1. ภาพรวม
สาธารณรัฐโตโก République togolaiseเรปูว์บลีก ตอกอแลซภาษาฝรั่งเศส หรือ โตโก เป็นประเทศในแอฟริกาตะวันตก มีพรมแดนทางทิศตะวันตกติดกับประเทศกานา ทางทิศตะวันออกติดกับประเทศเบนิน และทางทิศเหนือติดกับประเทศบูร์กินาฟาโซ ส่วนทางทิศใต้จรดอ่าวกินีซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงคือโลเม โตโกครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 57.00 K km2 และมีประชากรประมาณ 8 ล้านคน ประเทศนี้เป็นหนึ่งในประเทศพัฒนาน้อยที่สุด มีความกว้างของประเทศไม่ถึง 115 km ระหว่างกานาและเบนิน
ประวัติศาสตร์ของโตโกมีความซับซ้อน เริ่มตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานของชนเผ่าต่าง ๆ ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 11 ถึง 16 ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ถึง 18 ภูมิภาคชายฝั่งทะเลของโตโกกลายเป็นศูนย์กลางการค้าทาสของชาวยุโรป ทำให้โตโกและพื้นที่โดยรอบถูกเรียกว่า "ชายฝั่งทาส" ในปี 1884 จักรวรรดิเยอรมันได้ประกาศให้ภูมิภาคนี้รวมถึงโตโกเป็นรัฐในอารักขาในชื่อโตโกแลนด์ หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การปกครองโตโกได้ถูกโอนไปยังประเทศฝรั่งเศส โตโกได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสในปี 1960 อย่างไรก็ตาม ในปี 1967 ญาซิงเบ เอยาเดมา ได้ก่อรัฐประหารและขึ้นเป็นประธานาธิบดี ปกครองประเทศในฐานะรัฐพรรคเดียวที่มีแนวทางต่อต้านคอมมิวนิสต์เป็นเวลายาวนานถึง 38 ปี ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผู้นำที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์แอฟริกาสมัยใหม่ หลังจากการถึงแก่อสัญกรรมของเขาในปี 2005 โฟร์ ญาซิงเบ บุตรชายของเขา ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสืบต่อมา และยังคงอยู่ในอำนาจจนถึงปัจจุบัน ท่ามกลางข้อกังขาเกี่ยวกับกระบวนการทางประชาธิปไตยและสถานการณ์สิทธิมนุษยชน
โตโกเป็นประเทศเขตร้อนในแอฟริกาใต้สะฮารา เศรษฐกิจส่วนใหญ่พึ่งพาเกษตรกรรม ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการ แต่ก็มีการใช้ภาษาพื้นเมืองอื่น ๆ โดยเฉพาะภาษาในกลุ่มกลุ่มภาษาเกบ ศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดคือศาสนาคริสต์ (ประมาณ 42-48% ตามแหล่งข้อมูลต่าง ๆ) ตามมาด้วยความเชื่อดั้งเดิมและศาสนาอิสลาม โตโกเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ สหภาพแอฟริกา องค์การความร่วมมืออิสลาม ฟรังโคโฟนี เครือจักรภพแห่งประชาชาติ และประชาคมเศรษฐกิจรัฐแอฟริกาตะวันตก
2. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของโตโกครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ การเข้ามาของอิทธิพลจากภายนอก การตกเป็นอาณานิคม การต่อสู้เพื่อเอกราช และพัฒนาการทางการเมืองและสังคมในยุคหลังเอกราชจนถึงปัจจุบัน
2.1. ก่อนได้รับเอกราช
ภูมิภาคโตโกก่อนการเข้ามาของชาติตะวันตกมีลักษณะเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายกลุ่ม ต่อมาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายการค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก และท้ายที่สุดตกอยู่ภายใต้อำนาจอาณานิคม
2.1.1. ประวัติศาสตร์ยุคแรกและชายฝั่งทาส
หลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่าชนเผ่าโบราณในภูมิภาคนี้มีความสามารถในการผลิตเครื่องปั้นดินเผาและแปรรูปเหล็ก ชื่อ "โตโก" มาจากภาษาเอเว ซึ่งแปลว่า "หลังแม่น้ำ" หรือ "หมู่บ้านริมฝั่งแม่น้ำ" ในช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 11 ถึง 16 มีชนเผ่าต่าง ๆ อพยพเข้ามาในภูมิภาคนี้ กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ ชาวเอเวจากทางตะวันตก และกลุ่มภาษามีนา (ส่วนหนึ่งของชาวเกน) และชาวฟอนจากทางตะวันออก ส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานบริเวณชายฝั่ง
ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ชาวโปรตุเกสเป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงชายฝั่งของโตโก ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 16 การค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้เริ่มต้นขึ้น และตลอดสองศตวรรษถัดมา (คริสต์ศตวรรษที่ 16 ถึง 18) ภูมิภาคชายฝั่งของโตโกได้กลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญสำหรับชาวยุโรปที่ต้องการทาส ทำให้โตโกและพื้นที่โดยรอบถูกเรียกว่า "ชายฝั่งทาส" (The Slave Coast) เมืองปตี-โปโป (Petit-Popo) หรืออาเนโฮในปัจจุบัน เป็นท่าเรือสำคัญในการขนส่งทาส ในช่วงแรกโปรตุเกสมีอิทธิพล ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ฝรั่งเศสได้พยายามเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคนี้ แต่ยังไม่มีการจัดตั้งอำนาจรัฐขนาดใหญ่ในพื้นที่นี้จนกระทั่งถึงยุคอาณานิคม
2.1.2. การปกครองอาณานิคมของเยอรมนี (โตโกแลนด์)

ในปี 1884 นักสำรวจชาวเยอรมัน กุสตาฟ นัคติกัล ได้ลงนามในสนธิสัญญากับพระเจ้ามลาปาที่ 3 (King Mlapa III) แห่งเมืองโตโกวิลล์ ส่งผลให้จักรวรรดิเยอรมันอ้างสิทธิ์ในการเป็นรัฐในอารักขาเหนือดินแดนแถบชายฝั่ง และค่อย ๆ ขยายอำนาจควบคุมเข้าไปในแผ่นดินตอนใน อาณาเขตของโตโกแลนด์ (Togoland) ถูกกำหนดขึ้นหลังจากการยึดครองดินแดนส่วนในโดยกองกำลังเยอรมันและการลงนามในข้อตกลงกับฝรั่งเศสและอังกฤษ ในปี 1905 ดินแดนนี้ได้กลายเป็นอาณานิคมของเยอรมนีอย่างเป็นทางการ
ภายใต้การปกครองของเยอรมนี ประชากรท้องถิ่นถูกบังคับใช้แรงงาน ปลูกฝ้าย กาแฟ และโกโก้ และต้องจ่ายภาษี มีการสร้างทางรถไฟและท่าเรือโลเมเพื่อการส่งออกสินค้าเกษตร ชาวเยอรมันได้นำเทคนิคการเพาะปลูกโกโก้ กาแฟ และฝ้ายเข้ามาใช้ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานบางส่วนเพื่อประโยชน์ในการแสวงหาผลประโยชน์จากอาณานิคม
2.1.3. หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (การแบ่งแยกและปกครองโดยอังกฤษและฝรั่งเศส)
เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุขึ้นในปี 1914 โตโกแลนด์ถูกรุกรานอย่างรวดเร็วโดยกองกำลังผสมของสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสจากอาณานิคมข้างเคียง การทัพโตโกแลนด์สิ้นสุดลงด้วยการยอมจำนนของกองกำลังเยอรมันในวันที่ 26 สิงหาคม 1914 จากนั้นได้มีการจัดตั้งการปกครองร่วมแบบคอนโดมิเนียมแองโกล-ฝรั่งเศสขึ้นชั่วคราว
ในวันที่ 7 ธันวาคม 1916 การปกครองร่วมสิ้นสุดลง และโตโกแลนด์ถูกแบ่งออกเป็นเขตปกครองของอังกฤษและฝรั่งเศสอย่างชัดเจน ต่อมาในวันที่ 20 กรกฎาคม 1922 สันนิบาตชาติได้มอบอาณัติให้บริเตนใหญ่ปกครองโตโกแลนด์ส่วนตะวันตก (คิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของดินแดนทั้งหมด) เรียกว่าบริติชโตโกแลนด์ และให้ฝรั่งเศสปกครองโตโกแลนด์ส่วนตะวันออก (คิดเป็นประมาณสองในสามของดินแดน) เรียกว่าเฟรนช์โตโกแลนด์ ในปี 1945 ดินแดนในส่วนของฝรั่งเศสได้รับสิทธิในการส่งผู้แทน 3 คนเข้าร่วมรัฐสภาฝรั่งเศส
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ดินแดนในอาณัติทั้งสองส่วนได้กลายเป็นดินแดนในภาวะทรัสตีของสหประชาชาติ โดยยังคงอยู่ภายใต้การบริหารของอังกฤษและฝรั่งเศสตามเดิม เมื่อกระแสการเรียกร้องเอกราชในแอฟริกาเริ่มแรงขึ้นในช่วงทศวรรษ 1950 ชาวเอเวซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลักที่อาศัยอยู่กระจัดกระจายในดินแดนทั้งสองส่วนได้เรียกร้องให้มีการรวมดินแดนโตโกแลนด์เป็นหนึ่งเดียว อย่างไรก็ตาม ในปี 1956 ได้มีการจัดประชามติในบริติชโตโกแลนด์ ผลปรากฏว่าเสียงส่วนใหญ่สนับสนุนการรวมเข้ากับโกลด์โคสต์ซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษที่อยู่ทางตะวันตก และในปี 1957 บริติชโตโกแลนด์ก็ได้รวมเข้ากับโกลด์โคสต์เพื่อก่อตั้งเป็นประเทศกานาที่ได้รับเอกราช
ในส่วนของเฟรนช์โตโกแลนด์ ในปี 1946 ได้มีการจัดตั้งสภานิติบัญญัติท้องถิ่น และในปี 1956 จากผลการลงประชามติ ดินแดนนี้ได้รับสถานะเป็นสาธารณรัฐปกครองตนเองภายในสหภาพฝรั่งเศส โดยฝรั่งเศสยังคงควบคุมด้านกลาโหม การต่างประเทศ และการคลัง ในช่วงเวลานี้ได้มีการก่อตั้งพรรคการเมืองที่สำคัญขึ้นหลายพรรค เช่น คณะกรรมการเอกภาพโตโก (Comité de l'unité togolaiseCUTภาษาฝรั่งเศส) ของซิลวานัส โอลิมปิโอ ซึ่งมีฐานเสียงในหมู่ชาวเอเวทางใต้และเรียกร้องเอกราชโดยสมบูรณ์, พรรคก้าวหน้าโตโก (Parti togolais du progrèsPTPภาษาฝรั่งเศส) ของนีกอลา กรุนิตสกี ซึ่งก็มีฐานเสียงในหมู่ชาวเอเวเช่นกันแต่มีแนวทางสนับสนุนฝรั่งเศสมากกว่า และสหภาพหัวหน้าและประชากรภาคเหนือ (Union des chefs et des populations du NordUCPNภาษาฝรั่งเศส) ของอ็องตวน เมอัตชี ซึ่งมีฐานเสียงในภาคเหนือ ในการเลือกตั้งปี 1958 พรรค CUT ได้รับชัยชนะและครองเสียงข้างมากในสภา
2.2. หลังได้รับเอกราช
โตโกในยุคหลังได้รับเอกราชต้องเผชิญกับความท้าทายทางการเมืองหลายประการ รวมถึงการรัฐประหาร การปกครองแบบเผด็จการ และความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อพัฒนาการทางประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศ
2.2.1. รัฐบาลซิลวานัส โอลิมปิโอ และการรัฐประหาร

สาธารณรัฐโตโกได้รับการประกาศเอกราชเมื่อวันที่ 27 เมษายน 1960 ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งแรกในปี 1961 ซิลวานัส โอลิมปิโอ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนแรก โดยได้รับคะแนนเสียง 100% เนื่องจากการเลือกตั้งถูกคว่ำบาตรโดยฝ่ายค้าน เมื่อวันที่ 9 เมษายน 1961 ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐโตโก ซึ่งกำหนดให้สมัชชาแห่งชาติเป็นองค์กรนิติบัญญัติสูงสุด
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของโอลิมปิโอเริ่มมีแนวโน้มไปสู่การเป็นเผด็จการมากขึ้น ในเดือนธันวาคม 1961 ผู้นำพรรคฝ่ายค้านถูกจับกุมในข้อกล่าวหาเตรียมการสมคบคิดต่อต้านรัฐบาล และมีการออกกฤษฎีกายุบพรรคฝ่ายค้าน ทำให้เกิดระบบพรรคเดียว โอลิมปิโอพยายามลดการพึ่งพาฝรั่งเศสโดยการสร้างความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเยอรมนีตะวันตก นอกจากนี้ เขายังปฏิเสธข้อเรียกร้องของทหารฝรั่งเศสที่ปลดประจำการจากสงครามแอลจีเรียและพยายามจะเข้ารับตำแหน่งในกองทัพโตโก ปัจจัยเหล่านี้ได้นำไปสู่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 13 มกราคม 1963 ซึ่งโอลิมปิโอถูกลอบสังหารโดยกลุ่มทหารภายใต้การนำของจ่าสิบเอกญาซิงเบ เอยาเดมา มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในโตโก
ฝ่ายทหารได้ส่งมอบอำนาจให้กับรัฐบาลเฉพาะกาลที่นำโดยนีกอลา กรุนิตสกี ซึ่งเดินทางกลับจากการลี้ภัย ในเดือนพฤษภาคม 1963 กรุนิตสกีได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี รัฐบาลใหม่ได้ดำเนินนโยบายพัฒนาความสัมพันธ์กับฝรั่งเศส เป้าหมายหลักของกรุนิตสกีคือการลดความแตกแยกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ และนำระบบหลายพรรคการเมืองกลับมาใช้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของเขากลับประสบปัญหาความขัดแย้งภายในระหว่างกลุ่มการเมืองจากภาคใต้ที่นำโดยกรุนิตสกีเอง และกลุ่มการเมืองจากภาคเหนือที่นำโดยรองประธานาธิบดีอ็องตวน เมอัตชี ทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพ
2.2.2. การปกครองระยะยาวของญาซิงเบ เอยาเดมา

เมื่อวันที่ 13 มกราคม 1967 ญาซิงเบ เอยาเดมา (ขณะนั้นมียศเป็นพันโท) ได้ก่อรัฐประหารโค่นล้มประธานาธิบดีกรุนิตสกีโดยไม่มีการนองเลือด และขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนเมษายนปีเดียวกัน เขาได้ก่อตั้งพรรค Rally of the Togolese People (RPT) และสั่งห้ามกิจกรรมของพรรคการเมืองอื่น ๆ ทั้งหมด พร้อมทั้งสถาปนาระบบพรรคการเมืองเดียวในเดือนพฤศจิกายน 1969 เอยาเดมาได้รับเลือกตั้งอีกครั้งในปี 1979 และ 1986
ในช่วงทศวรรษ 1970 ราคาฟอสเฟตซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของโตโกปรับตัวสูงขึ้น ทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นและสามารถนำไปใช้ในการเสริมสร้างฐานอำนาจของตนเองได้ อย่างไรก็ตาม ในทศวรรษ 1980 ราคาฟอสเฟตตกต่ำลง ส่งผลให้เศรษฐกิจโตโกเข้าสู่ภาวะถดถอยเป็นเวลานาน ในปี 1983 รัฐบาลได้ริเริ่มโครงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และในปี 1991 ได้มีการอนุญาตให้พรรคการเมืองอื่น ๆ ดำเนินกิจกรรมได้อีกครั้ง
กระแสเรียกร้องประชาธิปไตยที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1990 นำไปสู่การจัดการประชุมแห่งชาติ (National Conference) ในเดือนกรกฎาคม 1991 ซึ่งได้จัดตั้งรัฐบาลเปลี่ยนผ่านเพื่อประชาธิปไตยขึ้น โดยมีโจเซฟ โกกู โกฟิโก ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และอำนาจของประธานาธิบดีเอยาเดมาถูกลดทอนลง อย่างไรก็ตาม กลุ่มพลังประชาธิปไตยมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับเอยาเดมาและเกิดความแตกแยกภายในกลุ่มเอง ในขณะที่เอยาเดมายังคงกุมอำนาจทางทหารไว้ได้ ทำให้เขาสามารถค่อย ๆ ฟื้นคืนอำนาจกลับมา ในเดือนธันวาคม 1991 กองทัพที่ภักดีต่อเอยาเดมาได้เข้าโจมตีทำเนียบนายกรัฐมนตรี บีบบังคับให้โกฟิโกต้องจัดตั้งรัฐบาลผสมกับฝ่ายเอยาเดมา ส่งผลให้อำนาจที่แท้จริงกลับไปอยู่ในมือของเอยาเดมาอีกครั้ง
ในปี 1993 สหภาพยุโรปได้ระงับความร่วมมือกับโตโก โดยระบุว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่เอยาเดมาได้รับชัยชนะในปี 1993, 1998 และ 2003 เป็นการยึดอำนาจอย่างไม่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนสิงหาคม 1993 เป็นการเลือกตั้งแบบหลายพรรคครั้งแรกหลังจากการปกครองแบบพรรคเดียวสิ้นสุดลง เอยาเดมาได้รับชัยชนะ ในการเลือกตั้งรัฐสภาเดือนกุมภาพันธ์ 1994 พรรค RPT ของเอยาเดมาสูญเสียเสียงข้างมาก โดยพรรค Committee for Action and Renewal (CAR) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน กลายเป็นพรรคที่มีเสียงมากที่สุด เอยาเดมาได้แต่งตั้งเอเดม กอดโจ ผู้นำพรรค Togolese Union for Democracy (UTD) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านอีกพรรคหนึ่ง เป็นนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม ในการเลือกตั้งเดือนสิงหาคม 1996 พรรค RPT กลับมาชนะและได้เสียงข้างมากอีกครั้ง นายกรัฐมนตรีกอดโจจึงลาออก เอยาเดมาได้แต่งตั้งควาสซี คลุตเซ สมาชิกพรรค RPT เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ การเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนมิถุนายน 1998 เอยาเดมาชนะอีกครั้ง ท่ามกลางข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตจากฝ่ายค้าน ในการเลือกตั้งรัฐสภาเดือนมีนาคม 1999 ซึ่งฝ่ายค้านส่วนใหญ่คว่ำบาตร พรรค RPT ได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลาย โดยได้ที่นั่ง 79 จาก 81 ที่นั่ง เอยาเดมาได้แต่งตั้งเออแฌน กอฟี อาดอบอลี เป็นนายกรัฐมนตรีในเดือนพฤษภาคม แต่ในเดือนสิงหาคม 2000 อาดอบอลีก็ลาออกหลังถูกสภาลงมติไม่ไว้วางใจ เอยาเดมาจึงแต่งตั้งอักเบโยเม กอดโจ เป็นนายกรัฐมนตรีแทน
ในเดือนมิถุนายน 2002 อักเบโยเม กอดโจ ถูกปลดออกจากตำแหน่ง และกอฟี ซามา สมาชิกพรรค RPT ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน พรรคฝ่ายค้านหลัก 4 พรรคได้รวมตัวกันจัดตั้งพันธมิตรต่อต้านพรรค RPT การเลือกตั้งรัฐสภาในเดือนตุลาคม 2002 ซึ่งฝ่ายค้านยังคงคว่ำบาตร พรรค RPT ก็ได้รับชัยชนะอีกครั้งโดยได้ 72 จาก 81 ที่นั่ง และในเดือนธันวาคม 2002 รัฐสภาที่ถูกครอบงำโดยพรรค RPT ได้ลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญยกเลิกข้อจำกัดการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไม่เกิน 3 วาระ เปิดทางให้เอยาเดมาสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้อีก ในเดือนพฤศจิกายน 2003 ได้มีการเริ่มก่อสร้างทำเนียบประธานาธิบดีแห่งใหม่ด้วยความช่วยเหลือจากประเทศจีน
ญาซิงเบ เอยาเดมา ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2005 ขณะเดินทางไปรักษาตัวที่ฝรั่งเศส การปกครองอันยาวนาน 38 ปีของเขาสิ้นสุดลง เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์แอฟริกาสมัยใหม่ ซึ่งการปกครองของเขามีลักษณะเป็นเผด็จการและส่งผลกระทบอย่างมากต่อพัฒนาการทางประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในโตโก
2.2.3. การปกครองของโฟร์ ญาซิงเบ และความขัดแย้งทางการเมือง

หลังการถึงแก่อสัญกรรมของญาซิงเบ เอยาเดมา เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2005 กองทัพได้แต่งตั้ง โฟร์ ญาซิงเบ บุตรชายของเขา ขึ้นเป็นประธานาธิบดีทันที ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ประธานรัฐสภาคือ ฟองบาเร อูอัตตารา นัตชาบา รักษาการในตำแหน่งประธานาธิบดี การสืบทอดอำนาจนี้ถูกประณามจากนานาชาติอย่างกว้างขวาง (ยกเว้นฝรั่งเศส) และผู้นำแอฟริกาบางคน เช่น อับดูลาเย วาเด แห่งเซเนกัล และโอลูเซกุน โอบาซันโจ แห่งไนจีเรีย ได้ให้การสนับสนุน ทำให้เกิดความแตกแยกภายในสหภาพแอฟริกา (AU) ซึ่งเรียกการกระทำดังกล่าวว่าเป็นการรัฐประหาร
ภายใต้แรงกดดันจากนานาชาติและองค์การสหประชาชาติ รวมถึงการประท้วงและความวุ่นวายภายในประเทศที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 400-500 คน (ตามรายงานของสหประชาชาติ) และผู้ลี้ภัยราว 40,000 คน โฟร์ ญาซิงเบ ได้ลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ และยินยอมให้มีการจัดการเลือกตั้ง รัฐสภาได้แต่งตั้งบงโฟห์ อับบาส รองประธานรัฐสภา เป็นประธานาธิบดีรักษาการจนกว่าจะมีการเลือกตั้ง
ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2005 โฟร์ ญาซิงเบ ได้รับชัยชนะด้วยคะแนนเสียงกว่า 60% เอาชนะคู่แข่งคนสำคัญคือ เอ็มมานูเอล บ็อบ-อากีตานี จากพรรค Union of Forces for Change (UFC) ฝ่ายค้านกล่าวหาว่ามีการทุจริตการเลือกตั้งอย่างกว้างขวาง เนื่องจากขาดการกำกับดูแลจากสหภาพยุโรปหรือผู้สังเกตการณ์อิสระอื่น ๆ โฟร์ ญาซิงเบ เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในวันที่ 3 พฤษภาคม 2005 สหภาพแอฟริกาและสหรัฐอเมริกากล่าวว่าการเลือกตั้ง "ค่อนข้างยุติธรรม" ขณะที่สหภาพยุโรประงับความช่วยเหลือเพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหาของฝ่ายค้าน ในเดือนมิถุนายน โฟร์ ญาซิงเบ ได้แต่งตั้งเอเดม กอดโจ ผู้นำฝ่ายค้าน เป็นนายกรัฐมนตรี
การเลือกตั้งรัฐสภาในเดือนตุลาคม 2007 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้ระบบสัดส่วนที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ภาคเหนือที่มีประชากรน้อยกว่า สามารถมีจำนวน ส.ส. เท่ากับภาคใต้ที่มีประชากรมากกว่า พรรค Rally of the Togolese People (RPT) ที่สนับสนุนประธานาธิบดีได้รับเสียงข้างมาก ตามมาด้วยพรรค UFC มีข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตการเลือกตั้ง โดยผู้สังเกตการณ์จากสหภาพยุโรปได้บันทึกถึงบัตรเสียและการลงคะแนนที่ผิดกฎหมาย ในเดือนธันวาคม 2007 กอมลัน มัลลี จากพรรค RPT ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาในเดือนกันยายน 2008 มัลลีได้ลาออกจากตำแหน่ง
โฟร์ ญาซิงเบ ชนะการเลือกตั้งอีกครั้งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเดือนมีนาคม 2010 โดยได้คะแนนเสียง 61% เอาชนะฌ็อง-ปีแยร์ ฟาเบร จากพรรค UFC ผู้สังเกตการณ์ระบุถึง "ข้อผิดพลาดในกระบวนการ" และปัญหาทางเทคนิค ฝ่ายค้านไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งและมีการประท้วงเป็นระยะ ในเดือนพฤษภาคม 2010 กิลคริสต์ โอลิมปิโอ ผู้นำฝ่ายค้าน ได้ประกาศเข้าร่วมข้อตกลงแบ่งปันอำนาจกับรัฐบาล ทำให้พรรค UFC ได้ตำแหน่งรัฐมนตรี 8 ตำแหน่ง
ในเดือนเมษายน 2015 โฟร์ ญาซิงเบ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สาม ตระกูลญาซิงเบได้ปกครองโตโกมาตั้งแต่ปี 1967 ทำให้เป็นราชวงศ์ที่ปกครองยาวนานที่สุดในแอฟริกา
2.2.4. สถานการณ์ทางการเมืองตั้งแต่ปี 2017 และการปฏิรูปรัฐธรรมนูญปี 2024

ในปี 2017 ได้เกิดการประท้วงต่อต้านรัฐบาลขึ้นอย่างกว้างขวาง องค์การสหประชาชาติได้ประณามการปราบปรามผู้ประท้วงโดยกองกำลังความมั่นคง รัฐมนตรีต่างประเทศของแกมเบีย อุสไซนู ดาร์โบ ได้กล่าวเรียกร้องให้ประธานาธิบดีญาซิงเบลาออก ก่อนที่จะมีการแก้ไขคำพูดในภายหลัง
ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเดือนกุมภาพันธ์ 2020 โฟร์ ญาซิงเบ ได้รับชัยชนะเป็นสมัยที่สี่ ด้วยคะแนนเสียงประมาณ 72% เอาชนะคู่แข่งที่ใกล้ที่สุดคืออดีตนายกรัฐมนตรีอักเบโยเม กอดโจ ซึ่งได้คะแนนเสียง 18% ฝ่ายค้านยังคงกล่าวหาเรื่องการทุจริตและความไม่ปกติในการเลือกตั้งเช่นเคย เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2020 พันเอกบิตาลา มัดจูลบา ผู้บัญชาการกองพันทหารโตโก ถูกพบเสียชีวิตในห้องทำงานของเขา มีการเปิดการสอบสวนคดีนี้ ส่งผลให้นายพลกาดังกา อาบาโล เฟลิกซ์ ถูกดำเนินคดีในข้อหามีส่วนร่วมในการลอบสังหารมัดจูลบาและ 'สมคบคิดต่อต้านความมั่นคงภายในของรัฐ'
การปฏิรูปรัฐธรรมนูญปี 2024
ในเดือนมีนาคม 2024 ประธานาธิบดีโฟร์ ญาซิงเบ ได้เสนอรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายประการ ประการสำคัญคือการเปลี่ยนระบบการปกครองจากระบบประธานาธิบดีไปเป็นระบบรัฐสภา อำนาจของประธานาธิบดีถูกลดทอนลงให้เป็นเพียงตำแหน่งทางพิธีการ ในขณะที่อำนาจของรัฐสภาและนายกรัฐมนตรี (ซึ่งเปลี่ยนชื่อตำแหน่งเป็น "ประธานสภาบริหาร" Président du Conseil des Ministresประธานสภาบริหารภาษาฝรั่งเศส) ได้รับการเสริมสร้างให้เข้มแข็งขึ้น วาระการดำรงตำแหน่งของประธานสภาบริหารคือ 6 ปี และสามารถต่ออายุได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง ในขณะที่วาระของประธานาธิบดีลดลงจาก 5 ปีเหลือ 4 ปี และต่ออายุได้เพียงครั้งเดียว
ในเดือนเมษายน 2024 รัฐสภาโตโกได้ลงมติเห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2024 การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากฝ่ายค้านและนักสังเกตการณ์ทางการเมืองว่าเป็นการปูทางให้ประธานาธิบดีโฟร์ ญาซิงเบ และพรรคของเขาสามารถรักษาอำนาจไว้ได้อย่างต่อเนื่องผ่านตำแหน่งประธานสภาบริหาร ซึ่งมีอำนาจบริหารที่แท้จริงและไม่มีข้อจำกัดเรื่องวาระการดำรงตำแหน่ง การปฏิรูปดังกล่าวจึงถูกมองว่าเป็นความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงข้อจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีที่เคยมีการแก้ไขในปี 2019 และส่งผลกระทบต่อหลักการประชาธิปไตยและสิทธิพลเมืองในการเลือกผู้นำประเทศโดยตรง
2.2.5. การเข้าร่วมเครือจักรภพแห่งประชาชาติ
โตโกได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือจักรภพแห่งประชาชาติในเดือนมิถุนายน 2022 พร้อมกับประเทศกาบอง ในการประชุมสุดยอดผู้นำเครือจักรภพ (CHOGM) ที่กรุงคิกาลี ประเทศรวันดา รัฐมนตรีต่างประเทศ รอแบร์ ดูเซ กล่าวว่า โตโกคาดหวังว่าการเป็นสมาชิกเครือจักรภพจะช่วยเปิดตลาดส่งออกใหม่ ๆ เข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับโครงการพัฒนา และสร้างโอกาสให้พลเมืองโตโกได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษ รวมถึงเข้าถึงทรัพยากรทางการศึกษาและวัฒนธรรมใหม่ ๆ เขายังกล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ประเทศต้องการขยาย "เครือข่ายทางการทูต การเมือง และเศรษฐกิจ" และ "สร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษ" การเข้าร่วมครั้งนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในนโยบายต่างประเทศของโตโก และเป็นการขยายอิทธิพลของเครือจักรภพในกลุ่มประเทศที่ไม่ได้มีประวัติศาสตร์เป็นอาณานิคมของอังกฤษโดยตรง
3. ภูมิศาสตร์


โตโกตั้งอยู่ในแอฟริกาตะวันตก มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 56.79 K km2 พรมแดนทางทิศตะวันตกติดกับประเทศกานา ทางทิศตะวันออกติดกับประเทศเบนิน และทางทิศเหนือติดกับประเทศบูร์กินาฟาโซ ส่วนทางทิศใต้มีความยาวชายฝั่งประมาณ 56 km จรดอ่าวกินี ประเทศโตโกมีลักษณะเป็นแนวยาวจากเหนือจรดใต้ประมาณ 510 km ในขณะที่ส่วนกว้างที่สุดจากตะวันออกไปตะวันตกมีเพียง 140 km และส่วนที่แคบที่สุดกว้างเพียง 45 km โตโกตั้งอยู่ทางเหนือของเส้นศูนย์สูตร ระหว่างละติจูด 6° ถึง 11° เหนือ และลองจิจูด 0° ถึง 2° ตะวันออก
3.1. ลักษณะภูมิประเทศและแนวชายฝั่ง

ลักษณะภูมิประเทศของโตโกมีความหลากหลาย ทางตอนใต้เป็นที่ราบชายฝั่ง ประกอบด้วยลากูนและหาดทราย ถัดเข้ามาเป็นที่ราบสูงสะวันนาและป่าโปร่ง ตอนกลางของประเทศมีลักษณะเป็นเนินเขา โดยมีเทือกเขาอาตาโกราทอดตัวจากตะวันออกเฉียงเหนือไปยังตะวันตกเฉียงใต้ ยอดเขาที่สูงที่สุดในโตโกคือยอดเขาอากู (Mont Agou) มีความสูง 986 m เหนือระดับน้ำทะเล ทางตอนเหนือของประเทศเป็นที่ราบสูงสะวันนาแบบลูกคลื่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเขต "ดาโฮมีย์แกป" ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีปริมาณฝนน้อยในแถบอ่าวกินี ทำให้ไม่เกิดป่าฝนหนาทึบ แต่เป็นทุ่งหญ้าสะวันนาและป่าโปร่งแทน
แม่น้ำโมโนเป็นแม่น้ำสายยาวที่สุดของประเทศ มีความยาวประมาณ 400 km ไหลจากทิศเหนือลงสู่ทิศใต้และออกสู่อ่าวกินี บริเวณชายฝั่งทะเลมีลักษณะเป็นที่ลุ่มน้ำขังและป่าชายเลน
3.2. ภูมิอากาศ
ภูมิอากาศของโตโกโดยทั่วไปเป็นแบบภูมิอากาศแบบร้อนชื้น อุณหภูมิเฉลี่ยบริเวณชายฝั่งอยู่ที่ประมาณ 23 °C ถึง 27 °C ในขณะที่ภูมิภาคทางตอนเหนือสุดมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงถึงประมาณ 30 °C โดยมีลักษณะภูมิอากาศที่แห้งกว่าและเป็นแบบทุ่งหญ้าสะวันนาเขตร้อน
ปริมาณน้ำฝนมีความแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค โดยบริเวณเนินเขาตอนในของประเทศมีปริมาณน้ำฝนมากที่สุด และจะลดน้อยลงเมื่อเคลื่อนที่ไปทางเหนือ อย่างไรก็ตาม แม้ในพื้นที่ทางตอนเหนือที่มีฝนน้อยที่สุดก็ยังคงมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยประมาณ 1.00 K mm ต่อปี ส่วนบริเวณชายฝั่งรอบ ๆ กรุงโลเมมีปริมาณน้ำฝนน้อยที่สุด เฉลี่ยประมาณ 780 mm ต่อปี
ทางตอนใต้มีฤดูฝนสองช่วง คือช่วงเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม และช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน แต่ปริมาณน้ำฝนโดยรวมไม่มากนัก ในช่วงเดือนธันวาคมถึงมกราคม จะมีลมร้อนแห้งที่เรียกว่า ฮาร์มัตตัน พัดมาจากทะเลทรายสะฮารา ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแห้งแล้งได้
3.3. ระบบนิเวศและเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ

โตโกประกอบด้วยเขตชีวภูมิภาคบนบก (terrestrial ecoregions) 3 เขต ได้แก่ ป่ากินีตะวันออก (Eastern Guinean forests), ป่าผสมทุ่งหญ้าสะวันนากินี (Guinean forest-savanna mosaic) และทุ่งหญ้าสะวันนาซูดานตะวันตก (West Sudanian savanna) บริเวณชายฝั่งทะเลมีลักษณะเป็นที่ลุ่มน้ำขังและป่าชายเลน ในปี 2019 โตโกมีคะแนนดัชนีบูรณภาพภูมิทัศน์ป่าไม้ (Forest Landscape Integrity Index) เฉลี่ยอยู่ที่ 5.88 เต็ม 10 ซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่ 92 จาก 172 ประเทศทั่วโลก
โตโกได้จัดตั้งอุทยานแห่งชาติและเขตอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างน้อย 5 แห่ง เพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ได้แก่
- เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์อับดูลาเย (Abdoulaye Faunal Reserve)
- อุทยานแห่งชาติฟาเซา มัลฟากัสซา (Fazao Malfakassa National Park)
- อุทยานแห่งชาติฟอส โอ ลียงส์ (Fosse aux Lions National Park)
- กูตามากู ดินแดนของชาวบาตามารีบา (Koutammakou) ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมด้วย
- อุทยานแห่งชาติเกร็อง (Kéran National Park)
4. การเมืองและการปกครอง
ระบบการเมืองของโตโกมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญในปี 2024 ซึ่งเปลี่ยนรูปแบบการปกครองจากระบบประธานาธิบดีไปเป็นระบบรัฐสภา อย่างไรก็ตาม ตระกูลญาซิงเบยังคงมีอิทธิพลอย่างสูงในการเมืองของประเทศ สถานการณ์สิทธิมนุษยชนยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวล
4.1. รูปแบบการปกครองและสถาบันหลัก

ก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญในปี 2024 โตโกใช้ระบบสาธารณรัฐแบบระบบประธานาธิบดี โดยประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยตรง ดำรงตำแหน่งวาระ 5 ปี เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด มีอำนาจในการเสนอกฎหมายและยุบสภา อำนาจบริหารอยู่ที่ประธานาธิบดีและรัฐบาล โดยมีนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีเป็นหัวหน้ารัฐบาล
การปฏิรูปรัฐธรรมนูญปี 2024 ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจอย่างมีนัยสำคัญ โดยเปลี่ยนไปใช้ระบบรัฐสภา บทบาทของประธานาธิบดีถูกลดทอนลงให้เป็นเพียงตำแหน่งทางพิธีการ โดยจะมาจากการเลือกตั้งโดยรัฐสภา (ไม่มีการพิจารณา) ดำรงตำแหน่งวาระเดียว 6 ปี อำนาจที่แท้จริงจะอยู่ที่ "ประธานสภาบริหาร" (Président du Conseil des Ministresประธานสภาบริหารภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งเทียบเท่ากับนายกรัฐมนตรี และมาจากหัวหน้าพรรคเสียงข้างมากในรัฐสภา ตำแหน่งนี้มีวาระ 6 ปี และสามารถต่ออายุได้โดยไม่จำกัด รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2024 การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกมองว่าเป็นการเปิดทางให้ตระกูลญาซิงเบสามารถรักษาอำนาจไว้ได้นานขึ้นผ่านตำแหน่งประธานสภาบริหาร ซึ่งมีอำนาจบริหารที่แท้จริงและไม่มีข้อจำกัดวาระการดำรงตำแหน่ง
สถาบันหลักของรัฐประกอบด้วย:
- ฝ่ายบริหาร: นำโดยประธานสภาบริหาร (นายกรัฐมนตรี) ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล และคณะรัฐมนตรี ประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐทางพิธีการ
- ฝ่ายนิติบัญญัติ: หลังการปฏิรูปปี 2024 โตโกมีระบบสองสภา ประกอบด้วย
- สมัชชาแห่งชาติ (สภาล่าง) มีสมาชิก 113 ที่นั่ง มาจากการเลือกตั้งโดยตรง วาระ 5 ปี
- วุฒิสภา (สภาสูง) มีสมาชิก 61 ที่นั่ง วาระ 6 ปี โดย 41 ที่นั่งมาจากการเลือกตั้งโดยสมาชิกสภาเทศบาลและสภาท้องถิ่น และอีก 20 ที่นั่งมาจากการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี (ก่อนปี 2025 โตโกใช้ระบบสภาเดียวคือสมัชชาแห่งชาติ)
- ฝ่ายตุลาการ: ระบบตุลาการของโตโกได้รับอิทธิพลจากระบบกฎหมายของฝรั่งเศส ประกอบด้วยศาลทั่วไปและศาลชำนัญพิเศษ อย่างไรก็ตาม ความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการยังคงเป็นประเด็นที่ถูกตั้งคำถาม โดยมีรายงานว่าได้รับอิทธิพลจากฝ่ายบริหาร
4.2. พรรคการเมืองหลักและการเลือกตั้ง
การเมืองโตโกนับตั้งแต่ได้รับเอกราช โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปี 1967 ถูกครอบงำโดยตระกูลญาซิงเบ แม้จะมีการนำระบบหลายพรรคการเมืองมาใช้ตั้งแต่ปี 1992 แต่พรรค Rally of the Togolese People (RPT) ของอดีตประธานาธิบดีญาซิงเบ เอยาเดมา และพรรคผู้สืบทอดคือ Union for the Republic (UNIR) ของประธานาธิบดีโฟร์ ญาซิงเบ ก็ยังคงเป็นพรรคที่มีอำนาจนำอย่างต่อเนื่อง
พรรคการเมืองหลัก:
- Union for the Republic (UNIR): พรรครัฐบาลปัจจุบัน สืบทอดมาจากพรรค RPT เป็นพรรคที่มีฐานเสียงกว้างขวางและมีอิทธิพลทางการเมืองสูงที่สุด
- Union of Forces for Change (UFC): เคยเป็นพรรคฝ่ายค้านหลัก มีผู้นำคนสำคัญในอดีต เช่น เอ็มมานูเอล บ็อบ-อากีตานี, ฌ็อง-ปีแยร์ ฟาเบร และกิลคริสต์ โอลิมปิโอ ในช่วงหลังได้เข้าร่วมรัฐบาลผสม
- พรรคฝ่ายค้านอื่น ๆ เช่น Committee for Action and Renewal (CAR) และ Pan-African Patriotic Convergence (CPP) ยังคงมีบทบาททางการเมือง แต่โดยทั่วไปแล้วมีขนาดเล็กกว่าและมีอิทธิพลจำกัดเมื่อเทียบกับพรรค UNIR
การเลือกตั้งในโตโกมักเผชิญกับข้อกล่าวหาเรื่องความไม่ปกติและการทุจริต:
- การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 1993, 1998, 2003 (ญาซิงเบ เอยาเดมา ชนะ) ถูกวิพากษ์วิจารณ์และนำไปสู่การคว่ำบาตรจากสหภาพยุโรป
- การเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2005 (โฟร์ ญาซิงเบ ชนะครั้งแรก) เกิดความรุนแรงและข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริต
- การเลือกตั้งรัฐสภาปี 2007 (พรรค RPT ชนะ) มีข้อกล่าวหาเรื่องการโกงการเลือกตั้ง
- การเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2010, 2015, 2020 (โฟร์ ญาซิงเบ ชนะ) ยังคงมีข้อกล่าวหาเรื่องความไม่ปกติจากฝ่ายค้าน
การเลือกตั้งรัฐสภาครั้งล่าสุดจัดขึ้นในเดือนเมษายน 2024 ซึ่งพรรค UNIR ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น ปูทางให้การปฏิรูปรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจแก่ประธานสภาบริหารสามารถดำเนินต่อไปได้ อิทธิพลของพรรค UNIR และตระกูลญาซิงเบยังคงเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางการเมืองของโตโกอย่างมาก ทำให้ฝ่ายค้านเผชิญกับความท้าทายอย่างยิ่งในการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
4.3. สถานการณ์สิทธิมนุษยชน
สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในโตโกยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวลและถูกจับตามองจากประชาคมระหว่างประเทศ องค์กรฟรีดอมเฮาส์ (Freedom House) ได้จัดอันดับโตโกให้อยู่ในกลุ่ม "ไม่เสรี" (Not Free) ในช่วงปี 1972-1998 และ 2002-2006 และอยู่ในกลุ่ม "กึ่งเสรี" (Partly Free) ในช่วงปี 1999-2001 และตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา
รายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในปี 2010 (ซึ่งยังคงสะท้อนประเด็นปัญหาที่ต่อเนื่องมา) ระบุถึงปัญหาสำคัญหลายประการ ได้แก่:
- การใช้กำลังเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่ความมั่นคง รวมถึงการทรมาน ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ
- การไม่ต้องรับโทษของผู้กระทำผิดที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ
- สภาพเรือนจำที่เลวร้ายและเป็นอันตรายต่อชีวิต
- การจับกุมและคุมขังโดยพลการ และการควบคุมตัวก่อนการพิจารณาคดีเป็นเวลานาน
- อิทธิพลของฝ่ายบริหารเหนือฝ่ายตุลาการ
- การละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของพลเมือง
- การจำกัดเสรีภาพสื่อ เสรีภาพในการชุมนุม และเสรีภาพในการเดินทาง
- การทุจริตในภาครัฐ
- การเลือกปฏิบัติและความรุนแรงต่อสตรี
- การทารุณกรรมเด็ก รวมถึงการขริบอวัยวะเพศหญิง (FGM) และการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็ก
- การเลือกปฏิบัติในระดับภูมิภาคและทางชาติพันธุ์
- การค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก
- การเลือกปฏิบัติทางสังคมต่อผู้พิการ บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ และผู้ติดเชื้อเอชไอวี
- การบังคับใช้แรงงาน รวมถึงแรงงานเด็ก
กิจกรรมทางเพศระหว่างเพศเดียวกันยังคงผิดกฎหมายในโตโก โดยมีบทลงโทษจำคุก 1 ถึง 3 ปี แม้ว่ารัฐธรรมนูญโตโกจะให้การคุ้มครองเสรีภาพในการนับถือศาสนา และโดยทั่วไปจะได้รับการเคารพในทางปฏิบัติ ศาสนาอิสลาม คาทอลิก และโปรเตสแตนต์ได้รับการยอมรับจากรัฐ กลุ่มศาสนาอื่น ๆ จะต้องจดทะเบียนเป็นสมาคมศาสนาเพื่อรับสิทธิประโยชน์ที่คล้ายคลึงกัน แต่กระบวนการจดทะเบียนมักประสบกับความล่าช้าอย่างมาก โดยมีคำขอเกือบ 900 รายการที่ค้างอยู่ ณ ต้นปี 2021
ผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางและชนกลุ่มน้อยยังคงเป็นประเด็นสำคัญ รัฐบาลและประชาคมระหว่างประเทศได้มีความพยายามในการปรับปรุงสถานการณ์สิทธิมนุษยชน แต่ความคืบหน้ายังเป็นไปอย่างเชื่องช้าและเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน
4.4. หลักนิติธรรมและระบบยุติธรรม
ระบบกฎหมายของโตโกได้รับอิทธิพลอย่างมากจากระบบกฎหมายของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผลมาจากการเป็นอดีตอาณานิคมของฝรั่งเศส ระบบยุติธรรมประกอบด้วยศาลทั่วไปและศาลชำนัญพิเศษต่าง ๆ
ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับหลักนิติธรรมและระบบยุติธรรมในโตโก ได้แก่:
- ความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการ: แม้ว่าในทางทฤษฎีฝ่ายตุลาการควรมีความเป็นอิสระ แต่ในทางปฏิบัติมีรายงานจำนวนมากที่บ่งชี้ว่าฝ่ายตุลาการยังคงได้รับอิทธิพลจากฝ่ายบริหาร ซึ่งส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือและความเป็นธรรมของกระบวนการยุติธรรม
- การเข้าถึงความยุติธรรม: ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล อาจเผชิญกับอุปสรรคในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ซึ่งรวมถึงปัญหาค่าใช้จ่าย ความล่าช้าในการดำเนินคดี และการขาดความรู้ความเข้าใจในสิทธิทางกฎหมาย
- หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย: หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายหลัก ได้แก่ ตำรวจแห่งชาติ (National Police) และกองกำลังกึ่งทหารฌ็องดาร์เมอรี (Gendarmerie Nationale Togolaise) ซึ่งทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยและบังคับใช้กฎหมาย อย่างไรก็ตาม มีข้อกังวลเกี่ยวกับการใช้อำนาจเกินกว่าเหตุและการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเจ้าหน้าที่บางส่วน
- การปฏิรูปกฎหมายและสถาบัน: มีความพยายามในการปฏิรูปกฎหมายและสถาบันที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมเพื่อเสริมสร้างหลักนิติธรรม แต่ความคืบหน้ายังคงเป็นไปอย่างจำกัดและต้องการความมุ่งมั่นทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง
สถานการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการสร้างหลักนิติธรรมที่เข้มแข็งและระบบยุติธรรมที่เป็นอิสระและเป็นธรรมสำหรับพลเมืองทุกคนในโตโก
5. เขตการปกครอง


โตโกแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 5 แคว้น (Régionแคว้นภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งแต่ละแคว้นจะแบ่งย่อยออกเป็นจังหวัด (Préfectureจังหวัดภาษาฝรั่งเศส) โดยมีทั้งหมด 30 จังหวัด (ข้อมูลบางแหล่งระบุ 39 จังหวัด ซึ่งอาจรวมหน่วยการปกครองที่เล็กกว่า) แคว้นทั้ง 5 เรียงจากเหนือจรดใต้ ได้แก่:
1. แคว้นซาวาน (Savanes Region)
- เมืองหลวง: ดาปาอง (Dapaong)
- ลักษณะ: เป็นแคว้นที่อยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศ ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูงสะวันนา มีความแห้งแล้งกว่าแคว้นอื่น ๆ เป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติเกร็องและอุทยานแห่งชาติฟอส โอ ลียงส์
2. แคว้นการา (Kara Region)
- เมืองหลวง: การา (Kara)
- ลักษณะ: เป็นแคว้นทางตอนเหนือ มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและเป็นศูนย์กลางการบริหารในภาคเหนือ เมืองการาเป็นเมืองบ้านเกิดของอดีตประธานาธิบดีญาซิงเบ เอยาเดมา และได้รับการพัฒนาอย่างมากในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง เป็นที่ตั้งของแหล่งมรดกโลกกูตามากู
3. แคว้นซ็องทราล (Centrale Region)
- เมืองหลวง: โซโคเด (Sokodé)
- ลักษณะ: ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศ เป็นศูนย์กลางการค้าและเกษตรกรรมที่สำคัญ เมืองโซโคเดเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศและเป็นศูนย์กลางของชาวมุสลิมในโตโก
4. แคว้นปลาโต (Plateaux Region)
- เมืองหลวง: อาตักปาเม (Atakpamé)
- ลักษณะ: เป็นแคว้นที่ใหญ่ที่สุด มีความหลากหลายทางภูมิประเทศตั้งแต่ที่ราบสูงไปจนถึงพื้นที่ภูเขา เป็นแหล่งเพาะปลูกกาแฟและโกโก้ที่สำคัญ ยอดเขาอากูซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดในโตโกก็ตั้งอยู่ในแคว้นนี้
5. แคว้นมารีตีม (Maritime Region)
- เมืองหลวง: โลเม (Lomé)
- ลักษณะ: เป็นแคว้นที่อยู่ทางใต้สุด ติดกับอ่าวกินี เป็นที่ตั้งของเมืองหลวงโลเม ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมของประเทศ มีประชากรหนาแน่นที่สุด และเป็นที่ตั้งของท่าเรือหลักของประเทศ
เมืองสำคัญอื่น ๆ นอกจากเมืองหลวงของแต่ละแคว้น ได้แก่ กปาลีเม (Kpalimé) ในแคว้นปลาโต ซึ่งมีชื่อเสียงด้านธรรมชาติและน้ำตก, อาเนโฮ (Aného) ในแคว้นมารีตีม ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าในยุคอาณานิคมเยอรมัน และเซวีเย (Tsévié) ในแคว้นมารีตีม ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ
6. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
นโยบายต่างประเทศของโตโกโดยทั่วไปเป็นแบบไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่มีความผูกพันทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมกับประเทศในยุโรปตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝรั่งเศสและเยอรมนี ซึ่งเป็นอดีตเจ้าอาณานิคม โตโกให้การรับรองสาธารณรัฐประชาชนจีน เกาหลีเหนือ และคิวบา และได้สถาปนาความสัมพันธ์กับอิสราเอลอีกครั้งในปี 1987 และยอมรับเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล
โตโกดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างแข็งขันและมีส่วนร่วมในองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกิจการระดับภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกและในสหภาพแอฟริกา ในปี 2017 โตโกได้ลงนามในสนธิสัญญาว่าด้วยการห้ามอาวุธนิวเคลียร์ของสหประชาชาติ การเข้าร่วมเครือจักรภพแห่งประชาชาติในปี 2022 ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในนโยบายต่างประเทศของโตโก
6.1. ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน
โตโกมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ กานา เบนิน และบูร์กินาฟาโซ ความสัมพันธ์เหล่านี้ครอบคลุมทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
- กานา: ความสัมพันธ์กับกานามีความซับซ้อนทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการแบ่งแยกดินแดนโตโกแลนด์ในอดีต ซึ่งส่วนหนึ่งได้รวมเข้ากับกานา อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันทั้งสองประเทศมีความร่วมมือกันในหลายด้าน โดยเฉพาะในกรอบของประชาคมเศรษฐกิจรัฐแอฟริกาตะวันตก (ECOWAS) มีการค้าชายแดนและการเคลื่อนย้ายผู้คนระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง
- เบนิน: โตโกและเบนินมีความคล้ายคลึงกันทางวัฒนธรรมและภาษา โดยเฉพาะในกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดน ทั้งสองประเทศมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า โดยมีเส้นทางคมนาคมเชื่อมต่อกัน
- บูร์กินาฟาโซ: บูร์กินาฟาโซเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล และต้องพึ่งพาท่าเรือของโตโกในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ทำให้ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ มีความร่วมมือด้านความมั่นคงในภูมิภาค โดยเฉพาะการรับมือกับภัยคุกคามจากกลุ่มติดอาวุธในเขตซาเฮล
ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านโดยรวมเป็นไปในทิศทางบวก แม้ว่าอาจมีประเด็นปัญหาชายแดนหรือความขัดแย้งเล็กน้อยเกิดขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว แต่โดยทั่วไปแล้วมุ่งเน้นความร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน
6.2. ความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจและประชาคมระหว่างประเทศ
โตโกมีความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจและประชาคมระหว่างประเทศในหลายระดับ:
- ฝรั่งเศส: ในฐานะอดีตเจ้าอาณานิคม ฝรั่งเศสยังคงมีอิทธิพลอย่างมากในโตโก ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม มีความช่วยเหลือทางการเงินและทางเทคนิคจากฝรั่งเศสอย่างต่อเนื่อง และฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของโตโก
- เยอรมนี: เยอรมนีเป็นอีกหนึ่งอดีตเจ้าอาณานิคม และยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับโตโก มีโครงการความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในหลายด้าน
- สหภาพยุโรป (EU): EU เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือรายใหญ่แก่โตโก แต่ความสัมพันธ์ได้หยุดชะงักไปหลายครั้งเนื่องจากประเด็นด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในช่วงการปกครองของประธานาธิบดีเอยาเดมา หลังจากการเลือกตั้งรัฐสภาในปี 2007 EU ได้เริ่มฟื้นฟูความร่วมมืออีกครั้ง
- สหรัฐอเมริกา: สหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับโตโกและให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ รวมถึงโครงการด้านสุขภาพและการพัฒนาประชาธิปไตย
- จีน: จีนได้เข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นในโตโกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การก่อสร้างทำเนียบประธานาธิบดี และเป็นคู่ค้าที่สำคัญ
- องค์กรระหว่างประเทศ: โตโกเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ สหภาพแอฟริกา และองค์กรระดับภูมิภาคอื่น ๆ ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการดำเนินนโยบายต่างประเทศและรับความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา
ประชาคมระหว่างประเทศโดยรวมให้ความสำคัญกับประเด็นด้านธรรมาภิบาล ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชนในโตโก และมักใช้ความช่วยเหลือและการคว่ำบาตรเป็นเครื่องมือในการกดดันให้เกิดการปฏิรูป
6.3. ความสัมพันธ์กับประเทศในเอเชีย (รวมถึงไทย)

โตโกได้พยายามขยายความสัมพันธ์กับประเทศในทวีปเอเชียเพื่อความหลากหลายทางเศรษฐกิจและการเมือง:
- ญี่ปุ่น: ญี่ปุ่นให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (ODA) แก่โตโกในหลายด้าน โตโกส่งออกฝ้ายและอาหารทะเลไปยังญี่ปุ่น และเคยจัดหาไม้เพื่อการฟื้นฟูหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิในญี่ปุ่นปี 2011 ผ่านองค์การไม้เขตร้อนระหว่างประเทศ (ITTO) สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ณ กรุงอาบีจาน ประเทศโกตดิวัวร์ มีเขตอาณาครอบคลุมโตโก ในขณะที่โตโกมีสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว เขตเมงูโระ ข้อมูล ณ เดือนตุลาคม 2021 มีชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่ในโตโก 3 คน และ ณ เดือนมิถุนายน 2021 มีชาวโตโกอาศัยอยู่ในญี่ปุ่น 42 คน
- เกาหลีใต้: สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับโตโกในช่วงทศวรรษ 1960 แต่ได้ตัดความสัมพันธ์ในปี 1974 และกลับมาสถาปนาความสัมพันธ์อีกครั้งในปี 1991
- อินเดีย: โตโกมีความสัมพันธ์กับอินเดีย โดยมีการพบปะระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศ เช่น การประชุมระหว่างประธานาธิบดีโฟร์ ญาซิงเบ และนายกรัฐมนตรีนเรนทระ โมที ของอินเดีย ในปี 2018
- จีน: ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น จีนเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ให้ความช่วยเหลือและคู่ค้า
สำหรับประเทศไทย ข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการทูต การค้า หรือวัฒนธรรมโดยตรงกับโตโกยังมีจำกัดในแหล่งข้อมูลที่ให้มา หากมีความสัมพันธ์ที่สำคัญ ควรมีการบันทึกไว้ โดยทั่วไปแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในแอฟริกาตะวันตกกับไทยมักเป็นไปในลักษณะพหุภาคีผ่านกรอบอาเซียน-สหภาพแอฟริกา หรือผ่านองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ
7. การทหาร

กองทัพโตโก (Forces armées togolaisesกองทัพโตโกภาษาฝรั่งเศส) ประกอบด้วยกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และกองกำลังกึ่งทหารฌ็องดาร์เมอรี (Gendarmerie) ในปีงบประมาณ 2005 งบประมาณด้านการทหารคิดเป็น 1.6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ฐานทัพหลักตั้งอยู่ในเมืองโลเม เตเมดจา การา เนียมตูกู และดาปาอง
กำลังพล (ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ อาจแตกต่างกัน):
- กองทัพบก: ประมาณ 9,000 นาย (ข้อมูลปี 2002 จากแหล่งญี่ปุ่น)
- กองทัพเรือ: ประมาณ 200 นาย
- กองทัพอากาศ: ประมาณ 250 นาย
มีการเกณฑ์ทหารแบบคัดเลือก โดยมีระยะเวลาการรับราชการ 2 ปี
ยุทโธปกรณ์หลัก:
- กองทัพอากาศ: เครื่องบินขับไล่ อัลฟาเจ็ท (Alpha Jet)
- กองทัพบก: รถถังเบาสกอร์เปียน (Scorpion), รถรบทหารราบ บีเอ็มพี-2 (BMP-2)
- กองทัพเรือ: เรือตรวจการณ์ RPB 33
ภารกิจหลักของกองทัพโตโกคือการป้องกันประเทศ รักษาความมั่นคงภายใน และอาจมีส่วนร่วมในภารกิจรักษาสันติภาพระหว่างประเทศ กองทัพโตโกมีประวัติศาสตร์การเข้ามามีบทบาททางการเมืองหลายครั้ง รวมถึงการรัฐประหารและการใช้กำลังปราบปรามประชาชน เช่น เหตุการณ์รุนแรงในปี 2005 อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โตโกได้มีความพยายามในการปรับปรุงกระบวนการประชาธิปไตย และได้ส่งกองกำลังเข้าร่วมภารกิจรักษาสันติภาพในต่างประเทศ เช่น ในประเทศมาลี มีรายงานว่าหน่วยองครักษ์ชั้นสูงของประธานาธิบดีโตโกเคยได้รับการฝึกฝนจากเบนจามิน เยเทน ผู้บัญชาการทหารไลบีเรียและอาชญากรสงครามที่ถูกต้องการตัวในระดับนานาชาติ
8. เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของโตโกพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 39% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และมีการจ้างงานประมาณ 64% ของกำลังแรงงานทั้งหมด โตโกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDC) และเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก รายได้ประชาชาติมวลรวม (GNI) ในปี 2022 อยู่ที่ 8.80 B USD และ GNI ต่อหัวในปี 2023 อยู่ที่ 1.03 K USD เศรษฐกิจของโตโกยังคงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศอย่างมาก
สกุลเงินที่ใช้คือฟรังก์ซีเอฟเอ (XOF) ซึ่งออกโดยธนาคารกลางรัฐแอฟริกาตะวันตก (BCEAO) และใช้ร่วมกันกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศในกลุ่มสหภาพเศรษฐกิจและเงินตราแห่งแอฟริกาตะวันตก (UEMOA) โตโกเป็นสมาชิกของประชาคมเศรษฐกิจรัฐแอฟริกาตะวันตก (ECOWAS) ซึ่งมีแผนจะนำสกุลเงินร่วม "เอโก" (ECO) มาใช้ในอนาคต
ความท้าทายทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ความไม่มั่นคงทางการเมืองในอดีต การลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก และหนี้ต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม โตโกมีความพยายามในการปฏิรูปเศรษฐกิจ โดยได้รับการสนับสนุนจากธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพื่อส่งเสริมการลงทุนและสร้างสมดุลระหว่างรายรับและรายจ่าย แต่ความไม่สงบทางการเมืองและการนัดหยุดงานในช่วงทศวรรษ 1990 ได้ส่งผลกระทบต่อโครงการปฏิรูปเหล่านี้ โตโกอยู่ในอันดับที่ 117 ในดัชนีนวัตกรรมโลกปี 2024 และเป็นสมาชิกขององค์การเพื่อความสอดคล้องของกฎหมายธุรกิจในแอฟริกา (OHADA)
8.1. ภาพรวมเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจโตโกโดยรวมมีลักษณะเป็นเศรษฐกิจขนาดเล็กที่พึ่งพาภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก สินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ กาแฟ โกโก้ และถั่วลิสง ซึ่งสร้างรายได้จากการส่งออกประมาณ 30% ฝ้ายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง ที่ดินที่อุดมสมบูรณ์มีสัดส่วนประมาณ 11.3% ของพื้นที่ประเทศ และส่วนใหญ่ได้รับการพัฒนาแล้ว พืชผลทางการเกษตรที่สำคัญอื่น ๆ ได้แก่ มันสำปะหลัง ข้าวหอมมะลิ ข้าวโพด และข้าวฟ่าง
ภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีความสำคัญรองลงมา ได้แก่ โรงเบียร์ และอุตสาหกรรมสิ่งทอ ราคาตลาดที่ต่ำสำหรับสินค้าส่งออกหลักของโตโก ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอนในช่วงทศวรรษ 1990 และ 2000 ส่งผลกระทบในทางลบต่อเศรษฐกิจ แม้ว่าโตโกจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการค้าและการพาณิชย์ในระดับภูมิภาค แต่ความพยายามของรัฐบาลในการปฏิรูปเศรษฐกิจ การส่งเสริมการลงทุน และการสร้างสมดุลระหว่างรายรับและรายจ่ายยังคงเผชิญกับความท้าทาย ความไม่สงบทางการเมือง รวมถึงการนัดหยุดงานของภาครัฐและเอกชนในช่วงปี 1992 และ 1993 ได้บั่นทอนโครงการปฏิรูป ลดฐานภาษี และขัดขวางกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ
8.2. อุตสาหกรรมหลัก
ภาคอุตสาหกรรมหลักที่เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจโตโก สามารถแบ่งออกได้เป็น ภาคเกษตรกรรม ภาคเหมืองแร่ และภาคการผลิตและบริการอื่น ๆ
8.2.1. เกษตรกรรม

ภาคเกษตรกรรมถือเป็น "กระดูกสันหลัง" ของเศรษฐกิจโตโก คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 28.2% ของ GDP ในปี 2012 และมีการจ้างงานประมาณ 49% ของประชากรวัยทำงานในปี 2010 สินค้าเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ กาแฟ เมล็ดโกโก้ ฝ้าย มันสำปะหลัง ข้าวโพด และข้าวฟ่าง นอกจากนี้ การผลิตข้าวหอมมะลิก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยทั่วไปแล้ว ประเทศโตโกสามารถผลิตอาหารได้เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ การผลิตปศุสัตว์ส่วนใหญ่เป็นการเลี้ยงโค
อย่างไรก็ตาม ภาคเกษตรกรรมของโตโกยังเผชิญกับความท้าทายจากการขาดแคลนเงินทุนสำหรับการจัดซื้ออุปกรณ์ชลประทานและปุ๋ย ซึ่งส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง ประเด็นความเป็นอยู่ของเกษตรกรยังคงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ รวมถึงผลกระทบของการทำเกษตรกรรมต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจำเป็นต้องมีการจัดการที่ยั่งยืนเพื่อลดผลกระทบในระยะยาว
8.2.2. เหมืองแร่

ภาคเหมืองแร่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจโตโก โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 33.9% ของ GDP ในปี 2012 และมีการจ้างงานประมาณ 12% ของประชากรในปี 2010 ทรัพยากรแร่ธาตุที่สำคัญที่สุดของโตโกคือฟอสเฟต โดยโตโกมีปริมาณสำรองฟอสเฟตมากเป็นอันดับสี่ของโลก มีกำลังการผลิตประมาณ 2.1 ล้านตันต่อปี ฟอสเฟตเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ สร้างรายได้ให้แก่ประเทศอย่างมาก ในปี 2016 ฟอสเฟตเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่ง คิดเป็น 11% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ปริมาณการผลิตฟอสเฟตมีแนวโน้มลดลงในช่วงหลัง จากที่เคยผลิตได้ 2.965 ล้านตันในปี 1991 ลดลงเหลือ 400,000 ตันในปี 2015
นอกจากฟอสเฟตแล้ว โตโกยังมีปริมาณสำรองหินปูน หินอ่อน และเกลือ การผลิตทองคำในปี 2015 อยู่ที่ 16 เมตริกตัน และมีการผลิตแร่เหล็กในปริมาณเล็กน้อย ประเด็นด้านสิทธิแรงงานในภาคเหมืองแร่และผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่นจากการทำเหมืองยังคงเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการดูแลและจัดการอย่างเหมาะสม
8.2.3. อุตสาหกรรมการผลิตและอื่น ๆ
ภาคอุตสาหกรรมการผลิตและอุตสาหกรรมอื่น ๆ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20.4% ของรายได้ประชาชาติของโตโก อุตสาหกรรมหลัก ๆ ในกลุ่มนี้ ได้แก่ อุตสาหกรรมเบา และอุตสาหกรรมก่อสร้าง การมีปริมาณสำรองหินปูนทำให้โตโกสามารถผลิตซีเมนต์ได้ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง คิดเป็นสัดส่วน 8% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดในปี 2016
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็เป็นอีกภาคส่วนหนึ่งที่มีศักยภาพในการเติบโต แม้ว่าปัจจุบันอาจจะยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ การพัฒนาในภาคอุตสาหกรรมเหล่านี้มีความสำคัญต่อการสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจและลดการพึ่งพาสินค้าเกษตรและแร่ธาตุเพียงอย่างเดียว
8.3. การค้า
การค้าเป็นภาคส่วนที่สำคัญของเศรษฐกิจโตโก โดยมีทั้งสินค้านำเข้าและส่งออกที่หลากหลาย:
สินค้านำเข้าที่สำคัญ:
- เครื่องจักรและอุปกรณ์
- ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
- อาหาร
ประเทศคู่ค้านำเข้าหลัก: (ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลง)
- ฝรั่งเศส (21.1%)
- เนเธอร์แลนด์ (12.1%)
- โกตดิวัวร์ (5.9%)
- เยอรมนี (4.6%)
- อิตาลี (4.4%)
- แอฟริกาใต้ (4.3%)
- จีน (4.1%)
สินค้าส่งออกที่สำคัญ:
- เมล็ดโกโก้
- กาแฟ
- สินค้าส่งออกต่อ (re-export of goods)
- ฟอสเฟต
- ฝ้าย
- ซีเมนต์
ประเทศคู่ค้าส่งออกหลัก: (ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลง)
- บูร์กินาฟาโซ (16.6%)
- จีน (15.4%)
- เนเธอร์แลนด์ (13%)
- เบนิน (9.6%)
- มาลี (7.4%)
สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศของโตโกได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลายประการ รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก เสถียรภาพทางการเมือง และนโยบายการค้าของประเทศคู่ค้า ดุลการค้าของโตโกมักจะขาดดุล เนื่องจากมูลค่าการนำเข้ามักจะสูงกว่ามูลค่าการส่งออก ท่าเรือโลเมมีบทบาทสำคัญในการเป็นศูนย์กลางการค้าและการขนส่งสินค้าในภูมิภาค
8.4. การปฏิรูปเศรษฐกิจและความท้าทาย
รัฐบาลโตโกได้มีความพยายามในการปฏิรูปเศรษฐกิจหลายครั้ง โดยได้รับการสนับสนุนจากธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เป้าหมายหลักของการปฏิรูปคือการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ และสร้างสมดุลระหว่างรายรับและรายจ่ายของภาครัฐ
ความพยายามในการปฏิรูปที่สำคัญ ได้แก่:
- การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ: มีความคืบหน้าในการเปิดเสรีในภาคการค้าและกิจกรรมท่าเรือ
- การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ: มีโครงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในภาคฝ้าย โทรคมนาคม และการประปา แต่โครงการเหล่านี้ประสบกับความล่าช้าและอุปสรรค
- การลดค่าเงิน: การลดค่าเงินฟรังก์ซีเอฟเอ 50% ในปี 1994 เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจครั้งใหม่
อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปเศรษฐกิจของโตโกยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ:
- ความไม่มั่นคงทางการเมือง: ความไม่สงบทางการเมืองและการนัดหยุดงานในช่วงทศวรรษ 1990 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโครงการปฏิรูปและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
- การขาดความช่วยเหลือจากต่างประเทศ: การระงับความช่วยเหลือจากสหภาพยุโรปและองค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ ในบางช่วงเวลาเนื่องจากประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการคลังของประเทศ
- ราคาพืชผลตกต่ำ: ราคาโกโก้และสินค้าเกษตรอื่น ๆ ที่ตกต่ำในตลาดโลกส่งผลกระทบต่อรายได้จากการส่งออก
- ความโปร่งใสและการบริหารจัดการภาครัฐ: ความคืบหน้าในการปฏิรูปขึ้นอยู่กับการเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงานทางการเงินของรัฐบาล และการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
- การลดขนาดกองทัพ: เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่รัฐบาลต้องเผชิญ เนื่องจากกองทัพมีบทบาทสำคัญในการรักษาอำนาจของรัฐบาล
เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นไปอย่างทั่วถึงและยั่งยืน โตโกจำเป็นต้องเอาชนะความท้าทายเหล่านี้ ส่งเสริมธรรมาภิบาล สร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจ และปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการลงทุน
9. การคมนาคม
โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมของโตโกมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการเชื่อมโยงภายในประเทศ รวมถึงการเป็นศูนย์กลางการขนส่งสำหรับประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล
9.1. ถนน
เครือข่ายถนนของโตโกมีความยาวประมาณ 7.52 K km (ข้อมูลปี 2000) ประกอบด้วยทางหลวงสายหลักสองสายคือ ทางหลวงหมายเลข N1 และ N2
- ทางหลวงหมายเลข N1 เป็นทางหลวงสายยาวที่สุดของโตโก มีความยาวประมาณ 613 km เชื่อมต่อเมืองหลวงโลเมทางตอนใต้กับเมืองดาปาองทางตอนเหนือสุด จากนั้นเชื่อมต่อไปยังบูร์กินาฟาโซ และสามารถเดินทางต่อไปยังมาลีและไนเจอร์ได้
- ทางหลวงหมายเลข N2 เชื่อมต่อกรุงโลเมกับเมืองอาเนโฮทางตะวันออก ส่วนต่อขยายของทางหลวง N2 คือทางหลวง RNIE1 หรือทางหลวงสายเลียบชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก ซึ่งเชื่อมต่อจากอาเนโฮไปยังเมืองกอตอนูในประเทศเบนิน
ทางหลวงสายเลียบชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก (Trans-West African Coastal Highway) ตัดผ่านโตโก เชื่อมโยงประเทศกับเบนินและไนจีเรียทางตะวันออก และกานาและโกตดิวัวร์ทางตะวันตก เมื่อการก่อสร้างในส่วนของไลบีเรียและเซียร์ราลีโอนแล้วเสร็จ ทางหลวงสายนี้จะเชื่อมต่อไปยังประเทศสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจรัฐแอฟริกาตะวันตก (ECOWAS) อีก 7 ประเทศ
นอกจากทางหลวงสายหลักแล้ว ยังมีถนนในประเทศและถนนท้องถิ่นที่เชื่อมโยงพื้นที่ต่าง ๆ ภายในประเทศและเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ถนนเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการขนส่งสินค้าและผู้คน และเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจโตโก
9.2. รถไฟ

เครือข่ายทางรถไฟของโตโกมีความยาวประมาณ 568 km (ข้อมูลปี 2008) ใช้รางขนาด 1.00 K mm (รางแคบ) การดำเนินงานรถไฟอยู่ภายใต้การดูแลของ Société Nationale des Chemins de Fer Togolaisบริษัทรถไฟแห่งชาติโตโกเลส (SNCT)ภาษาฝรั่งเศส ซึ่งก่อตั้งขึ้นจากการปรับโครงสร้างและเปลี่ยนชื่อมาจาก Réseau des Chemins de Fer du Togoเครือข่ายรถไฟโตโกภาษาฝรั่งเศส ในช่วงปี 1997-1998
เส้นทางรถไฟหลักในประเทศ ได้แก่:
- เส้นทางโลเม-อาเนโฮ (Lomé-Aného railway)
- เส้นทางโลเม-บลิตตา (Lomé-Blitta railway) ซึ่งเป็นเส้นทางที่ยาวที่สุด มุ่งหน้าไปทางเหนือ และขนส่งสินค้าหลักคือแร่เหล็ก
- เส้นทางโลเม-กปาลีเม (Lomé-Kpalimé railway)
- เส้นทางฮาโฮโตเอ-กเปเม (Hahotoé-Kpémé railway) ดำเนินการโดย Compagnie Togolaise des Mines du Béninบริษัทเหมืองแร่เบนินแห่งโตโก (CTMB)ภาษาฝรั่งเศส เพื่อขนส่งฟอสเฟตไปยังท่าเรือกเปเม
ทางรถไฟมีบทบาทสำคัญในการขนส่งสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะแร่ธาตุจากเหมืองไปยังท่าเรือเพื่อการส่งออก
9.3. การบิน
โตโกมีท่าอากาศยานทั้งหมด 8 แห่ง (ข้อมูลปี 2012) ประกอบด้วยท่าอากาศยานนานาชาติ 2 แห่ง และท่าอากาศยานในประเทศ 6 แห่ง
- ท่าอากาศยานนานาชาติโลเม-โทโกอิน (Lomé-Tokoin International Airport) เป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศ ตั้งอยู่ในกรุงโลเม ให้บริการเที่ยวบินทั้งในและระหว่างประเทศ และเป็นศูนย์กลางของสายการบิน ASKY Airlines ซึ่งเป็นสายการบินร่วมทุนกับรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน
- ท่าอากาศยานนานาชาติเนียมตูกู (Niamtougou International Airport) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศในเมืองเนียมตูกู ก่อตั้งขึ้นในสมัยประธานาธิบดีญาซิงเบ เอยาเดมา เพื่อพัฒนาภูมิภาคทางเหนือซึ่งเป็นฐานเสียงของเขา แต่ปัจจุบันไม่มีเที่ยวบินประจำให้บริการ
การขนส่งทางอากาศมีความสำคัญต่อการเชื่อมโยงโตโกกับประชาคมระหว่างประเทศและการเดินทางภายในประเทศ
9.4. การขนส่งทางน้ำ

การขนส่งทางน้ำในโตโกมีความสำคัญทั้งทางทะเลและทางน้ำภายในประเทศ:
- การขนส่งทางทะเล: มีศูนย์กลางอยู่ที่ท่าเรือโลเม (Port of Lomé) ซึ่งเป็นท่าเรือน้ำลึกเพียงแห่งเดียวของประเทศ และเป็นหนึ่งในท่าเรือที่สำคัญที่สุดในอ่าวกินี ท่าเรือโลเมไม่เพียงแต่ให้บริการขนส่งสินค้าเข้าและออกจากโตโกเท่านั้น แต่ยังเป็นท่าเรือผ่านแดนที่สำคัญสำหรับประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล เช่น บูร์กินาฟาโซ มาลี และไนเจอร์
- การขนส่งทางน้ำภายในประเทศ: เส้นทางน้ำที่สามารถเดินเรือได้ในโตโกมีระยะทางประมาณ 50 km (ข้อมูลปี 2011) ส่วนใหญ่เป็นการเดินเรือตามฤดูกาลในแม่น้ำโมโน ซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำฝน การขนส่งทางน้ำภายในประเทศมีบทบาทรองเมื่อเทียบกับการขนส่งทางถนนและทางทะเล
10. สังคม
สังคมโตโกมีลักษณะผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ กับอิทธิพลจากยุคอาณานิคมและกระแสโลกาภิวัตน์ การทำความเข้าใจสังคมโตโกจำเป็นต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบทางประชากร กลุ่มชาติพันธุ์ ภาษา ศาสนา รวมถึงประเด็นด้านสุขภาพและการศึกษา
10.1. ประชากร
ประชากรโตโก | |
---|---|
ปี | ล้านคน |
1950 | 1.4 |
1963 | 1.56 |
1981 | 2.72 |
1986 | 3.05 |
2000 | 5.0 |
2009 (ประมาณ) | 6.62 |
2010 (สำมะโน) | 6.19 |
2017 (ประมาณ) | 7.79 |
2022 (ประมาณ) | 8.68 |
จำนวนประชากรของโตโกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการสำรวจสำมะโนประชากรในเดือนพฤศจิกายน 2010 โตโกมีประชากร 6,191,155 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าจากจำนวนที่นับได้ในการสำรวจสำมะโนประชากรครั้งก่อนในปี 1981 ซึ่งมีประชากร 2,719,567 คน ข้อมูลประมาณการล่าสุดในปี 2022 ระบุว่าโตโกมีประชากรประมาณ 8,680,832 คน ประชากรโตโกเพิ่มขึ้นถึงห้าเท่าในช่วงปี 1961 (ปีหลังได้รับเอกราช) ถึง 2003
ประชากรส่วนใหญ่ (ประมาณ 65%) อาศัยอยู่ในหมู่บ้านในชนบท ประกอบอาชีพเกษตรกรรมหรือเลี้ยงสัตว์ ความหนาแน่นของประชากรในปี 2017 อยู่ที่ประมาณ 137 คนต่อตารางกิโลเมตร ซึ่งไม่ถือว่าต่ำ แต่มีการกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ โดยมีความหนาแน่นสูงในพื้นที่ของชาวคาบิเยทางตอนเหนือและชาวเอเวทางตอนใต้ ในขณะที่ภาคกลางมีความหนาแน่นของประชากรต่ำกว่า
เมืองหลวงโลเมมีการเติบโตของประชากรอย่างรวดเร็ว จาก 375,499 คนในปี 1981 เป็น 837,437 คนในปี 2010 และเมื่อรวมประชากรในเขตเมืองของจังหวัดกอล์ฟโดยรอบ (Lomé Agglomeration) จะมีผู้อยู่อาศัยถึง 1,477,660 คนในปี 2010
เมืองสำคัญอื่น ๆ ตามสำมะโนปี 2010 ได้แก่:
เมือง | แคว้น | ประชากร |
---|---|---|
โลเม (รวมปริมณฑล) | มารีตีม | 1,477,660 |
โซโคเด | ซ็องทราล | 117,811 |
การา | การา | 94,878 |
กปาลีเม | ปลาโต | 75,084 |
อาตักปาเม | ปลาโต | 69,261 |
ดาปาอง | ซาวาน | 58,071 |
เซวีเย | มารีตีม | 54,474 |
ภาพตัวอย่างเมืองในโตโก:




10.2. กลุ่มชาติพันธุ์


โตโกเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ โดยมีกลุ่มชาติพันธุ์ประมาณ 40 กลุ่มอาศัยอยู่ ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวแอฟริกัน (99%) กลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด ได้แก่:
- ชาวเอเว (Ewe): อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็นประมาณ 32% ของประชากรทั้งหมด (หรือ 22% ตามแหล่งข้อมูลบางแห่ง) หากพิจารณาเฉพาะบริเวณชายฝั่งทางใต้ ชาวเอเวคิดเป็นสัดส่วน 21% ของประชากร
- ชาวคาบิเย (Kabye): อาศัยอยู่ทางตอนเหนือ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่อันดับสอง คิดเป็นประมาณ 22% ของประชากร (หรือ 13% ตามแหล่งข้อมูลบางแห่ง) ตระกูลญาซิงเบซึ่งมีบทบาทสำคัญทางการเมืองของโตโกมาจากกลุ่มชาติพันธุ์นี้
- ชาวเต็ม (Tem หรือ Kotokoli) และ ชาวชามบา (Tchamba): อาศัยอยู่บริเวณตอนกลางของประเทศ
- ชาวอวาชี (Ouatchi หรือ Waci): คิดเป็นประมาณ 14% ของประชากร บางครั้งชาวเอเวและชาวอวาชีถูกจัดเป็นกลุ่มเดียวกัน แต่ชาวฝรั่งเศสที่ศึกษาทั้งสองกลุ่มถือว่าเป็นคนละกลุ่มกัน
- กลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ได้แก่ ชาวมีนา (Mina), ชาวมอสซี (Mossi), ชาวโมบา (Moba), ชาวบัสซาร์ (Bassar) และชาวโชโกสซีแห่งมองโก (Tchokossi of Mango) (ประมาณ 8%)
นอกจากนี้ยังมีผู้อพยพจากเยอรมนี ฝรั่งเศส และเลบานอนอาศัยอยู่ในโตโก ความหลากหลายทางชาติพันธุ์นี้เป็นทั้งจุดแข็งทางวัฒนธรรมและบางครั้งก็เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ทางเหนือและทางใต้
10.3. ภาษา
โตโกเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางภาษา มีภาษาพูดที่แตกต่างกันถึง 39 ภาษา ตามข้อมูลของ Ethnologue ซึ่งบางภาษาพูดโดยชุมชนที่มีสมาชิกน้อยกว่า 100,000 คน
- ภาษาฝรั่งเศส เป็นภาษาราชการเพียงภาษาเดียวของโตโก ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 (ฉบับปี 2003) ภาษาฝรั่งเศสถูกใช้ในการศึกษาอย่างเป็นทางการ ในสภานิติบัญญัติ สื่อทุกรูปแบบ การบริหารราชการ และการพาณิชย์
- ภาษาประจำชาติ: ในปี 1975 มีการกำหนดให้ภาษาพื้นเมืองสองภาษาเป็นภาษาประจำชาติ (national languages) ได้แก่
- ภาษาเอเว (ÈʋegbeเอเวกเบEwe; Evéเอเวภาษาฝรั่งเศส) เป็นภาษาที่มีการสื่อสารอย่างกว้างขวางในภาคใต้
- ภาษากาบีเย (Kabiyé) ในบริบทของโตโก ภาษาประจำชาติหมายถึงภาษาที่ได้รับการส่งเสริมในการศึกษาอย่างเป็นทางการและใช้ในสื่อ
- ภาษาพื้นเมืองอื่น ๆ : นอกจากนี้ยังมีภาษาพื้นเมืองอื่น ๆ ที่ใช้กัน เช่น ภาษาเกน (Gen), ภาษาอาจา (Aja), ภาษาโมบา (Moba), ภาษาเต็ม (Tem) ซึ่งใช้เป็นภาษาการค้าในขอบเขตจำกัดในเมืองทางตอนเหนือบางแห่ง, ภาษานชาม (Ntcham) และภาษาอีเฟ (Ife) ทางตอนเหนือยังมีการใช้ภาษาในกลุ่มภาษากูร์ เช่น ภาษามอสซี และภาษากูร์มันเชมา
- ภาษาอังกฤษ: จากการเข้าร่วมเครือจักรภพแห่งประชาชาติ รัฐบาลโตโกคาดหวังว่าจะมีโอกาสให้พลเมืองโตโกได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษมากขึ้น
แม้ว่าประชากรส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาแม่ แต่ภาษาฝรั่งเศสก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะภาษากลางในการติดต่อสื่อสารในระดับชาติและระหว่างประเทศ
10.4. ศาสนา

โตโกเป็นรัฐฆราวาส และรัฐธรรมนูญให้การรับรองเสรีภาพในการนับถือศาสนา จากข้อมูลประมาณการปี 2020 โดย Arda ศาสนาคริสต์มีผู้นับถือประมาณ 47.84%, ความเชื่อดั้งเดิมประมาณ 33.43%, ศาสนาอิสลามประมาณ 18.36%, ไม่มีศาสนาประมาณ 0.23% และศาสนาอื่น ๆ ประมาณ 1.14% การกระจายตัวของศาสนาในโตโกมีความหลากหลาย และข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ อาจมีความแตกต่างกันเล็กน้อย:
- ศาสนาคริสต์: เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุด จากข้อมูลของ The World Factbook (2023) ประมาณ 42.3% ของประชากรเป็นชาวคริสต์ ขณะที่ข้อมูลจาก Arda (2020) ระบุว่ามีประมาณ 47.8% ศาสนาคริสต์เริ่มแพร่หลายตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 หลังจากการเข้ามาของมิชชันนารีนิกายโรมันคาทอลิกชาวโปรตุเกส ชาวเยอรมันได้นำนิกายโปรเตสแตนต์เข้ามาในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อมิชชันนารีร้อยคนจากสมาคมมิชชันนารีเบรเมนถูกส่งไปยังพื้นที่ชายฝั่งของโตโกและกานา ชาวโปรเตสแตนต์ในโตโกเป็นที่รู้จักในชื่อ "เบรมา" (Brema) ซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า "เบรเมิน" (Bremen) หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มิชชันนารีชาวเยอรมันต้องเดินทางออกไป ซึ่งนำไปสู่การปกครองตนเองในระยะแรกของคริสตจักรเอเวอีแวนเจลิคัล (Ewe Evangelical Church)
- ความเชื่อดั้งเดิม (Animism): เป็นกลุ่มที่มีผู้นับถือมากรองลงมา The World Factbook (2023) ระบุว่ามีประมาณ 36.9% ขณะที่ Arda (2020) ระบุว่ามีประมาณ 33.4% ชาวโตโกจำนวนมากที่นับถือศาสนาคริสต์หรืออิสลามยังคงปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อดั้งเดิมควบคู่ไปด้วย
- ศาสนาอิสลาม: The World Factbook (2023) ระบุว่ามีชาวมุสลิมประมาณ 14% ส่วนใหญ่เป็นนิกายซุนนี ขณะที่ Arda (2020) ระบุว่ามีประมาณ 18.36%
- อื่น ๆ และไม่มีศาสนา: The World Factbook (2023) ระบุว่ามีผู้นับถือศาสนาฮินดู ยูดาห์ และศาสนาอื่น ๆ น้อยกว่า 1% และผู้ที่ไม่มีศาสนา 6.2% Arda (2020) ระบุว่ามีผู้ไม่มีศาสนา 0.23% และศาสนาอื่น ๆ 1.14%
เสรีภาพทางศาสนาได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญและโดยทั่วไปได้รับการเคารพในทางปฏิบัติ ศาสนาอิสลาม คาทอลิก และโปรเตสแตนต์ได้รับการยอมรับจากรัฐ กลุ่มศาสนาอื่น ๆ จะต้องจดทะเบียนเป็นสมาคมศาสนาเพื่อรับสิทธิประโยชน์ที่คล้ายคลึงกัน แต่กระบวนการจดทะเบียนมักประสบกับความล่าช้า
10.5. สาธารณสุข
สถานการณ์ด้านสาธารณสุขในโตโกยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ แม้จะมีความพยายามในการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ดัชนีสุขภาพที่สำคัญสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาบริการทางการแพทย์และการเข้าถึงการดูแลสุขภาพสำหรับประชากรทุกกลุ่ม
- ดัชนีสุขภาพ: Human Rights Measurement Initiative (HRMI) ประเมินว่าโตโกบรรลุเป้าหมายด้านสิทธิในสุขภาพได้ 73.1% เมื่อเทียบกับระดับรายได้ของประเทศ สำหรับสิทธิในสุขภาพของเด็ก โตโกทำได้ 93.8% แต่สำหรับสุขภาพของผู้ใหญ่ทำได้ 88.2% อย่างไรก็ตาม สิทธิด้านอนามัยการเจริญพันธุ์อยู่ในเกณฑ์ "แย่มาก" โดยบรรลุเป้าหมายเพียง 37.3%
- ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ: ในปี 2014 ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของโตโกคิดเป็น 5.2% ของ GDP ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 45 ของโลก
- อัตราการตายของทารกและอายุขัย: อัตราการตายของทารกแรกเกิดอยู่ที่ประมาณ 43.7 รายต่อเด็ก 1,000 คนในปี 2016 อายุขัยเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดในปี 2016 สำหรับเพศชายอยู่ที่ 62.3 ปี และสำหรับเพศหญิงอยู่ที่ 67.7 ปี อัตราการตายของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี อยู่ที่ 100 รายต่อ 1,000 การเกิด
- บุคลากรทางการแพทย์: ในปี 2008 มีแพทย์ 5 คนต่อประชากร 100,000 คน และมีพยาบาลผดุงครรภ์ 2 คนต่อการเกิดมีชีพ 1,000 ราย
- โรคภัยไข้เจ็บหลัก: โรคติดเชื้อยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ สถานการณ์ผู้ติดเชื้อเอชไอวีในปี 2016 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4,100 คน และมีผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์ 5,100 คน มีผู้ติดเชื้อ HIV ทั้งหมด 100,000 คน โดย 51% สามารถเข้าถึงยาต้านไวรัส (ART) และประมาณ 42% ของผู้ติดเชื้อสามารถควบคุมปริมาณไวรัสได้
- สุขภาพแม่และเด็ก: อัตราการตายของมารดาต่อการเกิดมีชีพ 100,000 ราย อยู่ที่ 368 รายในปี 2015 ความเสี่ยงตลอดชีวิตของการเสียชีวิตสำหรับสตรีมีครรภ์อยู่ที่ 1 ใน 67 ราย
- การขริบอวัยวะเพศหญิง (FGM): ตามรายงานของยูนิเซฟในปี 2013 ผู้หญิงในโตโกประมาณ 4% ผ่านการขริบอวัยวะเพศหญิง ซึ่งถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค
- นโยบายด้านสาธารณสุข: รัฐบาลโตโกได้มีความพยายามในการปรับปรุงระบบสาธารณสุข เช่น โครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Insurance) ที่เปิดตัวในปี 2024 ซึ่งครอบคลุมประชากร 800,000 คนภายในหกเดือนแรก นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น French Development Agency (AFD) ในการปรับปรุงการจัดการขยะมูลฝอยในกรุงโลเม ซึ่งรวมถึงการสร้างหลุมฝังกลบที่ได้มาตรฐานสากล
การเข้าถึงบริการสุขภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางและพื้นที่ห่างไกล ยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญของโตโก
10.6. การศึกษา
การศึกษาในโตโกมีลักษณะดังนี้:
- ระบบโรงเรียน: ระบบการศึกษาประกอบด้วยระดับประถมศึกษา 6 ปี, มัธยมศึกษาตอนต้น 4 ปี, มัธยมศึกษาตอนปลาย 3 ปี และอุดมศึกษา 3 ปี
- การศึกษาภาคบังคับ: การศึกษาภาคบังคับมีระยะเวลา 10 ปี ครอบคลุมระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ การเข้าเรียนและการสำเร็จการศึกษาอาจแตกต่างกันไป
- ภาษาที่ใช้ในการสอน: ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาหลักที่ใช้ในการเรียนการสอน
- อัตราการรู้หนังสือ: ในปี 2015 อัตราการรู้หนังสือของประชากรอยู่ที่ 66.5%
- สถาบันการศึกษาหลัก: มหาวิทยาลัยโลเม (University of Lomé) ในเมืองหลวง เป็นสถาบันอุดมศึกษาหลักของประเทศ ให้การศึกษาในระดับปริญญาตรีและอนุปริญญา นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนสอนศาสนา (Mission schools) ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดการศึกษา โดยมีนักเรียนประมาณครึ่งหนึ่งเข้าเรียนในโรงเรียนเหล่านี้
- ความท้าทาย: ระบบการศึกษาของโตโกประสบปัญหาการขาดแคลนครู โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท คุณภาพการศึกษาในพื้นที่ชนบทต่ำกว่าในเมือง และมีอัตราการซ้ำชั้นและการออกจากโรงเรียนกลางคันที่ค่อนข้างสูง แม้จะมีการรณรงค์ให้การศึกษาฟรีสำหรับเด็กอายุ 2-15 ปี ตั้งแต่ทศวรรษ 1970 และในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เด็กวัยเรียนประมาณ 3 ใน 4 ได้เข้าโรงเรียน แต่ความท้าทายเหล่านี้ยังคงอยู่
การพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการเข้าถึงการศึกษาอย่างทั่วถึงยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลโตโก
11. วัฒนธรรม

วัฒนธรรมของโตโกสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย ซึ่งกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดคือ ชาวเอเว ชาวมีนา ชาวเต็ม ชาวชามบา และชาวคาบิเย ประชาชนบางส่วนยังคงยึดถือปฏิบัติตามความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนาดั้งเดิมแบบวิญญาณนิยม (animism) สังคมโตโกมีประเพณีมุขปาฐะที่เข้มแข็ง แม้จะมีความพยายามส่งเสริมวรรณกรรมพื้นเมืองไม่มากนัก ก่อนได้รับเอกราชมีนักเขียนชาวโตโกบางส่วนที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส และหลังได้รับเอกราชก็มีวรรณกรรมพื้นเมืองเกิดขึ้น โดยเฉพาะภาษาเอเว ซึ่งมีผลงานของนักประพันธ์และนักเขียนบทละครหลายคน เช่น เตเต มิเชล กโปมาสซี ซึ่งมีชื่อเสียงจากงานเขียนอัตชีวประวัติเรื่อง "ชาวแอฟริกันบนทุ่งหญ้าแพรรี" (An African in Greenland)

11.1. วัฒนธรรมและศิลปะดั้งเดิม

ศิลปะและงานฝีมือดั้งเดิมของโตโกมีความโดดเด่นและหลากหลาย:
- ดนตรีและการเต้นรำ: เป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันและพิธีกรรมของชาวโตโก แต่ละกลุ่มชาติพันธุ์มีดนตรีและการเต้นรำที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
- ประติมากรรม: รูปปั้นของชาวเอเวมีลักษณะเด่นคือรูปปั้นขนาดเล็กที่แสดงถึงการบูชา "อีเบจี" (ibeji - เทพเจ้าฝาแฝด) มีการใช้ประติมากรรมและถ้วยรางวัลจากการล่าสัตว์ มากกว่าหน้ากากแอฟริกันที่พบเห็นได้ทั่วไป ช่างแกะสลักไม้แห่งโกลโต (Kloto) มีชื่อเสียงในการสร้าง "โซ่แห่งการแต่งงาน" ซึ่งเป็นรูปตัวละครสองตัวเชื่อมต่อกันด้วยวงแหวนที่แกะสลักจากไม้ชิ้นเดียว
- ผ้าย้อม (บาติก): ศูนย์หัตถกรรมโกลโตมีชื่อเสียงด้านผ้าบาติกย้อมสี ที่มีลวดลายเป็นภาพฉากชีวิตประจำวันในอดีตอย่างมีสไตล์และสีสันสดใส ผ้าเตี่ยวที่ใช้ในพิธีกรรมของช่างทอผ้าแห่งอัสซาฮูน (Assahoun) ก็เป็นที่รู้จักเช่นกัน
- จิตรกรรมและทัศนศิลป์: จิตรกร โซคีย์ เอโดห์ (Sokey Edorh) ได้รับแรงบันดาลใจจาก "พื้นที่แห้งแล้งอันกว้างใหญ่ที่ถูกลมพัดผ่าน" และที่ซึ่งผืนดินเก็บร่องรอยของมนุษย์และสัตว์ไว้ พอล อาฮยี (Paul Ahyi) ศิลปินพลาสติกฝึกฝนเทคนิค "โซตา" (zota) ซึ่งเป็นศิลปะการเผาไม้ และผลงานขนาดใหญ่ของเขาประดับประดากรุงโลเม
- สถาปัตยกรรมดั้งเดิม: บ้าน "ทาเกียนตา" (takienta) ของชาวบาตามารีบา (Batammariba) หรือที่เรียกว่าชาวทัมเบอร์มา (Tamberma) เป็นสถาปัตยกรรมดินเหนียวที่มีลักษณะคล้ายป้อมปราการขนาดเล็ก ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก บ้านเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมและสะท้อนความเชื่อเกี่ยวกับจักรวาลวิทยาของพวกเขา
สถาปัตยกรรมในเมืองโลเมและบริเวณชายฝั่งได้รับอิทธิพลอย่างมากจากสถาปัตยกรรมในยุคอาณานิคม โดยยังคงหลงเหลืออาคารบริหารของเยอรมัน โบสถ์หลายแห่ง และบ้านพักส่วนตัวกระจายอยู่ทั่วประเทศ อิทธิพลของเยอรมันมีน้อยกว่าในภาคเหนือ ยุคการปกครองของอังกฤษไม่ได้มีการสร้างสรรค์ทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น แต่การปกครองของฝรั่งเศสกว่าสี่สิบปีได้ทิ้งร่องรอยไว้ โดยเฉพาะผลงานของจอร์จ กูสเตอโร (Georges Coustereau) เช่น อนุสาวรีย์อิสรภาพแห่งชาติ และโบสถ์ที่มีเอกลักษณ์ในเมืองเล็ก ๆ อย่างเกเปล-เอเล (Kpele-Ele)
11.2. วัฒนธรรมอาหาร
อาหารโตโกเป็นการผสมผสานระหว่างอาหารแอฟริกันพื้นเมือง อาหารฝรั่งเศส และอาหารเยอรมัน ซึ่งเป็นผลมาจากประวัติศาสตร์และอิทธิพลทางวัฒนธรรม อาหารโตโกมีซอสและปาเต (pâté) ที่หลากหลาย โดยส่วนใหญ่มักทำจากมะเขือยาว มะเขือเทศ ผักโขม และปลา ประเทศนี้มีการนำส่วนผสมเหล่านี้มาประกอบกับเนื้อสัตว์และผักต่าง ๆ เพื่อสร้างสรรค์อาหารที่มีรสชาติเข้มข้น
อาหารริมทางเป็นที่นิยมและสามารถพบเห็นได้ทั่วไป เช่น:
- ถั่วบัมบารา (Bambara beans)
- ไข่เจียว (omelettes)
- เนื้อย่างเสียบไม้ (kebabs)
- ข้าวโพดทั้งฝัก (corn on the cob)
- กุ้งย่าง
อาหารหลักทั่วไปมักประกอบด้วยแป้งที่ทำจากมันสำปะหลัง ข้าวโพด หรือข้าวฟ่าง รับประทานกับซอสผักหรือเนื้อสัตว์
11.3. กีฬา

กีฬาหลายประเภทเป็นที่นิยมในโตโก:
- ฟุตบอล: เป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโตโก เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในแอฟริกา ลีกฟุตบอลในประเทศคือ โตโกเลเซแชมปิโอนาตนาซิอองนาล (Togolese Championnat National) ก่อตั้งขึ้นในปี 1961 ทีมฟุตบอลชาติโตโกเคยเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 เป็นครั้งแรก แม้ว่าจะแพ้ทั้งสามนัดในรอบแบ่งกลุ่มก็ตาม ในการแข่งขันแอฟริกาคัพออฟเนชันส์ โตโกเคยเข้าร่วม 8 ครั้ง และทำผลงานได้ดีที่สุดคือรอบก่อนรองชนะเลิศในปี 2013 นักฟุตบอลชาวโตโกที่มีชื่อเสียงระดับโลกคือ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ซึ่งเคยเล่นให้กับสโมสรอาร์เซนอล และได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของแอฟริกาในปี 2008
- บาสเกตบอล: เป็น "กีฬาที่เล่นกันมากเป็นอันดับสอง" ในโตโก
- วอลเลย์บอลชายหาด: ทีมชาติวอลเลย์บอลชายหาดของโตโกเคยเข้าร่วมการแข่งขัน CAVB Beach Volleyball Continental Cup ในปี 2018-2020 (ประเภทชาย)
- กีฬาอื่น ๆ: ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ แฮนด์บอล กรีฑา มวยสากล และยูโด รัฐบาลได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านกีฬา และโตโกเคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติหลายรายการ
- โอลิมปิก: โตโกเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกในโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1972 ที่มิวนิก และเข้าร่วมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่โอลิมปิกฤดูร้อนปี 1984 ที่ลอสแอนเจลิส ในโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2008 ที่ปักกิ่ง เบนจามิน บูกเปตี นักกีฬาเรือแคนู ประเภทสลาลอม K-1 ชาย ได้รับรางวัลเหรียญทองแดง ซึ่งเป็นเหรียญรางวัลโอลิมปิกเหรียญแรกของประเทศ
11.4. สื่อมวลชน
สื่อมวลชนในโตโกประกอบด้วยวิทยุ โทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อออนไลน์
- สำนักข่าวโตโกเลส (Agence Togolaise de Presseสำนักข่าวโตโกเลส (ATOP)ภาษาฝรั่งเศส) เป็นสำนักข่าวของรัฐ ก่อตั้งขึ้นในปี 1975 และเป็นพันธมิตรกับสำนักข่าวฝรั่งเศส (AFP) ในการนำเสนอข่าวต่างประเทศ
- สหภาพนักข่าวอิสระแห่งโตโก (Union des Journalistes Independants du Togoสหภาพนักข่าวอิสระแห่งโตโกภาษาฝรั่งเศส) เป็นสมาคมสื่อมวลชน มีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงโลเม
- โทรทัศน์โตโกเลส (Télévision Togolaiseโทรทัศน์โตโกเลสภาษาฝรั่งเศส) เป็นสถานีโทรทัศน์ของรัฐ
สถานการณ์เสรีภาพสื่อในโตโกยังคงเป็นประเด็นที่ถูกจับตามอง โดยมีการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกในบางครั้ง
11.5. มรดกโลก

โตโกมีแหล่งมรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยยูเนสโก 1 แห่ง คือ:
- กูตามากู ดินแดนของชาวบาตามารีบา (Koutammakou, the Land of the Batammariba): ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี 2004 ภูมิภาคนี้ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของโตโก เป็นที่อยู่อาศัยของชาวบาตามารีบา (หรือที่เรียกว่าชาวทัมเบอร์มา) ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกรรมบ้านดินเหนียวที่เป็นเอกลักษณ์ เรียกว่า "ทาเกียนตา" (takienta) หรือ "ทาทา โซมบา" (Tata Somba) บ้านเหล่านี้มีลักษณะคล้ายป้อมปราการขนาดเล็ก สร้างขึ้นด้วยดินเหนียวและมีหลายชั้น สะท้อนถึงความเชื่อ ประเพณี และความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อม ภูมิทัศน์วัฒนธรรมนี้ไม่เพียงแต่มีความสวยงามทางสถาปัตยกรรม แต่ยังแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตและภูมิปัญญาของชาวบาตามารีบาที่สืบทอดกันมาหลายศตวรรษ