1. ที่มาของชื่อ
ชื่อประเทศ ไนเจอร์ (Nigerนีแชร์ภาษาฝรั่งเศส; Nigerไนเจอร์ หรือ นีเฌอร์ภาษาอังกฤษ) มาจากแม่น้ำไนเจอร์ ซึ่งไหลผ่านทางตะวันตกของประเทศ ที่มาของชื่อแม่น้ำยังไม่เป็นที่แน่ชัด นักภูมิศาสตร์ชาวอเล็กซานเดรีย ปโตเลมี ได้บันทึกเกี่ยวกับ Girกีร์Greek, Ancient (วาดิในประเทศแอลจีเรียปัจจุบัน) และ Ni-Girนี-กีร์Greek, Ancient (ซึ่งมีความหมายว่า Lower Girตอนล่างของกีร์ภาษาอังกฤษ) ทางใต้ ซึ่งอาจหมายถึงแม่น้ำไนเจอร์ การสะกดแบบปัจจุบัน Niger ถูกบันทึกครั้งแรกโดยนักวิชาการชาวเบอร์เบอร์ ลีโอ แอฟริกานัส ในปี ค.ศ. 1550 ซึ่งอาจมาจากวลีภาษาทัวเร็ก (e)gărăw-n-gărăwănTamahaq ซึ่งหมายถึง "แม่น้ำแห่งแม่น้ำทั้งหลาย" นักภาษาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่าชื่อนี้ไม่ได้มาจากคำภาษาละติน nigerนีเกร์ภาษาละติน (สีดำ) ดังที่เคยเข้าใจผิดกันในตอนแรก
ประเทศไนเจอร์และประเทศไนจีเรีย ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านทางใต้ มีชื่อที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำไนเจอร์เช่นกัน แต่เนื่องจากทั้งสองประเทศเคยเป็นอาณานิคมของมหาอำนาจยุโรปคนละชาติ (ไนเจอร์เป็นของฝรั่งเศส ไนจีเรียเป็นของอังกฤษ) จึงได้แยกตัวเป็นเอกราชในฐานะรัฐชาติที่แตกต่างกัน แม้ว่าชื่อจะมีความคล้ายคลึงกันก็ตาม
2. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของไนเจอร์ครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ยุคแรก การรุ่งเรืองและการล่มสลายของอาณาจักรและรัฐอิสระต่าง ๆ การเข้าสู่ยุคอาณานิคมของฝรั่งเศส จนกระทั่งได้รับเอกราชและความท้าทายทางการเมืองและสังคมในยุคปัจจุบัน
2.1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์

มีการค้นพบเครื่องมือหินในภูมิภาคอาแดราร์บูส (Adrar Bous) บิลมา (Bilma) และจาโด (Djado) ทางตอนเหนือของแคว้นอากาเดซ ซึ่งบางชิ้นมีอายุย้อนไปถึง 280,000 ปีก่อนคริสตกาล การค้นพบบางส่วนเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมเครื่องมือแบบอะเทเรียน (Aterian) และมูสเตเรียน (Mousterian) ในยุคหินเก่าตอนกลาง (Middle Paleolithic) ซึ่งรุ่งเรืองในแอฟริกาเหนือประมาณ 90,000 ถึง 20,000 ปีก่อนคริสตกาล สันนิษฐานว่ามนุษย์ในยุคนี้ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และเก็บของป่า ในช่วงยุคความชื้นแอฟริกา (African humid period) สภาพอากาศของทะเลทรายซาฮาราเคยเปียกชื้นและอุดมสมบูรณ์กว่าปัจจุบัน นักโบราณคดีเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "ซาฮาราสีเขียว" ซึ่งเอื้ออำนวยต่อการล่าสัตว์ และต่อมาคือการเกษตรและการเลี้ยงปศุสัตว์
ยุคหินใหม่ (Neolithic) ซึ่งเริ่มประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสตกาล มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น การประดิษฐ์เครื่องปั้นดินเผา (พบหลักฐานที่ตากาลาเกล (Tagalagal) เตเม็ต (Temet) และตินอูฟฟาเดเน (Tin Ouffadene)) การแพร่หลายของการเลี้ยงวัว และการฝังศพผู้เสียชีวิตในสุสานหินทรงกลม (tumuli) เมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงในช่วง 4,000-2,800 ปีก่อนคริสตกาล ทะเลทรายซาฮาราเริ่มแห้งแล้งลง ทำให้รูปแบบการตั้งถิ่นฐานต้องเคลื่อนย้ายไปทางใต้และตะวันออก เกษตรกรรมเริ่มแพร่หลาย รวมถึงการปลูกข้าวฟ่างและข้าวฟ่างหางนก และการผลิตเครื่องปั้นดินเผา มีการค้นพบวัตถุที่ทำจากเหล็กและทองแดงในยุคนี้ เช่น ที่อาซาวาก (Azawagh) ทาเคดดา (Takedda) มาเรนเดต (Marendet) และเทือกเขาแตร์มิต (Termit Massif) วัฒนธรรมคิฟเฟียน (Kiffian culture ประมาณ 8,000-6,000 ปีก่อนคริสตกาล) และต่อมาคือวัฒนธรรมเตเนเรียน (Tenerian culture ประมาณ 5,000-2,500 ปีก่อนคริสตกาล) ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่อาแดราร์บูสและโกเบโร (Gobero) ที่มีการค้นพบโครงกระดูก ได้เจริญรุ่งเรืองในช่วงเวลานี้
สังคมยังคงเติบโตพร้อมกับความแตกต่างในระดับภูมิภาคในด้านการเกษตรและพิธีศพ วัฒนธรรมในช่วงนี้คือวัฒนธรรมบูรา (Bura culture ประมาณ ค.ศ. 200-1300) ซึ่งตั้งชื่อตามแหล่งโบราณคดีบูราที่ค้นพบหลุมฝังศพพร้อมด้วยรูปปั้นเหล็กและเซรามิก ยุคหินใหม่ยังเป็นยุคที่ภาพเขียนบนหินในทะเลทรายซาฮารารุ่งเรือง รวมถึงในเทือกเขาแอร์ เทือกเขาแตร์มิต ที่ราบสูงจาโด อีเวเลเน (Iwelene) อารากาโอ (Arakao) ทามาคอน (Tamakon) เซอร์เซท (Tzerzait) อีเฟรูอาน (Iferouane) มามมาเนต (Mammanet) และดาบูส (Dabous) ซึ่งมีภาพแกะสลักยีราฟดาบูส (Dabous Giraffes) ที่มีชื่อเสียง ภาพเขียนเหล่านี้ครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ 10,000 ปีก่อนคริสตกาลถึง ค.ศ. 100 และแสดงภาพหลากหลาย ตั้งแต่สัตว์นานาชนิดในภูมิประเทศไปจนถึงภาพคนถือหอกที่เรียกว่า 'นักรบลิเบีย'
2.2. อาณาจักรและรัฐก่อนยุคอาณานิคม
อย่างน้อยที่สุดในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล ดินแดนที่เป็นประเทศไนเจอร์ในปัจจุบันได้กลายเป็นพื้นที่การค้าข้ามทะเลทรายซาฮารา นำโดยชนเผ่าชาวทัวเร็กจากทางเหนือ อูฐถูกใช้เป็นพาหนะในการเดินทางผ่านดินแดนที่ต่อมากลายเป็นทะเลทราย การเคลื่อนย้ายนี้ซึ่งดำเนินต่อไปเป็นระลอกเป็นเวลาหลายศตวรรษ มาพร้อมกับการอพยพลงใต้และการผสมผสานระหว่างประชากรแอฟริกาใต้สะฮาราและแอฟริกาเหนือ รวมถึงการเผยแผ่ศาสนาอิสลาม สิ่งนี้ได้รับการสนับสนุนจากการพิชิตมาเกร็บของชาวมุสลิมในศตวรรษที่ 7 ซึ่งส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายประชากรลงใต้ อาณาจักรและรัฐต่าง ๆ ดำรงอยู่ในซาเฮลในช่วงเวลานี้ ส่วนนี้จะกล่าวถึงอาณาจักรบางส่วนตามลำดับเวลาโดยประมาณ
2.2.1. จักรวรรดิมาลี (คริสต์ศตวรรษที่ 13-15)
จักรวรรดิมาลีเป็นจักรวรรดิของชาวมานดินกา ก่อตั้งโดยซุนเดียตา เกอิตา (ครองราชย์ ค.ศ. 1230-1255) ประมาณปี ค.ศ. 1230 และดำรงอยู่จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ดังที่กล่าวไว้ใน มหากาพย์ซุนเดียตา มาลีก่อตั้งขึ้นจากการแยกตัวออกจากจักรวรรดิกานา (จักรวรรดิโซโซ) ซึ่งเคยแยกตัวออกจากจักรวรรดิกานาในอดีตก่อนหน้านั้น หลังจากนั้นมาลีได้เอาชนะจักรวรรดิกานาที่ยุทธการที่กิรินา ในปี ค.ศ. 1235 และจากนั้นก็เอาชนะจักรวรรดิกานาเก่าในปี ค.ศ. 1240 จากศูนย์กลางอำนาจบริเวณชายแดนกินี-มาลีในปัจจุบัน จักรวรรดิขยายตัวภายใต้การปกครองของกษัตริย์หลายพระองค์ และครอบครองเส้นทางการค้าข้ามทะเลทรายซาฮารา จักรวรรดิมาถึงจุดสูงสุดในรัชสมัยของมันซา มูซา (ครองราชย์ ค.ศ. 1312-1337) ในช่วงนี้ พื้นที่ส่วนหนึ่งของแคว้นทิลลาเบรีของไนเจอร์ในปัจจุบันตกอยู่ภายใต้การปกครองของมาลี มันซา มูซา ซึ่งเป็นชาวมุสลิม ได้ประกอบพิธีฮัจญ์ ในปี ค.ศ. 1324-25 และส่งเสริมการเผยแผ่ศาสนาอิสลามในจักรวรรดิ แต่ "ดูเหมือนว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังคงยึดมั่นในความเชื่อดั้งเดิมแบบภูตผีวิญญาณแทนหรือควบคู่ไปกับศาสนาใหม่" จักรวรรดิเริ่ม "เสื่อมถอย" ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 เนื่องจากการผสมผสานของความขัดแย้งภายในเกี่ยวกับการสืบราชบัลลังก์ กษัตริย์ที่อ่อนแอ การเปลี่ยนแปลงเส้นทางการค้าของยุโรปไปยังชายฝั่ง และการกบฏในพื้นที่รอบนอกของจักรวรรดิโดยชาวชาวมอสซี ชาวโวลอฟ ชาวทัวเร็ก และชาวซองไฮ อาณาจักรมาลีที่เหลืออยู่ยังคงดำรงอยู่จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17
2.2.2. จักรวรรดิซองไฮ (คริสต์ศตวรรษที่ 11-16)
จักรวรรดิซองไฮ (Songhai Empire) ตั้งชื่อตามกลุ่มชาติพันธุ์หลักคือ ชาวซองไฮ หรือ ซอนไร (Sonrai) และมีศูนย์กลางอยู่ที่โค้งแม่น้ำไนเจอร์ในประเทศมาลี ชาวซองไฮเริ่มตั้งถิ่นฐานในภูมิภาคนี้ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 ถึง 9 ภายในคริสต์ศตวรรษที่ 11 เมืองกาโอ (เมืองหลวงของอาณาจักรกาโอเดิม) ได้กลายเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ ระหว่างปี ค.ศ. 1000 ถึง 1325 จักรวรรดิซองไฮสามารถรักษาสันติภาพกับจักรวรรดิมาลีซึ่งเป็นเพื่อนบ้านทางตะวันตกได้ ในปี ค.ศ. 1325 ซองไฮถูกจักรวรรดิมาลีพิชิตจนกระทั่งได้รับเอกราชอีกครั้งในปี ค.ศ. 1375 ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ซอนนิ อาลี (ครองราชย์ ค.ศ. 1464-1492) ซองไฮใช้นโยบายขยายอาณาเขตซึ่งถึงจุดสูงสุดในรัชสมัยของอัสเกีย โมฮัมเหม็ดที่ 1 (ครองราชย์ ค.ศ. 1493-1528) ในช่วงนี้ จักรวรรดิได้ขยายตัวจากศูนย์กลางที่โค้งแม่น้ำไนเจอร์ รวมถึงไปทางตะวันออก ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ของไนเจอร์ตะวันตกในภายหลังตกอยู่ภายใต้การปกครอง รวมถึงเมืองอากาเดซซึ่งถูกพิชิตในปี ค.ศ. 1496 จักรวรรดิไม่สามารถต้านทานการโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากราชวงศ์ซาอาดีแห่งโมร็อกโก และพ่ายแพ้อย่างราบคาบในยุทธการที่ทอนดิบิ ในปี ค.ศ. 1591 จากนั้นจึงล่มสลายกลายเป็นอาณาจักรเล็ก ๆ จำนวนมาก
2.2.3. รัฐสุลต่านแอร์ (คริสต์ศตวรรษที่ 15-20)

ประมาณปี ค.ศ. 1449 ทางตอนเหนือของประเทศไนเจอร์ในปัจจุบัน รัฐสุลต่านแอร์ (Sultanate of Aïr) ได้รับการก่อตั้งโดยสุลต่านอิลิซาวัน (Ilisawan) โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองอากาเดซ เดิมเป็นสถานีการค้าที่มีชาวเฮาซาและทัวเร็กอาศัยอยู่ร่วมกัน เมืองนี้เติบโตขึ้นในฐานะจุดยุทธศาสตร์บนเส้นทางการค้าข้ามทะเลทรายซาฮารา ในปี ค.ศ. 1515 รัฐสุลต่านแอร์ถูกจักรวรรดิซองไฮพิชิต และยังคงเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดินั้นจนกระทั่งการล่มสลายในปี ค.ศ. 1591 ในศตวรรษต่อ ๆ มา "ดูเหมือนว่ารัฐสุลต่านจะเข้าสู่ภาวะเสื่อมถอย" ซึ่งมีสาเหตุมาจากสงครามภายในและความขัดแย้งระหว่างตระกูล เมื่อชาวยุโรปเริ่มสำรวจภูมิภาคนี้ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมืองอากาเดซส่วนใหญ่กลายเป็นซากปรักหักพังและถูกฝรั่งเศสยึดครองในเวลาต่อมา
2.2.4. จักรวรรดิคาเน็ม-บอร์นู (คริสต์ศตวรรษที่ 8-19)
ทางตะวันออก จักรวรรดิคาเน็ม-บอร์นู (Kanem-Bornu Empire) ครอบครองภูมิภาคทะเลสาบชาดมาระยะหนึ่ง ก่อตั้งโดยชาวซากาวาราวคริสต์ศตวรรษที่ 8 และมีศูนย์กลางอยู่ที่นจิมิ (Njimi) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบ อาณาจักรค่อยๆ ขยายตัว รวมถึงในช่วงการปกครองของราชวงศ์ไซฟาวา (Sayfawa dynasty) ซึ่งเริ่มขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1075 ภายใต้การนำของ ไม (กษัตริย์) ฮุมไม (Hummay) อาณาจักรมาถึงจุดสูงสุดในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความพยายามของ ไม ดูนามา ดิบาเลมิ (Dunama Dibbalemi) (ครองราชย์ ค.ศ. 1210-1259) และ "ร่ำรวยขึ้น" จากการควบคุมเส้นทางการค้าข้ามทะเลทรายซาฮาราบางส่วน พื้นที่ส่วนใหญ่ทางตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของไนเจอร์ รวมถึงเมืองบิลมาและคาอูอาร์ อยู่ภายใต้การควบคุมของคาเน็มในช่วงเวลานี้ ศาสนาอิสลามถูกนำเข้ามาในอาณาจักรโดยพ่อค้าชาวอาหรับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 และมีผู้เปลี่ยนศาสนามากขึ้นในศตวรรษต่อ ๆ มา การโจมตีโดยชาวบูลาลา (Bulala people) ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 บีบให้คาเน็มต้องย้ายไปทางตะวันตกของทะเลสาบชาด ซึ่งกลายเป็นที่รู้จักในชื่อจักรวรรดิบอร์นู (Bornu Empire) ปกครองจากเมืองหลวงกาซาร์กามู (Ngazargamu) ซึ่งต่อมาคือชายแดนไนเจอร์-ไนจีเรีย บอร์นู "เจริญรุ่งเรือง" ในรัชสมัยของ ไม ไอดริส อลูมา (Idris Alooma) (ครองราชย์ประมาณ ค.ศ. 1575-1610) และยึดคืน "ดินแดนดั้งเดิม" ส่วนใหญ่ของคาเน็มได้อีกครั้ง จึงเป็นที่มาของชื่อ 'คาเน็ม-บอร์นู' สำหรับจักรวรรดิ ภายในคริสต์ศตวรรษที่ 17 และเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 18 อาณาจักรบอร์นูได้เข้าสู่ "ช่วงเวลาแห่งความเสื่อมถอย" โดยหดตัวกลับไปยังศูนย์กลางที่ทะเลสาบชาด
ประมาณปี ค.ศ. 1730-40 กลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานชาวชาวคานูริ นำโดยมัลลัม ยูนุส (Mallam Yunus) ได้ออกจากคาเน็มและก่อตั้งรัฐสุลต่านดามารารัม (Sultanate of Damagaram) โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองซินเดอร์ รัฐสุลต่านยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิบอร์นูในนามจนกระทั่งรัชสมัยของสุลต่านตานิมูน ดัน ซูเลย์มาน (Tanimoune Dan Souleymane) ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ผู้ซึ่งประกาศเอกราชและเริ่มการขยายอาณาเขต รัฐสุลต่านสามารถต้านทานการรุกคืบของรัฐเคาะลีฟะฮ์โซโคโตได้ และต่อมาถูกฝรั่งเศสยึดครองในปี ค.ศ. 1899
2.2.5. นครรัฐของชาวเฮาซา (คริสต์ศตวรรษที่ 15-19)

ระหว่างแม่น้ำไนเจอร์และทะเลสาบชาดคือกลุ่มรัฐของชาวเฮาซา (Hausa Kingdoms) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่วัฒนธรรมและภาษาที่เรียกว่าเฮาซาแลนด์ (Hausaland) ซึ่งคร่อมพรมแดนไนเจอร์-ไนจีเรียในปัจจุบัน ชาวเฮาซาเชื่อกันว่าเป็นส่วนผสมของชนพื้นเมืองดั้งเดิมและผู้อพยพจากทางเหนือและตะวันออก และปรากฏตัวเป็นกลุ่มชนที่ชัดเจนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10-15 ซึ่งเป็นช่วงที่อาณาจักรเหล่านี้ก่อตั้งขึ้น พวกเขารับเอาศาสนาอิสลามเข้ามาอย่างค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14 และบางครั้งศาสนานี้ก็ดำรงอยู่ร่วมกับศาสนาอื่น ๆ พัฒนาเป็นรูปแบบผสมผสาน กลุ่มชาวเฮาซาบางกลุ่ม เช่น ชาวอัซนา (Azna) ต่อต้านศาสนาอิสลามโดยสิ้นเชิง (พื้นที่โดกอนดูตชี (Dogondoutchi) ยังคงเป็นฐานที่มั่นของศาสนาภูตผี) อาณาจักรเฮาซาไม่ได้เป็นหน่วยการปกครองที่รวมเป็นหนึ่งเดียว แต่เป็นสหพันธรัฐของอาณาจักรต่าง ๆ ที่เป็นอิสระต่อกันไม่มากก็น้อย การจัดระเบียบของพวกเขาเป็นแบบลำดับชั้นและค่อนข้างเป็นประชาธิปไตย: กษัตริย์เฮาซาได้รับการเลือกตั้งจากบุคคลสำคัญของประเทศและสามารถถูกถอดถอนโดยพวกเขาได้ อาณาจักรเฮาซาเริ่มจากการเป็นรัฐเจ็ดรัฐที่ก่อตั้งขึ้น ตามตำนานบายาจิดดา (Bayajidda) โดยโอรสทั้งหกของบาโว (Bawo) บาโวเป็นโอรสองค์เดียวของราชินีเฮาซา เดารามา (Daurama) และบายาจิดดา หรือ (อาบู ยาซิด (Abu Yazid) ตามที่นักประวัติศาสตร์บางคนกล่าว) ซึ่งมาจากกรุงแบกแดด รัฐเฮาซาดั้งเดิมทั้งเจ็ด (หรือที่เรียกว่า 'เฮาซา บักไว' (Hausa bakwai)) ได้แก่ เดารา (รัฐของราชินีเดารามา) กาโน ราโน ซาเรีย โกบีร์ คัตซินา และ บิรัม ส่วนขยายของตำนานกล่าวว่าบาโวมีโอรสอีกเจ็ดองค์กับนางสนม ซึ่งต่อมาได้ก่อตั้งสิ่งที่เรียกว่า 'บันซา (นอกกฎหมาย) บักไว': ซัมฟารา เคบบิ นูเป กวารี เยารี อิลอริน และ ควาราราฟา รัฐเล็ก ๆ ที่ไม่เข้ากับรูปแบบนี้คือ คอนนิ ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่บีร์นินคอนนิ

ชาวฟูลานี (Fulani) (หรือที่เรียกว่า เปิล (Peul), ฟุลเบ (Fulbe) ฯลฯ) ซึ่งเป็นชนเผ่าเลี้ยงสัตว์ที่พบได้ทั่วทั้งภูมิภาคซาเฮล เริ่มอพยพเข้ามาในดินแดนเฮาซาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13-16 ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ชาวฟูลานีบางคนไม่พอใจกับรูปแบบการนับถือศาสนาอิสลามแบบผสมผสานที่ปฏิบัติกันอยู่ที่นั่น นอกจากนี้ยังใช้ประโยชน์จากความไม่พอใจของประชาชนต่อการทุจริตในหมู่ชนชั้นสูงชาวเฮาซา นักวิชาการชาวฟูลานี อุสมาน ดัน โฟดิโอ (Usman Dan Fodio) (จากโกบีร์) ได้ประกาศญิฮาด ในปี ค.ศ. 1804 หลังจากพิชิตดินแดนเฮาซาส่วนใหญ่ (แต่ไม่ใช่จักรวรรดิบอร์นู ซึ่งยังคงเป็นอิสระ) เขาก็ประกาศจัดตั้งรัฐเคาะลีฟะฮ์โซโคโต ในปี ค.ศ. 1809 รัฐเฮาซาบางรัฐรอดชีวิตมาได้โดยการหนีลงใต้ เช่น ชาวคัตซินาที่ย้ายไปมาราดีทางตอนใต้ของไนเจอร์ในปัจจุบัน รัฐที่รอดชีวิตเหล่านี้บางรัฐได้ก่อกวนรัฐเคาะลีฟะฮ์ และเกิดช่วงเวลาแห่งสงครามและการปะทะกัน โดยบางรัฐ (เช่น คัตซินาและโกบีร์) ยังคงรักษาความเป็นอิสระไว้ได้ ในขณะที่รัฐใหม่ ๆ ก็ถูกก่อตั้งขึ้น (เช่น รัฐสุลต่านแห่งเตสซาอัว) รัฐเคาะลีฟะฮ์สามารถอยู่รอดได้จนกระทั่ง "อ่อนแอลงอย่างร้ายแรง" จากการรุกรานของราบิห์ อัซซุเบร์ ขุนศึกจากชาด และในที่สุดก็ตกเป็นของอังกฤษในปี ค.ศ. 1903 โดยดินแดนของรัฐถูกแบ่งระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสในภายหลัง
อาณาจักรเล็ก ๆ อื่น ๆ ในช่วงเวลานี้รวมถึงอาณาจักรดอสโซ (Dosso Kingdom) ซึ่งเป็นรัฐของชาวซาร์มา ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1750 ซึ่งต่อต้านการปกครองของรัฐเฮาซาและรัฐโซโคโต
2.3. ยุคอาณานิคมฝรั่งเศส (ค.ศ. 1900-1960)

ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 นักสำรวจชาวยุโรปบางคนได้เดินทางมายังพื้นที่ที่จะกลายเป็นที่รู้จักในชื่อไนเจอร์ เช่น มังโก พาร์ก (ในปี 1805-1806) คณะสำรวจของอูดนีย์-เดนแฮม-แคลปเปอร์ตัน (Oudney-Denham-Clapperton expedition) (1822-1825) ไฮน์ริช บาร์ท (1850-1855 ร่วมกับเจมส์ ริชาร์ดสัน และอดอล์ฟ โอเวอร์เวก) ฟรีดริช แกร์ฮาร์ด โรลฟส์ (1865-1867) กุสตาฟ นัคติกัล (1869-1874) และปาร์เฟต์-หลุยส์ มงเตย (1890-1892)
ประเทศยุโรปบางประเทศมีอาณานิคมชายฝั่งในแอฟริกาอยู่แล้ว และในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษ พวกเขาก็เริ่มหันมาสนใจดินแดนภายในทวีป กระบวนการนี้ซึ่งเรียกว่า 'การแย่งชิงแอฟริกา' สิ้นสุดลงที่การประชุมเบอร์ลินปี 1885 ซึ่งมหาอำนาจอาณานิคมได้กำหนดการแบ่งแอฟริกาออกเป็นเขตอิทธิพล ผลจากการประชุมนี้ ฝรั่งเศสได้ควบคุมหุบเขาตอนบนของแม่น้ำไนเจอร์ (เทียบเท่ากับดินแดนปัจจุบันของมาลีและไนเจอร์) จากนั้นฝรั่งเศสจึงเริ่มดำเนินการสร้างการปกครองของตนขึ้นจริง ในปี ค.ศ. 1897 เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศส มาริอุส กาเบรียล กาเซมาฌู ถูกส่งไปยังไนเจอร์ เขาไปถึงรัฐสุลต่านดามารารัมในปี ค.ศ. 1898 และพำนักอยู่ที่เมืองซินเดอร์ในราชสำนักของสุลต่านอามาดู กูรัน ดากา ต่อมาเขาถูกสังหารเนื่องจากดากากลัวว่าเขาจะไปเป็นพันธมิตรกับขุนศึกราบิห์ อัซซุเบร์ ซึ่งมีฐานที่มั่นในชาด ในปี ค.ศ. 1899-1900 ฝรั่งเศสได้ประสานงานคณะสำรวจสามคณะ ได้แก่ คณะสำรวจฌ็องตีล จากคองโกของฝรั่งเศส คณะสำรวจฟูโร-ลามี จากแอลจีเรีย และคณะสำรวจวูเลต์-ชาโนอิน จากเมืองทิมบักตู โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงดินแดนในอาณัติของฝรั่งเศสในแอฟริกาเข้าด้วยกัน ทั้งสามคณะได้พบกันที่เมืองกูเซรี (ทางตอนเหนือสุดของแคเมอรูน) และเอาชนะกองกำลังของราบิห์ อัซซุเบร์ได้ในยุทธการที่กูเซรี คณะสำรวจวูเลต์-ชาโนอิน "เต็มไปด้วยความโหดร้าย" และ "กลายเป็นที่อื้อฉาว" จากการปล้นสะดม ข่มขืน และสังหารพลเรือนท้องถิ่นระหว่างการเดินทางผ่านตอนใต้ของไนเจอร์ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1899 เพื่อเป็นการตอบโต้การต่อต้านของราชินีซาร์ราโอเนีย ร้อยเอกวูเลต์และคนของเขาได้สังหารชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านบีร์นินคอนนิ ซึ่งถือเป็น "หนึ่งในการสังหารหมู่ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อาณานิคมของฝรั่งเศส" วิธีการ "โหดร้าย" ของวูเลต์และชาโนอินก่อให้เกิด "เรื่องอื้อฉาว" และปารีสถูกบีบให้เข้ามาแทรกแซง เมื่อพันโทฌ็อง-ฟร็องซัว คล็อบ ตามทันคณะสำรวจใกล้กับเมืองเตสซาอัวเพื่อปลดพวกเขาออกจากตำแหน่ง เขาก็ถูกสังหาร ร้อยโทปอล ฌัวล็องด์ เจ้าหน้าที่เก่าของคล็อบ และร้อยโทอ็อกตัฟ เมย์นิเยร์ ในที่สุดก็เข้าควบคุมคณะสำรวจหลังจากการกบฏซึ่งวูเลต์และชาโนอินถูกสังหาร
ดินแดนทหารไนเจอร์ (Military Territory of Niger) ได้รับการจัดตั้งขึ้นภายในอาณานิคมเซเนกัลตอนบนและไนเจอร์ (Upper Senegal and Niger) (ต่อมาคือบูร์กินาฟาโซ มาลี และไนเจอร์) ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1904 โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่นีอาเม พรมแดนกับอาณานิคมไนจีเรียของอังกฤษทางใต้ได้รับการสรุปในปี ค.ศ. 1910 หลังจากมีการกำหนดเขตแดนคร่าวๆ โดยทั้งสองมหาอำนาจผ่านสนธิสัญญาในช่วงปี ค.ศ. 1898-1906 เมืองหลวงของดินแดนถูกย้ายไปที่ซินเดอร์ในปี ค.ศ. 1912 เมื่อดินแดนทหารไนเจอร์ถูกแยกออกจากเซเนกัลตอนบนและไนเจอร์ ก่อนที่จะย้ายกลับไปนีอาเมในปี ค.ศ. 1922 เมื่อไนเจอร์กลายเป็นอาณานิคมเต็มรูปแบบภายในแอฟริกาตะวันตกของฝรั่งเศส พรมแดนของไนเจอร์ถูกร่างขึ้นเป็นระยะ ๆ และได้รับการกำหนดให้อยู่ในตำแหน่งปัจจุบันภายในทศวรรษที่ 1930 มีการปรับเปลี่ยนอาณาเขตในช่วงเวลานี้: พื้นที่ทางตะวันตกของแม่น้ำไนเจอร์ถูกผนวกเข้ากับไนเจอร์ในปี ค.ศ. 1926-1927 และในระหว่างการยุบโวลตาตอนบน (บูร์กินาฟาโซปัจจุบัน) ในปี ค.ศ. 1932-1947 พื้นที่ส่วนใหญ่ทางตะวันออกของดินแดนนั้นถูกเพิ่มเข้ากับไนเจอร์ และทางตะวันออก เทือกเขาทิเบสตี (Tibesti Mountains) ถูกโอนไปยังชาดในปี ค.ศ. 1931
โดยทั่วไปแล้ว ฝรั่งเศสใช้นโยบายการปกครองแบบทางอ้อม โดยอนุญาตให้โครงสร้างพื้นเมืองที่มีอยู่เดิมยังคงดำรงอยู่ภายใต้กรอบการปกครองอาณานิคม ตราบใดที่พวกเขายอมรับอำนาจสูงสุดของฝรั่งเศส ชาวซาร์มา แห่งอาณาจักรดอสโซโดยเฉพาะอย่างยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่ายอมรับการปกครองของฝรั่งเศส โดยใช้พวกเขาเป็นพันธมิตรต่อต้านการรุกล้ำของชาวเฮาซาและรัฐใกล้เคียงอื่น ๆ เมื่อเวลาผ่านไป ชาวซาร์มาจึงกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ "มีการศึกษาและได้รับอิทธิพลตะวันตกมากขึ้น" ในไนเจอร์ ภัยคุกคามที่รับรู้ต่อการปกครองของฝรั่งเศส เช่น การกบฏกอบกิตันดา (Kobkitanda rebellion) ในแคว้นดอสโซ (ค.ศ. 1905-1906) นำโดยนักบวชตาบอด อัลฟา ไซบู (Alfa Saibou) และการกบฏการ์มา (Karma revolt) ในหุบเขาไนเจอร์ (ธันวาคม ค.ศ. 1905 - มีนาคม ค.ศ. 1906) นำโดยอูมารู การ์มา (Oumarou Karma) ถูกปราบปรามด้วยกำลัง เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวทางศาสนาฮามาลลายา (Hamallayya) และเฮากา (Hauka) ในภายหลัง แม้จะ "ประสบความสำเร็จอย่างมาก" ในการปราบปรามประชากร "ที่ตั้งถิ่นฐาน" ทางตอนใต้ แต่ฝรั่งเศสก็เผชิญกับ "ความยากลำบากอย่างมาก" กับชาวทัวเร็กทางตอนเหนือ (มีศูนย์กลางอยู่ที่รัฐสุลต่านแอร์ในอากาเดซ) และฝรั่งเศสไม่สามารถยึดครองอากาเดซได้จนถึงปี ค.ศ. 1906 การต่อต้านของชาวทัวเร็กยังคงดำเนินต่อไป จนถึงจุดสูงสุดคือการลุกฮือของคาโอเซน ในปี ค.ศ. 1916-1917 นำโดยอัก โมฮัมเหม็ด เตา เตกิดดา คาโอเซน (Ag Mohammed Wau Teguidda Kaocen) โดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเซนุสซี (Senussi) ในเฟซซัน การลุกฮือถูกปราบปรามอย่างรุนแรง และคาโอเซนได้หลบหนีไปยังเฟซซัน ซึ่งต่อมาเขาถูกสังหาร สุลต่านหุ่นเชิดถูกแต่งตั้งโดยฝรั่งเศส และ "ความเสื่อมถอยและการถูกทำให้เป็นชายขอบ" ของทางตอนเหนือของอาณานิคมยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งเลวร้ายลงอีกจากภัยแล้งหลายครั้ง แม้ว่าจะยังคงเป็น "พื้นที่ห่างไกลความเจริญ" อยู่บ้าง แต่ก็มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างจำกัดในไนเจอร์ในช่วงปีอาณานิคม เช่น การนำการเพาะปลูกถั่วลิสงเข้ามา มีการดำเนินมาตรการเพื่อปรับปรุงความมั่นคงทางอาหารหลังเกิดภาวะทุพภิกขภัยร้ายแรงหลายครั้งในปี ค.ศ. 1913, 1920 และ 1931
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ถูกยึดครองโดยเยอรมนีนาซี ชาร์ล เดอ โกล ได้ออกคำประกาศบราซาวีล (Brazzaville Declaration) โดยประกาศว่าจักรวรรดิอาณานิคมฝรั่งเศสจะถูกแทนที่หลังสงครามด้วยสหภาพฝรั่งเศส (French Union) ที่มีการรวมศูนย์อำนาจน้อยลง สหภาพฝรั่งเศสซึ่งดำรงอยู่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1946 ถึง 1958 ได้ให้สัญชาติฝรั่งเศสแบบจำกัดแก่ผู้อยู่อาศัยในอาณานิคม โดยมีการกระจายอำนาจบางส่วนและการมีส่วนร่วมอย่างจำกัดในชีวิตทางการเมืองสำหรับสภาที่ปรึกษาท้องถิ่น ในช่วงเวลานี้เองที่พรรคก้าวหน้าไนเจอร์ (Parti Progressiste Nigérien หรือ PPN เดิมเป็นสาขาของการรวมตัวประชาธิปไตยแอฟริกา หรือ Rassemblement Démocratique Africain - RDA) ได้ก่อตั้งขึ้นภายใต้การนำของอดีตครู อามานี ดิออรี เช่นเดียวกับพรรคฝ่ายซ้าย Mouvement Socialiste Africain-Sawaba (MSA) นำโดยจิโบ บาการี หลังจากการออกพระราชบัญญัติปฏิรูปโพ้นทะเล (Loi Cadre) เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1956 และการสถาปนาสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 5 เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 1958 ไนเจอร์ได้กลายเป็นรัฐปกครองตนเองภายในประชาคมฝรั่งเศส (French Community) เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 1958 สาธารณรัฐไนเจอร์ที่ปกครองตนเองได้รับการก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการภายใต้การนำของอามานี ดิออรี พรรค MSA ถูกสั่งห้ามในปี ค.ศ. 1959 เนื่องจากถูกมองว่ามีจุดยืนต่อต้านฝรั่งเศสมากเกินไป เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 1960 ไนเจอร์ตัดสินใจออกจากประชาคมฝรั่งเศสและได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์ในเวลาเที่ยงคืนตามเวลาท้องถิ่นของวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 1960 ดิออรีจึงกลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศ
2.4. หลังได้รับเอกราช (ค.ศ. 1960-ปัจจุบัน)
ไนเจอร์ต้องเผชิญกับความผันผวนทางการเมืองอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ได้รับเอกราช รวมถึงการรัฐประหารหลายครั้ง นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยครั้ง ความท้าทายด้านความมั่นคงจากกลุ่มก่อการร้าย และปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาประชาธิปไตย
2.4.1. รัฐบาลดิออรีและระบอบทหารชุดแรก (ค.ศ. 1960-1987)

ในช่วง 14 ปีแรกของการเป็นรัฐเอกราช ไนเจอร์ถูกปกครองโดยระบอบพลเรือนพรรคเดียวภายใต้ประธานาธิบดีอามานี ดิออรี ทศวรรษที่ 1960 เห็นการขยายตัวของระบบการศึกษาและการพัฒนาทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมอย่างจำกัด ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสยังคงอยู่ โดยดิออรีอนุญาตให้มีการพัฒนาเหมืองยูเรเนียมที่นำโดยฝรั่งเศสในเมืองอาร์ลิตและสนับสนุนฝรั่งเศสในสงครามแอลจีเรีย ความสัมพันธ์กับรัฐแอฟริกาอื่น ๆ ส่วนใหญ่เป็นไปในทาง "บวก" ยกเว้นดาโฮมีย์ (เบนิน) เนื่องจากข้อพิพาทชายแดน ไนเจอร์ยังคงเป็นรัฐพรรคเดียวตลอดช่วงเวลานี้ โดยดิออรีรอดชีวิตจากการวางแผนรัฐประหารในปี 1963 และความพยายามลอบสังหารในปี 1965 กิจกรรมส่วนใหญ่เหล่านี้ถูกควบคุมโดยกลุ่ม MSA-Sawaba ของจิโบ บาการี ซึ่งได้เปิดฉากการกบฏที่ไม่ประสบความสำเร็จในปี 1964 ในทศวรรษที่ 1970 การรวมกันของปัญหาทางเศรษฐกิจ ภัยแล้ง และข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตและการจัดการเสบียงอาหารที่ไม่ถูกต้องอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้เกิดรัฐประหารที่โค่นล้มระบอบการปกครองของดิออรี
รัฐประหารดังกล่าวถูกควบคุมโดยพันเอกเซย์นี กูนเชและกลุ่มทหารภายใต้ชื่อ Conseil Militaire Supreme โดยกูนเชได้ปกครองประเทศจนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1987 การดำเนินการแรกของรัฐบาลทหารคือการแก้ไขวิกฤตการณ์อาหาร ในขณะที่นักโทษการเมืองในระบอบดิออรีได้รับการปล่อยตัวหลังรัฐประหาร เสรีภาพทางการเมืองและส่วนบุคคลโดยทั่วไปกลับเสื่อมถอยลงในช่วงเวลานี้ มีความพยายามรัฐประหาร (ในปี 1975, 1976 และ 1984) ซึ่งถูกขัดขวาง ผู้ก่อการถูกลงโทษ

กูนเชพยายามสร้าง 'สังคมแห่งการพัฒนา' ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนส่วนใหญ่จากเหมืองยูเรเนียมในแคว้นอากาเดซ มีการสร้างบริษัทกึ่งรัฐวิสาหกิจ โครงสร้างพื้นฐาน (อาคารและถนนใหม่ โรงเรียน ศูนย์สุขภาพ) และมีการทุจริตในหน่วยงานของรัฐ ซึ่งกูนเชไม่ลังเลที่จะลงโทษ ในทศวรรษที่ 1980 กูนเชเริ่มคลายการควบคุมของทหารอย่างระมัดระวัง โดยมีการผ่อนคลายการเซ็นเซอร์ของรัฐบางส่วนและความพยายามที่จะ 'ทำให้ระบอบการปกครองเป็นพลเรือน' ความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจสิ้นสุดลงหลังจากการล่มสลายของราคายูเรเนียม และมาตรการรัดเข็มขัดและการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่นำโดยIMF ก่อให้เกิดการต่อต้านจากชาวไนเจอร์บางส่วน ในปี 1985 การลุกฮือของชาวทัวเร็กในเมืองชินตาบาราเดนถูกปราบปราม กูนเชเสียชีวิตในเดือนพฤศจิกายน 1987 ด้วยเนื้องอกในสมอง และผู้สืบทอดตำแหน่งคือเสนาธิการของเขา พันเอกอาลี ซาอีบู ซึ่งได้รับการยืนยันให้เป็นหัวหน้าสภาทหารสูงสุดในสี่วันต่อมา
2.4.2. สาธารณรัฐที่สองและช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย (ค.ศ. 1987-1993)

ประธานาธิบดีอาลี ซาอีบู ได้ลดทอนลักษณะการปกครองที่กดขี่ที่สุดในยุคของกูนเช (เช่น ตำรวจลับและการเซ็นเซอร์สื่อ) และเริ่มกระบวนการปฏิรูปทางการเมืองภายใต้การชี้นำโดยรวมของพรรคเดียว (Mouvement National pour la Société du Développement หรือ MNSD) มีการประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐที่สองและร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งได้รับการรับรองหลังจากการทำประชามติในปี 1989 นายพลซาอีบูกลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐที่สองหลังจากชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 1989
ความพยายามของประธานาธิบดีซาอีบูในการควบคุมการปฏิรูปทางการเมืองล้มเหลวเมื่อเผชิญกับข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงานและนักศึกษาให้จัดตั้งระบบประชาธิปไตยแบบหลายพรรค เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 1990 การเดินขบวนของนักศึกษาในนีอาเมที่ถูกปราบปรามอย่างรุนแรงส่งผลให้นักศึกษาเสียชีวิตสามคน ซึ่งนำไปสู่แรงกดดันทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติให้มีการปฏิรูปประชาธิปไตยเพิ่มเติม ระบอบการปกครองของซาอีบูยอมรับข้อเรียกร้องเหล่านี้ภายในสิ้นปี 1990 ในขณะเดียวกัน ปัญหาก็กลับมาปะทุขึ้นอีกครั้งในแคว้นอากาเดซ เมื่อกลุ่มติดอาวุธชาวทัวเร็กโจมตีเมืองชินตาบาราเดน (บางคนมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการลุกฮือของชาวทัวเร็กครั้งแรก) ทำให้กองทัพต้องเข้าปราบปรามอย่างหนัก ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต (จำนวนที่แน่นอนยังเป็นที่ถกเถียง โดยประมาณการอยู่ที่ 70 ถึง 1,000 คน)
การประชุมแห่งชาติที่มีอำนาจอธิปไตย (National Sovereign Conference) ในปี 1991 นำมาซึ่งระบอบประชาธิปไตยแบบหลายพรรค ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม ถึง 3 พฤศจิกายน การประชุมระดับชาติได้รวบรวมองค์ประกอบทั้งหมดของสังคมเพื่อเสนอแนะแนวทางการดำเนินงานของประเทศในอนาคต การประชุมนี้นำโดยศาสตราจารย์อังเดร ซาลิฟู และได้พัฒนาแผนสำหรับรัฐบาลเฉพาะกาล ซึ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 1991 เพื่อจัดการกิจการของรัฐจนกว่าสถาบันของสาธารณรัฐที่สามจะถูกจัดตั้งขึ้นในเดือนเมษายน 1993 หลังจากการประชุมแห่งชาติที่มีอำนาจอธิปไตย รัฐบาลเฉพาะกาลได้ร่างรัฐธรรมนูญที่ยกเลิกระบบพรรคเดียวของรัฐธรรมนูญปี 1989 และรับประกันเสรีภาพมากขึ้น รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้รับการรับรองโดยการลงประชามติเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 1992
2.4.3. สาธารณรัฐที่สามและความไม่มั่นคงทางการเมือง (ค.ศ. 1993-1999)
หลังจากการลงประชามติรับรองรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ได้มีการจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดี และมาฮามาเน อุสมาน กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐที่สามเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1993 ในช่วงการดำรงตำแหน่งของอุสมาน มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลถึงสี่ครั้งและการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติในปี ค.ศ. 1995 รวมถึงประสบภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
ความรุนแรงในแคว้นอากาเดซยังคงดำเนินต่อไปในช่วงเวลานี้ ทำให้รัฐบาลไนเจอร์ต้องลงนามในข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มกบฏทัวเร็กในปี ค.ศ. 1992 ซึ่งไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากความแตกแยกภายในกลุ่มทัวเร็กเอง การกบฏอีกครั้งหนึ่ง นำโดยชาวชาวตูบูที่ไม่พอใจ โดยอ้างว่าเช่นเดียวกับชาวทัวเร็ก รัฐบาลไนเจอร์ได้ละเลยภูมิภาคของตน ได้ปะทุขึ้นทางตะวันออกของประเทศ ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1995 ได้มีการลงนามในข้อตกลงสันติภาพกับกลุ่มกบฏทัวเร็ก โดยรัฐบาลตกลงที่จะรับอดีตกลุ่มกบฏบางส่วนเข้าประจำการในกองทัพ และด้วยความช่วยเหลือจากฝรั่งเศส ช่วยให้คนอื่น ๆ กลับคืนสู่ชีวิตพลเรือนที่มีประสิทธิผล
ความอัมพาตของรัฐบาลกระตุ้นให้กองทัพเข้าแทรกแซง เมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1996 พันเอกอิบราฮิม บาเร มาอินัสซารา นำรัฐประหารโค่นล้มประธานาธิบดีอุสมานและยุติสาธารณรัฐที่สาม มาอินัสซาราเป็นผู้นำ Conseil de Salut National (สภาความมั่นคงแห่งชาติ) ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ทหาร ดำเนินการในช่วงเปลี่ยนผ่านหกเดือน ซึ่งมีการร่างและรับรองรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1996
มีการจัดรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีในหลายเดือนต่อมา มาอินัสซาราลงสมัครในฐานะผู้สมัครอิสระและชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1996 การเลือกตั้งครั้งนี้ถูกมองจากทั้งในและต่างประเทศว่าไม่ปกติ เนื่องจากคณะกรรมการการเลือกตั้งถูกเปลี่ยนตัวในระหว่างการรณรงค์หาเสียง ในขณะเดียวกัน มาอินัสซาราก็ริเริ่มโครงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการอนุมัติจากIMF และธนาคารโลก ซึ่งทำให้ผู้สนับสนุนบางคนของเขาร่ำรวยขึ้นและถูกต่อต้านจากสหภาพแรงงาน หลังจากการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ทุจริตในปี ค.ศ. 1999 ฝ่ายค้านได้ยุติความร่วมมือใด ๆ กับระบอบการปกครองของมาอินัสซารา ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทราบแน่ชัด (อาจเป็นความพยายามหลบหนีออกนอกประเทศ) มาอินัสซาราถูกลอบสังหารที่ท่าอากาศยานนีอาเมเมื่อวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1999
2.4.4. สาธารณรัฐที่สี่ ห้า และหก และการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง (ค.ศ. 1999-2010)
หลังจากการลอบสังหารประธานาธิบดีมาอินัสซารา พันตรีดาอูดา มาลาม วันเก ได้เข้าควบคุมอำนาจ และจัดตั้งสภาปรองดองแห่งชาติเฉพาะกาลขึ้นเพื่อดูแลการร่างรัฐธรรมนูญที่มีระบบกึ่งประธานาธิบดีแบบฝรั่งเศส รัฐธรรมนูญนี้ได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1999 และตามมาด้วยการเลือกตั้งประธานาธิบดีและสภานิติบัญญัติในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนของปีเดียวกัน การเลือกตั้งโดยทั่วไปได้รับการยอมรับจากผู้สังเกตการณ์ระหว่างประเทศว่ามีความเสรีและยุติธรรม จากนั้นวันเกก็ได้ถอนตัวออกจากกิจการของรัฐบาล
หลังจากชนะการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1999 ประธานาธิบดีตานจา มามาดู ได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 1999 ในฐานะประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐที่ห้า มามาดูได้นำการปฏิรูปการบริหารและเศรษฐกิจซึ่งหยุดชะงักไปเนื่องจากการรัฐประหารนับตั้งแต่สาธารณรัฐที่สาม และช่วยแก้ไขข้อพิพาทชายแดนที่ยาวนานหลายทศวรรษกับเบนินอย่างสันติ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2002 เกิดความไม่สงบในค่ายทหารในนีอาเม ดิฟฟา และกี๊กมิ และรัฐบาลสามารถฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยได้ภายในไม่กี่วัน เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 2004 ได้มีการจัดการเลือกตั้งระดับเทศบาลเพื่อเลือกผู้แทนท้องถิ่น ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาล การเลือกตั้งเหล่านี้ตามมาด้วยการเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งมามาดูได้รับเลือกตั้งอีกครั้งเป็นสมัยที่สอง ทำให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐที่ชนะการเลือกตั้งติดต่อกันโดยไม่ถูกโค่นล้มโดยการรัฐประหาร โครงสร้างทางนิติบัญญัติและบริหารยังคงคล้ายคลึงกับสมัยแรกของประธานาธิบดี: ฮามา อามาดู ได้รับการแต่งตั้งอีกครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี และมาฮามาเน อุสมาน หัวหน้าพรรค CDS ได้รับเลือกตั้งอีกครั้งเป็นประธานรัฐสภาโดยเพื่อนสมาชิก
ภายในปี ค.ศ. 2007 ความสัมพันธ์ระหว่างประธานาธิบดีตานจา มามาดู และนายกรัฐมนตรีของเขา "เสื่อมถอยลง" นำไปสู่การเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2007 โดยเซย์นี อูมารู หลังจากการลงมติไม่ไว้วางใจที่รัฐสภาประสบความสำเร็จ ประธานาธิบดีตานจา มามาดู พยายามขยายระยะเวลาการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของตนโดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ผู้สนับสนุนการขยายวาระประธานาธิบดี ซึ่งรวมตัวกันภายใต้ขบวนการ 'ตาซาร์เช' (Tazartche ภาษาเฮาซา แปลว่า 'อยู่เกินกำหนด') ถูกต่อต้านโดยฝ่ายตรงข้าม ('ต่อต้านตาซาร์เช') ซึ่งประกอบด้วยนักเคลื่อนไหวจากพรรคฝ่ายค้านและภาคประชาสังคม
ทางตอนเหนือเกิดการก่อกบฏทัวเร็กครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 2007 นำโดย ขบวนการชาวไนเจอร์เพื่อความยุติธรรม (MNJ) ด้วยการลักพาตัวหลายครั้ง การก่อกบฏ "ส่วนใหญ่ก็ค่อย ๆ สลายไปโดยไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน" ภายในปี ค.ศ. 2009 สถานการณ์ความมั่นคงที่ "ย่ำแย่" ในภูมิภาคนี้เชื่อกันว่าเปิดโอกาสให้กลุ่มอัลกออิดะห์ในดินแดนอิสลามมาเกร็บ (AQIM) สามารถตั้งหลักในประเทศได้
ในปี ค.ศ. 2009 ประธานาธิบดีตานจา มามาดู ตัดสินใจจัดการลงประชามติรัฐธรรมนูญเพื่อขยายระยะเวลาการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของตน ซึ่งถูกคัดค้านโดยพรรคการเมืองอื่น ๆ และขัดต่อคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยว่าการลงประชามติดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ จากนั้นมามาดูได้แก้ไขและรับรองรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยผ่านการลงประชามติ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญประกาศว่าผิดกฎหมาย ทำให้มามาดูต้องยุบศาลและใช้อำนาจฉุกเฉิน ฝ่ายค้านคว่ำบาตรการลงประชามติ และรัฐธรรมนูญได้รับการรับรองด้วยคะแนนเสียง 92.5% และมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์ 68% ตามผลอย่างเป็นทางการ การรับรองรัฐธรรมนูญได้ก่อตั้งสาธารณรัฐที่หก โดยมีระบบประธานาธิบดี ระงับรัฐธรรมนูญปี 1999 และรัฐบาลเฉพาะกาลสามปีโดยมีตานจา มามาดูเป็นประธานาธิบดี เหตุการณ์เหล่านี้ก่อให้เกิดความไม่สงบทางการเมืองและสังคม
ในการรัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 คณะทหารที่นำโดยซาลู จิโบ ได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อตอบโต้ความพยายามของตานจาในการขยายวาระทางการเมืองของตน สภาสูงสุดเพื่อการฟื้นฟูประชาธิปไตย ซึ่งนำโดยจิโบ ได้ดำเนินแผนการเปลี่ยนผ่านหนึ่งปี ร่างรัฐธรรมนูญ และจัดการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 2011
2.4.5. สาธารณรัฐที่เจ็ด (ค.ศ. 2010-2023)

หลังจากการรับรองรัฐธรรมนูญในปี 2010 และการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีต่อมา มาอามาดู อีซูฟู ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐที่เจ็ด และได้รับเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2016 รัฐธรรมนูญได้ฟื้นฟูระบบกึ่งประธานาธิบดีซึ่งถูกยกเลิกไปเมื่อปีก่อน ความพยายามรัฐประหารต่อต้านเขาในปี 2011 ถูกขัดขวางและผู้บงการถูกจับกุม ช่วงเวลาที่อีซูฟูดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเผชิญกับภัยคุกคามความมั่นคงของประเทศ อันเนื่องมาจากผลพวงของสงครามกลางเมืองลิเบียและความขัดแย้งทางตอนเหนือของมาลี การก่อความไม่สงบในไนเจอร์ตะวันตกโดยกลุ่มอัลกออิดะห์และรัฐอิสลาม การขยายตัวของการก่อความไม่สงบของกลุ่มโบโกฮะรอมในไนจีเรียเข้ามาในไนเจอร์ตะวันออกเฉียงใต้ และการใช้ไนเจอร์เป็นประเทศทางผ่านของผู้อพยพ (ซึ่งมักดำเนินการโดยแก๊งการลักลอบขนคนเข้าเมือง) กองกำลังฝรั่งเศสและอเมริกันได้ให้ความช่วยเหลือไนเจอร์ในการต่อต้านภัยคุกคามเหล่านี้
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2019 กลุ่มนักรบจำนวนมากของรัฐอิสลามในซาฮาราใหญ่ (IS-GS) ได้โจมตีฐานทัพในเมืองอินาเตส สังหารทหารกองทัพไนเจอร์กว่า 70 นายและลักพาตัวคนอื่น ๆ ไป การโจมตีครั้งนี้เป็นเหตุการณ์เดียวที่ทำให้ทหารไนเจอร์เสียชีวิตมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2020 กลุ่มนักรบ IS-GS จำนวนมากได้โจมตีฐานทัพไนเจอร์ที่ชินาโกดราร์ ในแคว้นทิลลาเบรีของไนเจอร์ สังหารทหารไนเจอร์อย่างน้อย 89 นาย
เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2020 ชาวไนเจอร์ได้ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งหลังจากที่อีซูฟูประกาศว่าจะลงจากตำแหน่ง ซึ่งเป็นการปูทางไปสู่การการเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างสันติ ไม่มีผู้สมัครคนใดได้รับคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาดในการลงคะแนนเสียง: โมฮาเหม็ด บาซูม ได้คะแนนใกล้เคียงที่สุดที่ 39.33% ตามรัฐธรรมนูญ ได้มีการจัดการเลือกตั้งรอบสองเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2021 โดยบาซูมได้รับคะแนนเสียง 55.75% และผู้สมัครฝ่ายค้าน (และอดีตประธานาธิบดี) มาฮามาเน อุสมาน ได้รับคะแนนเสียง 44.25% ตามข้อมูลของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ในช่วงต้นปี 2021 จากเหตุการณ์การสังหารหมู่ที่โชมา บังกูและซารุมดาเรเย กลุ่ม IS-GS เริ่มสังหารพลเรือนจำนวนมาก เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2021 นักรบ IS-GS ได้โจมตีหลายหมู่บ้านรอบ ๆ เมืองทิลเลีย สังหารผู้คนไป 141 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2021 กองกำลังความมั่นคงของไนเจอร์ได้ขัดขวางความพยายามรัฐประหารโดยหน่วยทหารในเมืองหลวงนีอาเม มีเสียงปืนดังขึ้นในทำเนียบประธานาธิบดี การโจมตีเกิดขึ้นสองวันก่อนที่ประธานาธิบดีที่เพิ่งได้รับเลือกตั้ง โมฮาเหม็ด บาซูม จะมีกำหนดสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง กองกำลังพิทักษ์ประธานาธิบดีได้จับกุมผู้คนบางส่วนระหว่างเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2021 บาซูมได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีไนเจอร์
2.4.6. รัฐประหารปี 2023 และรัฐบาลทหาร (ค.ศ. 2023-ปัจจุบัน)
ในช่วงค่ำของวันที่ 26 กรกฎาคม 2023 การรัฐประหารโดยทหารได้โค่นล้มประธานาธิบดีบาซูม เป็นการสิ้นสุดสาธารณรัฐที่เจ็ดและรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอูโฮอูมูดู มาฮามาดู เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม นายพลอับดูราอามาน ชียานี ได้รับการประกาศให้เป็นประมุขแห่งรัฐโดยพฤตินัยของประเทศ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อาลี ลามีน แซน ได้รับการประกาศให้เป็นนายกรัฐมนตรีไนเจอร์คนใหม่
การรัฐประหารครั้งนี้ถูกประณามโดยECOWAS ซึ่งในวิกฤตการณ์ไนเจอร์ พ.ศ. 2566 ได้ขู่ว่าจะใช้การแทรกแซงทางทหารเพื่อฟื้นฟูรัฐบาลของบาซูม หากผู้นำรัฐประหารไม่ดำเนินการภายในวันที่ 6 สิงหาคม เส้นตายผ่านไปโดยไม่มีการแทรกแซงทางทหาร แม้ว่า ECOWAS จะกำหนดมาตรการคว่ำบาตร รวมถึงการตัดการส่งออกพลังงานของไนจีเรียไปยังไนเจอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยจัดหาพลังงาน 70-90% ของไนเจอร์ ในเดือนพฤศจิกายน รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารของมาลี บูร์กินาฟาโซ และไนเจอร์ ได้จัดตั้งพันธมิตรรัฐซาเฮล เพื่อต่อต้านการแทรกแซงทางทหารที่อาจเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2024 มาตรการคว่ำบาตรของ ECOWAS หลายประการต่อไนเจอร์ถูกยกเลิก โดยมีรายงานว่าเป็นเหตุผลด้านมนุษยธรรมและการทูต และไนจีเรียตกลงที่จะกลับมาส่งออกไฟฟ้าไปยังไนเจอร์อีกครั้ง
ในช่วงก่อนถึงเส้นตายเดือนสิงหาคมของ ECOWAS คณะรัฐประหารได้ขอความช่วยเหลือจากกลุ่มกลุ่มวากเนอร์ของรัสเซีย แม้ว่าจะไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าทหารรับจ้างของวากเนอร์ได้เข้ามาในประเทศหรือไม่ ในเดือนตุลาคม คณะรัฐประหารได้ขับไล่ทหารฝรั่งเศสออกจากประเทศ โดยอ้างว่าเป็นการก้าวไปสู่ความเป็นอิสระจากอดีตมหาอำนาจอาณานิคม และในเดือนธันวาคม ได้ระงับความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส โดยกล่าวหาว่าองค์การฯ ส่งเสริมผลประโยชน์ของฝรั่งเศส ลูอิส ออบิน ผู้ประสานงานประจำของสหประชาชาติ ก็ถูกขับไล่ออกในเดือนตุลาคม หลังจากที่คณะรัฐประหารกล่าวหาว่าอันโตนิโอ กูเตเรส เลขาธิการสหประชาชาติ "ดำเนินการอย่างลับๆ" เพื่อขัดขวางการมีส่วนร่วมของประเทศในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ในเดือนตุลาคม สหรัฐอเมริกาได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าการยึดอำนาจครั้งนี้เป็นการรัฐประหาร โดยระงับความร่วมมือทางทหารส่วนใหญ่ระหว่างไนเจอร์-สหรัฐฯ รวมถึงโครงการช่วยเหลือจากต่างประเทศมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ ในเดือนเมษายน 2024 ผู้ฝึกสอนทางทหารและยุทโธปกรณ์ของรัสเซียเริ่มเดินทางมาถึงไนเจอร์ภายใต้ข้อตกลงทางทหารฉบับใหม่ และสหรัฐฯ ตกลงที่จะถอนทหารออกจากไนเจอร์ หลังจากการยกเลิกข้อตกลงไนเจอร์-สหรัฐฯ ที่อนุญาตให้บุคลากรของสหรัฐฯ ประจำการในประเทศได้
3. ภูมิศาสตร์
ไนเจอร์เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในแอฟริกาตะวันตก ตั้งอยู่ตามแนวพรมแดนระหว่างทะเลทรายซาฮาราและภูมิภาคใต้สะฮารา มีพรมแดนติดกับไนจีเรียและเบนินทางใต้ บูร์กินาฟาโซและมาลีทางตะวันตก แอลจีเรียและลิเบียทางเหนือ และชาดทางตะวันออก


ไนเจอร์ตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 11° ถึง 24° เหนือ และลองจิจูด 0° ถึง 16° ตะวันออก มีพื้นที่ 1.27 M km2 ซึ่งเป็นพื้นน้ำ 300 km2 ทำให้มีขนาดเล็กกว่าสองเท่าของฝรั่งเศส และเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 21 ของโลก
ไนเจอร์มีพรมแดนติดกับเจ็ดประเทศและมีเส้นรอบวงทั้งหมด 5.70 K km พรมแดนที่ยาวที่สุดคือพรมแดนกับไนจีเรียทางใต้ (1.50 K km) รองลงมาคือชาดทางตะวันออกที่ 1.18 K km แอลจีเรียทางตะวันตกเฉียงเหนือ (956 km) และมาลีที่ 821 km ไนเจอร์มีพรมแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ติดกับบูร์กินาฟาโซที่ 628 km และเบนินที่ 266 km และทางตะวันออกเฉียงเหนือติดกับลิเบียที่ 354 km
จุดต่ำสุดในไนเจอร์คือแม่น้ำไนเจอร์ มีความสูง 200 m จุดสูงสุดคือเขามงอีดูกาล-น-ตาเกสในเทือกเขาแอร์ ที่ความสูง 2.02 K m
ภูมิประเทศของไนเจอร์ส่วนใหญ่เป็นที่ราบทะเลทรายและเนินทราย โดยมีทุ่งหญ้าสะวันนาแบบเรียบถึงเป็นลูกคลื่นทางตอนใต้และเนินเขาทางตอนเหนือ
3.1. สภาพภูมิอากาศ
สภาพภูมิอากาศที่ร้อนและแห้งแล้งกว่าภายในพื้นที่ทะเลทรายทำให้เกิดไฟป่าบ่อยครั้งขึ้นในบางภูมิภาค ทางตอนใต้มีสภาพภูมิอากาศแบบเขตร้อนบริเวณขอบลุ่มแม่น้ำไนเจอร์
3.2. ความหลากหลายทางชีวภาพ

อาณาเขตของไนเจอร์ประกอบด้วยเขตชีวภูมิภาคทางบก 5 แห่ง ได้แก่ ทุ่งหญ้าสะวันนาอะคาเซียซาเฮล ทุ่งหญ้าสะวันนาซูดานตะวันตก ทุ่งหญ้าสะวันนาน้ำท่วมทะเลสาบชาด ทุ่งหญ้าสเตปป์และป่าไม้ซาฮาราใต้ และป่าไม้ซีริกภูเขาซาฮาราตะวันตก
ทางตอนเหนือปกคลุมด้วยทะเลทรายและกึ่งทะเลทราย สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไปประกอบด้วย ละมั่งแอดแดกซ์ ออริกซ์เขาดาบ กาเซลล์ และในภูเขาคือแกะบาร์บารี เขตอนุรักษ์ธรรมชาติแห่งชาติแอร์และเตเนเรก่อตั้งขึ้นทางตอนเหนือเพื่อคุ้มครองสัตว์เหล่านี้
พื้นที่ทางตอนใต้โดยธรรมชาติแล้วถูกครอบงำด้วยทุ่งหญ้าสะวันนา อุทยานแห่งชาติ W ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนติดกับบูร์กินาฟาโซและเบนิน เป็น "หนึ่งในพื้นที่ที่สำคัญที่สุด" สำหรับสัตว์ป่าในแอฟริกาตะวันตก ซึ่งเรียกว่า WAP (W-อาร์ลี-เปนจารี) คอมเพล็กซ์ ที่นี่มีประชากรสิงโตแอฟริกาตะวันตกและหนึ่งในประชากรสุดท้ายของเสือชีตาห์แอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือ
สัตว์ป่าอื่น ๆ รวมถึงช้าง กระบือ ละมั่งโรน ละมั่งค็อบ และหมูป่า ยีราฟแอฟริกาตะวันตกพบได้ทางตอนเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่
ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมรวมถึงการทำฟาร์มแบบทำลายล้างอันเป็นผลมาจากแรงกดดันด้านประชากร การล่าสัตว์อย่างผิดกฎหมาย ไฟป่าในบางพื้นที่ และการบุกรุกของมนุษย์เข้าไปในที่ราบน้ำท่วมถึงของแม่น้ำไนเจอร์เพื่อทำนาข้าว เขื่อนที่สร้างขึ้นบนแม่น้ำไนเจอร์ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาลีและกินี และภายในไนเจอร์เอง ถูกอ้างว่าเป็นสาเหตุของการลดลงของการไหลของน้ำในแม่น้ำไนเจอร์ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อม "การขาดแคลนเจ้าหน้าที่ที่เพียงพอ" ในการดูแลสัตว์ป่าในอุทยานและเขตอนุรักษ์เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ถูกอ้างถึงสำหรับการสูญเสียสัตว์ป่า
การฟื้นฟูธรรมชาติโดยเกษตรกร (Farmer-managed natural regeneration) ได้รับการปฏิบัติมาตั้งแต่ปี 1983 เพื่อเพิ่มการผลิตอาหารและไม้ และความยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศสุดขั้ว
3.3. ปัญหาสิ่งแวดล้อม
ไนเจอร์เผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการขยายตัวของทะเลทราย ซึ่งคุกคามพื้นที่เกษตรกรรมและแหล่งน้ำ ภัยแล้งที่เกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ ทำให้สถานการณ์การขาดแคลนน้ำรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่พึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก ความพยายามในการรับมือกับปัญหาเหล่านี้รวมถึงโครงการปลูกป่า การจัดการทรัพยากรน้ำที่ดีขึ้น และการส่งเสริมแนวทางการเกษตรที่ยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ความท้าทายเหล่านี้ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ และจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือทั้งในระดับชาติและนานาชาติเพื่อหาทางออกที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรของชุมชนท้องถิ่นและการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
4. การเมืองการปกครอง
ระบบการเมืองของไนเจอร์ก่อนการรัฐประหารปี 2023 เป็นสาธารณรัฐแบบระบบกึ่งประธานาธิบดี แต่หลังจากนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบทหาร โครงสร้างรัฐบาล รัฐธรรมนูญ กลุ่มการเมืองหลัก และแนวโน้มทางการเมืองล่าสุดล้วนได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนี้ ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศ

4.1. โครงสร้างรัฐบาล
ก่อนการรัฐประหารปี 2023 ไนเจอร์ปกครองด้วยระบบกึ่งประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญปี 2010 ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีวาระ 5 ปี และสามารถดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 วาระ เป็นประมุขแห่งรัฐและผู้บัญชาการทหารสูงสุด นายกรัฐมนตรีได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีและเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร รับผิดชอบต่อรัฐสภา ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นระบบสภาเดียว คือ สมัชชาแห่งชาติ (Assemblée Nationale) มีสมาชิก 171 คน มาจากการเลือกตั้งในระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อและระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด มีวาระ 5 ปี ฝ่ายตุลาการประกอบด้วยศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลอื่น ๆ
หลังการรัฐประหารเดือนกรกฎาคม 2023 สภาแห่งชาติเพื่อการพิทักษ์ปิตุภูมิ (Conseil national pour la sauvegarde de la patrie - CNSP) ซึ่งเป็นคณะทหารได้เข้ายึดอำนาจ อับดูราอามาน ชียานี ผู้นำคณะรัฐประหาร ได้ประกาศตนเป็นประมุขแห่งรัฐ รัฐธรรมนูญปี 2010 ถูกระงับ และรัฐสภาถูกยุบ มีการแต่งตั้งอาลี ลามีน แซน เป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลทหาร โครงสร้างและอำนาจของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะทหาร ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจและกระบวนการประชาธิปไตย
4.2. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ไนเจอร์ดำเนินนโยบายต่างประเทศในระดับปานกลางและรักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรกับชาติตะวันตก โลกอิสลาม และประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เป็นสมาชิกของสหประชาชาติและหน่วยงานเฉพาะทางหลัก ๆ และเคยดำรงตำแหน่งในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในช่วงปี 1980-81 ไนเจอร์มีความสัมพันธ์พิเศษกับฝรั่งเศส อดีตเจ้าอาณานิคม และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศเพื่อนบ้านในแอฟริกาตะวันตก
ไนเจอร์เป็นสมาชิกกฎบัตรของสหภาพแอฟริกาและสหภาพเศรษฐกิจและการเงินแอฟริกาตะวันตก (UEMOA) และยังเป็นสมาชิกขององค์การจัดการลุ่มแม่น้ำไนเจอร์ (Niger Basin Authority) และคณะกรรมาธิการลุ่มทะเลสาบชาด (Lake Chad Basin Commission) ประชาคมเศรษฐกิจรัฐแอฟริกาตะวันตก (ECOWAS) ขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (NAM) องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) และองค์การเพื่อความสอดคล้องของกฎหมายธุรกิจในแอฟริกา (OHADA) พื้นที่ทางตะวันตกสุดของไนเจอร์เชื่อมโยงกับพื้นที่ต่อเนื่องของมาลีและบูร์กินาฟาโซภายใต้องค์การลิปตาโก-กูร์มา (Liptako-Gourma Authority)
ข้อพิพาทชายแดนกับเบนินซึ่งสืบทอดมาจากยุคอาณานิคมและเกี่ยวข้องกับเกาะเลเต (Lété Island) ในแม่น้ำไนเจอร์ ได้รับการตัดสินโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2005 โดยไนเจอร์เป็นฝ่ายได้เปรียบ
หลังการรัฐประหารปี 2023 ความสัมพันธ์ของไนเจอร์กับ ECOWAS และประเทศตะวันตกหลายประเทศตึงเครียดขึ้น ECOWAS ได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตร ในขณะที่ไนเจอร์ได้กระชับความสัมพันธ์กับรัฐบาลทหารในมาลีและบูร์กินาฟาโซ จัดตั้งพันธมิตรรัฐซาเฮล และหันไปสร้างความร่วมมือกับรัสเซียมากขึ้น ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสเสื่อมถอยลงอย่างมาก นำไปสู่การถอนทหารฝรั่งเศสและการระงับความร่วมมือบางด้าน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สะท้อนถึงการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคซาเฮล โดยมีประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยเป็นข้อกังวลสำคัญของประชาคมระหว่างประเทศ
4.3. การทหาร

กองทัพไนเจอร์ (Forces armées nigériennes - FAN) ประกอบด้วยกองทัพบก (Armée de Terre) กองทัพอากาศ (Armée de l'Air) และกองกำลังกึ่งทหาร ได้แก่ กองกำลังกึ่งทหารแห่งชาติ (Gendarmerie Nationale) และกองกำลังป้องกันชาติ (Garde Nationale) ประธานาธิบดี (หรือผู้นำทหารในปัจจุบัน) เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองกำลังกึ่งทหารทั้งสองหน่วยได้รับการฝึกฝนแบบทหารและมีหน้าที่ทางทหารในยามสงคราม ส่วนในยามสงบ หน้าที่หลักคือการรักษาความสงบเรียบร้อย
กองทัพมีกำลังพลประมาณ 12,900 นาย ประกอบด้วยสารวัตรทหาร 3,700 นาย กองกำลังป้องกันชาติ 3,200 นาย ทหารอากาศ 300 นาย และทหารบก 6,000 นาย กองทัพไนเจอร์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรัฐประหารหลายครั้ง โดยครั้งล่าสุดคือปี 2023 กองทัพไนเจอร์มีประวัติความร่วมมือทางทหารที่ยาวนานกับฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 2013 นีอาเมเป็นที่ตั้งของฐานโดรนของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม หลังการรัฐประหารปี 2023 รัฐบาลทหารไนเจอร์ได้ประกาศยุติข้อตกลงความร่วมมือทางทหารกับสหรัฐอเมริกาในเดือนมีนาคม 2024 และก่อนหน้านั้นก็ได้ยุติความร่วมมือทางทหารกับฝรั่งเศส นำไปสู่การถอนทหารของทั้งสองประเทศ ไนเจอร์ได้หันไปกระชับความร่วมมือทางทหารกับรัสเซียแทน
ภารกิจหลักของกองทัพไนเจอร์คือการป้องกันประเทศ รักษาความมั่นคงภายใน และเข้าร่วมปฏิบัติการรักษาสันติภาพระหว่างประเทศ ไนเจอร์ได้ส่งกองกำลังเข้าร่วมภารกิจรักษาสันติภาพในหลายประเทศในแอฟริกา นอกจากนี้ กองทัพยังมีบทบาทสำคัญในการต่อต้านการก่อการร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับมือกับกลุ่มติดอาวุธญิฮาดในภูมิภาคซาเฮล ซึ่งเป็นความท้าทายด้านความมั่นคงที่สำคัญของประเทศ
4.4. ระบบตุลาการและการบังคับใช้กฎหมาย
ระบบตุลาการของไนเจอร์ก่อนการรัฐประหารปี 2023 ตั้งอยู่บนพื้นฐานของระบบกฎหมายซีวิลลอว์ (Civil Law) ที่ได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศส โครงสร้างศาลประกอบด้วยศาลฎีกา (Supreme Court) ซึ่งเป็นศาลสูงสุด ศาลอุทธรณ์ (Court of Appeals) และศาลชั้นต้นต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีศาลรัฐธรรมนูญ (Constitutional Court) ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย และศาลยุติธรรมสูง (High Court of Justice) ซึ่งมีอำนาจพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ หลักการใช้กฎหมายยึดโยงกับรัฐธรรมนูญปี 2010 และประมวลกฎหมายต่าง ๆ
หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายหลัก ได้แก่ ตำรวจแห่งชาติ (National Police) ซึ่งรับผิดชอบการรักษาความสงบเรียบร้อยในเขตเมืองเป็นหลัก และกองกำลังกึ่งทหารแห่งชาติ (Gendarmerie Nationale) ซึ่งดูแลพื้นที่ชนบทและปฏิบัติหน้าที่คล้ายตำรวจ กองกำลังป้องกันชาติ (National Guard) ก็มีบทบาทในการสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายเช่นกัน
หลังการรัฐประหารปี 2023 การทำงานของระบบตุลาการและการบังคับใช้กฎหมายได้รับผลกระทบอย่างมาก การระงับใช้รัฐธรรมนูญและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการและหลักนิติธรรม ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรม เช่น สิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม การเข้าถึงทนายความ และการปฏิบัติต่อผู้ต้องหาและผู้ต้องขัง กลายเป็นข้อกังวลที่สำคัญมากขึ้นภายใต้การปกครองของทหาร
5. เขตการปกครอง
ไนเจอร์แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 7 แคว้น (régions) และ 1 เขตเมืองหลวง (capital district) คือนีอาเม แต่ละแคว้นตั้งชื่อตามเมืองหลวงของแคว้นนั้น ๆ ได้แก่
- แคว้นอากาเดซ (Agadez) - ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุด เป็นแคว้นที่ใหญ่ที่สุด ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของทะเลทรายซาฮาราและเทือกเขาแอร์ เป็นศูนย์กลางการทำเหมืองยูเรเนียมและวัฒนธรรมของชาวทัวเร็ก
- แคว้นดิฟฟา (Diffa) - ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้สุด ติดกับทะเลสาบชาดและไนจีเรีย เผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงจากกลุ่มโบโกฮาราม
- แคว้นดอสโซ (Dosso) - ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ ติดกับเบนินและไนจีเรีย เป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญ
- แคว้นมาราดี (Maradi) - ตั้งอยู่ทางตอนใต้ตอนกลาง ติดกับไนจีเรีย เป็นศูนย์กลางการค้าและเกษตรกรรมที่สำคัญ มีประชากรหนาแน่น
- นีอาเม (Niamey) - เขตเมืองหลวง เป็นที่ตั้งของเมืองหลวงและศูนย์กลางการบริหาร เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของประเทศ
- แคว้นทาฮัว (Tahoua) - ตั้งอยู่ทางตะวันตกตอนกลาง เป็นพื้นที่เกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว์ที่สำคัญ
- แคว้นทิลลาเบรี (Tillabéri) - ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ ล้อมรอบเขตเมืองหลวงนีอาเม เป็นพื้นที่เกษตรกรรมริมแม่น้ำไนเจอร์
- แคว้นซินเดอร์ (Zinder) - ตั้งอยู่ทางตอนใต้ตอนกลางค่อนไปทางตะวันออก เคยเป็นเมืองหลวงเก่าและยังคงเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและการค้าที่สำคัญ
แคว้นเหล่านี้ยังแบ่งย่อยลงไปอีกเป็น 63 จังหวัด (départements) และจังหวัดก็แบ่งย่อยลงไปอีกเป็น เทศบาล (communes) ซึ่งมีทั้งหมด 265 แห่ง ณ ปี ค.ศ. 2006 เทศบาลแบ่งออกเป็นเทศบาลเมือง (communes urbaines) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมืองใหญ่ และเทศบาลชนบท (communes rurales) ในพื้นที่ที่มีประชากรเบาบาง นอกจากนี้ยังมีหน่วยการปกครองที่เรียกว่า "ปอสต์ อัดมีนีสตราตีฟ" (postes administratifs) สำหรับพื้นที่ทะเลทรายที่ไม่มีคนอาศัยอยู่หรือเขตทหาร
ระบบการแบ่งเขตการปกครองนี้ได้รับการปรับปรุงในปี ค.ศ. 2002 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการกระจายอำนาจที่เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1998 ก่อนหน้านั้น ไนเจอร์แบ่งออกเป็น 7 จังหวัด 36 อำเภอ (arrondissements) และเทศบาล โดยเจ้าหน้าที่ในหน่วยการปกครองเหล่านี้ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลกลาง แต่ในอนาคตมีแผนที่จะแทนที่ด้วยสภาที่มาจากการเลือกตั้งในทุกระดับ
5.1. เมืองสำคัญ
เมืองสำคัญในไนเจอร์ นอกจากเมืองหลวงนีอาเมแล้ว ยังมีเมืองอื่น ๆ ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ได้แก่:
- นีอาเม (Niamey): เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไนเจอร์ทางตะวันตกเฉียงใต้ เป็นศูนย์กลางการบริหาร การค้า อุตสาหกรรม และวัฒนธรรม มีประชากรประมาณ 1 ล้านคน (จากการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2012)
- มาราดี (Maradi): ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศใกล้ชายแดนไนจีเรีย เป็นเมืองใหญ่อันดับสองและเป็นศูนย์กลางการค้าและการเกษตรที่สำคัญ โดยเฉพาะถั่วลิสงและฝ้าย มีประชากรประมาณ 267,000 คน (ปี 2012)
- ซินเดอร์ (Zinder): ตั้งอยู่ทางตอนใต้ตอนกลาง เป็นเมืองใหญ่อันดับสามและเคยเป็นเมืองหลวงของไนเจอร์ในสมัยอาณานิคมฝรั่งเศสจนถึงปี 1926 ยังคงเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและการค้าที่สำคัญ มีสถาปัตยกรรมแบบเฮาซาที่โดดเด่น มีประชากรประมาณ 235,000 คน (ปี 2012)
- ทาฮัว (Tahoua): ตั้งอยู่ทางตะวันตกตอนกลาง เป็นศูนย์กลางการค้าปศุสัตว์และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร มีประชากรประมาณ 117,000 คน (ปี 2012)
- อากาเดซ (Agadez): ตั้งอยู่ทางตอนเหนือในเขตทะเลทรายซาฮารา เป็นเมืองประวัติศาสตร์และศูนย์กลางของชาวทัวเร็ก มีความสำคัญในฐานะจุดพักบนเส้นทางการค้าข้ามทะเลทรายซาฮารามาแต่โบราณ และเป็นที่ตั้งของมัสยิดใหญ่แห่งอากาเดซซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมดินเหนียวที่มีชื่อเสียง ย่านประวัติศาสตร์ของอากาเดซได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก มีประชากรประมาณ 110,000 คน (ปี 2012)
- อาร์ลิต (Arlit): ตั้งอยู่ทางตอนเหนือในแคว้นอากาเดซ เป็นเมืองสำคัญด้านอุตสาหกรรมเหมืองแร่ โดยเฉพาะยูเรเนียม มีประชากรประมาณ 78,000 คน (ปี 2012)
6. เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของไนเจอร์มีลักษณะพึ่งพาเกษตรกรรมเพื่อยังชีพเป็นหลัก โดยประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว์ อย่างไรก็ตาม ผลผลิตทางการเกษตรมักได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและการขยายตัวของทะเลทราย นอกจากนี้ ไนเจอร์ยังเป็นหนึ่งในผู้ผลิตยูเรเนียมรายใหญ่ของโลก ซึ่งเป็นแหล่งรายได้จากการส่งออกที่สำคัญ แต่ก็ทำให้เศรษฐกิจมีความเปราะบางต่อความผันผวนของราคาในตลาดโลก ประเทศมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และรายได้ต่อหัวอยู่ในระดับต่ำมาก ตัวอย่างเช่น ในปี 2561 GDP (PPP) อยู่ที่ประมาณ 23.475 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ GDP (PPP) ต่อหัวอยู่ที่ 1,213 ดอลลาร์สหรัฐ อัตราความยากจนสูง และต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก นโยบายเศรษฐกิจและการกระจายรายได้ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญ โดยมีผลกระทบทางสังคมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะต่อกลุ่มเปราะบาง สกุลเงินที่ใช้คือ ฟรังก์ซีเอฟเอตะวันตกแอฟริกา (XOF)
6.1. เกษตรกรรมและปศุสัตว์
เกษตรกรรมเป็นภาคส่วนหลักของเศรษฐกิจไนเจอร์ พืชอาหารที่สำคัญได้แก่ ข้าวฟ่างเมล็ดกลม (millet) ข้าวฟ่างหางม้า (sorghum) และมันสำปะหลัง (cassava) ซึ่งเป็นอาหารหลักของประชากรส่วนใหญ่ ส่วนพืชเศรษฐกิจที่สำคัญคือ ถั่วลิสง หัวหอม (โดยเฉพาะจากแคว้นกาเลมิ ซึ่งมีชื่อเสียงด้านคุณภาพ) และถั่วปากอ้า (cowpeas) การผลิตทางการเกษตรยังคงใช้เทคโนโลยีแบบดั้งเดิมและพึ่งพาน้ำฝนเป็นหลัก ทำให้ผลผลิตมีความไม่แน่นอนสูงและได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยแล้งที่เกิดบ่อยครั้ง
การเลี้ยงปศุสัตว์มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับชนเผ่าเร่ร่อน เช่น ชาวฟูลานีและชาวทัวเร็ก สัตว์เลี้ยงที่สำคัญได้แก่ วัว แกะ แพะ และอูฐ ปศุสัตว์เป็นแหล่งอาหาร โปรตีน และรายได้ รวมถึงเป็นเครื่องแสดงฐานะทางสังคม ผลิตภัณฑ์จากปศุสัตว์ เช่น เนื้อ นม และหนังสัตว์ มีการบริโภคภายในประเทศและส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
ผลกระทบต่อประชากรในชนบทมีความสำคัญมาก เนื่องจากคนส่วนใหญ่พึ่งพาเกษตรกรรมและปศุสัตว์ในการดำรงชีพ ความมั่นคงทางอาหารเป็นปัญหาใหญ่หลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผลผลิตทางการเกษตรล้มเหลว สิทธิของเกษตรกรรายย่อยในการเข้าถึงที่ดิน ทรัพยากรน้ำ และตลาด ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องได้รับการแก้ไข เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและลดความเปราะบางของประชากรกลุ่มนี้
6.2. เหมืองแร่

ไนเจอร์อุดมไปด้วยทรัพยากรแร่ธาตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยูเรเนียม ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกมาเป็นเวลานาน เหมืองยูเรเนียมหลักตั้งอยู่ในแคว้นอากาเดซ เช่น เหมืองอาร์ลิต (Arlit) และเหมืองอาคูตา (Akouta) ซึ่งเคยดำเนินการโดยบริษัทต่างชาติร่วมกับรัฐบาลไนเจอร์ ยูเรเนียมเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญที่สุดของประเทศและเป็นแหล่งรายได้เงินตราต่างประเทศหลัก อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมนี้เผชิญกับความท้าทายจากความผันผวนของราคาในตลาดโลก และข้อกังวลด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของคนงาน
นอกจากยูเรเนียมแล้ว ไนเจอร์ยังมีทรัพยากรแร่ธาตุอื่น ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ทองคำ ซึ่งมีการทำเหมืองในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในแคว้นทิลลาเบรีและอากาเดซ ทั้งการทำเหมืองขนาดใหญ่และเหมือง artisanal (เหมืองพื้นบ้าน) ถ่านหิน พบในบริเวณใกล้เคียงกับแหล่งยูเรเนียมและถูกนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าสำหรับเหมือง ปิโตรเลียม มีการค้นพบและเริ่มผลิตในแอ่งดิฟฟา (Diffa) ทางตะวันออกของประเทศ และมีโรงกลั่นน้ำมันขนาดเล็กเพื่อตอบสนองความต้องการภายในประเทศ นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุอื่น ๆ เช่น ฟอสเฟต เหล็ก หินปูน และยิปซัม แต่ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ
การจัดการทรัพยากรแร่ธาตุเป็นประเด็นสำคัญ แม้ว่าการส่งออกแร่ธาตุจะสร้างรายได้ให้ประเทศ แต่ผลประโยชน์ที่กระจายไปยังประชากรโดยรวมยังคงมีจำกัด ผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมือง เช่น สิทธิแรงงาน ความปลอดภัยในการทำงาน การพลัดถิ่นของชุมชน และมลพิษ ยังคงเป็นข้อกังวลที่ต้องได้รับการดูแลอย่างจริงจัง เพื่อให้การใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นไปอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม
6.3. การคมนาคมขนส่ง
โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในไนเจอร์ยังคงด้อยพัฒนาและเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลและมีพื้นที่กว้างใหญ่ ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย
- ถนน: เครือข่ายถนนเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า ถนนส่วนใหญ่ยังไม่ลาดยาง โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและห่างไกล ถนนสายหลักที่เชื่อมต่อเมืองสำคัญ เช่น นีอาเม มาราดี ซินเดอร์ และอากาเดซ ได้รับการปรับปรุงบ้าง แต่ยังคงต้องการการพัฒนาอีกมาก สภาพถนนที่ไม่ดีส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการขนส่งสูงและใช้เวลานาน
- การขนส่งทางอากาศ: ท่าอากาศยานนานาชาติดิออรี อามานีในกรุงนีอาเมเป็นท่าอากาศยานหลักและประตูสู่การเดินทางระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีสนามบินขนาดเล็กในเมืองอื่น ๆ เช่น อากาเดซ และซินเดอร์ แต่ให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศและเที่ยวบินเช่าเหมาลำเป็นหลัก
- การขนส่งทางน้ำ: แม่น้ำไนเจอร์เป็นเส้นทางน้ำสำคัญทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ สามารถใช้ในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารได้ในบางช่วงของปีและในบางเส้นทาง แต่มีข้อจำกัดจากระดับน้ำที่เปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลและน้ำตื้นในบางจุด
- การขนส่งทางราง: ไนเจอร์ไม่มีระบบรางรถไฟที่ใช้งานเชิงพาณิชย์ แม้จะเคยมีโครงการเชื่อมต่อกับเครือข่ายรถไฟของประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ
ความท้าทายด้านโลจิสติกส์สำหรับไนเจอร์ในฐานะประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลมีสูงมาก การนำเข้าและส่งออกสินค้าต้องอาศัยท่าเรือของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เบนิน โตโก และไนจีเรีย ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมและต้องพึ่งพาความสัมพันธ์กับประเทศเหล่านั้น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการลดต้นทุน ลดความโดดเดี่ยว และส่งเสริมการค้าและการพัฒนาเศรษฐกิจของไนเจอร์
6.4. ความยากจนและความมั่นคงทางอาหาร
ไนเจอร์เป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก โดยมีอัตราความยากจนเรื้อรังสูงมาก ประชากรส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ประสบปัญหาการขาดแคลนอาหารและภาวะทุพโภชนาการอย่างรุนแรง ความมั่นคงทางอาหารเป็นความท้าทายที่สำคัญและซับซ้อน ซึ่งได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย:
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: ภัยแล้งที่เกิดบ่อยครั้งและยาวนานขึ้น รวมถึงปริมาณน้ำฝนที่ไม่แน่นอน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งเป็นแหล่งอาหารและรายได้หลักของประชากรส่วนใหญ่ การขยายตัวของทะเลทรายยังทำให้พื้นที่เพาะปลูกลดน้อยลง
- การเพิ่มขึ้นของประชากร: ไนเจอร์มีอัตราการเจริญพันธุ์สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทำให้จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด เช่น ที่ดินและน้ำ และทำให้ความต้องการอาหารเพิ่มสูงขึ้น
- ความไม่มั่นคงทางการเมืองและสถานการณ์ความขัดแย้ง: ความไม่มั่นคงทางการเมือง การรัฐประหาร และกิจกรรมของกลุ่มติดอาวุธในภูมิภาคซาเฮล ส่งผลกระทบต่อการผลิตและการเข้าถึงอาหาร ทำให้ประชาชนต้องพลัดถิ่นและขัดขวางความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
ผลกระทบทางสังคมจากปัญหาเหล่านี้มีความรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก สตรี และผู้สูงอายุ ภาวะทุพโภชนาการในเด็กส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางร่างกายและสติปัญญาในระยะยาว ความพยายามในการบรรเทาทุกข์ทั้งจากภายในประเทศและจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น โครงการอาหารโลก (WFP) และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) มีบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือด้านอาหารและโภชนาการ แต่ความต้องการยังคงมีอยู่มหาศาล การแก้ไขปัญหาความยากจนและความมั่นคงทางอาหารในไนเจอร์จำเป็นต้องอาศัยแนวทางที่ครอบคลุม ทั้งการส่งเสริมการเกษตรที่ทนทานต่อสภาพอากาศ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างสันติภาพและเสถียรภาพทางการเมือง รวมถึงการเสริมสร้างศักยภาพของชุมชนให้สามารถรับมือกับวิกฤตการณ์ได้
7. สังคม
สังคมไนเจอร์มีลักษณะทางประชากรศาสตร์ที่โดดเด่นด้วยอัตราการเกิดที่สูงมาก ทำให้มีโครงสร้างประชากรที่เยาว์วัย ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายที่มีภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาหลัก ระบบการศึกษาและสาธารณสุขยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างมากในการให้บริการที่มีคุณภาพและครอบคลุมแก่ประชาชน
7.1. ประชากร

ณ ปี ค.ศ. 2021 ประชากรของไนเจอร์มีประมาณ 25.25 ล้านคน ไนเจอร์มีอัตราการเติบโตของประชากรที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีอัตราการเกิดเฉลี่ยประมาณ 7.1 คนต่อสตรีหนึ่งคน (ข้อมูลปี 2017) ซึ่งเป็นผลมาจากการแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย การเข้าถึงการวางแผนครอบครัวที่จำกัด และบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมที่ส่งเสริมครอบครัวขนาดใหญ่ การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากรนี้สร้างแรงกดดันอย่างมากต่อทรัพยากรธรรมชาติ บริการสาธารณะ และโอกาสทางเศรษฐกิจ
โครงสร้างอายุประชากรของไนเจอร์มีลักษณะเยาว์วัยมาก โดยประมาณครึ่งหนึ่งของประชากร (49.2%) มีอายุต่ำกว่า 15 ปี (ข้อมูลปี 2020) ซึ่งหมายความว่ามีภาระการพึ่งพิงสูง และต้องการการลงทุนจำนวนมากในด้านการศึกษา สาธารณสุข และการสร้างงานสำหรับเยาวชนในอนาคต ในขณะเดียวกัน ประชากรสูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) มีสัดส่วนน้อยมาก (ประมาณ 2.7%)
อัตราการขยายตัวของเมืองกำลังเพิ่มขึ้น แต่ประชากรส่วนใหญ่ (ประมาณ 80%) ยังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท การอพยพจากชนบทเข้าสู่เมืองเป็นผลมาจากการแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจและการหลีกหนีจากความยากลำบากในภาคเกษตรกรรม อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วก็สร้างความท้าทายในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ที่อยู่อาศัย และการบริการสาธารณะในเขตเมืองเช่นกัน
ผลกระทบของการเติบโตของประชากรอย่างรวดเร็วต่อการพัฒนาสังคมของไนเจอร์มีหลายด้าน รวมถึงความท้าทายในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน การลดความยากจน การปรับปรุงสุขภาพและโภชนาการ การขยายการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ และการสร้างความมั่นคงทางอาหารและสิ่งแวดล้อม
7.2. กลุ่มชาติพันธุ์

ไนเจอร์เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูง ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์หลัก ๆ ดังนี้:
- ชาวเฮาซา (Hausa): เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็นประมาณ 55.4% ของประชากร (สำมะโนปี 2001) อาศัยอยู่หนาแน่นทางตอนใต้ของประเทศ โดยเฉพาะในแคว้นมาราดี ซินเดอร์ และทาฮัว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคเฮาซาแลนด์ที่กว้างขวางซึ่งครอบคลุมถึงตอนเหนือของไนจีเรีย ชาวเฮาซามีชื่อเสียงด้านการค้าและการเกษตร
- ชาวซาร์มา (Zarma) และ ชาวซองไฮ (Songhai): รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่อันดับสอง คิดเป็นประมาณ 21% ของประชากร อาศัยอยู่ส่วนใหญ่ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ บริเวณลุ่มแม่น้ำไนเจอร์ รวมถึงเมืองหลวงนีอาเม และแคว้นทิลลาเบรีและดอสโซ มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกี่ยวข้องกับจักรวรรดิซองไฮ
- ชาวทัวเร็ก (Tuareg): คิดเป็นประมาณ 9.3% ของประชากร เป็นกลุ่มชนเร่ร่อนและกึ่งเร่ร่อน อาศัยอยู่ส่วนใหญ่ในพื้นที่ทะเลทรายทางตอนเหนือ โดยเฉพาะในแคว้นอากาเดซและเทือกเขาแอร์ มีวัฒนธรรมและภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ และมีบทบาทสำคัญในการค้าข้ามทะเลทรายซาฮาราในอดีต
- ชาวฟูลานี (Fulani หรือ Peul, Fulɓe): คิดเป็นประมาณ 8.5% ของประชากร เป็นกลุ่มชนเลี้ยงสัตว์ที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ ทั้งในเขตซาเฮลและพื้นที่เกษตรกรรมทางตอนใต้ มีกลุ่มย่อยที่สำคัญคือโวดาเบ (Wodaabe) ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านเทศกาลเกเรวอล
- ชาวคานูรี (Kanuri Manga): คิดเป็นประมาณ 4.7% ของประชากร อาศัยอยู่หนาแน่นในแคว้นดิฟฟาทางตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีประวัติศาสตร์เชื่อมโยงกับจักรวรรดิคาเน็ม-บอร์นู
- กลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ: รวมถึง ชาวทูบู (Tubu) (0.4%) ซึ่งอาศัยอยู่ทางตะวันออกสุด ชาวอาหรับดิฟฟา (Diffa Arabs) (0.4%) ชาวกูร์มา (Gourmantché) (0.4%) ซึ่งอาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ใกล้ชายแดนบูร์กินาฟาโซ และกลุ่มอื่น ๆ (0.1%)
ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในไนเจอร์โดยทั่วไปเป็นไปด้วยดี แม้จะมีความตึงเครียดเกิดขึ้นบ้างในบางครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงทรัพยากร เช่น ที่ดินและน้ำ ระหว่างกลุ่มเกษตรกรและกลุ่มเลี้ยงสัตว์ รัฐบาลไนเจอร์ได้พยายามส่งเสริมความสามัคคีในชาติและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ การเคารพสิทธิของชนกลุ่มน้อยและการมีส่วนร่วมของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ในการตัดสินใจทางการเมืองและเศรษฐกิจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างสังคมที่เป็นธรรมและมีเสถียรภาพ
7.3. ภาษา
ภาษาฝรั่งเศส ซึ่งสืบทอดมาจากยุคอาณานิคม เป็นภาษาราชการของไนเจอร์ ใช้ในการบริหารราชการ การศึกษา และสื่อสารในระดับชาติ อย่างไรก็ตาม ภาษาฝรั่งเศสส่วนใหญ่พูดกันเป็นภาษาที่สองโดยประชากรส่วนน้อยที่ได้รับการศึกษาแบบตะวันตก
ไนเจอร์มีภาษาประจำชาติที่ได้รับการยอมรับ 10 ภาษา ได้แก่:
- ภาษาเฮาซา (Hausa): เป็นภาษาที่มีผู้พูดมากที่สุด ทั้งในฐานะภาษาแม่และภาษาที่สอง ใช้กันอย่างแพร่หลายในการค้าและชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะทางตอนใต้และตอนกลางของประเทศ
- ภาษาซาร์มา (Zarma) และ ภาษาซองไฮ (Songhay/Songhoyboro Ciine): เป็นกลุ่มภาษาที่ใช้กันอย่างกว้างขวางทางตะวันตกเฉียงใต้ รวมถึงในเมืองหลวงนีอาเม
- ภาษาฟูลฟูลเด (Fulfulde): เป็นภาษาของชาวฟูลานี ใช้พูดกันในหมู่ชุมชนชาวฟูลานีที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ
- ภาษาทามาเช็ก (Tamasheq): เป็นภาษาของชาวทัวเร็ก ใช้พูดกันทางตอนเหนือของประเทศ
- ภาษาคานูรี (Kanuri): ใช้พูดกันทางตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในแคว้นดิฟฟา
- ภาษาอาหรับ (Arabic): โดยเฉพาะสำเนียงถิ่นที่ใช้โดยชาวอาหรับดิฟฟา
- ภาษาบูดูมา (Buduma): ใช้พูดกันในหมู่เกาะทะเลสาบชาด
- ภาษากูร์มาเชมา (Gourmanchéma): ใช้พูดกันทางตะวันตกเฉียงใต้
- ภาษาตาซาวัก (Tasawaq): เป็นภาษาซองไฮเหนือ ใช้พูดกันในบางพื้นที่
- ภาษาเตบู (Tebu): ใช้พูดกันทางตะวันออกสุด
นโยบายทางภาษาของไนเจอร์มุ่งส่งเสริมการใช้ภาษาประจำชาติควบคู่ไปกับภาษาฝรั่งเศส มีการใช้ภาษาประจำชาติในการเรียนการสอนระดับประถมศึกษาในบางโรงเรียน และในรายการวิทยุและโทรทัศน์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารไปยังประชาชนในวงกว้าง
7.4. ศาสนา
ไนเจอร์เป็นรัฐฆราวาส (secular state) และการแยกศาสนาออกจากรัฐได้รับการรับรองโดยมาตรา 3 และ 175 ของรัฐธรรมนูญปี 2010 ซึ่งกำหนดว่าการแก้ไขหรือปรับปรุงในอนาคตจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะฆราวาสของสาธารณรัฐไนเจอร์ เสรีภาพทางศาสนาได้รับการคุ้มครองโดยมาตรา 30 ของรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน ศาสนาอิสลามซึ่งแพร่หลายในภูมิภาคนี้มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 10 ได้หล่อหลอมวัฒนธรรมและจารีตประเพณีของชาวไนเจอร์อย่างมาก ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่โดดเด่นที่สุด โดยประชากรกว่า 99.3% นับถือศาสนานี้ตามสำมะโนประชากรปี 2012
ศาสนาหลักอีกสองศาสนาของไนเจอร์คือ ศาสนาคริสต์ ซึ่งมีผู้นับถือ 0.3% ของประชากร และศาสนาแอนิมิสต์ (ความเชื่อทางศาสนาพื้นเมืองดั้งเดิมของแอฟริกา) ซึ่งมีผู้นับถือ 0.2% ของประชากร นอกจากนี้ยังมีผู้ไม่นับถือศาสนาประมาณ 0.1% ศาสนาคริสต์ได้รับการสถาปนาขึ้นในประเทศก่อนหน้านี้โดยมิชชันนารีในช่วงปีอาณานิคมของฝรั่งเศส นอกจากนี้ยังมีชุมชนชาวต่างชาติที่นับถือศาสนาคริสต์ในเมืองจากยุโรปและแอฟริกาตะวันตก การประหัตประหารทางศาสนาได้ปะทุขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาในไนเจอร์ องค์กรการกุศลคริสเตียน Open Doors ได้จัดอันดับให้ไนเจอร์เป็นประเทศที่ยากลำบากที่สุดอันดับที่ 37 ในการเป็นคริสเตียนใน World Watch List ซึ่ง "สะท้อนให้เห็นว่าแรงกดดันต่อคริสเตียนในประเทศนี้เพิ่มขึ้นอย่างไร" ความสัมพันธ์ระหว่างชาวมุสลิมและชาวคริสต์โดยทั่วไปเป็นไปด้วยดี ตามที่ตัวแทนของกลุ่มคริสเตียนและมุสลิมในไนเจอร์กล่าว

จำนวนผู้ปฏิบัติตามศาสนาแอนิมิสต์ยังคงเป็นที่ถกเถียง เมื่อไม่นานมานี้ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 พื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนใต้ตอนกลางของประเทศยังไม่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาอิสลาม และการเปลี่ยนศาสนาของบางพื้นที่ชนบทยังเป็นเพียงบางส่วน ยังคงมีพื้นที่ที่เทศกาลและประเพณีตามศาสนาแอนิมิสต์ (เช่น ศาสนาโบริ) ยังคงปฏิบัติโดยชุมชนมุสลิมแบบผสมผสาน (ในบางพื้นที่ของชาวเฮาซา وكذلكในหมู่ชาวทูบูและโวดาเบที่เป็นคนเลี้ยงสัตว์) ซึ่งแตกต่างจากชุมชนเล็ก ๆ หลายแห่งที่ยังคงรักษาศาสนาก่อนอิสลามของตนไว้ ซึ่งรวมถึงชุมชนเมาอรี (หรือ อัซนา คำภาษาเฮาซาที่แปลว่า "คนนอกศาสนา") ที่พูดภาษาเฮาซาในเมืองโดกอนดูชีทางตะวันตกเฉียงใต้ตอนใต้ และชาวคานูรีที่พูดภาษาคานูรีใกล้เมืองซินเดอร์ ซึ่งทั้งสองกลุ่มปฏิบัติตามศาสนามากูซาวาก่อนอิสลามของชาวเฮาซาในรูปแบบต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีชุมชนแอนิมิสต์ขนาดเล็กของชาวบูดูมาและซองไฮทางตะวันตกเฉียงใต้ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การปฏิบัติแบบผสมผสานได้กลายเป็นเรื่องธรรมดาน้อยลงในหมู่ชุมชนมุสลิมไนเจอร์
7.4.1. ศาสนาอิสลาม

ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ในไนเจอร์เป็นนิกายซุนนี 7% เป็นนิกายชีอะฮ์ 5% เป็นนิกายอะห์มะดียะห์ และ 20% เป็นไม่สังกัดนิกาย ศาสนาอิสลามเริ่มเผยแผ่เข้ามาในดินแดนที่เป็นประเทศไนเจอร์ในปัจจุบันตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยผ่านการขยายตัวของจักรวรรดิซองไฮทางตะวันตก และอิทธิพลของการค้าข้ามทะเลทรายซาฮาราจากมาเกร็บและอียิปต์ การขยายตัวของชาวทัวเร็กจากทางเหนือ ซึ่งถึงจุดสูงสุดด้วยการยึดครองโอเอซิสทางตะวันออกไกลจากจักรวรรดิคาเน็ม-บอร์นูในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ได้เผยแพร่แนวปฏิบัติแบบเบอร์เบอร์ที่โดดเด่น
ทั้งพื้นที่ของชาวซาร์มาและชาวเฮาซาได้รับอิทธิพลอย่างมากจากภราดรภาพลัทธิศูฟีที่นำโดยชาวฟูลานีในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐเคาะลีฟะฮ์โซโคโต (ในประเทศไนจีเรียปัจจุบัน) การปฏิบัติศาสนาอิสลามสมัยใหม่ในไนเจอร์มักเชื่อมโยงกับภราดรภาพศูฟีตอรีกัตแบบตียานิยยะฮ์ แม้ว่าจะมีกลุ่มชนกลุ่มน้อยที่เชื่อมโยงกับคณะศูฟีแบบฮัมมัลลิสต์และนิยาสซิสต์ทางตะวันตก และซานูซียะฮ์ทางตะวันออกเฉียงเหนือไกล
ศูนย์กลางเล็ก ๆ ของผู้ติดตามขบวนการซะละฟีย์ภายในศาสนาอิสลามนิกายซุนนีได้ปรากฏตัวขึ้นในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา ในเมืองหลวงและในเมืองมาราดี กลุ่มเล็ก ๆ เหล่านี้ ซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่มที่คล้ายกันในเมืองโจส ประเทศไนจีเรีย ได้รับความสนใจจากสาธารณชนในช่วงทศวรรษ 1990 ระหว่างเหตุการณ์จลาจลทางศาสนาหลายครั้ง
อย่างไรก็ตาม ไนเจอร์ยังคงรักษาประเพณีของรัฐฆราวาส ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนามีความดีงาม และรูปแบบของศาสนาอิสลามที่ปฏิบัติกันโดยทั่วไปในประเทศส่วนใหญ่มีลักษณะของการอดทนต่อความเชื่ออื่น ๆ และไม่มีการจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ไนเจอร์ที่ผลิตในท้องถิ่น มีจำหน่ายอย่างเปิดเผยในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ
7.5. การศึกษา

ระบบการศึกษาของไนเจอร์แบ่งออกเป็นระดับประถมศึกษา (6 ปี) มัธยมศึกษา (ศึกษาต่อเนื่อง 4 ปีสำหรับมัธยมศึกษาตอนต้น และ 3 ปีสำหรับมัธยมศึกษาตอนปลาย) และอุดมศึกษา การศึกษาภาคบังคับคือ 6 ปีในระดับประถมศึกษา อัตราการรู้หนังสือของไนเจอร์อยู่ในกลุ่มที่ต่ำที่สุดในโลก โดยในปี 2005 คาดว่าอยู่ที่เพียง 28.7% (ชาย 42.9% และหญิง 15.1%) อัตราการเข้าเรียนและการคงอยู่ในโรงเรียน โดยเฉพาะสำหรับเด็กผู้หญิง ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ในปี 1997 อัตราการเข้าเรียนรวมในระดับประถมศึกษาอยู่ที่ 29.3% และในปี 1996 อัตราการเข้าเรียนสุทธิในระดับประถมศึกษาอยู่ที่ 24.5%
ประมาณ 60% ของเด็กที่จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาเป็นเด็กผู้ชาย เนื่องจากเด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้เข้าเรียนนานกว่าสองสามปี เด็ก ๆ มักถูกบังคับให้ทำงานแทนที่จะไปโรงเรียน โดยเฉพาะในช่วงฤดูเพาะปลูกหรือเก็บเกี่ยว เด็กเร่ร่อนทางตอนเหนือของประเทศมักไม่สามารถเข้าถึงโรงเรียนได้ คุณภาพของสภาพแวดล้อมทางการศึกษาก็เป็นปัญหาสำคัญ ทั้งการขาดแคลนครูที่ผ่านการฝึกอบรม สื่อการเรียนการสอน และโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม ความท้าทายเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และศักยภาพในการพัฒนาประเทศในระยะยาว
มหาวิทยาลัยหลักในประเทศคือมหาวิทยาลัยอับดู มูมูนี (เดิมชื่อ มหาวิทยาลัยนีอาเม) ก่อตั้งในปี 1971 และมหาวิทยาลัยอิสลามแห่งไซ (Islamic University of Say)
7.6. สาธารณสุข

ไนเจอร์เผชิญกับความท้าทายด้านสาธารณสุขอย่างรุนแรง ตัวชี้วัดทางสาธารณสุขที่สำคัญสะท้อนถึงสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง:
- อัตราการเสียชีวิตของทารกและเด็ก: ยังคงสูงมาก เป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดในโลก สาเหตุหลักมาจากการขาดสารอาหาร โรคติดเชื้อที่ป้องกันได้ และการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่จำกัด
- อายุขัยเฉลี่ย: อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อนและอัตราการเสียชีวิตสูงในทุกกลุ่มอายุ
- โรคที่สำคัญ: มาลาเรียเป็นโรคประจำถิ่นและเป็นสาเหตุสำคัญของการเจ็บป่วยและการเสียชีวิต โดยเฉพาะในเด็ก นอกจากนี้ยังมีโรคท้องร่วง โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ และโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความยากจนและสุขอนามัยที่ไม่ดี
- การเข้าถึงบริการทางการแพทย์: ประชากรส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและห่างไกล ประสบปัญหาในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ สถานพยาบาล และยาเป็นปัญหาสำคัญ
- ปัญหาน้ำดื่มและสุขอนามัย: การเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาดและระบบสุขาภิบาลที่ถูกสุขลักษณะยังอยู่ในระดับต่ำมาก ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคติดต่อทางน้ำและอาหาร
- อัตราการเกิดที่สูงและสุขภาพของมารดา: ไนเจอร์มีอัตราการเจริญพันธุ์สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมารดาและเด็ก อัตราการเสียชีวิตของมารดาจากการคลอดบุตรยังคงสูง เนื่องจากการขาดการดูแลระหว่างตั้งครรภ์ การคลอดบุตรที่ไม่ปลอดภัย และการเข้าถึงบริการฉุกเฉินทางสูติกรรมที่จำกัด
ความท้าทายด้านสาธารณสุขของไนเจอร์มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับความยากจน การขาดการศึกษา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความไม่มั่นคงทางการเมือง รัฐบาลไนเจอร์และองค์กรระหว่างประเทศได้พยายามปรับปรุงสถานการณ์ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค การส่งเสริมโภชนาการ การปรับปรุงการเข้าถึงน้ำสะอาดและสุขอนามัย และการเสริมสร้างระบบบริการสุขภาพ แต่ยังคงต้องการความพยายามและการลงทุนอีกมากเพื่อยกระดับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน
8. วัฒนธรรม


วัฒนธรรมไนเจอร์มีความหลากหลาย สะท้อนถึงการเป็นทางแพร่งทางวัฒนธรรมที่การล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสได้หล่อหลอมเป็นรัฐเอกภาพตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 สิ่งที่เป็นไนเจอร์ในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นจากสี่พื้นที่ทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันในยุคก่อนอาณานิคม: ชาวซาร์มาและชาวซองไฮครอบครองหุบเขาแม่น้ำไนเจอร์ทางตะวันตกเฉียงใต้; พื้นที่รอบนอกทางตอนเหนือของดินแดนเฮาซา ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยรัฐเหล่านั้นที่ต่อต้านรัฐเคาะลีฟะฮ์โซโคโต และทอดยาวไปตามพรมแดนทางใต้ที่ติดกับไนจีเรีย; ลุ่มน้ำทะเลสาบชาดและคาอูอาร์ทางตะวันออกไกล ซึ่งมีชาวนาชาวคานูรีและคนเลี้ยงสัตว์ชาวทูบูอาศัยอยู่ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิคาเน็ม-บอร์นู; และชนเผ่าเร่ร่อนชาวทัวเร็กแห่งเทือกเขาแอร์และทะเลทรายซาฮาราทางตอนเหนืออันกว้างใหญ่
แต่ละชุมชนเหล่านี้ พร้อมด้วยกลุ่มชาติพันธุ์เล็ก ๆ เช่น ชาวโวดาเบ ชาวฟูลาที่เลี้ยงสัตว์ ต่างก็นำประเพณีวัฒนธรรมของตนเองมาสู่รัฐไนเจอร์ใหม่ แม้ว่ารัฐบาลหลังเอกราชที่สืบทอดกันมาพยายามที่จะสร้างวัฒนธรรมร่วมของชาติขึ้น แต่สิ่งนี้ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชุมชนหลักของไนเจอร์มีประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมของตนเอง และส่วนหนึ่งเป็นเพราะกลุ่มชาติพันธุ์ของไนเจอร์ เช่น ชาวเฮาซา ทัวเร็ก และคานูรี เป็นเพียงส่วนหนึ่งของชุมชนชาติพันธุ์ที่ใหญ่กว่าซึ่งข้ามพรมแดนที่ถูกกำหนดขึ้นภายใต้การปกครองอาณานิคม คำขวัญประจำชาติคือ "ภราดรภาพ แรงงาน การพัฒนา" (Fraternité, Travail, Progrèsภาษาฝรั่งเศส)
จนถึงทศวรรษ 1990 รัฐบาลและการเมืองถูกครอบงำอย่างไม่สมส่วนโดยนีอาเมและชาวซาร์มาในภูมิภาคโดยรอบ ในขณะเดียวกัน ประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่ชายแดนเฮาซาระหว่างบีร์นินคอนนิและแมน-โซรัว มักจะมองว่าวัฒนธรรมของตนเองใกล้ชิดกับเฮาซาแลนด์ในไนจีเรียมากกว่านีอาเม ระหว่างปี 1996 ถึง 2003 การเข้าเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาอยู่ที่ประมาณ 30% รวมถึง 36% ของเด็กผู้ชายและเพียง 25% ของเด็กผู้หญิง การศึกษาเพิ่มเติมเกิดขึ้นผ่านมัดเราะซะฮ์
8.1. เทศกาลและกิจกรรมทางวัฒนธรรม
8.1.1. เทศกาลเกเรวอล

เทศกาลเกเรวอล (Guérewol) เป็นกิจกรรมทางวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวโวดาเบ (Wodaabe) ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของชาวฟูลานี (Fulani) เทศกาลนี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในพื้นที่อาบาลัก (Abalak) ในแคว้นทาฮัว หรืออิน-กัลล์ (In'Gall) ในแคว้นอากาเดซ เป็นพิธีกรรมการเกี้ยวพาราสีแบบดั้งเดิม ในระหว่างพิธีนี้ ชายหนุ่มจะแต่งกายด้วยเครื่องประดับอย่างประณีตและแต่งหน้าทาปากแบบดั้งเดิม รวมตัวกันเป็นแถวเพื่อเต้นรำและร้องเพลง แข่งขันกันเพื่อดึงดูดความสนใจจากหญิงสาวที่พร้อมจะแต่งงาน เทศกาลเกเรวอลเป็นที่สนใจของนานาชาติ และเคยปรากฏในภาพยนตร์และนิตยสารที่มีชื่อเสียง เช่น เนชั่นแนล จีโอกราฟิก
8.1.2. เทศกาลกูร์ ซาเล
"ลา กูร์ ซาเล" (La Cure Salée) (อังกฤษ: Salt Cure) เป็นเทศกาลประจำปีของชนเผ่าเร่ร่อนทัวเร็กและโวดาเบในอิน-กัลล์ แคว้นอากาเดซ โดยปกติจะจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการสิ้นสุดฤดูฝน เทศกาลนี้ใช้เวลาสามวัน ประกอบด้วยขบวนพาเหรดของนักขี่อูฐชาวทัวเร็ก ตามด้วยการแข่งอูฐและม้า การร้องเพลง การเต้นรำ และการเล่าเรื่อง
8.2. สื่อ
ไนเจอร์เริ่มพัฒสื่อที่หลากหลายในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ก่อนหน้าสาธารณรัฐที่สาม ชาวไนเจอร์สามารถเข้าถึงได้เฉพาะสื่อของรัฐที่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ปัจจุบันนีอาเมมีหนังสือพิมพ์และนิตยสารหลายสิบฉบับ บางฉบับ เช่น Le Sahel ดำเนินการโดยรัฐบาล ในขณะที่หลายฉบับวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล วิทยุเป็นสื่อที่สำคัญที่สุด เนื่องจากโทรทัศน์มีราคาเกินกำลังซื้อของคนจนในชนบทจำนวนมาก และการไม่รู้หนังสือทำให้สื่อสิ่งพิมพ์ไม่สามารถเป็นสื่อมวลชนได้
นอกเหนือจากบริการวิทยุระดับชาติและระดับภูมิภาคของสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งไนเจอร์ (Office of Radio and Television of Niger - ORTN) ซึ่งเป็นผู้แพร่ภาพกระจายเสียงของรัฐแล้ว ยังมีเครือข่ายวิทยุเอกชนสี่แห่งซึ่งมีสถานีรวมกันมากกว่า 100 สถานี สามในนั้น ได้แก่ กลุ่มอันฟานี (Anfani Group) ซารูเนีย (Sarounia) และเตเนเร (Tenere) เป็นเครือข่ายวิทยุเอฟเอ็มเชิงพาณิชย์ในเมืองใหญ่ นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายสถานีวิทยุชุมชนกว่า 80 สถานี กระจายอยู่ทั่วทั้งเจ็ดภูมิภาคของประเทศ ซึ่งควบคุมโดย Comité de Pilotage de Radios de Proximité (CPRP) ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาสังคม เจ้าหน้าที่ CPRP ประเมินว่าเครือข่ายวิทยุภาคเอกชนครอบคลุมประชากรประมาณ 7.6 ล้านคน หรือประมาณ 73% ของประชากร (ปี 2005)
นอกจากสถานีวิทยุของไนเจอร์แล้ว รายการภาคภาษาเฮาซาของบีบีซียังสามารถรับฟังได้ทางเครื่องทวนสัญญาณเอฟเอ็มในหลายพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะทางตอนใต้ใกล้ชายแดนไนจีเรีย Radio France Internationale (RFI) ก็ออกอากาศซ้ำเป็นภาษาฝรั่งเศสผ่านสถานีเชิงพาณิชย์บางแห่งผ่านดาวเทียม Tenere FM ยังดำเนินกิจการสถานีโทรทัศน์อิสระระดับชาติในชื่อเดียวกัน
แม้จะมีเสรีภาพในระดับชาติที่ค่อนข้างดี แต่นักข่าวชาวไนเจอร์กล่าวว่าพวกเขามักถูกกดดันจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เครือข่าย ORTN ของรัฐต้องพึ่งพิงทางการเงินจากรัฐบาล ส่วนหนึ่งผ่านค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมในบิลค่าไฟฟ้า และส่วนหนึ่งผ่านเงินอุดหนุนโดยตรง ภาคส่วนนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสภาสูงเพื่อการสื่อสาร (Conseil Supérieur de Communications - CSC) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในฐานะหน่วยงานอิสระในช่วงต้นทศวรรษ 1990 และตั้งแต่ปี 2007 นำโดยดาอูดา ดิอัลโล กลุ่มสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศได้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลมาอย่างน้อยตั้งแต่ปี 1996 ว่าใช้กฎระเบียบและตำรวจเพื่อลงโทษการวิพากษ์วิจารณ์รัฐ
8.3. กีฬา

การแข่งม้า การแข่งอูฐ และมวยปล้ำโซโร (sorro wrestling) เป็นกีฬาพื้นเมืองบางประเภทในไนเจอร์ที่หยั่งรากลึกในวัฒนธรรมของพวกเขา มวยปล้ำโซโรเป็นที่รู้จักในฐานะ "ราชาแห่งกีฬา" ในประเทศ อย่างไรก็ตาม ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในไนเจอร์ ฟุตบอลทีมชาติไนเจอร์มีชื่อเล่นว่า Menas มูสซา คันฟิเดนี เป็นกองกลางที่โดดเด่นที่สุดในช่วงทศวรรษ 1970 ถึง 1980 และฮารูนา ดูลา กาบเด ก็ได้รับความนิยมจากการนำไนเจอร์เข้าแข่งขันแอฟริกาคัพออฟเนชันส์เป็นครั้งแรก กีฬาที่ได้รับความนิยมอื่น ๆ ได้แก่ บาสเกตบอล วอลเลย์บอล แฮนด์บอล กรีฑา ยูโด และเทควันโด
สนามกีฬาแฌเนราลเซย์นีกูนเช (Stade Général Seyni Kountché - SGSK) เป็นสนามกีฬาอเนกประสงค์ในนีอาเม เป็นสนามเหย้าของทีมฟุตบอลชาติไนเจอร์ รวมถึงสโมสรในลีกสูงสุดของไนเจอร์ เช่น Sahel SC, Olympic FC de Niamey, Zumunta AC และ JS du Ténéré และยังใช้จัดการแข่งขันระดับสโมสร เช่น ไนเจอร์คัพ สนามแห่งนี้บางครั้งยังใช้สำหรับการแข่งขันรักบี้อีกด้วย เป็นสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในนีอาเม รองลงมาคือสนามกีฬาซินเดอร์ในเมืองซินเดอร์ซึ่งมีความจุ 10,000 ที่นั่ง เพลงชาติคือ ลอเนอร์เดอลาปาทรี
8.4. แหล่งมรดกโลก

ไนเจอร์มีแหล่งมรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) จำนวน 3 แห่ง ซึ่งสะท้อนถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมและธรรมชาติอันโดดเด่นของประเทศ ได้แก่:
1. ย่านประวัติศาสตร์อากาเดซ (Historic Centre of Agadez) (มรดกโลกทางวัฒนธรรม): อากาเดซเป็นเมืองโอเอซิสโบราณที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในฐานะศูนย์กลางการค้าข้ามทะเลทรายซาฮารามานานหลายศตวรรษ และเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของชาวทัวเร็ก สถาปัตยกรรมดินเหนียวอันเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะมัสยิดใหญ่แห่งอากาเดซซึ่งมีหออะซานรูปทรงปิรามิดที่โดดเด่น และโครงสร้างเมืองแบบดั้งเดิม สะท้อนถึงการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมแบบทะเลทรายและการผสมผสานทางวัฒนธรรม
2. อุทยานแห่งชาติ W (W National Park of Niger) (มรดกโลกทางธรรมชาติ): เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอุทยาน W-Arly-Pendjari Complex ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ในไนเจอร์ เบนิน และบูร์กินาฟาโซ อุทยานแห่งนี้เป็นแหล่งอาศัยสำคัญของสัตว์ป่าหลากหลายชนิดในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก รวมถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ เช่น ช้าง สิงโต เสือดาว และละมั่งนานาชนิด ตลอดจนนกกว่า 350 สายพันธุ์ ภูมิทัศน์ประกอบด้วยทุ่งหญ้าสะวันนา ป่าไม้ และพื้นที่ชุ่มน้ำริมแม่น้ำไนเจอร์
3. เขตอนุรักษ์ธรรมชาติแอร์และเตเนเร (Air and Ténéré Natural Reserves) (มรดกโลกทางธรรมชาติ): ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ของเทือกเขาแอร์ ซึ่งเป็นมวลเขาสูงกลางทะเลทรายซาฮารา และทะเลทรายเตเนเร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของซาฮารา เขตอนุรักษ์แห่งนี้มีความหลากหลายทางชีวภาพที่น่าทึ่ง โดยเป็นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์หลายชนิดที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้ง รวมถึงสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ เช่น ละมั่งแอดแดกซ์ (addax) และแกะบาร์บารี (Barbary sheep) นอกจากนี้ยังมีแหล่งโบราณคดีและศิลปะบนหินที่สำคัญ ปัจจุบัน แหล่งมรดกโลกแห่งนี้ถูกจัดอยู่ในบัญชีแหล่งมรดกโลกที่อยู่ในภาวะอันตรายเนื่องจากความไม่มั่นคงในภูมิภาคและภัยคุกคามอื่น ๆ