1. ภาพรวม
บูร์กินาฟาโซ หรือชื่อในอดีตคือสาธารณรัฐอัปเปอร์โวลตา เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในแอฟริกาตะวันตก มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานของชาวมอสซีในคริสต์ศตวรรษที่ 11 ผ่านยุคอาณานิคมฝรั่งเศส จนได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2503 ประเทศได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลายครั้ง รวมถึงการปฏิวัติโดยตอมา ซ็องการา ผู้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็นบูร์กินาฟาโซในปี พ.ศ. 2527 และการปกครองระยะยาวของแบลซ กงปาออเร ซึ่งสิ้นสุดลงด้วยการลุกฮือของประชาชนในปี พ.ศ. 2557 ปัจจุบัน บูร์กินาฟาโซอยู่ภายใต้รัฐบาลทหารหลังการรัฐประหารสองครั้งในปี พ.ศ. 2565 และกำลังเผชิญกับวิกฤตความมั่นคงจากการก่อความไม่สงบของกลุ่มญิฮาด
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง มีแม่น้ำสายสำคัญไหลผ่านหลายสายและมีภูมิอากาศแบบร้อนชื้น เศรษฐกิจของประเทศพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยมีทองคำและฝ้ายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ แต่ยังคงเผชิญความท้าทายด้านความยากจนและโครงสร้างพื้นฐาน สังคมมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ โดยมีชาวมอสซีเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด และใช้ภาษาท้องถิ่นหลายภาษาควบคู่ไปกับภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษที่เป็นภาษาทำงาน ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาหลัก ด้านวัฒนธรรม บูร์กินาฟาโซมีชื่อเสียงด้านศิลปะ หัตถกรรม ดนตรี และภาพยนตร์ โดยมีเทศกาล FESPACO เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ ประเทศนี้ยังคงเผชิญกับความท้าทายด้านการศึกษา สาธารณสุข และความมั่นคงทางอาหาร
2. ที่มาของชื่อประเทศ

บูร์กินาฟาโซเคยใช้ชื่อว่า สาธารณรัฐอัปเปอร์โวลตา (République de Haute-Voltaเรปูบลิกเดอโอต-วอลตาภาษาฝรั่งเศส) โดยชื่อ "อัปเปอร์โวลตา" นี้ตั้งตามที่ตั้งของประเทศซึ่งอยู่บนตอนบนของแม่น้ำโวลตา ซึ่งแบ่งเป็นสามสาขาหลักคือ แม่น้ำโวลตาดำ (ปัจจุบันคือแม่น้ำมูฮูน) แม่น้ำโวลตาแดง (แม่น้ำนาซีโนน) และแม่น้ำโวลตาขาว (แม่น้ำนาก็องเบ) สีทั้งสามของแม่น้ำเหล่านี้ยังปรากฏอยู่บนธงชาติอัปเปอร์โวลตาในอดีตด้วย
เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2527 ประธานาธิบดีในขณะนั้นคือ ตอมา ซ็องการา ได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น บูร์กินาฟาโซ คำว่า "บูร์กินา" (Burkinaบูร์กินาMossi) มาจากภาษามอเร (Mooré) ซึ่งเป็นภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์มอสซีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ หมายถึง "ผู้ซื่อตรง" หรือ "ผู้มีเกียรติ" สะท้อนถึงความภาคภูมิใจในความซื่อสัตย์สุจริตของประชาชน ส่วนคำว่า "ฟาโซ" (FasoฟาโซDyula ในอักษรเอ็นโก: ߝߊ߬ߛߏ߫ฟาโซDyula) มาจากภาษาจูลา (Dyula) หมายถึง "บ้านเกิด" หรือ "ดินแดนแห่งบรรพบุรุษ" (แปลตามตัวอักษรคือ "บ้านของพ่อ") ดังนั้น "บูร์กินาฟาโซ" จึงมีความหมายรวมว่า "ดินแดนของผู้ซื่อตรง" หรือ "ดินแดนของผู้มีเกียรติ"
ส่วนคำว่า "บูร์กินาเบ" (Burkinabèบูร์กินาเบภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งใช้เรียกพลเมืองของประเทศนั้น มาจากการเติมปัจจัย "-เบ" (-bè) ซึ่งมาจากภาษาฟูลา (Fula) หมายถึง "บุรุษหรือสตรี" เข้ากับคำว่า "บูร์กินา"
3. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของบูร์กินาฟาโซครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานยุคแรก การก่อตั้งอาณาจักรมอสซีอันทรงอิทธิพล การตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส การได้รับเอกราชในฐานะสาธารณรัฐอัปเปอร์โวลตา การปฏิวัติภายใต้การนำของตอมา ซ็องการา และการเปลี่ยนแปลงสู่บูร์กินาฟาโซในยุคปัจจุบัน ซึ่งเผชิญกับความท้าทายทางการเมือง ความมั่นคง และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
3.1. ประวัติศาสตร์ยุคแรกและอาณาจักรมอสซี

หลักฐานทางโบราณคดีชี้ให้เห็นว่าดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของบูร์กินาฟาโซในปัจจุบันมีมนุษย์กลุ่มนักล่าสัตว์และเก็บของป่าอาศัยอยู่ตั้งแต่ 14,000 ถึง 5,000 ปีก่อนคริสตกาล เครื่องมือของพวกเขา เช่น เครื่องขูด สิ่ว และหัวลูกศร ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2516 การตั้งถิ่นฐานเพื่อเกษตรกรรมเริ่มปรากฏขึ้นระหว่าง 3,600 ถึง 2,600 ปีก่อนคริสตกาล อุตสาหกรรมเหล็ก ไม่ว่าจะเป็นการถลุงหรือการตีเหล็กเพื่อทำเครื่องมือและอาวุธ ได้พัฒนาขึ้นในแอฟริกาใต้สะฮาราราว 1,200 ปีก่อนคริสตกาล หลักฐานการถลุงเหล็กที่เก่าแก่ที่สุดที่พบในบูร์กินาฟาโซมีอายุย้อนไปถึง 800 ถึง 700 ปีก่อนคริสตกาล และเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งถลุงเหล็กโบราณของบูร์กินาฟาโซซึ่งเป็นมรดกโลก
ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 3 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 13 วัฒนธรรมบูรา (Bura culture) ในยุคเหล็กได้ดำรงอยู่ในดินแดนทางตะวันออกเฉียงใต้ของบูร์กินาฟาโซในปัจจุบันและตะวันตกเฉียงใต้ของไนเจอร์ กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในบูร์กินาฟาโซปัจจุบัน เช่น ชาวมอสซี ชาวฟูลา และชาวจูลา ได้อพยพเข้ามาเป็นระลอกระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 8 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 ชาวโปรโต-มอสซีเดินทางมาถึงส่วนตะวันออกสุดของบูร์กินาฟาโซในปัจจุบันในช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 8 ถึง 11 และรับเอาศาสนาอิสลามเป็นศาสนาของตนในคริสต์ศตวรรษที่ 11
ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 เป็นต้นมา ชาวมอสซีได้ก่อตั้งอาณาจักรที่แยกจากกันหลายแห่ง เช่น อาณาจักรเทนโคโดโก (Tenkodogo) อาณาจักรยาเตนกา (Yatenga) อาณาจักรซันโดมา (Zandoma) และอาณาจักรวากาดูกู (Ouagadougou) ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ทรงอิทธิพลที่สุด ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 1871 ถึง 1881 (ค.ศ. 1328-1338) นักรบมอสซีได้บุกโจมตีเมืองทิมบักตู แต่พ่ายแพ้ต่อซอนนี อาลีแห่งจักรวรรดิซองไฮในยุทธการที่โคบี (Battle of Kobi) ที่มาลีในปี พ.ศ. 2026 (ค.ศ. 1483) ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 จักรวรรดิซองไฮได้ทำการบุกจับทาสหลายครั้งในดินแดนที่เป็นบูร์กินาฟาโซปัจจุบัน ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 อาณาจักรกวีริโก (Gwiriko Empire) ได้ก่อตั้งขึ้นที่โบโบ-ดีอูลาสโซ และกลุ่มชาติพันธุ์เช่น ชาวดียัน (Dyan) ชาวโลบี (Lobi) และชาวบิริฟอร์ (Birifor) ได้ตั้งถิ่นฐานตามแนวแม่น้ำโวลตาดำ
3.2. การปกครองอาณานิคมของฝรั่งเศส

ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1890 ระหว่างการการแย่งชิงแอฟริกาของชาวยุโรป เจ้าหน้าที่ทหารยุโรปหลายนายพยายามอ้างสิทธิ์ในดินแดนส่วนต่างๆ ที่เป็นบูร์กินาฟาโซในปัจจุบัน ในบางครั้ง นักล่าอาณานิคมและกองทัพของพวกเขาได้ต่อสู้กับชนพื้นเมือง ในบางครั้งพวกเขาก็สร้างพันธมิตรและทำสนธิสัญญากับชนพื้นเมือง เจ้าหน้าที่นักล่าอาณานิคมและรัฐบาลของพวกเขายังทำสนธิสัญญาระหว่างกันเอง ดินแดนบูร์กินาฟาโซถูกรุกรานโดยฝรั่งเศส และกลายเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2439 (ค.ศ. 1896)

ภูมิภาคตะวันออกและตะวันตก ซึ่งการเผชิญหน้ากับกองกำลังของซาโมรี ตูเร ผู้ปกครองที่ทรงอิทธิพล ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้น ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2440 (ค.ศ. 1897) ภายในปี พ.ศ. 2441 (ค.ศ. 1898) ดินแดนส่วนใหญ่ที่สอดคล้องกับบูร์กินาฟาโซในปัจจุบันถูกพิชิตในนาม แต่การควบคุมของฝรั่งเศสในหลายพื้นที่ยังคงไม่แน่นอน
อนุสัญญาอังกฤษ-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1898 (Franco-British Convention of 14 June 1898) ได้กำหนดพรมแดนสมัยใหม่ของประเทศ ในดินแดนของฝรั่งเศส สงครามพิชิตกับชุมชนท้องถิ่นและอำนาจทางการเมืองยังคงดำเนินต่อไปประมาณห้าปี ในปี พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904) ดินแดนที่สงบสุขส่วนใหญ่ของลุ่มน้ำโวลตาได้ถูกรวมเข้ากับอาณานิคมเซเนกัลตอนบนและไนเจอร์ของแอฟริกาตะวันตกของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างจักรวรรดิอาณานิคมแอฟริกาตะวันตกของฝรั่งเศส อาณานิคมนี้มีเมืองหลวงอยู่ที่บามาโก
ภาษาที่ใช้ในการบริหารอาณานิคมและการเรียนการสอนกลายเป็นภาษาฝรั่งเศส ระบบการศึกษาของรัฐเริ่มต้นจากจุดกำเนิดที่ต่ำต้อย การศึกษาขั้นสูงในช่วงยุคอาณานิคมเป็นเวลาหลายปีจัดขึ้นที่ดาการ์ ประชากรพื้นเมืองถูกเลือกปฏิบัติอย่างมาก ตัวอย่างเช่น เด็กชาวแอฟริกันไม่ได้รับอนุญาตให้ขี่จักรยานหรือเก็บผลไม้จากต้นไม้ ซึ่งเป็น "สิทธิพิเศษ" ที่สงวนไว้สำหรับลูกหลานของนักล่าอาณานิคม การละเมิดกฎระเบียบเหล่านี้อาจทำให้ผู้ปกครองต้องติดคุก
ทหารเกณฑ์จากดินแดนนี้ได้เข้าร่วมในแนวรบยุโรปของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในกองพันของหน่วยทหารราบเซเนกัล (Tirailleurs sénégalais) ระหว่างปี พ.ศ. 2458 ถึง 2459 เขตทางตะวันตกของบูร์กินาฟาโซในปัจจุบันและชายขอบตะวันออกของมาลีที่อยู่ติดกันกลายเป็นเวทีของการต่อต้านด้วยอาวุธที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งต่อรัฐบาลอาณานิคม นั่นคือ สงครามโวลตา-บานี (Volta-Bani War) รัฐบาลฝรั่งเศสสามารถปราบปรามการเคลื่อนไหวนี้ได้ในที่สุด แต่ก็หลังจากประสบความพ่ายแพ้หลายครั้ง นอกจากนี้ยังต้องจัดกองกำลัง远정ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อาณานิคมเพื่อส่งเข้าไปในประเทศเพื่อปราบปรามการก่อความไม่สงบ การต่อต้านด้วยอาวุธยังคงคุกคามทางตอนเหนือของซาเฮลเมื่อชาวทัวเร็กและกลุ่มพันธมิตรในภูมิภาคโดรีสิ้นสุดการพักรบกับรัฐบาล
อาณานิคมอัปเปอร์โวลตาของฝรั่งเศส (French Upper Volta) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2462 (ค.ศ. 1919) ฝรั่งเศสหวั่นเกรงการเกิดซ้ำของการลุกฮือด้วยอาวุธและมีข้อพิจารณาทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมสร้างการบริหาร รัฐบาลอาณานิคมได้แยกดินแดนปัจจุบันของบูร์กินาฟาโซออกจากเซเนกัลตอนบนและไนเจอร์ อาณานิคมใหม่นี้ได้รับการตั้งชื่อว่า Haute Volta (อัปเปอร์โวลตา) เนื่องจากตั้งอยู่บนตอนบนของแม่น้ำโวลตา (โวลตาดำ โวลตาแดง และโวลตาขาว) และฟร็องซัว ชาร์ลส์ อเล็กซิส เอดัวร์ เฮสลิง (François Charles Alexis Édouard Hesling) ได้เป็นผู้ว่าการคนแรก เฮสลิงริเริ่มโครงการสร้างถนนครั้งใหญ่เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและส่งเสริมการปลูกฝ้ายเพื่อการส่งออก นโยบายฝ้ายซึ่งใช้วิธีการบังคับล้มเหลว และรายได้ที่เกิดจากอาณานิคมก็หยุดนิ่ง อาณานิคมถูกยุบเมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1932) โดยแบ่งออกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ได้แก่ โกตดิวัวร์ ซูดานของฝรั่งเศส และไนเจอร์ โกตดิวัวร์ได้รับส่วนแบ่งที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งรวมถึงประชากรส่วนใหญ่ตลอดจนเมืองวากาดูกูและโบโบ-ดีอูลาสโซ
ฝรั่งเศสได้ยกเลิกการเปลี่ยนแปลงนี้ในช่วงที่มีการต่อต้านอาณานิคมอย่างรุนแรงหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) ได้ฟื้นฟูอาณานิคมอัปเปอร์โวลตาขึ้นมาใหม่ โดยมีอาณาเขตเดิมเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพฝรั่งเศส (French Union) ฝรั่งเศสกำหนดให้อาณานิคมของตนเป็นจังหวัด (departments) ของฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ในทวีปยุโรป
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) อาณานิคมได้รับการปกครองตนเองในฐานะสาธารณรัฐอัปเปอร์โวลตา และเข้าร่วมประชาคมฝรั่งเศส-แอฟริกา (Franco-African Community) การปรับปรุงการจัดระเบียบดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศสได้เริ่มขึ้นด้วยการผ่านกฎหมายพื้นฐาน (Loi Cadre) เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2499 กฎหมายนี้ตามมาด้วยมาตรการจัดระเบียบใหม่ที่ได้รับอนุมัติจากรัฐสภาฝรั่งเศสในช่วงต้นปี พ.ศ. 2500 เพื่อให้แน่ใจว่าดินแดนแต่ละแห่งจะมีการปกครองตนเองในระดับสูง อัปเปอร์โวลตากลายเป็นสาธารณรัฐปกครองตนเองในประชาคมฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2501 ได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์จากฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2503
3.3. สาธารณรัฐอัปเปอร์โวลตา (ค.ศ. 1958-1984)

สาธารณรัฐอัปเปอร์โวลตา (République de Haute-Voltaเรปูบลิกเดอโอต-วอลตาภาษาฝรั่งเศส) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2501 ในฐานะอาณานิคมที่ปกครองตนเองภายในประชาคมฝรั่งเศส ชื่อ อัปเปอร์โวลตา เกี่ยวข้องกับที่ตั้งของประเทศตามแนวแม่น้ำโวลตาตอนบน สาขาของแม่น้ำสามสายเรียกว่า แม่น้ำโวลตาดำ (Black Volta) แม่น้ำโวลตาขาว (White Volta) และแม่น้ำโวลตาแดง (Red Volta) สิ่งเหล่านี้แสดงออกในสามสีของธงชาติอัปเปอร์โวลตาในอดีต
ก่อนที่จะได้รับเอกราช อัปเปอร์โวลตาเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2503 อัปเปอร์โวลตาได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์จากสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 4 ประธานาธิบดีคนแรกคือ มอริส ยาเมโอโก ผู้นำของสหภาพประชาธิปไตยโวลตา (UDV) รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2503 กำหนดให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีและสภาแห่งชาติโดยการออกเสียงลงคะแนนแบบสากลเป็นระยะเวลาห้าปี ไม่นานหลังจากขึ้นสู่อำนาจ ยาเมโอโกได้สั่งห้ามพรรคการเมืองอื่น ๆ ทั้งหมดนอกเหนือจาก UDV รัฐบาลของเขาดำรงอยู่จนถึงปี พ.ศ. 2509 หลังจากเกิดความไม่สงบหลายครั้ง รวมถึงการประท้วงครั้งใหญ่และการนัดหยุดงานของนักศึกษา สหภาพแรงงาน และข้าราชการ กองทัพจึงเข้าแทรกแซง
3.3.1. เอกราชยุคแรกและความไร้เสถียรภาพทางการเมือง
การรัฐประหารในปี พ.ศ. 2509 (ค.ศ. 1966) ได้โค่นล้มประธานาธิบดียาเมโอโก ระงับรัฐธรรมนูญ ยุบสภาแห่งชาติ และแต่งตั้งพันโทซ็องกูเล ลามีซานา ขึ้นเป็นหัวหน้ารัฐบาลซึ่งประกอบด้วยนายทหารระดับสูง กองทัพยังคงอยู่ในอำนาจเป็นเวลาสี่ปี เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2519 ชาวโวลตาได้ให้สัตยาบันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งกำหนดระยะเวลาเปลี่ยนผ่านสี่ปีไปสู่การปกครองโดยพลเรือนอย่างสมบูรณ์ ลามีซานายังคงอยู่ในอำนาจตลอดทศวรรษ 1970 ในฐานะประธานาธิบดีของรัฐบาลทหารหรือรัฐบาลผสมพลเรือน-ทหาร การปกครองของลามีซานาเกิดขึ้นพร้อมกับการเริ่มต้นของภัยแล้งซาเฮลและภาวะทุพภิกขภัย ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออัปเปอร์โวลตาและประเทศเพื่อนบ้าน หลังจากความขัดแย้งเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2519 รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ถูกร่างขึ้นและอนุมัติในปี พ.ศ. 2520 ลามีซานาได้รับเลือกตั้งใหม่โดยการเลือกตั้งแบบเปิดในปี พ.ศ. 2521
รัฐบาลของลามีซานาเผชิญปัญหากับสหภาพแรงงานที่ทรงอิทธิพลตามประเพณีของประเทศ และในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2523 พันเอกซาเย แซร์โบ ได้โค่นล้มประธานาธิบดีลามีซานาในการรัฐประหารโดยไม่เสียเลือดเนื้อ พันเอกแซร์โบได้จัดตั้งคณะกรรมการทหารเพื่อการฟื้นฟูความก้าวหน้าแห่งชาติ (Military Committee of Recovery for National Progress) ขึ้นเป็นหน่วยงานสูงสุดของรัฐบาล ซึ่งเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2520
พันเอกแซร์โบยังเผชิญกับการต่อต้านจากสหภาพแรงงานและถูกโค่นล้มในอีกสองปีต่อมาโดยพันตรี ดร. ฌ็อง-บาติสต์ อูเอดราโอโก และสภาความรอดของประชาชน (Council of Popular Salvation - CSP) ในการรัฐประหารในอัปเปอร์โวลตา พ.ศ. 2525 CSP ยังคงสั่งห้ามพรรคการเมืองและองค์กรต่างๆ แต่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเปลี่ยนผ่านไปสู่การปกครองโดยพลเรือนและรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
3.3.2. ตอมา ซ็องการาและการปฏิวัติ (ค.ศ. 1983-1987)
ความขัดแย้งภายในระหว่างฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายของ CSP ได้พัฒนาขึ้น ผู้นำฝ่ายซ้าย ร้อยเอก ตอมา ซ็องการา ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในเดือนมกราคม พ.ศ. 2526 แต่ต่อมาถูกจับกุม ความพยายามที่จะปลดปล่อยเขา ซึ่งกำกับโดยร้อยเอก แบลซ กงปาออเร ส่งผลให้เกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2526
การรัฐประหารครั้งนี้นำซ็องการาขึ้นสู่อำนาจ และรัฐบาลของเขาเริ่มดำเนินโครงการปฏิวัติหลายชุด ซึ่งรวมถึงการฉีดวัคซีนครั้งใหญ่ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การขยายสิทธิสตรี การส่งเสริมการบริโภคผลผลิตทางการเกษตรในประเทศ และโครงการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย ซ็องการาผลักดันให้ประเทศพึ่งพาตนเองด้านการเกษตรและส่งเสริมสาธารณสุขโดยการฉีดวัคซีนให้เด็ก 2,500,000 คนเพื่อป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไข้เหลือง และโรคหัด วาระแห่งชาติของเขายังรวมถึงการปลูกต้นไม้กว่า 10,000,000 ต้นเพื่อหยุดยั้งการขยายตัวของการแปรสภาพเป็นทะเลทรายในซาเฮล ซ็องการาเรียกร้องให้ทุกหมู่บ้านสร้างสถานีอนามัยและให้ชุมชนกว่า 350 แห่งสร้างโรงเรียนด้วยแรงงานของตนเอง
ในทศวรรษ 1980 เมื่อความตระหนักด้านนิเวศวิทยายังอยู่ในระดับต่ำมาก ซ็องการาเป็นหนึ่งในผู้นำแอฟริกันไม่กี่คนที่ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เขาต่อสู้กับปัญหาหลักสามประการ ได้แก่ ไฟป่า "ซึ่งจะถือเป็นอาชญากรรมและจะถูกลงโทษเช่นนั้น" การปล่อยปศุสัตว์เร่ร่อน "ซึ่งละเมิดสิทธิของประชาชนเนื่องจากสัตว์ที่ไม่ได้รับการดูแลจะทำลายธรรมชาติ" และการตัดไม้ทำฟืนอย่างผิดกฎหมาย "ซึ่งอาชีพนี้จะต้องมีการจัดระเบียบและควบคุม" ในฐานะส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับประชากรส่วนใหญ่ ต้นไม้สิบล้านต้นถูกปลูกในบูร์กินาฟาโซภายในสิบห้าเดือนระหว่างการปฏิวัติ เพื่อเผชิญหน้ากับทะเลทรายที่กำลังรุกคืบและภัยแล้งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ็องการายังเสนอให้ปลูกแนวป่ากว้างประมาณห้าสิบกิโลเมตร พาดผ่านประเทศจากตะวันออกไปตะวันตก การผลิตธัญพืชซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.1 พันล้านตันก่อนปี พ.ศ. 2526 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 พันล้านตันในปี พ.ศ. 2530 ฌ็อง ซีกเลอร์ อดีตผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติเกี่ยวกับสิทธิในอาหาร กล่าวว่าประเทศ "ได้กลายเป็นประเทศที่พึ่งพาตนเองด้านอาหารได้แล้ว"
นโยบายต่างประเทศของเขามุ่งเน้นไปที่การต่อต้านจักรวรรดินิยม โดยรัฐบาลของเขาปฏิเสธความช่วยเหลือจากต่างประเทศทั้งหมด ผลักดันการลดหนี้ที่ไม่เป็นธรรม การแปรรูปที่ดินและทรัพย์สินแร่ธาตุทั้งหมดเป็นของรัฐ และหลีกเลี่ยงอำนาจและอิทธิพลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก นโยบายภายในประเทศของเขารวมถึงการรณรงค์การรู้หนังสือทั่วประเทศ การกระจายที่ดินให้ชาวนา การสร้างทางรถไฟและถนน และการห้ามการขลิบอวัยวะเพศหญิง การบังคับแต่งงาน และการมีภรรยาหลายคน
เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2527 ตามความคิดริเริ่มของซ็องการา ชื่อประเทศได้เปลี่ยนจาก "อัปเปอร์โวลตา" เป็น "บูร์กินาฟาโซ" หรือ ดินแดนของผู้ซื่อตรง รัฐบาลของซ็องการาประกอบด้วยสภาแห่งชาติเพื่อการปฏิวัติ (CNR - Conseil national révolutionnaireสภาปฏิวัติแห่งชาติภาษาฝรั่งเศส) โดยมีซ็องการาเป็นประธาน และได้จัดตั้งคณะกรรมการประชาชนเพื่อการป้องกันการปฏิวัติ (CDR) โครงการเยาวชนผู้บุกเบิกการปฏิวัติก็ได้รับการจัดตั้งขึ้นเช่นกัน
การปกครองของซ็องการาสิ้นสุดลงเมื่อเขาถูกโค่นล้มและลอบสังหารในการรัฐประหารที่นำโดยแบลซ กงปาออเร ในปี พ.ศ. 2530 มรดกของซ็องการายังคงเป็นที่ถกเถียง โดยผู้สนับสนุนยกย่องการอุทิศตนเพื่อความเป็นอิสระของชาติ ความยุติธรรมทางสังคม และการต่อต้านการทุจริต ในขณะที่นักวิจารณ์ชี้ไปที่แนวโน้มเผด็จการและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในระหว่างการปกครองของเขา อย่างไรก็ตาม นโยบายปฏิรูปของเขามีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการพัฒนาสังคมและสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลงในแอฟริกา
3.4. บูร์กินาฟาโซ (ค.ศ. 1984-ปัจจุบัน)
หลังจากการเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นบูร์กินาฟาโซในปี พ.ศ. 2527 ประเทศได้เผชิญกับช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมที่สำคัญ รวมถึงการปกครองระยะยาว การลุกฮือของประชาชน รัฐประหาร และความท้าทายด้านความมั่นคงที่เพิ่มขึ้นจากการก่อความไม่สงบของกลุ่มญิฮาด
3.4.1. การปกครองระยะยาวของแบลซ กงปาออเร (ค.ศ. 1987-2014)

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) ตอมา ซ็องการา และเจ้าหน้าที่รัฐบาลอีกสิบสองคนถูกลอบสังหารในการรัฐประหารที่จัดฉากโดยแบลซ กงปาออเร อดีตเพื่อนร่วมงานของซ็องการา ซึ่งเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของบูร์กินาฟาโซ เขาดำรงตำแหน่งนี้จนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) หลังจากการรัฐประหาร แม้ว่าซ็องการาจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่คณะกรรมการป้องกันการปฏิวัติ (CDR) บางกลุ่มยังคงต่อต้านด้วยอาวุธต่อกองทัพเป็นเวลาหลายวัน ประชาชนชาวบูร์กินาเบส่วนใหญ่เชื่อว่ากระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศสอยู่เบื้องหลังกงปาออเรในการจัดรัฐประหารครั้งนี้ และมีหลักฐานบางอย่างที่สนับสนุนการมีส่วนร่วมของฝรั่งเศส
กงปาออเรอ้างว่าความสัมพันธ์ที่เสื่อมทรามลงกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นหนึ่งในเหตุผลของการรัฐประหาร เขาแย้งว่าซ็องการาได้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับอดีตเจ้าอาณานิคม (ฝรั่งเศส) และกับโกตดิวัวร์ที่อยู่ใกล้เคียง หลังจากการรัฐประหาร กงปาออเรได้ยกเลิกการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ล้มล้างนโยบายเกือบทั้งหมดของซ็องการา นำประเทศกลับเข้าสู่กลุ่มกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และในที่สุดก็ปฏิเสธมรดกส่วนใหญ่ของซ็องการา
หลังจากการพยายามรัฐประหารที่ถูกกล่าวหาในปี พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) กงปาออเรได้นำการปฏิรูปประชาธิปไตยแบบจำกัดมาใช้ในปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) ภายใต้รัฐธรรมนูญบูร์กินาฟาโซฉบับใหม่ (พ.ศ. 2534) กงปาออเรได้รับเลือกตั้งใหม่โดยไม่มีคู่แข่งในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2534 ในปี พ.ศ. 2541 กงปาออเรชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ในปี พ.ศ. 2547 มีผู้ถูกพิจารณาคดี 13 คนในข้อหาวางแผนรัฐประหารต่อต้านประธานาธิบดีกงปาออเร และผู้บงการที่ถูกกล่าวหาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต
ในปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) รัฐธรรมนูญได้รับการแก้ไขเพื่อลดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเหลือห้าปี และจำกัดวาระไว้ที่สองสมัย เพื่อป้องกันการเลือกตั้งซ้ำติดต่อกัน การแก้ไขนี้มีผลบังคับใช้ในระหว่างการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2548 หากผ่านการแก้ไขก่อนหน้านี้ จะเป็นการป้องกันไม่ให้กงปาออเรได้รับเลือกตั้งใหม่ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนอื่น ๆ ได้ท้าทายผลการเลือกตั้ง แต่ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2548 สภารัฐธรรมนูญได้ตัดสินว่า เนื่องจากกงปาออเรเป็นประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในปี พ.ศ. 2543 การแก้ไขดังกล่าวจะไม่มีผลบังคับใช้กับเขาจนกว่าจะสิ้นสุดวาระที่สอง ซึ่งเป็นการเปิดทางให้เขาสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2548 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 เขาได้รับเลือกตั้งใหม่ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น เนื่องจากฝ่ายค้านทางการเมืองแตกแยก
ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) กงปาออเรได้รับเลือกตั้งใหม่ มีชาวบูร์กินาเบเพียง 1.6 ล้านคนเท่านั้นที่ลงคะแนนเสียง จากจำนวนประชากรทั้งหมดที่มากกว่านั้นสิบเท่า ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 การเสียชีวิตของเด็กนักเรียนคนหนึ่งได้กระตุ้นให้เกิดการประท้วงในบูร์กินาฟาโซ พ.ศ. 2554 ซึ่งเป็นการประท้วงของประชาชนหลายครั้ง ควบคู่ไปกับการก่อกบฏของทหารและการนัดหยุดงานของผู้พิพากษา ซึ่งเรียกร้องให้กงปาออเรลาออก ปฏิรูปประชาธิปไตย ขึ้นค่าจ้างให้ทหารและข้าราชการ และเสรีภาพทางเศรษฐกิจ ด้วยเหตุนี้ ผู้ว่าราชการจึงถูกแทนที่และค่าจ้างของข้าราชการก็เพิ่มขึ้น ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2554 เกิดการก่อกบฏของกองทัพ ประธานาธิบดีได้แต่งตั้งเสนาธิการทหารคนใหม่ และมีการประกาศเคอร์ฟิวในกรุงวากาดูกู
รัฐบาลของกงปาออเรมีบทบาทเป็นผู้เจรจาในข้อพิพาทหลายครั้งในแอฟริกาตะวันตก รวมถึงวิกฤตการณ์โกตดิวัวร์ พ.ศ. 2553-2554 การเจรจาระหว่างโตโก (พ.ศ. 2550) และวิกฤตการณ์มาลี พ.ศ. 2555 ณ ปี พ.ศ. 2557 บูร์กินาฟาโซยังคงเป็นหนึ่งในประเทศพัฒนาน้อยที่สุดในโลก
การปกครองระยะยาวของกงปาออเรถูกวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นสิทธิมนุษยชนและการขาดการพัฒนาประชาธิปไตยที่แท้จริง แม้จะมีการปฏิรูปบางอย่าง แต่ก็ถูกมองว่าเป็นการสร้างภาพลักษณ์เพื่อรักษาอำนาจ การปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมืองและการจำกัดเสรีภาพสื่อเป็นเรื่องปกติในช่วงการปกครองของเขา ภูมิหลังของการโค่นล้มอำนาจของเขาในปี พ.ศ. 2557 สะท้อนถึงความไม่พอใจที่สั่งสมมานานของประชาชนต่อการปกครองแบบอำนาจนิยมและการพยายามสืบทอดอำนาจ
3.4.2. การลุกฮือปี ค.ศ. 2014 และรัฐบาลเปลี่ยนผ่าน

ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) ผู้ประท้วงเริ่มเดินขบวนและชุมนุมในกรุงวากาดูกูเพื่อต่อต้านประธานาธิบดีกงปาออเร ซึ่งดูเหมือนพร้อมที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญและขยายการปกครอง 27 ปีของเขาออกไปอีก เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ผู้ประท้วงบางคนได้จุดไฟเผาอาคารรัฐสภาและเข้ายึดสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ ท่าอากาศยานนานาชาติวากาดูกูปิดทำการ และสมาชิกรัฐสภาได้ระงับการลงคะแนนเสียงแก้ไขรัฐธรรมนูญ (การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้กงปาออเรสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งใหม่ได้ในปี พ.ศ. 2558) ต่อมาในวันเดียวกัน กองทัพได้ยุบสถาบันของรัฐบาลทั้งหมดและประกาศเคอร์ฟิว
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557 กงปาออเรได้ลาออกจากตำแหน่ง พันโทอีซัก ซีดา กล่าวว่าเขาจะนำประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่วางแผนไว้ในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) แต่มีความกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ใกล้ชิดของเขากับอดีตประธานาธิบดี ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2557 พรรคฝ่ายค้าน กลุ่มประชาสังคม และผู้นำทางศาสนาได้ร่วมกันวางแผนสำหรับหน่วยงานเปลี่ยนผ่านเพื่อนำบูร์กินาฟาโซไปสู่การเลือกตั้ง ภายใต้แผนนี้ มีแชล กาฟ็องโด ได้เป็นประธานาธิบดีเฉพาะกาล และพันโทซีดาได้เป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรักษาการ
รัฐบาลเปลี่ยนผ่านมีหน้าที่หลักในการฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย เตรียมการสำหรับการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม และจัดการกับปัญหาเร่งด่วนของประเทศ กิจกรรมสำคัญรวมถึงการปฏิรูประบบการเลือกตั้ง การสอบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนในอดีต และการพยายามสร้างความปรองดองในชาติ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเปลี่ยนผ่านก็เผชิญกับความท้าทายมากมาย รวมถึงความพยายามรัฐประหารในปี พ.ศ. 2558 และแรงกดดันจากกลุ่มการเมืองต่างๆ
3.4.3. ความพยายามในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยและความไร้เสถียรภาพ (ค.ศ. 2015-2021)


เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) กองกำลังรักษาความมั่นคงของประธานาธิบดี (RSP) ได้ก่อรัฐประหารในบูร์กินาฟาโซ พ.ศ. 2558 โดยจับกุมประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีเฉพาะกาล และประกาศให้สภาแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Council for Democracy) เป็นรัฐบาลแห่งชาติชุดใหม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558 ผู้นำรัฐประหาร ฌีลแบร์ ดีแยนเดเร ได้ออกมาขอโทษและให้คำมั่นว่าจะฟื้นฟูรัฐบาลพลเรือน เมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558 นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีเฉพาะกาลได้รับการคืนอำนาจ
การเลือกตั้งทั่วไปมีขึ้นในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) รอช มาร์ก คริสติยอง กาโบเร ชนะการเลือกตั้งในรอบแรกด้วยคะแนนเสียง 53.5% เอาชนะนักธุรกิจ เซฟีแร็ง ดียาเบร ซึ่งได้คะแนน 29.7% กาโบเรสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2558 กาโบเรได้รับเลือกตั้งอีกครั้งในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) แต่พรรคของเขาคือ ขบวนการประชาชนเพื่อความก้าวหน้า (MPP) ไม่สามารถได้เสียงข้างมากเด็ดขาดในรัฐสภา โดยได้ 56 ที่นั่งจากทั้งหมด 127 ที่นั่ง พรรคสภาเพื่อประชาธิปไตยและความก้าวหน้า (CDP) ซึ่งเป็นพรรคของอดีตประธานาธิบดีแบลซ กงปาออเร ได้อันดับสองด้วย 20 ที่นั่ง
แม้จะมีความพยายามในการสร้างเสถียรภาพทางประชาธิปไตยภายใต้การนำของประธานาธิบดีกาโบเร แต่ประเทศยังคงเผชิญกับความไร้เสถียรภาพทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไร้เสถียรภาพ ได้แก่ ความอ่อนแอของสถาบันทางการเมือง การทุจริตคอร์รัปชัน ความแตกแยกทางสังคม และที่สำคัญที่สุดคือการขยายตัวของการก่อความไม่สงบของกลุ่มญิฮาด ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความมั่นคงและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้เปราะบาง เช่น สตรี เด็ก และผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ ความล้มเหลวของรัฐบาลในการจัดการกับวิกฤตความมั่นคงนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การรัฐประหารในปี พ.ศ. 2565
3.4.4. การก่อความไม่สงบของกลุ่มญิฮาดและวิกฤตความมั่นคง
การก่อความไม่สงบของกลุ่มญิฮาดเริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการก่อความไม่สงบของกลุ่มอิสลามในซาเฮล ระหว่างเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2558 ถึงตุลาคม พ.ศ. 2559 มีการโจมตีฐานที่มั่นเจ็ดแห่งทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) ผู้ก่อการร้ายได้โจมตีเมืองหลวงวากาดูกู สังหารผู้คนไป 30 ราย อัลกออิดะห์ในดินแดนอิสลามมาฆริบ (AQIM) และกลุ่มอัล-มูราบิตูน ซึ่งจนถึงตอนนั้นส่วนใหญ่ปฏิบัติการในประเทศมาลีที่อยู่ใกล้เคียง ได้อ้างความรับผิดชอบในการโจมตีครั้งนี้
ในปี พ.ศ. 2559 การโจมตีเพิ่มขึ้นหลังจากกลุ่มใหม่ชื่อ อันซาร์ อุล อิสลาม (Ansar ul Islam) ซึ่งนำโดยอิหม่าม อิบราฮิม มาลาม ดิกโก (Ibrahim Malam Dicko) ได้ก่อตั้งขึ้น การโจมตีของกลุ่มนี้มุ่งเน้นไปที่จังหวัดซุมเป็นพิเศษ และสังหารผู้คนไปหลายสิบคนในการการโจมตีที่นาซซุมบูเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม
ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม - 10 เมษายน พ.ศ. 2560 (ค.ศ. 2017) รัฐบาลมาลี ฝรั่งเศส และบูร์กินาฟาโซได้เปิดปฏิบัติการร่วมชื่อ "ปฏิบัติการปังกา" (Operation Panga) ซึ่งมีทหาร 1,300 นายจากทั้งสามประเทศเข้าร่วม ในป่าเฟโร (Fhero Forest) ใกล้ชายแดนบูร์กินาฟาโซ-มาลี ซึ่งถือเป็นฐานที่มั่นของอันซาร์ อุล อิสลาม หัวหน้ากลุ่มอันซาร์ อุล อิสลาม อิบราฮิม มาลาม ดิกโก ถูกสังหารในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2560 และจาฟาร์ ดิกโก (Jafar Dicko) ได้ขึ้นเป็นผู้นำแทน
เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) กลุ่มญะมาอะตุ นัศรุล อิสลาม วัลมุสลิมีน (Jama'at Nasr al-Islam wal Muslimin) ได้โจมตีสถานทูตฝรั่งเศสในกรุงวากาดูกู รวมถึงกองบัญชาการทหารของกองทัพบูร์กินาฟาโซ ทหาร 8 นายและผู้โจมตี 8 คนเสียชีวิต และทหารอีก 61 นายและพลเรือน 24 คนได้รับบาดเจ็บ การก่อความไม่สงบได้ขยายไปยังทางตะวันออกของประเทศ และในช่วงต้นเดือนตุลาคม กองทัพบูร์กินาฟาโซได้เปิดปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ทางตะวันออกของประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังฝรั่งเศส
ตามรายงานของฮิวแมนไรตส์วอตช์ ระหว่างกลางปี พ.ศ. 2561 ถึงกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 มีผู้ถูกสังหารโดยกลุ่มญิฮาดอย่างน้อย 42 คน และพลเรือนส่วนใหญ่เป็นชาวฟูลานีอย่างน้อย 116 คนถูกสังหารโดยกองกำลังทหารโดยไม่มีการพิจารณาคดี การโจมตีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี พ.ศ. 2562 ตามข้อมูลของโครงการข้อมูลสถานที่และเหตุการณ์ความขัดแย้งด้วยอาวุธ (ACLED) ความรุนแรงด้วยอาวุธในบูร์กินาฟาโซเพิ่มขึ้น 174% ในปี พ.ศ. 2562 โดยมีพลเรือนเสียชีวิตเกือบ 1,300 คนและพลัดถิ่น 860,000 คน กลุ่มญิฮาดยังเริ่มพุ่งเป้าไปที่ชาวคริสต์โดยเฉพาะ
เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) สหรัฐอเมริกาแสดงความกังวลหลังจากรายงานของฮิวแมนไรตส์วอตช์เปิดเผยหลุมฝังศพหมู่ที่มีศพอย่างน้อย 180 ศพ ซึ่งพบทางตอนเหนือของบูร์กินาฟาโซที่ทหารกำลังต่อสู้กับกลุ่มญิฮาด เมื่อวันที่ 4-5 มิถุนายน พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) กลุ่มติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายได้สังหารหมู่ประชาชนกว่า 170 คนในหมู่บ้านซอลฮันและตาดาร์ยัต กลุ่มญิฮาดสังหารประชาชน 80 คนในเขตกอร์กาดจี (Gorgadji) เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน กลุ่มญะมาอะตุ นัศรุล อิสลาม วัลมุสลิมีน โจมตีกองกำลังกึ่งทหารในเมืองอินาตา (Inata) สังหารทหารไป 53 นาย ซึ่งเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดของกองทัพบูร์กินาเบในระหว่างการก่อความไม่สงบ และเป็นความสูญเสียทางขวัญกำลังใจครั้งสำคัญของประเทศ ในเดือนธันวาคม กลุ่มอิสลามิสต์สังหารประชาชน 41 คนในการซุ่มโจมตี รวมถึงผู้นำกองกำลังอาสาสมัครยอดนิยม ลาจี โยโร (Ladji Yoro) ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในอาสาสมัครเพื่อปกป้องมาตุภูมิ (VDP) กองกำลังอาสาสมัครที่สนับสนุนรัฐบาลซึ่งมีบทบาทนำในการต่อสู้กับกลุ่มอิสลามิสต์
วิกฤตความมั่นคงนี้ส่งผลให้เกิดวิกฤตด้านมนุษยธรรมอย่างรุนแรง ประชาชนจำนวนมากต้องพลัดถิ่นภายในประเทศ กลายเป็นผู้ลี้ภัยในประเทศตนเอง (IDPs) การเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเป็นไปได้ยากในหลายพื้นที่เนื่องจากความไม่ปลอดภัย โครงสร้างพื้นฐานถูกทำลาย บริการสาธารณะ เช่น การศึกษาและสาธารณสุขหยุดชะงัก ความรุนแรงยังส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร ทำให้ประชาชนจำนวนมากตกอยู่ในภาวะขาดแคลนอาหารและทุพโภชนาการ
3.4.5. รัฐประหารต่อเนื่องปี ค.ศ. 2022 และรัฐบาลทหาร
ในการรัฐประหารที่ประสบความสำเร็จเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2565 (ค.ศ. 2022) ทหารที่ก่อการกบฏได้จับกุมและโค่นล้มประธานาธิบดีรอช มาร์ก คริสติยอง กาโบเร หลังจากการยิงปะทะ ขบวนการรักชาติเพื่อการพิทักษ์และฟื้นฟู (Patriotic Movement for Safeguard and Restoration - MPSR) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ ได้ประกาศตนว่าอยู่ในอำนาจ นำโดยพันโทปอล-อ็องรี ซ็องดาออกอ ดามีบา เมื่อวันที่ 31 มกราคม รัฐบาลทหารได้ฟื้นฟูรัฐธรรมนูญและแต่งตั้งดามีบาเป็นประธานาธิบดีเฉพาะกาล หลังจากการรัฐประหาร ประชาคมเศรษฐกิจรัฐแอฟริกาตะวันตก (ECOWAS) และสหภาพแอฟริกา (AU) ได้ระงับสมาชิกภาพของบูร์กินาฟาโซ เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ สภารัฐธรรมนูญประกาศให้ดามีบาเป็นประธานาธิบดี เขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2565 รัฐบาลทหารได้อนุมัติกฎบัตรที่อนุญาตให้มีการเปลี่ยนผ่านที่นำโดยทหารเป็นเวลา 3 ปี กฎบัตรดังกล่าวกำหนดให้กระบวนการเปลี่ยนผ่านต้องตามด้วยการจัดการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีกาโบเร ซึ่งถูกควบคุมตัวตั้งแต่รัฐบาลทหารขึ้นสู่อำนาจ ได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2565
การก่อความไม่สงบยังคงดำเนินต่อไปหลังจากการรัฐประหาร โดยประมาณ 60% ของประเทศอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล การปิดล้อมเมืองจีโบ (Djibo) เริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 และยังคงดำเนินต่อไปจนถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2566 มีผู้เสียชีวิตระหว่าง 100 ถึง 165 คนในการสังหารหมู่ที่เซเตนกา (Seytenga) จังหวัดเซโน (Séno) เมื่อวันที่ 12-13 มิถุนายน และมีผู้คนประมาณ 16,000 คนต้องหนีออกจากบ้านเรือน ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 รัฐบาลได้ประกาศจัดตั้ง "เขตทหาร" ซึ่งพลเรือนต้องอพยพออกไปเพื่อให้กองทัพและกองกำลังความมั่นคงของประเทศสามารถต่อสู้กับผู้ก่อความไม่สงบได้โดยไม่มี "อุปสรรค"
เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2565 (ค.ศ. 2022) ดามีบาถูกโค่นล้มในการรัฐประหารที่นำโดยร้อยเอกอีบราอิม ตราโอเร เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแปดเดือนหลังจากที่ดามีบาขึ้นสู่อำนาจ เหตุผลที่ตราโอเรให้ไว้สำหรับการรัฐประหารคือความล้มเหลวของปอล-อ็องรี ซ็องดาออกอ ดามีบา ในการจัดการกับการก่อความไม่สงบของกลุ่มอิสลาม ดามีบาลาออกและเดินทางออกนอกประเทศ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2565 ร้อยเอกอีบราอิม ตราโอเร ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ อาปอลีแนร์ โฌอากิม กีเยแลม เด ต็องเบลา ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีเฉพาะกาลเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2565
เมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2023) ทางการบูร์กินาฟาโซได้ประกาศระดมพลเพื่อให้ประเทศมีเครื่องมือที่จำเป็นทั้งหมดในการต่อสู้กับการก่อการร้ายและสร้าง "กรอบกฎหมายสำหรับการดำเนินการทั้งหมดที่จะดำเนินการ" ต่อต้านผู้ก่อความไม่สงบในการยึดคืนดินแดน 40% ของประเทศจากผู้ก่อความไม่สงบอิสลาม เมื่อวันที่ 20 เมษายน กองกำลังตอบโต้เร็วได้ก่อเหตุการสังหารหมู่ที่การ์มา โดยรวบรวมและประหารชีวิตพลเรือนจำนวนมาก มีพลเรือนเสียชีวิตระหว่าง 60 ถึง 156 คน
สถานการณ์ทางการเมืองภายใต้รัฐบาลทหารยังคงมีความไม่แน่นอน ปฏิกิริยาจากประชาคมระหว่างประเทศมีทั้งการประณามและการเรียกร้องให้กลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด รัฐบาลทหารเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากภายในประเทศและจากต่างประเทศในการแก้ไขปัญหาวิกฤตความมั่นคงและมนุษยธรรม รวมถึงการจัดการกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติการทางทหาร อนาคตทางการเมืองของบูร์กินาฟาโซยังคงไม่แน่นอนและขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐบาลทหารในการสร้างเสถียรภาพและความมั่นคง รวมถึงการดำเนินการตามคำมั่นสัญญาในการเปลี่ยนผ่านสู่การปกครองโดยพลเรือน
4. ภูมิศาสตร์
ภูมิศาสตร์ของบูร์กินาฟาโซประกอบด้วยลักษณะภูมิประเทศและธรณีวิทยาที่หลากหลาย ภูมิอากาศแบบร้อนชื้น ระบบแม่น้ำที่สำคัญหลายสาย รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศที่เป็นเอกลักษณ์


บูร์กินาฟาโซตั้งอยู่ส่วนใหญ่ระหว่างละติจูด เส้นขนานที่ 9 องศาเหนือ ถึง เส้นขนานที่ 15 องศาเหนือ (มีพื้นที่เล็กน้อยอยู่ทางเหนือของเส้นขนานที่ 15 องศา) และลองจิจูด เส้นเมริเดียนที่ 6 องศาตะวันตก ถึง เส้นเมริเดียนที่ 3 องศาตะวันออก
ประเทศนี้ประกอบด้วยภูมิประเทศหลักสองประเภท ส่วนใหญ่ของประเทศถูกปกคลุมด้วยที่ราบลอนลาด ซึ่งก่อให้เกิดภูมิทัศน์ที่เป็นลูกคลื่นเบา ๆ ในบางพื้นที่มีเนินเขาโดดเดี่ยวอยู่บ้าง ซึ่งเป็นร่องรอยสุดท้ายของมวลเข้มยุคพรีแคมเบรียน ในทางตรงกันข้าม ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเป็นมวลเขาสูงชันหินทราย ซึ่งเป็นที่ตั้งของยอดเขาเตนาคูรู จุดสูงสุดของประเทศ ที่ระดับความสูง 749 m มวลเขานี้มีหน้าผาสูงชันถึง 150 m ความสูงเฉลี่ยของบูร์กินาฟาโซคือ 400 m และความแตกต่างระหว่างภูมิประเทศที่สูงที่สุดและต่ำที่สุดไม่เกิน 600 m ดังนั้น บูร์กินาฟาโซจึงเป็นประเทศที่ค่อนข้างราบ
4.1. ลักษณะภูมิประเทศและธรณีวิทยา
พื้นที่ส่วนใหญ่ของบูร์กินาฟาโซเป็นที่ราบสูงที่กว้างใหญ่และเป็นลูกคลื่นเล็กน้อย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโล่แอฟริกาตะวันตก (West African Shield) โครงสร้างทางธรณีวิทยาหลักประกอบด้วยหินยุคพรีแคมเบรียน เช่น หินแกรนิต หินไนส์ และหินชีสต์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศมีลักษณะเด่นคือเทือกเขาหินทรายบันโฟรา (Banfora Escarpment) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมวลเขาหินทรายที่ใหญ่กว่า ยอดเขาเตนาคูรู (Ténakourou) ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของประเทศด้วยความสูง 749 m ตั้งอยู่ในภูมิภาคนี้ องค์ประกอบทางธรณีวิทยาที่สำคัญอื่นๆ รวมถึงสายแร่ทองคำและแมงกานีส ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ
4.2. ภูมิอากาศ
บูร์กินาฟาโซมีภูมิอากาศแบบร้อนชื้นเป็นหลัก โดยมีสองฤดูที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ในฤดูฝน ประเทศจะได้รับปริมาณน้ำฝนระหว่าง 600 mm ถึง 900 mm ในฤดูแล้ง ลมฮาร์มัตตัน ซึ่งเป็นลมร้อนแห้งจากทะเลทรายซาฮาราจะพัดเข้ามา ฤดูฝนกินเวลาประมาณสี่เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม/มิถุนายนถึงกันยายน แต่จะสั้นกว่าในภาคเหนือของประเทศ สามารถแบ่งเขตภูมิอากาศได้สามเขต: ซาเฮล (Sahel) ซูดาน-ซาเฮล (Sudan-Sahel) และซูดาน-กินี (Sudan-Guinea) เขตซาเฮลทางตอนเหนือโดยทั่วไปจะได้รับปริมาณน้ำฝนน้อยกว่า 600 mm ต่อปี และมีอุณหภูมิสูง 5 °C ถึง 47 °C
เขตภูมิอากาศซูดาน-ซาเฮลตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 11° 3′ ถึง 13° 5′ เหนือ เป็นเขตเปลี่ยนผ่านในด้านปริมาณน้ำฝนและอุณหภูมิ ส่วนเขตซูดาน-กินีทางใต้สุดจะได้รับปริมาณน้ำฝนมากกว่า 900 mm ต่อปี และมีอุณหภูมิเฉลี่ยเย็นกว่า
ภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อมมีส่วนทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางอาหารในบูร์กินาฟาโซ เนื่องจากประเทศตั้งอยู่ในภูมิภาคซาเฮล จึงมีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งแต่อุทกภัยรุนแรงไปจนถึงภัยแล้งสุดขั้ว การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้เหล่านี้ทำให้ประชาชนบูร์กินาฟาโซพึ่งพาและเจริญรุ่งเรืองจากเกษตรกรรมได้ยากมาก สภาพภูมิอากาศของบูร์กินาฟาโซยังทำให้พืชผลอ่อนแอต่อการโจมตีของแมลง รวมถึงการโจมตีจากตั๊กแตนและจิ้งหรีด ซึ่งทำลายพืชผลและขัดขวางการผลิตอาหารต่อไป
4.3. ระบบแม่น้ำลำธาร
บูร์กินาฟาโซมีแม่น้ำสายหลักสามสายที่ไหลผ่านประเทศ ได้แก่ แม่น้ำมูฮูน (Mouhoun River) หรือเดิมคือแม่น้ำโวลตาดำ (Black Volta) แม่น้ำนาก็องเบ (Nakambé River) หรือแม่น้ำโวลตาขาว (White Volta) และแม่น้ำนาซีโนน (Nazinon River) หรือแม่น้ำโวลตาแดง (Red Volta) แม่น้ำมูฮูนเป็นหนึ่งในสองแม่น้ำของประเทศที่มีน้ำไหลตลอดทั้งปี อีกสายหนึ่งคือแม่น้ำโคโมเอ (Komoé River) ซึ่งไหลไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ลุ่มน้ำของแม่น้ำไนเจอร์ยังระบายน้ำครอบคลุมพื้นที่ 27% ของประเทศ
สาขาของแม่น้ำไนเจอร์ ได้แก่ แม่น้ำเบลี (Béli) โกรูออล (Gorouol) กูเดโบ (Goudébo) และดาร์กอล (Dargol) เป็นลำธารตามฤดูกาลและมีน้ำไหลเพียงสี่ถึงหกเดือนต่อปี อย่างไรก็ตาม ลำธารเหล่านี้ก็ยังสามารถเกิดน้ำท่วมและล้นตลิ่งได้ ประเทศนี้ยังมีทะเลสาบจำนวนมาก ที่สำคัญคือ ทะเลสาบทิงเกรลา (Lake Tingrela) ทะเลสาบบัม (Lake Bam) และทะเลสาบเดม (Lake Dem) นอกจากนี้ยังมีบ่อน้ำขนาดใหญ่ เช่น บ่อน้ำอูร์ซี (Oursi) เบลี (Béli) ยอมโบลี (Yomboli) และมาร์โคเย (Markoye) ปัญหาการขาดแคลนน้ำมักเป็นปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางตอนเหนือของประเทศ
4.4. ทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ
ทรัพยากรแร่ธาตุที่สำคัญของบูร์กินาฟาโซ ได้แก่ ทองคำ แมงกานีส ทองแดง และหินปูน ทองคำเป็นทรัพยากรส่งออกที่สำคัญและมีการทำเหมืองอย่างกว้างขวางทั้งในระดับอุตสาหกรรมและขนาดเล็ก แมงกานีสก็เป็นทรัพยากรที่มีศักยภาพเช่นกัน แม้ว่าการพัฒนายังอยู่ในระยะเริ่มต้น
บูร์กินาฟาโซตั้งอยู่ในเขตชีวนิเวศบนบกสองแห่ง: ทุ่งหญ้าสะวันนาอะคาเซียซาเฮล (Sahelian Acacia savanna) และทุ่งหญ้าสะวันนาซูดานตะวันตก (West Sudanian savanna) พื้นที่ป่าไม้ของบูร์กินาฟาโซครอบคลุมประมาณ 23% ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศ หรือเท่ากับ 6,216,400 เฮกตาร์ (ha) ในปี พ.ศ. 2563 ลดลงจาก 7,716,600 เฮกตาร์ในปี พ.ศ. 2533 ในปี พ.ศ. 2563 ป่าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติครอบคลุมพื้นที่ 6,039,300 เฮกตาร์ และป่าปลูกครอบคลุมพื้นที่ 177,100 เฮกตาร์ ประมาณ 16% ของพื้นที่ป่าไม้อยู่ในพื้นที่คุ้มครอง ในปี พ.ศ. 2558 พื้นที่ป่าไม้ทั้งหมด 100% อยู่ภายใต้การเป็นเจ้าของของรัฐ
พืชพรรณส่วนใหญ่เป็นทุ่งหญ้าสะวันนา สลับกับป่าโปร่งและป่าละเมาะ สัตว์ป่าที่พบได้แก่ ช้างแอฟริกา สิงโต เสือดาว ควายแอฟริกา และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่อื่นๆ รวมถึงสัตว์เลื้อยคลานและนกนานาชนิด พื้นที่คุ้มครองที่สำคัญ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติอาร์ลี (Arly National Park) อุทยานแห่งชาติดับเบิลยู (W National Park ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอุทยานดับเบิลยู-อาร์ลี-เพนจารี มรดกโลก) และเขตอนุรักษ์สัตว์ป่านาแซงกา (Nazinga Game Ranch) พื้นที่เหล่านี้มีความสำคัญต่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ระบบนิเวศเหล่านี้กำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขยายตัวของเกษตรกรรม การล่าสัตว์ผิดกฎหมาย และความไม่มั่นคงในภูมิภาค
5. การเมือง
การเมืองของบูร์กินาฟาโซเกี่ยวข้องกับโครงสร้างรัฐบาลและรัฐธรรมนูญที่เปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง พรรคการเมืองหลักมีบทบาทในการเลือกตั้งแม้จะถูกจำกัดในบางช่วง และประเด็นสิทธิมนุษยชนยังคงเป็นความท้าทายสำคัญ
5.1. โครงสร้างรัฐบาลและรัฐธรรมนูญ

ตามรัฐธรรมนูญบูร์กินาฟาโซฉบับวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) บูร์กินาฟาโซมีรูปแบบรัฐบาลแบบระบบกึ่งประธานาธิบดี ซึ่งหมายความว่ามีทั้งประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐและมาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีอำนาจในการยุบรัฐสภา ในปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) รัฐธรรมนูญได้รับการแก้ไขเพื่อลดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจากเจ็ดปีเหลือห้าปี และจำกัดวาระไว้ที่สองสมัย
รัฐสภาเดิมเป็นระบบสภาเดียวเรียกว่า สมัชชาแห่งชาติ (National Assembly) ซึ่งมีสมาชิก 111 ที่นั่ง มาจากการเลือกตั้งและมีวาระห้าปี นอกจากนี้ยังมีสภาที่ปรึกษาด้านรัฐธรรมนูญ (Constitutional Chamber) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสิบคน และสภาเศรษฐกิจและสังคม (Economic and Social Council) ซึ่งมีบทบาทให้คำปรึกษาเท่านั้น รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2534 เดิมกำหนดให้มีระบบสองสภา แต่สภาสูง (Chamber of Representatives) ถูกยกเลิกในปี พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002)
ฝ่ายบริหารประกอบด้วยประธานาธิบดีและรัฐบาลที่นำโดยนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีโดยความเห็นชอบของสมัชชาแห่งชาติ และมีหน้าที่เสนอชื่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ประธานาธิบดีแต่งตั้ง ฝ่ายตุลาการมีศาลฎีกาเป็นศาลสูงสุด
อย่างไรก็ตาม หลังจากการรัฐประหารในเดือนมกราคม พ.ศ. 2565 กองทัพได้ยุบรัฐสภา รัฐบาล และระงับรัฐธรรมนูญ แม้ว่าในวันที่ 31 มกราคม รัฐบาลทหารจะฟื้นฟูรัฐธรรมนูญ แต่ก็ถูกระงับอีกครั้งหลังจากการรัฐประหารในเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 ส่งผลให้โครงสร้างรัฐบาลและกระบวนการทางรัฐธรรมนูญในปัจจุบันอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหาร และมีการเปลี่ยนแปลงตามประกาศหรือกฎบัตรที่ออกโดยรัฐบาลทหาร
ในปี พ.ศ. 2560 (ค.ศ. 2017) ประธานาธิบดีกาโบเรได้ให้คำมั่นว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2534 การแก้ไขเสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) เงื่อนไขหนึ่งคือห้ามมิให้บุคคลใดดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเกินสิบปีไม่ว่าจะติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม และกำหนดวิธีการถอดถอนประธานาธิบดี การลงประชามติเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญสำหรับสาธารณรัฐที่ห้ามีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 สิทธิบางประการยังได้รับการบัญญัติไว้ในถ้อยคำที่แก้ไขใหม่ เช่น การเข้าถึงน้ำดื่ม การเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม และการยอมรับสิทธิในการไม่เชื่อฟังของพลเมือง อย่างไรก็ตาม การลงประชามติดังกล่าวจำเป็นเนื่องจากพรรคฝ่ายค้านในรัฐสภาปฏิเสธที่จะอนุมัติข้อเสนอ
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2023) เนื่องจากความสัมพันธ์ที่เสื่อมทรามลงระหว่างบูร์กินาฟาโซและรัฐบาลฝรั่งเศส รัฐบาลบูร์กินาฟาโซได้ประกาศยกระดับภาษาภาษามอเร (Mossi language) ภาษาภาษาบิสซา (Bissa language) ภาษาภาษาจูลา (Dyula language) และภาษาภาษาฟูลา (Fula language) ขึ้นเป็นภาษาราชการ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024) ภาษาฝรั่งเศสถูกยกเลิกจากการเป็นภาษาราชการ และกลายเป็นภาษาทำงานร่วมกับภาษาอังกฤษแทน
5.2. พรรคการเมืองหลักและการเลือกตั้ง
บูร์กินาฟาโซมีระบบระบบหลายพรรคการเมืองมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1990 แม้ว่าในช่วงการปกครองของแบลซ กงปาออเร พรรคของเขาคือ สภาเพื่อประชาธิปไตยและความก้าวหน้า (Congress for Democracy and Progress - CDP) จะมีอิทธิพลครอบงำการเมืองเป็นส่วนใหญ่ หลังจากการลุกฮือในปี พ.ศ. 2557 พรรคการเมืองใหม่ ๆ ได้ก่อตั้งขึ้นและมีบทบาทมากขึ้น พรรคการเมืองหลักที่สำคัญในช่วงหลังปี พ.ศ. 2557 ได้แก่:
- ขบวนการประชาชนเพื่อความก้าวหน้า (Mouvement du Peuple pour le Progrès - MPP): ก่อตั้งโดยอดีตสมาชิกพรรค CDP รวมถึงรอช มาร์ก คริสติยอง กาโบเร ซึ่งชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี พ.ศ. 2558 และ พ.ศ. 2563
- สหภาพเพื่อความก้าวหน้าและการปฏิรูป (Union pour le Progrès et le Changement - UPC): นำโดยเซฟีแร็ง ดียาเบร เป็นพรรคฝ่ายค้านที่สำคัญ
- สภาเพื่อประชาธิปไตยและความก้าวหน้า (Congrès pour la Démocratie et le Progrès - CDP): อดีตพรรครัฐบาลของแบลซ กงปาออเร ยังคงมีบทบาทในฐานะพรรคฝ่ายค้าน
การเลือกตั้งที่สำคัญ ได้แก่ การเลือกตั้งประธานาธิบดีและการเลือกตั้งทั่วไป (สมาชิกรัฐสภา) การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี พ.ศ. 2558 ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยครั้งสำคัญหลังการโค่นล้มกงปาออเร โดยนายรอช มาร์ก คริสติยอง กาโบเร จากพรรค MPP ได้รับชัยชนะ และได้รับเลือกตั้งอีกครั้งในปี พ.ศ. 2563
อย่างไรก็ตาม หลังจากการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2565 กิจกรรมของพรรคการเมืองถูกจำกัดอย่างมาก รัฐธรรมนูญและสถาบันจากการเลือกตั้งถูกระงับ รัฐบาลทหารได้ประกาศแผนการเปลี่ยนผ่านซึ่งรวมถึงการจัดการเลือกตั้งในอนาคต แต่กรอบเวลาและเงื่อนไขยังคงไม่แน่นอน สถานการณ์ปัจจุบันจึงเป็นการจำกัดอิทธิพลและกิจกรรมของพรรคการเมืองหลักต่างๆ และการเมืองอยู่ภายใต้อำนาจของกองทัพเป็นส่วนใหญ่
5.3. สิทธิมนุษยชน
สถานการณ์สิทธิมนุษยชนโดยรวมในบูร์กินาฟาโซยังคงเป็นที่น่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองและการก่อความไม่สงบของกลุ่มญิฮาดที่ทวีความรุนแรงขึ้น ประเด็นสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ ได้แก่:
- เสรีภาพสื่อและการแสดงออก: แม้ว่าในอดีตจะมีความพยายามในการพัฒนาสื่ออิสระ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังการรัฐประหาร มีรายงานการจำกัดเสรีภาพสื่อและการคุกคามนักข่าว นักข่าวนอร์แบร์ ซงโกถูกลอบสังหารในปี พ.ศ. 2541 และคดียังไม่คลี่คลายจนถึงปัจจุบัน กรณีการปราบปรามสื่อมวลชนอื่นๆ ก็ยังคงเกิดขึ้น
- การปราบปรามทางการเมือง: ในช่วงการปกครองที่ยาวนานของแบลซ กงปาออเร มีการปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมือง หลังจากการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2565 กิจกรรมทางการเมืองของพรรคฝ่ายค้านและภาคประชาสังคมถูกจำกัด
- สิทธิสตรีและเด็ก: การขลิบอวัยวะเพศหญิง (FGM) ยังคงเป็นปัญหา แม้ว่าตอมา ซ็องการาจะเคยสั่งห้ามไปแล้ว การแต่งงานในเด็กและความรุนแรงต่อสตรีและเด็กยังคงเกิดขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ขัดแย้งที่สตรีและเด็กมีความเปราะบางเป็นพิเศษ
- การคุ้มครองพลเรือนในพื้นที่ขัดแย้ง: การก่อความไม่สงบของกลุ่มญิฮาดส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางต่อพลเรือน ทั้งจากกลุ่มติดอาวุธและบางครั้งจากกองกำลังความมั่นคงของรัฐ มีรายงานการสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม การบังคับพลัดถิ่น และการจำกัดการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ฮิวแมนไรตส์วอตช์รายงานว่าระหว่างกลางปี พ.ศ. 2561 ถึงกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 มีผู้ถูกสังหารโดยกลุ่มญิฮาดอย่างน้อย 42 คน และพลเรือนส่วนใหญ่เป็นชาวฟูลานีอย่างน้อย 116 คนถูกสังหารโดยกองกำลังทหารโดยไม่มีการพิจารณาคดี ในปี พ.ศ. 2566 เหตุการณ์สังหารหมู่ที่หมู่บ้านการ์มา (Karma) ซึ่งมีรายงานว่ากองทัพมีส่วนเกี่ยวข้อง ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตจำนวนมาก
- สิทธิของผู้ต้องขังและกระบวนการยุติธรรม: ระบบยุติธรรมยังคงอ่อนแอและเผชิญกับปัญหาการเมืองแทรกแซง การควบคุมตัวโดยพลการและการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังอย่างไม่เหมาะสมยังคงเป็นประเด็น
รัฐบาลบูร์กินาฟาโซ (ทั้งในอดีตและรัฐบาลทหารปัจจุบัน) ได้แสดงเจตจำนงในการปรับปรุงสถานการณ์สิทธิมนุษยชน แต่ความพยายามเหล่านี้มักถูกบั่นทอนจากความไร้เสถียรภาพทางการเมือง การขาดทรัพยากร และความท้าทายด้านความมั่นคง ประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงองค์การสหประชาชาติและองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิทธิมนุษยชน ได้เรียกร้องให้มีการสอบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนและนำผู้กระทำผิดมารับโทษ รวมถึงให้ความช่วยเหลือในการเสริมสร้างสถาบันสิทธิมนุษยชนในประเทศ
6. การแบ่งเขตการปกครอง

บูร์กินาฟาโซมีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็นระดับต่างๆ เพื่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการประเทศ ระบบการแบ่งเขตการปกครองหลักประกอบด้วย:
1. แคว้น (Régionsแรฌียงภาษาฝรั่งเศส): เป็นหน่วยการปกครองระดับบนสุด ปัจจุบันบูร์กินาฟาโซแบ่งออกเป็น 13 แคว้น แต่ละแคว้นมีผู้ว่าการ (Governor) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลกลางเป็นผู้บริหาร แคว้นมีบทบาทในการประสานงานนโยบายของรัฐบาลกลางในระดับภูมิภาค และส่งเสริมการพัฒนาในพื้นที่ของตน แคว้นต่างๆ ได้แก่:
- บูเกลดูมูอูน (Boucle du Mouhoun)
- กัสกาด (Cascades)
- ซ็องทร์ (Centre) (ที่ตั้งของเมืองหลวงวากาดูกู)
- ซ็องทร์-แอสต์ (Centre-Est)
- ซ็องทร์-นอร์ (Centre-Nord)
- ซ็องทร์-อแวสต์ (Centre-Ouest)
- ซ็องทร์-ซูด (Centre-Sud)
- แอสต์ (Est)
- โอต-บาแซ็ง (Hauts-Bassins) (ที่ตั้งของเมืองโบโบ-ดีอูลาสโซ)
- นอร์ (Nord)
- ปลาโต-ซ็องทราล (Plateau-Central)
- ซาเอล (Sahel)
- ซูด-อแวสต์ (Sud-Ouest)
2. จังหวัด (Provincesพรอแว็งซ์ภาษาฝรั่งเศส): แต่ละแคว้นจะแบ่งย่อยออกเป็นจังหวัดต่างๆ รวมทั้งสิ้น 45 จังหวัด ทั่วประเทศ แต่ละจังหวัดมีข้าหลวงใหญ่ (High Commissioner) เป็นผู้บริหาร จังหวัดมีบทบาทในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในระดับท้องถิ่นและดูแลการบริหารงานของอำเภอ
3. อำเภอ (Départementsเดปาร์เตอม็องภาษาฝรั่งเศส): แต่ละจังหวัดจะแบ่งย่อยออกเป็นอำเภอต่างๆ รวมทั้งสิ้น 351 อำเภอ (ข้อมูลบางแหล่งระบุ 301 หรือ 350 ขึ้นอยู่กับการปรับปรุงล่าสุด) อำเภอเป็นหน่วยการปกครองระดับรากหญ้าที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด โดยมีนายอำเภอ (Prefect) เป็นผู้บริหาร มีบทบาทในการให้บริการสาธารณะขั้นพื้นฐานและดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่
นอกจากนี้ยังมีเทศบาล (Communes) ซึ่งอาจเป็นเทศบาลเมือง (Urban Communes) หรือเทศบาลชนบท (Rural Communes) ที่มีบทบาทในการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่น
เมืองสำคัญโดยสังเขป:
- วากาดูกู (Ouagadougou): เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุด เป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม
- โบโบ-ดีอูลาสโซ (Bobo-Dioulasso): เมืองใหญ่อันดับสอง เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่สำคัญทางตะวันตกของประเทศ
- กูดู กู (Koudougou): เมืองสำคัญทางเศรษฐกิจและการศึกษา
- วากีกูยา (Ouahigouya): เมืองสำคัญทางตอนเหนือ
- บันโฟรา (Banfora): เมืองสำคัญทางตะวันตกเฉียงใต้ ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ
- กายา (Kaya): เมืองสำคัญในภาคกลางตอนเหนือ
- ฟา ดา เอ็น กูร์มา (Fada N'gourma): เมืองสำคัญทางตะวันออก
ระบบการกระจายอำนาจได้พยายามเสริมสร้างบทบาทของหน่วยการปกครองท้องถิ่นเหล่านี้ในการตัดสินใจและการจัดการทรัพยากรของตนเอง แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายในด้านงบประมาณ ทรัพยากรบุคคล และความมั่นคงในบางพื้นที่
7. การทหารและความมั่นคง
กองทัพบูร์กินาฟาโซ (Forces armées du Burkina Fasoฟอร์ซาร์เมดูบูร์กินาฟาโซภาษาฝรั่งเศส) ประกอบด้วยกองทัพบก กองทัพอากาศ และกองกำลังกึ่งทหารแห่งชาติ (National Gendarmerie) ซึ่งทำหน้าที่ทั้งตำรวจและทหาร นอกจากนี้ยังมีกองกำลังอาสาสมัครประชาชนที่เรียกว่า อาสาสมัครเพื่อปกป้องมาตุภูมิ (Volunteers for the Defense of the Homeland - VDP) ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนกองทัพในการต่อสู้กับการก่อความไม่สงบ
- ขนาดและยุทโธปกรณ์: ขนาดของกองทัพโดยประมาณอยู่ที่ประมาณ 6,000 นาย (ไม่รวม VDP) ยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่เป็นอาวุธเบา ยานเกราะล้อยาง และอากาศยานจำนวนจำกัด กองทัพได้รับการสนับสนุนด้านการฝึกอบรมและยุทโธปกรณ์จากต่างประเทศ แต่ยังคงเผชิญกับข้อจำกัดด้านทรัพยากร
- ภารกิจหลัก: ภารกิจหลักของกองทัพคือการป้องกันอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศ รักษาความมั่นคงภายใน และสนับสนุนการพัฒนาประเทศ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภารกิจที่สำคัญที่สุดคือการต่อสู้กับการก่อความไม่สงบของกลุ่มญิฮาด
- การแทรกแซงทางการเมือง: กองทัพบูร์กินาฟาโซมีประวัติการแทรกแซงทางการเมืองหลายครั้ง รวมถึงการรัฐประหารที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ล่าสุดคือการรัฐประหารในเดือนมกราคม พ.ศ. 2565 และการรัฐประหารในเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 ซึ่งส่งผลให้ประเทศอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหารในปัจจุบัน
- องค์กรตำรวจ: นอกเหนือจากกองกำลังกึ่งทหารแห่งชาติแล้ว ยังมีตำรวจแห่งชาติ (National Police) และตำรวจเทศบาล (Municipal Police) ซึ่งรับผิดชอบการรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อยภายในเมืองและชุมชน
- สถานการณ์ความมั่นคงภายในประเทศ: บูร์กินาฟาโซกำลังเผชิญกับวิกฤตความมั่นคงที่รุนแรงอันเนื่องมาจากการก่อความไม่สงบของกลุ่มญิฮาดที่เชื่อมโยงกับกลุ่มรัฐอิสลาม (IS) และอัลกออิดะห์ กลุ่มเหล่านี้ปฏิบัติการในหลายพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะทางตอนเหนือและตะวันออก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ประชาชนกว่าสองล้านคนต้องพลัดถิ่นภายในประเทศ และเกิดวิกฤตด้านมนุษยธรรม รัฐบาลทหารได้ให้ความสำคัญสูงสุดกับการแก้ไขปัญหานี้ แต่สถานการณ์ยังคงท้าทายอย่างยิ่ง
ความร่วมมือด้านความมั่นคงในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศมีความสำคัญต่อบูร์กินาฟาโซในการรับมือกับภัยคุกคามจากการก่อการร้ายข้ามชาติ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์กับพันธมิตรดั้งเดิมบางประเทศ เช่น ฝรั่งเศส ได้เปลี่ยนแปลงไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
8. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
นโยบายต่างประเทศพื้นฐานของบูร์กินาฟาโซโดยทั่วไปมุ่งเน้นการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด การส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค และการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจ บูร์กินาฟาโซเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศที่สำคัญหลายแห่ง เช่น สหประชาชาติ (UN) สหภาพแอฟริกา (AU) ประชาคมเศรษฐกิจรัฐแอฟริกาตะวันตก (ECOWAS) องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) และองค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส (La Francophonie)
อย่างไรก็ตาม หลังจากการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2565 (ค.ศ. 2022) สมาชิกภาพของบูร์กินาฟาโซใน AU และ ECOWAS ได้ถูกระงับชั่วคราว รัฐบาลทหารที่ขึ้นสู่อำนาจได้แสดงท่าทีที่แข็งกร้าวต่ออิทธิพลจากภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอดีตเจ้าอาณานิคมอย่างฝรั่งเศส ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีการเรียกร้องให้กองกำลังฝรั่งเศสถอนออกจากประเทศ และมีการแสวงหาพันธมิตรใหม่ๆ รวมถึงการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศเช่นรัสเซียและประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคซาเฮลที่อยู่ภายใต้การปกครองของทหารเช่นกัน เช่น มาลีและไนเจอร์ ทั้งสามประเทศได้ประกาศถอนตัวออกจาก ECOWAS ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2567 และได้ก่อตั้งพันธมิตรรัฐซาเฮล (Alliance of Sahel States - AES) ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ
บูร์กินาฟาโซยังคงรักษาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในระดับทวิภาคี แม้ว่าจะมีความตึงเครียดเกิดขึ้นบ้างในบางครั้งเกี่ยวกับปัญหาชายแดนและความมั่นคง ความร่วมมือกับประเทศคู่ค้าและประเทศผู้ให้ความช่วยเหลืออื่นๆ ยังคงดำเนินต่อไป แต่มีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลทหารที่เน้นความเป็นอิสระและอธิปไตยของชาติมากขึ้น
สำหรับความสัมพันธ์กับประเทศไทย โดยทั่วไปแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างบูร์กินาฟาโซและประเทศไทยอยู่ในระดับจำกัด ส่วนใหญ่เป็นการติดต่อผ่านช่องทางพหุภาคีในเวทีสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศอื่นๆ การค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศมีไม่มากนัก ข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทวิภาคีที่โดดเด่นมีน้อย อย่างไรก็ตาม มีชาวบูร์กินาฟาโซจำนวนหนึ่งอาศัยอยู่ในประเทศไทย และอาจมีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมหรือการศึกษาในระดับบุคคลบ้าง แต่ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตหรือเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดเป็นพิเศษ
9. เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของบูร์กินาฟาโซมีโครงสร้างที่พึ่งพาเกษตรกรรมและเหมืองแร่เป็นหลัก โดยมีแนวโน้มที่ได้รับผลกระทบจากความไม่มั่นคง โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม พลังงาน และการจัดการน้ำยังคงต้องการการพัฒนา ในขณะที่การลงทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังอยู่ในระดับต่ำแม้จะมีความพยายามส่งเสริมก็ตาม
9.1. โครงสร้างและแนวโน้มเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของบูร์กินาฟาโซมีโครงสร้างที่เน้นภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยประชากรส่วนใหญ่ประมาณ 80% ประกอบอาชีพในภาคเกษตรกรรม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเกษตรแบบยังชีพ อัตราความยากจนยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ประเทศต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศอย่างมากในการพัฒนาและงบประมาณรายจ่าย
แนวโน้มเศรษฐกิจล่าสุดได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตความมั่นคงที่ทวีความรุนแรงขึ้น การก่อความไม่สงบของกลุ่มญิฮาดทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายพื้นที่หยุดชะงัก ประชาชนต้องพลัดถิ่น และโครงสร้างพื้นฐานได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ ปัญหาเงินเฟ้อ โดยเฉพาะราคาอาหารและพลังงาน ได้ซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน
รัฐบาลบูร์กินาฟาโซ (ทั้งในอดีตและรัฐบาลทหารปัจจุบัน) ได้พยายามดำเนินแผนพัฒนาเศรษฐกิจต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ แผนเหล่านี้มักมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาภาคเกษตรกรรม การส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการตามแผนเหล่านี้มักเผชิญกับอุปสรรคจากความไร้เสถียรภาพทางการเมือง การขาดแคลนทรัพยากร และความท้าทายด้านความมั่นคง
รายงานของธนาคารโลกระบุว่าในปี พ.ศ. 2560 (ค.ศ. 2017) การเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเป็น 6.4% (เทียบกับ 5.9% ในปี พ.ศ. 2559) สาเหตุหลักมาจากการผลิตทองคำและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มขึ้น การบริโภคที่เพิ่มขึ้นซึ่งเชื่อมโยงกับการเติบโตของค่าจ้างก็สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจเช่นกัน อัตราเงินเฟ้อยังคงต่ำอยู่ที่ 0.4% ในปีนั้น แต่การขาดดุลงบประมาณสาธารณะเพิ่มขึ้นเป็น 7.7% ของ GDP (เทียบกับ 3.5% ในปี พ.ศ. 2559) รัฐบาลยังคงได้รับความช่วยเหลือทางการเงินและเงินกู้เพื่อใช้ในการชำระหนี้ ธนาคารโลกกล่าวว่าแนวโน้มเศรษฐกิจยังคงเอื้ออำนวยในระยะสั้นและระยะกลาง แม้ว่าอาจได้รับผลกระทบในทางลบ ความเสี่ยงรวมถึงราคาน้ำมันที่สูง (การนำเข้า) ราคาที่ลดลงของทองคำและฝ้าย (การส่งออก) ตลอดจนภัยคุกคามจากการก่อการร้ายและการนัดหยุดงาน
บูร์กินาฟาโซเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพเศรษฐกิจและการเงินแอฟริกาตะวันตก (UEMOA) และใช้สกุลเงินฟรังก์เซฟาแอฟริกาตะวันตก (CFA franc) ซึ่งออกโดยธนาคารกลางแห่งรัฐแอฟริกาตะวันตก (BCEAO)
9.2. อุตสาหกรรมหลัก
อุตสาหกรรมหลักที่ประกอบเป็นเศรษฐกิจของบูร์กินาฟาโซยังคงจำกัดอยู่ในไม่กี่ภาคส่วน โดยภาคเกษตรกรรมและเหมืองแร่มีบทบาทสำคัญที่สุด
9.2.1. เกษตรกรรมและปศุสัตว์
ภาคเกษตรกรรมเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจบูร์กินาฟาโซ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 32% ของ GDP และจ้างงานประชากรส่วนใหญ่ พืชผลทางการเกษตรที่สำคัญ ได้แก่:
- ธัญพืชยังชีพ: ข้าวฟ่าง (Sorghum), ข้าวเดือย (Pearl millet), ข้าวโพด ซึ่งเป็นอาหารหลักของประชากร
- พืชเศรษฐกิจ: ฝ้าย เป็นพืชส่งออกที่สำคัญและเป็นแหล่งรายได้หลักของเกษตรกรจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมี ถั่วลิสง และพืชน้ำมันอื่นๆ
- ผักและผลไม้: มีการปลูกผักและผลไม้หลายชนิดเพื่อบริโภคในประเทศและส่งออกบ้างเล็กน้อย
อุตสาหกรรมปศุสัตว์ก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยมีการเลี้ยงวัว แพะ แกะ และสัตว์ปีก เป็นแหล่งอาหารและรายได้ที่สำคัญ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ผลิตภัณฑ์จากปศุสัตว์ เช่น หนังและเนื้อสัตว์ มีส่วนช่วยในเศรษฐกิจของประเทศ
อย่างไรก็ตาม ภาคเกษตรกรรมและปศุสัตว์ของบูร์กินาฟาโซเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ได้แก่:
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: ภัยแล้งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้น รวมถึงปริมาณน้ำฝนที่ไม่แน่นอน ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อผลผลิตทางการเกษตร
- ความไม่มั่นคง: การก่อความไม่สงบของกลุ่มญิฮาดในหลายพื้นที่ทำให้เกษตรกรไม่สามารถทำการเกษตรได้อย่างปลอดภัย ประชาชนต้องพลัดถิ่น และโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตรได้รับความเสียหาย
- เทคโนโลยีการเกษตรที่จำกัด: การเข้าถึงปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์คุณภาพดี และเทคโนโลยีการชลประทานยังคงจำกัด
- ความผันผวนของราคาตลาดโลก: ราคาฝ้ายและสินค้าเกษตรอื่นๆ ในตลาดโลกมีความผันผวน ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร
9.2.2. เหมืองแร่

ภาคเหมืองแร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำเหมืองทองคำ ได้กลายเป็นแหล่งรายได้ส่งออกที่สำคัญของบูร์กินาฟาโซในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา บูร์กินาฟาโซเป็นหนึ่งในผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ในแอฟริกา
- ทองคำ: เป็นแร่ธาตุส่งออกหลัก สร้างรายได้ส่วนใหญ่จากการส่งออกทั้งหมดของประเทศ มีทั้งเหมืองทองคำขนาดใหญ่ที่ดำเนินการโดยบริษัทต่างชาติ และเหมืองขนาดเล็ก (artisanal and small-scale mining - ASM) ที่ดำเนินการโดยคนในท้องถิ่น
- แร่ธาตุอื่นๆ: นอกจากทองคำแล้ว บูร์กินาฟาโซยังมีแมงกานีส สังกะสี ตะกั่ว ทองแดง นิกเกิล และหินปูน แต่การทำเหมืองแร่เหล่านี้ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่เท่าทองคำ
ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเหมืองแร่ ได้แก่:
- ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: การทำเหมือง โดยเฉพาะเหมืองขนาดเล็ก อาจก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การปนเปื้อนของสารเคมีในแหล่งน้ำ และการทำลายป่าไม้
- แรงงานเด็ก: มีรายงานการใช้แรงงานเด็กในเหมืองขนาดเล็ก ซึ่งเป็นปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ
- ความขัดแย้งและผลประโยชน์: การแบ่งปันผลประโยชน์จากการทำเหมืองแร่ระหว่างรัฐบาล บริษัท และชุมชนท้องถิ่น ยังคงเป็นประเด็นที่ท้าทาย
- ความมั่นคง: เหมืองแร่บางแห่งตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของกลุ่มติดอาวุธ ทำให้การดำเนินงานหยุดชะงักและเป็นอันตรายต่อคนงาน
รัฐบาลพยายามส่งเสริมการลงทุนในภาคเหมืองแร่และปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อดึงดูดนักลงทุนและเพิ่มรายได้เข้ารัฐ แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายในการสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน
9.3. โครงสร้างพื้นฐาน
โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศในบูร์กินาฟาโซยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน แม้จะมีความพยายามในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
9.3.1. การคมนาคม

สถานการณ์เครือข่ายการคมนาคมหลักในบูร์กินาฟาโซมีดังนี้:
- ถนน: เครือข่ายถนนมีความยาวรวมประมาณ 15.00 K km แต่มีเพียงประมาณ 2.50 K km ที่เป็นถนนลาดยาง ถนนส่วนใหญ่ยังคงเป็นถนนลูกรัง ซึ่งมักจะได้รับความเสียหายในช่วงฤดูฝน ทำให้การเดินทางและขนส่งเป็นไปได้ยากลำบาก โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท รัฐบาลได้พยายามปรับปรุงและขยายเครือข่ายถนน แต่ยังคงต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก
- ทางรถไฟ: บูร์กินาฟาโซมีเส้นทางรถไฟสายเดียวคือ ทางรถไฟอาบีจาน-ไนเจอร์ ซึ่งเชื่อมต่อจากวากาดูกูผ่านกูดู กู โบโบ-ดีอูลาสโซ และบันโฟรา ไปยังท่าเรืออาบีจานในโกตดิวัวร์ และมีการขยายเส้นทางจากวากาดูกูขึ้นไปทางเหนือถึงเมืองกายา ทางรถไฟสายนี้มีความสำคัญต่อการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะสินค้าส่งออกและนำเข้า แต่ก็ประสบปัญหาการขาดการบำรุงรักษาและเทคโนโลยีที่ล้าสมัย
- การบิน: มีท่าอากาศยานนานาชาติหลักสองแห่งคือ ท่าอากาศยานนานาชาติวากาดูกู (Ouagadougou Airport) และท่าอากาศยานโบโบ-ดีอูลาสโซ (Bobo-Dioulasso Airport) ท่าอากาศยานวากาดูกูมีเที่ยวบินไปยังหลายปลายทางในแอฟริกาตะวันตกและยุโรป (เช่น ปารีส บรัสเซลส์ และอิสตันบูล) การขนส่งทางอากาศมีความสำคัญต่อการเดินทางระหว่างประเทศและการขนส่งสินค้ามูลค่าสูง
ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ด้อยพัฒนาเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการเชื่อมโยงภายในประเทศและกับประเทศเพื่อนบ้าน การลงทุนในการปรับปรุงและขยายเครือข่ายการคมนาคมยังคงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
9.3.2. พลังงาน
สถานการณ์การผลิตและจัดหาไฟฟ้าในบูร์กินาฟาโซยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญ:
- การพึ่งพาการนำเข้าพลังงาน: บูร์กินาฟาโซต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมจากประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างมาก ทำให้มีความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงานและภาระค่าใช้จ่ายสูง
- การผลิตไฟฟ้าในประเทศ: การผลิตไฟฟ้าในประเทศส่วนใหญ่มาจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนที่ใช้น้ำมันดีเซล ซึ่งมีต้นทุนสูงและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อัตราการเข้าถึงไฟฟ้าของประชากรยังอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท
- ความพยายามในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน: รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากบูร์กินาฟาโซมีศักยภาพด้านพลังงานแสงอาทิตย์สูง มีการก่อตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หลายแห่ง เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ซักทูลี (Zagtouli Solar Power Plant) ใกล้กรุงวากาดูกู ซึ่งเมื่อเปิดใช้งานในปี พ.ศ. 2560 (ค.ศ. 2017) ถือเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกาตะวันตกในขณะนั้น การส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนมีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้า เพิ่มความมั่นคงทางพลังงาน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ความท้าทายยังคงอยู่ที่การขยายโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ การดึงดูดการลงทุนในภาคพลังงาน และการสร้างความมั่นคงทางพลังงานในระยะยาว
9.3.3. การจัดการน้ำและสุขาภิบาล

สถานการณ์การจัดหาน้ำประปาและสุขาภิบาลในบูร์กินาฟาโซมีการพัฒนาที่ดีขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ยังคงมีความท้าทายอยู่มาก:
- การจัดหาน้ำประปา: การเข้าถึงน้ำดื่มที่ปลอดภัยยังคงเป็นปัญหา โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท แม้ว่าอัตราการเข้าถึงจะเพิ่มขึ้นจาก 39% เป็น 76% ในพื้นที่ชนบทระหว่างปี พ.ศ. 2533 ถึง 2558 และจาก 75% เป็น 97% ในเขตเมืองในช่วงเวลาเดียวกัน (ตามข้อมูลของ UNICEF)
- บทบาทและความสำเร็จของสำนักงานน้ำและสุขาภิบาลแห่งชาติ (ONEA): สำนักงานน้ำและสุขาภิบาลแห่งชาติ (Office National de l'Eau et de l'Assainissementออฟฟิศนาซียอนัลเดอโลเอเดอลัสเซนิสสม็องภาษาฝรั่งเศส - ONEA) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินการในเชิงพาณิชย์ มีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงการจัดการทรัพยากรน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขาภิบาล ONEA ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในบริษัทสาธารณูปโภคที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดแห่งหนึ่งในแอฟริกา โดยสามารถเพิ่มการเข้าถึงน้ำสะอาดในเมืองหลักสี่แห่งของประเทศได้เกือบ 2 ล้านคน รักษาคุณภาพโครงสร้างพื้นฐานได้ดี (มีน้ำสูญเสียจากการรั่วไหลน้อยกว่า 18% ซึ่งต่ำที่สุดแห่งหนึ่งในแอฟริกาใต้สะฮารา) ปรับปรุงการรายงานทางการเงิน และเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อปี 12% (สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ)
- ความท้าทาย: ความท้าทายยังคงมีอยู่ รวมถึงความยากลำบากของลูกค้าบางรายในการชำระค่าบริการ และความจำเป็นในการพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศเพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน การเข้าถึงสุขาภิบาลที่ถูกสุขลักษณะยังคงเป็นปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน
การปรับปรุงการจัดการทรัพยากรน้ำและการเข้าถึงสุขาภิบาลยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลและองค์กรพัฒนาระหว่างประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและลดความเสี่ยงจากโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากน้ำที่ไม่สะอาด
9.4. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สถานการณ์การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ในบูร์กินาฟาโซยังอยู่ในระดับต่ำ โดยในปี พ.ศ. 2552 (ค.ศ. 2009) ประเทศใช้จ่ายงบประมาณ 0.20% ของ GDP ไปกับ R&D ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราส่วนที่ต่ำที่สุดในแอฟริกาตะวันตก อย่างไรก็ตาม จำนวนนักวิจัย (เทียบเท่าเต็มเวลา) ต่อประชากรหนึ่งล้านคนในปี พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) อยู่ที่ 48 คน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของแอฟริกาใต้สะฮารา (20 คนต่อล้านคนในปี พ.ศ. 2556) และสูงกว่าอัตราส่วนของกานาและไนจีเรีย (39 คน) แต่ยังต่ำกว่าเซเนกัลมาก (361 คนต่อล้านคน)
สาขาการวิจัยหลักที่นักวิจัยในบูร์กินาฟาโซให้ความสนใจในปี พ.ศ. 2553 ได้แก่ ภาคสุขภาพ (46%) วิศวกรรมศาสตร์ (16%) วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (13%) เกษตรศาสตร์ (9%) มนุษยศาสตร์ (7%) และสังคมศาสตร์ (4%)
รัฐบาลบูร์กินาฟาโซได้แสดงเจตจำนงในการให้ความสำคัญกับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยในเดือนมกราคม พ.ศ. 2554 (ค.ศ. 2011) ได้มีการจัดตั้งกระทรวงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม (Ministry of Scientific Research and Innovation) ซึ่งก่อนหน้านี้การจัดการด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอยู่ภายใต้กรมมัธยมศึกษา อุดมศึกษา และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ภายในกระทรวงนี้ กรมการวิจัยและสถิติภาคส่วน (Directorate General for Research and Sector Statistics) รับผิดชอบด้านการวางแผน ส่วนกรมการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (Directorate General of Scientific Research, Technology and Innovation) ทำหน้าที่ประสานงานการวิจัย
ในปี พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) บูร์กินาฟาโซได้อนุมัตินโยบายแห่งชาติสำหรับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคนิค (National Policy for Scientific and Technical Research) โดยมีวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์เพื่อพัฒนา R&D และการประยุกต์ใช้รวมถึงการทำให้ผลการวิจัยเป็นเชิงพาณิชย์ นโยบายนี้ยังกำหนดให้มีการเสริมสร้างขีดความสามารถเชิงกลยุทธ์และการดำเนินงานของกระทรวง หนึ่งในลำดับความสำคัญหลักคือการปรับปรุงความมั่นคงทางอาหารและการพึ่งพาตนเองโดยการเพิ่มขีดความสามารถในสาขาวิทยาศาสตร์การเกษตรและสิ่งแวดล้อม การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศในปี พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) ที่สถาบันวิศวกรรมน้ำและสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ (International Institute of Water and Environmental Engineering) ในกรุงวากาดูกูภายใต้โครงการของธนาคารโลก เป็นการจัดหาเงินทุนที่จำเป็นสำหรับการสร้างขีดความสามารถในด้านที่มีความสำคัญเหล่านี้
ลำดับความสำคัญอีกประการหนึ่งคือการส่งเสริมระบบสุขภาพที่มีนวัตกรรม มีประสิทธิภาพ และเข้าถึงได้ รัฐบาลต้องการพัฒนาวิทยาศาสตร์ประยุกต์และเทคโนโลยีควบคู่ไปกับสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างนโยบายการวิจัยแห่งชาติ รัฐบาลได้เตรียมยุทธศาสตร์แห่งชาติเพื่อเผยแพร่เทคโนโลยี สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรม (National Strategy to Popularize Technologies, Inventions and Innovations) (พ.ศ. 2555) และยุทธศาสตร์นวัตกรรมแห่งชาติ (National Innovation Strategy) (พ.ศ. 2557) นโยบายอื่นๆ ยังรวมถึงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น นโยบายด้านมัธยมศึกษา อุดมศึกษา และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ (พ.ศ. 2553) นโยบายแห่งชาติด้านความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการ (พ.ศ. 2557) และโครงการแห่งชาติสำหรับภาคชนบท (พ.ศ. 2554)
ในปี พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2013) บูร์กินาฟาโซได้ผ่านพระราชบัญญัติวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (Science, Technology and Innovation Act) ซึ่งจัดตั้งกลไกสามประการสำหรับการให้ทุนสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม ได้แก่ กองทุนแห่งชาติเพื่อการศึกษาและการวิจัย (National Fund for Education and Research) กองทุนแห่งชาติเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนา (National Fund for Research and Innovation for Development) และเวทีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมทางเทคโนโลยี (Forum of Scientific Research and Technological Innovation)
บูร์กินาฟาโซได้รับการจัดอันดับที่ 129 ในดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index) ในปี พ.ศ. 2567
10. สังคม
สังคมบูร์กินาฟาโซมีลักษณะเด่นคือความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม แต่ก็เผชิญกับความท้าทายทางสังคมหลายประการ รวมถึงความยากจน การเข้าถึงการศึกษาและบริการสาธารณสุขที่จำกัด และผลกระทบจากความไม่มั่นคง
10.1. ประชากร

ประชากร | |
---|---|
ปี | ล้านคน |
พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) | 4.3 |
พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) | 11.6 |
พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024) | 23.286 |
บูร์กินาฟาโซเป็นรัฐที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลและมีการผสมผสานทางชาติพันธุ์ ซึ่งประชากรส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ทางตอนใต้และตอนกลาง ซึ่งบางครั้งความหนาแน่นของประชากรเกิน 48 คนต่อตารางกิโลเมตร ชาวบูร์กินาเบหลายแสนคนอพยพไปยังโกตดิวัวร์และกานาเป็นประจำ ส่วนใหญ่เพื่อทำงานเกษตรตามฤดูกาล การไหลของแรงงานเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ภายนอก การพยายามรัฐประหารในโกตดิวัวร์เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2545 และการต่อสู้ที่ตามมา ทำให้ชาวบูร์กินาเบหลายแสนคนต้องเดินทางกลับบูร์กินาฟาโซ เศรษฐกิจในภูมิภาคได้รับผลกระทบเมื่อพวกเขาไม่สามารถทำงานได้
ณ ปี พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024) บูร์กินาฟาโซมีประชากรโดยประมาณประมาณ 23,286,000 คน อัตราการเติบโตของประชากรค่อนข้างสูง สาเหตุหลักมาจากอัตราการเกิดที่สูง อัตราการเจริญพันธุ์ทั้งหมดของบูร์กินาฟาโซอยู่ที่ประมาณ 5.93 คนต่อสตรีหนึ่งคนในปี พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดในโลก ส่งผลให้โครงสร้างประชากรส่วนใหญ่เป็นวัยหนุ่มสาว โดยอายุเฉลี่ยของประชากรอยู่ที่ประมาณ 17 ปี (ข้อมูลปี พ.ศ. 2557) อายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดอยู่ที่ประมาณ 60 ปีสำหรับผู้ชาย และ 61 ปีสำหรับผู้หญิง (ข้อมูลปี พ.ศ. 2559)
สถานการณ์การกลายเป็นเมือง (urbanization) กำลังเพิ่มขึ้น แต่ประชากรส่วนใหญ่ยังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท เมืองหลวงวากาดูกูและเมืองโบโบ-ดีอูลาสโซเป็นศูนย์กลางของประชากรในเมืองที่สำคัญ
ในปี พ.ศ. 2552 (ค.ศ. 2009) รายงานการค้ามนุษย์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่าการค้าทาสในบูร์กินาฟาโซยังคงมีอยู่ และเด็กชาวบูร์กินาเบมักตกเป็นเหยื่อ การค้าทาสในรัฐซาเฮลโดยทั่วไปเป็นสถาบันที่หยั่งรากลึกและมีประวัติศาสตร์ยาวนานย้อนไปถึงการค้าทาสข้ามทะเลทรายซาฮารา ในปี พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) คาดว่ามีประชากร 82,000 คนในประเทศที่อาศัยอยู่ภายใต้ "การค้าทาสยุคใหม่" ตามดัชนีการค้าทาสโลก (Global Slavery Index)
อันดับ | เมือง | แคว้น | ประชากร | รูปภาพ |
---|---|---|---|---|
1 | วากาดูกู | ซ็องทร์ | 2,415,266 | ![]() |
2 | โบโบ-ดีอูลาสโซ | โอต-บาแซ็ง | 904,920 | ![]() |
3 | กูดู กู | ซ็องทร์-อแวสต์ | 160,239 | ![]() |
4 | ซาบา | ซ็องทร์ | 136,011 | |
5 | วากีกูยา | นอร์ | 124,587 | |
6 | กายา | ซ็องทร์-นอร์ | 121,970 | |
7 | บันโฟรา | กัสกาด | 117,452 | |
8 | ปูยเตนกา | ซ็องทร์-แอสต์ | 96,469 | |
9 | อูนเด | โอต-บาแซ็ง | 87,151 | |
10 | ฟา ดา เอ็น กูร์มา | แอสต์ | 73,200 |
10.2. กลุ่มชาติพันธุ์

บูร์กินาฟาโซเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูง ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์หลักๆ ประมาณ 60 กลุ่ม กลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดคือ ชาวมอสซี (Mossi) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40-50% ของประชากรทั้งหมด พวกเขาอาศัยอยู่หนาแน่นในบริเวณที่ราบสูงตอนกลางรอบเมืองหลวงวากาดูกู ชาวมอสซีมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์และการเมืองของประเทศ โดยเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรมอสซีที่ทรงอิทธิพลในอดีต
กลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่:
- ชาวฟูลานี (Fulani หรือ Peul): เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่เป็นอันดับสอง มักประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์และกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะทางตอนเหนือ
- ชาวกูร์มานเช (Gourmantché): อาศัยอยู่ทางตะวันออกของประเทศ
- ชาวกูรุนซี (Gurunsi): กลุ่มชาติพันธุ์ที่ประกอบด้วยกลุ่มย่อยหลายกลุ่ม เช่น ชาวคาเซนา (Kasena) และชาวนูนา (Nuna) อาศัยอยู่ทางตอนใต้
- ชาวโบโบ (Bobo): อาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้รอบเมืองโบโบ-ดีอูลาสโซ
- ชาวโลบี (Lobi): อาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้
- กลุ่มชาติพันธุ์มานเด (Mande): รวมถึงชาวจูลา (Dyula) ซาโม (Samo) และมาร์กา (Marka) อาศัยอยู่ทางตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ ชาวจูลามีบทบาทสำคัญในด้านการค้า
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ อีกมากมาย เช่น ชาวบิสซา (Bissa) ชาวดากาบา (Dagaaba) และชาวเซนูโฟ (Senufo) ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ โดยทั่วไปเป็นไปด้วยดี แต่ในบางครั้งก็มีความตึงเครียดเกิดขึ้นบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของความขัดแย้งเรื่องที่ดินและทรัพยากร หรือผลกระทบจากการก่อความไม่สงบที่อาจทำให้เกิดความหวาดระแวงระหว่างกลุ่มต่างๆ
10.3. ภาษา
บูร์กินาฟาโซเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางภาษาอย่างมาก มีการพูดภาษาต่างๆ ประมาณ 69 ภาษา โดยส่วนใหญ่เป็นภาษาพื้นเมืองในตระกูลภาษานิเจอร์-คองโก
- ภาษาทางการ (Official Languages): ตามการแก้ไขรัฐธรรมนูญล่าสุด (มกราคม พ.ศ. 2567) ภาษาทางการของบูร์กินาฟาโซ ได้แก่ ภาษามอเร (Mooré), ภาษาบิสซา (Bissa), ภาษาจูลา (Dyula) และภาษาฟูลา (Fula) ภาษามอเรเป็นภาษาที่พูดกันอย่างกว้างขวางที่สุด โดยประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรพูดภาษานี้ โดยเฉพาะในภาคกลางรอบเมืองหลวงวากาดูกู
- ภาษาทำงาน (Working Languages): ภาษาฝรั่งเศส ซึ่งเป็นภาษาทางการเดิมที่ใช้มาตั้งแต่สมัยอาณานิคม และภาษาอังกฤษ ได้รับการกำหนดให้เป็นภาษาทำงาน
- ภาษาพื้นเมืองอื่นๆ: รัฐบาลบูร์กินาฟาโซให้การยอมรับภาษาพื้นเมืองประมาณ 60 ภาษา ภาษาที่สำคัญอื่นๆ ที่พูดกันในประเทศตามการสำรวจสำมะโนประชากรปี พ.ศ. 2549 ได้แก่:
- ภาษามอเร: 40.5%
- ภาษาฟูลา: 9.3%
- ภาษากูร์มานเช (Gourmanché): 6.1%
- ภาษาบัมบารา (Bambara): 4.9%
- ภาษาบิสซา: 3.2%
- ภาษาบวามู (Bwamu): 2.1%
- ภาษาดากาบา (Dagara): 2.0%
- ภาษาซาน (San): 1.9%
- ภาษาโลบิริ (Lobiri): 1.8%
- ภาษาลเยเล (Lyélé): 1.7%
- ภาษาโบโบ (Bobo): 1.4%
- ภาษาเซนูโฟ (Sénoufo): 1.4%
- ภาษานูนี (Nuni): 1.2%
- ภาษาดาฟิง (Dafing): 1.1%
- ภาษาทามาเชก (Tamasheq): 1.0%
- ภาษาคาเซม (Kassem): 0.7%
- ภาษากูอิน (Gouin): 0.4%
- ภาษาโดกอน (Dogon): 0.3%
- ภาษาซองไฮ (Songhai): 0.3%
- ภาษากูรุนซี (Gourounsi): 0.3%
- ภาษาโค (Ko): 0.1%
- ภาษาคูซาเซ (Koussassé): 0.1%
- ภาษาเซมบลา (Sembla): 0.1%
- ภาษาเซียมา (Siamou): 0.1%
- ภาษาประจำชาติอื่นๆ: 5.0%
- ภาษาแอฟริกันอื่นๆ: 0.2%
- ภาษาฝรั่งเศส (ใช้เป็นภาษาแม่): 1.3%
- ภาษาที่ไม่ใช่ภาษาพื้นเมืองอื่นๆ: 0.1%
ภาษาฝรั่งเศสยังคงมีบทบาทสำคัญในด้านการบริหารราชการ การศึกษา และสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะในเขตเมือง แม้ว่าจะมีการส่งเสริมการใช้ภาษาประจำชาติมากขึ้นก็ตาม
10.4. ศาสนา

จากข้อมูลการสำรวจสำมะโนประชากรของรัฐบาลบูร์กินาฟาโซในปี พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) ประชากรส่วนใหญ่ประมาณ 63.8% นับถือศาสนาอิสลาม โดยส่วนใหญ่เป็นนิกายซุนนี และมีส่วนน้อยที่นับถือนิกายชีอะฮ์ ชาวมุสลิมซุนนีจำนวนมากปฏิบัติตามนิกายศูฟีสายตีญานียะห์ (Tijaniyah)
ประชากรประมาณ 26.3% นับถือศาสนาคริสต์ โดยแบ่งเป็นนิกายโรมันคาทอลิกประมาณ 20.1% และนิกายโปรเตสแตนต์ประมาณ 6.2%
นอกจากนี้ ประมาณ 9.0% ของประชากรยังคงนับถือความเชื่อดั้งเดิมของแอฟริกา (Animism) เช่น ศาสนาโดกอน ในแคว้นซูด-อแวสต์ (Sud-Ouest) ผู้นับถือความเชื่อดั้งเดิมเป็นกลุ่มศาสนาที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็น 48.1% ของประชากรในแคว้นนั้น ส่วนที่เหลืออีก 0.2% นับถือศาสนาอื่นๆ และ 0.7% ไม่นับถือศาสนาใดๆ
ขนบธรรมเนียมทางศาสนามีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันและวัฒนธรรมของชาวบูร์กินาเบ ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาต่างๆ โดยทั่วไปเป็นไปด้วยดีและมีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การก่อความไม่สงบของกลุ่มญิฮาดได้พยายามสร้างความแตกแยกทางศาสนาและมีการโจมตีศาสนสถานของทั้งชาวคริสต์และมุสลิมที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดสุดโต่งของตน
10.5. การศึกษา
ระบบการศึกษาในบูร์กินาฟาโซแบ่งออกเป็นระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา แม้จะมีความพยายามในการพัฒนา แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ:
- ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา: การศึกษาภาคบังคับครอบคลุมระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น (รวม 10 ปี) อย่างไรก็ตาม อัตราการเข้าเรียนยังไม่ครอบคลุม โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและสำหรับเด็กหญิง
- ดัชนีการศึกษาที่สำคัญ:
- อัตราการเข้าเรียน: ยังคงต่ำกว่าเป้าหมาย โดยเฉพาะในระดับมัธยมศึกษา
- อัตราการรู้หนังสือ: ยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใหญ่ รายงานของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ในปี พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) จัดอันดับให้บูร์กินาฟาโซเป็นประเทศที่มีระดับการรู้หนังสือต่ำที่สุดในโลก แม้ว่าจะมีความพยายามเพิ่มอัตราการรู้หนังสือจาก 12.8% ในปี พ.ศ. 2533 เป็น 25.3% ในปี พ.ศ. 2551
- ปัญหาในสภาพแวดล้อมทางการศึกษา:
- ค่าเล่าเรียนสูง: แม้ว่าการศึกษาภาคบังคับจะไม่มีค่าเล่าเรียน แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น อุปกรณ์การเรียนและเครื่องแบบ ยังคงเป็นภาระสำหรับครอบครัวที่ยากจน ค่าเล่าเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายอยู่ที่ประมาณ 25.00 K XOF (ประมาณ 50 USD) ต่อปี ซึ่งสูงเกินกำลังของครอบครัวส่วนใหญ่
- อัตราการเข้าเรียนของเด็กหญิงต่ำ: เด็กชายมักได้รับความสำคัญในการศึกษามากกว่า ทำให้เด็กหญิงมีอัตราการเข้าเรียนและการรู้หนังสือต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม มีการเพิ่มขึ้นของการเข้าเรียนของเด็กหญิงเนื่องจากนโยบายของรัฐบาลที่ทำให้โรงเรียนมีค่าใช้จ่ายถูกลงสำหรับเด็กหญิงและให้ทุนการศึกษามากขึ้น
- คุณภาพการศึกษา: การขาดแคลนครูที่มีคุณภาพ สื่อการเรียนการสอน และโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอ ยังคงเป็นปัญหา
- ผลกระทบจากความไม่มั่นคง: ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อความไม่สงบ โรงเรียนจำนวนมากต้องปิดตัวลง ทำให้เด็กจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้
- ระดับอุดมศึกษา:
- มหาวิทยาลัยหลัก: ได้แก่ มหาวิทยาลัยวากาดูกู (University of Ouagadougou ซึ่งปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยโฌแซ็ฟ กี-แซร์โบ), มหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคแห่งโบโบ-ดีอูลาสโซ (Polytechnic University of Bobo-Dioulasso) และมหาวิทยาลัยกูดู กู (University of Koudougou) ซึ่งเป็นสถาบันฝึกหัดครูด้วย
- วิทยาลัยเอกชน: มีวิทยาลัยเอกชนขนาดเล็กบางแห่งในเมืองหลวงวากาดูกู แต่สามารถเข้าถึงได้เฉพาะประชากรส่วนน้อยเท่านั้น
- โรงเรียนนานาชาติ: โรงเรียนนานาชาติวากาดูกู (International School of Ouagadougou - ISO) เป็นโรงเรียนเอกชนระบบอเมริกัน
รัฐบาลและองค์กรพัฒนาระหว่างประเทศได้พยายามปรับปรุงระบบการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการเพิ่มการเข้าถึงการศึกษา การพัฒนาคุณภาพการสอน และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน
10.6. สาธารณสุข
สถานการณ์ด้านสาธารณสุขในบูร์กินาฟาโซยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ แม้จะมีความพยายามในการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง:
- อายุคาดเฉลี่ย: ในปี พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) อายุคาดเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 60 ปีสำหรับผู้ชาย และ 61 ปีสำหรับผู้หญิง
- อัตราการเสียชีวิตของทารก: ในปี พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) อัตราการเสียชีวิตของเด็กอายุต่ำกว่าห้าปีและอัตราการเสียชีวิตของทารกอยู่ที่ 76 รายต่อการเกิดมีชีพ 1,000 ราย
- สถานการณ์โรคภัยไข้เจ็บที่สำคัญ:
- เอชไอวี/เอดส์ (HIV/AIDS): ในปี พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) คาดว่าอัตราความชุกของเอชไอวีในผู้ใหญ่ (อายุ 15-49 ปี) อยู่ที่ 1.0% รายงานของ UNAIDS ในปี พ.ศ. 2554 ระบุว่าความชุกของเอชไอวีกำลังลดลงในสตรีมีครรภ์ที่เข้ารับการตรวจในคลินิกฝากครรภ์
- มาลาเรีย (Malaria): เป็นโรคประจำถิ่นและเป็นสาเหตุสำคัญของการเจ็บป่วยและการเสียชีวิต โดยเฉพาะในเด็กเล็ก
- ไข้เลือดออก (Dengue fever): มีการระบาดของไข้เลือดออก เช่น ในปี พ.ศ. 2559 ที่มีผู้เสียชีวิต 20 ราย และพบผู้ป่วยในทุกเขตของกรุงวากาดูกู
- โรคอื่นๆ ที่พบบ่อย ได้แก่ โรคทางเดินหายใจ โรคท้องร่วง และโรคขาดสารอาหาร
- โครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์และค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข: การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ยังคงจำกัด โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท มีการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ สถานพยาบาล และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย ในปี พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขของรัฐบาลกลางคิดเป็น 3% ของ GDP ณ ปี พ.ศ. 2552 (ค.ศ. 2009) มีการศึกษาประเมินว่ามีแพทย์เพียง 10 คนต่อประชากร 100,000 คน นอกจากนี้ยังมีพยาบาล 41 คนและผดุงครรภ์ 13 คนต่อประชากร 100,000 คน
- การขลิบอวัยวะเพศหญิง (FGM): ตามรายงานขององค์การอนามัยโลกในปี พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) ประมาณ 72.5% ของเด็กหญิงและสตรีในบูร์กินาฟาโซผ่านการขลิบอวัยวะเพศหญิง ซึ่งเป็นพิธีกรรมตามประเพณีที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างรุนแรง
การสำรวจด้านประชากรและสุขภาพ (Demographic and Health Surveys - DHS) ได้ดำเนินการสำรวจในบูร์กินาฟาโซสามครั้งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 และอีกครั้งในปี พ.ศ. 2552 เพื่อรวบรวมข้อมูลด้านสุขภาพและประชากรศาสตร์
ดัชนีความหิวโหยโลก (GHI) ปี พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024) จัดอันดับให้บูร์กินาฟาโซอยู่ในอันดับที่ 98 จาก 127 ประเทศ โดยมีระดับความหิวโหยที่รุนแรง ด้วยคะแนน 24.6
10.7. ปัญหาความมั่นคงทางอาหาร
บูร์กินาฟาโซเผชิญกับปัญหาวิกฤตการณ์อาหารเรื้อรังและความไม่มั่นคงทางอาหารอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชากรจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง:
- สถานการณ์ภาวะทุพโภชนาการ: ภาวะทุพโภชนาการเป็นปัญหาที่แพร่หลาย โดยเฉพาะในเด็กและสตรี ประมาณกันว่ามีเด็กกว่า 1.5 ล้านคนที่เสี่ยงต่อความไม่มั่นคงทางอาหาร และประมาณ 350,000 คนต้องการความช่วยเหลือทางการแพทย์ฉุกเฉิน (ข้อมูลปี พ.ศ. 2558) อย่างไรก็ตาม มีเพียงประมาณหนึ่งในสามของเด็กเหล่านี้เท่านั้นที่จะได้รับการดูแลทางการแพทย์ที่เพียงพอ มีเพียง 11.4% ของเด็กอายุต่ำกว่าสองปีที่ได้รับจำนวนมื้ออาหารที่แนะนำต่อวัน (ข้อมูลปี พ.ศ. 2558) การแคระแกร็นอันเป็นผลมาจากความไม่มั่นคงทางอาหารเป็นปัญหาร้ายแรงในบูร์กินาฟาโซ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชากรอย่างน้อยหนึ่งในสามในช่วงปี พ.ศ. 2551 ถึง 2555 นอกจากนี้ เด็กที่แคระแกร็นโดยเฉลี่ยมักจะเรียนหนังสือน้อยกว่าเด็กที่มีพัฒนาการการเจริญเติบโตตามปกติ ซึ่งส่งผลต่อระดับการศึกษาของประชากรในบูร์กินาฟาโซ
- ความเปราะบางของการผลิตทางการเกษตรต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: ภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นแหล่งอาหารหลักของประเทศมีความเปราะบางสูงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยแล้งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้น รวมถึงปริมาณน้ำฝนที่ไม่แน่นอน ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อผลผลิตทางการเกษตร นอกจากนี้ สภาพภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อมโดยทั่วไป เช่น ดินที่ไม่สมบูรณ์ การขาดแคลนน้ำ และการระบาดของศัตรูพืช ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้การผลิตอาหารเป็นไปได้ยาก
- ผลกระทบจากความไม่มั่นคง: การก่อความไม่สงบของกลุ่มญิฮาดในหลายพื้นที่ทำให้กิจกรรมทางการเกษตรหยุดชะงัก ประชาชนต้องพลัดถิ่นจากพื้นที่ทำกิน และการเข้าถึงตลาดและแหล่งอาหารถูกจำกัด
- ความพยายามทั้งในและต่างประเทศเพื่อปรับปรุงความมั่นคงทางอาหาร:
- โครงการอาหารโลก (World Food Programme - WFP): WFP มีโครงการต่างๆ ในบูร์กินาฟาโซเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหาร เช่น โครงการบรรเทาทุกข์และฟื้นฟูระยะยาว (PRRO) เพื่อตอบสนองต่อภาวะทุพโภชนาการในระดับสูง โดยเน้นการรักษาและป้องกันภาวะทุพโภชนาการ รวมถึงการแจกจ่ายอาหารให้ผู้ดูแลเด็กที่กำลังรับการรักษา นอกจากนี้ยังมีโครงการช่วยเหลือด้านอาหารและโภชนาการแก่ผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS และโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษาในภูมิภาคซาเฮล เพื่อเพิ่มอัตราการลงทะเบียนและการเข้าเรียน โดยเฉพาะเด็กหญิง
- ธนาคารโลก (World Bank): ธนาคารโลกมีโครงการสำคัญ เช่น โครงการผลิตภาพทางการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร (Agricultural Productivity and Food Security Project) เพื่อปรับปรุงขีดความสามารถของผู้ผลิตที่ยากจนในการเพิ่มการผลิตอาหารและรับประกันความพร้อมของผลิตภัณฑ์อาหารในตลาดชนบท โครงการนี้รวมถึงการให้เงินช่วยเหลือ การจัดโครงการ "บัตรกำนัลสำหรับงาน" (voucher for work) และการสนับสนุนการตลาดผลิตภัณฑ์อาหาร
- หน่วยงานอื่นๆ: USAID ผ่านสำนักงานอาหารเพื่อสันติภาพ (FFP) ร่วมมือกับ WFP และองค์กรพัฒนาเอกชน เช่น Oxfam Intermón และ ACDI/VOCA ในการให้ความช่วยเหลือด้านความมั่นคงทางอาหาร คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) คาดการณ์ว่าเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีในบูร์กินาฟาโซประมาณ 500,000 คนจะประสบภาวะทุพโภชนาการเฉียบพลันในปี พ.ศ. 2558 รวมถึงประมาณ 149,000 คนที่จะประสบภาวะที่คุกคามถึงชีวิต
ภาวะขาดสารอาหารรอง เช่น ภาวะโลหิตจาง ก็มีอัตราสูง จากการสำรวจด้านประชากรและสุขภาพ (DHS) ปี พ.ศ. 2553 พบว่า 49% ของสตรีและ 88% ของเด็กอายุต่ำกว่าห้าปีประสบภาวะโลหิตจาง 40% ของการเสียชีวิตของทารกสามารถสืบเนื่องมาจากภาวะทุพโภชนาการ และอัตราการเสียชีวิตของทารกเหล่านี้ได้ลดกำลังแรงงานทั้งหมดของบูร์กินาฟาโซลง 13.6%
อัตราความไม่มั่นคงทางอาหารที่สูงเหล่านี้และผลกระทบที่ตามมานั้นเห็นได้ชัดเจนในประชากรในชนบทมากกว่าในเขตเมือง เนื่องจากการเข้าถึงบริการสุขภาพในพื้นที่ชนบทมีจำกัดกว่ามาก และความตระหนักและความรู้เกี่ยวกับความต้องการทางโภชนาการของเด็กยังต่ำกว่า
11. วัฒนธรรม
บูร์กินาฟาโซมีมรดกทางวัฒนธรรมที่หลากหลายและอุดมสมบูรณ์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ กว่า 60 กลุ่มที่อาศัยอยู่ในประเทศ วัฒนธรรมดั้งเดิมผสมผสานกับอิทธิพลจากยุคอาณานิคมและกระแสโลกาภิวัตน์ ก่อให้เกิดเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจ

11.1. ศิลปะและหัตถกรรม

ศิลปะและงานหัตถกรรมดั้งเดิมของบูร์กินาฟาโซมีความหลากหลายและสะท้อนถึงเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ:
- หน้ากาก: หน้ากากเป็นองค์ประกอบสำคัญในพิธีกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมของหลายกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ชาวมอสซี โบโบ และกูรุนซี หน้ากากแต่ละชิ้นมีการออกแบบและสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความเชื่อและตำนานท้องถิ่น
- ประติมากรรม: งานแกะสลักไม้และโลหะเป็นที่นิยม โดยมักสร้างเป็นรูปคน สัตว์ หรือสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณ
- สิ่งทอ: การทอผ้าเป็นงานฝีมือที่สำคัญ โดยเฉพาะผ้าฝ้ายทอมือที่มีลวดลายและสีสันที่เป็นเอกลักษณ์
- เครื่องปั้นดินเผา: มีการผลิตเครื่องปั้นดินเผาเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันและในพิธีกรรม
สถานการณ์ศิลปะร่วมสมัยในบูร์กินาฟาโซกำลังเติบโต โดยมีศิลปินรุ่นใหม่ที่สร้างสรรค์ผลงานในหลากหลายรูปแบบและสื่อ งานแสดงศิลปะและหัตถกรรมที่สำคัญคือ งานแสดงศิลปะและหัตถกรรมนานาชาติวากาดูกู (Salon International de l'Artisanat de Ouagadougou - SIAO) ซึ่งจัดขึ้นทุกสองปี เป็นหนึ่งในงานแสดงสินค้าหัตถกรรมที่สำคัญที่สุดในแอฟริกาและเป็นเวทีสำคัญสำหรับศิลปินและช่างฝีมือในการนำเสนอผลงานสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ
นอกจากนี้ยังมีงาน Symposium de sculpture sur granit de Laongo (เทศกาลประติมากรรมหินแกรนิตแห่งลาอองโก) ซึ่งจัดขึ้นทุกสองปี ณ สถานที่ห่างจากกรุงวากาดูกูประมาณ 35 km ในจังหวัดอูบริเตนกา
11.2. ดนตรี
ดนตรีของบูร์กินาฟาโซมีความหลากหลายอย่างยิ่ง สะท้อนถึงกลุ่มชาติพันธุ์กว่า 60 กลุ่มที่อาศัยอยู่ในประเทศ:
- ดนตรีพื้นเมือง: แต่ละกลุ่มชาติพันธุ์มีดนตรีและเครื่องดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ซึ่งมักใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา งานเฉลิมฉลอง และกิจกรรมทางสังคมต่างๆ เครื่องดนตรีที่สำคัญ ได้แก่ กลองชนิดต่างๆ บาลาโฟน (คล้ายระนาดไม้) คอรา (พิณ 21 สาย) และเครื่องเป่าต่างๆ ชาวมอสซีซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด มีดนตรีและการเต้นรำที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
- ดนตรีสมัยนิยม: ดนตรีสมัยนิยมในบูร์กินาฟาโซได้รับอิทธิพลจากดนตรีแอฟริกันร่วมสมัย ดนตรีตะวันตก และดนตรีจากประเทศเพื่อนบ้าน แนวเพลงที่ได้รับความนิยม ได้แก่ เร็กเก ฮิปฮอป และอัฟโฟรบีท (Afrobeat) ส่วนใหญ่เนื้อเพลงเป็นภาษาฝรั่งเศส
- นักดนตรีที่สำคัญ: บูร์กินาฟาโซมีนักดนตรีที่มีชื่อเสียงหลายคนทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ ซึ่งมีบทบาทในการเผยแพร่วัฒนธรรมดนตรีของประเทศ
แม้ว่าบูร์กินาฟาโซจะยังไม่ได้สร้างความสำเร็จระดับนานาชาติในวงกว้างเท่าประเทศแอฟริกันอื่นๆ บางประเทศ แต่ดนตรีพื้นเมืองยังคงเฟื่องฟูและผลงานทางดนตรียังคงมีความหลากหลาย
11.3. วรรณกรรม

วรรณกรรมในบูร์กินาฟาโซมีรากฐานมาจากประเพณีมุขปาฐะ (oral tradition) ซึ่งยังคงมีความสำคัญในปัจจุบัน เรื่องเล่า นิทาน สุภาษิต และบทกวีถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นผ่านการเล่าเรื่องและการแสดง
- วรรณกรรมลายลักษณ์อักษรยุคแรก: ในปี พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) ในช่วงการยึดครองของฝรั่งเศส ดิม-โดลอบซอม อูเอดราโอโก (Dim-Dolobsom Ouedraogo) ได้ตีพิมพ์ Maximes, pensées et devinettes mossi (คติพจน์ ความคิด และปริศนาของชาวมอสซี) ซึ่งเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์มุขปาฐะของชาวมอสซี
- วรรณกรรมยุคหลังเอกราช: ประเพณีมุขปาฐะยังคงมีอิทธิพลต่อนักเขียนชาวบูร์กินาเบในยุคหลังเอกราชในช่วงทศวรรษ 1960 เช่น นาซี โบนี (Nazi Boni) และโรเจอร์ นิกีเอมา (Roger Nikiema) ทศวรรษ 1960 ยังเห็นการเติบโตของจำนวนนักเขียนบทละครที่ได้รับการตีพิมพ์
- วรรณกรรมร่วมสมัย: ตั้งแต่ทศวรรษ 1970 วรรณกรรมในบูร์กินาฟาโซได้พัฒนาขึ้นโดยมีนักเขียนจำนวนมากขึ้นได้รับการตีพิมพ์ นักเขียนชาวบูร์กินาฟาโซในยุคปัจจุบันสร้างสรรค์ผลงานในหลากหลายประเภท ทั้งนวนิยาย เรื่องสั้น บทกวี และบทละคร ผลงานวรรณกรรมที่สำคัญมักสะท้อนถึงประเด็นทางสังคม การเมือง วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของประเทศ
- รูปแบบวรรณกรรมใหม่ๆ: สแลมโปเอทรี (Slam poetry) หรือการแสดงบทกวีแบบสด กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในประเทศ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความพยายามของกวีสแลม มาลิกา อูอัตตารา (Malika Ouattara) เธอใช้ทักษะของเธอเพื่อสร้างความตระหนักในประเด็นต่างๆ เช่น การบริจาคโลหิต ภาวะผิวเผือก และผลกระทบของโควิด-19
วรรณกรรมบูร์กินาฟาโซยังคงเป็นพื้นที่สำคัญในการสำรวจอัตลักษณ์ สะท้อนสังคม และส่งเสริมการสนทนาเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ที่ประเทศกำลังเผชิญ
11.4. ภาพยนตร์
ภาพยนตร์ของบูร์กินาฟาโซเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมภาพยนตร์แอฟริกาตะวันตกและภาพยนตร์แอฟริกันโดยรวม การมีส่วนร่วมของบูร์กินาฟาโซในภาพยนตร์แอฟริกันเริ่มต้นด้วยการก่อตั้งเทศกาลภาพยนตร์ เทศกาลภาพยนตร์และโทรทัศน์แพนแอฟริกันแห่งวากาดูกู (Festival Panafricain du Cinéma et de la Télévision de Ouagadougou - FESPACO) ซึ่งเปิดตัวเป็นสัปดาห์ภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) FESPACO จัดขึ้นทุกสองปีและถือเป็นเทศกาลภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดในทวีปแอฟริกา เป็นเวทีสำคัญสำหรับผู้สร้างภาพยนตร์ชาวแอฟริกันในการนำเสนอผลงานและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวบูร์กินาฟาโซหลายคนเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติและได้รับรางวัลระดับนานาชาติ ผู้กำกับภาพยนตร์คนสำคัญ ได้แก่:
- อีดริสซา อูเอดราโอโก (Idrissa Ouedraogo): เป็นหนึ่งในผู้กำกับที่มีชื่อเสียงที่สุด ผลงานของเขา เช่น Yaaba (พ.ศ. 2532) และ Tilaï (พ.ศ. 2533) ได้รับรางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์
- กัสตง กาโบเร (Gaston Kaboré): ผู้กำกับและผู้ผลิตภาพยนตร์ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในบูร์กินาฟาโซ ผลงานเด่น เช่น Wend Kuuni (พ.ศ. 2525) และ Buud Yam (พ.ศ. 2540) ซึ่งได้รับรางวัลกรังด์ปรีซ์ (Étalon de Yennenga) จาก FESPACO
- ดานี กูยาเต (Dani Kouyaté): ผู้กำกับที่มีผลงานผสมผสานระหว่างตำนานพื้นบ้านกับประเด็นร่วมสมัย
เป็นเวลาหลายปีที่สำนักงานใหญ่ของสหพันธ์ผู้สร้างภาพยนตร์แพนแอฟริกัน (FEPACI) ตั้งอยู่ในกรุงวากาดูกู ซึ่งได้รับการช่วยเหลือในปี พ.ศ. 2526 จากช่วงเวลาที่ซบเซาด้วยการสนับสนุนและเงินทุนอย่างกระตือรือร้นจากประธานาธิบดีตอมา ซ็องการา (ในปี พ.ศ. 2549 สำนักเลขาธิการ FEPACI ได้ย้ายไปแอฟริกาใต้ แต่สำนักงานใหญ่ขององค์กรยังคงอยู่ในวากาดูกู)
นอกจากภาพยนตร์แล้ว บูร์กินาฟาโซยังผลิตละครโทรทัศน์ยอดนิยม เช่น Les Bobodiouf ผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เช่น อูเอดราโอโก, กาโบเร, ยาเมโอโก และกูยาเต ก็สร้างละครโทรทัศน์ยอดนิยมเช่นกัน อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของบูร์กินาฟาโซยังคงเผชิญกับความท้าทายในด้านเงินทุนและการจัดจำหน่าย แต่ยังคงเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของความคิดสร้างสรรค์ทางภาพยนตร์ในแอฟริกา
11.5. สื่อสารมวลชน

สถานการณ์สื่อสารมวลชนในบูร์กินาฟาโซมีความหลากหลาย แต่ก็เผชิญกับความท้าทายด้านเสรีภาพสื่อและการพัฒนาอย่างยั่งยืน:
- สถานีโทรทัศน์และวิทยุ:
- Radiodiffusion Télévision du Burkina (RTB): เป็นสถานีโทรทัศน์และวิทยุของรัฐที่สำคัญที่สุด ให้บริการข่าวสาร รายการบันเทิง และรายการให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วประเทศ ออกอากาศทางคลื่นขนาดกลาง (AM) หลายคลื่น และคลื่น FM หลายคลื่น RTB ยังคงมีการออกอากาศข่าวคลื่นสั้นทั่วโลก (Radio Nationale Burkina) ในภาษาฝรั่งเศสจากเมืองหลวงวากาดูกูโดยใช้เครื่องส่งกำลัง 100 กิโลวัตต์ ที่ความถี่ 4.815 และ 5.030 MHz
- สื่อเอกชน: มีสถานีวิทยุ FM ของเอกชนจำนวนมากที่นำเสนอรายการกีฬา วัฒนธรรม ดนตรี และศาสนา สถานีโทรทัศน์เอกชนก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเช่นกัน
- หนังสือพิมพ์: มีหนังสือพิมพ์ทั้งของรัฐและเอกชนที่ตีพิมพ์ในบูร์กินาฟาโซ นำเสนอข่าวสาร บทวิเคราะห์ และความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ
- ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพสื่อ:
- การลอบสังหารนอร์แบร์ ซงโก (Norbert Zongo): ในปี พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) นักข่าวสืบสวน นอร์แบร์ ซงโก พี่ชายของเขา คนขับรถ และชายอีกคนหนึ่ง ถูกลอบสังหารโดยผู้ไม่ประสงค์ออกนาม และศพถูกเผา คดีนี้ไม่เคยคลี่คลาย อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการสอบสวนอิสระได้สรุปในภายหลังว่า นอร์แบร์ ซงโก ถูกสังหารด้วยเหตุผลทางการเมืองเนื่องจากงานสืบสวนของเขาเกี่ยวกับการเสียชีวิตของดาวิด อูเอดราโอโก คนขับรถที่ทำงานให้กับฟร็องซัว กงปาออเร น้องชายของประธานาธิบดีแบลซ กงปาออเร
- การคุกคามสื่อมวลชน: มีรายงานการคุกคาม ข่มขู่ และจับกุมนักข่าวและนักวิจารณ์ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล โดยเฉพาะในช่วงที่มีความตึงเครียดทางการเมืองหรือหลังการรัฐประหาร ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) การิม ซามา (Karim Sama) หรือที่รู้จักในนาม Sams'K Le Jah พิธีกรรายการวิทยุเร็กเกยอดนิยม ซึ่งรายการของเขามีเพลงเร็กเกสลับกับการวิจารณ์ความอยุติธรรมและการทุจริตของรัฐบาล ได้รับคำขู่ฆ่าหลายครั้ง รถยนต์ส่วนตัวของซามาถูกเผาด้านนอกสถานีวิทยุเอกชน Ouaga FM โดยผู้ไม่ประสงค์ออกนาม
- การจำกัดเสรีภาพ: ในบางครั้ง รัฐบาลได้พยายามควบคุมเนื้อหาของสื่อหรือปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูล
ความพยายามในการพัฒนาสื่ออิสระและเสรีในบูร์กินาฟาโซยังคงดำเนินต่อไป โดยมีองค์กรสื่อและภาคประชาสังคมที่ทำงานเพื่อปกป้องเสรีภาพสื่อและส่งเสริมความเป็นมืออาชีพของนักข่าว
11.6. อาหาร

วัฒนธรรมอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของบูร์กินาฟาโซมีพื้นฐานมาจากวัตถุดิบหลักที่หาได้ในท้องถิ่น และสะท้อนถึงวิถีชีวิตแบบเกษตรกรรมของประชากรส่วนใหญ่ อาหารโดยทั่วไปของแอฟริกาตะวันตก อาหารบูร์กินาฟาโซมีพื้นฐานมาจากอาหารหลัก ได้แก่ ข้าวฟ่าง ข้าวเดือย ข้าว ข้าวโพด ถั่วลิสง มันฝรั่ง ถั่ว มันเทศ และกระเจี๊ยบเขียว
- อาหารหลัก:
- โต (Tô): เป็นอาหารหลักที่สำคัญที่สุด ทำจากแป้งข้าวฟ่าง ข้าวเดือย หรือข้าวโพด นำมาต้มและกวนจนข้นเหนียวคล้ายโจ๊กหรือแป้งเปียก มักรับประทานกับซอสต่างๆ
- ฟูฟู (Foufou): ทำจากมันสำปะหลัง กล้าย หรือมันเทศ ต้มแล้วนำมาตำจนเหนียวเป็นก้อน รับประทานกับซุปหรือสตูว์
- อาหารอื่นๆ ที่ทำจากธัญพืชเหล่านี้ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก และขนมปังพื้นเมือง
- ซอสและเครื่องเคียง: ซอสที่รับประทานกับโตหรือฟูฟูมักทำจากผักใบเขียว มะเขือเทศ ถั่วลิสง หรือเนื้อสัตว์และปลา
- โปรตีน: แหล่งโปรตีนที่พบบ่อยที่สุดคือไก่ ไข่ไก่ และปลาน้ำจืด เนื้อวัว เนื้อแพะ และเนื้อแกะก็มีการบริโภคเช่นกัน แต่มีราคาสูงกว่า
- เครื่องดื่มแบบดั้งเดิม:
- บันจี (Banji) หรือ เหล้าปาล์ม (Palm Wine): เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้จากการหมักน้ำเลี้ยงจากต้นปาล์ม
- ซูมคุม (Zoom-koom): หรือ "น้ำธัญพืช" กล่าวกันว่าเป็นเครื่องดื่มประจำชาติของบูร์กินาฟาโซ มีลักษณะคล้ายนม สีขาวขุ่น มีส่วนผสมของน้ำและธัญพืช ดื่มได้ดีที่สุดกับน้ำแข็งก้อน
- โดโล (Dolo): เป็นเบียร์พื้นเมืองที่ทำจากข้าวฟ่างหรือข้าวเดือยหมัก เป็นที่นิยมในชนบท
- พืชตระกูลถั่วพื้นเมือง: ในยามวิกฤต พืชตระกูลถั่วพื้นเมืองของบูร์กินาฟาโซ Zamnè สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารจานหลักหรือใส่ในซอสได้
อาหารบูร์กินาเบมักมีรสชาติเรียบง่าย เน้นวัตถุดิบจากธรรมชาติ และวิธีการปรุงที่ไม่ซับซ้อน สะท้อนถึงภูมิปัญญาในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด
11.7. กีฬา

กีฬาที่ได้รับความนิยมในบูร์กินาฟาโซมีหลายประเภท โดยมีกีฬาที่สำคัญดังนี้:
- ฟุตบอล: เป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในบูร์กินาฟาโซ เล่นกันอย่างแพร่หลายทั้งในระดับอาชีพและสมัครเล่นในเมืองและหมู่บ้านทั่วประเทศ ทีมชาติบูร์กินาฟาโซมีชื่อเล่นว่า "เลเซตาลง" (Les Étalons) ซึ่งแปลว่า "เหล่าม้าศึก" (The Stallions) เพื่ออ้างอิงถึงม้าในตำนานของเจ้าหญิงเยนเนนกา (Princess Yennenga) ทีมชาติบูร์กินาฟาโซเคยประสบความสำเร็จในการแข่งขันแอฟริกาคัพออฟเนชันส์ โดยเคยได้ตำแหน่งรองชนะเลิศในปี พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2013) อย่างไรก็ตาม บูร์กินาฟาโซยังไม่เคยผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก
- บาสเกตบอล: เป็นอีกหนึ่งกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งชายและหญิง ทีมชาติชายของบูร์กินาฟาโซประสบความสำเร็จมากที่สุดในปี พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2013) เมื่อผ่านเข้ารอบการแข่งขันอาฟริกาบาสเกต (AfroBasket) ซึ่งเป็นการแข่งขันบาสเกตบอลที่สำคัญที่สุดของทวีป
- จักรยาน: การแข่งขันจักรยานเป็นที่นิยม โดยมีการแข่งขันรายการสำคัญคือ ตูร์ดูฟาโซ (Tour du Faso) ซึ่งเป็นการแข่งขันจักรยานทางไกลระดับนานาชาติ
- แฮนด์บอล เทนนิส มวยสากล และศิลปะการต่อสู้ ก็เป็นกีฬาที่มีผู้เล่นและผู้สนใจเช่นกัน
- ผลงานในระดับนานาชาติ: ในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2020 นักกีฬา อูว์ก ฟาบริส ซังโก (Hugues Fabrice Zango) ได้รับเหรียญโอลิมปิกเหรียญแรกของบูร์กินาฟาโซ โดยได้รับเหรียญทองแดงในรายการเขย่งก้าวกระโดดชาย
สมาคมคริกเกตบูร์กินาฟาโซ (Cricket Burkina Faso) กำลังดำเนินการลีก 10 สโมสร ทำให้กีฬาคริกเกตกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในบูร์กินาฟาโซ
11.8. เทศกาลและวันหยุดนักขัตฤกษ์
บูร์กินาฟาโซมีวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่สำคัญของชาติและเทศกาลทางวัฒนธรรมที่เป็นตัวแทน ดังนี้:
- วันหยุดนักขัตฤกษ์ที่สำคัญของชาติ:
- 1 มกราคม: วันขึ้นปีใหม่ (Jour de l'an)
- 3 มกราคม: วันครบรอบการปฏิวัติปี 2509 (1966 Uprising Anniversary)
- 8 มีนาคม: วันสตรีสากล (Journée de la femme)
- 1 พฤษภาคม: วันแรงงานสากล (Fête du Travail)
- 4 สิงหาคม: วันครบรอบการปฏิวัติ (Anniversaire de la révolution) - วันที่ตอมา ซ็องการา เปลี่ยนชื่อประเทศเป็นบูร์กินาฟาโซ
- 5 สิงหาคม: วันประกาศเอกราช (Fête de l'indépendance) - ได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2503
- 15 สิงหาคม: วันแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ (Assomption) - วันหยุดของชาวคริสต์
- 15 ตุลาคม: วันครบรอบการแก้ไข (Anniversaire de la rectification) - วันที่แบลซ กงปาออเร ทำรัฐประหาร
- 1 พฤศจิกายน: วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย (Toussaint) - วันหยุดของชาวคริสต์
- 11 ธันวาคม: วันชาติ (Fête nationale) - วันที่กลายเป็นสาธารณรัฐปกครองตนเองของฝรั่งเศส
- 25 ธันวาคม: คริสต์มาส (Noël) - วันประสูติพระเยซู
- วันหยุดทางศาสนาอิสลาม: เช่น วันมาวลิด (Mouloud - วันประสูติศาสดามุฮัมมัด), วันอีดิลฟิฏริ (Eid al-Fitr - สิ้นสุดเดือนรอมฎอน), วันอีดิลอัฎฮา (Tabaski/Aïd el-Kebir - เทศกาลเชือดพลี) วันที่ของเทศกาลเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงไปตามปฏิทินจันทรคติอิสลาม
- เทศกาลทางวัฒนธรรมที่เป็นตัวแทน:
- เทศกาลหน้ากากและศิลปะนานาชาติ (FESTIMA - Festival International des Masques et des Arts): จัดขึ้นทุกสองปีที่เมืองเดดูกู (Dédougou) เป็นเทศกาลที่เฉลิมฉลองหน้ากากแบบดั้งเดิมของแอฟริกา ซึ่งมีความสำคัญทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณอย่างยิ่ง
- สัปดาห์วัฒนธรรมแห่งชาติ (SNC - La Semaine Nationale de la culture): เป็นกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดงานหนึ่งของบูร์กินาฟาโซ จัดขึ้นทุกสองปีที่เมืองโบโบ-ดีอูลาสโซ นำเสนอการแสดงทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย เช่น ดนตรี การเต้นรำ ละคร และศิลปะพื้นบ้าน
- เทศกาลภาพยนตร์และโทรทัศน์แพนแอฟริกันแห่งวากาดูกู (FESPACO): จัดขึ้นทุกสองปีที่กรุงวากาดูกู เป็นเทศกาลภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกา
- งานแสดงศิลปะและหัตถกรรมนานาชาติวากาดูกู (SIAO): จัดขึ้นทุกสองปี เป็นงานแสดงสินค้าศิลปะและหัตถกรรมที่สำคัญของแอฟริกา
เทศกาลเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองทางวัฒนธรรม แต่ยังเป็นโอกาสในการส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ และการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของประเทศ
11.9. มรดกโลก
บูร์กินาฟาโซมีแหล่งมรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยองค์การยูเนสโก ซึ่งสะท้อนถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่สำคัญของประเทศ ดังนี้:
1. ซากปรักหักพังโลโรเปนี (Ruins of Loropéni): ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2552 (ค.ศ. 2009) เป็นกลุ่มซากกำแพงหินขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบพื้นที่กว้างใหญ่ เชื่อกันว่าเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายการค้าทองคำข้ามทะเลทรายซาฮาราในอดีต และเป็นหลักฐานสำคัญของอารยธรรมที่เคยรุ่งเรืองในภูมิภาคนี้เมื่อหลายศตวรรษก่อน คุณค่าทางประวัติศาสตร์ของโลโรเปนีอยู่ที่การเป็นพยานถึงการตั้งถิ่นฐานที่มีการป้องกันอย่างดีและการควบคุมเส้นทางการค้าที่สำคัญ
2. กลุ่มอุทยานดับเบิลยู-อาร์ลี-เพนจารี (W-Arly-Pendjari Complex): เป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติข้ามพรมแดนร่วมกับประเทศเบนินและไนเจอร์ ส่วนของบูร์กินาฟาโซคืออุทยานแห่งชาติอาร์ลีและอุทยานแห่งชาติดับเบิลยู (ส่วนของบูร์กินาฟาโซ) ได้รับการขึ้นทะเบียนเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2560 (ค.ศ. 2017) (อุทยานแห่งชาติดับเบิลยูของไนเจอร์ได้รับการขึ้นทะเบียนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539) กลุ่มอุทยานนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหายากและใกล้สูญพันธุ์หลายชนิด เช่น ช้างป่าแอฟริกา สิงโต เสือดาว และเสือชีตาห์ รวมถึงระบบนิเวศทุ่งหญ้าสะวันนา ป่าไม้ และพื้นที่ชุ่มน้ำที่อุดมสมบูรณ์
3. แหล่งถลุงเหล็กโบราณของบูร์กินาฟาโซ (Ancient Ferrous Metallurgy Sites of Burkina Faso): ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) ประกอบด้วยแหล่งโบราณคดี 5 แห่งที่แสดงถึงประเพณีการถลุงเหล็กที่มีมายาวนานกว่า 2,500 ปีในภูมิภาคนี้ หลักฐานที่พบ ได้แก่ เตาถลุงเหล็กแบบต่างๆ กองขี้แร่ (slag) และเครื่องมือที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทักษะและความรู้ทางเทคโนโลยีโลหะวิทยาของคนโบราณในพื้นที่นี้ และบทบาทสำคัญของเหล็กในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจในอดีต
แหล่งมรดกโลกเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีความสำคัญต่อบูร์กินาฟาโซเท่านั้น แต่ยังเป็นสมบัติล้ำค่าของมวลมนุษยชาติ ที่ช่วยให้เข้าใจถึงประวัติศาสตร์ อารยธรรม และความหลากหลายทางธรรมชาติของทวีปแอฟริกาได้ดียิ่งขึ้น