1. ชีวิตช่วงต้นและภูมิหลัง
เมียน มูฮัมหมัด ชารีฟมีภูมิหลังทางครอบครัวและการศึกษาที่วางรากฐานสำหรับอาชีพทางธุรกิจอันโดดเด่นของเขา
1.1. การเกิดและครอบครัว
ชารีฟเกิดในปี ค.ศ. 1919 ที่จาติ อุมรา ใกล้กับอมฤตสระในรัฐปัญจาบ ปัจจุบันอยู่ในอินเดีย โดยมีบรรพบุรุษเป็นชาวกัศมีร์ซึ่งอพยพมาจากอำเภออนันตนาคในรัฐชัมมูและกัศมีร์ในอดีต ครอบครัวของเขาเป็นตระกูลพ่อค้าชาวปัญจาบ เขาเป็นบุตรชายของเมียน โมฮัมหมัด บักช์ มีปู่ชื่ออับดุลเลาะห์ และปู่ทวดชื่อโมฮัมหมัด บักช์ เขามีพี่น้องชายเจ็ดคน ได้แก่ มูฮัมหมัด ชาฟี, อับดุล อาซิซ, บาร์คัต อาลี, มีรัจ ยู ดิน, มูฮัมหมัด บาชีร์ และ ซิรัจ ยู ดิน
ชารีฟแต่งงานกับเบกุม ชามิม อัคตาร์ และมีบุตรชายด้วยกันสามคน ได้แก่ นวาซ ชารีฟ, เชห์บาซ ชารีฟ และอับบาส ชารีฟ ซึ่งทั้งหมดได้ผันตัวเข้าสู่เส้นทางการเมือง โดยนวาซ ชารีฟ และเชห์บาซ ชารีฟ ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของปากีสถานในเวลาต่อมา
1.2. การศึกษาและกิจการช่วงแรก
เมียน มูฮัมหมัด ชารีฟได้รับการศึกษาในรัฐปัญจาบทางตะวันออก ก่อนที่จะย้ายไปยังลาฮอร์ในปี ค.ศ. 1936 พร้อมกับครอบครัวเพื่อแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เขาศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่วิทยาลัยดีเอวีในลาฮอร์
ในปี ค.ศ. 1939 หลังจากขายที่ดินทำกินของครอบครัว เขาได้ก่อตั้งโรงหล่อเหล็กขนาดเล็ก ซึ่งเป็นการเริ่มต้นอาชีพทางธุรกิจของเขา ก่อนหน้านั้น เขาได้ริเริ่มโรงงานเหล็กในลาฮอร์ร่วมกับนักธุรกิจชาวฮินดูผู้หนึ่ง ชารีฟได้กล่าวถึงนักธุรกิจผู้นี้ว่าเป็นผู้มีคุณูปการอย่างมากต่อความสำเร็จและองค์ความรู้ที่เขาได้รับในช่วงเริ่มต้นของกิจการ
2. อาชีพทางธุรกิจ
อาชีพทางธุรกิจของเมียน มูฮัมหมัด ชารีฟโดดเด่นด้วยการก่อตั้งบริษัทที่ประสบความสำเร็จ การขยายตัวภายใต้ความท้าทายทางการเมือง และความมุ่งมั่นในการทำกิจกรรมเพื่อสังคม
2.1. การก่อตั้งและการเติบโตของอิตเตฟักและกลุ่มชารีฟ
เมียน มูฮัมหมัด ชารีฟเป็นผู้ร่วมก่อตั้งอิตเตฟัก กรุ๊ป และผู้ก่อตั้งชารีฟ กรุ๊ป ซึ่งเป็นอาณาจักรทางธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ธุรกิจเหล็กของเขาได้กลายเป็นหนึ่งในกิจการที่ใหญ่ที่สุดในรัฐปัญจาบ ประเทศปากีสถาน โดยเป็นรองเพียงแค่บีอีซีโอ เอ็นจิเนียริ่งเท่านั้น ความสำเร็จนี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และความสามารถในการบริหารจัดการของเขาในการสร้างและขยายกิจการอุตสาหกรรมในยุคก่อตั้งของปากีสถาน
2.2. การโอนกิจการเป็นของรัฐและการขยายสู่สากล
ในปี ค.ศ. 1973 กิจการโรงงานของเขาต้องเผชิญกับนโยบายการโอนกิจการเป็นของรัฐ (nationalization) ที่ดำเนินการโดยนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นคือซัลฟิการ์ อาลี บุโต การกระทำของรัฐบาลครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินงานในปากีสถานของเขา แต่ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ผลักดันให้ชารีฟต้องขยายธุรกิจออกไปต่างประเทศ เขาจึงได้ก่อตั้งโรงงานเหล็กแห่งใหม่ขึ้นในดูไบ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของเขาในการเผชิญกับอุปสรรคทางการเมือง
2.3. การกุศลและการมีส่วนร่วมทางสังคม
นอกเหนือจากความสำเร็จทางธุรกิจแล้ว เมียน มูฮัมหมัด ชารีฟยังเป็นผู้ใจบุญและมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการพัฒนาสังคม เขาได้ริเริ่มโครงการสวัสดิการสังคมหลายโครงการ รวมถึงการจัดตั้งชารีฟ เมดิคัล ซิตี้ ซึ่งเป็นโครงการด้านสุขภาพและการแพทย์ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในไรวินด์ เมืองลาฮอร์ โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อให้บริการทางการแพทย์และสวัสดิการแก่ประชาชน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเขาในการตอบแทนสังคมและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชีวิตของผู้คน
3. การลี้ภัยและการเสียชีวิต
ชีวิตของเมียน มูฮัมหมัด ชารีฟต้องเผชิญกับเหตุการณ์ทางการเมืองครั้งสำคัญในช่วงบั้นปลายชีวิต ซึ่งนำไปสู่การลี้ภัยและการเสียชีวิตของเขา
ในปี ค.ศ. 2000 ครอบครัวของชารีฟถูกสั่งเนรเทศไปยังซาอุดีอาระเบีย โดยคำสั่งของนายพลเพอร์เวซ มูชาร์ราฟ ผู้ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกและต่อมาได้เป็นประธานาธิบดีของปากีสถาน การเนรเทศครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปากีสถาน ซึ่งสะท้อนถึงความอ่อนไหวของสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศต่อบุคคลสำคัญและครอบครัวที่มีอิทธิพล
เมียน มูฮัมหมัด ชารีฟเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจหยุดเต้นที่เจดดาห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2004 สิริอายุได้ 84 ปี ตลอดชีวิต เขาป่วยด้วยโรคหัวใจเรื้อรัง และเคยได้รับการผ่าตัดขยายหลอดเลือดหัวใจสองครั้ง รวมถึงการผ่าตัดบายพาสหัวใจครั้งแรกในปี ค.ศ. 1982 พิธีศพของเขาจัดขึ้นที่มัสยิดอัลฮะรอมในเมืองมักกะฮ์ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 2004 ก่อนที่ศพของเขาจะถูกนำกลับไปฝังที่ไรวินด์ ในเมืองลาฮอร์ ประเทศปากีสถาน
4. มรดกและอิทธิพล
มรดกและอิทธิพลของเมียน มูฮัมหมัด ชารีฟขยายวงกว้างออกไปทั้งในด้านธุรกิจ สังคม และการเมืองของปากีสถาน
4.1. อิทธิพลทางการเมือง
เมียน มูฮัมหมัด ชารีฟมีอิทธิพลทางอ้อมต่อภูมิทัศน์ทางการเมืองของปากีสถานผ่านทางอาชีพทางการเมืองของบุตรชายของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นวาซ ชารีฟ และ เชห์บาซ ชารีฟ ซึ่งทั้งสองคนได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีปากีสถาน และเป็นแกนนำของพรรคสันนิบาตมุสลิมปากีสถาน (เอ็น) การที่บุตรชายของเขากลายเป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองระดับประเทศได้สะท้อนถึงสถานะและเครือข่ายที่ครอบครัวชารีฟสั่งสมมา ซึ่งมีรากฐานมาจากความสำเร็จทางธุรกิจและบทบาททางสังคมของเมียน มูฮัมหมัด ชารีฟ
4.2. มรดกทางธุรกิจและสังคม
ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งอิตเตฟัก กรุ๊ป และผู้ก่อตั้งชารีฟ กรุ๊ป เมียน มูฮัมหมัด ชารีฟได้สร้างอาณาจักรธุรกิจที่สำคัญซึ่งมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรมเหล็ก ธุรกิจของเขาเป็นหนึ่งในกิจการที่ใหญ่ที่สุดในรัฐปัญจาบ นอกจากนี้ มรดกทางสังคมของเขายังคงอยู่ผ่านกิจกรรมการกุศลและการมีส่วนร่วมในโครงการสวัสดิการสังคม เช่น การก่อตั้งชารีฟ เมดิคัล ซิตี้ ซึ่งให้บริการด้านสุขภาพแก่ชุมชน โครงการเหล่านี้สะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและวิสัยทัศน์ของเขาในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
4.3. คำวิจารณ์และข้อถกเถียง
ชีวิตของเมียน มูฮัมหมัด ชารีฟและครอบครัวเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญที่ก่อให้เกิดข้อถกเถียงและคำวิจารณ์ ซึ่งส่วนใหญ่เชื่อมโยงกับการเมืองปากีสถาน การโอนกิจการโรงงานของเขาเป็นของรัฐในปี ค.ศ. 1973 โดยรัฐบาลของซัลฟิการ์ อาลี บุตรี เป็นตัวอย่างหนึ่งของการแทรกแซงของรัฐบาลต่อธุรกิจเอกชน ซึ่งสะท้อนถึงนโยบายเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อภาคอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ การที่ครอบครัวของเขาถูกเนรเทศไปยังซาอุดีอาระเบียในปี ค.ศ. 2000 โดยคำสั่งของนายพลเพอร์เวซ มูชาร์ราฟ ก็เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญ ซึ่งเน้นย้ำถึงความเปราะบางของสถานะของบุคคลสำคัญทางธุรกิจเมื่อเผชิญกับอำนาจทางการเมือง เหตุการณ์เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ครอบครัวชารีฟที่แสดงให้เห็นถึงความท้าทายและความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างอำนาจทางธุรกิจและพลวัตทางการเมืองในปากีสถาน