1. ภาพรวม
เครือรัฐดอมินีกา หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ดอมินีกา เป็นประเทศเกาะในทะเลแคริบเบียน ตั้งอยู่ในโซ่หมู่เกาะวินด์เวิร์ดในกลุ่มเลสเซอร์แอนทิลลีส มีเมืองหลวงคือโรโซ ดอมินีกาเป็นที่รู้จักในสมญานาม "เกาะแห่งธรรมชาติแห่งแคริบเบียน" เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ภูเขาสูงชัน ป่าฝนเขียวชอุ่ม และแม่น้ำจำนวนมาก เกาะแห่งนี้ยังคงมีการก่อตัวทางธรณีวิทยาจากกิจกรรมความร้อนใต้พิภพและภูเขาไฟ โดยมีทะเลสาบเดือด (Boiling Lake) ซึ่งเป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกเป็นหลักฐานสำคัญ
ประวัติศาสตร์ของดอมินีกาเริ่มต้นจากการตั้งถิ่นฐานของชาวอาราวักและต่อมาคือชาวคาลินาโก (หรือแคริบ) ก่อนที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสจะเดินทางมาถึงในปี พ.ศ. 2036 เกาะแห่งนี้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฝรั่งเศสและอังกฤษสลับกันไป จนกระทั่งได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2521 การเมืองในช่วงหลังได้รับเอกราชเผชิญกับความท้าทายหลายประการ รวมถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่และความพยายามรัฐประหาร ดอมินีกาปกครองในระบอบสาธารณรัฐแบบรัฐสภา โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐ และนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล
เศรษฐกิจของดอมินีกาเคยพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยเฉพาะกล้วย แต่ปัจจุบันได้กระจายไปสู่การท่องเที่ยวเชิงนิเวศและภาคบริการ รวมถึงโครงการความเป็นพลเมืองผ่านการลงทุน (Citizenship by Investment Programme) ซึ่งกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ อย่างไรก็ตาม ประเทศยังคงเผชิญกับความท้าทายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก
สังคมและวัฒนธรรมของดอมินีกามีความหลากหลาย โดยประชากรส่วนใหญ่มีเชื้อสายแอฟริกัน และมีชนกลุ่มน้อยชาวคาลินาโก ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองกลุ่มสุดท้ายในแคริบเบียนตะวันออกที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมและดินแดนของตนเองไว้ได้ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ แต่ภาษาครีโอลดอมินีกาซึ่งมีพื้นฐานมาจากภาษาฝรั่งเศสก็ยังคงใช้กันอย่างแพร่หลาย ดอมินีกามีความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานหมุนเวียน แม้จะเผชิญกับความท้าทายด้านสิทธิมนุษยชนในบางประเด็น เช่น สิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ แต่ก็มีความก้าวหน้าในการปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับหลักการสากลมากขึ้น
2. นิรุกติศาสตร์
ชาวคาลินาโก ชนพื้นเมืองดั้งเดิม เรียกเกาะแห่งนี้ว่า Wai'tu kubuliไวตูกูบูลีcrb ซึ่งมีความหมายว่า "ร่างกายของเธอสูงใหญ่" เพื่ออ้างถึงลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูงชันของเกาะ
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ขณะล่องเรือให้กับสเปน ได้ตั้งชื่อเกาะนี้ว่า ดอมินีกา (Dominica) ซึ่งมาจากคำในภาษาละตินว่า dies Dominica ที่แปลว่า "วันอาทิตย์" อันเป็นวันที่เขาเห็นเกาะนี้เป็นครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2036 (ค.ศ. 1493) การออกเสียงชื่อ "ดอมินีกา" จะเน้นเสียงที่พยางค์ที่สาม (โด-มิ-นี-กา) ตามแบบการออกเสียงในภาษาสเปน
เนื่องจากชื่อประเทศมีความคล้ายคลึงกับสาธารณรัฐโดมินิกัน (Dominican Republic) และคำคุณศัพท์ที่ใช้เรียกคนหรือสิ่งของจากทั้งสองประเทศก็เป็นคำเดียวกัน (Dominican) จึงทำให้เกิดความสับสนอยู่บ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้ ชาวดอมินีกาบางส่วนจึงได้เสนอให้มีการเปลี่ยนชื่อประเทศเพื่อสร้างอัตลักษณ์ที่ชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
3. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของดอมินีกาเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา การตั้งถิ่นฐานของชนพื้นเมือง การเข้ามาของชาวยุโรป การตกเป็นอาณานิคม และการต่อสู้เพื่อเอกราช จนกระทั่งกลายเป็นประเทศในปัจจุบัน ส่วนนี้จะอธิบายถึงเหตุการณ์สำคัญและการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ของดอมินีกาตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบัน โดยเรียงตามลำดับเวลา ครอบคลุมถึงการก่อตัวทางธรณีวิทยาของเกาะ วิถีชีวิตของชนพื้นเมืองก่อนการเข้ามาของชาวยุโรป ยุคอาณานิคมของฝรั่งเศสและอังกฤษ ความเคลื่อนไหวไปสู่เอกราช และเหตุการณ์สำคัญหลังได้รับเอกราช
3.1. ประวัติศาสตร์ธรณีวิทยา
ดอมินีกาปรากฏขึ้นจากทะเลครั้งแรกในยุคโอลิโกซีน (Oligocene) เมื่อประมาณ 26 ล้านปีถึง 67 ล้านปีที่แล้ว ทำให้เป็นหนึ่งในเกาะสุดท้ายในแถบแคริบเบียนที่ก่อตัวขึ้นจากกิจกรรมของภูเขาไฟ เกาะนี้ยังคงอยู่ในกระบวนการก่อตัวจากกิจกรรมความร้อนใต้พิภพและภูเขาไฟ ดังเห็นได้จากทะเลสาบเดือด (Boiling Lake) ซึ่งเป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และกิจกรรมทางภูเขาไฟอื่นๆ ที่ยังคงมีอยู่
3.2. ยุคก่อนอาณานิคมและการติดต่อกับชาวยุโรปยุคแรก

ผู้ตั้งถิ่นฐานดั้งเดิมของดอมินีกาคือชาวอาราวัก (Arawak) ซึ่งเดินทางมาจากทวีปอเมริกาใต้ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ชาวคาลินาโก (Kalinago) หรือที่รู้จักกันในชื่อชาวแคริบ (Carib) ได้ขับไล่ชาวอาราวักออกไป อย่างไรก็ตาม มีการตีความใหม่ว่าชาวคาลินาโกและชาวอาราวักอาจอยู่ร่วมกันและมีการสมรสข้ามกลุ่มกัน และเชื่อกันว่าก่อนหน้าชาวอาราวัก มีกลุ่มชนพื้นเมืองยุคหินเก่า (paleo-Indians) ที่เดินทางมาถึงในช่วงปลายยุคไพลสโตซีนตอนปลาย
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส อ้างว่าได้แล่นเรือผ่านเกาะแห่งนี้ในวันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2036 (ค.ศ. 1493) ในระหว่างการเดินทางครั้งที่สองสู่ทวีปอเมริกา และได้ตั้งชื่อเกาะว่า "ดอมินีกา" ซึ่งหมายถึง "วันอาทิตย์" ในภาษาละติน ชาวสเปนบางส่วนได้พยายามตั้งถิ่นฐานบนเกาะ แต่เนื่องจากการต่อต้านอย่างแข็งขันของชาวคาลินาโก และการที่ผู้ลี้ภัยชาวพื้นเมืองจากเกาะโดยรอบเข้ามาตั้งรกรากบนเกาะดอมินีกา ทำให้ชาวสเปนต้องถอยร่นออกไป สเปนมุ่งความสนใจไปที่เกาะฮิสปันโยลา (Hispaniola) ซึ่งเป็นเกาะแรกที่พวกเขาก่อตั้งในทวีปอเมริกา และต่อมาถูกเปลี่ยนชื่อเป็นสาธารณรัฐโดมินิกัน
3.3. ยุคอาณานิคมฝรั่งเศส
สเปนประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยในการตั้งอาณานิคมบนเกาะดอมินีกา ในปี พ.ศ. 2175 (ค.ศ. 1632) บริษัทหมู่เกาะอเมริกาของฝรั่งเศส (Compagnie des Îles de l'Amérique) ได้อ้างสิทธิ์เหนือเกาะดอมินีกาและหมู่เกาะ "เปอติตแอนทิลลีส" (Petites Antilles) อื่นๆ ให้กับราชอาณาจักรฝรั่งเศส แต่ยังไม่มีการเข้ายึดครองอย่างเป็นรูปธรรม ระหว่างปี พ.ศ. 2185 ถึง 2193 (ค.ศ. 1642-1650) เรย์มงด์ เบรตง (Raymond Breton) มิชชันนารีชาวฝรั่งเศส กลายเป็นชาวยุโรปคนแรกที่เดินทางมาเยือนเกาะแห่งนี้เป็นประจำ
ในปี พ.ศ. 2203 (ค.ศ. 1660) ฝรั่งเศสและอังกฤษตกลงกันว่าดอมินีกาและเกาะเซนต์วินเซนต์ไม่ควรมีการตั้งถิ่นฐาน แต่ควรปล่อยให้เป็นดินแดนที่เป็นกลางของชาวคาลินาโก อย่างไรก็ตาม ทรัพยากรธรรมชาติของเกาะได้ดึงดูดนักสำรวจชาวอังกฤษและฝรั่งเศสที่เริ่มเข้ามาตัดไม้ ในปี พ.ศ. 2233 (ค.ศ. 1690) ฝรั่งเศสได้ตั้งถิ่นฐานถาวรแห่งแรกบนเกาะ คนตัดไม้ชาวฝรั่งเศสจากมาร์ตีนิกและกัวเดอลุปเริ่มตั้งค่ายตัดไม้เพื่อจัดหาไม้ให้กับเกาะต่างๆ ของฝรั่งเศส และค่อยๆ กลายเป็นผู้ตั้งถิ่นฐานถาวร พวกเขานำทาสชาวแอฟริกาตะวันตกกลุ่มแรกมายัง โดมินีก (Dominique) ซึ่งเป็นชื่อที่พวกเขาเรียกเกาะนี้ในภาษาฝรั่งเศส
ในปี พ.ศ. 2258 (ค.ศ. 1715) เกิดการลุกฮือของกลุ่ม "คนผิวขาวผู้ยากจน" ที่เป็นเจ้าของที่ดินรายย่อยทางตอนเหนือของมาร์ตีนิก หรือที่เรียกว่า ลา โกเล (La Gaoulé) ทำให้ผู้ตั้งถิ่นฐานอพยพไปยังตอนใต้ของโดมินีกและตั้งรกรากทำฟาร์มขนาดเล็ก ขณะเดียวกัน ครอบครัวชาวฝรั่งเศสและคนอื่นๆ จากกัวเดอลุปก็เข้ามาตั้งถิ่นฐานทางตอนเหนือ ในปี พ.ศ. 2270 (ค.ศ. 1727) ผู้บัญชาการชาวฝรั่งเศสคนแรก เอ็ม. เลอ กร็อง (M. Le Grand) ได้เข้าปกครองเกาะด้วยรัฐบาลฝรั่งเศสขั้นพื้นฐาน โดมินีกกลายเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ และเกาะถูกแบ่งออกเป็นเขตต่างๆ หรือ "ควอเตอร์" (quarters) ฝรั่งเศสได้พัฒนาการเกษตรแบบไร่ขนาดใหญ่บนเกาะมาร์ตีนิกและกัวเดอลุปแล้ว โดยปลูกอ้อยด้วยแรงงานทาสชาวแอฟริกา ในโดมินีก พวกเขาค่อยๆ พัฒนาไร่กาแฟ เนื่องจากการค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ประชากรส่วนใหญ่จึงประกอบด้วยทาสชาวแอฟริกาผิวดำเป็นหลัก
ในปี พ.ศ. 2304 (ค.ศ. 1761) ระหว่างสงครามเจ็ดปีในยุโรป กองกำลังสำรวจของอังกฤษนำโดยแอนดรูว์ โรลโล ลอร์ดโรลโลที่ 5 (Andrew Rollo, 5th Lord Rollo) ได้เข้ายึดครองเกาะและเกาะอื่นๆ ในแคริบเบียน ในปี พ.ศ. 2306 (ค.ศ. 1763) ฝรั่งเศสพ่ายแพ้สงครามและยกเกาะนี้ให้กับราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ตามสนธิสัญญาปารีส ในปีเดียวกัน อังกฤษได้จัดตั้งสภานิติบัญญัติขึ้น โดยมีเพียงชาวอาณานิคมยุโรปเท่านั้นที่เป็นตัวแทน ภาษาฝรั่งเศสยังคงเป็นภาษาราชการ แต่ภาษาครีโอลแอนทิลลีส (Antillean Creole) ซึ่งพัฒนามาจากภาษาฝรั่งเศส กลายเป็นภาษาที่ประชากรส่วนใหญ่ใช้พูด
ในปี พ.ศ. 2321 (ค.ศ. 1778) ฝรั่งเศส โดยความร่วมมืออย่างแข็งขันของประชากรในพื้นที่ ได้เริ่มการยึดครองดอมินีกาคืน การกระทำนี้สิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2326 (ค.ศ. 1783) ด้วยสนธิสัญญาปารีสฉบับที่สอง ซึ่งคืนเกาะกลับสู่การควบคุมของอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ประชากรบนเกาะ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เรียกว่า gens de couleur libresฌ็อง เดอ กูเลอร์ ลีบร์ภาษาฝรั่งเศส (หมายถึง คนผิวสีที่เป็นอิสระ) ต่อต้านข้อจำกัดของอังกฤษ อังกฤษยังคงควบคุมเกาะแห่งนี้ได้ตลอดการรุกรานของฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2338 (ค.ศ. 1795) และ พ.ศ. 2348 (ค.ศ. 1805) โดยครั้งแรกเกิดขึ้นในช่วงการปฏิวัติเฮติ ซึ่งนำไปสู่เอกราชของเฮติ (เดิมคือแซ็ง-โดแม็งก์ ซึ่งเป็นอาณานิคมที่ร่ำรวยที่สุดของฝรั่งเศสในแคริบเบียน)
3.4. ยุคอาณานิคมอังกฤษ

บริเตนใหญ่ได้ก่อตั้งอาณานิคมขนาดเล็กขึ้นในปี พ.ศ. 2348 (ค.ศ. 1805) ดอมินีกาถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของการค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งมีการนำเข้าและขายทาสเพื่อใช้เป็นแรงงานบนเกาะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการค้าที่รวมถึงการผลิตและขนส่งพืชผล เช่น น้ำตาลและกาแฟ ไปยังยุโรป ไร่ทาสที่มีการบันทึกไว้อย่างดีที่สุดบนเกาะคือ Hillsborough Estate ซึ่งมีทาสชาย 71 คน และทาสหญิง 68 คน ครอบครัว Greg เป็นที่น่าสังเกต: Thomas Hodgson น้องเขย เป็นเจ้าของเรือค้าทาส และ Thomas Greg กับ John Greg ลูกชาย เป็นเจ้าของร่วมของไร่อ้อยในดอมินีกา ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2357 (ค.ศ. 1814) ทาส 20 คนหลบหนีจาก Hillsborough พวกเขาถูกจับกลับมาและลงโทษด้วยการเฆี่ยน 100 ครั้งสำหรับผู้ชาย และ 50 ครั้งสำหรับผู้หญิง มีรายงานว่าทาสกล่าวว่าคนหนึ่งของพวกเขาเสียชีวิตในโรงพยาบาลของไร่ และพวกเขาเชื่อว่าเขาถูกวางยาพิษ
ในปี พ.ศ. 2374 (ค.ศ. 1831) ซึ่งสะท้อนถึงการผ่อนปรนทัศนคติทางเชื้อชาติอย่างเป็นทางการของอังกฤษ ร่างกฎหมายสิทธิพิเศษของคนผิวสี (Brown Privilege Bill) ได้มอบสิทธิทางการเมืองและสังคมแก่คนผิวดำที่เป็นอิสระ (ส่วนใหญ่เป็นgens de couleur libresฌ็อง เดอ กูเลอร์ ลีบร์ภาษาฝรั่งเศส ซึ่งโดยทั่วไปเป็นคนเชื้อชาติผสม มีบรรพบุรุษชาวแอฟริกันและยุโรป) ด้วยพระราชบัญญัติการเลิกทาส ค.ศ. 1833 บริเตนได้ยุติสถาบันทาสทั่วทั้งจักรวรรดิบริติช ยกเว้นในอินเดีย
ด้วยเสรีภาพจึงตามมาด้วยสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง ในปี พ.ศ. 2378 (ค.ศ. 1835) ชายเชื้อสายแอฟริกันสามคนแรกได้รับเลือกเข้าสู่สภานิติบัญญัติของดอมินีกา ทาสจำนวนมากจากอาณานิคมฝรั่งเศสที่อยู่ใกล้เคียงอย่างกัวเดอลุปและมาร์ตีนิกได้หลบหนีมายังดอมินีกา ในปี พ.ศ. 2381 (ค.ศ. 1838) ดอมินีกากลายเป็นอาณานิคมแห่งแรกของบริติชเวสต์อินดีสที่มีสภานิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งและควบคุมโดยคนส่วนใหญ่ที่เป็นชาวแอฟริกัน สมาชิกสภานิติบัญญัติเหล่านี้ส่วนใหญ่เคยเป็นคนผิวสีที่เป็นอิสระและเป็นเจ้าของที่ดินรายย่อยหรือพ่อค้าก่อนการเลิกทาส มุมมองทางเศรษฐกิจและสังคมของพวกเขาแตกต่างจากผลประโยชน์ของกลุ่มเจ้าของไร่ชาวอังกฤษผู้มั่งคั่งและมีจำนวนน้อย เมื่อต้องเผชิญกับภัยคุกคามต่ออำนาจของตน กลุ่มเจ้าของไร่จึงวิ่งเต้นให้มีการปกครองโดยตรงจากอังกฤษมากขึ้น
ในปี พ.ศ. 2408 (ค.ศ. 1865) หลังจากการปลุกระดมและความตึงเครียดอย่างมาก สำนักงานอาณานิคมได้แทนที่สภาที่มาจากการเลือกตั้งด้วยสภาที่ประกอบด้วยสมาชิกครึ่งหนึ่งมาจากการเลือกตั้งและอีกครึ่งหนึ่งมาจากการแต่งตั้ง กลุ่มเจ้าของไร่ซึ่งเป็นพันธมิตรกับผู้บริหารอาณานิคม สามารถเอาชนะสภานิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งได้ในหลายครั้ง ในปี พ.ศ. 2414 (ค.ศ. 1871) ดอมินีกากลายเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะลีเวิร์ดของอังกฤษ อำนาจทางการเมืองของสภาที่มาจากการเลือกตั้งค่อยๆ ลดน้อยลง การปกครองแบบอาณานิคมของพระมหากษัตริย์ (Crown colony) ได้รับการสถาปนาขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2439 (ค.ศ. 1896)
3.5. ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ชาวดอมินีกาจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบุตรหลานของเกษตรกรรายย่อย ได้อาสาไปรบในยุโรปเพื่อจักรวรรดิอังกฤษ หลังสงคราม การตื่นตัวทางการเมืองที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วแคริบเบียนนำไปสู่การก่อตั้งสมาคมผู้แทนราษฎร (Representative Government Association) กลุ่มนี้ได้รวบรวมความไม่พอใจของประชาชนต่อการขาดเสียงในการปกครองดอมินีกา และได้รับชัยชนะหนึ่งในสามของที่นั่งที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนในสภานิติบัญญัติในปี พ.ศ. 2467 (ค.ศ. 1924) และครึ่งหนึ่งในปี พ.ศ. 2479 (ค.ศ. 1936) ในปี พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) การบริหารดอมินีกาถูกย้ายจากหมู่เกาะลีเวิร์ดของอังกฤษไปยังหมู่เกาะบริติชวินด์เวิร์ด ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวดอมินีกาบางคนอาสาเข้าร่วมกองกำลังอังกฤษและแคริบเบียน ผู้ลี้ภัยชาวฝรั่งเศสเสรีหลายพันคนจากมาร์ตีนิกและกัวเดอลุปหนีมายังดอมินีกาจากเกาะของฝรั่งเศสที่ควบคุมโดยฝรั่งเศสเขตวีชี โดยพักอาศัยอยู่ในโรโซและหมู่บ้านอื่นๆ
จนถึงปี พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) ดอมินีกาถูกปกครองเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะบริติชวินด์เวิร์ด เกาะต่างๆ ในแคริบเบียนพยายามเรียกร้องเอกราชตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 ถึง 2505 และดอมินีกากลายเป็นจังหวัดของสหพันธรัฐอินเดียตะวันตกที่มีอายุสั้นในปี พ.ศ. 2501 หลังจากสหพันธรัฐสลายตัวในปี พ.ศ. 2505 ดอมินีกากลายเป็นรัฐสมทบของสหราชอาณาจักรในปี พ.ศ. 2510 และเข้ารับผิดชอบกิจการภายในของตนอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 เครือรัฐดอมินีกาได้รับเอกราชในฐานะสาธารณรัฐ นำโดยนายกรัฐมนตรีแพทริก จอห์น
3.6. หลังได้รับเอกราช

ในช่วงกลางปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) ความไม่พอใจทางการเมืองต่อรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีผู้ก่อตั้ง แพทริก จอห์น (Patrick John) ได้ถึงจุดสูงสุดจนเกิดการรัฐประหารโดยพลเรือน และสิ้นสุดลงด้วยการผ่านญัตติไม่ไว้วางใจนายจอห์นในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นสภานิติบัญญัติของดอมินีกา ทำให้รัฐบาลของเขาล่มสลาย รัฐบาลใหม่ที่เรียกว่า "รัฐบาลเฉพาะกาล" (Interim Government) ได้รับการจัดตั้งขึ้นภายใต้นายกรัฐมนตรีคนที่สองของดอมินีกาคือ โอลิเวอร์ เซราฟิน (Oliver Seraphin) ภารกิจหลักของเซราฟินคือการเตรียมประเทศสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ตามรัฐธรรมนูญที่จะมีขึ้นในปี พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) ด้วยเหตุนี้จึงมีตำแหน่งอย่างไม่เป็นทางการว่า "นายกรัฐมนตรีเฉพาะกาล" เซราฟินได้จัดตั้งและนำกลุ่มแยกของพรรคแรงงานดอมินีกา (Dominica Labour Party) คือ พรรคแรงงานประชาธิปไตย (Democratic Labour Party) เข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไปปี พ.ศ. 2523 และพ่ายแพ้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเกือบ 13 เดือนของเขาถูกครอบงำด้วยผลกระทบจากพายุเฮอริเคนเดวิดระดับ 5 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 56 รายและความเสียหายมากมายทั่วเกาะ พายุเฮอริเคนอัลเลนในปีถัดมาได้สร้างความเสียหายเพิ่มเติม หลังจากการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2523 รัฐบาลของเซราฟินถูกแทนที่ด้วยรัฐบาลที่นำโดยพรรคเสรีภาพดอมินีกา (Dominica Freedom Party - DFP) ภายใต้นายกรัฐมนตรียูจีเนีย ชาร์ลส์ (Eugenia Charles) ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของแคริบเบียน
ในปี พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) รัฐบาลของชาร์ลส์ถูกคุกคามด้วยความพยายามรัฐประหารสองครั้ง ครั้งแรกนำโดยเฟรเดอริก นิวตัน (Frederick Newton) ผู้บัญชาการกองทัพดอมินีกา ซึ่งจัดฉากการโจมตีสำนักงานตำรวจในกรุงโรโซ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตหนึ่งนาย นิวตันและทหารอีกห้าคนถูกตัดสินว่ามีความผิดในการโจมตีและถูกตัดสินประหารชีวิตในปี พ.ศ. 2526 โทษของผู้สมรู้ร่วมคิดห้าคนต่อมาถูกลดหย่อนเป็นจำคุกตลอดชีวิต แต่นิวตันถูกประหารชีวิตในปี พ.ศ. 2529 ครั้งที่สองเกิดขึ้นภายหลังในปีเดียวกัน เมื่อประเทศถูกคุกคามด้วยการยึดอำนาจโดยทหารรับจ้าง ในปฏิบัติการเรดด็อก (Operation Red Dog) นำโดยไมค์ เพอร์ดิว (Mike Perdue) และโวล์ฟกัง โดรเก (Wolfgang Droege) พวกเขาพยายามโค่นล้มนายกรัฐมนตรีชาร์ลส์และสถาปนาอดีตนายกรัฐมนตรีจอห์นกลับคืนสู่อำนาจเพื่อแลกกับการควบคุมการพัฒนาประเทศ เอฟบีไอได้รับแจ้งเบาะแส และเรือที่จ้างมาเพื่อขนส่งทหารรับจ้างก็ไม่เคยออกจากท่าเรือ ทหารรับจ้างขาดประสบการณ์หรือการฝึกฝนทางทหารอย่างเป็นทางการ และลูกเรือส่วนใหญ่ถูกชักจูงให้เข้าร่วมโดยหัวหน้าแก๊ง ไมค์ เพอร์ดิว ดอน แบล็ก ผู้สนับสนุนลัทธิเชิดชูคนผิวขาว ถูกจำคุกเนื่องจากมีส่วนร่วมในความพยายามรัฐประหาร ซึ่งละเมิดกฎหมายความเป็นกลางของสหรัฐฯ

รัฐบาลชาร์ลส์สนับสนุนการรุกรานเกรเนดาของสหรัฐฯ ในปี พ.ศ. 2526 ทำให้ดอมินีกาได้รับการยกย่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ ของโรนัลด์ เรแกน และได้รับความช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มขึ้น
ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1980 (พ.ศ. 2523-2532) เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ก่อนที่จะอ่อนแอลงอีกครั้งเนื่องจากราคากล้วยลดลง ยูจีเนีย ชาร์ลส์ ชนะการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2528 กลายเป็นนายกรัฐมนตรีดอมินีกาคนแรกที่ดำรงตำแหน่งและได้รับเลือกตั้งใหม่จากประชาชน ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่องและการควบคุมการเมืองของดอมินีกาอย่างเข้มงวดโดยยูจีเนีย ชาร์ลส์ ทำให้เกิดการรวมตัวทางการเมืองที่เรียกว่า "พลังที่สาม" (Third Force) ขึ้นในปี พ.ศ. 2531 ซึ่งเข้ามาขัดขวางการจัดตั้งพรรคการเมืองแบบสองพรรคดั้งเดิมของ DFP ที่เป็นรัฐบาลและ DLP ที่เป็นฝ่ายค้าน การรวมตัวดังกล่าวได้ก่อตั้งเป็นพรรคสหภาพแรงงาน (United Workers' Party - UWP) ในไม่ช้า และเลือก เอดิสัน เจมส์ (Edison James) อดีตผู้จัดการทั่วไปของบริษัทการตลาดกล้วยดอมินีกาเป็นผู้นำ นี่เป็นการเลือกที่มียุทธศาสตร์: เขามีชื่อเสียงในหมู่เกษตรกรผู้ปลูกกล้วย และได้รับการสนับสนุนจากถิ่นกำเนิดของเขาในชายฝั่งตะวันออก ซึ่งเริ่มรู้สึกแปลกแยกจากกลุ่มชนชั้นสูงในชายฝั่งตะวันตกในกรุงโรโซ เมืองหลวงของดอมินีกา ยูจีเนีย ชาร์ลส์ ชนะการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2533 อีกครั้ง เป็นนายกรัฐมนตรีดอมินีกาคนแรกที่ดำรงตำแหน่งและชนะการเลือกตั้งทั่วไปสามครั้งติดต่อกัน แต่การปรากฏตัวของ UWP ทำให้เสียงข้างมากของพรรคเธอในรัฐสภาลดลงเหลือเพียงหนึ่งเสียง ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจนักที่ยูจีเนีย ชาร์ลส์ จะสละตำแหน่งผู้นำทางการเมืองของพรรคเสรีภาพดอมินีกาในปี พ.ศ. 2536 และไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2538 ในตำแหน่งใดๆ เมื่อไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้นำของเธออีกต่อไป พรรคเสรีภาพดอมินีกาพ่ายแพ้การเลือกตั้งปี พ.ศ. 2538 ให้กับ UWP และเจมส์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เขาพยายามที่จะกระจายเศรษฐกิจของดอมินีกาออกจากการพึ่งพากล้วยมากเกินไป พืชผลส่วนใหญ่ถูกทำลายโดยพายุเฮอริเคนลูอิสในปี พ.ศ. 2538 และเจมส์ไม่สามารถฟื้นฟูอุตสาหกรรมกล้วยให้กลับไปสู่ราคาขายและชื่อเสียงเดิมได้ นอกจากนี้ รัฐบาลของเขายังพัวพันกับข้อกล่าวหาการทุจริตของเจ้าหน้าที่จากฝ่ายค้าน
ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) พรรค UWP พ่ายแพ้ให้กับพันธมิตรของพรรค DLP ซึ่งนำโดยรูสเวลต์ บี. "โรซี" ดักลาส (Roosevelt B. "Rosie" Douglas) ผู้มีแนวคิดฝ่ายซ้าย และพรรค DFP ซึ่งนำโดยอดีตผู้นำสหภาพแรงงาน ชาลส์ ซาวาริน (Charles Savarin) โดยดักลาสได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่งของพรรค UWP ได้ย้ายข้างไปเข้าร่วมรัฐบาลผสม DLP-DFP ดักลาสเสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2543 หลังจากดำรงตำแหน่งได้เพียงไม่กี่เดือน และถูกแทนที่โดยปีแยร์ ชาลส์ (Pierre Charles) ซึ่งเสียชีวิตในตำแหน่งเมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2547 รูสเวลต์ สเกอร์ริต (Roosevelt Skerrit) จากพรรค DLP เช่นกัน ได้เข้ามาแทนที่ปีแยร์ ชาลส์ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กลายเป็นผู้นำรัฐบาลที่อายุน้อยที่สุดในโลกด้วยวัย 31 ปี ภายใต้การนำของสเกอร์ริต พรรค DLP ชนะการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2548 ซึ่งทำให้พรรคได้ 12 ที่นั่งจากทั้งหมด 21 ที่นั่งในรัฐสภา พรรค UWP ได้ 8 ที่นั่ง และโรนัลด์ ทูลอน (Ronald Toulon) ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้สมัครอิสระ ได้รับที่นั่งที่เหลือ ต่อมา ทูลอนได้เข้าร่วมรัฐบาล ด้วยชัยชนะในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2548 สเกอร์ริตกลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งเป็นคนที่สองที่ได้รับเลือกตั้งใหม่จากประชาชน
ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2552 (ค.ศ. 2009) พรรค DLP ได้รับชัยชนะ 18 จาก 21 ที่นั่ง พรรค UWP อ้างว่ามีการทุจริตในการหาเสียงและดำเนินการประท้วงอย่างกว้างขวาง รวมถึงการคว่ำบาตรรัฐสภา การคว่ำบาตรของ UWP ทำให้ผู้แทนที่ได้รับการเลือกตั้งสองในสามคนขาดการประชุมรัฐสภาโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างน้อยสามครั้ง ซึ่งเป็นการละเมิดระเบียบรัฐสภา ส่งผลให้ที่นั่งทั้งสองของพวกเขาถูกประกาศให้ว่างลงและมีการเลือกตั้งซ่อมเพื่อเติมเต็มที่นั่งในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 พรรค UWP ยังคงรักษาที่นั่งทั้งสองไว้ได้ พรรค DLP ภายใต้การนำของสเกอร์ริตยังคงชนะการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014)
เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) เอลิอุด วิลเลียมส์ (Eliud Thaddeus Williams) ได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งในเชิงพิธีการ) แทนที่ ดร. นิโคลัส ลิเวอร์พูล (Nicholas Liverpool) ซึ่งมีรายงานว่าถูกถอดออกจากตำแหน่งเนื่องจากปัญหาสุขภาพ เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2013) อดีตผู้นำสหภาพแรงงานและอดีตผู้นำพรรค DFP ชาลส์ ซาวาริน (Charles Savarin) ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี โดยเพิ่งลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีเพียงไม่กี่วันก่อนหน้านั้น เขาเป็นประธานาธิบดีคนที่แปดของดอมินีกา
พายุโซนร้อนเอริกาสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับเกาะในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) ทำให้มีผู้เสียชีวิต 30 ราย และสร้างความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ดอมินีกาถูกพายุเฮอริเคนมาเรียระดับ 5 พัดถล่มโดยตรงอีกครั้งเมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2560 (ค.ศ. 2017) การประเมินความเสียหายเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่าอาคาร 90% บนเกาะถูกทำลาย และโครงสร้างพื้นฐานถูกทิ้งให้อยู่ในสภาพปรักหักพัง สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ได้จัดตั้งการขนส่งทางเรือและทางอากาศเพื่อนำความช่วยเหลือไปยังเกาะ เนื่องจากความเสียหายในวงกว้างทำให้คนส่วนใหญ่ไร้ที่อยู่อาศัย
ดอมินีกาคว้าเหรียญรางวัลกีฬาเครือจักรภพสองเหรียญแรกเป็นเหรียญเงิน (เขย่งก้าวกระโดดชาย) และเหรียญทองแดง (เขย่งก้าวกระโดดหญิง) ในการแข่งขันกีฬาเครือจักรภพ 2018 ที่โกลด์โคสต์ รัฐควีนส์แลนด์
ประธานาธิบดีชาลส์ แองเจโล ซาวาริน ได้รับเลือกตั้งใหม่ในปี พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) สำหรับวาระการดำรงตำแหน่งห้าปีใหม่
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) นายกรัฐมนตรีรูสเวลต์ สเกอร์ริต ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ ชนะการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่สี่ติดต่อกันด้วยคะแนนเสียง 18 ต่อ 3 ที่นั่ง กลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของดอมินีกาที่ทำได้เช่นนั้น
ดอมินีกาได้รับเหรียญทองโอลิมปิกเหรียญแรกในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2024 ที่ปารีส เมื่อทีอา ลาฟอนด์ ชนะการแข่งขันเขย่งก้าวกระโดดหญิงด้วยระยะทาง 15.02 m
4. ภูมิศาสตร์


ดอมินีกาเป็นประเทศเกาะในทะเลแคริบเบียน ทางเหนือสุดของหมู่เกาะวินด์เวิร์ด (แม้ว่าบางครั้งจะถือว่าเป็นเกาะใต้สุดของหมู่เกาะลีเวิร์ด) ขนาดของประเทศอยู่ที่ประมาณ 750 km2 มีความยาวประมาณ 46671 m (29 mile) และกว้างประมาณ 25749 m (16 mile)
ดอมินีกาเป็นที่รู้จักในนาม "เกาะแห่งธรรมชาติของแคริบเบียน" (The Nature Island of the Caribbean) เนื่องจากทัศนียภาพที่เขียวชอุ่มและความหลากหลายของพืชพรรณและสัตว์ป่า เกาะส่วนใหญ่ปกคลุมไปด้วยป่าฝน และเป็นที่ตั้งของทะเลสาบเดือด (Boiling Lake) ซึ่งเป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ภายในอาณาเขตของประเทศมีสองเขตนิเวศวิทยา ได้แก่ ป่าชื้นหมู่เกาะวินด์เวิร์ด และป่าละเมาะแห้งแล้งหมู่เกาะวินด์เวิร์ด ดอมินีกาเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยภูเขามากที่สุดในหมู่เกาะเลสเซอร์แอนทิลลีส ยอดเขาภูเขาไฟเป็นกรวยของปล่องภูเขาไฟลาวา โดยที่ใหญ่ที่สุด (จากเหนือจรดใต้) ได้แก่ Morne aux Diables, Morne Diablotins (สูงที่สุดบนเกาะที่ 1.45 K m), Morne Trois Pitons และ Morne Anglais อุทยานแห่งชาติมอร์นทรัวส์ปิตงส์เป็นป่าเขตร้อนที่ผสมผสานกับลักษณะทางภูเขาไฟ ได้รับการยอมรับให้เป็นแหล่งมรดกโลกเมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2538 ซึ่งเป็นเกียรติที่ร่วมกับเกาะแคริบเบียนอีกสี่แห่ง พื้นที่คาลิบิชี (Calibishie) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศมีชายหาดทราย พืชและสัตว์บางชนิดที่คิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้วบนเกาะโดยรอบยังคงพบได้ในป่าของดอมินีกา เกาะแห่งนี้มีพื้นที่คุ้มครองหลายแห่ง รวมถึงอุทยานแห่งชาติคาบริตส์ (Cabrits National Park) และมีแม่น้ำถึง 365 สาย รัฐบาลได้พยายามส่งเสริมเกาะแห่งนี้ให้เป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ แม้ว่าพายุเฮอริเคนในปี พ.ศ. 2560 จะทำให้แผนการเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปก็ตาม ประเทศนี้มีคะแนนเฉลี่ยดัชนีความสมบูรณ์ของภูมิทัศน์ป่าไม้ (Forest Landscape Integrity Index) ปี 2018 อยู่ที่ 1.06/10 ซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่ 166 จาก 172 ประเทศทั่วโลก
มีศูนย์กลางประชากรหลักสองแห่งคือ เมืองหลวงโรโซ (มีประชากร 14,725 คนในปี 2011) และพอร์ตสมัท (มีประชากร 4,167 คนในปี 2011) ศูนย์กลางหลักมักจะตั้งอยู่บริเวณชายฝั่ง โดยพื้นที่ภายในที่เป็นภูเขามีประชากรเบาบาง
4.1. ภูมิอากาศ
ดอมินีกามีลักษณะภูมิอากาศแบบภูมิอากาศแบบป่าดิบชื้น โดยมีอุณหภูมิอบอุ่นและมีฝนตกชุกตลอดทั้งปี เกาะแห่งนี้มีความเสี่ยงต่อพายุเฮอริเคนเป็นพิเศษ เนื่องจากตั้งอยู่ในภูมิภาคที่เรียกว่า "เขตพายุเฮอริเคน" (hurricane region)
ในปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) พายุเฮอริเคนเดวิดพัดถล่มเกาะด้วยความรุนแรงระดับ 4 ทำให้เกิดความเสียหายอย่างกว้างขวางและรุนแรง เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) พายุเฮอริเคนดีน ซึ่งในขณะนั้นเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 1 ได้พัดถล่มเกาะ มีแม่และลูกชายวัยเจ็ดขวบเสียชีวิตเมื่อดินถล่มที่เกิดจากฝนตกหนักทับบ้านของพวกเขา ในเหตุการณ์อื่น มีผู้ได้รับบาดเจ็บสองคนเมื่อต้นไม้ล้มทับบ้านของพวกเขา นายกรัฐมนตรีรูสเวลต์ สเกอร์ริต ประเมินว่าบ้านเรือนได้รับความเสียหาย 100 ถึง 125 หลัง และภาคเกษตรกรรมได้รับความเสียหายอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะพืชผลกล้วย
ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) พายุโซนร้อนเอรีกาทำให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่มอย่างกว้างขวางทั่วเกาะ หลายชุมชนต้องอพยพและมีผู้เสียชีวิตกว่า 30 ราย ตามรายงานการประเมินความเสียหายและผลกระทบอย่างรวดเร็วที่จัดทำขึ้นสำหรับดอมินีกาโดยธนาคารโลก ความเสียหายและการสูญเสียทั้งหมดจากพายุคิดเป็นมูลค่า 484.82 M USD หรือ 90% ของ GDP ประจำปีของดอมินีกา พายุเฮอริเคนมาเรียระดับ 5 พัดถล่มเกาะในปี พ.ศ. 2560 (ค.ศ. 2017) และก่อให้เกิดความสูญเสียประมาณ 930.00 M USD หรือ 226% ของ GDP
4.2. พืชพรรณและสัตว์ป่า

นกแก้วซิสเซรู (Sisserou parrot) หรือที่รู้จักกันในชื่อ นกแก้วจักรพรรดิ (Amazona imperialis) เป็นนกประจำชาติของดอมินีกา และเป็นสัตว์เฉพาะถิ่นของป่าบนภูเขาของเกาะ นกแก้วอีกชนิดหนึ่งที่เกี่ยวข้องคือ นกแก้วจาโค (Jaco) หรือนกแก้วคอแดง (Red-necked parrot - Amazona arausiaca) ซึ่งเป็นนกเฉพาะถิ่นเช่นกัน นกทั้งสองชนิดนี้หายากและได้รับการคุ้มครอง แม้ว่าป่าบางส่วนยังคงถูกคุกคามจากการตัดไม้ทำลายป่า นอกเหนือจากภัยคุกคามจากพายุเฮอริเคนที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน
ดอมินีกามีการบันทึกงูอย่างน้อย 4 ชนิด และกิ้งก่า 11 ชนิด ดอมินีกาเป็นฐานที่มั่นสำคัญแห่งสุดท้ายของอีกัวนาน้อยแอนทิลลีส (Lesser Antillean iguana - Iguana delicatissima) ซึ่งเป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง
ดอมินีกาเป็นบ้านของนก 195 ชนิด เนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งที่โดดเดี่ยว จำนวนนี้จึงต่ำกว่าตรินิแดด ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับแผ่นดินใหญ่ทวีปอเมริกาใต้มากกว่า และมีนกถึง 472 ชนิด
ทะเลแคริบเบียนรอบเกาะดอมินีกาเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝูงวาฬสเปิร์มอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ตลอดทั้งปี สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลอื่น ๆ ที่พบเห็นได้ทั่วไปในพื้นที่ ได้แก่ โลมาสปินเนอร์ โลมาลายจุดแปซิฟิก และโลมาปากขวด สัตว์ที่พบเห็นได้น้อยกว่า ได้แก่ วาฬเพชฌฆาต วาฬเพชฌฆาตแปลง วาฬสเปิร์มแคระ วาฬสเปิร์มเล็ก โลมาริสโซ โลมาธรรมดา โลมาลายจุดแอตแลนติก วาฬหลังค่อม และวาฬบรูด้า ทำให้ดอมินีกาเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจการดูวาฬ
5. การเมืองการปกครอง
ดอมินีกาปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาภายในเครือจักรภพแห่งประชาชาติ โดยมีเมืองหลวงคือโรโซ เครือรัฐดอมินีกาเป็นหนึ่งในไม่กี่สาธารณรัฐในแคริบเบียน ประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐ ในขณะที่อำนาจบริหารขึ้นอยู่กับคณะรัฐมนตรี ซึ่งนำโดยนายกรัฐมนตรี รัฐสภาซึ่งเป็นระบบสภาเดียว ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรดอมินีกา (House of Assembly) ที่มีสมาชิก 30 คน โดย 21 คนมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และ 9 คนเป็นวุฒิสมาชิกที่อาจได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีหรือได้รับเลือกจากสมาชิกคนอื่น ๆ ของสภาผู้แทนราษฎร ดอมินีกาเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบของประชาคมแคริบเบียน (CARICOM) และองค์การรัฐแคริบเบียนตะวันออก (OECS) นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกของศาลอาญาระหว่างประเทศ และในเดือนมกราคม พ.ศ. 2551 ได้เข้าร่วมพันธมิตรโบลิวาร์เพื่อประชาชนแห่งทวีปอเมริกาของเรา (ALBA)
5.1. ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ

ฝ่ายบริหารของดอมินีกานำโดยประธานาธิบดี ซึ่งเป็นประมุขแห่งรัฐตามพิธีการ และนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาลและมีอำนาจบริหารที่แท้จริง ประธานาธิบดีได้รับการเลือกตั้งจากสภาผู้แทนราษฎรและมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี ส่วนนายกรัฐมนตรีคือผู้นำพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร หรือผู้ที่สามารถควบคุมเสียงข้างมากในสภาได้ คณะรัฐมนตรีได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี และต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภา
ฝ่ายนิติบัญญัติของดอมินีกาคือ สภาผู้แทนราษฎรดอมินีกา (House of Assembly) ซึ่งเป็นระบบสภาเดียว (unicameral) ประกอบด้วยสมาชิก 32 คน ในจำนวนนี้ 21 คนเป็นผู้แทน (Representatives) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงในระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด (first-past-the-post) จาก 21 เขตเลือกตั้ง สมาชิกอีก 9 คนเป็นวุฒิสมาชิก (Senators) ซึ่งอาจได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี (5 คนตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี และ 4 คนตามคำแนะนำของผู้นำฝ่ายค้าน) หรืออาจได้รับเลือกจากสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งในสภาเอง ประธานสภา (Speaker of the House) และอัยการสูงสุด (Attorney General) หากไม่ได้เป็นสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้ง ก็จะทำหน้าที่เป็นสมาชิกสภาโดยตำแหน่ง สภาผู้แทนราษฎรมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี เว้นแต่จะมีการยุบสภาก่อนกำหนด
5.2. การทหาร
ในอดีต กองกำลังป้องกันดอมินีกา (Dominica Defense Force - DDF) เคยเป็นหน่วยงานทางทหารของเครือรัฐดอมินีกา อย่างไรก็ตาม ดอมินีกาไม่มีกองทัพประจำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) หลังจากการยุบกองกำลังป้องกันประเทศภายหลังความพยายามรัฐประหารสองครั้งที่รุนแรงต่อรัฐบาลของยูจีเนีย ชาร์ลส์
ปัจจุบัน การป้องกันประเทศและความมั่นคงภายในอยู่ภายใต้การดูแลของกองกำลังตำรวจเครือรัฐดอมินีกา (Commonwealth of Dominica Police Force) ซึ่งเป็นองค์กรพลเรือน กองกำลังตำรวจนี้รวมถึงหน่วยปฏิบัติการพิเศษ (Special Service Unit) และหน่วยยามฝั่ง (Coast Guard) ในกรณีที่เกิดสงครามหรือเหตุฉุกเฉินอื่น ๆ หากมีการประกาศโดยทางการ กองกำลังตำรวจจะทำหน้าที่เป็นกองกำลังทหารซึ่งอาจถูกนำมาใช้เพื่อการป้องกันประเทศ (ตามพระราชบัญญัติตำรวจ บทที่ 14:01)
ดอมินีกาเป็นสมาชิกของระบบความมั่นคงภูมิภาค (Regional Security System - RSS) ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อการป้องกันและความมั่นคงร่วมกันในภูมิภาคแคริบเบียนตะวันออก
5.3. สิทธิมนุษยชน

สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในดอมินีกามีทั้งประเด็นที่น่ายินดีและความท้าทาย รัฐธรรมนูญของดอมินีการับรองสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม มีความกังวลในบางด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBT)
ในอดีต กฎหมายที่สืบทอดมาจากยุคอาณานิคมอังกฤษกำหนดให้การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันเป็นความผิดทางอาญา ทั้งชายและหญิง ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและความเป็นส่วนตัว อย่างไรก็ตาม ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024) ศาลสูงยุติธรรมของดอมินีกาได้มีคำตัดสินครั้งประวัติศาสตร์ให้ยกเลิกกฎหมายดังกล่าว โดยวินิจฉัยว่ากฎหมายเหล่านี้ขัดต่อสิทธิตามรัฐธรรมนูญของบุคคล LGBT คำตัดสินนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมความเท่าเทียมและการเคารพสิทธิมนุษยชนในประเทศ แม้ว่าการยอมรับทางสังคมอาจยังต้องใช้เวลาในการพัฒนาต่อไป
ประเด็นสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ ที่น่าสนใจในดอมินีกา ได้แก่ สภาพเรือนจำ ความรุนแรงในครอบครัว และการปฏิบัติต่อชนพื้นเมืองคาลินาโก องค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศยังคงติดตามสถานการณ์และเรียกร้องให้มีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล การให้ความสำคัญกับมุมมองของกลุ่มผู้ด้อยโอกาสและชนกลุ่มน้อยเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าสิทธิของทุกคนได้รับการคุ้มครองอย่างแท้จริง
5.4. ข้อพิพาทดินแดน
เครือรัฐดอมินีกามีข้อพิพาทที่ยืดเยื้อกับเวเนซุเอลาเกี่ยวกับอ้างสิทธิ์ของเวเนซุเอลาเหนือทะเลโดยรอบเกาะอาเบส (Isla de Aves หรือ Bird Island ตามที่ทางการดอมินีกาเรียก) ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ตั้งอยู่ห่างจากเกาะดอมินีกาไปทางตะวันตกประมาณ 225308 m (140 mile) เกาะอาเบสอยู่ภายใต้การควบคุมของเวเนซุเอลาในทางปฏิบัติ แต่ดอมินีกาอ้างสิทธิ์ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) ที่ขยายออกไปจากเกาะของตน ซึ่งทับซ้อนกับพื้นที่ที่เวเนซุเอลาอ้างสิทธิ์รอบเกาะอาเบส ข้อพิพาทนี้เกี่ยวข้องกับการกำหนดเขตแดนทางทะเลและสิทธิในการใช้ทรัพยากรในพื้นที่ดังกล่าว ดอมินีกายืนยันว่าการอ้างสิทธิ์ของเวเนซุเอลาเหนือเกาะอาเบส ซึ่งเป็นเกาะขนาดเล็กและไม่มีคนอยู่อาศัยถาวร ไม่ควรส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการกำหนดเขตแดนทางทะเลในลักษณะที่จำกัดสิทธิของดอมินีกาในน่านน้ำที่อยู่ใกล้เคียงกับเกาะหลักของตนเอง ทั้งสองประเทศได้พยายามเจรจาเพื่อแก้ไขข้อพิพาทนี้ แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงที่ชัดเจนได้ สถานการณ์นี้ยังคงเป็นประเด็นสำคัญในนโยบายต่างประเทศของดอมินีกา โดยประเทศพยายามที่จะปกป้องผลประโยชน์ทางทะเลของตนในขณะที่ยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเวเนซุเอลา
6. การแบ่งเขตการปกครอง
เขตการปกครอง | ประชากร |
---|---|
เขตเซนต์แอนดรูว์ | 9,471 |
เขตเซนต์เดวิด | 6,043 |
เขตเซนต์จอร์จ | 21,241 |
เขตเซนต์จอห์น | 6,561 |
เขตเซนต์โจเซฟ | 5,637 |
เขตเซนต์ลู้ก | 1,668 |
เขตเซนต์มาร์ก | 1,834 |
เขตเซนต์แพทริก | 7,622 |
เขตเซนต์พอล | 9,786 |
เขตเซนต์ปีเตอร์ | 1,430 |

ดอมินีกาแบ่งออกเป็น 10 เขตการปกครอง (parishes) ซึ่งตั้งชื่อตามนักบุญต่างๆ ในศาสนาคริสต์ ได้แก่
- เซนต์แอนดรูว์ (Saint Andrew Parish): ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะ เป็นเขตที่ใหญ่ที่สุด มีเมืองสำคัญคือ มาริโกต์ (Marigot)
- เซนต์เดวิด (Saint David Parish): ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเกาะ เป็นที่ตั้งของส่วนใหญ่ของเขตคาลินาโก (Kalinago Territory) และมีหมู่บ้านสำคัญคือ คาสเซิลบรูซ (Castle Bruce)
- เซนต์จอร์จ (Saint George Parish): ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ เป็นที่ตั้งของเมืองหลวง โรโซ (Roseau) และเป็นเขตที่มีประชากรหนาแน่นที่สุด
- เซนต์จอห์น (Saint John Parish): ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นที่ตั้งของเมืองพอร์ตสมัท (Portsmouth) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสอง
- เซนต์โจเซฟ (Saint Joseph Parish): ตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันตกตอนกลาง มีหมู่บ้านสำคัญคือ เซนต์โจเซฟ
- เซนต์ลู้ก (Saint Luke Parish): เป็นเขตที่เล็กที่สุด ตั้งอยู่ทางใต้ของเขตเซนต์จอร์จ มีหมู่บ้านสำคัญคือ พอยต์มิเชล (Pointe Michel)
- เซนต์มาร์ก (Saint Mark Parish): ตั้งอยู่ทางใต้สุดของเกาะ มีหมู่บ้านสำคัญคือ ซูฟรีแยร์ (Soufrière)
- เซนต์แพทริก (Saint Patrick Parish): ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ มีเมืองสำคัญคือ เบเรเควีย (Berekua) หรือที่รู้จักในชื่อ แกรนด์เบย์ (Grand Bay)
- เซนต์พอล (Saint Paul Parish): ตั้งอยู่ทางตะวันตกตอนกลาง ทางใต้ของเขตเซนต์โจเซฟ มีหมู่บ้านสำคัญคือ มาโอต์ (Mahaut) และเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยรอสส์ (Ross University) ก่อนที่จะย้ายไป
- เซนต์ปีเตอร์ (Saint Peter Parish): ตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ มีหมู่บ้านสำคัญคือ โกลิโอ (Colihaut)
นอกจากนี้ยังมี เขตคาลินาโก (Kalinago Territory) ซึ่งเดิมเรียกว่า Carib Reserve เป็นเขตปกครองตนเองของชาวคาลินาโก ตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันออกของเกาะ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 3.70 K acre ในเขตเซนต์เดวิดเป็นหลัก เขตนี้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2446 (ค.ศ. 1903) โดยรัฐบาลอาณานิคมอังกฤษ เพื่อให้ชาวคาลินาโกมีที่ดินและสามารถรักษาวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของตนเองได้ ชาวคาลินาโกในเขตนี้มีสภาและหัวหน้าของตนเอง (Kalinago Chief) ซึ่งทำหน้าที่บริหารกิจการภายในชุมชน
7. เศรษฐกิจ
สกุลเงินของดอมินีกาคือดอลลาร์แคริบเบียนตะวันออก (East Caribbean Dollar) ในปี พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) ดอมินีกามีอัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ต่อหัวต่ำที่สุดแห่งหนึ่งในกลุ่มรัฐแคริบเบียนตะวันออก ประเทศเกือบประสบวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี พ.ศ. 2546 และ 2547 แต่เศรษฐกิจของดอมินีกาเติบโตขึ้น 3.5% ในปี พ.ศ. 2548 และ 4.0% ในปี พ.ศ. 2549 หลังจากทศวรรษแห่งผลการดำเนินงานที่ย่ำแย่ การเติบโตในปี พ.ศ. 2549 มีสาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของการท่องเที่ยว การก่อสร้าง บริการนอกอาณาเขต และบริการอื่น ๆ รวมถึงบางส่วนของอุตสาหกรรมกล้วย ในช่วงเวลานี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ชื่นชมรัฐบาลดอมินีกาสำหรับความสำเร็จในการปฏิรูปเศรษฐกิจมหภาค แต่ก็ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่ยังคงอยู่ รวมถึงความจำเป็นในการลดหนี้สาธารณะเพิ่มเติม การเพิ่มกฎระเบียบภาคการเงิน และการกระจายตลาด
เกษตรกรรม โดยเฉพาะกล้วย เคยเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจดอมินีกา และเกือบหนึ่งในสามของกำลังแรงงานทำงานในภาคเกษตรกรรมในช่วงต้นทศวรรษ 2000 (พ.ศ. 2543-2552) อย่างไรก็ตาม ภาคส่วนนี้มีความเปราะบางอย่างมากต่อสภาพอากาศและเหตุการณ์ภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ในปี พ.ศ. 2550 พายุเฮอริเคนดีนสร้างความเสียหายอย่างมากต่อภาคเกษตรกรรมและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยเฉพาะถนน เพื่อตอบสนองต่อการลดสิทธิพิเศษทางการค้าของสหภาพยุโรป (EU) สำหรับกล้วยจากอดีตอาณานิคมของยุโรปหลังจากการตัดสินใจขององค์การการค้าโลก (WTO) ในปี พ.ศ. 2552 รัฐบาลได้กระจายภาคเกษตรกรรมโดยส่งเสริมการผลิตกาแฟ พิมเสน ว่านหางจระเข้ ดอกไม้ตัด และผลไม้แปลกใหม่ เช่น มะม่วง ฝรั่ง และมะละกอ ในขณะที่เศรษฐกิจได้พึ่งพาการท่องเที่ยวมากขึ้น

การท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เป็นภาคส่วนที่กำลังเติบโต ดอมินีกามีภูเขา ป่าฝน ทะเลสาบน้ำจืด น้ำพุร้อน น้ำตก และแหล่งดำน้ำที่สวยงาม ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจธรรมชาติ การหยุดพักของเรือสำราญเพิ่มขึ้นหลังจากการพัฒนาท่าเทียบเรือและสิ่งอำนวยความสะดวกริมน้ำที่ทันสมัยในโรโซ อย่างไรก็ตาม จากการติดตามเกาะแคริบเบียน 22 เกาะ ดอมินีกามีผู้มาเยือนน้อยที่สุดในปี พ.ศ. 2551 (55,800 คน หรือ 0.3% ของทั้งหมด) ลักษณะทางภูเขาไฟของเกาะได้ดึงดูดนักดำน้ำลึก
7.1. อุตสาหกรรมหลัก
เศรษฐกิจของดอมินีกาตั้งอยู่บนอุตสาหกรรมหลักหลายประเภท ได้แก่
- เกษตรกรรม: ในอดีต เกษตรกรรมเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจ โดยมีกล้วยเป็นพืชส่งออกหลัก อย่างไรก็ตาม ความท้าทายจากโรคพืช การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสูญเสียสิทธิพิเศษทางการค้าในตลาดยุโรป ทำให้รัฐบาลต้องส่งเสริมการกระจายความหลากหลายของพืชผล เช่น การปลูกกาแฟ โกโก้ พิมเสน ว่านหางจระเข้ ดอกไม้ตัด และผลไม้เมืองร้อนชนิดต่างๆ เช่น มะม่วง ฝรั่ง และมะละกอ การประมงและปศุสัตว์ก็มีบทบาทในระดับท้องถิ่น
- การท่องเที่ยว: การท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เป็นอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตและมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ดอมินีกาได้รับการขนานนามว่าเป็น "เกาะแห่งธรรมชาติของแคริบเบียน" (Nature Island of the Caribbean) เนื่องจากมีป่าฝนที่อุดมสมบูรณ์ ภูเขาไฟ น้ำตก แม่น้ำ และอุทยานแห่งชาติมอร์นทรัวส์ปิตงส์ ซึ่งเป็นมรดกโลก กิจกรรมยอดนิยม ได้แก่ การเดินป่า การดูนก การดูวาฬ และการดำน้ำ แม้ว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวจะช้ากว่าเกาะอื่นๆ ในแคริบเบียน แต่ก็มีความพยายามในการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว
- บริการทางการเงินนอกอาณาเขต: ดอมินีกาได้พัฒนาภาคบริการทางการเงินระหว่างประเทศ โดยเสนอการจัดตั้งธนาคารนอกอาณาเขต (offshore banking) บริษัทธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business Companies - IBCs) และบริการที่เกี่ยวข้อง ภาคส่วนนี้มีส่วนช่วยในการสร้างรายได้และกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ แต่ก็ต้องเผชิญกับการตรวจสอบจากองค์กรระหว่างประเทศเกี่ยวกับความโปร่งใสและกฎระเบียบด้านภาษี
- อุตสาหกรรมเบา: มีการผลิตสินค้าบางประเภทในระดับเล็กน้อย เช่น สบู่จากน้ำมันมะพร้าว งานฝีมือ เครื่องดื่ม และการแปรรูปสินค้าเกษตร แต่ยังไม่ถือเป็นอุตสาหกรรมหลักที่มีขนาดใหญ่
7.2. โครงการความเป็นพลเมืองผ่านการลงทุน
โครงการความเป็นพลเมืองผ่านการลงทุน (Citizenship by Investment Programme - CBI) ของดอมินีกา เป็นโครงการที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยเสนอสัญชาติและหนังสือเดินทางให้กับนักลงทุนและครอบครัวที่ผ่านเกณฑ์และบริจาคเงินหรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ตามที่รัฐบาลกำหนด โครงการนี้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการและถูกกฎหมาย โดยกฎหมายสัญชาติของดอมินีกาอนุญาตให้รัฐบาลยกเว้นข้อกำหนดปกติของการพำนักอาศัยตามกฎหมายเป็นเวลาเจ็ดปีเพื่อขอสัญชาติ แลกกับการลงทุนในเศรษฐกิจของประเทศ
การบริจาคที่จำเป็นสำหรับผู้สมัครหลักเริ่มต้นที่ 100.00 K USD ผ่านกองทุนกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ (Economic Diversification Fund - EDF) หรืออีกทางเลือกหนึ่ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) ผู้สมัครสามารถลงทุนขั้นต่ำ 200.00 K USD ในอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับอนุมัติล่วงหน้าจากรีสอร์ทบนเกาะหรือแบรนด์ระดับโลก เช่น Marriott, Kempinski หรือ Hilton
โครงการ CBI ได้กลายเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับดอมินีกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่ เช่น พายุโซนร้อนเอรีกาในปี พ.ศ. 2558 และพายุเฮอริเคนมาเรียในปี พ.ศ. 2560 ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เจ้าหน้าที่ระบุว่าโครงการนี้เป็น "เส้นเลือดใหญ่" ทางเศรษฐกิจและการคลังในช่วงฟื้นฟู และกลายเป็นแหล่งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) หลักของดอมินีกาภายในต้นปี พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) รายได้จากโครงการนี้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 16% ของรายได้ทั้งหมดของรัฐบาล (ข้อมูล ณ ปี พ.ศ. 2561)
เงินทุนที่ได้จากโครงการ CBI ถูกนำไปใช้ในโครงการพัฒนาประเทศหลายด้าน เช่น การสร้างบ้านที่ทนทานต่อพายุเฮอริเคนสำหรับผู้ประสบภัย (เช่น โครงการสร้างบ้าน 5,000 หลัง) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (เช่น การจัดสรรเงินทุนสำหรับการก่อสร้างสนามบินนานาชาติแห่งใหม่) การสนับสนุนโครงการประกันสุขภาพแห่งชาติ และการส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ก็เผชิญกับข้อถกเถียงทางการเมืองภายในประเทศเกี่ยวกับการจัดการและความโปร่งใสในการใช้จ่ายเงินทุน นายกรัฐมนตรีสเกอร์ริตเคยกล่าวหาฝ่ายค้านว่าพยายามทำลายความน่าเชื่อถือของโครงการเพื่อลดรายได้ของรัฐบาล แต่ต่อมารัฐบาลได้พยายามปรับปรุงความโปร่งใสในการรายงานการใช้เงินทุนจาก CBI มากขึ้น
ผู้ที่ได้รับสัญชาติดอมินีกาสามารถเดินทางโดยไม่ต้องขอวีซ่า หรือขอวีซ่าเมื่อเดินทางมาถึง (visa on arrival) ไปยังเกือบ 140 ประเทศและดินแดน รวมถึงสหราชอาณาจักรและเขตเชงเกน การสมัครขอสัญชาติดอมินีกาจะต้องดำเนินการผ่านตัวแทนที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลอย่างเป็นทางการ (Government Approved Economic Citizenship Agents) และผู้สมัครทุกคนจะต้องผ่านการตรวจสอบประวัติอย่างเข้มงวด Professional Wealth Management ของ Financial Times จัดอันดับให้โครงการ CBI ของดอมินีกาเป็นโครงการความเป็นพลเมืองผ่านการลงทุนที่ดีที่สุดในโลกในดัชนี CBI ประจำปี โดยระบุว่าเกณฑ์การลงทุนที่เข้าถึงได้ง่าย กระบวนการสมัครที่ตรงไปตรงมา และการตรวจสอบประวัติที่เข้มงวดเป็นปัจจัยสำคัญ
7.3. การค้าระหว่างประเทศ
การค้าระหว่างประเทศของดอมินีกาพึ่งพาการส่งออกสินค้าเกษตรเป็นหลัก โดยเฉพาะกล้วย ซึ่งเคยเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การลดลงของสิทธิพิเศษทางการค้าในตลาดยุโรปทำให้มีการกระจายสินค้าส่งออกไปสู่สินค้าเกษตรอื่นๆ เช่น กาแฟ โกโก้ ผลไม้เมืองร้อน และน้ำมันหอมระเหย สินค้าส่งออกอื่นๆ ได้แก่ สบู่ และชิ้นส่วนประกอบ
สินค้าเกษตรเป็นสินค้าส่งออกหลักของดอมินีกา โดยมีกล้วยเป็นสินค้าส่งออกหลักมาช้านาน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าของสหภาพยุโรปและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีการพยายามกระจายสินค้าส่งออกไปยังพืชผลอื่น ๆ เช่น ผลไม้เมืองร้อน (มะม่วง, มะละกอ), โกโก้, กาแฟ, และน้ำมันหอมระเหย สินค้าอุตสาหกรรมขนาดเล็ก เช่น สบู่ และงานฝีมือ ก็มีการส่งออกเช่นกัน
สินค้าที่ดอมินีกานำเข้าส่วนใหญ่ ได้แก่ อาหาร สินค้าอุตสาหกรรม เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง น้ำมันเชื้อเพลิง และสารเคมี
คู่ค้าหลักของดอมินีกา ได้แก่ ประเทศในกลุ่มประชาคมแคริบเบียน (CARICOM) ซึ่งดอมินีกาเป็นสมาชิกและได้รับประโยชน์จากตลาดร่วมและเศรษฐกิจเดียวของแคริคอม (CSME) นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และประเทศในสหภาพยุโรปก็เป็นคู่ค้าที่สำคัญ ดอมินีกาเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์จากโครงการริเริ่มลุ่มน้ำแคริบเบียน (Caribbean Basin Initiative - CBI) ซึ่งให้สิทธิการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ โดยไม่ต้องเสียภาษีสำหรับสินค้าหลายประเภท และยังเป็นสมาชิกขององค์การรัฐแคริบเบียนตะวันออก (OECS) ซึ่งมีการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น รวมถึงการใช้สกุลเงินร่วมกันคือดอลลาร์แคริบเบียนตะวันออก
ดอมินีกาพยายามส่งเสริมการค้าและการลงทุนผ่านการเข้าร่วมในข้อตกลงการค้าทั้งในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ขนาดเศรษฐกิจที่เล็กและการพึ่งพาสินค้าโภคภัณฑ์จำนวนน้อยยังคงเป็นความท้าทายต่อการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศอย่างยั่งยืน
8. โครงสร้างพื้นฐาน
โครงสร้างพื้นฐานของดอมินีกามีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งครอบคลุมด้านการคมนาคม การผลิตและจัดหาพลังงาน รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานอื่นๆ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมักเผชิญกับความท้าทายจากลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาและภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะพายุเฮอริเคน
8.1. การคมนาคม
ระบบการคมนาคมของดอมินีกาประกอบด้วยเครือข่ายถนน การขนส่งทางอากาศ และการขนส่งสาธารณะขนาดเล็ก
- การขนส่งทางอากาศ: ดอมินีกามีท่าอากาศยานนานาชาติดักลาส-ชาลส์ (Douglas-Charles Airport, DOM) เป็นท่าอากาศยานหลัก ตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างจากกรุงโรโซประมาณ 1 ชั่วโมงโดยรถยนต์ และห่างจากเมืองพอร์ตสมัทประมาณ 45 นาที ท่าอากาศยานแห่งนี้สามารถรองรับเครื่องบินพาณิชย์ขนาดกลางได้ และมีเที่ยวบินตรงไปยังปลายทางในภูมิภาคแคริบเบียนและบางเมืองในสหรัฐอเมริกา เช่น ไมอามีและนวร์ก มีโครงการปรับปรุงและขยายรันเวย์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ขึ้น ท่าอากาศยานอีกแห่งคือ ท่าอากาศยานเคนฟีลด์ (Canefield Airport, DCF) ตั้งอยู่ใกล้กรุงโรโซทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ แต่มีขนาดเล็กกว่าและรองรับเครื่องบินขนาดเล็กสำหรับการเดินทางระหว่างเกาะเป็นหลัก ปัจจุบันมีโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานนานาชาติดอมินีกา (Dominica International Airport) แห่งใหม่ที่เวสลีย์ (Wesley) ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2569 (ค.ศ. 2026)
- โครงข่ายถนน: เครือข่ายถนนของดอมินีกาส่วนใหญ่วิ่งเลียบชายฝั่งและตามหุบเขาแม่น้ำ ถนนสายหลักเป็นทางหลวงสองเลนที่เชื่อมต่อเมืองหลวงโรโซกับเมืองพอร์ตสมัท (ทางหลวง Edward Oliver LeBlanc) และท่าอากาศยานนานาชาติดักลาส-ชาลส์ (ทางหลวง Dr. Nicholas Liverpool) ถนนเหล่านี้ได้รับการบูรณะในช่วงต้นทศวรรษ 2010 ถึงปี 2015 ด้วยความช่วยเหลือจากสาธารณรัฐประชาชนจีนและสหภาพยุโรป อย่างไรก็ตาม สภาพถนนโดยรวมยังคงเป็นความท้าทายเนื่องจากลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาและผลกระทบจากภัยธรรมชาติ เช่น พายุโซนร้อนเอรีกาในปี พ.ศ. 2558 และพายุเฮอริเคนมาเรียในปี พ.ศ. 2560 ที่สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อถนนและสะพานหลายแห่ง
- ระบบขนส่งสาธารณะ: ระบบขนส่งสาธารณะส่วนใหญ่ดำเนินการโดยรถมินิบัสเอกชน ซึ่งให้บริการตามเส้นทางต่างๆ ทั่วเกาะ การเดินทางทางทะเลระหว่างเกาะก็มีให้บริการ แต่ส่วนใหญ่เป็นการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารในระดับภูมิภาค
8.2. พลังงาน
นโยบายพลังงานของดอมินีกามุ่งเน้นไปที่การลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลนำเข้าและส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งประเทศมีศักยภาพสูงเนื่องจากลักษณะทางภูมิศาสตร์
- การผลิตไฟฟ้า: การผลิตไฟฟ้าส่วนใหญ่ยังคงมาจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซล แต่มีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียน บริษัทไฟฟ้าดอมินีกาจำกัด (Dominica Electricity Services Ltd. - DOMLEC) เป็นผู้ให้บริการไฟฟ้าหลัก
- พลังงานน้ำ: ดอมินีกามีโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลายแห่งที่ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำจำนวนมากบนเกาะ พลังงานน้ำเป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่สำคัญของประเทศมานาน
- พลังงานแสงอาทิตย์: มีการส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในระดับครัวเรือนและเชิงพาณิชย์เพิ่มมากขึ้น ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2561 ดอมินีกาได้ลงนามในข้อตกลงกรอบความร่วมมือพันธมิตรพลังงานแสงอาทิตย์ระหว่างประเทศ (International Solar Alliance) เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์
- พลังงานความร้อนใต้พิภพ: ดอมินีกามีศักยภาพด้านพลังงานความร้อนใต้พิภพสูงมากเนื่องจากเป็นเกาะภูเขาไฟ รัฐบาลได้ดำเนินโครงการพัฒนาพลังงานความร้อนใต้พิภพ โดยมีเป้าหมายที่จะใช้พลังงานนี้ในการผลิตไฟฟ้าสำหรับใช้ในประเทศและอาจส่งออกไปยังเกาะใกล้เคียง โครงการนี้ถือเป็นโครงการสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการพึ่งพาพลังงานหมุนเวียน 100% และสร้างความมั่นคงทางพลังงาน
หลังภัยพิบัติจากพายุเฮอริเคนมาเรียในปี พ.ศ. 2560 รัฐบาลได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะทำให้ดอมินีกาเป็น "ประเทศที่ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศแห่งแรกของโลก" (world's first climate-resilient nation) ซึ่งรวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่ยั่งยืนและทนทานต่อภัยพิบัติ การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของวิสัยทัศน์นี้ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความเป็นธรรมทางสังคม
9. ประชากร
ปี | ประชากร |
---|---|
1871 | 27,178 |
1881 | 28,211 |
1891 | 26,841 |
1901 | 28,894 |
1911 | 33,863 |
1921 | 37,059 |
1946 | 47,624 |
1960 | 59,916 |
1970 | 69,549 |
1981 | 73,795 |
1991 | 71,183 |
2001 | 71,242 |
2011 | 70,739 |
ประชากรส่วนใหญ่ของดอมินีกาเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากชาวแอฟริกัน นอกจากนี้ยังมีประชากรผสมที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับชนกลุ่มน้อยเชื้อสายยุโรป (ผู้สืบเชื้อสายมาจากชาวอาณานิคมฝรั่งเศสและอังกฤษพร้อมกับบางคนเชื้อสายไอริชจากคนงานตามสัญญา) และมีชาวเลบานอน ซีเรีย และเอเชียตะวันออกจำนวนเล็กน้อย ดอมินีกาเป็นเกาะเดียวในแคริบเบียนตะวันออกที่ยังคงมีประชากรของชาวพื้นเมืองก่อนยุคโคลัมบัส คือ ชาวคาลินาโก (Kalinago) (ก่อนหน้านี้เรียกว่า Caribs) ซึ่งถูกกำจัดหรือขับไล่ออกจากเกาะใกล้เคียง ณ ปี พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) มีชาวคาลินาโกเหลืออยู่มากกว่า 3,000 คน อาศัยอยู่ในแปดหมู่บ้านทางชายฝั่งตะวันออกของดอมินีกา เขตคาลินาโก (Kalinago Territory) พิเศษนี้ (ก่อนหน้านี้คือ Carib Reserve) ได้รับการพระราชทานจากกษัตริย์อังกฤษในปี พ.ศ. 2446 (ค.ศ. 1903)
การเติบโตของประชากรดอมินีกาเป็นไปอย่างช้ามาก สาเหตุหลักมาจากการอพยพไปยังประเทศอื่น ๆ ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 จำนวนผู้อพยพไปยังประเทศยอดนิยม ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (8,560 คน) สหราชอาณาจักร (6,739 คน) แคนาดา (605 คน) และฝรั่งเศส (394 คน)
ดอมินีกามีจำนวนผู้มีอายุเกินร้อยปีค่อนข้างมาก ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) มีผู้มีอายุเกินร้อยปี 22 คนจากประชากร 70,000 คนบนเกาะ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในประเทศพัฒนาแล้วถึงสามเท่า สาเหตุของปรากฏการณ์นี้ได้รับการศึกษาที่โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยรอสส์
ดอมินีกาถูกรวมเข้ากับอาณานิคมสหพันธรัฐของหมู่เกาะลีเวิร์ดบางส่วนในปี พ.ศ. 2375 (ค.ศ. 1832) ในปี พ.ศ. 2414 (ค.ศ. 1871) กลายเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐหมู่เกาะลีเวิร์ดอย่างสมบูรณ์ ตั้งแต่แรกเริ่ม มันเป็นความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาด เพราะก่อนหน้านี้ดอมินีกาไม่ได้มีส่วนร่วมในประเพณีทางการเมืองหรือวัฒนธรรมของเกาะอื่น ๆ ที่ใช้ภาษาอังกฤษมากกว่าในสหพันธรัฐ ในฐานะเกาะลีเวิร์ด ดินแดนที่ใหญ่กว่ามากแห่งนี้ ซึ่งมีที่ดินป่าไม้ที่ยังไม่มีเจ้าของหลายพันเอเคอร์ เปิดให้ผู้คนจากมอนต์เซอร์รัตและแอนติกาเข้ามา ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 บริษัท Rose's Company ซึ่งผลิตน้ำมะนาว Rose's พบว่าความต้องการสินค้าของตนมีมากกว่าความสามารถในการจัดหาสินค้าจากมอนต์เซอร์รัต การตอบสนองต่อสถานการณ์นี้คือการซื้อที่ดินในดอมินีกาและสนับสนุนให้คนงานในไร่มอนต์เซอร์รัตย้ายถิ่นฐาน ด้วยเหตุนี้จึงเกิดชุมชนทางภาษาศาสตร์สองแห่งในดอมินีกา คือ เวสลีย์ และ มาริโกต์
ในปี พ.ศ. 2445 (ค.ศ. 1902) วันที่ 8 พฤษภาคม ภูเขาไฟภูเขาเปอเลบนเกาะมาร์ตีนิกปะทุขึ้น ทำลายเมืองแซ็ง-ปีแยร์ ผู้ลี้ภัยจากมาร์ตีนิกเดินทางมาถึงหมู่บ้านทางตอนใต้ของดอมินีกาทางเรือ และบางส่วนยังคงตั้งรกรากถาวรบนเกาะ
9.1. กลุ่มชาติพันธุ์
องค์ประกอบทางชาติพันธุ์ของดอมินีกาสะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของการอพยพ การตั้งอาณานิคม และการผสมผสานทางวัฒนธรรม
- ชาวแอฟริกัน: ประชากรส่วนใหญ่ของดอมินีกา (ประมาณ 86.6% ตามสำมะโนประชากรปี พ.ศ. 2544) เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากทาสชาวแอฟริกาที่ถูกนำมายังเกาะในช่วงยุคอาณานิคมเพื่อทำงานในไร่อ้อยและไร่กาแฟ วัฒนธรรมแอฟริกันได้หล่อหลอมเอกลักษณ์ของดอมินีกาในหลายๆ ด้าน ทั้งดนตรี การเต้นรำ ภาษา และประเพณีต่างๆ
- ชาวคาลินาโก (Kalinago): หรือที่รู้จักกันในอดีตว่าชาวแคริบ (Carib) เป็นชนพื้นเมืองกลุ่มสุดท้ายที่ยังคงอาศัยอยู่ในแถบแคริบเบียนตะวันออก พวกเขามีสัดส่วนประมาณ 3% ของประชากรทั้งหมด และส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตคาลินาโก (Kalinago Territory) ซึ่งเป็นเขตปกครองตนเองทางชายฝั่งตะวันออกของเกาะ ชาวคาลินาโกพยายามรักษาวิถีชีวิต ภาษา (แม้ว่าปัจจุบันจะใช้ภาษาอังกฤษและภาษาครีโอลเป็นหลัก) และวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนเองเอาไว้ รวมถึงงานหัตถกรรม เช่น การสานตะกร้าและการแกะสลักเรือแคนู
- ชาวยุโรป: มีชนกลุ่มน้อยชาวยุโรปในดอมินีกา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากชาวอาณานิคมฝรั่งเศสและอังกฤษ รวมถึงชาวไอริชบางส่วนที่เข้ามาในฐานะคนงานตามสัญญา พวกเขามีจำนวนไม่มากนัก แต่ก็มีบทบาทในประวัติศาสตร์และสังคมของเกาะ
- ชาวเอเชียใต้: มีชุมชนชาวเอเชียใต้ขนาดเล็กในดอมินีกา ส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากคนงานตามสัญญาที่ถูกนำมาจากอินเดียในช่วงศตวรรษที่ 19 เพื่อทำงานในไร่หลังจากมีการเลิกทาส
- ชาวเอเชียตะวันออก: มีประชากรชาวจีนและชาวเอเชียตะวันออกอื่นๆ จำนวนเล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการค้าและธุรกิจ
- ชาวตะวันออกกลาง: มีชุมชนชาวเลบานอนและซีเรียจำนวนหนึ่ง ซึ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานและประกอบอาชีพค้าขาย
- ผสมเชื้อชาติ (Mixed): ประชากรจำนวนไม่น้อยเป็นผู้มีเชื้อชาติผสม ซึ่งเป็นผลมาจากการแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ตลอดประวัติศาสตร์
ความหลากหลายทางชาติพันธุ์นี้ทำให้ดอมินีกาเป็นสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม แม้ว่าวัฒนธรรมแอฟริกันจะมีอิทธิพลเด่นชัดที่สุดก็ตาม
9.2. ภาษา
สถานการณ์การใช้ภาษาในดอมินีกาสะท้อนถึงประวัติศาสตร์การเป็นอาณานิคมและอิทธิพลทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย
- ภาษาอังกฤษ: เป็นภาษาราชการของดอมินีกา ใช้ในการบริหารราชการ การศึกษา สื่อสารมวลชน และธุรกิจ ประชากรส่วนใหญ่สามารถพูดและเข้าใจภาษาอังกฤษได้
- ภาษาครีโอลดอมินีกา (Dominican Creole French หรือ Kwéyòl): เป็นภาษาครีโอลที่มีพื้นฐานมาจากภาษาฝรั่งเศส และเป็นภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวันของชาวดอมินีกาส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในหมู่ผู้สูงอายุและในพื้นที่ชนบท ภาษาครีโอลนี้เกิดขึ้นจากการติดต่อระหว่างชาวฝรั่งเศสผู้ตั้งถิ่นฐานและชาวแอฟริกาที่ถูกนำมาเป็นทาส รวมถึงอิทธิพลจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเกาะซึ่งอยู่ระหว่างกัวเดอลุปและมาร์ตีนิก ซึ่งเป็นดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศสที่ใช้ภาษาครีโอลฝรั่งเศสเช่นกัน ปัจจุบันมีความพยายามในการส่งเสริมและอนุรักษ์ภาษาครีโอลดอมินีกา เนื่องจากมีการใช้ลดน้อยลงในกลุ่มคนรุ่นใหม่
- โคคอย (Kokoy หรือ Cockoy): เป็นสำเนียงถิ่นหรือภาษาพิดจิ้นอังกฤษ (pidgin English) ที่ผสมผสานระหว่างภาษาครีโอลอังกฤษของหมู่เกาะลีเวิร์ด (Leeward Island English Creole) กับภาษาครีโอลดอมินีกา ส่วนใหญ่ใช้พูดกันในหมู่บ้านทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะ เช่น มาริโกต์ (Marigot) และเวสลีย์ (Wesley) โดยกลุ่มผู้สืบเชื้อสายมาจากผู้อพยพชาวมอนต์เซอร์รัตและแอนติกา แม้จะมีการแต่งงานข้ามกลุ่มกันไปมาก แต่ก็ยังคงมีร่องรอยความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรมหลงเหลืออยู่
- ภาษาคาริบ (Island Carib หรือ Igneri): เป็นภาษาอาราวักที่เคยใช้พูดโดยชาวคาลินาโก (Island Caribs) ในอดีต อย่างไรก็ตาม ภาษานี้ได้สูญหายไปจากดอมินีกาแล้วประมาณปี พ.ศ. 2463 (ค.ศ. 1920) แม้ว่าจะมีภาษาที่แตกแขนงออกไปคือภาษาการิฟูนา (Garifuna language) ซึ่งยังคงใช้พูดกันในอเมริกากลางเป็นหลัก
เนื่องจากการผสมผสานทางภาษาและมรดกทางวัฒนธรรมนี้ ดอมินีกาจึงเป็นสมาชิกของทั้งองค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส (La Francophonie) ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส และเครือจักรภพแห่งประชาชาติ (Commonwealth of Nations) ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ
9.3. ศาสนา

ประชากรส่วนใหญ่ของดอมินีกานับถือศาสนาคริสต์ โดยนิกายโรมันคาทอลิกเป็นนิกายที่มีผู้นับถือมากที่สุด คิดเป็นประมาณ 61.4% ของประชากร (ตามข้อมูลจาก The World Factbook ของ CIA) อิทธิพลของนิกายโรมันคาทอลิกสะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์การเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสและกิจกรรมของมิชชันนารีคาทอลิกบนเกาะ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นิกายโปรเตสแตนต์ต่างๆ ได้รับการจัดตั้งและมีผู้นับถือเพิ่มมากขึ้น ประมาณ 10-12% ของประชากรนับถือนิกายเซเวนต์เดย์แอดเวนทิสต์ (Seventh-day Adventist) ซึ่งรวมถึงกลุ่มย่อยต่างๆ เช่น Yahweh Congregation, Church of God (Seventh-Day) และ Seventh-day Adventist Church เอง นอกจากนี้ยังมีนิกายโปรเตสแตนต์อื่นๆ เช่น เพนเทคอสต์ แบปทิสต์ และเมทอดิสต์ ที่มีผู้นับถือจำนวนหนึ่ง
ตามข้อมูลจาก Association of Religion Data Archives ในปี พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) World Christian Database รายงานว่ากลุ่มศาสนาที่ไม่ใช่คริสเตียนที่ใหญ่ที่สุด ได้แก่ ลัทธิภูตผีวิญญาณ (Spiritualism) ซึ่งมีผู้นับถือ 2.6% ของประชากร ตามมาด้วยศาสนาบาไฮ (Baháʼí Faith) 1.7% ส่วนศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู และศาสนาอิสลาม มีผู้นับถือแต่ละศาสนาน้อยกว่า 0.1% ศาสนาพื้นบ้านจีนและศาสนาใหม่ๆ (Neoreligions) ก็มีผู้นับถือแต่ละกลุ่มน้อยกว่า 0.1% เช่นกัน ผู้ที่ไม่เชื่อในศาสนา (ผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าและผู้ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า) คิดเป็น 0.5% ของประชากร
เมืองใหญ่อันดับสองบนเกาะคือพอร์ตสมัท เป็นที่ตั้งของมัสยิดอัล-อันซาร์ (Al-Ansaar Masjid) ซึ่งเป็นมัสยิดแห่งแรกที่สร้างขึ้นในดอมินีกา มัสยิดแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยความช่วยเหลือของนักศึกษามุสลิมจากโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยรอสส์ (Ross University School of Medicine) ซึ่งเคยตั้งอยู่ในดอมินีกาก่อนที่จะย้ายไป
รัฐธรรมนูญของดอมินีการับรองเสรีภาพในการนับถือศาสนา และโดยทั่วไปแล้วมีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างกลุ่มศาสนาต่างๆ
9.4. การศึกษา
ระบบการศึกษาในดอมินีกาเป็นภาคบังคับจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หลังจากระดับก่อนวัยเรียน นักเรียนจะเข้าเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาเป็นเวลาหกหรือเจ็ดปี และจะได้รับการคัดเลือกเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาโดยพิจารณาจากผลการสอบ Common Entrance Exam หลังจากเรียนระดับมัธยมศึกษาเป็นเวลาห้าปี นักเรียนจะทำการสอบ Caribbean Secondary Education Certificate (CSEC) ซึ่งบริหารจัดการโดยสภาการสอบแคริบเบียน (Caribbean Examinations Council - CXC) ซึ่งเป็นสมาพันธ์ของ 15 สมาชิกประชาคมแคริบเบียน (CARICOM) การสอบในระดับที่สูงขึ้นของ CSEC คือ Caribbean Advanced Proficiency Examination (CAPE) สามารถสอบได้หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับวิทยาลัยชุมชนเป็นเวลาสองปี
เกาะแห่งนี้มีวิทยาลัยของรัฐเป็นของตนเองคือ วิทยาลัยรัฐดอมินีกา (Dominica State College) ซึ่งเดิมชื่อ Clifton Dupigny Community College ชาวดอมินีกาบางส่วนเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยในคิวบาโดยได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลคิวบา คนอื่นๆ ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเวสต์อินดีส (University of the West Indies) หรือมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา หรือประเทศอื่นๆ
ศูนย์วิจัยและการศึกษาเขตร้อนอาร์ชโบลด์ (Archbold Tropical Research and Education Center) ซึ่งเป็นสถานีภาคสนามทางชีววิทยาของมหาวิทยาลัยเคลมสัน (Clemson University) ตั้งอยู่ที่ Springfield Estate ระหว่างเคนฟีลด์และปงต์กัสเซ ในปี พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยออลเซนต์ส (All Saints University School of Medicine) ได้เปิดทำการในอาคารชั่วคราวที่ลูบีแยร์ (Loubière) และต่อมาได้ย้ายไปตั้งอยู่ที่โรโซ สถาบันนิเวศวิทยาทางทะเลเขตร้อน (Institute for Tropical Marine Ecology) ในมาโอต์ (Mahaut) ได้ปิดตัวลงในปี พ.ศ. 2552 (ค.ศ. 2009)
โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยรอสส์ (Ross University School of Medicine) เคยตั้งอยู่ที่พอร์ตสมัท และเปิดดำเนินการในดอมินีกามาตั้งแต่ทศวรรษ 1980 (พ.ศ. 2523-2532) ในแต่ละปีเคยมีนักศึกษาแพทย์หลายพันคนจากสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเดินทางมาศึกษาที่นี่ แต่เนื่องจากความเสียหายอย่างหนักจากพายุเฮอริเคนในวิทยาเขตที่ดอมินีกา มหาวิทยาลัยจึงได้ย้ายที่ตั้งอย่างถาวรไปยังบาร์เบโดสในช่วงต้นภาคการศึกษาฤดูใบไม้ผลิปี พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019)
บริการห้องสมุดและสารสนเทศดอมินีกา (Dominica Library and Information Service - DLIS) มีบทบาทสำคัญในการศึกษาของพลเมือง สถาบันนี้ให้บริการแก่ประชากรดอมินีกาผ่านสามองค์ประกอบ ได้แก่ บริการห้องสมุดสาธารณะ บริการเอกสารและการวิจัย และบริการจดหมายเหตุ ภายใต้การบริหารของกระทรวงศึกษาธิการและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สถาบันนี้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2386 (ค.ศ. 1843) ด้วยการเปิดห้องอ่านหนังสือ ซึ่งเป็นห้องสมุดสาธารณะแห่งแรกในดอมินีกาชื่อ Victoria Memorial การสร้างห้องสมุดสาธารณะในดอมินีกาไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ แม้ว่าแรงผลักดันนั้นมีจุดมุ่งหมายอันสูงส่งที่จะช่วย "คนผิวสี...ปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาในขณะที่พวกเขาก้าวไปบนเส้นทางสู่เสรีภาพที่สมบูรณ์..." (Boromé, 203) ห้องสมุดดอมินีกาเริ่มต้นจากการเป็นห้องอ่านหนังสือที่พัฒนามาเป็นห้องสมุดสาธารณะที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายอย่างสมบูรณ์: ผู้อุปถัมภ์ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการสมัครสมาชิก ห้องสมุดแห่งนี้รอดพ้นจากความขัดแย้งทางศาสนาและการเมือง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และสงครามโลกสองครั้ง ในที่สุดก็อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลซึ่งมีการจัดสรรเงินทุนสำหรับการบำรุงรักษา น่าขันที่ในช่วงแรกของประวัติศาสตร์ห้องสมุดแห่งนี้มุ่งมั่นที่จะขจัด "ภาษาถิ่นที่หยาบคาย" และ "ป่าเถื่อน" ซึ่งปัจจุบันกำลังได้รับการอนุรักษ์ อย่างไรก็ตาม ห้องสมุดก็บรรลุเป้าหมายในการ "ลดอัตราการไม่รู้หนังสือที่สูงมากของเกาะ" (หน้า 225) ห้องสมุดประวัติศาสตร์ถูกทำลายลงหลังพายุเฮอริเคนมาเรียในปี พ.ศ. 2561 และมีกำหนดจะสร้างขึ้นใหม่ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น
10. วัฒนธรรม
ในอดีต ดอมินีกาเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าชาวอาราวัก (Arawaks) (ไทโน) และแคริบ (คาลินาโก) ในช่วงที่ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรปเดินทางมาถึงเกาะ "แมสซาเคอร์" (Massacre) เป็นชื่อแม่น้ำที่ตั้งขึ้นเพื่อรำลึกถึงการสังหารหมู่ชาวบ้านพื้นเมืองโดยผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอังกฤษบนเกาะเซนต์คิตส์ในปี พ.ศ. 2169 (ค.ศ. 1626) ผู้รอดชีวิตถูกบังคับให้ลี้ภัยไปยังดอมินีกา ทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษต่างอ้างสิทธิ์ในเกาะและนำเข้าทาสจากแอฟริกาเพื่อใช้แรงงาน ชาวคาลินาโกที่เหลืออยู่ยังคงอาศัยอยู่ในอาณาเขตขนาด 3.70 K acre บนชายฝั่งตะวันออกของเกาะ พวกเขาเลือกหัวหน้าของตนเอง สิ่งนี้ได้ก่อให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมในปัจจุบัน
ดนตรีและการเต้นรำเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมดอมินีกา การเฉลิมฉลองเอกราชประจำปีมีการแสดงเพลงและการเต้นรำแบบดั้งเดิมที่หลากหลาย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) เป็นต้นมา ยังมีสัปดาห์เทศกาลครีโอล เช่น "Creole in the Park" และ "เทศกาลดนตรีครีโอลโลก" (World Creole Music Festival)
ดอมินีกาเริ่มเป็นที่รู้จักในเวทีดนตรีระดับนานาชาติเมื่อปี พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) เมื่อกอร์ดอน เฮนเดอร์สัน (Gordon Henderson) ก่อตั้งวง Exile One และสร้างสรรค์แนวเพลงที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งเขาเรียกว่า "เคเดนซ์-ลิปโซ" (Cadence-lypso) สิ่งนี้ได้ปูทางให้กับดนตรีครีโอลสมัยใหม่ แนวเพลงอื่นๆ ได้แก่ "จิงปิง" (Jing ping) และ "เคเดนซ์" (Cadence) จิงปิงมีหีบเพลงชักเป็นเครื่องดนตรีหลักและเป็นดนตรีพื้นเมืองของเกาะ ดนตรีของดอมินีกาเป็นการผสมผสานระหว่างประเพณีของเฮติ อัฟโฟร-คิวบา แอฟริกา และยุโรป ศิลปินยอดนิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้แก่ Chubby and the Midnight Groovers, Bells Combo, The Gaylords, WCK และ Triple Kay
เทศกาลดนตรีครีโอลโลกครั้งที่ 11 จัดขึ้นในปี พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองเอกราชของเกาะจากบริเตนใหญ่ในวันที่ 3 พฤศจิกายน การเฉลิมฉลองครบรอบการรวมตัวกันเป็นเวลาหนึ่งปีเริ่มขึ้นในเดือนมกราคม พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) ซึ่งเป็นการครบรอบ 30 ปีแห่งเอกราช
ดอมินีกามักถูกมองว่าเป็นสังคมที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากคติรวมหมู่ไปสู่ปัจเจกนิยม เศรษฐกิจเป็นเศรษฐกิจกำลังพัฒนาที่เคยพึ่งพาเกษตรกรรมมาก่อน สัญญาณของคติรวมหมู่ยังคงเห็นได้ชัดในเมืองเล็กๆ และหมู่บ้านต่างๆ ที่กระจายอยู่ทั่วเกาะ
นักประพันธ์ จีน รีส (Jean Rhys) เกิดและเติบโตในดอมินีกา เกาะแห่งนี้ถูกพรรณนาถึงอย่างอ้อมๆ ในหนังสือที่รู้จักกันดีที่สุดของเธอคือ Wide Sargasso Sea เพื่อนของรีส นักกิจกรรมทางการเมืองและนักเขียน ฟิลลิส แชนด์ ออลฟรีย์ (Phyllis Shand Allfrey) ได้ใช้ดอมินีกาเป็นฉากในนวนิยายปี พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) ของเธอเรื่อง The Orchid House
ภาพยนตร์ของวอลต์ดิสนีย์พิกเชอส์เรื่อง ไพเรทส์ออฟเดอะแคริบเบียน: สงครามปีศาจโจรสลัดสยองโลก (Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest) (ภาคสองของซีรีส์ ออกฉายในปี พ.ศ. 2549) ส่วนใหญ่ถ่ายทำในสถานที่จริงบนเกาะดอมินีกา (แม้ว่าในภาพยนตร์จะรู้จักกันในชื่อ "เปเลกอสโต" ซึ่งเป็นเกาะสมมติ) พร้อมกับการถ่ายทำบางส่วนสำหรับภาพยนตร์ภาคสามของซีรีส์เรื่อง ไพเรทส์ออฟเดอะแคริบเบียน: ผจญภัยล่าโจรสลัดสุดขอบโลก (Pirates of the Caribbean: At World's End) (พ.ศ. 2550)
10.1. อาหาร
อาหารของดอมินีกามีความคล้ายคลึงกับอาหารของเกาะอื่นๆ ในแคริบเบียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาเมกา เซนต์ลูเชีย และตรินิแดดและโตเบโก เช่นเดียวกับเกาะอื่นๆ ในเครือจักรภพแคริบเบียน ชาวดอมินีกาได้พัฒนาเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้กับอาหารของตน อาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญในแต่ละวัน โดยทั่วไปประกอบด้วยปลาเค็ม (saltfish) ซึ่งคือปลาคอดตากแห้งและเค็ม และ "เบคส์" (bakes) (แป้งทอด) ปลาเค็มและเบคส์ถูกนำมารวมกันเป็นอาหารว่างจานด่วนที่สามารถรับประทานได้ตลอดทั้งวัน ผู้ขายตามท้องถนนในดอมินีกาขายของว่างเหล่านี้ให้กับผู้คนที่ผ่านไปมา พร้อมกับไก่ทอด ปลา และ "สมูทตี้" ผลไม้และโยเกิร์ต อาหารเช้าอื่นๆ ได้แก่ โจ๊กข้าวโพด (cornmeal porridge) ซึ่งทำจากแป้งข้าวโพดละเอียดหรือ โพลเลนต้า (polenta) นมหรือนมข้นหวาน และน้ำตาลเพื่อเพิ่มความหวาน อาหารที่ได้รับอิทธิพลจากอังกฤษแบบดั้งเดิม เช่น ไข่และขนมปังปิ้ง ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน เช่นเดียวกับปลาทอดและกล้าย (plantains)
ผักทั่วไป ได้แก่ กล้าย (plantains) เผือก (tannias) (ผักหัวชนิดหนึ่ง) มันเทศ มันฝรั่ง ข้าวและถั่ว เนื้อสัตว์และสัตว์ปีกที่นิยมรับประทาน ได้แก่ ไก่ เนื้อวัว และปลา มักจะนำมาปรุงเป็นสตูว์กับหัวหอม แครอท กระเทียม ขิง และสมุนไพร ผักและเนื้อสัตว์จะถูกผัดจนเป็นสีน้ำตาลเพื่อสร้างซอสสีเข้มข้น อาหารยอดนิยม ได้แก่ ข้าวและถั่ว สตูว์ไก่สีน้ำตาล (brown stew chicken) สตูว์เนื้อวัว ปลาทอดและปลาสตูว์ และน้ำซุปปลาและซุปเนื้อเข้มข้นหลายชนิด ซึ่งเต็มไปด้วยเกี๊ยว แครอท และพืชหัว
อาหารที่เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งคือ ไก่ภูเขา (Mountain chicken) ซึ่งเป็นขากบยักษ์ดอมินีกา (Leptodactylus fallax) ซึ่งเป็นกบขนาดใหญ่ที่พบในดอมินีกาและมอนต์เซอร์รัต อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกบชนิดนี้ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งเนื่องจากการล่ามากเกินไปและโรคเชื้อราไคตริด ทำให้การบริโภคไก่ภูเขาลดลงอย่างมากและมีการคุ้มครองอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ยังมี มานิกู (manicou) ซึ่งเป็นเนื้อโอพอสซัม ก็เป็นอาหารพื้นเมืองอีกชนิดหนึ่ง
เครื่องดื่มที่ได้รับความนิยม ได้แก่ น้ำผลไม้สด ชาจากสมุนไพรต่างๆ (เรียกว่า "bush tea") และเหล้ารัม ซึ่งเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลักในแคริบเบียน เบียร์ท้องถิ่น เช่น Kubuli ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน
10.2. ดนตรีและการเต้นรำ
ดนตรีและการเต้นรำเป็นหัวใจสำคัญของวัฒนธรรมดอมินีกา สะท้อนถึงการผสมผสานของอิทธิพลจากแอฟริกา ยุโรป (โดยเฉพาะฝรั่งเศส) และชนพื้นเมืองคาลินาโก
- เคเดนซ์-ลิปโซ (Cadence-lypso): เป็นแนวเพลงที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์ของดอมินีกา สร้างสรรค์ขึ้นโดยกอร์ดอน เฮนเดอร์สัน และวง Exile One ในช่วงทศวรรษ 1970 (พ.ศ. 2513-2522) แนวเพลงนี้ผสมผสานจังหวะเคเดนซ์ของเฮติกับดนตรีแคลิปโซของตรินิแดดและโตเบโก เคเดนซ์-ลิปโซได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและกลายเป็นสัญลักษณ์ของดนตรีครีโอลสมัยใหม่
- จิงปิง (Jing ping): เป็นดนตรีพื้นเมืองแท้ๆ ของดอมินีกา โดดเด่นด้วยการใช้หีบเพลงชัก (accordion) เป็นเครื่องดนตรีหลัก ร่วมกับเครื่องดนตรีอื่นๆ เช่น กลอง แบมบูฟลุต และกวาฌ (เครื่องเขย่า) จิงปิงมักเล่นในงานเฉลิมฉลองและเทศกาลต่างๆ
- เคเดนซ์ (Cadence): เป็นแนวเพลงที่มีรากฐานมาจากดนตรีเฮติและมีอิทธิพลอย่างมากต่อดนตรีในดอมินีกาก่อนการเกิดขึ้นของเคเดนซ์-ลิปโซ
- บูยง (Bouyon): เป็นแนวเพลงที่ใหม่กว่า เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1980 (พ.ศ. 2523-2532) ผสมผสานองค์ประกอบของจิงปิง เคเดนซ์-ลิปโซ และอิทธิพลจากดนตรีอื่นๆ เช่น เร็กเก โซกา และแดนซ์ฮอลล์ วงดนตรีอย่าง WCK (Windward Caribbean Kulture) มีชื่อเสียงในการเผยแพร่แนวเพลงนี้
- การเต้นรำพื้นบ้าน: ดอมินีกามีการเต้นรำพื้นบ้านหลากหลายรูปแบบที่สะท้อนถึงมรดกทางวัฒนธรรม เช่น Bele, Quadrille, Flirtation และ Mazouk การเต้นรำเหล่านี้มักแสดงในงานเทศกาลและงานเฉลิมฉลองทางวัฒนธรรม
- เทศกาลดนตรี: ดอมินีกาเป็นเจ้าภาพจัดงาน "เทศกาลดนตรีครีโอลโลก" (World Creole Music Festival - WCMF) เป็นประจำทุกปี ซึ่งเป็นเทศกาลดนตรีครีโอลที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่ง ดึงดูดศิลปินและผู้ชื่นชอบดนตรีจากทั่วโลก เทศกาลนี้จัดขึ้นในช่วงการเฉลิมฉลองเอกราชในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน นอกจากนี้ยังมีเทศกาล "Creole in the Park" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองวัฒนธรรมครีโอลเช่นกัน
ดนตรีและการเต้นรำไม่เพียงแต่เป็นความบันเทิง แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสดงออกทางวัฒนธรรม การรักษาอัตลักษณ์ และการส่งเสริมความสามัคคีในสังคมดอมินีกา
10.3. กีฬา
คริกเกตเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากบนเกาะ และดอมินีกาแข่งขันในเทสต์คริกเกตในฐานะส่วนหนึ่งของทีมคริกเกตหมู่เกาะอินเดียตะวันตก ในการแข่งขันคริกเกตเฟิร์สคลาสภายในประเทศของหมู่เกาะอินเดียตะวันตก ดอมินีกาเข้าร่วมในฐานะส่วนหนึ่งของทีมคริกเกตหมู่เกาะวินด์เวิร์ด แม้ว่าในทางภูมิศาสตร์มักจะถูกพิจารณาว่าเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะลีเวิร์ดก็ตาม ทั้งนี้เนื่องจากเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมหมู่เกาะบริติชวินด์เวิร์ดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) จนกระทั่งได้รับเอกราช และสหพันธ์คริกเกตของประเทศยังคงเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการควบคุมคริกเกตหมู่เกาะวินด์เวิร์ด (Windward Islands Cricket Board of Control)
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) สนามคริกเกตวินด์เซอร์พาร์กขนาด 8,000 ที่นั่ง ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จด้วยเงินบริจาคจำนวน 33 ล้านดอลลาร์แคริบเบียนตะวันออก (ประมาณ 17.00 M USD หรือ 12.00 M EUR) จากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน
กีฬาอื่นๆ เช่น เนตบอล บาสเกตบอล รักบี้ เทนนิส และฟุตบอล ก็กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
นักฟุตบอลระดับนานาชาติ จูเลียน เวด ซึ่งเป็นผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลของดอมินีกา ณ ปี พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสร เบรชินซิตี เอฟ.ซี. ในสกอตแลนด์
ในช่วงโอลิมปิกฤดูหนาว 2014 สามีภรรยาคู่หนึ่งคือ แกรี ดิ ซิลเวสตรี และ แองเจลา มอร์โรเน ดิ ซิลเวสตรี ได้ใช้เงิน 175.00 K USD เพื่อลงทะเบียนเป็นพลเมืองดอมินีกาและเข้าร่วมการแข่งขันสกีข้ามทุ่งชายระยะ 15 km และหญิงระยะ 10 km ตามลำดับ แองเจลาไม่ได้เริ่มการแข่งขัน ส่วนแกรีถอนตัวหลังจากการแข่งขันไปได้เพียงไม่กี่ร้อยเมตร ณ ปี พ.ศ. 2565 (ค.ศ. 2022) พวกเขาเป็นนักกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวเพียงคนเดียวของดอมินีกา
นักกีฬา เฌโรม โรเมน คว้าเหรียญทองแดงในการแข่งขันเขย่งก้าวกระโดดชาย ในการแข่งขันกรีฑาชิงแชมป์โลกปี 1995 เขายังผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศในโอลิมปิกปี 1996 แม้ว่าเขาจะต้องถอนตัวเนื่องจากอาการบาดเจ็บ แต่จนถึงปี 2024 อันดับที่ 12 ของเขาก็ยังเป็นผลงานที่ดีที่สุดของนักกีฬาชาวดอมินีกาในกีฬาโอลิมปิก
นักวิ่งระยะสั้นโอลิมปิก คริส ลอยด์ คว้าเหรียญทองแดงในการแข่งขันแพนอเมริกันเกมส์ปี 2007 ในระยะ 400 เมตร
นักกีฬาเขย่งก้าวกระโดดโอลิมปิก ทีอา ลาฟอนด์ กลายเป็นนักกีฬาคนแรกที่คว้าเหรียญรางวัลในกีฬาเครือจักรภพ 2018 และเหรียญโอลิมปิก โดยได้รับเหรียญทองในโอลิมปิกฤดูร้อน 2024
11. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ดอมินีกาดำเนินนโยบายต่างประเทศที่มุ่งเน้นการส่งเสริมผลประโยชน์ของชาติ การพัฒนาเศรษฐกิจ และการรักษาความมั่นคง โดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในองค์กรระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ ประเทศเป็นสมาชิกของประชาคมแคริบเบียน (CARICOM) องค์การรัฐแคริบเบียนตะวันออก (OECS) เครือจักรภพแห่งประชาชาติ สหประชาชาติ องค์การรัฐอเมริกัน (OAS) และองค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส (La Francophonie) รวมถึงพันธมิตรโบลิวาร์เพื่อประชาชนแห่งทวีปอเมริกาของเรา (ALBA) ดอมินีกามีความสัมพันธ์ทางการทูตกับหลายประเทศทั่วโลก โดยเน้นความร่วมมือในด้านการค้า การลงทุน การพัฒนา และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความท้าทายระดับโลกอื่นๆ
11.1. ความสัมพันธ์กับประเทศสำคัญ
ดอมินีกามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประเทศเพื่อนบ้านในแคริบเบียนผ่านการเป็นสมาชิกใน CARICOM และ OECS โดยมีความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคง สหรัฐอเมริกาเป็นคู่ค้าที่สำคัญและให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ สหราชอาณาจักรและแคนาดาก็มีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และให้การสนับสนุนเช่นกัน ดอมินีกายังได้กระชับความสัมพันธ์กับประเทศในละตินอเมริกา เช่น เวเนซุเอลา (แม้จะมีข้อพิพาทดินแดนทางทะเล) และคิวบา ซึ่งให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษาและสาธารณสุข นอกจากนี้ ดอมินีกายังได้พัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศนอกภูมิภาค เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน นโยบายต่างประเทศของดอมินีกามักจะสะท้อนถึงจุดยืนของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาขนาดเล็กที่เป็นเกาะ (Small Island Developing States - SIDS) โดยให้ความสำคัญกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความเปราะบางทางเศรษฐกิจ และความจำเป็นในการได้รับการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศ
11.2. ความสัมพันธ์กับประเทศไทย
ราชอาณาจักรไทยและเครือรัฐดอมินีกาสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเป็นไปด้วยดีและราบรื่น แม้ว่าจะยังไม่มีการแลกเปลี่ยนและการเยือนในระดับสูงมากนัก เนื่องจากระยะทางทางภูมิศาสตร์และความแตกต่างทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม
สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา มีเขตอาณาครอบคลุมดอมินีกา ส่วนดอมินีกายังไม่ได้แต่งตั้งคณะผู้แทนทางการทูตประจำประเทศไทย
ในด้านการค้า ปริมาณการค้าระหว่างไทยกับดอมินีกายังมีไม่มากนัก สินค้าที่ไทยอาจส่งออกไปยังดอมินีกาได้แก่ ชิ้นส่วนยานยนต์ อาหารสำเร็จรูป และเครื่องจักรกลขนาดเล็ก ส่วนสินค้าที่ไทยอาจนำเข้าจากดอมินีกาอาจเป็นสินค้าเกษตรบางชนิดหรือผลิตภัณฑ์จากทะเล
ความร่วมมือในด้านอื่นๆ เช่น การท่องเที่ยว วัฒนธรรม หรือการศึกษา ยังมีจำกัด แต่ก็มีศักยภาพในการพัฒนาได้ในอนาคต ทั้งสองประเทศเป็นสมาชิกของสหประชาชาติและสามารถร่วมมือกันในเวทีระหว่างประเทศในประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน เช่น การพัฒนาที่ยั่งยืน การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
12. สื่อมวลชน
ภูมิทัศน์สื่อในดอมินีกาประกอบด้วยสื่อสิ่งพิมพ์ สถานีวิทยุและโทรทัศน์ รวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์
- หนังสือพิมพ์: หนังสือพิมพ์หลักสองฉบับในดอมินีกา ได้แก่ The Sun และ The Chronicle ซึ่งทั้งสองฉบับเป็นหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ นำเสนอข่าวสาร บทวิเคราะห์ และความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ในประเทศและภูมิภาค นอกจากนี้ยังมีหนังสือพิมพ์ในอดีต เช่น The Dominican, The Dominica Guardian และ Dominica Colonist ซึ่งบางส่วนสามารถเข้าถึงได้ผ่านห้องสมุดดิจิทัล
- วิทยุ: สถานีวิทยุเป็นสื่อที่เข้าถึงประชาชนได้อย่างกว้างขวาง สถานีวิทยุกระจายเสียงดอมินีกา (Dominica Broadcasting Corporation - DBS Radio) เป็นสถานีวิทยุของรัฐบาล นอกจากนี้ยังมีสถานีวิทยุเอกชนหลายแห่งที่ดำเนินการอยู่ เช่น Q95 FM, Kairi FM และสถานีวิทยุชุมชนอื่นๆ ซึ่งนำเสนอรายการข่าว เพลง และความบันเทิงที่หลากหลาย
- โทรทัศน์: ดอมินีกามีสถานีโทรทัศน์ระดับชาติสองแห่งที่ให้บริการรายการข่าวสาร สาระ และความบันเทิงแก่ผู้ชมในประเทศ
- สื่อออนไลน์: การใช้อินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีสำนักข่าวออนไลน์และบล็อกต่างๆ ที่นำเสนอข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับดอมินีกา เว็บไซต์ข่าว เช่น Dominica News Online (DNO) เป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญสำหรับข่าวสารล่าสุด
- ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่: Digicel และ FLOW เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่หลักบนเกาะ
โดยทั่วไป สื่อในดอมินีกามีเสรีภาพในการแสดงออก แต่ก็อาจเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจเนื่องจากขนาดตลาดที่เล็ก สื่อมีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูลแก่สาธารณชน การตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการประชาธิปไตย
13. บุคคลสำคัญ
ดอมินีกาได้ผลิตบุคคลสำคัญหลายท่านที่มีบทบาทและสร้างผลกระทบในหลากหลายสาขา ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ การพิจารณาผลกระทบของพวกเขาต่อระบอบประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และความก้าวหน้าทางสังคม ควรคำนึงถึงมุมมองที่หลากหลาย
- ยูจีเนีย ชาร์ลส์ (Eugenia Charles, พ.ศ. 2462-2548): นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของแคริบเบียนและของดอมินีกา (พ.ศ. 2523-2538) เธอเป็นผู้นำที่เข้มแข็งและมีบทบาทสำคัญในการเมืองดอมินีกาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ได้รับการยกย่องในด้านความซื่อสัตย์และความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน นโยบายบางอย่างของเธอ เช่น การสนับสนุนการรุกรานเกรเนดาของสหรัฐฯ และมาตรการรัดเข็มขัดทางเศรษฐกิจ ก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ รัฐบาลของเธอเผชิญกับความพยายามรัฐประหารหลายครั้ง
- แพทริก จอห์น (Patrick John, พ.ศ. 2480-2564): นายกรัฐมนตรีคนแรกของดอมินีกาหลังได้รับเอกราช (พ.ศ. 2521-2522) แม้จะมีบทบาทในการนำพาประเทศไปสู่เอกราช แต่รัฐบาลของเขาก็เผชิญกับปัญหาความไม่สงบทางสังคมและเศรษฐกิจ และถูกโค่นล้มด้วยการประท้วงของประชาชน ต่อมาเขาพัวพันกับความพยายามรัฐประหาร ซึ่งส่งผลกระทบในทางลบต่อภาพลักษณ์และเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศ
- รูสเวลต์ สเกอร์ริต (Roosevelt Skerrit, เกิด พ.ศ. 2515): นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันและดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดคนหนึ่งของดอมินีกา (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547) เขามีบทบาทในการนำพาประเทศผ่านพ้นภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่หลายครั้ง และผลักดันโครงการพัฒนาต่างๆ รวมถึงโครงการความเป็นพลเมืองผ่านการลงทุน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของเขาก็เผชิญกับข้อวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับประเด็นธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และการจัดการเศรษฐกิจ
- จีน รีส (Jean Rhys, พ.ศ. 2433-2522): นักเขียนนวนิยายชาวดอมินีกาที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ผลงานที่โดดเด่นที่สุดของเธอคือ Wide Sargasso Sea ซึ่งสำรวจประเด็นเกี่ยวกับอัตลักษณ์ เชื้อชาติ และการเป็นอาณานิคม งานเขียนของเธอมีส่วนสำคัญในการนำเสนอเสียงและประสบการณ์ของชาวแคริบเบียนสู่เวทีวรรณกรรมโลก
- ฟิลลิส แชนด์ ออลฟรีย์ (Phyllis Shand Allfrey, พ.ศ. 2451-2529): นักเขียน นักการเมือง และนักกิจกรรมทางสังคมชาวดอมินีกา เธอเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคแรงงานดอมินีกา และเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลสหพันธรัฐอินเดียตะวันตก นวนิยายของเธอเรื่อง The Orchid House สะท้อนภาพชีวิตในสังคมอาณานิคม
- กอร์ดอน เฮนเดอร์สัน (Gordon Henderson): นักดนตรีและผู้ก่อตั้งวง Exile One ผู้สร้างสรรค์แนวเพลง "เคเดนซ์-ลิปโซ" (Cadence-lypso) ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อดนตรีครีโอลสมัยใหม่ในแคริบเบียน เขามีส่วนในการส่งเสริมวัฒนธรรมดอมินีกาผ่านดนตรี
- ทีอา ลาฟอนด์ (Thea LaFond, เกิด พ.ศ. 2537): นักกรีฑาชาวดอมินีกา ผู้เชี่ยวชาญด้านเขย่งก้าวกระโดด เธอสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าเหรียญทองโอลิมปิกเหรียญแรกให้กับดอมินีกาในโอลิมปิกฤดูร้อน 2024 ที่ปารีส ความสำเร็จของเธอเป็นแรงบันดาลใจและสร้างความภาคภูมิใจให้กับประเทศ
- เอลิอุด วิลเลียมส์ (Eliud Williams): อดีตประธานาธิบดีดอมินีกา (พ.ศ. 2555-2556) และข้าราชการระดับสูง มีบทบาทในการบริหารประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่าน
- ชาลส์ ซาวาริน (Charles Savarin, เกิด พ.ศ. 2486): อดีตประธานาธิบดีดอมินีกา (พ.ศ. 2556-2566) และนักการเมืองอาวุโส เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและมีบทบาทในสหภาพแรงงาน
บุคคลเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้ที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์และสังคมของดอมินีกา การประเมินผลกระทบของพวกเขาควรพิจารณาจากบริบททางประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองในแต่ละช่วงเวลา โดยให้ความสำคัญกับคุณูปการต่อการพัฒนาประชาธิปไตย การส่งเสริมสิทธิมนุษยชน และความก้าวหน้าทางสังคมโดยรวม