1. ภาพรวม
อีวัน กูเดลจ์ (Ivan Gudeljภาษาโครเอเชีย, เกิด 21 กันยายน ค.ศ. 1960) เป็นอดีตนักฟุตบอลชาวโครเอเชีย ผู้เล่นในตำแหน่งกองกลางให้กับทีมชาติยูโกสลาเวียในยุคที่ยังคงอยู่ แม้เขาจะเป็นผู้เล่นระดับทีมชาติที่ประสบความสำเร็จ แต่เส้นทางอาชีพของเขากลับต้องจบลงอย่างกะทันหันเมื่ออายุเพียง 25 ปี หลังจากที่เขาเป็นลมล้มลงระหว่างการแข่งขันกับเรดสตาร์ เบลเกรด ซึ่งภายหลังพบว่าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่ยุติอาชีพนักฟุตบอลที่กำลังรุ่งโรจน์ของเขา แต่ยังทำให้เกิดความท้าทายส่วนตัวอย่างใหญ่หลวง การที่เพื่อนร่วมอาชีพบางคนถึงขั้นไม่กล้าจับมือกับเขาเนื่องจากความหวาดกลัวการติดเชื้อ สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบทางสังคมและอุปสรรคที่เขาต้องเผชิญ อย่างไรก็ตาม กูเดลจ์ยังคงถูกจดจำในฐานะกองกลางที่โดดเด่นและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ซึ่งพิสูจน์ด้วยรางวัลและการยอมรับจากสื่อมวลชนชั้นนำในยุคนั้น
2. ชีวิตช่วงต้นและภูมิหลัง
อีวัน กูเดลจ์เกิดที่เมืองอิโมตสกี ในเทศมณฑลสปลิต-ดัลมาเทีย และเติบโตในหมู่บ้านใกล้เคียงคือซมียาฟซี
2.1. วัยเด็กและอิทธิพลช่วงต้น
ในวัยเด็ก กูเดลจ์มีความคิดที่จะบวชเป็นบาทหลวงคาทอลิก นอกจากนี้ ในปี ค.ศ. 1972 เขายังเคยเป็นนักแสดงประกอบในซีรีส์โทรทัศน์ของยูโกสลาเวียเรื่อง Prosjaci i sinoviโปรสยาตซี อี ซีนอวีภาษาโครเอเชีย ซึ่งผลิตโดยTV Zagreb (ปัจจุบันคือHRT สื่อสาธารณะของโครเอเชีย) ซีรีส์นี้สร้างจากนวนิยายของอีวัน ราออส และถ่ายทำในหมู่บ้านซมียาฟซี บ้านเกิดของกูเดลจ์เอง ในฉากหนีภัย เขาสามารถแสดงความโดดเด่นออกมาได้อย่างชัดเจนในฐานะเด็กที่วิ่งเร็วที่สุดในกลุ่ม
3. อาชีพนักฟุตบอล
อาชีพนักฟุตบอลของอีวัน กูเดลจ์โดดเด่นด้วยบทบาทสำคัญในตำแหน่งกองกลางทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ ก่อนที่เส้นทางอาชีพอันรุ่งโรจน์จะถูกตัดจบลงอย่างน่าเศร้า
3.1. อาชีพสโมสร
กูเดลจ์เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลที่สโมสรเอ็นเค มราชาจ (NK Mračaj) จากหมู่บ้านรุนอวิชี ซึ่งเป็นหมู่บ้านใกล้กับซมียาฟซี บ้านเกิดของเขา ที่นั่นเขาได้รับการฝึกสอนจากมาริงโก บอบัน ซึ่งเป็นบิดาของซวอนีมีร์ บอบัน ผู้ซึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นดาวเด่นแห่งวงการฟุตบอลในอนาคตอีกหลายปีต่อมา ไม่กี่ปีหลังจากนั้น กูเดลจ์ได้ย้ายไปเล่นให้กับฮายดุก สปลิต ซึ่งเป็นสโมสรที่เขาสร้างชื่อเสียงอย่างมาก เขาลงสนามให้กับสโมสรนี้ไปทั้งหมด 362 นัด และยิงได้ 93 ประตู ในช่วงปี ค.ศ. 1976 ถึง ค.ศ. 1986 กูเดลจ์ได้พิสูจน์ตัวเองอย่างรวดเร็วในฐานะกองกลางตัวรับที่ไว้วางใจได้และมีสไตล์การเล่นที่สง่างาม ทำให้ได้รับฉายาจากสื่อยูโกสลาเวียว่า "เบ็คเคินเบาเออร์แห่งซมียาฟซี"
อย่างไรก็ตาม อาชีพที่กำลังรุ่งโรจน์ของดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งวงการฟุตบอลยุโรปกลับต้องจบลงอย่างกะทันหัน กูเดลจ์ถูกบังคับให้ยุติเส้นทางอาชีพเนื่องจากปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ซึ่งเป็นโรคที่ในยุคนั้นยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างกว้างขวางและมีโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง นักเตะวัย 26 ปีลงเล่นเกมสุดท้ายของเขาในวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1986 ที่เมืองสปลิต ในการแข่งขันกับเรดสตาร์ เบลเกรด ในช่วงเริ่มต้นของฤดูกาล 1986-87 สัญญาเบื้องต้นที่เขาทำไว้กับฌีรงแด็ง เดอ บอร์โด ทีมดังของฝรั่งเศส ไม่เคยได้รับการยืนยันเป็นจริง ทำให้ความฝันในการไปค้าแข้งในลีกชั้นนำของยุโรปต้องพังทลายลง
3.2. อาชีพระหว่างประเทศ
ในระดับทีมชาติ กูเดลจ์ประสบความสำเร็จทั้งในระดับเยาวชนและระดับชุดใหญ่ โดยเป็นกำลังสำคัญของยูโกสลาเวีย
3.2.1. ทีมชาติเยาวชน
ในปี ค.ศ. 1979 กูเดลจ์ในวัย 18 ปีมีช่วงฤดูร้อนที่ยุ่งวุ่นวายอย่างมาก เขาเริ่มต้นด้วยการเป็นตัวแทนของยูโกสลาเวียในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปีที่กรุงเวียนนาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1979 โดยนำพาทีมคว้าแชมป์ได้สำเร็จหลังจากเอาชนะบัลแกเรียในรอบชิงชนะเลิศ กูเดลจ์ยังได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์อีกด้วย
ในช่วงปลายฤดูร้อนปีเดียวกันในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1979 กูเดลจ์ได้เข้าร่วมทีมชาติยูโกสลาเวียที่แข่งขันฟุตบอลโลกเยาวชนที่จัดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ถึงแม้จะอยู่ในกลุ่มที่แข็งแกร่งซึ่งมีอาร์เจนตินาซึ่งนำทีมโดยดิเอโก มาราโดนาวัย 18 ปี ยูโกสลาเวียก็ไม่สามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้
3.2.2. ทีมชาติชุดใหญ่
ผลงานอันยอดเยี่ยมของกูเดลจ์ในทีมชาติเยาวชนดึงดูดความสนใจจากมิลยัน มิลยานิช หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติชุดใหญ่ ทำให้มิลยานิชเรียกตัวกูเดลจ์ติดทีมชาติชุดใหญ่ในปีถัดมา
เขาประเดิมสนามให้กับทีมชาติยูโกสลาเวียชุดใหญ่ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1980 ในการแข่งขันฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก 1982 โดยเป็นเกมเยือนพบกับลักเซมเบิร์ก เขาถูกส่งลงสนามในนาทีที่ 85 แทนที่โซรัน วูโยวิช กูเดลจ์กลายเป็นผู้เล่นคนโปรดของมิลยานิชอย่างรวดเร็ว และได้รับแต่งตั้งเป็นกัปตันทีมชาติเมื่ออายุเพียง 21 ปี โดยรวมแล้ว กูเดลจ์ลงสนามให้กับทีมชาติไป 33 นัด และทำได้ 3 ประตู เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมฟุตบอลโลก 1982 และยูโร 1984 ด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่น ทำให้นิตยสารเลกิปของฝรั่งเศส ได้ยกให้เขาติดอยู่ในทีมยอดเยี่ยมแห่งฟุตบอลโลก 1982 การแข่งขันระดับนานาชาติครั้งสุดท้ายของเขาคือเกมกระชับมิตรในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1986 ในเกมเยือนพบกับเบลเยียม นอกจากนี้ เขายังได้รับเลือกให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของยูโกสลาเวียในปี ค.ศ. 1982 อีกด้วย
4. อาชีพผู้จัดการทีม
อีวัน กูเดลจ์เริ่มต้นเส้นทางอาชีพโค้ชในปี ค.ศ. 1990 เขาเคยคุมทีมชาติของบาทหลวงชาวโครเอเชียและทีมชาติของนักเรียนนายร้อยชาวโครเอเชีย โดยกับทีมหลังนี้ เขาพาทีมคว้าเหรียญทองแดงในการแข่งขันยูโรแชมป์ปี ค.ศ. 2001 ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นทีมที่มีผู้เล่นอย่างนีโก ครานชาร์รวมอยู่ด้วย
หลังจากนั้น เขายังคุมสโมสรอีกหลายแห่ง อาทิ พรีโมรัช จากสโตเบรช ซึ่งเขาพาทีมเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดของโครเอเชียได้สำเร็จ นอกจากนี้ เขายังเคยคุมทีมอุสคอค จากคลิส, ซาดาร์, ดูบรอฟนีก, สโมสรฟอร์เวิร์ตส สไตเออร์ ของประเทศออสเตรีย และฮายดุก สปลิต (เข้ารับตำแหน่งในปี ค.ศ. 2005 แทนที่มีโรสลัฟ บลาเชวิช) ก่อนที่จะมารับงานคุมฮายดุก สปลิต กูเดลจ์เคยเป็นผู้จัดการทีมชาติโครเอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี และพาทีมประสบความสำเร็จด้วยการจบอันดับ 4 ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี 2005 ที่ประเทศอิตาลี
5. เกียรติประวัติ
อีวัน กูเดลจ์ได้รับเกียรติประวัติหลายรายการในช่วงอาชีพนักฟุตบอล
- ยูโกสลาเวียคัพ: 1983-84 (กับฮายดุก สปลิต)
- ผู้เล่นยอดเยี่ยมฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี 1979
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของยูโกสลาเวีย (ค.ศ. 1982)
6. มรดกและการตอบรับ
แม้ว่าอาชีพนักฟุตบอลของอีวัน กูเดลจ์จะจบลงอย่างกะทันหันด้วยวัยเพียง 25 ปีเนื่องจากอาการป่วย แต่เขายังคงถูกจดจำและได้รับการประเมินค่าอย่างสูงในฐานะหนึ่งในกองกลางพรสวรรค์ที่สุดของยูโกสลาเวียและโครเอเชียในยุคของเขา การได้รับฉายาว่า "เบ็คเคินเบาเออร์แห่งซมียาฟซี" จากสื่อมวลชนยูโกสลาเวียนั้น เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถอันยอดเยี่ยมและสไตล์การเล่นที่สง่างามของเขาในตำแหน่งกองกลางตัวรับ ซึ่งเปรียบได้กับตำนานชาวเยอรมัน
เหตุการณ์ที่เขาต้องยุติอาชีพอย่างไม่คาดฝันเนื่องจากไวรัสตับอักเสบ บี ได้ทิ้งเรื่องราวอันน่าเศร้าไว้เบื้องหลัง แม้ในยุคนั้นความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ยังไม่แพร่หลายนัก และยังมีบางกรณีที่ผู้คนหวาดกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะจับมือกับเขา แต่เรื่องราวการต่อสู้และความมุ่งมั่นของเขาก็ยังคงเป็นที่กล่าวขาน เขาได้รับการยอมรับจากนิตยสาร เลกิป ของฝรั่งเศส ซึ่งยกให้เขาอยู่ในทีมยอดเยี่ยมแห่งฟุตบอลโลก 1982 ตอกย้ำถึงคุณภาพที่โดดเด่นของเขาในระดับนานาชาติ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถบรรลุศักยภาพสูงสุดในฐานะนักฟุตบอลอาชีพได้เนื่องจากอาการป่วย แต่กูเดลจ์ก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของพรสวรรค์ที่โดดเด่นและเป็นแรงบันดาลใจในการก้าวเข้าสู่อาชีพผู้จัดการทีม ซึ่งเขาก็ได้สร้างผลงานและพัฒนาผู้เล่นรุ่นใหม่ต่อไป