1. ภาพรวม

เปาโล ฌอร์ฌ ดูส ซังตูส ฟูทเร (Paulo Jorge dos Santos Futreเปาโล ฌอร์ฌ ดูส ซังตูส ฟูทเรPortuguese; เกิด 28 กุมภาพันธ์ 1966) เป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพชาวโปรตุเกสที่เล่นในตำแหน่งปีกซ้าย เขาได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในยุคของเขา โดยเริ่มต้นอาชีพกับสปอร์ติง ซีพี ก่อนจะย้ายไปปอร์โต้ ซึ่งเขาคว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพในปี 1987 หลังจากนั้น เขาก็เริ่มต้นอาชีพค้าแข้งที่ยาวนานในหลายประเทศ ทั้งสเปน, ฝรั่งเศส, อิตาลี, อังกฤษ และญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแอตเลติโก มาดริด ฟูทเรยังเคยเล่นให้กับเบนฟิกาเป็นเวลาสี่เดือนในปี 1993 และช่วงท้ายอาชีพของเขาต้องเผชิญกับปัญหาอาการบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง ในฐานะนักฟุตบอลทีมชาติโปรตุเกสตั้งแต่อายุ 17 ปี ฟูทเรลงสนามให้กับประเทศชาติมากกว่า 40 นัด และเป็นตัวแทนของโปรตุเกสในฟุตบอลโลก 1986
2. ชีวิตช่วงต้นและภูมิหลัง
เปาโล ฟูทเร เกิดเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1966 ที่เมืองมอนติโจ เขตเซตูบัล ประเทศโปรตุเกส เขาเริ่มต้นเส้นทางฟุตบอลตั้งแต่อายุยังน้อย โดยเข้าร่วมระบบเยาวชนของสปอร์ติง ซีพีตั้งแต่อายุเพียง 9 ขวบ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกฝนทักษะฟุตบอลของเขาในระดับอาชีพ
3. อาชีพค้าแข้ง
เปาโล ฟูทเร มีอาชีพนักฟุตบอลอาชีพที่ยาวนานและเต็มไปด้วยความสำเร็จ แต่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาอาการบาดเจ็บที่ส่งผลกระทบต่อเส้นทางค้าแข้งของเขาอย่างมาก เขาได้เล่นให้กับสโมสรชั้นนำหลายแห่งในยุโรปและเอเชีย
3.1. สปอร์ติง ซีพี
ฟูทเรประเดิมสนามในฐานะนักฟุตบอลอาชีพในฤดูกาล 1983-84 ขณะอายุเพียง 17 ปีกับสปอร์ติง ซีพี ซึ่งเป็นสโมสรที่เขาเติบโตมาจากระบบเยาวชน หลังจากเล่นได้เพียงฤดูกาลเดียว เขาได้ขอขึ้นค่าเหนื่อยจากประธานสโมสร ฌูเอา รอชา แต่ถูกปฏิเสธ ทำให้เขาตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมเอฟซี ปอร์โต้ โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่ทำให้ ไชมี ปาเชโก และ อันโตนิโอ ซูซา ย้ายมาสปอร์ติง ซีพีแทน
3.2. เอฟซี ปอร์โต้
หลังจากย้ายมาเอฟซี ปอร์โต้ ฟูทเรก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ในช่วงเวลาสามปีที่ปอร์โต้ เขาคว้าแชมป์ปรีไมราลีกาได้สองสมัยติดต่อกันในฤดูกาล 1984-85 และ 1985-86 จุดสูงสุดในอาชีพของเขาที่ปอร์โต้คือการคว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพปี 1986-87 ซึ่งเขาโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นในนัดชิงชนะเลิศกับบาเยิร์น มิวนิก โดยได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัด (Man of the Match) ในนัดชิงชนะเลิศนั้น เขายังทำประตูในรอบรองชนะเลิศกับดีนาโม เคียฟในเลกแรก ซึ่งช่วยให้ทีมผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้
3.3. แอตเลติโก มาดริด
หลังจากการคว้าแชมป์ระดับทวีปกับปอร์โต้ ฟูทเรย้ายไปร่วมทีมแอตเลติโก มาดริดในสเปนในปี 1987 ด้วยค่าเหนื่อยที่รายงานว่าสูงถึง 650.00 K EUR ต่อปี ที่สโมสรแห่งเมืองหลวงนี้ เขากลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลอย่างรวดเร็ว และได้รับบทบาทเป็นกัปตันทีมตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ที่อยู่กับ โกลโชเนโรส (ฉายาของแอตเลติโก มาดริด) ในฤดูกาล 1991-92 ซึ่งเป็นฤดูกาลที่ห้าของเขา ฟูทเรทำแอสซิสต์มากมายให้กับกองหน้า มาโนโล ซึ่งทำได้ 27 ประตูและคว้ารางวัลปิชิชิ นอกจากนี้ เขายังทำประตูในนัดชิงชนะเลิศโคปา เดล เรย์ปี 1991-92 ซึ่งแอตเลติโก มาดริดเอาชนะคู่ปรับตลอดกาลอย่างเรอัล มาดริด 2-0 อย่างไรก็ตาม ความเปราะบางทางร่างกายของเขาทำให้เขาได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าหลายครั้ง ซึ่งเป็นปัญหาที่รบกวนอาชีพของเขาตลอดช่วงทศวรรษ 1990
3.4. ช่วงท้ายอาชีพ
ในเดือนมกราคม 1993 ฟูทเรย้ายไปร่วมทีมคู่แข่งของปอร์โต้และสปอร์ติงอย่างเบนฟิกา แม้จะอยู่กับทีมได้ไม่นาน แต่เขาก็คว้าแชมป์ตาซา เด ปอร์ตูกัลได้ในฤดูกาล 1992-93 โดยทำประตูได้ในนัดชิงชนะเลิศที่เอาชนะโบอาวิสตา 5-2 การย้ายมาเบนฟิกาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากแฟนบอล อย่างไรก็ตาม ปัญหาอาการบาดเจ็บของเขายังคงดำเนินต่อไป
หลังจากนั้น เขาย้ายไปเซ็นสัญญากับโอลิมปิก มาร์กเซยในฝรั่งเศสเป็นเวลาหนึ่งฤดูกาล ซึ่งเขาได้ร่วมทีมกับเพื่อนร่วมชาติ รุย บาร์รอส แต่ช่วงเวลาที่ฝรั่งเศสของเขานั้นน่าผิดหวังอย่างมาก เนื่องจากอาการบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการแข่งขันแย่งตำแหน่งกับ ดราแกน สตอยโควิช ทำให้เขาลงเล่นในลีกได้เพียง 8 นัดและทำได้ 2 ประตู นอกจากนี้ ปัญหาการล้มบอลที่เกี่ยวข้องกับสโมสรในฤดูกาลก่อนหน้าก็ส่งผลกระทบต่อทีม ทำให้ผู้เล่นหลักหลายคนต้องย้ายออกไป
ในช่วงกลางฤดูกาล 1993-94 แม้จะมีข่าวเชื่อมโยงกับเอซี มิลาน แต่ฟูทเรก็ย้ายไปร่วมทีมเรจจาน่า ซึ่งเพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นสู่เซเรียอา ในนัดประเดิมสนามเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 1993 เขาทำประตูเดี่ยวที่น่าจดจำ ซึ่งเป็นประตูเปิดสกอร์ในชัยชนะ 2-0 เหนือเครโมเนเซ และเป็นชัยชนะครั้งแรกของเรจจาน่าในลีกสูงสุด อย่างไรก็ตาม ในครึ่งหลังของนัดเดียวกันนั้น เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการเข้าปะทะอย่างรุนแรงจาก อาเลสซานโดร เปโดรนี ซึ่งทำให้เขาต้องพักยาวตลอดฤดูกาลที่เหลือ แม้ว่าทีมของเขาจะรอดพ้นจากการตกชั้นไปได้อย่างหวุดหวิด
ในฤดูกาลถัดมา (1994-95) ฟูทเรลงเล่นได้เพียง 12 นัดและทำได้ 4 ประตู ซึ่งไม่เพียงพอที่จะช่วยให้เรจจาน่ารอดพ้นจากการตกชั้นได้ หลังจบฤดูกาล 1994-95 เขาย้ายไปร่วมทีมเอซี มิลานในฤดูกาล 1995-96 แต่เนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บที่ต่อเนื่อง รวมถึงการแข่งขันจากผู้เล่นเกมรุกที่มีพรสวรรค์คนอื่นๆ ในตำแหน่งของเขา ทำให้เขาได้ลงเล่นเพียงครั้งเดียวให้กับทีมภายใต้การคุมทีมของ ฟาบิโอ คาเปลโล โดยลงมาเป็นตัวสำรองแทน โรแบร์โต้ บาจโจ ในนัดสุดท้ายของฤดูกาลกับเครโมเนเซที่สนามซาน ซีโร่ ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะ 7-1 ของมิลานที่เฉลิมฉลองการคว้าแชมป์ลีก
หลังจากช่วงเวลาในอิตาลี ฟูทเรตกลงเซ็นสัญญาหนึ่งปีกับเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ซึ่งเขาปฏิเสธที่จะลงเล่นจนกว่าจะได้รับเสื้อหมายเลข 10 ตามที่เขาต้องการ และเนื่องจากอาการบาดเจ็บ เขาก็ได้ลงเล่นเพียง 9 นัดเท่านั้น ในปี 1997-98 เขากลับมายังแอตเลติโก มาดริดอีกครั้ง โดยลงเล่นในลาลิกา 10 นัด ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดอาชีพของเขาในยุโรปอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนที่จะไปเล่นให้กับสโมสรเจลีกอย่างโยโกฮามา ฟลูเกลส์ในปี 1998 เขาทำประตูแรกในเจลีกในนัดที่สองที่พบกับซานเฟรซเซ ฮิโรชิม่าเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม และทำประตูได้สามนัดติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม หลังจากผู้จัดการทีม การ์โลส เรชาค ถูกปลดออกเนื่องจากผลงานไม่ดี ฟูทเรก็ไม่ได้ลงสนามอีกเลย และตัดสินใจแขวนสตั๊ดในวัย 32 ปี โดยรวมแล้วเขาลงเล่นในเจลีก 13 นัด ทำได้ 3 ประตู
4. อาชีพทีมชาติ
ฟูทเรลงสนามให้กับโปรตุเกส 41 ครั้งตลอดระยะเวลา 12 ปี โดยทำได้ 6 ประตู การประเดิมสนามของเขาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 เมษายน 1983 ในเกมพบกับฟินแลนด์ในรอบคัดเลือกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1984 ขณะนั้นเขามีอายุเพียง 17 ปี 204 วัน ซึ่งเป็นการทำลายสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ลงสนามให้กับทีมชาติ
ฟูทเรเป็นสมาชิกของทีมชาติโปรตุเกสที่เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลก 1986 ที่ประเทศเม็กซิโก โดยเขาลงเล่นเต็ม 90 นาทีในเกมที่แพ้โมร็อกโก 1-3 ซึ่งนำไปสู่การตกรอบแบ่งกลุ่มในที่สุด
4.1. ประตูในนามทีมชาติ
No. | วันที่ | สถานที่ | คู่แข่ง | สกอร์ | ผลการแข่งขัน | รายการแข่งขัน |
---|---|---|---|---|---|---|
1 | 30 มกราคม 1985 | อิชตาดีอู โฌเซ อัลวาลาด (1956), ลิสบอน, โปรตุเกส | โรมาเนีย | 1-0 | 2-3 | นัดกระชับมิตร |
2 | 20 กันยายน 1989 | สตาด เดอ ลา มาลาดีแยร์, เนอชาแตล, สวิตเซอร์แลนด์ | สวิตเซอร์แลนด์ | 1-1 | 2-1 | ฟุตบอลโลก 1990 รอบคัดเลือก |
3 | 23 มกราคม 1991 | สนามกีฬาโอลิมปิก, เอเธนส์, กรีซ | กรีซ | 2-1 | 2-3 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1992 รอบคัดเลือก |
4 | 9 กุมภาพันธ์ 1991 | สนามกีฬาแห่งชาติ ตาอาลี, ตาอาลี, มอลตา | มอลตา | 1-0 | 1-0 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1992 รอบคัดเลือก |
5 | 28 เมษายน 1993 | อิชตาดีอู ดา ลุช (1954), ลิสบอน, โปรตุเกส | สกอตแลนด์ | 3-0 | 5-0 | ฟุตบอลโลก 1994 รอบคัดเลือก |
6 | 10 พฤศจิกายน 1993 | อิชตาดีอู ดา ลุช, ลิสบอน, โปรตุเกส | เอสโตเนีย | 1-0 | 3-0 | ฟุตบอลโลก 1994 รอบคัดเลือก |
5. รูปแบบการเล่น
ฟูทเรเป็นปีกเท้าซ้ายที่มีพรสวรรค์และมีความคิดสร้างสรรค์สูง สไตล์การเล่นของเขาในตอนแรกถูกนำไปเปรียบเทียบกับดิเอโก มาราโดนาเป็นอย่างมาก เขามีชื่อเสียงเป็นพิเศษในด้านความเร่งที่รุนแรง รวมถึงความสามารถทางเทคนิคที่ยอดเยี่ยม ทักษะการเลี้ยงบอล ความเร็ว ความคล่องตัว และความคล่องแคล่วในการใช้เท้า ทำให้เขาสามารถพาบอลไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วและเอาชนะคู่ต่อสู้ได้หลายคน
ด้วยวิสัยทัศน์และการทำงานหนัก ฟูทเรมีความสามารถทั้งในการสร้างสรรค์โอกาสและทำประตู และเป็นผู้เล่นที่มีความหลากหลาย ซึ่งบางครั้งเขาก็ถูกใช้งานในตำแหน่งกองหน้าตัวต่ำและกองกลางตัวรุกในช่วงเวลาที่เขาอยู่ในอิตาลี อย่างไรก็ตาม แม้จะมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นตั้งแต่ยังเยาว์วัย เขาก็มีแนวโน้มที่จะได้รับบาดเจ็บ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่ออาชีพของเขา นำไปสู่ผลงานที่ไม่สอดคล้องกันมากขึ้น อัตราการทำประตูที่ลดลง และการแขวนสตั๊ดก่อนวัยอันควรเมื่ออายุ 32 ปี
6. กิจกรรมหลังเลิกเล่น
หลังจากแขวนสตั๊ด ฟูทเรยังคงมีบทบาทในวงการฟุตบอลและธุรกิจ เขาเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬาที่แอตเลติโก มาดริดตั้งแต่ปี 2000 ถึง 2003 หลังจากนั้น เขาก็ผันตัวมาเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในบ้านเกิดของเขา นอกจากนี้ ในเดือนพฤษภาคม 2011 เขายังเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานของ เดียส แฟร์เรรา ในการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานสโมสรสปอร์ติง ซีพี แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ฟูทเรยังเคยเป็นพิธีกรโทรทัศน์ โดยเป็นผู้ดำเนินรายการทอล์กโชว์ช่วงดึกชื่อ A Noite do Futrebol ทางช่อง TVI 24
7. ชีวิตส่วนตัว
เปาโล ฟูทเร แต่งงานแล้วและมีบุตรชายสองคน บุตรชายคนเล็กของเขาชื่อ ฟาบิโอ ฟูทเร ก็เป็นนักฟุตบอลเช่นกัน โดยเล่นในตำแหน่งกองกลางให้กับทีมเยาวชนของแอตเลติโก มาดริด และเคยถูกเรียกตัวติดทีมชาติโปรตุเกสชุดอายุไม่เกิน 17 ปี ส่วนหลานชายของเขาชื่อ อาร์ตูร์ ฟูทเร ก็เคยเล่นฟุตบอลอาชีพให้กับสโมสรอย่างเอฟซี อัลเวอร์กา, เอฟซี ไมอา และซีดี อาวีส แต่ไม่ค่อยมีผลงานโดดเด่นนัก บุตรชายคนโตของเขาชื่อ เปาโล เล่นดนตรีในวงร็อกชื่อ "Fr1day"
8. ข้อถกเถียงและการประเมิน
อาชีพของเปาโล ฟูทเร ไม่ได้มีเพียงความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังมีข้อถกเถียงและเหตุการณ์สำคัญที่น่าสนใจหลายประการ
หนึ่งในข้อถกเถียงที่สำคัญที่สุดคือเรื่องรางวัลบัลลงดอร์ในปี 1987 ซึ่งฟูทเรได้อันดับที่ 2 รองจาก รุด กุลลิต ด้วยคะแนน 91 เสียง เทียบกับ 106 เสียงของกุลลิต ฟูทเรเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าเขาควรจะเป็นผู้ชนะรางวัลนี้ และมีรายงานข่าวว่า ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี ประธานสโมสรเอซี มิลานในขณะนั้น อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อเสียงเพื่อให้กุลลิต ซึ่งเป็นผู้เล่นของมิลาน ได้รับรางวัล ทำให้เกิดการถกเถียงและข้อกล่าวหาเรื่องความไม่โปร่งใส
นอกจากนี้ ในเดือนพฤศจิกายน 2014 ฟูทเรได้เปิดเผยผ่านหนังสือพิมพ์โปรตุเกส เรคอร์ด ว่าเขาเคยถูกเสนอให้มีส่วนร่วมในการล้มบอลในช่วงที่เล่นให้กับแอตเลติโก มาดริด โดยมีเฆซุส กิล ประธานสโมสรในขณะนั้นเป็นผู้เสนอข้อตกลงนี้ แม้ว่าเขาจะยืนยันว่าตนเองปฏิเสธที่จะมีส่วนร่วม แต่การเปิดเผยนี้ก็สร้างความตกตะลึงและเป็นประเด็นถกเถียงในวงการฟุตบอล
โดยรวมแล้ว ฟูทเรได้รับการประเมินว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในรุ่นของเขา ด้วยทักษะการเลี้ยงบอลที่น่าทึ่งและความเร็วที่โดดเด่น อย่างไรก็ตาม อาชีพของเขาถูกบั่นทอนอย่างมากจากอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นที่สม่ำเสมอได้ และนำไปสู่การแขวนสตั๊ดในวัยเพียง 32 ปี แม้จะประสบปัญหาเหล่านี้ เขาก็ยังคงถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน "100 ผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20" โดยนิตยสาร เวิลด์ ซอกเกอร์ ซึ่งตีพิมพ์ในเดือนธันวาคม 1999 โดยอยู่ในอันดับที่ 98 ร่วมกัน
9. สถิติ
9.1. สโมสร
สโมสร | ฤดูกาล | ลีก | ฟุตบอลถ้วยในประเทศ | ฟุตบอลถ้วยลีก | ยุโรป | อื่น ๆ | รวม | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ดิวิชั่น | ลงสนาม | ประตู | ลงสนาม | ประตู | ลงสนาม | ประตู | ลงสนาม | ประตู | ลงสนาม | ประตู | ลงสนาม | ประตู | ||
สปอร์ติง ซีพี | 1983-84 | ปรีไมรา ดีวีเซา | 21 | 3 | 5 | 0 | - | 3 | 0 | - | 29 | 3 | ||
ปอร์โต้ | 1984-85 | ปรีไมรา ดีวีเซา | 30 | 6 | 7 | 2 | - | 2 | 1 | 4 | 1 | 43 | 10 | |
1985-86 | ปรีไมรา ดีวีเซา | 26 | 7 | 4 | 1 | - | 3 | 0 | 2 | 0 | 35 | 8 | ||
1986-87 | ปรีไมรา ดีวีเซา | 25 | 10 | 4 | 1 | - | 9 | 2 | 2 | 2 | 40 | 15 | ||
รวม | 81 | 23 | 15 | 4 | - | 14 | 3 | 8 | 3 | 118 | 33 | |||
แอตเลติโก มาดริด | 1987-88 | ลาลิกา | 35 | 8 | 4 | 1 | - | - | - | 39 | 9 | |||
1988-89 | ลาลิกา | 28 | 5 | 7 | 0 | - | 2 | 1 | - | 37 | 6 | |||
1989-90 | ลาลิกา | 27 | 10 | 2 | 0 | - | 2 | 0 | - | 31 | 10 | |||
1990-91 | ลาลิกา | 26 | 3 | 6 | 1 | - | 2 | 0 | - | 34 | 4 | |||
1991-92 | ลาลิกา | 31 | 6 | 6 | 5 | - | 6 | 5 | 0 | 0 | 43 | 16 | ||
1992-93 | ลาลิกา | 16 | 6 | 0 | 0 | - | 3 | 1 | 2 | 0 | 21 | 7 | ||
รวม | 163 | 38 | 25 | 7 | - | 15 | 7 | 2 | 0 | 205 | 52 | |||
เบนฟิกา | 1992-93 | ปรีไมรา ดีวีเซา | 11 | 3 | 2 | 2 | - | 0 | 0 | - | 13 | 5 | ||
มาร์กเซย | 1993-94 | ลีกเอิง | 8 | 2 | 0 | 0 | 0 | 0 | - | - | 8 | 2 | ||
เรจจาน่า | 1993-94 | เซเรียอา | 1 | 1 | 0 | 0 | - | - | - | 1 | 1 | |||
1994-95 | เซเรียอา | 12 | 4 | 1 | 0 | - | - | - | 13 | 4 | ||||
รวม | 13 | 5 | 1 | 0 | - | - | - | 14 | 5 | |||||
เอซี มิลาน | 1995-96 | เซเรียอา | 1 | 0 | 0 | 0 | - | 0 | 0 | - | 1 | 0 | ||
เวสต์แฮม ยูไนเต็ด | 1996-97 | พรีเมียร์ลีก | 9 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | - | - | 9 | 0 | ||
แอตเลติโก มาดริด | 1997-98 | ลาลิกา | 10 | 0 | 0 | 0 | - | 0 | 0 | - | 10 | 0 | ||
โยโกฮามา ฟลูเกลส์ | 1998 | เจลีก | 13 | 3 | 0 | 0 | 3 | 0 | - | - | 16 | 3 | ||
รวมตลอดอาชีพ | 330 | 77 | 48 | 12 | 3 | 0 | 32 | 10 | 10 | 3 | 423 | 103 |
9.2. ทีมชาติ
ทีมชาติ | ปี | ลงสนาม | ประตู |
---|---|---|---|
โปรตุเกส | 1983 | 1 | 0 |
1984 | 4 | 0 | |
1985 | 4 | 1 | |
1986 | 4 | 0 | |
1987 | 2 | 0 | |
1988 | 1 | 0 | |
1989 | 4 | 1 | |
1990 | 1 | 0 | |
1991 | 8 | 2 | |
1992 | 3 | 0 | |
1993 | 8 | 2 | |
1994 | 0 | 0 | |
1995 | 1 | 0 | |
รวม | 41 | 6 |
10. รางวัลและเกียรติประวัติ
ปอร์โต้
- ปรีไมราลีกา: 1984-85, 1985-86
- ซูเปอร์ตาซา กังดีดู เด โอลีเวย์รา: 1984, 1986
- ยูโรเปียนคัพ: 1986-87
แอตเลติโก มาดริด
- โคปา เดล เรย์: 1990-91, 1991-92
เบนฟิกา
- ตาซา เด ปอร์ตูกัล: 1992-93
เอซี มิลาน
- เซเรียอา: 1995-96
ส่วนบุคคล
- นักฟุตบอลโปรตุเกสแห่งปี: 1986, 1987
- บัลลงดอร์: อันดับ 2 (1987)
- เวิลด์ ซอกเกอร์: 100 ผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล