลักเซมเบิร์กถูกวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นการเป็นแหล่งหลบเลี่ยงภาษี ซึ่งขัดแย้งกับหลักการความเสมอภาคและความเป็นธรรมทางสังคม เหตุการณ์ "ลักเซมเบิร์กลีกส์" ที่เปิดเผยข้อตกลงทางภาษีที่เอื้อประโยชน์แก่บริษัทข้ามชาติ ได้สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของเขาและลักเซมเบิร์ก
- ซาเวียร์ เบทเทล (Xavier Bettel, เกิด 1973): นายกรัฐมนตรี (2013-2023) เป็นผู้นำที่เปิดเผยว่าเป็นเกย์คนแรก ๆ ของยุโรป รัฐบาลของเขาสนับสนุนนโยบายที่ก้าวหน้าในด้านสิทธิพลเมือง เช่น การแต่งงานของคนเพศเดียวกัน และการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ
- เอ็ดเวิร์ด สไตเชน (Edward Steichen, 1879-1973): ช่างภาพชาวอเมริกันเชื้อสายลักเซมเบิร์กที่มีชื่อเสียงระดับโลก ผลงานของเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการถ่ายภาพ นิทรรศการ "The Family of Man" ของเขาส่งเสริมแนวคิดเรื่องความเป็นมนุษย์สากลและความเข้าใจอันดีระหว่างวัฒนธรรม
- ชาร์ลี โกล (Charly Gaul, 1932-2005): นักกีฬาจักรยานที่มีชื่อเสียง ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักไต่เขาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขันจักรยาน ความสำเร็จของเขาสร้างแรงบันดาลใจให้กับชาวลักเซมเบิร์กจำนวนมาก
การประเมินบุคคลสำคัญเหล่านี้ควรพิจารณาถึงบริบททางประวัติศาสตร์และผลกระทบที่หลากหลายของการกระทำของพวกเขาต่อสังคม ทั้งในด้านบวกและด้านลบ เพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์และเป็นธรรม