1. ชีวิตช่วงต้นและภูมิหลัง
วิทยา เลาหกุล เกิดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2497 ที่จังหวัดลำพูน เขามีพี่น้องทั้งหมด 14 คน โดยเป็นบุตรคนที่ 7 และพี่ชายสองคนแรกของเขาก็เป็นนักฟุตบอลที่เล่นในลีกไทยเช่นกัน
วิทยาเริ่มแสดงพรสวรรค์ด้านฟุตบอลตั้งแต่ยังเด็ก ในปี พ.ศ. 2516 เขาได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเขตแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 7 ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยเป็นตัวแทนของทีมฟุตบอลเขต 5 จังหวัดลำพูน ในการแข่งขันครั้งนั้น เขาพาทีมคว้าเหรียญทองชนะเลิศมาครองได้สำเร็จ พร้อมกับได้รับตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำรายการ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในเส้นทางอาชีพนักฟุตบอลของเขา
2. เส้นทางนักฟุตบอล
วิทยา เลาหกุล มีเส้นทางอาชีพนักฟุตบอลที่โดดเด่นและเป็นผู้บุกเบิก โดยเริ่มต้นจากสโมสรในประเทศไทย ก่อนจะไปสร้างชื่อเสียงในลีกญี่ปุ่นและยุโรป ซึ่งเป็นครั้งแรกของนักฟุตบอลไทย
2.1. เส้นทางนักฟุตบอลในประเทศไทย
วิทยา เลาหกุล เริ่มต้นเล่นฟุตบอลสโมสรอาชีพกับสโมสรฟุตบอลฮากกา และราชประชา เอฟซี โดยเล่นให้กับราชประชา เอฟซีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 ถึง พ.ศ. 2519 ลงสนามไป 97 นัด และยิงได้ 28 ประตู
เขาติดทีมชาติไทยชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในรายการเอเชียนคัพ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2518 ซึ่งทีมชาติไทยเอาชนะทีมชาติอินโดนีเซียไป 3-1 นอกจากนี้ เขายังเคยเข้าร่วมการแข่งขันควีนส์คัพอีกด้วย
2.2. เส้นทางนักฟุตบอลในญี่ปุ่น
ในปี พ.ศ. 2519 หลังจากที่ยันมาร์ ดีเซล (ปัจจุบันคือ เซเรซโซ โอซากะ) จากประเทศญี่ปุ่นได้เดินทางมาแข่งขันและคว้าแชมป์ควีนส์คัพในประเทศไทย ทางสโมสรยันมาร์ ดีเซล ได้ติดต่อขอซื้อตัววิทยา เลาหกุล จากราชประชา เอฟซี เพื่อให้ไปเล่นในลีกญี่ปุ่น การย้ายทีมครั้งนี้ทำให้เขากลายเป็นนักฟุตบอลไทยคนแรกที่ได้ไปค้าแข้งในประเทศญี่ปุ่น
การย้ายไปญี่ปุ่นยังเกิดขึ้นหลังจากที่ วิทยา เลาหกุล ได้รับคำเชิญจากคูนิชิเงะ คามาโมโตะ นักฟุตบอลระดับตำนานของทีมชาติญี่ปุ่น หลังจากที่วิทยาทำสองประตูจากลูกฟรีคิกใส่ทีมชาติญี่ปุ่นในการแข่งขันเมอร์เดกา ทัวร์นาเมนต์เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2519 และได้รับข้อเสนออย่างเป็นทางการในอีกสองเดือนต่อมา
เขาเข้าร่วมทีมยันมาร์ ดีเซลในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2520 แต่เนื่องจากกฎระเบียบการย้ายทีมของสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นสำหรับผู้เล่นต่างชาติ เขาจึงสามารถลงสนามในเกมอย่างเป็นทางการได้ตั้งแต่เดือนมกราคมของปีถัดไป วิทยา เลาหกุล ได้ประเดิมสนามในเจเอสแอลเมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2521 ในการแข่งขันกับมิตซูบิชิ เฮฟวี อินดัสตรีส์ เขากลายเป็นผู้เล่นต่างชาติชาวเอเชียคนแรกในประวัติศาสตร์ของเจเอสแอล ตลอดการค้าแข้งกับยันมาร์ ดีเซล เขาลงสนามไป 20 นัด ยิงได้ 4 ประตู และทำ 2 แอสซิสต์
ชีวิตการค้าแข้งของวิทยาในญี่ปุ่นถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เขาเคยได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล และเคยเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในเอฟเอคัพของญี่ปุ่นด้วยจำนวน 6 ประตู โดยยิงประตูในลีกญี่ปุ่นได้ทั้งหมด 14 ประตู
ในปี พ.ศ. 2529 เขาได้กลับมาเล่นในญี่ปุ่นอีกครั้งในฐานะผู้เล่นให้กับมัตสึชิตะ เอฟซี (ปัจจุบันคือ สโมสรฟุตบอลกัมบะ โอซากะ) โดยควบตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนไปด้วย เขาเล่นให้กับมัตสึชิตะจนถึงปี พ.ศ. 2533 และแขวนสตั๊ดหลังจากลงสนามในนัดที่ 8 ของฤดูกาล 1990-91
ตารางสถิติการลงสนามในลีกญี่ปุ่น:
ปี | สโมสร | ลีก | ลงสนาม | ประตู |
---|---|---|---|---|
พ.ศ. 2520 | ยันมาร์ ดีเซล | เจเอสแอล ดิวิชัน 1 | 20 | 4 |
พ.ศ. 2521 | ||||
พ.ศ. 2530 | มัตสึชิตะ เอฟซี | เจเอสแอล ดิวิชัน 2 | 18 | 3 |
พ.ศ. 2531-32 | เจเอสแอล ดิวิชัน 1 | 21 | 3 | |
พ.ศ. 2532-33 | 16 | 0 | ||
พ.ศ. 2533-34 | 0 | 0 |
- หมายเหตุ: สถิติรวมสำหรับยันมาร์ ดีเซล 2 ฤดูกาล: 20 นัด 4 ประตู. สถิติรวมสำหรับมัตสึชิตะ เอฟซี 3 ฤดูกาล: 37 นัด 3 ประตู.
2.3. เส้นทางนักฟุตบอลในยุโรป
ในปี พ.ศ. 2522 วิทยา เลาหกุล สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นนักฟุตบอลไทยคนแรกที่ได้ไปเล่นในลีกยุโรป โดยย้ายไปร่วมทีมแฮร์ทา เบเอสเซในประเทศเยอรมนี การย้ายทีมครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากแมวมองของแฮร์ทา เบเอสเซ สังเกตเห็นฟอร์มการเล่นของเขาในนัดที่ทีมชาติไทยลงแข่งขันกับอัสปัญญ็อลและ1. เอฟเซ เคิลน์
เขาประเดิมสนามในบุนเดสลีกาเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2522 ในการแข่งขันกับฟอร์ทูนา ดุสเซลดอร์ฟ ในฤดูกาล 1979-80 เขาลงสนามในบุนเดสลีกาไป 3 นัด หลังจากที่แฮร์ทา เบเอสเซ ตกชั้นสู่2. บุนเดสลีกา (ลีกระดับสองของเยอรมนี) วิทยาได้ลงสนามไป 31 นัดตลอดสองฤดูกาล (1980-81 และ 1981-82) โดยรวมแล้ว เขาลงสนามในลีกไป 33 นัดตลอดสามปีที่อยู่กับแฮร์ทา เบเอสเซ
ในปี พ.ศ. 2525 เขาได้ย้ายไปร่วมทีม1. เอฟเซ ซาร์บรึคเคิน เขาลงสนามในลีกไป 54 นัด และยิงได้ 7 ประตูให้กับซาร์บรึคเคินตลอดสองปี ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงนี้คือการคว้าแชมป์โอเบอร์ลีกา ซึดเวสต์ (ซึ่งขณะนั้นเป็นลีกระดับสามของเยอรมนี) ในฤดูกาล 1982-83 ซึ่งทำให้ทีมได้เลื่อนชั้นสู่2. บุนเดสลีกาในฤดูกาล 1983-84
เขากลับมาประเทศไทยหลังจากค้าแข้งในเยอรมนีรวม 6 ปี สื่อเยอรมันยังเคยยกย่องเขาด้วยฉายา "ไทย บูม" (THAI BOOM)
2.4. ความสำเร็จในฐานะนักฟุตบอล
- รางวัลส่วนบุคคล
- หนึ่งใน 11 ผู้เล่นยอดเยี่ยมของลีกญี่ปุ่น (ขณะเล่นให้กับมัตสึชิตะ เอฟซี)
- รางวัลร่วมกับทีม
- แชมป์ซีเกมส์: ปี พ.ศ. 2520 (กับทีมชาติไทย)
- แชมป์โอเบอร์ลีกา ซึดเวสต์ ประเทศเยอรมนี: ปี พ.ศ. 2526 (กับสโมสรซาร์บรึคเคิน)
- แชมป์ซีเกมส์ (ในฐานะกัปตันทีม): ปี พ.ศ. 2528 (กับทีมชาติไทย)
3. เส้นทางผู้ฝึกสอน
หลังจากการแขวนสตั๊ด วิทยา เลาหกุล ได้ผันตัวมาเป็นผู้ฝึกสอนและผู้อำนวยการเทคนิคทั้งในประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย โดยมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทีมและนักกีฬาฟุตบอลในหลายระดับ

3.1. เส้นทางผู้ฝึกสอนในญี่ปุ่น
ในปี พ.ศ. 2531 วิทยา เลาหกุล เริ่มต้นอาชีพผู้ฝึกสอนในประเทศญี่ปุ่นในตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอน (Head Coach) ให้กับมัตสึชิตะ เอฟซี (ปัจจุบันคือ สโมสรฟุตบอลกัมบะ โอซากะ) ซึ่งเป็นหนึ่งในสโมสรผู้ก่อตั้งเจลีกในปี พ.ศ. 2535 และดำรงตำแหน่งนี้จนถึงปี พ.ศ. 2538 ในฐานะโค้ช มัตสึชิตะ เอฟซี ได้รับรางวัลถ้วยสมเด็จพระจักรพรรดิในปี พ.ศ. 2533 และชนะเลิศควีนส์คัพที่ประเทศไทยในปี พ.ศ. 2535
ในปี พ.ศ. 2550 เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนของไกนาเร ทตโตริ สโมสรจากดิวิชัน 3 ของญี่ปุ่น (ปัจจุบันคือ เจแปนฟุตบอลลีก) โดยมีเป้าหมายในการพาทีมเลื่อนชั้นสู่เจลีก เขาคุมทีมไกนาเร ทตโตริเป็นเวลา 3 ปี (ตั้งแต่สิงหาคม พ.ศ. 2550 ถึงกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553) โดยพาทีมเข้าสู่ตำแหน่งบนของตารางอย่างสม่ำเสมอ และลุ้นพื้นที่ 4 อันดับแรกซึ่งเป็นเงื่อนไขในการเลื่อนชั้นสู่เจลีก แต่ก็พลาดโอกาสไปในช่วงท้ายฤดูกาล ในปี พ.ศ. 2550 ทีมจบอันดับ 14, ปี พ.ศ. 2551 จบอันดับ 5, และปี พ.ศ. 2552 จบอันดับ 5
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2552 วิทยาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในประเทศไทย ทำให้กระดูกสันหลังหักได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่การฟื้นตัวเป็นไปอย่างล่าช้า ทำให้เขาต้องลาออกจากตำแหน่งผู้ฝึกสอนของไกนาเร ทตโตริในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ตารางสถิติผู้จัดการทีมในญี่ปุ่น:
ปี | ลีก | สโมสร | อันดับ | แข่ง | ชนะ | เสมอ | แพ้ |
---|---|---|---|---|---|---|---|
พ.ศ. 2550 | JFL | ไกนาเร ทตโตริ | 14 | ||||
พ.ศ. 2551 | 5 | 34 | 17 | 6 | 11 | ||
พ.ศ. 2552 | 5 | 34 | 16 | 8 | 10 |
- หมายเหตุ: อันดับในปี พ.ศ. 2550 คืออันดับสุดท้ายของฤดูกาล.
3.2. เส้นทางผู้ฝึกสอนในประเทศไทย
หลังกลับมาประเทศไทย, วิทยา เลาหกุล เข้าคุมทีมธนาคารกรุงเทพในปี พ.ศ. 2539 และพาทีมคว้าแชมป์ไทยลีก (ปัจจุบันคือ ไทยพรีเมียร์ลีก) ในฤดูกาล 1996-97 และผ่านเข้ารอบเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก ในปี พ.ศ. 2540 เขาได้รับรางวัลผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมประจำปี ระหว่างปี พ.ศ. 2541-2542 เขายังเคยคุมทีมบีเอ็มเอ เอฟซี
ในปี พ.ศ. 2547 เข้ารับตำแหน่งผู้ฝึกสอนของชลบุรี เอฟซี และในปีถัดมา (พ.ศ. 2548) พาทีมคว้าแชมป์โปรวินเชียลลีก และเลื่อนชั้นสู่ไทยพรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรกในฤดูกาล พ.ศ. 2549
ในปี พ.ศ. 2554 เขากลับมาคุมทีมชลบุรี เอฟซีอีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีม ในช่วงที่คุมทีมชลบุรี เอฟซีเป็นครั้งที่สองนี้ เขายังได้นำทีมงานชาวญี่ปุ่นหลายคนมาร่วมพัฒนาทีม เช่น โค้ชโยชิโอะ คาโตะและมิตสึโอะ คาโตะ (พ่อลูก) รวมถึงเทรนเนอร์โยเฮ ชิรากิ และได้นำนักเตะอย่างคาซูโตะ คูชิดะ และไดกิ ฮิกูชิ (อดีตลูกทีมจากไกนาเร ทตโตริ) มาร่วมทีม
ในฤดูกาล พ.ศ. 2554 ชลบุรี เอฟซีภายใต้การคุมทีมของเขาได้รองชนะเลิศไทยพรีเมียร์ลีก เขายังพาทีมคว้าแชมป์ไทยคม เอฟเอคัพในปี พ.ศ. 2553 และถ้วยพระราชทาน ก ถึง 4 สมัย ในปี พ.ศ. 2551, 2552, 2554, และ 2555
3.3. ผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย
วิทยา เลาหกุล เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยระหว่างปี พ.ศ. 2540 ถึง พ.ศ. 2541 ผลงานสำคัญคือการพาทีมชาติไทยคว้าเหรียญทองซีเกมส์ครั้งที่ 19 ที่ประเทศอินโดนีเซียในปี พ.ศ. 2540 นอกจากนี้ เขายังเคยเป็นผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยชุดเยาวชนอายุไม่เกิน 16 ปีในปี พ.ศ. 2543
3.4. บทบาทผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเทคนิค
ในปี พ.ศ. 2553 วิทยา เลาหกุล เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเทคนิค (Technical Director - TD) ของสโมสรชลบุรี เอฟซี และยังคงดำรงตำแหน่งนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 จนถึงปัจจุบัน
ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเทคนิคของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และเคยเป็นอุปนายกสมาคมฯ อย่างไรก็ตาม หลังจากการตกรอบแบ่งกลุ่มของทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีในเอเชียนเกมส์ 2018 เขาถูกปลดจากตำแหน่งในสมาคมฯ
แต่ในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2562 วิทยา เลาหกุล ได้กลับมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเทคนิคของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ อีกครั้งในคณะกรรมการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของทีมชาติไทย มีรายงานว่าเขาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการแต่งตั้งอากิระ นิชิโนะ อดีตผู้ฝึกสอนทีมชาติญี่ปุ่นให้มาเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย
3.5. ความสำเร็จในฐานะผู้ฝึกสอน
- รางวัลส่วนบุคคล
- ผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมประจำปีไทยพรีเมียร์ลีก: ปี พ.ศ. 2540 (กับธนาคารกรุงเทพ)
- รางวัลร่วมกับทีม
- ถ้วยสมเด็จพระจักรพรรดิ ชนะเลิศ: ปี พ.ศ. 2533 (กับมัตสึชิตะ เอฟซี)
- ควีนส์คัพ ชนะเลิศ: ปี พ.ศ. 2535 (กับมัตสึชิตะ เอฟซี)
- ไทยพรีเมียร์ลีก ชนะเลิศ: ฤดูกาล 1996-97 (กับธนาคารกรุงเทพ)
- เหรียญทองซีเกมส์: ปี พ.ศ. 2540 (กับทีมชาติไทย)
- ไทยคม เอฟเอคัพ ชนะเลิศ: ปี พ.ศ. 2553 (กับชลบุรี เอฟซี)
- ถ้วยพระราชทาน ก ชนะเลิศ: 4 สมัย (พ.ศ. 2551, 2552, 2554, 2555) (กับชลบุรี เอฟซี)
- ไทยพรีเมียร์ลีก รองชนะเลิศ: 1 ครั้ง (พ.ศ. 2554) (กับชลบุรี เอฟซี)
4. ชีวิตส่วนตัวและอื่น ๆ
วิทยา เลาหกุล มีชื่อเล่นว่า "ยา" และเป็นที่รู้จักกันดีในวงการฟุตบอลไทยในชื่อ "โค้ชเฮง" ซึ่งมาจากคำว่า Hengเฮงภาษาอังกฤษ ที่หมายถึง "โชคดี" ในภาษาจีน
เขามีความสามารถในการพูดภาษาญี่ปุ่นได้อย่างคล่องแคล่ว รวมถึงสำเนียงคันไซ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากตลอดอาชีพของเขาทั้งในฐานะนักฟุตบอลและผู้ฝึกสอนในญี่ปุ่น
ในปี พ.ศ. 2548 วิทยาเคยเสนอตัวลงชิงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง โดยแพ้ให้กับวิจิตร เกตุแก้ว ด้วยคะแนนเสียง 16 ต่อ 118 คะแนน (มีบัตรเสีย 1 ใบ)
5. การประเมินและผลกระทบ
วิทยา เลาหกุล ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่มีคุณูปการอย่างยิ่งต่อวงการฟุตบอลไทย บทบาทที่โดดเด่นที่สุดคือการเป็น "ผู้บุกเบิก" เส้นทางให้นักฟุตบอลไทยได้ไปค้าแข้งในระดับสากล โดยเฉพาะในลีกยุโรปอย่างบุนเดสลีกา ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักฟุตบอลรุ่นหลัง
ในฐานะผู้ฝึกสอนและผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเทคนิค เขามีส่วนสำคัญในการยกระดับมาตรฐานฟุตบอลไทย ทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ การนำทีมธนาคารกรุงเทพคว้าแชมป์ไทยลีก และพาทีมชลบุรี เอฟซีเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุด แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างทีมให้ประสบความสำเร็จ
การกลับมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเทคนิคของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และการมีบทบาทในการสนับสนุนการนำผู้ฝึกสอนระดับโลกอย่างอากิระ นิชิโนะเข้ามาคุมทีมชาติไทย สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของเขาในการพัฒนาฟุตบอลไทยให้ก้าวสู่ระดับสากลอย่างแท้จริง ประสบการณ์อันยาวนานในลีกญี่ปุ่นและเยอรมนี ทำให้เขามีความเข้าใจในระบบฟุตบอลสมัยใหม่ และนำความรู้เหล่านั้นมาปรับใช้เพื่อวางรากฐานการพัฒนาฟุตบอลเยาวชนและระบบการเล่นของทีมชาติ
6. รางวัลและเกียรติยศ
วิทยา เลาหกุล ได้รับรางวัลและเกียรติยศมากมายตลอดเส้นทางอาชีพทั้งในฐานะนักฟุตบอลและผู้ฝึกสอน ดังตารางต่อไปนี้:
ประเภท | รางวัล | ปีที่ได้รับ | สโมสร/ทีมชาติ | บทบาท |
---|---|---|---|---|
นักฟุตบอล | ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำรายการกีฬาเขตแห่งประเทศไทย | พ.ศ. 2516 | เขต 5 จังหวัดลำพูน | ผู้เล่น |
หนึ่งใน 11 ผู้เล่นยอดเยี่ยมของลีกญี่ปุ่น | ไม่ระบุ | มัตสึชิตะ เอฟซี | ผู้เล่น | |
แชมป์ซีเกมส์ | พ.ศ. 2520 | ทีมชาติไทย | ผู้เล่น | |
แชมป์โอเบอร์ลีกา ซึดเวสต์ | พ.ศ. 2526 | 1. เอฟเซ ซาร์บรึคเคิน | ผู้เล่น | |
แชมป์ซีเกมส์ (กัปตันทีม) | พ.ศ. 2528 | ทีมชาติไทย | กัปตันทีม | |
ผู้ฝึกสอน/ผู้บริหาร | แชมป์เอ็มเพอเรอร์สคัพ | พ.ศ. 2533 | มัตสึชิตะ เอฟซี | โค้ช |
แชมป์ควีนส์คัพ | พ.ศ. 2535 | มัตสึชิตะ เอฟซี | โค้ช | |
แชมป์ไทยลีก | พ.ศ. 2539/40 | ธนาคารกรุงเทพ | ผู้จัดการทีม | |
ผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมประจำปีไทยลีก | พ.ศ. 2540 | ธนาคารกรุงเทพ | ผู้จัดการทีม | |
เหรียญทองซีเกมส์ | พ.ศ. 2540 | ทีมชาติไทย | หัวหน้าผู้ฝึกสอน | |
แชมป์ไทยเอฟเอคัพ | พ.ศ. 2553 | ชลบุรี เอฟซี | ผู้จัดการทีม | |
รองชนะเลิศไทยลีก | พ.ศ. 2554 | ชลบุรี เอฟซี | ผู้จัดการทีม | |
แชมป์ถ้วยพระราชทาน ก | พ.ศ. 2551, 2552, 2554, 2555 | ชลบุรี เอฟซี | ผู้จัดการทีม |