1. ภาพรวม
นครรัฐวาติกัน หรือที่รู้จักกันในนาม วาติกัน เป็นนครรัฐอิสระที่เล็กที่สุดในโลกทั้งในด้านพื้นที่และจำนวนประชากร ตั้งอยู่ภายในกรุงโรม ประเทศอิตาลี วาติกันดำรงอยู่เป็นศูนย์กลางการปกครองของศาสนจักรโรมันคาทอลิกทั่วโลก และเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสันตะปาปา ประมุขสูงสุดของศาสนจักร ประวัติศาสตร์ของวาติกันมีความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยโบราณ ผ่านช่วงการก่อตั้งรัฐสันตะปาปา ความท้าทายจากปัญหาความสัมพันธ์กับอิตาลี จนกระทั่งการลงนามในสนธิสัญญาลาเตรันและการได้รับเอกราช ซึ่งส่งผลต่อสถานะและอำนาจของศาสนจักรอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงบทบาทในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและพัฒนาการในยุคหลังสงครามที่สะท้อนถึงความพยายามปรับตัวเข้ากับโลกสมัยใหม่และประเด็นสิทธิมนุษยชน
ในด้านภูมิศาสตร์ นครรัฐแห่งนี้มีลักษณะทางกายภาพที่โดดเด่นด้วยอาคารสำคัญทางศาสนาและสวนวาติกันอันกว้างขวาง ระบบการเมืองการปกครองเป็นแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มาจากการเลือกตั้ง โดยพระสันตะปาปาทรงมีอำนาจสูงสุดทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ โครงสร้างนี้ก่อให้เกิดการพิจารณาถึงผลกระทบต่อค่านิยมทางสังคม ประชาธิปไตย และการมีส่วนร่วมของประชาชน ในเวทีระหว่างประเทศ วาติกันดำเนินนโยบายต่างประเทศผ่านสันตะสำนัก โดยเน้นการส่งเสริมสันติภาพและสิทธิมนุษยชน แม้จะเผชิญกับคำวิพากษ์วิจารณ์ในบางประเด็น เศรษฐกิจของวาติกันมีลักษณะเฉพาะ พึ่งพารายได้จากการบริจาค การท่องเที่ยว และการลงทุน โดยสถาบันการเงินอย่างสถาบันเพื่องานศาสนา (IOR) ได้รับการตรวจสอบด้านความโปร่งใสและผลกระทบทางสังคมอย่างต่อเนื่อง
โครงสร้างพื้นฐานรองรับทั้งกิจกรรมทางศาสนาและการบริหาร ขณะที่ประชากรมีองค์ประกอบที่เป็นเอกลักษณ์ ประกอบด้วยนักบวช องครักษ์สวิส และเจ้าหน้าที่ฆราวาส ภาษาและสัญชาติมีลักษณะเฉพาะที่ผูกพันกับการรับใช้ศาสนจักร วัฒนธรรมของวาติกันเต็มไปด้วยมรดกโลกทางศิลปะ สถาปัตยกรรม พิพิธภัณฑ์ และห้องสมุดอันล้ำค่า ซึ่งถูกนำเสนอควบคู่ไปกับการพิจารณาถึงการเข้าถึงและความหมายทางสังคม นอกจากนี้ สถาบันทางวิทยาศาสตร์และกิจกรรมกีฬาบางประเภทก็เป็นส่วนหนึ่งของภาพลักษณ์ของรัฐ นครรัฐแห่งนี้จึงสะท้อนบทบาทที่ซับซ้อนทั้งในฐานะศูนย์กลางทางศาสนา รัฐอิสระ และผู้มีบทบาทในประเด็นระดับโลก โดยมีการวิเคราะห์ถึงผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมทางสังคมอย่างต่อเนื่อง
2. ชื่อ
ชื่ออย่างเป็นทางการของนครรัฐวาติกันคือ นครรัฐวาติกัน (Stato della Città del Vaticanoสตาโต เดลลา ชิตตา เดล วาตีกาโนภาษาอิตาลี; Status Civitatis Vaticanaeสตาตุส ชิวิตาติส วาตีกาไนภาษาละติน) ชื่อ "นครรัฐวาติกัน" ถูกใช้เป็นครั้งแรกในสนธิสัญญาลาเตรัน ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1929 และเป็นสนธิสัญญาที่สถาปนานครรัฐสมัยใหม่แห่งนี้ขึ้น ชื่อนี้ตั้งตามเนินเขาวาติกัน (Mons Vaticanusมอนส์ วาตีกานุสภาษาละติน) ซึ่งเป็นที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของรัฐภายในกรุงโรม คำว่า "วาติกัน" (Vatican) เองนั้นมาจากชื่อนิคมชาวอีทรัสคันโบราณที่เรียกว่า Vaticaวาตีกาภาษาละติน หรือ Vaticumวาตีกุมภาษาละติน ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณทั่วไปที่ชาวโรมันเรียกว่า Ager Vaticanusอาเจร์ วาตีกานุสภาษาละติน (อาณาเขตวาติกัน)
ในภาษาที่ใช้โดยสำนักเลขาธิการแห่งรัฐแห่งสันตะสำนัก (ยกเว้นภาษาอังกฤษและอิตาลีที่กล่าวถึงข้างต้น):
- Cité du Vaticanซีเต ดู วาตีก็องภาษาฝรั่งเศส - État de la Cité du Vaticanเอตา เดอ ลา ซีเต ดู วาตีก็องภาษาฝรั่งเศส
- Vatikanstadtฟาติคานชตัดท์ภาษาเยอรมัน, เทียบกับ Vaticanฟาติคานภาษาเยอรมัน - Staat Vatikanstadtชตาท ฟาติคานชตัดท์ภาษาเยอรมัน (ในออสเตรีย: Staat der Vatikanstadtชตาท แดร์ ฟาติคานชตัดท์ภาษาเยอรมัน)
- Miasto Watykańskieเมียสโต วาตือคันสกีแยภาษาโปแลนด์, เทียบกับ Watykanวาตือกันภาษาโปแลนด์ - Państwo Watykańskieปัญสถโว วาตือคันสกีแยภาษาโปแลนด์
- Cidade do Vaticanoซีดาเด ดู วาตีกานูPortuguese - Estado da Cidade do Vaticanoเอสตาดู ดา ซีดาเด ดู วาตีกานูPortuguese
- Ciudad del Vaticanoซิวดัด เดล บาติกาโนภาษาสเปน - Estado de la Ciudad del Vaticanoเอสตาโด เด ลา ซิวดัด เดล บาติกาโนภาษาสเปน
3. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของพื้นที่วาติกันเริ่มต้นตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรม จากนั้นได้พัฒนามาเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ และต่อมาได้กลายเป็นรัฐอิสระในปัจจุบัน ประวัติศาสตร์ของวาติกันมีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับประวัติศาสตร์ของกรุงโรม ศาสนจักรคาทอลิก และการเมืองในยุโรป การเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์แต่ละช่วงสมัยได้ส่งผลกระทบต่อกลุ่มคนต่าง ๆ และก่อให้เกิดประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ ซึ่งจะถูกพิจารณาในแต่ละหัวข้อย่อยต่อไปนี้
3.1. ประวัติศาสตร์ยุคโบราณและยุคเริ่มแรก

ชื่อ "วาติกัน" ถูกใช้มาตั้งแต่สมัยสาธารณรัฐโรมัน เพื่อเรียกพื้นที่ลุ่มน้ำขังทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไทเบอร์ ตรงข้ามกับกรุงโรม ตั้งอยู่ระหว่างเนินเขาจานีโกลุม เนินเขาวาติกัน และมอนเตมารีโอ ทอดยาวไปถึงเนินเขาอเวนตีน และไปจนถึงจุดบรรจบของลำห้วยเเครเมรา ชื่อสถานที่ Ager Vaticanus (อาณาเขตวาติกัน) ได้รับการยืนยันจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 1 หลังจากนั้นปรากฏชื่อสถานที่อีกชื่อหนึ่งคือ Vaticanus (วาตีกานุส) ซึ่งหมายถึงพื้นที่ที่จำกัดกว่ามาก ได้แก่ เนินเขาวาติกัน จัตุรัสนักบุญเปโตรในปัจจุบัน และอาจรวมถึงถนนปรองดอง (Via della Conciliazione) ในปัจจุบันด้วย เนื่องจากอยู่ใกล้กับศัตรูตัวฉกาจของโรมคือเมืองอีทรัสคัน เวอี (อีกชื่อหนึ่งของ Ager Vaticanus คือ Ripa Veientana หรือ Ripa Etrusca) และเนื่องจากต้องเผชิญกับอุทกภัยจากแม่น้ำไทเบอร์ ชาวโรมันจึงถือว่าส่วนที่ไม่มีคนอาศัยอยู่เดิมของโรมนี้เป็นลางร้ายและไม่เป็นมงคล
คุณภาพของไวน์วาติกันที่ต่ำเป็นพิเศษ แม้หลังจากการบุกเบิกพื้นที่แล้วก็ตาม ก็ยังถูกกล่าวถึงโดยกวีมาร์เชียล (ค.ศ. 40 - ประมาณ ค.ศ. 102 หรือ 104) ทากิตุสเขียนไว้ว่าในปี ค.ศ. 69 ซึ่งเป็นปีสี่จักรพรรดิ เมื่อกองทัพฝ่ายเหนือที่นำวิแต็ลลิอุสขึ้นสู่อำนาจมาถึงโรม "ทหารส่วนใหญ่ตั้งค่ายอยู่ในเขตวาติกันที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ซึ่งส่งผลให้ทหารทั่วไปเสียชีวิตจำนวนมาก และเนื่องจากแม่น้ำไทเบอร์อยู่ใกล้เคียง ความไม่สามารถของชาวกอลและชาวเยอรมันในการทนต่อความร้อนและความโลภที่ตามมาซึ่งพวกเขาดื่มน้ำจากลำธารทำให้ร่างกายอ่อนแอลง ซึ่งง่ายต่อการเป็นเหยื่อของโรคภัยไข้เจ็บอยู่แล้ว"


ในช่วงจักรวรรดิโรมัน มีการสร้างคฤหาสน์หลายหลังที่นั่น หลังจากอากริಪ್ಪินาผู้อาวุโส (14 ปีก่อนคริสตกาล - 18 ตุลาคม ค.ศ. 33) ได้ระบายน้ำในพื้นที่และจัดสวนของเธอในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 1 ในปี ค.ศ. 40 จักรพรรดิกาลิกุลา โอรสของพระนาง (31 สิงหาคม ค.ศ. 12 - 24 มกราคม ค.ศ. 41; ครองราชย์ ค.ศ. 37-41) ได้สร้างสนามแข่งรถม้า (circus) สำหรับนักแข่งรถม้าในสวนของพระมารดา (ค.ศ. 40) ซึ่งต่อมาจักรพรรดิเนโรได้สร้างให้แล้วเสร็จ คือ Circus Gaii et Neronisกีร์กุส ไกอี เอต เนโรนิสภาษาละติน หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า สนามแข่งรถม้าของเนโร
เสาโอเบลิสก์วาติกันในจัตุรัสนักบุญเปโตรเป็นซากที่มองเห็นได้ชิ้นสุดท้ายจากสนามแข่งรถม้าของเนโร มันถูกนำมาจากเฮลิโอโปลิสในอียิปต์ของโรมันโดยจักรพรรดิกาลิกุลา เดิมเสาโอเบลิสก์นี้ตั้งอยู่ตรงกลางของ spina (เกาะกลาง) ของสนามแข่งรถม้าโรมัน สนามแข่งรถม้าแห่งนี้กลายเป็นสถานที่พลีชีพของคริสต์ศาสนิกชนจำนวนมากหลังจากเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในกรุงโรมในปี ค.ศ. 64 ตามธรรมเนียมกล่าวว่าในสนามแข่งรถม้านี้เองที่นักบุญเปโตรถูกตรึงกางเขนแบบกลับหัว ในปี ค.ศ. 1586 เสาโอเบลิสก์ได้ถูกย้ายไปยังตำแหน่งปัจจุบันโดยสมเด็จพระสันตะปาปาซิกส์ตุสที่ 5 โดยใช้วิธีการที่คิดค้นโดยสถาปนิกชาวอิตาลี โดเมนีโก ฟอนตานา
ตรงข้ามกับสนามแข่งรถม้ามีสุสานคั่นด้วยถนนเวียกอร์เนเลีย อนุสรณ์สถานงานศพ สุสานขนาดเล็ก และแท่นบูชาเทพเจ้าของศาสนาพหุเทวนิยมทุกประเภทถูกสร้างขึ้นจนกระทั่งก่อนการก่อสร้างมหาวิหารนักบุญเปโตรแห่งคอนสแตนตินในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 4 ศาลเจ้าที่อุทิศให้กับเทพีไซเบเลของชาวฟรีเจียและพระสวามีแอตทิสยังคงมีการใช้งานอยู่เป็นเวลานานหลังจากที่มหาวิหารนักบุญเปโตรเก่าถูกสร้างขึ้นในบริเวณใกล้เคียง
ซากของสุสานโบราณนี้ถูกค้นพบเป็นระยะ ๆ ในระหว่างการบูรณะโดยพระสันตะปาปาหลายพระองค์ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา โดยมีความถี่เพิ่มขึ้นในช่วงสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา จนกระทั่งมีการขุดค้นอย่างเป็นระบบตามคำสั่งของสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1939 ถึง 1941 มหาวิหารแห่งคอนสแตนตินถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 326 เหนือสิ่งที่เชื่อกันว่าเป็นสุสานนักบุญเปโตร ซึ่งฝังอยู่ในสุสานนั้น
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พื้นที่ดังกล่าวก็มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่นขึ้นอันเนื่องมาจากกิจกรรมที่มหาวิหาร พระราชวังถูกสร้างขึ้นในบริเวณใกล้เคียงตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 ในช่วงที่สมเด็จพระสันตะปาปาซิมมาคุส (ครองสมณสมัย ค.ศ. 498-514) ดำรงตำแหน่ง
3.2. รัฐสันตะปาปา
พระสันตะปาปาค่อย ๆ มีบทบาททางโลกในฐานะผู้ปกครองดินแดนใกล้กรุงโรม พวกเขาปกครองรัฐสันตะปาปา ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของคาบสมุทรอิตาลี เป็นเวลานานกว่าหนึ่งพันปีจนถึงกลางศตวรรษที่ 19 เมื่อดินแดนทั้งหมดที่เคยเป็นของสันตะปาปาถูกยึดครองโดยราชอาณาจักรอิตาลีที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ในระหว่างกระบวนการการรวมชาติอิตาลี
ในช่วงเวลาส่วนใหญ่นี้ พระสันตะปาปาไม่ได้ประทับอยู่ที่วาติกัน พระราชวังลาเตรัน ซึ่งอยู่คนละฟากของกรุงโรม เป็นที่ประทับตามปกติของพวกท่านเป็นเวลาประมาณหนึ่งพันปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1309 ถึง 1377 พวกท่านประทับอยู่ที่อาวีญงในฝรั่งเศส เมื่อเสด็จกลับกรุงโรม พวกท่านเลือกที่จะประทับที่วาติกัน ต่อมาได้ย้ายไปประทับที่พระราชวังควีรีนัลในปี ค.ศ. 1583 หลังจากงานก่อสร้างแล้วเสร็จในสมัยสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 5 (ค.ศ. 1605-1621) แต่เมื่อมีการยึดกรุงโรมในปี ค.ศ. 1870 พระสันตะปาปาได้ย้ายกลับไปประทับที่วาติกัน และสิ่งที่เคยเป็นที่ประทับของพวกท่านก็กลายเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์อิตาลี
ผลกระทบทางสังคมและการเมืองในยุคนี้มีความซับซ้อน การปกครองของรัฐสันตะปาปามักเกี่ยวข้องกับการรักษาอำนาจทางโลก ซึ่งบางครั้งนำไปสู่ความขัดแย้งกับอำนาจทางการเมืองอื่น ๆ และส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชนในดินแดนเหล่านั้น การรวมศูนย์อำนาจทั้งทางโลกและทางธรรมไว้ที่พระสันตะปาปาทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความสมดุลของอำนาจและสิทธิของพลเมือง ในขณะเดียวกัน รัฐสันตะปาปาก็เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและศิลปะที่สำคัญ โดยพระสันตะปาปาหลายพระองค์ได้เป็นองค์อุปถัมภ์ศิลปินและนักวิชาการ ซึ่งส่งผลให้เกิดผลงานชิ้นเอกมากมาย อย่างไรก็ตาม การมุ่งเน้นไปที่อำนาจทางโลกและการสะสมความมั่งคั่งบางครั้งก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าขัดต่อหลักการทางศาสนา
3.3. ภายใต้การปกครองของอิตาลี (ค.ศ. 1870-1929)
ในปี ค.ศ. 1870 สถานะของพระสันตะปาปาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนเมื่อกรุงโรมเองถูกกองกำลังอิตาลีผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรอิตาลี ซึ่งเป็นการสิ้นสุดกระบวนการการรวมชาติอิตาลี หลังจากการต่อต้านเพียงเล็กน้อยจากกองกำลังของพระสันตะปาปา ระหว่างปี ค.ศ. 1861 ถึง 1929 สถานะของพระสันตะปาปาถูกเรียกว่า "ปัญหากรุงโรม" (Roman Question)
อิตาลีไม่ได้พยายามแทรกแซงกิจการของสันตะสำนักภายในกำแพงวาติกัน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิตาลีได้ยึดทรัพย์สินของโบสถ์ในหลายพื้นที่ ในปี ค.ศ. 1871 พระราชวังควีรีนัลถูกยึดโดยกษัตริย์แห่งอิตาลีและกลายเป็นพระราชวังหลวง หลังจากนั้น พระสันตะปาปาประทับอยู่ในกำแพงวาติกันโดยไม่ถูกรบกวน และสิทธิพิเศษบางประการของพระสันตะปาปาได้รับการยอมรับโดยกฎหมายรับรอง (Law of Guarantees) รวมถึงสิทธิในการส่งและรับทูต แต่พระสันตะปาปาไม่ยอมรับสิทธิของกษัตริย์อิตาลีในการปกครองกรุงโรม และปฏิเสธที่จะออกจากบริเวณวาติกันจนกว่าข้อพิพาทจะได้รับการแก้ไขในปี ค.ศ. 1929 สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 9 (ค.ศ. 1846-1878) ผู้ปกครองคนสุดท้ายของรัฐสันตะปาปา ถูกเรียกว่าเป็น "นักโทษแห่งวาติกัน" (prisoner in the Vatican) เมื่อถูกบังคับให้สละอำนาจทางโลก พระสันตะปาปาจึงหันไปให้ความสำคัญกับประเด็นทางจิตวิญญาณมากขึ้น
ผลกระทบต่อสถานะของศาสนจักรในช่วงเวลานี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง การสูญเสียอำนาจทางโลกทำให้ศาสนจักรต้องปรับตัวและนิยามบทบาทของตนเองใหม่ในโลกสมัยใหม่ ความขัดแย้งระหว่างศาสนจักรกับรัฐอิตาลีส่งผลกระทบต่อชาวคาทอลิกในอิตาลี และสร้างความตึงเครียดทางการเมืองและสังคมเป็นระยะเวลานาน อย่างไรก็ตาม การสูญเสียอำนาจทางโลกก็อาจถูกมองว่าเป็นโอกาสให้ศาสนจักรมุ่งเน้นไปที่ภารกิจทางจิตวิญญาณและศีลธรรมมากขึ้น และพัฒนาบทบาทในฐานะผู้ชี้นำทางศีลธรรมในระดับสากล
3.4. สนธิสัญญาลาเตรันและความเป็นเอกราช
สถานการณ์ "ปัญหากรุงโรม" หรือ "นักโทษแห่งวาติกัน" ได้รับการแก้ไขเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1929 เมื่อมีการลงนามในสนธิสัญญาลาเตรันระหว่างสันตะสำนักและราชอาณาจักรอิตาลี โดยผู้ลงนามฝ่ายอิตาลีคือนายกรัฐมนตรีและหัวหน้ารัฐบาล เบนิโต มุสโสลินี ในนามของพระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 และผู้ลงนามฝ่ายสันตะสำนักคือพระคาร์ดินัลเลขาธิการแห่งรัฐ ปิเอโตร กัสปาร์รี ในนามของสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 11 สนธิสัญญานี้มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1929
เนื้อหาหลักของสนธิสัญญาลาเตรันประกอบด้วยสามส่วนหลัก:
1. **สนธิสัญญาทางการเมือง (Political Treaty):** ยอมรับอธิปไตยของสันตะสำนักเหนือรัฐวาติกันที่จัดตั้งขึ้นใหม่ (Stato della Città del Vaticano) และรับรองเอกราชสมบูรณ์ของรัฐนี้ อิตาลีประกาศให้ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกเป็นศาสนาประจำชาติ (บทบัญญัตินี้ถูกยกเลิกในภายหลังในปี ค.ศ. 1984) สันตะสำนักยอมรับราชอาณาจักรอิตาลีโดยมีกรุงโรมเป็นเมืองหลวง
2. **ข้อตกลงทางการเงิน (Financial Convention):** อิตาลีตกลงที่จะชดเชยสันตะสำนักสำหรับการสูญเสียดินแดนและทรัพย์สินของรัฐสันตะปาปาในอดีต เป็นจำนวนเงิน 750 ล้านลีราอิตาลี และพันธบัตรรัฐบาลอิตาลีมูลค่า 1 พันล้านลีรา
3. **ข้อตกลงทางศาสนา (Concordat):** กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างศาสนจักรคาทอลิกกับรัฐอิตาลี ให้สิทธิพิเศษบางประการแก่ศาสนจักรในอิตาลี เช่น การยอมรับการแต่งงานตามหลักศาสนาคาทอลิกให้มีผลทางกฎหมาย การสอนศาสนาคาทอลิกในโรงเรียนของรัฐ และการยกเว้นภาษีสำหรับทรัพย์สินของศาสนจักร
ผ่านสนธิสัญญานี้ นครรัฐวาติกันจึงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นรัฐอิสระ มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเองภายใต้การปกครองของสันตะสำนัก ซึ่งเป็นการสิ้นสุดความขัดแย้งอันยาวนานระหว่างศาสนจักรกับรัฐอิตาลี และเปิดทางให้สันตะสำนักสามารถดำเนินบทบาทในเวทีระหว่างประเทศได้อย่างเต็มที่ในฐานะรัฐเอกราช การลงนามในสนธิสัญญากับระบอบฟาสซิสต์ของมุสโสลินีในขณะนั้น ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมทางศีลธรรมและการเมือง แต่ในมุมมองของสันตะสำนัก การได้มาซึ่งเอกราชและการรับรองสถานะของศาสนจักรในอิตาลีถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญ
3.5. ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

สันตะสำนักซึ่งปกครองนครรัฐวาติกัน ได้ดำเนินนโยบายความเป็นกลางในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองภายใต้การนำของสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12 แม้ว่ากองทหารเยอรมันจะยึดครองกรุงโรมหลังจากการสงบศึกที่กัสซีบีเลในเดือนกันยายน ค.ศ. 1943 และกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรจะขับไล่พวกเขาออกไปในปี ค.ศ. 1944 ทั้งสองฝ่ายต่างเคารพสถานะของนครรัฐวาติกันในฐานะดินแดนที่เป็นกลาง หนึ่งในลำดับความสำคัญทางการทูตหลักของปิอุสที่ 12 คือการป้องกันการทิ้งระเบิดในกรุงโรม ความอ่อนไหวในระดับสูงทำให้พระองค์ประท้วงแม้กระทั่งการทิ้งใบปลิวเหนือน่านฟ้ากรุงโรมโดยกองทัพอากาศสหราชอาณาจักร โดยอ้างว่าใบปลิวจำนวนเล็กน้อยที่ตกลงมาภายในนครรัฐวาติกันเป็นการละเมิดความเป็นกลาง นโยบายของรัฐบาลอังกฤษต่อวาติกัน ดังที่แสดงไว้ในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีคือ "เราจะไม่ก่อกวนนครรัฐวาติกันไม่ว่าในกรณีใด ๆ แต่การดำเนินการของเราเกี่ยวกับส่วนที่เหลือของกรุงโรมจะขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลอิตาลีปฏิบัติตามกฎแห่งสงครามมากน้อยเพียงใด"
หลังจากสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงคราม เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ คัดค้านการทิ้งระเบิดนครรัฐวาติกัน เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้สมาชิกคาทอลิกในกองทัพอเมริกันไม่พอใจ แต่กล่าวว่า "พวกเขาไม่สามารถหยุดยั้งอังกฤษจากการทิ้งระเบิดกรุงโรมได้ หากอังกฤษตัดสินใจเช่นนั้น" กองทัพสหรัฐฯ ถึงกับยกเว้นทหารคาทอลิกจากการโจมตีทางอากาศในกรุงโรมและพื้นที่อื่น ๆ ที่มีชาวคาทอลิกจำนวนมาก เว้นแต่พวกเขาจะตกลงเข้าร่วมโดยสมัครใจ ในทางกลับกัน อังกฤษยืนกรานว่า "พวกเขาจะทิ้งระเบิดกรุงโรมเมื่อใดก็ตามที่ความต้องการของสงครามเรียกร้อง"
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1942 ทูตอังกฤษประจำสันตะสำนักเสนอให้กรุงโรมประกาศเป็นเมืองเปิด ซึ่งเป็นข้อเสนอที่สันตะสำนักให้ความสำคัญมากกว่าที่ทูตอาจตั้งใจไว้ ซึ่งไม่ได้ต้องการให้กรุงโรมเป็นเมืองเปิด แต่มุสโสลินีปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวเมื่อสันตะสำนักนำเสนอให้เขาพิจารณา เกี่ยวเนื่องกับการรุกรานซิซิลีของฝ่ายสัมพันธมิตร เครื่องบินกองทัพอากาศทหารบกสหรัฐ 500 ลำได้ทิ้งระเบิดกรุงโรมเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1943 โดยมุ่งเป้าไปที่ศูนย์กลางทางรถไฟของเมืองเป็นหลัก มีผู้เสียชีวิตประมาณ 1,500 คน และปิอุสที่ 12 ซึ่งในเดือนก่อนหน้านั้นถูกบรรยายว่า "กังวลอย่างมาก" เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่กรุงโรมจะถูกทิ้งระเบิด ได้เสด็จเยี่ยมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ การโจมตีทางอากาศของฝ่ายสัมพันธมิตรอีกครั้งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 1943 หลังจากที่มุสโสลินีถูกโค่นล้มจากอำนาจ ในวันรุ่งขึ้น รัฐบาลอิตาลีชุดใหม่ได้ประกาศให้กรุงโรมเป็นเมืองเปิด หลังจากปรึกษาหารือกับสันตะสำนักเกี่ยวกับถ้อยคำในคำประกาศ
บทบาทของสันตะสำนักในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการปกป้องผู้ลี้ภัยและกลุ่มผู้เปราะบางในช่วงสงครามเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง สันตะสำนักได้ให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยจำนวนมาก รวมถึงชาวยิวบางส่วนภายในกำแพงวาติกันและในอาคารอื่น ๆ ที่มีสถานะนอกอาณาเขต อย่างไรก็ตาม ปิอุสที่ 12 ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากบางฝ่ายว่าไม่ได้ประณามการกระทำทารุณของนาซีต่อชาวยิวอย่างเปิดเผยและแข็งขันเพียงพอ ในขณะที่ผู้ปกป้องพระองค์แย้งว่าการทูตอย่างเงียบ ๆ ของพระองค์ช่วยชีวิตผู้คนได้จำนวนมาก และการประณามอย่างเปิดเผยอาจนำไปสู่การตอบโต้ที่รุนแรงยิ่งขึ้นต่อชาวคาทอลิกและชาวยิวในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยนาซี ผลกระทบของสงครามต่อนครรัฐวาติกันนั้นมีจำกัดในแง่ของความเสียหายทางกายภาพ แต่สงครามได้ทิ้งร่องรอยที่ลึกซึ้งต่อบทบาททางศีลธรรมและการทูตของสันตะสำนักในเวทีโลก
3.6. ประวัติศาสตร์หลังสงคราม

สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12งดเว้นการแต่งตั้งพระคาร์ดินัลในช่วงสงคราม เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง มีตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่งที่ว่างลง ได้แก่ พระคาร์ดินัลเลขาธิการแห่งรัฐ, คาแมร์เลงโก, อัครมหาเสนาบดี และสมณมนตรีแห่งสมณกระทรวงเพื่อผู้ถวายตน ปิอุสที่ 12 ทรงแต่งตั้งพระคาร์ดินัล 32 องค์ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1946 โดยได้ประกาศพระประสงค์ดังกล่าวในสารวันคริสต์มาสก่อนหน้านั้น
กองกำลังทหารสันตะปาปา ยกเว้นองครักษ์สวิส ถูกยุบตามพระประสงค์ของสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 6 ดังที่ปรากฏในจดหมายลงวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1970 กองกำลังทหารรักษาการณ์ถูกเปลี่ยนเป็นกองกำลังตำรวจและรักษาความปลอดภัยฝ่ายพลเรือน
ในปี ค.ศ. 1984 ข้อตกลงทางศาสนาฉบับใหม่ระหว่างสันตะสำนักและอิตาลีได้แก้ไขบทบัญญัติบางประการของสนธิสัญญาฉบับก่อนหน้า รวมถึงสถานะของศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกในฐานะศาสนาประจำชาติของอิตาลี ซึ่งเป็นสถานะที่ได้รับตามกฎหมายของราชอาณาจักรซาร์ดิเนียในปี ค.ศ. 1848
การก่อสร้างอาคารรับรองแขกหลังใหม่ อาคารนักบุญมาร์ธา (Domus Sanctae Marthae) ในปี ค.ศ. 1995 ติดกับมหาวิหารนักบุญเปโตร ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยกลุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมชาวอิตาลี ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนักการเมืองอิตาลี พวกเขากล่าวอ้างว่าอาคารใหม่จะบดบังทัศนียภาพของมหาวิหารจากอพาร์ตเมนต์ของชาวอิตาลีที่อยู่ใกล้เคียง เป็นเวลาสั้น ๆ ที่แผนการดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างวาติกันและรัฐบาลอิตาลีตึงเครียด หัวหน้าฝ่ายบริการทางเทคนิคของวาติกันได้ปฏิเสธอย่างแข็งขันต่อการท้าทายสิทธิของรัฐวาติกันในการก่อสร้างภายในเขตแดนของตน
จอห์น อาร์. มอร์ส เขียนในวารสาร European Journal of International Law ว่าเนื่องจากเงื่อนไขของสนธิสัญญาลาเตรัน สถานะของนครรัฐวาติกันในฐานะรัฐอธิปไตย และสถานะของพระสันตะปาปาในฐานะประมุขแห่งรัฐนั้นเป็นปัญหา
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง นครรัฐวาติกันได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและเหตุการณ์สำคัญหลายประการ หนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดคือสังคายนาวาติกันครั้งที่สอง (ค.ศ. 1962-1965) ซึ่งนำไปสู่การปฏิรูปครั้งสำคัญในศาสนจักรคาทอลิก รวมถึงการปรับปรุงพิธีกรรม การส่งเสริมการเสวนากับศาสนาอื่น ๆ และการเน้นย้ำบทบาทของฆราวาสในศาสนจักร สังคายนาครั้งนี้มีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อชีวิตของชาวคาทอลิกทั่วโลก และสะท้อนถึงความพยายามของศาสนจักรในการปรับตัวเข้ากับโลกสมัยใหม่
นอกจากนี้ นครรัฐวาติกันยังได้ขยายความสัมพันธ์ทางการทูตกับนานาประเทศอย่างต่อเนื่อง และมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสันติภาพ สิทธิมนุษยชน และการพัฒนาประชาธิปไตยในเวทีโลก พระสันตะปาปาหลายพระองค์ โดยเฉพาะสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ได้เสด็จเยือนประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างชนชาติต่าง ๆ และเรียกร้องให้มีการเคารพสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพทางศาสนา บทบาทของวาติกันในการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกยังคงเป็นที่ถกเถียง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการสนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยในโปแลนด์และประเทศอื่น ๆ ของสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม นโยบายและจุดยืนของวาติกันในบางประเด็น เช่น การคุมกำเนิด การแต่งงานของเพศเดียวกัน และบทบาทของสตรีในศาสนจักร ยังคงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มต่าง ๆ ที่เห็นว่าขัดต่อหลักการสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาค
4. ภูมิศาสตร์
นครรัฐวาติกันเป็นนครรัฐที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลซึ่งมีพื้นที่เล็กที่สุดในโลก ตั้งอยู่ภายในกรุงโรม ประเทศอิตาลี ล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองโบราณ พื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยอาคารสำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรม รวมถึงสวนวาติกันที่สวยงาม
4.1. อาณาเขต

ชื่อ "วาติกัน" ถูกใช้มาตั้งแต่สมัยสาธารณรัฐโรมัน เพื่อเรียกพื้นที่ลุ่มน้ำขัง Ager Vaticanus ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไทเบอร์ ตรงข้ามกับกรุงโรม ตั้งอยู่ระหว่างเนินเขาจานีโกลุม เนินเขาวาติกัน และมอนเตมารีโอ ทอดยาวไปถึงเนินเขาอเวนตีน และไปจนถึงจุดบรรจบของลำห้วยเครเมรา อาณาเขตของนครรัฐวาติกันเป็นส่วนหนึ่งของเนินเขาวาติกัน และทุ่งวาติกันเดิมที่อยู่ติดกัน ในอาณาเขตนี้มีการสร้างมหาวิหารนักบุญเปโตร พระราชวังพระสันตะปาปา โบสถ์น้อยซิสทีน และพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ รวมถึงอาคารอื่น ๆ อีกมากมาย พื้นที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของริโอเน (rione) ของโรมที่ชื่อว่าบอร์โก จนถึงปี ค.ศ. 1929 พื้นที่นี้ถูกแยกออกจากตัวเมือง ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไทเบอร์ เป็นส่วนที่ยื่นออกมาจากเมืองซึ่งได้รับการคุ้มครองโดยการรวมเข้าไว้ในกำแพงของสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 4 (ค.ศ. 847-855) และต่อมาได้ขยายเพิ่มเติมด้วยกำแพงป้อมปราการในปัจจุบัน ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 3 (ค.ศ. 1534-1549) สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 4 (ค.ศ. 1559-1565) และสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 8 (ค.ศ. 1623-1644)
เมื่อสนธิสัญญาลาเตรันในปี ค.ศ. 1929 ซึ่งกำหนดรูปแบบของรัฐกำลังถูกจัดเตรียมขึ้น ขอบเขตของดินแดนที่เสนอได้รับอิทธิพลจากข้อเท็จจริงที่ว่าส่วนใหญ่ของดินแดนนั้นถูกล้อมรอบด้วยวงแหวนนี้เกือบทั้งหมด สำหรับบางส่วนของพรมแดน ไม่มีกำแพง แต่แนวอาคารบางหลังเป็นส่วนหนึ่งของเขตแดน และสำหรับส่วนเล็ก ๆ ของพรมแดนได้มีการสร้างกำแพงสมัยใหม่ขึ้น
อาณาเขตนี้รวมถึงจัตุรัสนักบุญเปโตร ซึ่งแยกจากอาณาเขตของอิตาลีเพียงแค่เส้นสีขาวตามแนวขอบของจัตุรัส ที่ซึ่งจัตุรัสสัมผัสกับจัตุรัสปีโอที่ 12 (Piazza Pio XII) สามารถเข้าถึงจัตุรัสนักบุญเปโตรได้ทางถนนปรองดอง (Via della Conciliazione) ซึ่งทอดยาวจากใกล้แม่น้ำไทเบอร์ไปยังจัตุรัสนักบุญเปโตร ถนนใหญ่สายนี้สร้างขึ้นโดยเบนิโต มุสโสลินีหลังจากการสรุปสนธิสัญญาลาเตรัน
ตามสนธิสัญญาลาเตรัน ทรัพย์สินของสันตะสำนักบางแห่งที่ตั้งอยู่ในดินแดนอิตาลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชวังฤดูร้อนกัสเตลกันดอลโฟและมหาวิหารเอกสำคัญ ๆ มีสถานะนอกอาณาเขตคล้ายกับสถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศ ทรัพย์สินเหล่านี้กระจายอยู่ทั่วกรุงโรมและอิตาลี เป็นที่ตั้งของสำนักงานและสถาบันที่จำเป็นต่อลักษณะและภารกิจของสันตะสำนัก
กัสเตลกันดอลโฟและมหาวิหารที่ระบุชื่อไว้ จะได้รับการลาดตระเวนภายในโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจของนครรัฐวาติกัน ไม่ใช่โดยตำรวจอิตาลี ตามสนธิสัญญาลาเตรัน (ข้อ 3) จัตุรัสนักบุญเปโตร จนถึงแต่ไม่รวมถึงบันไดที่นำไปสู่มหาวิหาร โดยปกติจะได้รับการลาดตระเวนโดยตำรวจอิตาลี
ไม่มีการควบคุมหนังสือเดินทางสำหรับผู้มาเยือนที่เดินทางเข้านครรัฐวาติกันจากดินแดนอิตาลีโดยรอบ มีทางเข้าสาธารณะฟรีไปยังจัตุรัสนักบุญเปโตรและมหาวิหาร และในโอกาสที่พระสันตะปาปาเสด็จออกพบปะประชาชนทั่วไป ไปยังห้องโถงที่ใช้จัดงาน สำหรับการเข้าเฝ้าเหล่านี้และสำหรับพิธีสำคัญในมหาวิหารและจัตุรัสนักบุญเปโตร จะต้องได้รับบัตรเข้าชมฟรีล่วงหน้า พิพิธภัณฑ์วาติกัน ซึ่งรวมถึงโบสถ์น้อยซิสทีน โดยปกติจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้า ไม่มีการเข้าถึงสวนสาธารณะโดยทั่วไป แต่สามารถจัดทัวร์ชมสวนและพื้นที่ขุดค้นใต้มหาวิหารสำหรับกลุ่มเล็ก ๆ ได้ สถานที่อื่น ๆ เปิดให้เฉพาะบุคคลที่มีธุรกิจต้องติดต่อเท่านั้น
4.2. สภาพภูมิอากาศ

สภาพภูมิอากาศของนครรัฐวาติกันเหมือนกับของกรุงโรม คือเป็นภูมิอากาศแบบอบอุ่น ภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน Csa โดยมีฤดูหนาวที่ไม่รุนแรงและมีฝนตกตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤษภาคม และฤดูร้อนที่ร้อนและแห้งตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน ลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร์เล็กน้อยบางประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมอกและน้ำค้าง เกิดจากขนาดที่ใหญ่ผิดปกติของมหาวิหารนักบุญเปโตร ระดับความสูง น้ำพุ และขนาดของจัตุรัสที่ปูด้วยหินขนาดใหญ่ อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึกไว้คือ 40.7 °C ในวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 2017 และ 27 มิถุนายน ค.ศ. 2022
เดือน | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. | ก.ย. | ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ปี |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ °C (°F) | 19.8 (67.6) | 21.2 (70.2) | 26.6 (79.9) | 27.2 (81.0) | 33.0 (91.4) | 37.8 (100.0) | 40.8 (105.4) | 40.7 (105.3) | 38.4 (101.1) | 30.0 (86.0) | 25.0 (77.0) | 20.2 (68.4) | 40.8 (105.4) |
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F) | 11.9 (53.4) | 13.0 (55.4) | 15.2 (59.4) | 17.7 (63.9) | 22.8 (73.0) | 26.9 (80.4) | 30.3 (86.5) | 30.6 (87.1) | 26.5 (79.7) | 21.4 (70.5) | 15.9 (60.6) | 12.6 (54.7) | 20.4 (68.7) |
อุณหภูมิเฉลี่ยรายวัน °C (°F) | 7.5 (45.5) | 8.2 (46.8) | 10.2 (50.4) | 12.6 (54.7) | 17.2 (63.0) | 21.1 (70.0) | 24.1 (75.4) | 24.5 (76.1) | 20.8 (69.4) | 16.4 (61.5) | 11.4 (52.5) | 8.4 (47.1) | 15.2 (59.4) |
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F) | 3.1 (37.6) | 3.5 (38.3) | 5.2 (41.4) | 7.5 (45.5) | 11.6 (52.9) | 15.3 (59.5) | 18.0 (64.4) | 18.3 (64.9) | 15.2 (59.4) | 11.3 (52.3) | 6.9 (44.4) | 4.2 (39.6) | 10.0 (50.0) |
อุณหภูมิต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ °C (°F) | -11.0 (12.2) | -4.4 (24.1) | -5.6 (21.9) | 0.0 (32.0) | 3.8 (38.8) | 7.8 (46.0) | 10.6 (51.1) | 10.0 (50.0) | 5.6 (42.1) | 0.8 (33.4) | -5.2 (22.6) | -4.8 (23.4) | -11.0 (12.2) |
หยาดน้ำฟ้าเฉลี่ย มม. (นิ้ว) | 67 (2.64) | 73 (2.87) | 58 (2.28) | 81 (3.19) | 53 (2.09) | 34 (1.34) | 19 (0.75) | 37 (1.46) | 73 (2.87) | 113 (4.45) | 115 (4.53) | 81 (3.19) | 804 (31.66) |
จำนวนวันที่มีหยาดน้ำฟ้าโดยเฉลี่ย (≥ 1 มม.) | 7.0 | 7.6 | 7.6 | 9.2 | 6.2 | 4.3 | 2.1 | 3.3 | 6.2 | 8.2 | 9.7 | 8.0 | 79.4 |
ชั่วโมงแสงแดดเฉลี่ยรายเดือน | 120.9 | 132.8 | 167.4 | 201.0 | 263.5 | 285.0 | 331.7 | 297.6 | 237.0 | 195.3 | 129.0 | 111.6 | 2,472.8 |
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2007 วาติกันยอมรับข้อเสนอจากบริษัทสองแห่งซึ่งตั้งอยู่ในซานฟรานซิสโกและบูดาเปสต์ตามลำดับ โดยจะกลายเป็นรัฐที่เป็นกลางทางคาร์บอนแห่งแรกโดยการชดเชยการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยการสร้างป่าภูมิอากาศวาติกันในฮังการี ซึ่งเป็นเพียงท่าทีเชิงสัญลักษณ์เพื่อส่งเสริมให้ชาวคาทอลิกทำมากขึ้นเพื่อปกป้องโลก อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ไม่ประสบความสำเร็จ
เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 วาติกันได้ดำเนินการตามแผนที่ประกาศไว้ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2007 เพื่อคลุมหลังคาของหอประชุมปอลที่ 6ด้วยแผงโซลาร์เซลล์
4.3. สวนวาติกัน

ภายในอาณาเขตของนครรัฐวาติกันมีสวนวาติกัน (Giardini Vaticaniจาร์ดีนี วาตีกานีภาษาอิตาลี) ซึ่งคิดเป็นพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของอาณาเขตทั้งหมด สวนเหล่านี้ก่อตั้งขึ้นในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาและสมัยบาโรก ประดับประดาด้วยน้ำพุและประติมากรรม
สวนครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 23 ha จุดสูงสุดคือ 60 m เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง กำแพงหินล้อมรอบพื้นที่ทางทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันตก
สวนเหล่านี้มีประวัติย้อนกลับไปถึงยุคกลาง เมื่อสวนผลไม้และไร่องุ่นทอดยาวไปทางเหนือของพระราชวังพระสันตะปาปา ในปี ค.ศ. 1279 สมเด็จพระสันตะปาปานิโคลัสที่ 3 (โจวันนี กาเอตาโน ออร์ซินี, 1277-1280) ได้ย้ายที่ประทับกลับไปยังวาติกันจากพระราชวังลาเตรันและล้อมรอบบริเวณนี้ด้วยกำแพง พระองค์ทรงปลูกสวนผลไม้ (pomerium) สนามหญ้า (pratellum) และสวน (viridarium)
5. การเมืองการปกครอง
การเมืองการปกครองของนครรัฐวาติกันมีลักษณะเฉพาะตัว โดยเป็นราชาธิปไตยแบบสมบูรณาญาสิทธิ์ที่มาจากการเลือกตั้ง และถูกปกครองโดยสันตะสำนัก ซึ่งประมุขของศาสนจักรคาทอลิกเป็นผู้กุมอำนาจ สมเด็จพระสันตะปาปาทรงใช้อำนาจหลักทั้งทางด้านนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการเหนือนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นกรณีที่หาได้ยากของระบอบราชาธิปไตยที่ไม่ใช่การสืบทอดทางสายเลือด การมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองมีจำกัด และการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจส่วนใหญ่อยู่ภายในโครงสร้างของศาสนจักรเอง
5.1. โครงสร้างรัฐและสันตะสำนัก
นครรัฐวาติกัน ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1929 โดยข้อตกลงลาเตรัน (Lateran Pacts) ทำให้สันตะสำนักมีเขตอำนาจทางโลกและเอกราชภายในดินแดนขนาดเล็ก นครรัฐวาติกันแตกต่างจากสันตะสำนัก ดังนั้น รัฐจึงถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญแต่ไม่จำเป็นของสันตะสำนัก สันตะสำนักเองได้ดำรงอยู่มาอย่างต่อเนื่องในฐานะนิติบุคคลตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน และได้รับการยอมรับในระดับสากลในฐานะองค์กรอธิปไตยที่มีอำนาจและเป็นอิสระตั้งแต่สมัยโบราณตอนปลายจนถึงปัจจุบัน โดยไม่มีการหยุดชะงักแม้ในช่วงเวลาที่ถูกยึดครองดินแดน (เช่น ค.ศ. 1870 ถึง 1929)
นครรัฐวาติกันเป็นหนึ่งในไม่กี่รัฐเอกราชที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางซึ่งยังไม่ได้เป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ สันตะสำนัก ซึ่งแตกต่างจากนครรัฐวาติกัน มีสถานะผู้สังเกตการณ์ถาวร โดยมีสิทธิทั้งหมดของสมาชิกเต็มรูปแบบยกเว้นการลงคะแนนเสียงในสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ
5.2. โครงสร้างรัฐบาล

รัฐบาลของนครรัฐวาติกันมีโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ เนื่องจากถูกปกครองโดยสันตะสำนัก สมเด็จพระสันตะปาปาจึงทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ แต่ทรงได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ ในขณะที่อำนาจนิติบัญญัติยังได้รับการจัดการในนามของพระสันตะปาปาโดยสมณกรรมาธิการนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นคณะพระคาร์ดินัลที่พระสันตะปาปาทรงแต่งตั้งเป็นระยะเวลาห้าปี อำนาจบริหารจะถูกใช้โดยประธานคณะกรรมาธิการดังกล่าว (ซึ่งเป็นผลให้เป็นประธานของผู้ว่าการรัฐด้วย) โดยมีเลขาธิการทั่วไปและรองเลขาธิการทั่วไปคอยช่วยเหลือ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของรัฐนั้นมอบหมายให้สำนักเลขาธิการแห่งรัฐและหน่วยงานทางการทูตของสันตะสำนัก
อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระสันตะปาปาทรงมีอำนาจเด็ดขาดทั้งในฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการเหนือนครรัฐวาติกัน และด้วยเหตุนี้จึงทรงเป็นกษัตริย์ผู้มีอำนาจเด็ดขาดเพียงพระองค์เดียวในยุโรป
ในทางปฏิบัติ มีหน่วยงานที่จัดการเกี่ยวกับสุขภาพ ความมั่นคง โทรคมนาคม และเรื่องอื่น ๆ
5.2.1. ประมุขแห่งรัฐ (พระสันตะปาปา)

เนื่องจากนครรัฐวาติกันอยู่ภายใต้การปกครองของสันตะสำนัก สมเด็จพระสันตะปาปาจึงทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ โดยตำแหน่งของนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ขึ้นอยู่กับหน้าที่หลักของพระองค์ในฐานะมุขนายกแห่งสังฆมณฑลโรมและประมุขของคริสตจักรโรมันคาทอลิก คำว่า "สันตะสำนัก" ไม่ได้หมายถึงรัฐวาติกัน แต่หมายถึงการปกครองทางจิตวิญญาณและงานอภิบาลของพระสันตะปาปา ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินการผ่านทางสภาปกครองโรมัน (Roman Curia) ตำแหน่งอย่างเป็นทางการของพระองค์เกี่ยวกับนครรัฐวาติกันคือ ประมุขแห่งรัฐนครรัฐวาติกัน
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ประสูติในชื่อ ฮอร์เฮ มาริโอ เบร์โกกลิโอ ในกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ทรงได้รับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 2013 เจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับรองที่สำคัญที่สุดของพระองค์สำหรับนครรัฐวาติกัน รวมถึงประมุขรัฐบาลของประเทศคือประธานสมณกรรมาธิการนครรัฐวาติกัน ซึ่งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1952 ได้ปฏิบัติหน้าที่ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นของผู้ว่าการนครรัฐวาติกัน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 ประธานสมณกรรมาธิการนครรัฐวาติกันยังดำรงตำแหน่งประธานผู้ว่าการรัฐนครรัฐวาติกันด้วย ประธานคนปัจจุบันคือพระคาร์ดินัลชาวสเปน เฟร์นันโด เบร์เฆซ อัลซากา ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2021
การตัดสินใจของพระสันตะปาปามีผลกระทบอย่างมากต่อค่านิยมทางสังคม ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชนทั่วโลก ในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวคาทอลิกกว่าพันล้านคน พระสันตะปาปาทรงมีอิทธิพลต่อประเด็นทางศีลธรรมและจริยธรรมที่สำคัญ เช่น สิทธิในชีวิต ความยากจน ความยุติธรรมทางสังคม และสิ่งแวดล้อม คำสอนและการเทศนาของพระองค์สามารถส่งเสริมค่านิยมประชาธิปไตยและการเคารพสิทธิมนุษยชนได้ อย่างไรก็ตาม จุดยืนของศาสนจักรในบางประเด็น เช่น การคุมกำเนิด การทำแท้ง สิทธิของสตรี และสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ มักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าขัดต่อหลักการสิทธิมนุษยชนสากลและจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคล บทบาทของพระสันตะปาปาในการส่งเสริมการเสวนาระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมถือเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสันติภาพและความเข้าใจอันดีในโลก แต่ในขณะเดียวกัน การรักษาจุดยืนทางเทววิทยาที่เข้มงวดอาจถูกมองว่าเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าในบางประเด็นทางสังคม การวิเคราะห์ผลกระทบของการตัดสินใจของพระสันตะปาปาจึงต้องพิจารณาถึงความซับซ้อนเหล่านี้อย่างรอบด้าน
5.2.2. ฝ่ายบริหาร (คณะผู้ว่าการ)

อำนาจบริหารของนครรัฐวาติกันมอบหมายให้แก่ผู้ว่าการนครรัฐวาติกัน (Governorate of Vatican City State) ซึ่งนำโดยประธานผู้ว่าการนครรัฐวาติกัน ผู้ดำรงตำแหน่งนี้คือคนเดียวกับประธานสมณกรรมาธิการนครรัฐวาติกัน คณะผู้ว่าการประกอบด้วยผู้ช่วยโดยตรงสองคนของประธาน คือ เลขาธิการทั่วไป และรองเลขาธิการทั่วไป สมาชิกของสำนักเลขาธิการทั่วไป ทั้งหมดได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระสันตะปาปาเป็นระยะเวลาห้าปี การดำเนินการที่สำคัญของคณะผู้ว่าการจะต้องได้รับการยืนยันจากสมณกรรมาธิการนครรัฐวาติกันและจากพระสันตะปาปาผ่านทางสำนักเลขาธิการแห่งรัฐ
คณะผู้ว่าการดูแลการทำงานของรัฐบาลกลางผ่านหน่วยงานและสำนักงานต่าง ๆ ผู้อำนวยการและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเหล่านี้ได้รับการแต่งตั้งจากพระสันตะปาปาเป็นระยะเวลาห้าปี
คณะผู้ว่าการแบ่งออกเป็นสำนักงานกลาง (แห่งหนึ่งสำหรับกฎหมาย และอีกแห่งสำหรับบุคลากร) และคณะกรรมการอำนวยการที่มีบทบาทในเรื่องต่อไปนี้:
- โครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ
- โทรคมนาคมและบริการคอมพิวเตอร์เทคโนโลยีสารสนเทศ
- บริการบังคับใช้กฎหมายและการป้องกันพลเรือน
- สุขภาพและสุขอนามัย
- พิพิธภัณฑ์และมรดกทางวัฒนธรรม
- คฤหาสน์ของพระสันตะปาปา
นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานย่อยสำหรับเรื่องการเงิน วินัย บุคลากร และการคัดเลือกบุคลากร
วิธีการดำเนินงานด้านบริหารของคณะผู้ว่าการแห่งนครรัฐวาติกันเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่กำหนดขึ้น โดยเน้นความโปร่งใสและประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานของสถาบันนี้ ซึ่งมีโครงสร้างแบบรวมอำนาจและมีลักษณะทางศาสนาเป็นหลัก อาจก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความรับผิดชอบและการมีส่วนร่วมของพลเมืองในกระบวนการตัดสินใจ การตรวจสอบการใช้อำนาจและการบริหารจัดการทรัพยากรของรัฐวาติกันเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากทั้งภายในและภายนอกศาสนจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเงินและความโปร่งใส
5.2.3. ฝ่ายนิติบัญญัติ (คณะกรรมาธิการสมเด็จพระสันตะปาปา)
อำนาจนิติบัญญัติในนครรัฐวาติกันนั้น สมเด็จพระสันตะปาปาเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจสูงสุด อย่างไรก็ตาม พระองค์ได้มอบหมายอำนาจนี้ให้แก่สมณกรรมาธิการนครรัฐวาติกัน (Pontifical Commission for Vatican City State) ซึ่งประกอบด้วยพระคาร์ดินัลที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระสันตะปาปา มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี ประธานคณะกรรมาธิการฯ คือ ประธานสมณกรรมาธิการนครรัฐวาติกัน
ขั้นตอนการออกกฎหมายของคณะกรรมาธิการฯ จะต้องได้รับการอนุมัติจากพระสันตะปาปา ผ่านทางสำนักเลขาธิการแห่งรัฐ และจะต้องตีพิมพ์ในภาคผนวกพิเศษของ รายงานกิจการของสันตะสำนัก (Acta Apostolicae Sedis) ซึ่งเป็นวารสารทางการของสันตะสำนัก เนื้อหาส่วนใหญ่ในภาคผนวกนี้ประกอบด้วยกฤษฎีกาบริหารตามปกติ เช่น การอนุมัติชุดแสตมป์ชุดใหม่
อำนาจหลักของคณะกรรมาธิการสมเด็จพระสันตะปาปาสำหรับนครรัฐวาติกัน ครอบคลุมถึงการออกกฎหมายและข้อบังคับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการกิจการภายในนครรัฐวาติกัน รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวกับพลเมือง การพำนัก การเข้าถึงดินแดน กิจการทางเศรษฐกิจ การรักษาความสงบเรียบร้อย และการบริหารจัดการทรัพย์สินของรัฐ คณะกรรมาธิการฯ และประธานผู้ว่าการนครรัฐวาติกันสามารถขอความช่วยเหลือจากที่ปรึกษาแห่งรัฐนครรัฐวาติกันในการร่างกฎหมายและประเด็นสำคัญอื่น ๆ ได้ ประธานผู้ว่าการฯ สามารถเรียกประชุมสมาชิกสภาผู้อำนวยการ ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญภายนอกและบุคคลอื่น ๆ ได้
การพิจารณาถึงการมีส่วนร่วมและการตรวจสอบถ่วงดุลในระบบนิติบัญญัติของวาติกันนั้นมีความซับซ้อน เนื่องจากลักษณะการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิ์ทางศาสนา การมีส่วนร่วมของประชาชนโดยตรงในกระบวนการนิติบัญญัติมีจำกัด การตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจส่วนใหญ่เกิดขึ้นภายในโครงสร้างของศาสนจักรเอง ผ่านทางกลไกการปรึกษาหารือและการอนุมัติจากพระสันตะปาปา แม้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาเข้ามามีส่วนร่วมในการร่างกฎหมาย แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายยังคงอยู่ที่พระสันตะปาปาและคณะกรรมาธิการฯ ที่พระองค์แต่งตั้ง ซึ่งทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความเป็นอิสระและความหลากหลายของมุมมองในกระบวนการนิติบัญญัติ
5.2.4. ฝ่ายตุลาการ
ระบบตุลาการของนครรัฐวาติกันมีโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งอำนาจตุลาการสูงสุดนั้นสงวนไว้สำหรับสมเด็จพระสันตะปาปา แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีการมอบอำนาจนี้ให้กับองค์กรตุลาการต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายพื้นฐานของนครรัฐวาติกันและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและอาญาของวาติกัน รวมถึง "พระสมณสาสน์เกี่ยวกับเขตอำนาจของหน่วยงานตุลาการแห่งรัฐนครรัฐวาติกันในคดีอาญา" ปี ค.ศ. 2013
ศาลหลักในนครรัฐวาติกันประกอบด้วย:
1. **ผู้พิพากษาคนเดียว (Sole Judge / Giudice Unico):** มีอำนาจพิจารณาคดีแพ่งและอาญาที่มีมูลค่าหรือความร้ายแรงน้อย
2. **ศาลชั้นต้น (Tribunal / Tribunale):** ประกอบด้วยผู้พิพากษาหลายคน มีอำนาจพิจารณาคดีแพ่งและอาญาที่ซับซ้อนกว่า และทำหน้าที่เป็นศาลอุทธรณ์สำหรับคำตัดสินของผู้พิพากษาคนเดียวในบางกรณี
3. **ศาลอุทธรณ์ (Court of Appeal / Corte d'Appello):** มีอำนาจพิจารณาทบทวนคำตัดสินของศาลชั้นต้น
4. **ศาลฎีกา (Supreme Court / Corte di Cassazione):** เป็นศาลสูงสุด มีอำนาจพิจารณาประเด็นทางกฎหมายของคำตัดสินจากศาลอุทธรณ์ ประธานศาลฎีกาคือพระคาร์ดินัลอธิการแห่งศาลฎีกาสมเด็จพระสันตะปาปา (Cardinal Prefect of the Supreme Tribunal of the Apostolic Signatura) ซึ่งเป็นศาลสูงสุดของศาสนจักรคาทอลิกด้วย
กระบวนการยุติธรรมของนครรัฐวาติกันโดยทั่วไปเป็นไปตามหลักการของกฎหมายแพ่ง (civil law) แม้ว่าจะมีอิทธิพลจากกฎหมายศาสนจักร (canon law) อยู่ด้วย ในคดีอาญา นครรัฐวาติกันสามารถร้องขอให้อิตาลีดำเนินการลงโทษผู้กระทำผิดที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในนครรัฐวาติกันได้ ตามข้อ 22 ของสนธิสัญญาลาเตรัน หากผู้กระทำผิดลี้ภัยไปยังดินแดนอิตาลี อิตาลีจะดำเนินการกับบุคคลนั้น นอกจากนี้ บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดที่เป็นที่ยอมรับทั้งในอิตาลีและนครรัฐวาติกัน ซึ่งกระทำในดินแดนอิตาลี จะถูกส่งตัวให้ทางการอิตาลีหากพวกเขาหลบหนีไปยังนครรัฐวาติกันหรืออาคารที่ได้รับความคุ้มครองตามสนธิสัญญา
การพิจารณาถึงความยุติธรรมและความเป็นอิสระของระบบตุลาการวาติกันนั้นต้องคำนึงถึงโครงสร้างอำนาจที่รวมศูนย์อยู่ที่พระสันตะปาปา แม้ว่าจะมีองค์กรตุลาการที่แยกจากกัน แต่ความเป็นอิสระของผู้พิพากษาอาจถูกจำกัดโดยอำนาจสูงสุดของพระสันตะปาปา นอกจากนี้ การขาดกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลจากภายนอกศาสนจักร และการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมสำหรับบุคคลทั่วไปอาจเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาในแง่ของมาตรฐานสากลด้านสิทธิมนุษยชน
5.2.5. ช่วงเวลาสันตะสำนักว่าง (Sede Vacante)
ช่วงเวลาสันตะสำนักว่าง (Sede Vacanteเซเด วากันเตภาษาละติน แปลว่า "ตำแหน่ง (สันตะปาปา) ว่าง") คือช่วงเวลาที่ตำแหน่งพระสันตะปาปาว่างลง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อพระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์หรือสละตำแหน่ง ในช่วงเวลานี้ การปกครองนครรัฐวาติกันและศาสนจักรคาทอลิกจะดำเนินไปตามกฎเกณฑ์พิเศษที่กำหนดไว้ในธรรมนูญพิเศษของพระสันตะปาปา เรื่อง "Universi Dominici Gregis" (เกี่ยวกับการเลือกตั้งพระสันตะปาปาแห่งกรุงโรม)
ระหว่างช่วงสันตะสำนักว่าง อำนาจการปกครองนครรัฐวาติกันจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะพระคาร์ดินัล (College of Cardinals) โดยมีคาแมร์เลงโกแห่งพระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์โรมัน (Cardinal Camerlengo) เป็นผู้มีบทบาทสำคัญ คาแมร์เลงโกจะทำหน้าที่บริหารจัดการทรัพย์สินและคุ้มครองสิทธิทางโลกของสันตะสำนักในช่วงเวลาดังกล่าว คาแมร์เลงโกจะทำงานร่วมกับพระคาร์ดินัลอีกสามองค์ ซึ่งเลือกโดยการจับสลากทุกสามวัน โดยมาจากแต่ละคณะของพระคาร์ดินัล (พระคาร์ดินัลมุขนายก, พระคาร์ดินัลบาทหลวง, และพระคาร์ดินัลผู้ช่วย) ในแง่หนึ่ง คณะบุคคลทั้งสี่นี้จะปฏิบัติหน้าที่เสมือนเป็นประมุขแห่งรัฐของนครรัฐวาติกันในช่วงเวลานั้น อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจที่สำคัญทั้งหมดของคณะพระคาร์ดินัลทั้งสี่นี้จะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะพระคาร์ดินัลทั้งหมด
หน่วยงานต่าง ๆ ของสภาปกครองโรมัน (Roman Curia) จะหยุดการปฏิบัติหน้าที่ส่วนใหญ่ ยกเว้นหน่วยงานที่จำเป็น เช่น ทัณฑสถานศักดิ์สิทธิ์ (Apostolic Penitentiary) ซึ่งยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ส่วนกิจการของนครรัฐวาติกันจะยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของสมณกรรมาธิการนครรัฐวาติกัน
ขั้นตอนการเลือกตั้งพระสันตะปาปาองค์ใหม่เรียกว่า กอนกลาเว (Conclave) ซึ่งเป็นภาษาละตินหมายถึง "ถูกล็อกด้วยกุญแจ" พระคาร์ดินัลผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (อายุต่ำกว่า 80 ปี) จะประชุมกันในโบสถ์น้อยซิสทีนเพื่อลงคะแนนลับเลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่ กระบวนการนี้เป็นความลับอย่างเคร่งครัด และจะดำเนินต่อไปจนกว่าจะมีผู้สมัครได้รับคะแนนเสียงสองในสาม (หรือสองในสามบวกหนึ่งหากจำนวนพระคาร์ดินัลไม่สามารถหารด้วยสามลงตัว) สัญญาณการเลือกตั้งพระสันตะปาปาองค์ใหม่ได้สำเร็จคือควันสีขาวที่ปล่อยออกจากปล่องไฟของโบสถ์น้อยซิสทีน หลังจากนั้น พระคาร์ดินัลผู้ได้รับเลือกจะได้รับการประกาศชื่อต่อสาธารณชนจากระเบียงกลางของมหาวิหารนักบุญเปโตร และจะปรากฏองค์เพื่อประทานพร "อูร์บี เอต์ ออร์บี" (แก่กรุงโรมและแก่โลก)
การบริหารจัดการในช่วงสันตะสำนักว่างและการเลือกตั้งพระสันตะปาปาใหม่นี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการรักษาความต่อเนื่องของการปกครองศาสนจักรและนครรัฐวาติกัน แม้ในยามที่ตำแหน่งประมุขสูงสุดว่างลง อย่างไรก็ตาม กระบวนการเลือกตั้งที่จำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มพระคาร์ดินัลและเป็นความลับอย่างยิ่งยวด ก็ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมและความโปร่งใสในมุมมองของหลักการประชาธิปไตยสมัยใหม่
5.3. ความมั่นคงแห่งชาติและการรักษาความสงบเรียบร้อย
นครรัฐวาติกัน ในฐานะรัฐอิสระ มีระบบการรักษาความมั่นคงและการรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นของตนเอง แม้ว่าจะมีขนาดเล็กและพึ่งพากองทัพอิตาลีในการป้องกันประเทศในกรณีที่มีการรุกรานจากภายนอกก็ตาม สถาบันที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยภายในวาติกันประกอบด้วยกองกำลังทหารและตำรวจเฉพาะของตน
5.3.1. การทหาร (องครักษ์สวิส)

องครักษ์สวิส (Pontificia Cohors Helveticaปอนตีฟีชีอา โกโฮร์ส เฮลเวตีกาภาษาละติน; Guardia Svizzera Pontificiaกวาร์เดีย สวิตเซรา ปอนตีฟีชาภาษาอิตาลี) เป็นกองกำลังทหารที่มีหน้าที่รับผิดชอบความปลอดภัยส่วนพระองค์ของสมเด็จพระสันตะปาปา และผู้พำนักอาศัยในนครรัฐวาติกัน ก่อตั้งขึ้นโดยสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 เมื่อวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1506 โดยเป็นหน่วยทหารรักษาพระองค์ส่วนพระองค์ของพระสันตะปาปา และยังคงปฏิบัติหน้าที่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน องครักษ์สวิสไม่ได้ขึ้นตรงต่อนครรัฐวาติกัน แต่ขึ้นตรงต่อสันตะสำนักโดยตรง
- ประวัติ:** องครักษ์สวิสมีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีชื่อเสียงด้านความภักดีและความกล้าหาญ เหตุการณ์สำคัญที่แสดงถึงความเสียสละของพวกเขาคือการปล้นกรุงโรม ในปี ค.ศ. 1527 ซึ่งองครักษ์สวิสส่วนใหญ่เสียชีวิตเพื่อปกป้องสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 7 ให้ทรงหลบหนีไปยังปราสาทซันตันเจโลได้อย่างปลอดภัย
- ภารกิจ:** ภารกิจหลักขององครักษ์สวิสคือการรับรองความปลอดภัยของพระสันตะปาปาและพระราชวังพระสันตะปาปา พวกเขายังทำหน้าที่รักษาการณ์ที่ทางเข้านครรัฐวาติกัน ให้บริการด้านพิธีการ เช่น การต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง และคุ้มกันพระสันตะปาปาในระหว่างการเสด็จเยือนต่างประเทศ
- โครงสร้างองค์กร:** ณ สิ้นปี ค.ศ. 2005 องครักษ์สวิสมีกำลังพล 134 นาย การรับสมัครจัดทำขึ้นโดยข้อตกลงพิเศษระหว่างสันตะสำนักและสวิตเซอร์แลนด์ ผู้บัญชาการองครักษ์สวิส (ปัจจุบันคือพันเอกคริสตอฟ กราฟ) เป็นผู้รับผิดชอบการปฏิบัติงานของหน่วย
- กระบวนการคัดเลือก:** ผู้สมัครจะต้องเป็นชายชาวคาทอลิกที่ยังไม่ได้สมรส มีสัญชาติสวิส ผ่านการฝึกขั้นพื้นฐานกับกองทัพสวิสและมีใบรับรองความประพฤติดี อายุระหว่าง 19 ถึง 30 ปี และมีความสูงอย่างน้อย 174 cm สมาชิกจะได้รับการติดตั้งอาวุธขนาดเล็กและง้าวแบบดั้งเดิม (หรือที่เรียกว่า Swiss voulge) และได้รับการฝึกฝนในยุทธวิธีคุ้มกันบุคคล ร่วมกับหน่วยทหารรักษาการณ์แห่งนครรัฐวาติกัน องครักษ์สวิสมีบทบาทในการควบคุมชายแดนอิตาลี-วาติกัน
การดำรงอยู่ขององครักษ์สวิสในฐานะกองกำลังทหารขนาดเล็กที่มาจากต่างชาติในรัฐสมัยใหม่เป็นลักษณะเฉพาะของวาติกัน ซึ่งสะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานและความสัมพันธ์พิเศษระหว่างสันตะสำนักกับสวิตเซอร์แลนด์ อย่างไรก็ตาม การจำกัดคุณสมบัติของผู้สมัครเฉพาะชายชาวสวิสที่เป็นคาทอลิก อาจถูกมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติในมุมมองของความเสมอภาคและสิทธิมนุษยชนสากล
5.3.2. ตำรวจและหน่วยดับเพลิง

นอกเหนือจากองครักษ์สวิสซึ่งมีหน้าที่หลักในการคุ้มกันพระสันตะปาปาแล้ว นครรัฐวาติกันยังมีหน่วยงานที่รับผิดชอบการรักษาความสงบเรียบร้อยและการดับเพลิงภายในอาณาเขตของตน ได้แก่
- หน่วยทหารรักษาการณ์แห่งนครรัฐวาติกัน (Corps of Gendarmerie of Vatican City / Corpo della Gendarmeria):**
- บทบาทและโครงสร้างองค์กร:** หน่วยทหารรักษาการณ์ หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า หน่วยตำรวจวาติกัน เป็นหน่วยงานตำรวจและรักษาความปลอดภัยของนครรัฐวาติกันและทรัพย์สินนอกอาณาเขตของสันตะสำนัก หน่วยนี้รับผิดชอบด้านความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน การควบคุมชายแดน การควบคุมการจราจร การสืบสวนอาชญากรรม และหน้าที่ตำรวจทั่วไปอื่น ๆ ในนครรัฐวาติกัน รวมถึงการรักษาความปลอดภัยให้แก่พระสันตะปาปานอกนครรัฐวาติกันด้วย หน่วยนี้มีกำลังพลประมาณ 130 นาย และเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการบริการความปลอดภัยและการป้องกันพลเรือน (Directorate for Security Services and Civil Defence) ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของผู้ว่าการนครรัฐวาติกัน ถึงแม้ว่าจัตุรัสนักบุญเปโตรจะเป็นส่วนหนึ่งของอาณาเขตวาติกัน แต่โดยปกติแล้วจะได้รับการดูแลความปลอดภัยจากกองกำลังตำรวจอิตาลี
- กิจกรรมหลัก:** ปฏิบัติหน้าที่ตำรวจทั่วไป การควบคุมการจราจร การรักษาความปลอดภัยในงานพิธีต่าง ๆ การสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมที่เกิดขึ้นภายในนครรัฐวาติกัน และการประสานงานกับหน่วยงานตำรวจอิตาลีและนานาชาติ
- หน่วยดับเพลิงแห่งนครรัฐวาติกัน (Corps of Firefighters of the Vatican City State / Corpo dei Vigili del Fuoco dello Stato della Città del Vaticano):**
- บทบาทและโครงสร้างองค์กร:** หน่วยดับเพลิงแห่งนครรัฐวาติกันเป็นหน่วยงานดับเพลิงแห่งชาติ มีประวัติย้อนไปถึงต้นศตวรรษที่ 19 และก่อตั้งในรูปแบบปัจจุบันในปี ค.ศ. 1941 หน่วยนี้รับผิดชอบการดับเพลิง รวมถึงสถานการณ์ป้องกันพลเรือนที่หลากหลาย เช่น อุทกภัย ภัยธรรมชาติ และอุบัติภัยหมู่ หน่วยดับเพลิงอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลผ่านทางคณะกรรมการบริการความปลอดภัยและการป้องกันพลเรือน ซึ่งรับผิดชอบหน่วยทหารรักษาการณ์ด้วย
- กิจกรรมหลัก:** การป้องกันและระงับอัคคีภัย การกู้ภัย การจัดการเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ และการให้ความช่วยเหลือด้านการป้องกันพลเรือน
การมีอยู่ของหน่วยงานเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นของนครรัฐวาติกันในการดูแลความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยภายในอาณาเขตของตนเอง แม้ว่าจะมีขนาดเล็กและพึ่งพาความช่วยเหลือจากอิตาลีในบางด้าน การดำเนินงานของหน่วยงานเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความปลอดภัยของพระสันตะปาปา ผู้อยู่อาศัย และผู้มาเยือน รวมถึงการปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของวาติกัน
5.3.3. สถานการณ์อาชญากรรม

อาชญากรรมในนครรัฐวาติกันส่วนใหญ่ประกอบด้วยการฉกชิงกระเป๋า การล้วงกระเป๋า และการการลักเล็กขโมยน้อยในร้านค้าโดยบุคคลภายนอก การสัญจรของนักท่องเที่ยวในจัตุรัสนักบุญเปโตรเป็นหนึ่งในสถานที่หลักสำหรับนักล้วงกระเป๋าในนครรัฐวาติกัน หากมีการก่ออาชญากรรมในจัตุรัสนักบุญเปโตร ผู้กระทำผิดอาจถูกจับกุมและดำเนินคดีโดยทางการอิตาลี เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวโดยปกติจะได้รับการลาดตระเวนโดยตำรวจอิตาลี
ภายใต้เงื่อนไขของข้อ 22 ของสนธิสัญญาลาเตรัน อิตาลีจะดำเนินการลงโทษบุคคลสำหรับการก่ออาชญากรรมภายในนครรัฐวาติกันตามคำร้องขอของสันตะสำนัก และจะดำเนินการกับบุคคลผู้กระทำความผิดด้วยตนเอง หากบุคคลนั้นหลบหนีไปยังดินแดนอิตาลี บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมที่เป็นที่ยอมรับทั้งในอิตาลีและนครรัฐวาติกันซึ่งกระทำในดินแดนอิตาลี จะถูกส่งตัวให้ทางการอิตาลีหากพวกเขาหลบหนีไปยังนครรัฐวาติกันหรือในอาคารที่ได้รับความคุ้มครองตามสนธิสัญญา
นครรัฐวาติกันไม่มีระบบเรือนจำ นอกเหนือจากห้องขังไม่กี่ห้องสำหรับการควบคุมตัวก่อนการพิจารณาคดี บุคคลที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานก่ออาชญากรรมในวาติกันจะรับโทษในเรือนจำของอิตาลี (Polizia Penitenziaria) โดยวาติกันเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
แม้ว่าอาชญากรรมส่วนใหญ่ในวาติกันจะเป็นอาชญากรรมเล็กน้อยที่มุ่งเป้าไปที่นักท่องเที่ยว แต่ก็มีกรณีอาชญากรรมที่ร้ายแรงกว่าเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว เช่น คดีฆาตกรรมที่เกี่ยวข้องกับองครักษ์สวิสในปี ค.ศ. 1998 นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศโดยนักบวช ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของศาสนจักรคาทอลิกทั่วโลก ก็ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของวาติกัน แม้ว่าการกระทำผิดส่วนใหญ่จะไม่ได้เกิดขึ้นภายในอาณาเขตของนครรัฐวาติกันก็ตาม การจัดการกับอาชญากรรมเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ของศาสนจักรเอง เป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับระบบยุติธรรมของวาติกัน และมักถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากประชาคมระหว่างประเทศในประเด็นความโปร่งใสและความรับผิดชอบ
6. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

นครรัฐวาติกันเป็นดินแดนแห่งชาติที่ได้รับการยอมรับภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ แต่เป็นสันตะสำนักที่ดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตในนามของตน นอกเหนือจากการทูตของสันตะสำนักเอง โดยการเข้าทำความตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับตน ดังนั้น นครรัฐวาติกันจึงไม่มีหน่วยงานทางการทูตของตนเอง
เนื่องจากข้อจำกัดด้านพื้นที่ นครรัฐวาติกันเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่ไม่สามารถเป็นที่ตั้งของสถานทูตได้ สถานทูตต่างประเทศประจำสันตะสำนักตั้งอยู่ในกรุงโรม เฉพาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเท่านั้นที่เจ้าหน้าที่ของสถานทูตบางแห่งที่ได้รับการรับรองจากสันตะสำนักได้รับความอนุเคราะห์เท่าที่จะเป็นไปได้ภายในขอบเขตที่คับแคบของนครรัฐวาติกัน เช่น สถานทูตของสหราชอาณาจักรในขณะที่โรมถูกยึดครองโดยฝ่ายอักษะ และของเยอรมนีเมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรควบคุมโรม
ขนาดของนครรัฐวาติกันจึงไม่เกี่ยวข้องกับการขยายอิทธิพลไปทั่วโลกอย่างกว้างขวางของสันตะสำนักในฐานะองค์กรที่แตกต่างจากรัฐอย่างสิ้นเชิง
นโยบายต่างประเทศของนครรัฐวาติกัน (ดำเนินการผ่านสันตะสำนัก) มุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมสันติภาพ ความยุติธรรม สิทธิมนุษยชน และเสรีภาพทางศาสนาทั่วโลก สันตะสำนักมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศส่วนใหญ่ในโลก และมีบทบาทสำคัญในองค์การระหว่างประเทศหลายแห่ง สถานะความสัมพันธ์ทางการทูตที่สำคัญมักเกี่ยวข้องกับการปกป้องผลประโยชน์ของศาสนจักรคาทอลิกและชาวคาทอลิกในประเทศต่าง ๆ รวมถึงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและการส่งเสริมการเจรจา บทบาทในประชาคมระหว่างประเทศของวาติกันยังรวมถึงการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การสนับสนุนการพัฒนา และการรณรงค์ในประเด็นทางศีลธรรมและจริยธรรมระดับโลก
การนำเสนอเหตุการณ์ระหว่างประเทศจะพยายามรักษาความเป็นกลาง แต่จะเปิดให้มีการอภิปรายอย่างสมดุลเกี่ยวกับจุดยืนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุมมองของผู้ได้รับผลกระทบหรือประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเสรีนิยมสังคมนิยมที่ให้ความสำคัญกับความยุติธรรมทางสังคมและสิทธิของกลุ่มเปราะบาง
6.1. การเข้าร่วมองค์การระหว่างประเทศ
นครรัฐวาติกันเองเข้าร่วมในองค์การระหว่างประเทศบางแห่งที่หน้าที่ขององค์การนั้นเกี่ยวข้องกับรัฐในฐานะหน่วยงานทางภูมิศาสตร์ ซึ่งแตกต่างจากสถานะทางกฎหมายที่ไม่ใช่ดินแดนของสันตะสำนัก องค์การเหล่านี้มีจำนวนน้อยกว่าองค์การที่สันตะสำนักเข้าร่วมในฐานะสมาชิกหรือผู้สังเกตการณ์อย่างมาก องค์การที่นครรัฐวาติกันเป็นสมาชิกมีดังต่อไปนี้:
- การประชุมไปรษณีย์และโทรคมนาคมแห่งยุโรป (CEPT)
- องค์การโทรคมนาคมผ่านดาวเทียมแห่งยุโรป (Eutelsat IGO)
- สภาธัญพืชนานาชาติ (IGC)
- สถาบันวิทยาการบริหารระหว่างประเทศ (IIAS)
- สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU)
- องค์การโทรคมนาคมผ่านดาวเทียมระหว่างประเทศ (ITSO)
- องค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ (Interpol)
- สหภาพสากลไปรษณีย์ (UPU)
นอกจากนี้ นครรัฐวาติกันยังเข้าร่วมใน:
- สมาคมการแพทย์โลก (World Medical Association)
- องค์การทรัพย์สินทางปัญญาแห่งโลก (WIPO)
ในขณะเดียวกัน สันตะสำนัก (ซึ่งแตกต่างจากนครรัฐวาติกัน) มีสถานะเป็นผู้สังเกตการณ์ถาวรในสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 (โดยได้รับสิทธิทั้งหมดของสมาชิกเต็มรูปแบบ ยกเว้นสิทธิในการออกเสียงลงคะแนน) ซึ่งทำให้สันตะสำนักสามารถเข้าร่วมการประชุมและกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์การสหประชาชาติ (UN) และหน่วยงานพิเศษของ UN ได้ เช่น การมีส่วนร่วมในกองทุนกลางเพื่อการรับมือเหตุฉุกเฉิน (Central Emergency Response Fund) ซึ่งสันตะสำนักได้บริจาคเงินจำนวน 20.00 K USD ระหว่างปี ค.ศ. 2006 ถึง 2022
นครรัฐวาติกันไม่ได้เป็นสมาชิกของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และไม่ได้เป็นสมาชิกของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในยุโรป มีเพียงเบลารุสเท่านั้นที่เป็นรัฐที่ไม่ใช่ภาคีและไม่ได้ลงนามเช่นกัน ในขณะที่ยูเครนและโมนาโกเป็นรัฐที่ลงนามแล้วแต่ยังไม่ได้ให้สัตยาบัน และรัสเซียถอนตัวออกไปในปี ค.ศ. 2016 นครรัฐวาติกันไม่ได้เป็นสมาชิกของศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป ในบรรดารัฐในยุโรป เบลารุสก็ไม่ได้เป็นสมาชิกเช่นกัน ในขณะที่รัสเซียได้ยุติการเป็นส่วนหนึ่งของศาลหลังจากถูกขับออกจากสภายุโรปภายหลังการรุกรานยูเครนของรัสเซียในปี ค.ศ. 2022
"มาตรฐานการรายงานร่วม" (CRS) ของOECD ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีและการฟอกเงิน ก็ยังไม่ได้รับการลงนาม นครรัฐวาติกันถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการปฏิบัติเกี่ยวกับการฟอกเงินในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศเดียวในยุโรปที่ยังไม่ได้ตกลงที่จะลงนามใน CRS คือเบลารุส นครรัฐวาติกันยังเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่ไม่ได้ให้ข้อมูลทางการเงินที่เปิดเผยต่อสาธารณะใด ๆ แก่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ
6.2. ความสัมพันธ์กับประเทศสำคัญ
นครรัฐวาติกัน โดยผ่านทางสันตะสำนัก ได้สถาปนาและรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ความสัมพันธ์เหล่านี้มีความสำคัญทั้งในเชิงศาสนา การเมือง และวัฒนธรรม
อิตาลี:
ความสัมพันธ์กับอิตาลีมีความซับซ้อนและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เนื่องจากนครรัฐวาติกันเป็นรัฐอิสระที่ตั้งอยู่ภายในกรุงโรม เมืองหลวงของอิตาลี
- การสถาปนาความสัมพันธ์:** ความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการสถาปนาขึ้นผ่านสนธิสัญญาลาเตรันในปี ค.ศ. 1929 ซึ่งยุติ "ปัญหากรุงโรม" อันยาวนานระหว่างศาสนจักรกับรัฐอิตาลี สนธิสัญญานี้รับรองเอกราชของนครรัฐวาติกันและกำหนดสถานะพิเศษของศาสนาคาทอลิกในอิตาลี (ซึ่งสถานะศาสนาประจำชาติถูกยกเลิกในภายหลังในปี ค.ศ. 1984)
- ความสัมพันธ์ในปัจจุบัน:** ปัจจุบัน ความสัมพันธ์ระหว่างวาติกันกับอิตาลีโดยทั่วไปเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความร่วมมือในหลายด้าน ทั้งสองฝ่ายเคารพอำนาจอธิปไตยของกันและกัน และมีการประสานงานในเรื่องต่าง ๆ เช่น ความมั่นคง การท่องเที่ยว และการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม อย่างไรก็ตาม อาจมีประเด็นที่มีความเห็นแตกต่างกันบ้างในเรื่องนโยบายทางสังคมและศีลธรรม เช่น สิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและครอบครัว
- มุมมองที่เกี่ยวข้องและประเด็นทางมนุษยธรรม:** จากมุมมองเสรีนิยมสังคมนิยม การพิจารณาความสัมพันธ์นี้ควรคำนึงถึงผลกระทบต่อสิทธิพลเมืองและเสรีภาพทางศาสนาในอิตาลี รวมถึงบทบาทของศาสนจักรในการกำหนดค่านิยมทางสังคมและอิทธิพลทางการเมืองในอิตาลี ประเด็นทางมนุษยธรรม เช่น การจัดการผู้ลี้ภัยและผู้อพยพ ซึ่งทั้งวาติกันและอิตาลีต่างมีบทบาทสำคัญ ก็เป็นอีกด้านหนึ่งที่ต้องพิจารณาถึงความร่วมมือและความท้าทาย
การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศสำคัญอื่น ๆ โดยทั่วไปเป็นไปตามหลักการทางการทูตสากล โดยสันตะสำนักมุ่งเน้นการส่งเสริมสันติภาพ ความยุติธรรม และการปกป้องสิทธิมนุษยชน ความสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ มักเกี่ยวข้องกับการดูแลความเป็นอยู่ของชาวคาทอลิกในประเทศนั้น ๆ การส่งเสริมการศึกษาและกิจกรรมทางสังคมของศาสนจักร และการมีบทบาทในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งหรือส่งเสริมการพัฒนา การพิจารณาความสัมพันธ์เหล่านี้จากมุมมองเสรีนิยมสังคมนิยมจะให้ความสำคัญกับการประเมินผลกระทบของนโยบายและความสัมพันธ์ดังกล่าวต่อสิทธิของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง และการส่งเสริมค่านิยมประชาธิปไตยและความยุติธรรมทางสังคมในประเทศนั้น ๆ
7. เศรษฐกิจ
โครงสร้างทางเศรษฐกิจของนครรัฐวาติกันมีลักษณะเฉพาะ โดยไม่พึ่งพาอุตสาหกรรมการผลิตหรือภาคบริการขนาดใหญ่เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ แหล่งรายได้หลักมาจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนา การท่องเที่ยว และการลงทุนทางการเงิน การพิจารณาเศรษฐกิจของวาติกันจากมุมมองเสรีนิยมสังคมนิยมจะมุ่งเน้นไปที่ผลกระทบทางสังคม เช่น ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิแรงงานของผู้ทำงานในวาติกัน และความเสมอภาคทางสังคมในการกระจายทรัพยากรและความมั่งคั่งที่เกิดจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของรัฐ
7.1. การเงินและงบประมาณ
งบประมาณของนครรัฐวาติกันรวมถึงพิพิธภัณฑ์วาติกันและที่ทำการไปรษณีย์ และได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากการขายแสตมป์ เหรียญกษาปณ์ เหรียญที่ระลึก และของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว; จากค่าธรรมเนียมเข้าชมพิพิธภัณฑ์; และจากการขายสิ่งพิมพ์ รายได้และมาตรฐานการครองชีพของคนงานฆราวาสนั้นเทียบได้กับของคู่สัญญาที่ทำงานในกรุงโรม อุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้แก่ การพิมพ์ การผลิตโมเสก และการผลิตเครื่องแบบเจ้าหน้าที่
สถาบันเพื่องานศาสนา (IOR, Istituto per le Opere di Religione) หรือที่รู้จักกันในชื่อธนาคารวาติกัน เป็นหน่วยงานทางการเงินที่ตั้งอยู่ในวาติกันซึ่งดำเนินกิจกรรมทางการเงินทั่วโลก มีตู้เอทีเอ็มหลายภาษาพร้อมคำแนะนำเป็นภาษาละติน ซึ่งอาจเป็นตู้เอทีเอ็มเพียงแห่งเดียวในโลกที่มีคุณสมบัตินี้
นครรัฐวาติกันออกเหรียญและแสตมป์ของตนเอง ได้ใช้เงินยูโรเป็นสกุลเงินมาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1999 เนื่องจากข้อตกลงพิเศษกับสหภาพยุโรป (คำตัดสินของสภา 1999/98/EC) เหรียญและธนบัตรยูโรถูกนำมาใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2002-วาติกันไม่ได้ออกธนบัตรยูโร การออกเหรียญที่ใช้สกุลเงินยูโรนั้นถูกจำกัดอย่างเข้มงวดตามสนธิสัญญา แม้ว่าจะอนุญาตให้มีจำนวนมากกว่าปกติเล็กน้อยในปีที่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งพระสันตะปาปา เนื่องจากความหายาก เหรียญยูโรของวาติกันจึงเป็นที่ต้องการอย่างมากของนักสะสม จนกระทั่งมีการนำเงินยูโรมาใช้ เหรียญและแสตมป์ของวาติกันถูกกำหนดมูลค่าเป็นสกุลเงินลีราวาติกันของตนเอง ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับลีราอิตาลี
นครรัฐวาติกันซึ่งจ้างงานเกือบ 2,000 คน มีส่วนเกินงบประมาณ 6.70 M EUR ในปี ค.ศ. 2007 แต่ขาดดุลงบประมาณในปี ค.ศ. 2008 กว่า 15.00 M EUR
ในปี ค.ศ. 2012 รายงานยุทธศาสตร์การควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้จัดให้นครรัฐวาติกันอยู่ในกลุ่มประเทศที่น่ากังวลเรื่องการฟอกเงินเป็นครั้งแรก โดยจัดให้อยู่ในประเภทกลาง ซึ่งรวมถึงประเทศต่าง ๆ เช่น ไอร์แลนด์ แต่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเปราะบางมากที่สุด ซึ่งรวมถึงสหรัฐอเมริกาเอง เยอรมนี อิตาลี และรัสเซีย
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 วาติกันประกาศจัดตั้งสำนักเลขาธิการด้านเศรษฐกิจ เพื่อรับผิดชอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเงิน และการบริหารทั้งหมดของสันตะสำนักและนครรัฐวาติกัน นำโดยพระคาร์ดินัลจอร์จ เพลล์ เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากการตั้งข้อหานักบวชอาวุโสสองคน รวมถึงพระคุณเจ้าหนึ่งองค์ในข้อหาฟอกเงิน สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสยังทรงแต่งตั้งผู้ตรวจบัญชีทั่วไปที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการตรวจสอบแบบสุ่มของหน่วยงานใด ๆ ได้ตลอดเวลา และได้ว่าจ้างบริษัทบริการทางการเงินของสหรัฐฯ เพื่อตรวจสอบบัญชี 19,000 บัญชีของวาติกันเพื่อให้แน่ใจว่าสอดคล้องกับหลักปฏิบัติสากลในการฟอกเงิน พระสันตะปาปายังทรงมีพระบัญชาให้การบริหารจัดการทรัพย์สินของสันตะสำนักเป็นธนาคารกลางของวาติกัน โดยมีหน้าที่ความรับผิดชอบคล้ายกับธนาคารกลางอื่น ๆ ทั่วโลก
ในปี ค.ศ. 2022 วาติกันวางแผนที่จะเปิดตัวNFT ของคอลเล็กชันพิพิธภัณฑ์ของตน
โครงสร้างรายรับหลักของวาติกันมาจากเงินบริจาคที่เรียกว่า "เงินปีเตอร์สเพนซ์" (Peter's Pence) ซึ่งเป็นเงินบริจาคจากคริสตชนคาทอลิกทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีรายได้จากพิพิธภัณฑ์ การขายแสตมป์และเหรียญที่ระลึก การพิมพ์ และรายได้จากการลงทุนทางการเงิน งบประมาณของวาติกันโดยทั่วไปจะถูกนำเสนอต่อสาธารณะ แม้ว่ารายละเอียดเชิงลึกอาจมีจำกัด การจัดการทางการเงินของวาติกันเผชิญกับความท้าทายในเรื่องความโปร่งใสและการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล ซึ่งนำไปสู่การปฏิรูปในระยะหลังเพื่อปรับปรุงการกำกับดูแลและความรับผิดชอบทางการเงิน
7.2. อุตสาหกรรมหลักและแหล่งรายได้
นครรัฐวาติกันไม่มีอุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่หรือภาคเกษตรกรรมที่สำคัญ แหล่งรายได้หลักมาจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสถานะทางศาสนาและวัฒนธรรม ได้แก่:
- การท่องเที่ยว:** พิพิธภัณฑ์วาติกัน รวมถึงโบสถ์น้อยซิสทีน และมหาวิหารนักบุญเปโตร ดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายล้านคนต่อปี รายได้จากค่าเข้าชมและยอดขายสินค้าที่เกี่ยวข้องเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญ
- การขายแสตมป์และเหรียญที่ระลึก:** แสตมป์และเหรียญกษาปณ์ที่ออกโดยวาติกันเป็นที่ต้องการของนักสะสมทั่วโลก สร้างรายได้จำนวนมาก
- สิ่งพิมพ์:** วาติกันมีสำนักพิมพ์ของตนเอง (Vatican Publishing House หรือ Libreria Editrice Vaticana) ที่ผลิตและจำหน่ายหนังสือ เอกสารทางศาสนา และสิ่งพิมพ์อื่น ๆ
- เงินปีเตอร์สเพนซ์ (Peter's Pence):** เงินบริจาคจากคริสตชนคาทอลิกทั่วโลกที่มอบให้แก่พระสันตะปาปาเพื่อใช้ในกิจการของศาสนจักรและงานการกุศล
- รายได้จากการลงทุน:** สถาบันเพื่องานศาสนา (IOR) หรือที่รู้จักกันในชื่อธนาคารวาติกัน บริหารจัดการทรัพย์สินและทำการลงทุน ซึ่งสร้างรายได้ให้กับสันตะสำนัก
- ค่าเช่าทรัพย์สิน:** สันตะสำนักเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากในกรุงโรมและที่อื่น ๆ ซึ่งสร้างรายได้ค่าเช่า
การพิจารณาอุตสาหกรรมเหล่านี้จากมุมมองเสรีนิยมสังคมนิยม ควรคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและจริยธรรม เช่น สภาพการจ้างงานและสิทธิแรงงานของพนักงานในภาคการท่องเที่ยวและบริการของวาติกัน ความโปร่งใสและการใช้จ่ายเงินบริจาคและรายได้จากการลงทุน และความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจกรรมทางเศรษฐกิจเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น การท่องเที่ยวจำนวนมากอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของมรดกทางวัฒนธรรม ในขณะที่การลงทุนทางการเงินควรเป็นไปตามหลักการทางจริยธรรมและไม่สนับสนุนกิจกรรมที่ขัดต่อคำสอนของศาสนจักรหรือส่งผลเสียต่อสังคม
7.3. สกุลเงิน
สกุลเงินอย่างเป็นทางการที่ใช้ในนครรัฐวาติกันคือ ยูโร (€) นครรัฐวาติกันเริ่มใช้เงินยูโรเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1999 พร้อมกับการก่อตั้งยูโรโซน แม้ว่าวาติกันจะไม่ได้เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป แต่ก็ได้รับอนุญาตให้ใช้เงินยูโรและออกเหรียญยูโรของตนเองได้ตามข้อตกลงทางการเงินกับอิตาลี (ในนามของสหภาพยุโรป) ข้อตกลงนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากความสัมพันธ์ทางการเงินที่ใกล้ชิดระหว่างวาติกันกับอิตาลีก่อนการนำเงินยูโรมาใช้
ก่อนการใช้เงินยูโรในปี ค.ศ. 2002 (เมื่อเหรียญและธนบัตรยูโรเริ่มหมุนเวียน) สกุลเงินอย่างเป็นทางการของนครรัฐวาติกันคือ ลีราวาติกัน (Vatican Lira) ซึ่งผูกค่าเงินไว้กับลีราอิตาลีในอัตราส่วน 1:1
ลักษณะของเหรียญยูโรที่ออกโดยวาติกัน:
- เหรียญยูโรของวาติกันมีการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมักจะมีพระรูปของสมเด็จพระสันตะปาปาผู้ทรงครองสมณสมัยในขณะนั้นอยู่บนด้านหน้าของเหรียญ
- เนื่องจากมีการผลิตในจำนวนจำกัด เหรียญยูโรของวาติกันจึงเป็นที่ต้องการอย่างสูงในหมู่นักสะสมเหรียญ และมักมีมูลค่าในตลาดนักสะสมสูงกว่ามูลค่าหน้าเหรียญ
- การออกแบบเหรียญจะมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อมีการเปลี่ยนพระสันตะปาปา หรือในโอกาสพิเศษต่าง ๆ
- แม้ว่าวาติกันจะออกเหรียญยูโรของตนเอง แต่ก็ไม่ได้ออกธนบัตรยูโร ธนบัตรยูโรที่ใช้ในวาติกันมาจากประเทศอื่น ๆ ในยูโรโซน
การใช้เงินยูโรช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมทางการเงินและการท่องเที่ยวในนครรัฐวาติกัน เนื่องจากเป็นสกุลเงินที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในยุโรป
7.4. สถาบันเพื่อกิจการศาสนา (ธนาคารวาติกัน)
สถาบันเพื่อกิจการศาสนา (Istituto per le Opere di Religioneอิสตีตูโต แปร์ เล โอเปเร ดี เรลีโจเนภาษาอิตาลี - IOR) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ธนาคารวาติกัน เป็นสถาบันการเงินเอกชนที่ตั้งอยู่ในนครรัฐวาติกัน ก่อตั้งขึ้นโดยสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12 ในปี ค.ศ. 1942 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ "ดูแลและบริหารจัดการทรัพย์สินที่เคลื่อนย้ายได้และอสังหาริมทรัพย์ที่โอนหรือมอบหมายให้สถาบันโดยบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล และซึ่งมีจุดประสงค์เพื่องานศาสนาหรือการกุศล"
- หน้าที่หลัก:**
- ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ IOR:**
IOR เผชิญกับข้อกล่าวหาและเรื่องอื้อฉาวหลายครั้งในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความโปร่งใส การกำกับดูแล และการถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและกิจกรรมทางการเงินที่ผิดกฎหมาย กรณีที่โด่งดังที่สุดคือการล้มละลายของธนาคารอัมโบรเซียโน (Banco Ambrosiano) ในปี ค.ศ. 1982 ซึ่ง IOR เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และความเกี่ยวข้องกับรอแบร์โต กัลวี ประธานธนาคารดังกล่าว
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 และสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ได้มีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการปฏิรูป IOR เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและปรับปรุงการกำกับดูแลให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในการต่อต้านการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ซึ่งรวมถึงการจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินอิสระ (Financial Information Authority - AIF ซึ่งปัจจุบันคือ Supervisory and Financial Information Authority - ASIF) การทบทวนบัญชีลูกค้า และการเสริมสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลระหว่างประเทศ
- การพิจารณาถึงความโปร่งใสและผลกระทบทางสังคม:**
จากมุมมองเสรีนิยมสังคมนิยม ความโปร่งใสและการตรวจสอบได้ของสถาบันการเงินเช่น IOR มีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินงานเป็นไปอย่างมีจริยธรรมและไม่ส่งผลกระทบทางลบต่อสังคม การปฏิรูปที่มุ่งเน้นความโปร่งใสและการปฏิบัติตามกฎระเบียบสากลถือเป็นก้าวสำคัญ อย่างไรก็ตาม การประเมินผลกระทบทางสังคมของ IOR ยังต้องพิจารณาถึงนโยบายการลงทุนของสถาบันว่าสอดคล้องกับคำสอนทางสังคมของศาสนจักรหรือไม่ เช่น การหลีกเลี่ยงการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมหรือละเมิดสิทธิมนุษยชน และการส่งเสริมการลงทุนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม การสร้างความเชื่อมั่นว่าทรัพย์สินที่บริหารจัดการโดย IOR นั้นถูกนำไปใช้อย่างแท้จริงเพื่องานศาสนาและการกุศลตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เป็นสิ่งสำคัญต่อความน่าเชื่อถือของสถาบันและของสันตะสำนักโดยรวม
8. โครงสร้างพื้นฐาน
แม้จะมีขนาดเล็ก นครรัฐวาติกันก็มีโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการดำเนินงานในฐานะรัฐอิสระและศูนย์กลางของศาสนจักรคาทอลิก โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้สนับสนุนกิจกรรมทางศาสนา การบริหาร และการท่องเที่ยว
8.1. การคมนาคม
นครรัฐวาติกันมีเครือข่ายการคมนาคมที่พัฒนาพอสมควรเมื่อพิจารณาจากขนาดของรัฐ (ส่วนใหญ่ประกอบด้วยจัตุรัสและทางเดินเท้า) ในฐานะรัฐที่มีความยาว 1.05 km และกว้าง 0.85 km จึงมีระบบการคมนาคมขนาดเล็ก ไม่มีสนามบินหรือทางหลวง
สิ่งอำนวยความสะดวกด้านการบินเพียงแห่งเดียวในนครรัฐวาติกันคือลานจอดเฮลิคอปเตอร์นครรัฐวาติกัน นครรัฐวาติกันเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศเอกราชที่ไม่มีสนามบิน และใช้บริการสนามบินที่ให้บริการแก่กรุงโรม ได้แก่ ท่าอากาศยานเลโอนาร์โด ดา วินชี-ฟีอูมีชีโน และในระดับที่น้อยกว่าคือ ท่าอากาศยานโรมชัมปีโน
มีรถไฟวาติกันรางมาตรฐานและสถานีรถไฟนครรัฐวาติกัน ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในการขนส่งสินค้า เชื่อมต่อกับเครือข่ายของอิตาลีที่สถานีรถไฟโรมาซันปีเอโตรด้วยทางรถไฟสาขายาว 852 m ซึ่ง 300 m อยู่ในอาณาเขตของวาติกัน สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 23เป็นพระสันตะปาปาพระองค์แรกที่ทรงใช้รถไฟ สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2แทบไม่ได้ทรงใช้
สถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุดคือ ออตตาวีอาโน - ซันปีเอโตร - มูเซอีวาตีกานี
การเชื่อมต่อกับกรุงโรมและอิตาลีโดยรวมเป็นไปอย่างราบรื่น เนื่องจากไม่มีการควบคุมพรมแดนอย่างเข้มงวดสำหรับการสัญจรไปมาของผู้คน การเข้าถึงนครรัฐวาติกันสำหรับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ทำได้โดยการเดินเท้าหรือใช้ระบบขนส่งสาธารณะของกรุงโรม
8.2. การสื่อสารและสื่อมวลชน

นครรัฐวาติกันมีระบบการสื่อสารและสื่อมวลชนที่เป็นอิสระและทันสมัย เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของสันตะสำนักและเผยแพร่ข่าวสารไปยังทั่วโลก
- โทรศัพท์:** นครรัฐวาติกันมีระบบโทรศัพท์อิสระและทันสมัยของตนเองชื่อว่า บริการโทรศัพท์วาติกัน (Vatican Telephone Service)
- อินเทอร์เน็ต:** นครรัฐวาติกันควบคุมโดเมนระดับบนสุดทางอินเทอร์เน็ตของตนเองคือ .va มีบริการบรอดแบนด์ใช้อย่างแพร่หลายภายในนครรัฐวาติกัน
- วิทยุ:** วิทยุวาติกัน (Vatican Radio) ก่อตั้งโดยกูลเยลโม มาร์โกนี ออกอากาศทางคลื่นสั้น คลื่นกลาง และ FM รวมถึงทางอินเทอร์เน็ต เสาอากาศส่งสัญญาณหลักตั้งอยู่ในดินแดนอิตาลี และเกินระดับการปล่อยมลพิษตามมาตรฐานการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของอิตาลี ด้วยเหตุนี้ วิทยุวาติกันจึงเคยถูกฟ้องร้อง
- โทรทัศน์:** บริการโทรทัศน์ให้บริการผ่านหน่วยงานอีกแห่งหนึ่งคือ ศูนย์โทรทัศน์วาติกัน (Vatican Television Center หรือ CTV ปัจจุบันคือ Vatican Media)
- หนังสือพิมพ์:** ลอสแซร์วาตอเร โรมาโน (L'Osservatore Romano) เป็นหนังสือพิมพ์กึ่งทางการหลายภาษาของสันตะสำนัก จัดพิมพ์โดยบริษัทเอกชนภายใต้การกำกับดูแลของฆราวาสคาทอลิก แต่รายงานข้อมูลที่เป็นทางการ อย่างไรก็ตาม เอกสารที่เป็นทางการจะอยู่ใน รายงานกิจการของสันตะสำนัก (Acta Apostolicae Sedis) ซึ่งเป็นราชกิจจานุเบกษาอย่างเป็นทางการของสันตะสำนัก และมีภาคผนวกสำหรับเอกสารของนครรัฐวาติกัน
- สำนักข่าว:** สำนักข่าววาติกัน (Vatican News) เป็นพอร์ทัลข้อมูลอย่างเป็นทางการของสันตะสำนัก ให้บริการข่าวสารในหลายภาษา
วิทยุวาติกัน ศูนย์โทรทัศน์วาติกัน และลอสแซร์วาตอเร โรมาโน ไม่ได้เป็นหน่วยงานของรัฐวาติกัน แต่เป็นของสันตะสำนัก และมีรายชื่ออยู่ใน สมุดรายนามพระสันตะปาปา (Annuario Pontificio) ซึ่งจัดให้อยู่ในหมวด "สถาบันที่เชื่อมโยงกับสันตะสำนัก" ก่อนหน้าหมวดเกี่ยวกับหน่วยงานทางการทูตของสันตะสำนักในต่างประเทศและคณะทูตานุทูตที่ได้รับการรับรองจากสันตะสำนัก หลังจากนั้นจึงเป็นหมวดเกี่ยวกับรัฐนครรัฐวาติกัน
การสื่อสารและสื่อมวลชนของวาติกันมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่คำสอนของศาสนจักรคาทอลิก ข่าวสารเกี่ยวกับกิจกรรมของพระสันตะปาปาและสันตะสำนัก และการแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโลก จากมุมมองเสรีนิยมสังคมนิยม การเข้าถึงข้อมูลอย่างเสรีและความหลากหลายของความคิดเห็นเป็นสิ่งสำคัญ สื่อของวาติกัน แม้จะมีภารกิจหลักในการเผยแพร่ศาสนา ก็ควรเปิดกว้างต่อการวิพากษ์วิจารณ์และให้พื้นที่สำหรับมุมมองที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมทางสังคม
8.2.1. บริการไปรษณีย์

ระบบไปรษณีย์ (โปสเต วาตีกาเน) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1929 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม รัฐเริ่มออกแสตมป์ไปรษณีย์ของตนเอง ภายใต้อำนาจของสำนักงานปรัชญาและเหรียญกษาปณ์แห่งนครรัฐวาติกัน บริการไปรษณีย์ของเมืองนี้บางครั้งกล่าวกันว่าเป็น "ดีที่สุดในโลก" และเร็วกว่าบริการไปรษณีย์ในกรุงโรม
รหัสประเทศทางไปรษณีย์ระหว่างประเทศคือ SCV และรหัสไปรษณีย์เพียงรหัสเดียวคือ 00120 - รวมเป็น SCV-00120
บริการไปรษณีย์วาติกันมีชื่อเสียงในด้านประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือ แสตมป์ของวาติกันเป็นที่ต้องการของนักสะสมทั่วโลก และเป็นแหล่งรายได้เล็กน้อยสำหรับนครรัฐ การดำเนินงานของบริการไปรษณีย์สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอิสระของนครรัฐวาติกันในด้านการสื่อสารพื้นฐาน
8.3. สาธารณสุข
นครรัฐวาติกันมีระบบการดูแลสุขภาพของตนเองเพื่อให้บริการแก่ผู้อยู่อาศัย พนักงาน และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสันตะสำนัก แม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีสถานพยาบาลหลักที่เรียกว่า "Fondo Assistenza Sanitaria" (FAS) ซึ่งเป็นกองทุนช่วยเหลือด้านสุขภาพ ทำหน้าที่คล้ายกับระบบประกันสุขภาพ
- บริการทางการแพทย์:** FAS ให้บริการทางการแพทย์ขั้นพื้นฐาน รวมถึงการตรวจรักษาโดยแพทย์ทั่วไปและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญบางสาขา นอกจากนี้ยังมีร้านขายยาของวาติกัน (Vatican Pharmacy) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่ามีผลิตภัณฑ์ยาที่หลากหลายและบางครั้งอาจหายากในอิตาลี
- ความร่วมมือกับอิตาลี:** สำหรับการรักษาพยาบาลที่ซับซ้อนหรือเฉพาะทางมากขึ้น นครรัฐวาติกันจะอาศัยความร่วมมือกับโรงพยาบาลและสถานพยาบาลในกรุงโรมและอิตาลีโดยรวม พลเมืองและพนักงานของวาติกันสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ของอิตาลีได้ตามข้อตกลงระหว่างสองรัฐ
- โรงพยาบาลเด็กพระกุมารเยซู (Bambino Gesù Hospital):** แม้ว่าจะตั้งอยู่ในกรุงโรมและเป็นส่วนหนึ่งของระบบสาธารณสุขของอิตาลี แต่โรงพยาบาลเด็กแห่งนี้เป็นทรัพย์สินของสันตะสำนักและถือเป็นหนึ่งในศูนย์การแพทย์เด็กที่สำคัญที่สุดในยุโรป ให้บริการการรักษาพยาบาลแก่เด็ก ๆ โดยไม่คำนึงถึงภูมิหลังทางศาสนาหรือชาติพันธุ์ และมีบทบาทสำคัญในการวิจัยทางการแพทย์
จากมุมมองเสรีนิยมสังคมนิยม การเข้าถึงการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ระบบสาธารณสุขของวาติกัน แม้จะมีขนาดเล็กและต้องพึ่งพาความร่วมมือจากภายนอก ก็ควรพยายามให้บริการที่ดีที่สุดแก่ผู้มีสิทธิได้รับบริการ การดำเนินงานของโรงพยาบาลเด็กพระกุมารเยซู ซึ่งเน้นการให้บริการแก่เด็กที่เจ็บป่วยโดยไม่เลือกปฏิบัติ สอดคล้องกับหลักการความยุติธรรมทางสังคมและการดูแลผู้ด้อยโอกาส อย่างไรก็ตาม การพิจารณาถึงสิทธิของพนักงานในวาติกันในการเข้าถึงการดูแลสุขภาพที่ครอบคลุมและมีคุณภาพ รวมถึงสภาพการทำงานของผู้ให้บริการด้านสุขภาพ ก็เป็นประเด็นที่สำคัญเช่นกัน
8.4. สิ่งแวดล้อมและการรีไซเคิล
นครรัฐวาติกันได้แสดงความมุ่งมั่นในการปกป้องสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมนโยบายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับคำสอนของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระสมณสาสน์ เลาดาโตซี (Laudato si') ที่เรียกร้องให้มีการดูแล "บ้านร่วมของเรา"
- ความพยายามในการปกป้องสิ่งแวดล้อมและนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน:**
- สถานะการรีไซเคิลขยะ:**
ความพยายามเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักที่เพิ่มขึ้นของวาติกันต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมและความมุ่งมั่นในการเป็นแบบอย่างที่ดีในการดูแลรักษาโลก จากมุมมองเสรีนิยมสังคมนิยม การปกป้องสิ่งแวดล้อมถือเป็นส่วนสำคัญของความยุติธรรมทางสังคม เนื่องจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมลภาวะมักส่งผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางมากที่สุด การดำเนินนโยบายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการส่งเสริมความยั่งยืนจึงสอดคล้องกับหลักการของการดูแลผู้ด้อยโอกาสและการสร้างสังคมที่เป็นธรรม
9. ประชากร
นครรัฐวาติกันมีลักษณะทางประชากรศาสตร์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เนื่องจากสถานะพิเศษในฐานะศูนย์กลางของศาสนจักรคาทอลิกและเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสันตะปาปา จำนวนประชากรมีขนาดเล็กมากและส่วนใหญ่ประกอบด้วยบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของสันตะสำนักและนครรัฐวาติกัน การพิจารณาประเด็นเกี่ยวกับสิทธิของกลุ่มน้อยและกลุ่มเปราะบาง หากมีข้อมูล จะต้องคำนึงถึงบริบทเฉพาะของรัฐนี้
9.1. องค์ประกอบของประชากร
ณ ปี ค.ศ. 2023 นครรัฐวาติกันมีประชากรประมาณ 764 คน โดยไม่คำนึงถึงสัญชาติ นอกจากนี้ยังมีพลเมืองวาติกันอีก 372 คนที่พำนักอยู่ที่อื่น ซึ่งประกอบด้วยนักการทูตของสันตะสำนักประจำประเทศอื่น ๆ และพระคาร์ดินัลที่พำนักในกรุงโรม
ประชากรประกอบด้วยนักบวช สมาชิกทางศาสนาอื่น ๆ ฆราวาสที่รับใช้รัฐ (เช่น องครักษ์สวิส) และสมาชิกในครอบครัวของพวกเขา ในปี ค.ศ. 2013 มีครอบครัวของพนักงานสันตะสำนัก 13 ครอบครัวอาศัยอยู่ในนครรัฐวาติกัน ในปี ค.ศ. 2019 มีบุตรขององครักษ์สวิส 20 คนอาศัยอยู่ในวาติกัน พลเมือง ผู้อยู่อาศัย และสถานที่สักการะทั้งหมดในเมืองเป็นคริสตจักรคาทอลิก นอกจากนี้ เมืองยังต้อนรับนักท่องเที่ยวและคนงานหลายพันคนทุกวัน
- ลักษณะทางประชากรศาสตร์:**
- องค์ประกอบตามอาชีพ:** ประชากรส่วนใหญ่เป็นนักบวช (พระคาร์ดินัล มุขนายก บาทหลวง) และเจ้าหน้าที่ที่ทำงานให้กับสันตะสำนักและหน่วยงานต่าง ๆ ของนครรัฐวาติกัน นอกจากนี้ยังมีองครักษ์สวิสและครอบครัวของพวกเขา รวมถึงฆราวาสจำนวนไม่มากที่ทำงานในตำแหน่งต่าง ๆ
- องค์ประกอบตามเพศ:** เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่เป็นนักบวชชายและองครักษ์สวิส (ซึ่งตามธรรมเนียมรับเฉพาะชาย) จึงมีสัดส่วนของเพศชายสูงกว่าเพศหญิงอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ก็มีสตรีจำนวนหนึ่งที่ทำงานในวาติกันและบางส่วนก็เป็นพลเมืองหรือผู้พำนักอาศัย
- องค์ประกอบตามสัญชาติ:** พลเมืองและผู้พำนักอาศัยในวาติกันมาจากหลากหลายสัญชาติทั่วโลก สะท้อนถึงความเป็นสากลของศาสนจักรคาทอลิก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ชาวอิตาลีจึงเป็นกลุ่มที่พำนักอาศัยและทำงานในวาติกันเป็นจำนวนมาก แม้ว่าพวกเขาอาจไม่ได้ถือสัญชาติวาติกันก็ตาม
การพิจารณาสิทธิของกลุ่มน้อยและกลุ่มเปราะบางในบริบทของวาติกันนั้นมีความซับซ้อน เนื่องจากลักษณะเฉพาะของรัฐนี้ กลุ่มที่อาจถือเป็น "กลุ่มน้อย" ในบริบทอื่น ๆ (เช่น ชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์หรือศาสนา) อาจไม่มีนัยสำคัญในวาติกันซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวคาทอลิกและเกี่ยวข้องกับศาสนจักร อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่อาจเกี่ยวข้องกับสิทธิของกลุ่มเปราะบางอาจรวมถึงสิทธิแรงงานของพนักงานฆราวาส (โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้ถือสัญชาติวาติกัน) ความเสมอภาคทางเพศในโอกาสการทำงานและการมีส่วนร่วมในศาสนจักร และการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษในหมู่ผู้อยู่อาศัย การพิจารณาประเด็นเหล่านี้จากมุมมองเสรีนิยมสังคมนิยมจะเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความเคารพและยุติธรรม และการรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานของพวกเขา
องค์ประกอบประชากรนครรัฐวาติกัน ณ วันที่ 26 มิถุนายน 2023 เพศ ทั้งหมด สัญชาติ วาติกัน อื่น ๆ สถานะการพำนัก อื่น ๆ นครรัฐวาติกัน สมเด็จพระสันตะปาปา 1 พระคาร์ดินัล 55 9 นักการทูต 317 องครักษ์สวิส 104 อื่น ๆ 132 518 รวม 618 518 372 246 764 1,136 องค์ประกอบประชากรนครรัฐวาติกัน ณ วันที่ 1 มีนาคม 2011 เพศ ทั้งหมด ชาย หญิง สัญชาติ วาติกัน อื่น ๆ วาติกัน อื่น ๆ วาติกัน อื่น ๆ สถานะการพำนัก อื่น ๆ นครรัฐวาติกัน อื่น ๆ นครรัฐวาติกัน อื่น ๆ นครรัฐวาติกัน สมเด็จพระสันตะปาปา 1 1 พระคาร์ดินัล 43 30 43 30 นักการทูต 306 306 องครักษ์สวิส 86 86 นักบวชอื่น ๆ 50 197 49 102 1 95 ฆราวาสอื่น ๆ 56 24 25 3 31 21 รวม 572 221 540 105 32 116 349 223 349 191 32 444 296 148 793 645 148
9.2. ภาษา
นครรัฐวาติกันไม่มีการกำหนดภาษาทางการอย่างเป็นทางการ แต่แตกต่างจากสันตะสำนักซึ่งส่วนใหญ่มักใช้ภาษาละตินสำหรับเอกสารทางการฉบับที่มีอำนาจ นครรัฐวาติกันใช้เฉพาะภาษาอิตาลีในกฎหมายและการสื่อสารอย่างเป็นทางการ ภาษาอิตาลียังเป็นภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวันโดยคนส่วนใหญ่ที่ทำงานในรัฐ ในองครักษ์สวิส ภาษาเยอรมันสวิสเป็นภาษาที่ใช้ในการออกคำสั่ง แต่ทหารองครักษ์แต่ละคนจะกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณตนในภาษาของตนเอง ได้แก่ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี หรือภาษาโรมานช์ เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสันตะสำนักและของนครรัฐวาติกันส่วนใหญ่เป็นภาษาอิตาลี โดยมีหน้าเว็บในภาษาต่าง ๆ จำนวนมากในระดับที่แตกต่างกันไป
9.3. สัญชาติ

แตกต่างจากสัญชาติของรัฐอื่น ๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับหลัก jus sanguinis (การเกิดจากพลเมือง แม้จะอยู่นอกอาณาเขตของรัฐ) หรือหลัก jus soli (การเกิดภายในอาณาเขตของรัฐ) สัญชาติของนครรัฐวาติกันจะมอบให้ตามหลัก jus officii (สิทธิโดยตำแหน่ง) กล่าวคือ บนพื้นฐานของการได้รับการแต่งตั้งให้ทำงานในตำแหน่งหน้าที่เฉพาะในการรับใช้สันตะสำนัก โดยปกติแล้วสัญชาติจะสิ้นสุดลงเมื่อสิ้นสุดการแต่งตั้งนั้น สัญชาติยังขยายไปถึงคู่สมรสและบุตรของพลเมืองด้วย โดยมีเงื่อนไขว่าพวกเขาจะต้องอาศัยอยู่ด้วยกันในเมือง บางคนได้รับอนุญาตให้อยู่อาศัยในเมือง แต่ไม่ผ่านเกณฑ์หรือเลือกที่จะไม่ขอสัญชาติ ผู้ใดก็ตามที่สูญเสียสัญชาติวาติกันและไม่ได้ถือสัญชาติอื่นใด จะกลายเป็นพลเมืองอิตาลีโดยอัตโนมัติตามที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญาลาเตรัน
สันตะสำนัก ซึ่งไม่ใช่ประเทศ จะออกเฉพาะหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ ในขณะที่นครรัฐวาติกันจะออกหนังสือเดินทางปกติสำหรับพลเมืองของตน
การได้รับสัญชาติวาติกันจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเกิดหรือเชื้อชาติ แต่ขึ้นอยู่กับบทบาทหน้าที่ในการรับใช้ศาสนจักร ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะที่สะท้อนถึงสถานะพิเศษของนครรัฐวาติกัน
9.4. ความผิดปกติทางสถิติ
ในสถิติที่เปรียบเทียบประเทศต่าง ๆ ในตัวชี้วัดต่อหัวหรือต่อพื้นที่ นครรัฐวาติกันมักจะเป็นค่าผิดปกติ (outlier) ซึ่งอาจเกิดจากขนาดที่เล็กและหน้าที่ทางศาสนาของรัฐ ตัวอย่างเช่น เนื่องจากบทบาทส่วนใหญ่ที่ให้สัญชาติสงวนไว้สำหรับผู้ชาย อัตราส่วนเพศของพลเมืองจึงเป็นชายหลายคนต่อผู้หญิงหนึ่งคน ความผิดปกติเพิ่มเติมคืออาชญากรรมเล็กน้อยต่อนักท่องเที่ยวส่งผลให้อัตราการเกิดอาชญากรรมต่อหัวสูงมาก และนครรัฐเป็นผู้นำของโลกในการบริโภคไวน์ต่อหัวเนื่องจากการใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา ภาพประกอบที่ตลกขบขันของความผิดปกติเหล่านี้บางครั้งทำได้โดยการคำนวณสถิติ "จำนวนพระสันตะปาปาต่อตารางกิโลเมตร" ซึ่งมากกว่าสอง เนื่องจากประเทศมีพื้นที่น้อยกว่าครึ่งตารางกิโลเมตร
10. วัฒนธรรม

นครรัฐวาติกันเป็นที่ตั้งของมรดกทางวัฒนธรรมอันรุ่มรวย ศิลปะที่ทรงคุณค่า สถาบันทางวิชาการ และกิจกรรมกีฬาบางประเภท ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทในฐานะศูนย์กลางของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและรัฐอิสระที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
10.1. มรดกทางวัฒนธรรม

นครรัฐวาติกันเป็นที่ตั้งของศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกบางชิ้น มหาวิหารนักบุญเปโตร ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกรุ่นต่อรุ่น ได้แก่ บรามันเต มีเกลันเจโล จาโกโม เดลลา ปอร์ตา มาแดร์โน และเบร์นีนี เป็นผลงานสถาปัตยกรรมสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาที่มีชื่อเสียง โบสถ์น้อยซิสทีนมีชื่อเสียงด้านภาพปูนเปียก ซึ่งรวมถึงผลงานของเปรูจีโน โดเมนีโก กีร์ลันดาโย และบอตติเชลลี รวมถึงเพดานและการพิพากษาครั้งสุดท้ายโดยมีเกลันเจโล การตกแต่งภายในของวาติกันได้รับการตกแต่งโดยศิลปิน ได้แก่ ราฟาเอลและฟราอันเจลีโก
หอสมุดเผยแพร่ศาสนาวาติกันและคอลเล็กชันของพิพิธภัณฑ์วาติกันมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมสูงสุด ในปี ค.ศ. 1984 ยูเนสโกได้เพิ่มวาติกันเข้าไปในรายชื่อแหล่งมรดกโลก วาติกันเป็นแหล่งมรดกโลกเพียงแห่งเดียวที่ประกอบด้วยรัฐทั้งรัฐ นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโกเพียงแห่งเดียวที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น ศูนย์กลางที่ประกอบด้วยอนุสรณ์สถาน ใน "ทะเบียนทรัพย์สินทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศภายใต้การคุ้มครองพิเศษ" ตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินทางวัฒนธรรมในกรณีที่เกิดการขัดกันทางอาวุธ ปี ค.ศ. 1954
ทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญอื่น ๆ ได้แก่ พระราชวังพระสันตะปาปา หอจดหมายเหตุลับวาติกัน (ปัจจุบันคือหอจดหมายเหตุเผยแพร่ศาสนาวาติกัน) และสวนวาติกัน ความสำคัญของนครรัฐวาติกันในฐานะมรดกโลกไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่คุณค่าทางศิลปะและสถาปัตยกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบทบาทในฐานะศูนย์กลางทางจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์ของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมและอารยธรรมตะวันตกมานานหลายศตวรรษ
10.2. ศิลปะและสถาปัตยกรรม

นครรัฐวาติกันเป็นที่ตั้งของผลงานศิลปะและสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกหลายชิ้น ซึ่งส่วนใหญ่สะท้อนถึงความรุ่งเรืองของศิลปะในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาและสมัยบาโรก โครงสร้างสถาปัตยกรรมที่เป็นตัวแทนของวาติกัน ได้แก่:
- มหาวิหารนักบุญเปโตร (St. Peter's Basilica):** เป็นโบสถ์คริสต์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และถือเป็นผลงานชิ้นเอกของสถาปัตยกรรมฟื้นฟูศิลปวิทยาและบาโรก ออกแบบและก่อสร้างโดยสถาปนิกและศิลปินชื่อดังหลายคน เช่น โดนาโต บรามันเต มีเกลันเจโล การ์โล มาแดร์โน และจัน โลเรนโซ แบร์นีนี ภายในประดับประดาด้วยงานศิลปะอันล้ำค่า เช่น ปิเอตาของมีเกลันเจโล และบัลลังก์นักบุญเปโตรของแบร์นีนี
- โบสถ์น้อยซิสทีน (Sistine Chapel):** มีชื่อเสียงไปทั่วโลกจากภาพปูนเปียก (fresco) ที่งดงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพบนเพดานที่สร้างสรรค์โดยมีเกลันเจโล ซึ่งรวมถึงภาพ "การสร้างอาดัม" และภาพ "การพิพากษาครั้งสุดท้าย" บนผนังแท่นบูชา นอกจากนี้ยังมีภาพวาดฝาผนังโดยศิลปินชั้นนำคนอื่น ๆ ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา เช่น ซันโดร บอตติเชลลี เปียโตร เปรูจีโน และโดเมนีโก กีร์ลันดาโย
- พระราชวังพระสันตะปาปา (Apostolic Palace):** เป็นที่ประทับอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระสันตะปาปา และเป็นที่ตั้งของห้องชุดต่าง ๆ ที่ตกแต่งด้วยงานศิลปะอันวิจิตร เช่น ห้องราฟาเอล (Raphael Rooms) ซึ่งมีภาพวาดฝาผนังโดยราฟาเอลและลูกศิษย์
- สวนวาติกัน (Vatican Gardens):** ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของนครรัฐวาติกัน ประกอบด้วยสวนที่ออกแบบอย่างสวยงาม น้ำพุ และประติมากรรมต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนถึงภูมิทัศน์สถาปัตยกรรมในยุคต่าง ๆ
งานศิลปะในวาติกันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ภาพวาดและประติมากรรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพรมทอ งานโมเสก งานโลหะ และศิลปวัตถุอื่น ๆ ที่รวบรวมไว้เป็นเวลาหลายศตวรรษ ศิลปะเหล่านี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความศรัทธาทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงอำนาจ อิทธิพล และความมั่งคั่งของสถาบันสันตะปาปาในอดีตด้วย การพิจารณาผลงานเหล่านี้จากมุมมองเสรีนิยมสังคมนิยม อาจรวมถึงการตั้งคำถามเกี่ยวกับที่มาของความมั่งคั่งที่ใช้ในการสร้างสรรค์ผลงานเหล่านี้ และการเข้าถึงมรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้ของสาธารณชนในวงกว้าง
10.3. พิพิธภัณฑ์และห้องสมุด
นครรัฐวาติกันเป็นที่ตั้งของสถาบันทางวัฒนธรรมและวิชาการที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้แก่ พิพิธภัณฑ์วาติกันและหอสมุดวาติกัน ซึ่งเก็บรักษามรดกทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวรรณกรรมอันล้ำค่า
- พิพิธภัณฑ์วาติกัน (Vatican Museums / Musei Vaticani):**
- ประวัติ:** พิพิธภัณฑ์วาติกันก่อตั้งขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 และได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่องตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา จนกลายเป็นกลุ่มพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
- ของสะสมที่สำคัญ:** พิพิธภัณฑ์วาติกันจัดแสดงผลงานศิลปะและโบราณวัตถุจำนวนมหาศาลจากหลากหลายอารยธรรมและยุคสมัย รวมถึง:
- ประติมากรรมกรีกและโรมันโบราณ:** เช่น รูปปั้นเลาโคอนและบุตรชาย (Laocoön and His Sons) และอะพอลโลเบลเวเดียร์ (Apollo Belvedere)
- ศิลปะอียิปต์โบราณและอีทรัสคัน**
- ศิลปะคริสเตียนยุคแรกและยุคกลาง**
- ผลงานชิ้นเอกของศิลปินสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา:** รวมถึงห้องราฟาเอล (Raphael Rooms) และโบสถ์น้อยซิสทีน (Sistine Chapel) ซึ่งมีภาพวาดเพดานและภาพการพิพากษาครั้งสุดท้ายโดยมีเกลันเจโล
- หอศิลป์ภาพวาด (Pinacoteca):** จัดแสดงภาพวาดของปรมาจารย์ชาวอิตาลี เช่น ราฟาเอล เลโอนาร์โด ดา วินชี และคาราวัจโจ
- คอลเล็กชันศิลปะร่วมสมัย**
- คุณค่าทางวิชาการ:** พิพิธภัณฑ์วาติกันไม่เพียงแต่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางการวิจัยและการศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีอีกด้วย
- หอสมุดวาติกัน (Vatican Library / Biblioteca Apostolica Vaticana):**
- ประวัติ:** หอสมุดวาติกันเป็นหนึ่งในหอสมุดที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในศตวรรษที่ 15 โดยสมเด็จพระสันตะปาปานิโคลัสที่ 5 แม้ว่าจะมีคอลเล็กชันเอกสารย้อนกลับไปได้ถึงยุคแรกของศาสนจักร
- ของสะสมที่สำคัญ:** หอสมุดวาติกันเก็บรักษาเอกสารตัวเขียนโบราณ (manuscripts) หนังสือหายาก และเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์จำนวนมหาศาล รวมถึง:
- เอกสารตัวเขียนโบราณ:** มากกว่า 75,000 ฉบับ รวมถึงพระคัมภีร์วาติกัน (Codex Vaticanus) ซึ่งเป็นหนึ่งในสำเนาพระคัมภีร์ไบเบิลที่เก่าแก่ที่สุด
- หนังสืออินคูนาบูลา (Incunabula):** หนังสือที่พิมพ์ก่อนปี ค.ศ. 1501 มากกว่า 8,500 เล่ม
- หนังสือพิมพ์:** มากกว่า 1.1 ล้านเล่ม
- ภาพพิมพ์ แผนที่ และเหรียญ**
- คุณค่าทางวิชาการ:** หอสมุดวาติกันเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักวิชาการทั่วโลกที่ศึกษาด้านเทววิทยา ประวัติศาสตร์ ปรัชญา วรรณกรรม และสาขาวิชาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หอสมุดได้ดำเนินการโครงการดิจิทัลเพื่อทำให้คอลเล็กชันบางส่วนสามารถเข้าถึงได้ทางออนไลน์
ทั้งพิพิธภัณฑ์และหอสมุดวาติกันต่างมีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์และเผยแพร่มรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ การเข้าถึงทรัพยากรเหล่านี้สำหรับนักวิจัยและสาธารณชนเป็นประเด็นที่สำคัญจากมุมมองเสรีนิยมสังคมนิยม ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแบ่งปันความรู้และวัฒนธรรม
10.4. วิทยาศาสตร์
แม้ว่านครรัฐวาติกันจะรู้จักกันดีในฐานะศูนย์กลางทางศาสนาและวัฒนธรรม แต่ก็มีบทบาทในด้านวิทยาศาสตร์เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสันตะสำนัก
- บัณฑิตยสถานวิทยาศาสตร์แห่งสมเด็จพระสันตะปาปา (Pontifical Academy of Sciences):** ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1936 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 11 เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของบัณฑิตยสถานลินเชอีแห่งสมเด็จพระสันตะปาปา (Pontifical Academy of the New Lincei) ที่ก่อตั้งโดยสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 9 ในปี ค.ศ. 1847 บัณฑิตยสถานนี้ตั้งอยู่ที่กาซีนาปีโอที่ 4 (Casina Pio IV) ภายในสวนวาติกัน มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ กายภาพ (รวมถึงดาราศาสตร์ ธรณีศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมี) และวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (เช่น การแพทย์ ประสาทวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา พันธุศาสตร์ ชีวเคมี) และเพื่อพิจารณาประเด็นทางญาณวิทยา โดยให้ความสนใจกับประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ด้วย บัณฑิตยสถานรับประกันเสรีภาพทางวิชาการ สมาชิกของบัณฑิตยสถานประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยไม่คำนึงถึงศาสนาหรือสัญชาติ ในบรรดานักวิชาการ มีหรือเคยมีนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ มาร์ติน รีส นักคณิตศาสตร์ เซดริก วิลลานี นักฟิสิกส์ทฤษฎี เอ็ดเวิร์ด วิตเทน ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมี เจนนิเฟอร์ เดาด์นา และ เอ็มมานูแอล ชาร์ปองติเยร์ และ เออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด นักพันธุศาสตร์ ลุยจิ ลูกา กาวัลลี-สฟอร์ซา และ ฟรานซิส คอลลินส์ ผู้บุกเบิกการปลูกถ่ายศีรษะ รอเบิร์ต เจ. ไวต์ และผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิง
- บัณฑิตยสถานสังคมศาสตร์แห่งสมเด็จพระสันตะปาปา (Pontifical Academy of Social Sciences):** เป็นอีกหนึ่งบัณฑิตยสถานของสันตะสำนักที่ตั้งอยู่ในนครรัฐวาติกัน ซึ่งเกี่ยวข้องกับมานุษยวิทยา นิเทศศาสตร์ สารสนเทศศาสตร์ ไซเบอร์เนติกส์ เศรษฐศาสตร์ การศึกษา ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ กฎหมาย ภาษาศาสตร์ รัฐศาสตร์ จิตวิทยา พฤติกรรมศาสตร์ สังคมวิทยา และประชากรศาสตร์
- บัณฑิตยสถานเพื่อชีวิตแห่งสมเด็จพระสันตะปาปา (Pontifical Academy for Life):** มีขอบเขตงานด้านชีวจริยธรรมและจริยธรรมเทคโนโลยี ตั้งอยู่ที่อาคารซานกัลลิสโต (San Callisto complex) ซึ่งเป็นทรัพย์สินนอกอาณาเขตของวาติกัน
- หอดูดาววาติกัน (Vatican Observatory / Specola Vaticana):** เป็นหนึ่งในสถาบันดาราศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีประวัติย้อนไปถึงศตวรรษที่ 16 แม้ว่าหอดูดาวในรูปแบบปัจจุบันจะก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 19 ก็ตาม เดิมตั้งอยู่ในวาติกัน (ในสวนวาติกันและใกล้มหาวิหารนักบุญเปโตร) และที่พระราชวังฤดูร้อนกัสเตลกันดอลโฟ (ทรัพย์สินนอกอาณาเขตของวาติกัน) แต่เนื่องจากปัญหามลภาวะทางแสงในกรุงโรม หอดูดาววาติกันจึงได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแอริโซนา และใช้งานกล้องโทรทรรศน์เทคโนโลยีขั้นสูงวาติกัน (Vatican Advanced Technology Telescope - VATT) ซึ่งเป็นกล้องโทรทรรศน์อินฟราเรดและแสงที่มองเห็นได้ในรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา หอดูดาววาติกันยังคงมีส่วนร่วมในการวิจัยทางดาราศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านแบบจำลองจักรวาลวิทยา การจำแนกประเภทดาวฤกษ์ ดาวคู่ และเนบิวลา ในฐานะสมาชิกของสหพันธ์ดาราศาสตร์สากลและศูนย์สัมพัทธภาพดาราศาสตร์นานาชาติ นอกจากนี้ยังมีส่วนร่วมในการศึกษาเชิงปรัชญาสหวิทยาการที่ศูนย์เทววิทยาและวิทยาศาสตร์ธรรมชาติในเบิร์กลีย์ แคลิฟอร์เนีย และการวิจัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ดาราศาสตร์ด้วยห้องสมุดที่กว้างขวางซึ่งรวมถึงคอลเล็กชันอุกกาบาตด้วย
กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ของวาติกันเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของศาสนจักรคาทอลิกในการมีส่วนร่วมกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์และส่งเสริมการเสวนาระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม จุดยืนของศาสนจักรในบางประเด็นทางวิทยาศาสตร์ เช่น ทฤษฎีวิวัฒนาการหรือการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิด ก็เคยเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกัน
10.5. กีฬา
แม้ว่านครรัฐวาติกันจะไม่ได้เป็นที่รู้จักในด้านความเป็นเลิศทางกีฬาในระดับนานาชาติ แต่ก็มีกิจกรรมกีฬาบางประเภทเกิดขึ้นภายในอาณาเขตของตน รวมถึงการมีส่วนร่วมในระดับสากลในบางโอกาส
- สหพันธ์กรีฑาวาติกัน (Athletica Vaticana):** ในปี ค.ศ. 2019 สหพันธ์กรีฑาแห่งแรกที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการของวาติกันคือ "Athletica Vaticana" ได้ก่อตั้งขึ้น ทีมประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ของสันตะสำนักและประชาชนจากหลากหลายวัย เพศ และสัญชาติ สหพันธ์นี้ก่อตั้งขึ้นด้วยการสนับสนุนของสำนักเลขาธิการแห่งรัฐแห่งสันตะสำนักและข้อตกลงทวิภาคีกับคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติอิตาลี (CONI) ซึ่งเป็นสมาชิกของสหพันธ์กรีฑาอิตาลี (FIDAL) ทำให้มีโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันในอิตาลีและยุโรป การแข่งขันครั้งแรกของ Athletica Vaticana คือการแข่งขันวิ่ง 10 กิโลเมตร Corsa di Miguel ในกรุงโรม เมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2019
- ฟุตบอล:** ฟุตบอลในนครรัฐวาติกันมีการจัดการแข่งขันโดยสมาคมกีฬาสมัครเล่นวาติกัน (Vatican Amateur Sports Association) ซึ่งจัดลีกฟุตบอลนครรัฐวาติกัน (Vatican City Championship) โดยมี 8 ทีมเข้าร่วม เช่น ทีม FC Guardia ขององครักษ์สวิส และทีมของตำรวจและเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ สมาคมยังจัดCoppa Sergio Valci และVatican Supercoppa ด้วย นอกจากนี้ยังควบคุมฟุตบอลทีมชาตินครรัฐวาติกัน ซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกของยูฟ่าหรือฟีฟ่า ดังนั้นจึงไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกหรือฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปได้ ทีมฟุตบอลหญิงทีมแรกก่อตั้งขึ้นในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2019 ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่วาติกันและภรรยาหรือบุตรสาวของเจ้าหน้าที่เป็นหลัก
- กีฬาจักรยาน:** ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2021 สหพันธ์จักรยานสากล (UCI) ได้ให้การรับรอง "Vatican Cycling" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Athletica Vaticana ให้เป็นสมาชิก ตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 นักปั่นจักรยานและพระสันตะปาปามีความสัมพันธ์ฉันมิตรกันมาโดยตลอด และในปี ค.ศ. 1948 สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12 ได้ประกาศให้พระแม่มารีแห่งกีซัลโล (Madonna del Ghisallo) เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์สากลของนักปั่นจักรยาน
- คริกเกต:** ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2013 สโมสรคริกเกตซันปีเอโตร (St. Peter's Cricket Club) ได้ก่อตั้งขึ้นภายใต้การอุปถัมภ์ของสมณสภาเพื่อวัฒนธรรม (ปัจจุบันคือสมณกระทรวงเพื่อวัฒนธรรมและการศึกษา) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างการเสวนาระหว่างวัฒนธรรมและศาสนาต่าง ๆ ผ่านกีฬาคริกเกต ซึ่งเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศทั่วโลก
- การเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติ:** นครรัฐวาติกันไม่ได้เป็นสมาชิกของคณะกรรมการโอลิมปิกสากลและไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก อย่างไรก็ตาม ได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติบางรายการ เช่น จักรยานชิงแชมป์โลก (World Cycling Championships) กีฬาชิงแชมป์แห่งรัฐเล็ก ๆ ของยุโรป (Championships of the Small States of Europe) และเมดิเตอร์เรเนียนเกมส์ (Mediterranean Games)
กิจกรรมกีฬาในวาติกัน แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็สะท้อนถึงความพยายามในการส่งเสริมสุขภาพ การพักผ่อนหย่อนใจ และการสร้างความสัมพันธ์อันดีทั้งภายในชุมชนวาติกันและกับโลกภายนอก
10.6. วันหยุดราชการ
นครรัฐวาติกันมีวันหยุดราชการทั้งทางศาสนาและระดับชาติที่สำคัญ ซึ่งสะท้อนถึงสถานะในฐานะศูนย์กลางของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและรัฐอิสระ วันหยุดเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นวันสมโภชและวันฉลองที่สำคัญในปฏิทินพิธีกรรมของคริสตจักรคาทอลิก รวมถึงวันหยุดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของวาติกันหรือตำแหน่งพระสันตะปาปา
วันหยุดราชการที่สำคัญ ได้แก่:
- 1 มกราคม:** สมโภชพระนางมารีย์พระชนนีพระเจ้า (Solemnity of Mary, Mother of God) และวันขึ้นปีใหม่
- 6 มกราคม:** สมโภชพระคริสต์แสดงองค์ (Epiphany)
- 11 กุมภาพันธ์:** วันครบรอบการลงนามสนธิสัญญาลาเตรัน (Anniversary of the Lateran Pacts)
- 13 มีนาคม:** วันครบรอบการเลือกตั้งสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส (Anniversary of the election of Pope Francis) (วันหยุดนี้จะเปลี่ยนไปตามพระสันตะปาปาองค์ปัจจุบัน)
- 19 มีนาคม:** สมโภชนักบุญโยเซฟ (Solemnity of Saint Joseph)
- วันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ วันศุกร์ประเสริฐ วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์** (Holy Thursday, Good Friday, Holy Saturday) (วันก่อนวันอีสเตอร์)
- วันอีสเตอร์** (Easter Sunday) (วันสมโภชการกลับคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เป็นวันหยุดเคลื่อนที่)
- วันจันทร์อีสเตอร์** (Easter Monday)
- 1 พฤษภาคม:** วันฉลองนักบุญโยเซฟกรรมกร (Feast of Saint Joseph the Worker)
- วันพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์** (Ascension Day) (40 วันหลังวันอีสเตอร์ เป็นวันหยุดเคลื่อนที่)
- วันสมโภชพระจิตเจ้า** (Pentecost Sunday) (50 วันหลังวันอีสเตอร์ เป็นวันหยุดเคลื่อนที่)
- วันจันทร์สมโภชพระจิตเจ้า** (Whit Monday หรือ Pentecost Monday)
- วันสมโภชพระวรกายและพระโลหิตพระคริสต์** (Corpus Christi) (วันพฤหัสบดีหลังวันสมโภชพระตรีเอกภาพ เป็นวันหยุดเคลื่อนที่)
- 29 มิถุนายน:** สมโภชนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโลอัครทูต (Solemnity of Saints Peter and Paul, Apostles)
- 15 สิงหาคม:** สมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ (Assumption of the Blessed Virgin Mary)
- 1 พฤศจิกายน:** สมโภชนักบุญทั้งหลาย (All Saints' Day)
- 2 พฤศจิกายน:** วันระลึกถึงวิญญาณในไฟชำระ (All Souls' Day) (แม้ไม่ใช่วันหยุดราชการเต็มวัน แต่ก็มีความสำคัญทางศาสนา)
- 8 ธันวาคม:** สมโภชพระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมล (Solemnity of the Immaculate Conception of the Blessed Virgin Mary)
- 25 ธันวาคม:** วันคริสต์มาส (Christmas Day - Solemnity of the Nativity of the Lord)
- 26 ธันวาคม:** วันฉลองนักบุญสเทเฟน ปฐมมรณสักขี (Feast of Saint Stephen, First Martyr)
วันหยุดเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นโอกาสสำหรับการเฉลิมฉลองทางศาสนาและการพักผ่อนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมและประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของนครรัฐวาติกันอีกด้วย
11. สัญลักษณ์ประจำชาติ
นครรัฐวาติกันมีสัญลักษณ์อย่างเป็นทางการหลายอย่างที่ใช้แทนรัฐและความเป็นอิสระของตน สัญลักษณ์เหล่านี้มีความหมายทางประวัติศาสตร์และศาสนาที่ลึกซึ้ง
11.1. ธงชาติ
ธงชาตินครรัฐวาติกันได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1929 ซึ่งเป็นปีที่นครรัฐวาติกันก่อตั้งขึ้นตามสนธิสัญญาลาเตรัน
- การออกแบบ:** ธงมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส (แม้ว่าจะมีการใช้งานในรูปแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าบ้างในทางปฏิบัติ) แบ่งออกเป็นสองแถบแนวตั้งขนาดเท่ากัน แถบด้านคันธงเป็นสีเหลือง (หรือทอง) และแถบด้านปลายธงเป็นสีขาว
- สี:**
- สีเหลือง (ทอง):** เป็นสัญลักษณ์แทนอำนาจทางจิตวิญญาณของสมเด็จพระสันตะปาปา และยังเป็นสีของกุญแจทองในตราแผ่นดิน
- สีขาว:** เป็นสัญลักษณ์แทนอำนาจทางโลกของสมเด็จพระสันตะปาปา และยังเป็นสีของกุญแจเงินในตราแผ่นดิน
- ความหมายเชิงสัญลักษณ์:** บนแถบสีขาวมีภาพตราแผ่นดินของนครรัฐวาติกัน (โดยไม่มีโล่สีแดง) ซึ่งประกอบด้วยกุญแจสองดอกไขว้กัน (กุญแจทองและกุญแจเงิน) และมงกุฎพระสันตะปาปา (tiara) อยู่ด้านบน กุญแจเป็นสัญลักษณ์ของกุญแจแห่งอาณาจักรสวรรค์ที่พระเยซูทรงมอบให้นักบุญเปโตร (ตามพระวรสารนักบุญมัทธิว 16:19) ซึ่งสื่อถึงอำนาจในการผูกและแก้ (อำนาจทางจิตวิญญาณ) ของพระสันตะปาปา มงกุฎพระสันตะปาปาเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสามประการของพระสันตะปาปาคือ การสอน การปกครอง และการทำให้ศักดิ์สิทธิ์
ธงชาตินครรัฐวาติกันเป็นหนึ่งในสองธงชาติของรัฐอธิปไตยในโลก (อีกธงคือธงชาติสวิตเซอร์แลนด์) ที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส
11.2. ตราแผ่นดิน
ตราแผ่นดินของนครรัฐวาติกัน (หรือตราอาร์มของสันตะสำนัก) มีองค์ประกอบหลักและความหมายเชิงสัญลักษณ์ดังนี้:
- โล่สีแดง (Gules):** เป็นพื้นหลังของตรา
- กุญแจสองดอกไขว้กัน (Keys of Heaven):**
- กุญแจทอง (Or):** วางในแนวเฉียงขวา (dexter bend) เป็นสัญลักษณ์แทนอำนาจในสวรรค์ (อำนาจทางจิตวิญญาณ)
- กุญแจเงิน (Argent):** วางในแนวเฉียงซ้าย (sinister bend) เป็นสัญลักษณ์แทนอำนาจในโลก (อำนาจทางโลก)
- กุญแจทั้งสองถูกผูกเข้าด้วยกันด้วยเชือกสีแดง (cord gules) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าอำนาจทั้งสองนี้เชื่อมโยงกันและมาจากพระเจ้า
- ปลายกุญแจ (wards) ชี้ขึ้นด้านบน และด้ามจับ (bows) ชี้ลงด้านล่าง
- มงกุฎพระสันตะปาปา (Papal Tiara):** เป็นมงกุฎสามชั้นสีเงิน (argent) ประดับด้วยมงกุฎทองคำ (or) สามองค์ วางอยู่เหนือกุญแจทั้งสอง มงกุฎพระสันตะปาปาเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสามประการของพระสันตะปาปาในฐานะ:
- บิดาของกษัตริย์ (อำนาจปกครองทางโลก)
- ผู้ปกครองโลก (อำนาจสากล)
- ผู้แทนพระคริสต์ (อำนาจทางจิตวิญญาณสูงสุด)
(การตีความความหมายของมงกุฎทั้งสามชั้นอาจแตกต่างกันไป)
ตราแผ่นดินนี้เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของสันตะสำนักและนครรัฐวาติกัน สะท้อนถึงบทบาทและอำนาจของพระสันตะปาปาในฐานะประมุขของศาสนจักรคาทอลิกและประมุขแห่งรัฐวาติกัน
11.3. เพลงชาติ
เพลงชาติอย่างเป็นทางการของนครรัฐวาติกันคือ "อินโน เอ มาร์ชา ปอนติฟิคาเล" (Inno e Marcia Pontificaleอินโน เอ มาร์ชา ปอนตีฟีกาเลภาษาอิตาลี แปลว่า "เพลงสรรเสริญและเพลงมาร์ชของพระสันตะปาปา")
- ประวัติ:**
- ทำนองประพันธ์โดยชาร์ล กูโน (Charles Gounod) นักประพันธ์เพลงชาวฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1869 เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบปีที่ 50 ของการบวชเป็นบาทหลวงของสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 9 เดิมทีเพลงนี้มีชื่อว่า "Marche Pontificale" (เพลงมาร์ชของพระสันตะปาปา)
- เพลงนี้ถูกนำมาใช้เป็นเพลงชาติของนครรัฐวาติกันอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ในสมัยสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12 เพื่อแทนที่เพลง "Marcia Trionfale" (เพลงมาร์ชแห่งชัยชนะ) ของ วิกตอริน ฮัลล์ไมร์ (Viktorin Hallmayer) ซึ่งเคยใช้เป็นเพลงชาติของรัฐสันตะปาปาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1857
- เนื้อร้อง:**
- เดิมทีเพลงนี้เป็นเพลงบรรเลงที่ไม่มีเนื้อร้องอย่างเป็นทางการ
- ในปี ค.ศ. 1991 พระคุณเจ้าอันโตนิโอ อัลเลกรา (Antonio Allegra) ได้ประพันธ์เนื้อร้องเป็นภาษาอิตาลีสำหรับเพลงนี้ และต่อมาพระคุณเจ้า ราฟฟาเอลโล ลาวัญญา (Raffaello Lavagna) ได้ประพันธ์เนื้อร้องเป็นภาษาละติน
- เนื้อร้องทั้งสองฉบับนี้ต่างยกย่องพระสันตะปาปา กรุงโรม และความศรัทธาในศาสนาคาทอลิก
- ความหมายโดยสังเขป:** เพลงนี้เป็นสัญลักษณ์ของความจงรักภักดีต่อพระสันตะปาปาและความเป็นเอกภาพของศาสนจักรคาทอลิก มักจะบรรเลงในโอกาสสำคัญและพิธีการต่าง ๆ ของนครรัฐวาติกันและสันตะสำนัก
"อินโน เอ มาร์ชา ปอนติฟิคาเล" เป็นเพลงที่มีท่วงทำนองที่สง่างามและสื่อถึงความศักดิ์สิทธิ์และความสำคัญของสถาบันสันตะปาปา