1. ชีวิต
เอดูอาร์ด รอสเซลมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความท้าทายตั้งแต่เด็กจนถึงช่วงเริ่มต้นอาชีพ ก่อนที่จะเข้าสู่แวดวงการเมืองและสร้างผลงานที่โดดเด่นในฐานะนักการเมืองระดับภูมิภาคและระดับชาติ
1.1. การเกิดและวัยเด็ก
เอดูอาร์ด รอสเซลเกิดเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 1937 ที่เมืองบอร์ ในแคว้นกอร์กี (ปัจจุบันคือแคว้นนิจนีนอฟโกรอด) สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย สหภาพโซเวียต เขาเกิดมาในครอบครัวชาวเยอรมันเชื้อสายวอลกา ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เยอรมันที่อาศัยอยู่ในพื้นที่วอลกาของรัสเซีย ในปี ค.ศ. 1937 พ่อและปู่ของเขาถูกประหารชีวิตอย่างไม่ยุติธรรมจากการกวาดล้างครั้งใหญ่ของโจเซฟ สตาลิน และแม่ของเขาก็ถูกจับกุมในเวลาต่อมา ทำให้รอสเซลต้องอยู่กับแม่เพียงลำพัง ซึ่งต่อมาแม่ของเขาได้แต่งงานใหม่กับชายชาวยูเครน แม้ว่าภาษาแม่ของรอสเซลคือภาษาเยอรมัน แต่เนื่องจากการแต่งงานใหม่ของแม่กับพลเมืองโซเวียต เขาจึงเริ่มพูดภาษารัสเซียเป็นหลักที่บ้าน
1.2. การศึกษา
ในปี ค.ศ. 1962 รอสเซลสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเหมืองแร่แห่งรัฐอูราล นอกจากนี้ เขายังสำเร็จการศึกษาระดับบัณฑิตวิทยาลัยจากมหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งอูราล และได้รับปริญญาเอกสาขาวิทยาศาสตร์เทคนิคและปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์ เขายังเป็นนักวิชาการของสถาบันวิศวกรรมแห่งรัสเซีย และสถาบันระหว่างประเทศเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาภูมิภาค
1.3. การทำงานช่วงต้น
ก่อนที่จะเข้าสู่เส้นทางการเมือง เอดูอาร์ด รอสเซลได้ตั้งใจว่าจะไม่พลาดโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งใดๆ หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาเริ่มต้นอาชีพการงานในพื้นที่ก่อสร้างของภูมิภาคอูราล ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 ถึง ค.ศ. 1975 เขาทำงานที่บริษัทก่อสร้าง "ทากิลสตรอยทรัสต์" (Tagilstroy Trust) โดยดำรงตำแหน่งต่างๆ เช่น หัวหน้างานภาคสนาม ผู้อำนวยการฝ่ายผลิต และหัวหน้าวิศวกร ในปี ค.ศ. 1975 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าของบริษัทก่อสร้าง "ทากิลชาซิสตรอย" (Tagilchaststroy) และในปี ค.ศ. 1983 เขาได้เป็นหัวหน้าของบริษัทก่อสร้าง "กลาฟสเรดูรัลสตรอย" (Glavsreduralstroy) ซึ่งเป็นบริษัทที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคอูราล
ในปี ค.ศ. 1974 รอสเซลได้พบกับบอริส เยลต์ซิน (ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1991 ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนแรกของรัสเซียหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต) ที่โรงงานโลหะวิทยาบลูมมิง-1500 ในช่วงเวลานั้น รอสเซลทำงานเป็นหัวหน้าวิศวกรของทากิลสตรอยทรัสต์ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของอะเลคเซย์ โคซีกิน
ในปี ค.ศ. 1978 เอดูอาร์ด รอสเซลปฏิเสธการเลื่อนตำแหน่งจากบอริส เยลต์ซิน ซึ่งต้องการให้เขาเป็นนายกเทศมนตรีของเมืองนิจนีย์ตากิล ไม่กี่วันหลังจากที่เขาได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรี รอสเซลได้รับการเยี่ยมจากอะเลคซันดร์ อัฟโดนิน นักธรณีวิทยาและนักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ซึ่งในขณะนั้นได้ค้นพบร่วมกับเกลีย์ เรียบอฟ สถานที่ฝังศพของราชวงศ์โรมานอฟ
2. การทำงานทางการเมือง
เอดูอาร์ด รอสเซลดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่งตลอดอาชีพทางการเมืองของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับภูมิภาคและระดับชาติ ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทของเขาในการบริหารและกำหนดทิศทางของภูมิภาค
2.1. ผู้ว่าการแคว้นสเวียร์ดลอฟสค์
ในปี ค.ศ. 1990 เอดูอาร์ด รอสเซลได้รับเลือกเป็นผู้แทนประชาชนในสภาโซเวียตประจำแคว้นสเวียร์ดลอฟสค์ และได้รับเลือกเป็นประธานคณะกรรมการบริหารของสภาโซเวียตประจำแคว้น ในช่วงเดือนมกราคมถึงตุลาคม ค.ศ. 1991 เขาดำรงตำแหน่งประธานสภาโซเวียตประจำแคว้น ในช่วงรัฐประหารเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1991 เขาสนับสนุนบอริส เยลต์ซิน ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของแคว้นสเวียร์ดลอฟสค์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขารับผิดชอบในช่วงที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย
เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริหารของแคว้นสเวียร์ดลอฟสค์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 ถึง ค.ศ. 1993 และต่อมาเป็นประธานสภาดูมาแคว้นสเวียร์ดลอฟสค์ตั้งแต่เดือนเมษายน ค.ศ. 1994 ถึงสิงหาคม ค.ศ. 1995 ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1995 รอสเซลได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งผู้ว่าการแคว้นสเวียร์ดลอฟสค์ และดำรงตำแหน่งนี้ยาวนานถึง 18 ปี จนกระทั่งพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2009
2.2. แนวคิดสาธารณรัฐอูราล
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1993 เอดูอาร์ด รอสเซลได้เสนอแนวคิด "สาธารณรัฐอูราล" ซึ่งเป็นความพยายามที่จะยกระดับสถานะของแคว้นสเวียร์ดลอฟสค์ให้เทียบเท่ากับสาธารณรัฐปกครองตนเองอื่นๆ ในสหพันธรัฐรัสเซีย เพื่อให้ภูมิภาคมีอำนาจในการปกครองตนเองมากขึ้น เขาได้จัดการการลงประชามติในภูมิภาค ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประชาชนประมาณ 80% อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ทำให้เกิดความขัดแย้งกับรัฐบาลกลางของบอริส เยลต์ซิน และในวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1993 เยลต์ซินได้ปลดรอสเซลออกจากตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริหารของแคว้นสเวียร์ดลอฟสค์ ในวันเดียวกันนั้น รอสเซลได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานสหภาพความร่วมมือทางเศรษฐกิจภูมิภาคอูราล
แม้จะถูกปลดจากตำแหน่ง แต่รอสเซลก็สามารถกลับมาเป็นที่โปรดปรานของเยลต์ซินได้ในที่สุด และในเดือนมกราคม ค.ศ. 1996 รอสเซลก็ประสบความสำเร็จในการผลักดันให้มีการผ่านข้อตกลงทวิภาคีพิเศษระหว่างมอสโกและแคว้นสเวียร์ดลอฟสค์
2.3. สมาชิกสภาสหพันธรัฐ
หลังจากการถูกปลดจากตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริหารของแคว้นสเวียร์ดลอฟสค์ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1993 เอดูอาร์ด รอสเซลได้รับเลือกเป็นผู้แทนสภาสหพันธรัฐ (วุฒิสภา) ในการเลือกตั้งรัฐสภาสหพันธรัฐในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1993
ต่อมาในปี ค.ศ. 2009 หลังจากพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการแคว้นสเวียร์ดลอฟสค์ รอสเซลได้กลับมาดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาสหพันธรัฐ (วุฒิสภา) อีกครั้ง โดยเป็นตัวแทนจากแคว้นสเวียร์ดลอฟสค์ และดำรงตำแหน่งนี้จนถึงวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 2022
3. ผลงานและความสำเร็จที่สำคัญ
เอดูอาร์ด รอสเซลมีส่วนร่วมในกิจกรรมและโครงการสำคัญหลายอย่างที่ส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาคและประเทศ
3.1. การมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
ในปี ค.ศ. 2005 เอดูอาร์ด รอสเซลได้ประพันธ์หนังสือชื่อ มุมมองระดับภูมิภาคเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันและอนาคตในสหพันธรัฐรัสเซีย (A Regional Perspective on the Current and Future Socio-Economic Developments in the Russian Federation) ซึ่งตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษโดย Anthony Rowe Publishing Services ในนามของ Intourist Ltd. ในวันพุธที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2005 เอดูอาร์ด รอสเซลได้รับเชิญให้เป็นแขกและผู้บรรยายในงานเลี้ยงรับรองที่สถานทูตรัสเซียในเคนซิงตัน พาเลซ การ์เดนส์ ลอนดอน เพื่อเปิดตัวหนังสือของเขา
ในหนังสือของเขา เอดูอาร์ด รอสเซลได้นำเสนอภาพรวมทางเศรษฐศาสตร์จุลภาคอย่างละเอียดเกี่ยวกับปัญหา โอกาส และผลการดำเนินงานของเศรษฐกิจและรัฐบาลในระดับภูมิภาค โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติในภูมิภาคต่างๆ ของรัสเซียต่อเศรษฐกิจของประเทศ เขายังให้ภาพของโครงสร้างทางการเมืองของสหพันธรัฐในช่วงเวลาที่การบริหารภูมิภาคกำลังถูกรวมศูนย์มากขึ้น
3.2. การมีส่วนร่วมในโครงการเฉพาะ
ในปี ค.ศ. 2018 เอดูอาร์ด รอสเซลได้เข้าร่วมการประชุมกับอะเลคเซย์ ออร์ลอฟ รองผู้ว่าการแคว้นสเวียร์ดลอฟสค์, วิกตอเรีย คาซาโควา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, ผู้อำนวยการบริษัททรัสต์ "เบลายา โกรา" (Belaya Gora) และวลาดิสลาฟ ปินาเยฟ หัวหน้าฝ่ายบริหารของนิจนีย์ตากิล การประชุมนี้มีจุดประสงค์เพื่อหารือว่า เบลายา โกรา ควรได้รับการพัฒนาให้เป็นรีสอร์ทท่องเที่ยวหรือไม่ แผนการคือการสร้างสกีรีสอร์ทโดยได้รับความช่วยเหลือจากบริษัท Ecosign ของแคนาดา
4. อุดมการณ์และจุดยืน
เอดูอาร์ด รอสเซลมีจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการกระจายอำนาจและการเสริมสร้างบทบาทของภูมิภาค
4.1. การสนับสนุนสิทธิอำนาจปกครองตนเองของภูมิภาค
เอดูอาร์ด รอสเซลเป็นผู้สนับสนุนที่แข็งขันในการผลักดันให้แคว้นสเวียร์ดลอฟสค์มีสถานะทัดเทียมกับสาธารณรัฐปกครองตนเองต่างๆ ในรัสเซีย จุดยืนทางการเมืองของเขาในเรื่องนี้ทำให้เกิดความตึงเครียดกับบอริส เยลต์ซินในช่วงแรก เนื่องจากเยลต์ซินต้องการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ในขณะที่รอสเซลต้องการให้ภูมิภาคมีอำนาจในการปกครองตนเองมากขึ้น อย่างไรก็ตาม รอสเซลก็สามารถกลับมาเป็นที่โปรดปรานของเยลต์ซินได้ในที่สุด และในเดือนมกราคม ค.ศ. 1996 รอสเซลก็ประสบความสำเร็จในการผลักดันให้มีการผ่านข้อตกลงทวิภาคีพิเศษระหว่างมอสโกและแคว้นสเวียร์ดลอฟสค์ ซึ่งเป็นชัยชนะที่สำคัญสำหรับสิทธิอำนาจปกครองตนเองของภูมิภาค
5. ชีวิตส่วนตัว
เอดูอาร์ด รอสเซลมีแง่มุมส่วนตัวที่เปิดเผยต่อสาธารณะบางประการ ซึ่งรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวของเขา
5.1. ครอบครัว
เอดูอาร์ด รอสเซลมีบุตรสาวหนึ่งคน ซึ่งปัจจุบันพำนักอยู่ในเมืองดึสเซลดอร์ฟ ประเทศเยอรมนี
6. ช่วงปลายชีวิตและการประเมิน
ในช่วงปลายชีวิตของเอดูอาร์ด รอสเซล เขาได้พ้นจากตำแหน่งทางการเมืองสำคัญหลายตำแหน่ง และยังเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรบางประการ อย่างไรก็ตาม ผลงานและคุณูปการของเขายังคงได้รับการจดจำและประเมินค่าในประวัติศาสตร์การเมืองระดับภูมิภาคของรัสเซีย
6.1. การเกษียณอายุและมาตรการคว่ำบาตร
ในปี ค.ศ. 2009 เอดูอาร์ด รอสเซลได้พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการแคว้นสเวียร์ดลอฟสค์ โดยให้เหตุผลว่าตนเองขาดความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2022 มีรายงานว่ารอสเซลจะพ้นจากตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา และในปีเดียวกันนั้นเอง เขาถูกเพิ่มเข้าในมาตรการคว่ำบาตรของรัฐบาลสหราชอาณาจักร หลังจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย
6.2. รางวัลและเกียรติยศ
เอดูอาร์ด รอสเซลได้รับรางวัลและเครื่องราชอิสริยาภรณ์มากมายจากทั้งในประเทศรัสเซียและต่างประเทศ ตลอดจนตำแหน่งพลเมืองกิตติมศักดิ์ต่างๆ ซึ่งสะท้อนถึงคุณูปการของเขาในการพัฒนาประเทศและภูมิภาค
- เครื่องอิสริยาภรณ์บุญคุณต่อปิตุภูมิ
- ชั้นที่ 1 (16 พฤศจิกายน ค.ศ. 2009) - สำหรับคุณูปการอันโดดเด่นในการเสริมสร้างรัฐรัสเซีย การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาค และการทำงานอย่างมีผลมาหลายปี
- ชั้นที่ 2 (5 เมษายน ค.ศ. 2004) - สำหรับคุณูปการส่วนตัวอันยิ่งใหญ่ในการพัฒนารัฐรัสเซียและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาค
- ชั้นที่ 3 (24 เมษายน ค.ศ. 2000) - สำหรับคุณูปการอันโดดเด่นในการเสริมสร้างรัฐรัสเซียและการดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
- ชั้นที่ 4 (20 กรกฎาคม ค.ศ. 1996) - สำหรับการรับใช้รัฐและการทำงานหนักมาหลายปี
- เครื่องอิสริยาภรณ์เกียรติยศ (9 ตุลาคม ค.ศ. 2007) - สำหรับคุณูปการอันโดดเด่นในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาค และการทำงานอย่างมีผลมาหลายปี
- เครื่องอิสริยาภรณ์เครื่องหมายแห่งเกียรติยศ (สองครั้ง)
- สำหรับการบรรลุผลสำเร็จในการก่อสร้างโรงงานรีดเหล็กแผ่นกว้าง "บลูมมิง-1500" ขั้นแรกของโรงงานโลหะวิทยานิจนีย์ตากิล (เมษายน ค.ศ. 1975)
- สำหรับการดำเนินการปรับปรุงโรงงานผลิตเหล็กด้วยกระบวนการออกซิเจน-คอนเวอร์เตอร์ของโรงงานโลหะวิทยานิจนีย์ตากิล (พฤษภาคม ค.ศ. 1980)
- เหรียญ "เพื่อการทำงานอันกล้าหาญ ในโอกาสครบรอบ 100 ปี การเกิดของวลาดีมีร์ อิลลิช เลนิน" (พฤศจิกายน ค.ศ. 1969)
- ประกาศนียบัตรจากประธานาธิบดีรัสเซีย (12 ธันวาคม ค.ศ. 2008) - สำหรับการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการร่างรัฐธรรมนูญและคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อรากฐานประชาธิปไตยของสหพันธรัฐรัสเซีย
- เครื่องอิสริยาภรณ์มิตรภาพแห่งประชาชน (เบลารุส, 8 ตุลาคม ค.ศ. 2007) - สำหรับคุณูปการส่วนตัวอันยิ่งใหญ่ในการเสริมสร้างและพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวัฒนธรรมระหว่างเบลารุสกับแคว้นสเวียร์ดลอฟสค์ของสหพันธรัฐรัสเซีย
- เครื่องอิสริยาภรณ์ "โดสติก" (คาซัคสถาน, ค.ศ. 2008)
- เหรียญ "ดังค์" (Dank) (คีร์กีซสถาน, 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1999) - สำหรับคุณูปการสำคัญในการเสริมสร้างมิตรภาพ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างสาธารณรัฐคีร์กีซกับสหพันธรัฐรัสเซียในระดับภูมิภาค
- เครื่องอิสริยาภรณ์ "เพื่อการรับใช้รัฐบาเดิน-เวือร์ทเทมแบร์ก" (บาเดิน-เวือร์ทเทมแบร์ก, เยอรมนี, ค.ศ. 2008) - สำหรับคุณูปการอันโดดเด่นในความร่วมมือระหว่างภูมิภาคระหว่างประเทศ
- เครื่องอิสริยาภรณ์นักบุญเจ้าชายดาเนียลแห่งมอสโก ชั้นที่ 1 (คริสตจักรออร์โธดอกซ์รัสเซีย, ค.ศ. 2003) และชั้นที่ 2 (ค.ศ. 1997)
- เครื่องอิสริยาภรณ์นักบุญเซอร์เกย์แห่งราโดเนซ ชั้นที่ 1 (คริสตจักรออร์โธดอกซ์รัสเซีย, ค.ศ. 2000)
- เครื่องอิสริยาภรณ์นักบุญเจ้าชายดิมิทรีผู้เป็นสุข (คริสตจักรออร์โธดอกซ์รัสเซีย, ค.ศ. 2002)
- เครื่องอิสริยาภรณ์นักบุญเซราฟิมแห่งซารอฟ ชั้นที่ 2 (คริสตจักรออร์โธดอกซ์รัสเซีย, ค.ศ. 2009)
- พลเมืองกิตติมศักดิ์ของเยคาเตรินบุร์ก, นิจนีย์ตากิล และแคว้นสเวียร์ดลอฟสค์ (ตามคำสั่งของผู้ว่าการแคว้นสเวียร์ดลอฟสค์ เลขที่ 883-HS, 7 ตุลาคม ค.ศ. 2010)
- ผู้สร้างสรรค์เกียรติยศแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย (ค.ศ. 1983)
6.3. ผลกระทบต่อการเมืองระดับภูมิภาคของรัสเซีย
เอดูอาร์ด รอสเซลมีบทบาทสำคัญและยาวนานในการเมืองระดับภูมิภาคของรัสเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะผู้ว่าการแคว้นสเวียร์ดลอฟสค์ เขาเป็นหนึ่งในผู้นำภูมิภาคที่กล้าหาญในการเรียกร้องให้มีการกระจายอำนาจและเสริมสร้างสถานะของภูมิภาคให้เทียบเท่ากับสาธารณรัฐปกครองตนเองต่างๆ ในสหพันธรัฐรัสเซีย แนวคิด "สาธารณรัฐอูราล" ของเขาในปี ค.ศ. 1993 แม้จะถูกรัฐบาลกลางปฏิเสธและนำไปสู่การถูกปลดจากตำแหน่ง แต่ก็เป็นจุดเด่นที่สะท้อนถึงความพยายามของเขาในการผลักดันให้ภูมิภาคมีอำนาจในการปกครองตนเองมากขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในการอภิปรายเกี่ยวกับสหพันธรัฐและอำนาจของภูมิภาคในรัสเซีย
การดำรงตำแหน่งผู้ว่าการที่ยาวนานถึง 18 ปีของรอสเซล ทำให้เขาสามารถดำเนินนโยบายที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในแคว้นสเวียร์ดลอฟสค์ได้อย่างต่อเนื่อง เขามีส่วนร่วมในการวางรากฐานสำหรับการพัฒนาภูมิภาค และเป็นเสียงสำคัญในการเรียกร้องให้รัฐบาลกลางให้ความสำคัญกับบทบาทของทรัพยากรธรรมชาติและศักยภาพทางเศรษฐกิจของภูมิภาคต่างๆ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม บทบาทของรอสเซลจึงเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญในการทำความเข้าใจพลวัตระหว่างอำนาจส่วนกลางและอำนาจภูมิภาคในการเมืองรัสเซียยุคหลังสหภาพโซเวียต