1. ชีวิตช่วงต้นและภูมิหลัง
แฮร์แบร์ท บัคเคอมีภูมิหลังที่หล่อหลอมมุมมองทางการเมืองและวิชาชีพของเขาอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่การเกิดในจักรวรรดิรัสเซียไปจนถึงการศึกษาและการทำงานในช่วงต้น
1.1. วัยเด็กและการศึกษา
แฮร์แบร์ท ฟรีดริซ วิลเฮ็ล์ม บัคเคอ เกิดเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1896 ที่เมืองบาตูมี ซึ่งตั้งอยู่ในเขตผู้ว่าการคูไตส์ จักรวรรดิรัสเซีย (ปัจจุบันคือจอร์เจีย) เขาเป็นบุตรชายคนที่สองของอัลเบร็ชท์ บัคเคอ นักธุรกิจชาวเยอรมันและอดีตนายทหารปรัสเซียที่ปลดเกษียณแล้ว เขามีพี่น้องห้าคน โดยมีพี่ชายหนึ่งคนและน้องสาวสามคน มารดาของเขาเป็นชาวเยอรมันคอเคซัส ซึ่งครอบครัวได้อพยพจากเวือร์ทเทิมแบร์คมายังรัสเซียในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 บิดาของเขา อัลเบร็ชท์ บัคเคอ ได้กระทำอัตวินิบาตกรรมในปี ค.ศ. 1907
บัคเคอเข้าศึกษาที่โรงเรียนคริสตจักรนิกายลูเทอแรนของชาวเยอรมันในทบิลิซีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1902 ถึง ค.ศ. 1905 หลังจากนั้นเขาได้เรียนในโรงเรียนรัสเซียตั้งแต่ปี ค.ศ. 1905 ถึง ค.ศ. 1914 เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุขึ้นในปี ค.ศ. 1914 และจักรวรรดิเยอรมันเปิดฉากสงครามกับจักรวรรดิรัสเซีย บัคเคอซึ่งเป็นพลเมืองปรัสเซียถูกกักขังในฐานะคนต่างด้าวที่เป็นศัตรู ประสบการณ์การถูกจำคุกในฐานะชาวเยอรมันและการเป็นพยานในการเริ่มต้นของการปฏิวัติรัสเซียได้หล่อหลอมให้บัคเคอมีแนวคิดต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง หลังจากการล่มสลายของระบอบจักรพรรดิรัสเซีย และการที่รัฐบาลบอลเชวิคภายใต้การนำของวลาดีมีร์ เลนิน ได้ลงนามในสนธิสัญญาเบรสต์-ลีตอฟสค์กับเยอรมนีในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1918 ทำให้ชาวปรัสเซียที่เป็นศัตรูได้รับการปล่อยตัว บัคเคอได้รับการปล่อยตัวในเดือนเมษายน ค.ศ. 1918 เพื่อหลบหนีความวุ่นวายของสงครามกลางเมืองรัสเซีย ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1918 เขาได้เดินทางกลับเยอรมนีด้วยความช่วยเหลือจากสภากาชาดสวีเดน ในช่วงแรกเขาทำงานเป็นกรรมกร ก่อนที่จะเข้าศึกษาต่อด้านพืชไร่ที่มหาวิทยาลัยเกิททิงเงินในปี ค.ศ. 1920 และสำเร็จการศึกษาในปี ค.ศ. 1923
หลังสำเร็จการศึกษา เขาทำงานในภาคเกษตรกรรมได้ไม่นาน ก่อนจะมาเป็นผู้ช่วยบรรยายวิชาภูมิศาสตร์เกษตรที่มหาวิทยาลัยฮันโนเฟอร์ (Leibniz University Hannover) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1924 ถึง ค.ศ. 1927 ในปี ค.ศ. 1926 เขาได้ยื่นวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่อง Die russische Getreidewirtschaft als Grundlage der Land- und Volkswirtschaft Russlandsเศรษฐกิจธัญพืชของรัสเซียเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจเกษตรและเศรษฐกิจประชาชนของรัสเซียภาษาเยอรมัน ต่อมหาวิทยาลัยเกิททิงเงิน แต่วิทยานิพนธ์ดังกล่าวถูกปฏิเสธ วิทยานิพนธ์ของบัคเคอถูกมองว่าเป็น "แถลงการณ์สำหรับการจักรวรรดินิยมทางเชื้อชาติ" ซึ่งเสนอแนวคิดว่าชนชั้นสูงชาวเยอรมันผู้ยึดครองควรต่อสู้กับประชากรท้องถิ่นที่ "ด้อยกว่าทางชาติพันธุ์" เพื่อควบคุมเสบียงอาหารของพวกเขา
1.2. การทำงานและกิจกรรมช่วงต้น
ในปี ค.ศ. 1927 แฮร์แบร์ท บัคเคอ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการและผู้บริหารในฟาร์มขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในพอเมอราเนีย ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1928 ด้วยการสนับสนุนทางการเงินจากพ่อตาของเขา เขาได้เช่าที่ดินทำฟาร์มชื่อฮอร์นเซิน ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 950 acre (ประมาณ 3.8 km2) ในเขตอัลเฟ็ลท์ และสามารถบริหารจัดการฟาร์มแห่งนี้ได้อย่างประสบความสำเร็จ ในวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1928 เขาได้แต่งงานกับเออร์ซูลา คาห์ล และมีบุตรร่วมกันสี่คน เป็นบุตรชายสามคนและบุตรสาวหนึ่งคน
2. กิจกรรมในพรรคนาซีและรัฐบาล
บัคเคอเริ่มเส้นทางอาชีพทางการเมืองตั้งแต่การเข้าร่วมพรรคนาซีและหน่วยเอ็สเอ็ส จนกระทั่งดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลนาซีเยอรมนี
2.1. การเข้าเป็นสมาชิกพรรคนาซีและหน่วยเอสเอส
ในช่วงฤดูหนาวปี ค.ศ. 1922 ถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1923 ขณะที่ยังเป็นนักศึกษา แฮร์แบร์ท บัคเคอได้เข้าร่วมหน่วยเอสเอ (SA) ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธของพรรคสังคมนิยมแห่งชาติเยอรมัน (NSDAP) และมีส่วนร่วมในกิจกรรมของหน่วยนี้ ต่อมาในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1925 เขาได้เข้าเป็นสมาชิกพรรคนาซีในฮันโนเฟอร์ (หมายเลขสมาชิกพรรค 87,882) อย่างไรก็ตาม การเป็นสมาชิกของเขาได้สิ้นสุดลงชั่วคราวหลังจากการยุบหน่วยงานภูมิภาค (Gau) สำหรับฮันโนเฟอร์ใต้ แต่ในช่วงประมาณปี ค.ศ. 1930 ขณะที่เขากำลังบริหารฟาร์ม เขาได้กลับมาติดต่อกับกิจกรรมของพรรคนาซีอีกครั้ง และกลับเข้าเป็นสมาชิกพรรคนาซีอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1931
หลังจากการยึดอำนาจของพรรคนาซี บัคเคอได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอาหารและการเกษตรแห่งไรช์ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1933 ภายใต้การนำของรัฐมนตรีริชาร์ด วอลเทอร์ ดาร์เร ในเดือนเดียวกันนั้นเอง เขาได้เข้าร่วมหน่วยเอ็สเอ็ส (SS) ในตำแหน่ง เอ็สเอ็ส-ชตูร์มบานน์ฟือเรอร์ (SS-Sturmbannführer) หรือพันตรีเอ็สเอ็ส (หมายเลขสมาชิกเอ็สเอ็ส 22,766) และได้รับมอบหมายให้ประจำการที่สำนักงานใหญ่ด้านเชื้อชาติและการตั้งถิ่นฐานของเอ็สเอ็ส
2.2. รัฐมนตรีช่วยว่าการและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาหารและการเกษตร
บัคเคอได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการในกระทรวงอาหารและการเกษตรแห่งไรช์เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1933 เขามีบทบาทสำคัญในการบริหารนโยบายด้านอาหารของนาซีเยอรมนี และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน "เทคโนแครต" รุ่นเยาว์ที่มีอิทธิพลในระบบการบริหารของนาซี เช่นเดียวกับบุคคลสำคัญอื่น ๆ อย่างไรน์ฮาร์ด ไฮดริช และวิลเฮ็ล์ม ชตูคาร์ท แม้ว่าริชาร์ด วอลเทอร์ ดาร์เร จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ แต่บัคเคอถือเป็นรัฐมนตรีด้านอาหารและการเกษตรโดยพฤตินัยมาตั้งแต่แรก และเขามักจะดูถูกอุดมการณ์ "เลือดและปฐพี" ที่ดาร์เรเป็นผู้ริเริ่ม
เมื่อดาร์เรถูกสั่งให้ลาพักงานเป็นเวลานานตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1942 เนื่องจากความขัดแย้งกับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ บัคเคอได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบหน้าที่ของดาร์เรทั้งหมด แม้ว่าในนามจะยังคงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการอยู่ก็ตาม เขายังได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบหน้าที่หัวหน้าชาวนาแห่งไรช์ในคณะผู้นำแห่งชาติของพรรคนาซี ซึ่งเดิมเป็นของดาร์เร ในวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1944 ฮิตเลอร์ได้แต่งตั้งบัคเคอเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาหารและการเกษตรแห่งไรช์อย่างเป็นทางการ
หลังจากการฆ่าตัวตายของฮิตเลอร์ บัคเคอยังคงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาหารและการเกษตรในรัฐบาลเฟลนส์บวร์คที่ก่อตั้งขึ้นในระยะสั้นภายใต้การนำของคาร์ล เดอนิตซ์ จนกระทั่งวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1945
2.3. ตำแหน่งสำคัญอื่นๆ
นอกจากบทบาทในกระทรวงอาหารและการเกษตรแล้ว แฮร์แบร์ท บัคเคอยังดำรงตำแหน่งสำคัญอื่น ๆ ในรัฐบาลและภายในพรรคนาซี เขาเป็นสมาชิกของสภาแห่งรัฐปรัสเซีย และในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1936 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้แทนด้านการเกษตรในแผนสี่ปีของแฮร์มัน เกอริง บัคเคอมีอำนาจอย่างมากในด้านนโยบายอาหาร จนได้รับการขนานนามว่าเป็น "เผด็จการด้านอาหาร"
3. อุดมการณ์และ 'แผนความหิว'
แฮร์แบร์ท บัคเคอ เป็นบุคคลสำคัญในการกำหนดและนำนโยบายที่โหดร้ายที่สุดของนาซีเยอรมนีไปปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "แผนความหิว" ซึ่งมีรากฐานมาจากอุดมการณ์ทางลัทธิเหยียดเชื้อชาติของเขา
3.1. พื้นฐานทางอุดมการณ์
บัคเคอเป็นนักอุดมการณ์ทางลัทธิเหยียดเชื้อชาติที่เคร่งครัด ซึ่งมุมมองของเขาถูกหล่อหลอมอย่างมากจากประสบการณ์การถูกคุมขังในฐานะพลเมืองปรัสเซียในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และการได้เห็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติรัสเซีย ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เขากลายเป็นผู้ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง เขายังเป็นหนึ่งในกลุ่มเทคโนแครตรุ่นใหม่ที่มีบทบาทสำคัญในระบบบริหารของนาซี ซึ่งรวมถึงบุคคลอย่างไรน์ฮาร์ด ไฮดริช และวิลเฮ็ล์ม ชตูคาร์ท
วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของบัคเคอเองก็เป็น "แถลงการณ์สำหรับการจักรวรรดินิยมทางเชื้อชาติ" ซึ่งเสนอแนวคิดว่าชนชั้นสูงชาวเยอรมันผู้ยึดครองควรต่อสู้กับประชากรท้องถิ่นที่ "ด้อยกว่าทางชาติพันธุ์" เพื่อควบคุมเสบียงอาหารของพวกเขา แนวคิดนี้สะท้อนถึงความเชื่อที่ฝังรากลึกของเขาเกี่ยวกับลำดับชั้นทางเชื้อชาติและการใช้ทรัพยากรเพื่อประโยชน์ของชาวเยอรมันเพียงฝ่ายเดียว
3.2. 'แผนความหิว' (Hunger Plan)

แฮร์แบร์ท บัคเคอ เป็นผู้พัฒนาและนำไปปฏิบัติซึ่งนโยบายที่รู้จักกันในชื่อ "แผนความหิว" (Der Hungerplanภาษาเยอรมัน หรือ Der Backe-Planภาษาเยอรมัน) ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นที่ก่อให้เกิดข้อถกเถียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเขา แผนนี้มีเป้าหมายหลักคือการทำให้เกิดการอดอยากครั้งใหญ่โดยเจตนาต่อพลเรือนชาวสลาฟและชาวยิวในดินแดนที่สหภาพโซเวียตที่ถูกเยอรมนียึดครอง ภายหลังปฏิบัติการบาร์บารอซซา ซึ่งเป็นการรุกรานสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1941
แผนความหิวนี้ถูกวางแผนอย่างละเอียดในระหว่างขั้นตอนการเตรียมการสำหรับปฏิบัติการบาร์บารอซซา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปลี่ยนเส้นทางและโอนย้ายเสบียงอาหารจากยูเครนและภูมิภาคอื่น ๆ ออกไปจากภาคกลางและภาคเหนือของรัสเซีย เพื่อนำไปใช้ประโยชน์แก่กองทัพผู้รุกรานของแวร์มัคท์ (กองทัพเยอรมัน) และประชากรในเยอรมนีเป็นหลัก ผู้ร่วมงานคนสำคัญของบัคเคอในการดำเนินแผนนี้คือฮันส์-โยอาคิม รีเคอ ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายเกษตรกรรมของคณะเศรษฐกิจตะวันออก (Economic Staff East)
ในปี ค.ศ. 1941 บัคเคอได้เสนอต่ออดอล์ฟ ฮิตเลอร์ว่าเยอรมนีกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ขาดแคลนอาหาร และเพื่อรับมือกับปัญหานี้ จำเป็นต้องมีการยึดเสบียงอาหารจากดินแดนที่ถูกยึดครองในสหภาพโซเวียต รายงานที่เขายื่นร่วมกับสำนักงานแผนสี่ปีในเดือนพฤษภาคมระบุว่า การดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลให้ชาวสลาฟหลายล้านคนต้องอดตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาได้ประเมินไว้แล้ว แนวคิดที่ว่าการรักษาความมั่นคงทางอาหารของเยอรมนีเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด และการอดตายของชาวสลาฟเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการพิจารณา ได้รับการยอมรับจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของนาซีหลายคน เช่น แฮร์มัน เกอริง และไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์
ตามที่ทิโมธี สไนเดอร์ นักประวัติศาสตร์ได้ระบุไว้ ผลจากแผนของบัคเคอทำให้ "พลเมืองโซเวียต 4.2 ล้านคน (ส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซีย, ชาวเบลารุส และชาวยูเครน) ต้องอดอยากโดยผู้ยึดครองชาวเยอรมันในช่วงปี ค.ศ. 1941-1944" แผนนี้จึงถือเป็นประเด็นที่ก่อให้เกิดผลกระทบด้านมนุษยธรรมที่รุนแรงที่สุดและเป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุดในชีวิตของบัคเคอ
4. สงครามโลกครั้งที่สองและช่วงปลายชีวิต
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แฮร์แบร์ท บัคเคอมีบทบาทสำคัญในการบริหารนโยบายด้านอาหารของนาซีเยอรมนีเพื่อสนับสนุนการทำสงคราม และภายหลังสงคราม เขาถูกจับกุมและมีกำหนดจะเข้ารับการพิจารณาคดีในข้อหาอาชญากรสงคราม
4.1. บทบาทระหว่างสงคราม
บัคเคอมีบทบาทสำคัญในการบริหารนโยบายด้านอาหารเพื่อสนับสนุนการทำสงครามของนาซีเยอรมนี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการ "แผนความหิว" ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อจัดหาเสบียงอาหารให้แก่กองทัพและประชากรเยอรมัน โดยการยึดทรัพยากรจากดินแดนที่ถูกยึดครองในยุโรปตะวันออก แผนนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การทำสงครามของเยอรมนีที่มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรของดินแดนที่ถูกยึดครองเพื่อประโยชน์ของตนเอง
4.2. การจับกุมและการพิจารณาคดี
หลังจากการยอมจำนนของเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่สอง บัคเคอถูกฝ่ายสัมพันธมิตรจับกุมเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 เขาได้รับคำสั่งให้บินไปยังกองบัญชาการสูงสุดของดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ที่เมืองแรมส์พร้อมกับยูลิอุส ดอร์ปมึลเลอร์ บัคเคอรู้สึกประหลาดใจที่ถูกจับกุม เนื่องจากเขาเชื่อว่าชาวอเมริกันจะต้องการความเชี่ยวชาญของเขาเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความอดอยาก และเขาได้เตรียมตัวสำหรับการสนทนากับนายพลไอเซนฮาวร์
บัคเคอถูกควบคุมตัวและถูกสอบปากคำในระหว่างการพิจารณาคดีเนือร์นแบร์กในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ และ 14 มีนาคม ค.ศ. 1947 ในห้องขังของเขาที่เรือนจำอาชญากรสงครามเนือร์นแบร์ก บัคเคอได้เขียนบทความสองฉบับ: รายงานฉบับใหญ่เกี่ยวกับชีวิตและผลงานของเขาเกี่ยวกับลัทธินาซี และร่างพินัยกรรมสำหรับภรรยาของเขา เออร์ซูลา และลูกทั้งสี่คน ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1946 ในจดหมายถึงภรรยาของเขาเมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1946 เขาได้ปกป้องลัทธินาซีว่าเป็นหนึ่งใน "แนวคิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล" ซึ่ง "พบกับการโจมตีที่รุนแรงที่สุดในนโยบายเกษตรกรรมของสังคมนิยมแห่งชาติ"
5. การเสียชีวิต
ด้วยความกลัวว่าจะถูกส่งตัวไปยังสหภาพโซเวียต แฮร์แบร์ท บัคเคอได้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการแขวนคอในห้องขังของเขาที่เรือนจำเนือร์นแบร์ก เมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1947
6. การประเมินและข้อถกเถียง

แฮร์แบร์ท บัคเคอ ได้รับการประเมินทางประวัติศาสตร์และสังคมว่าเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญและเป็นที่ถกเถียงอย่างมากในนาซีเยอรมนี โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนโยบาย "แผนความหิว" ที่เขาเป็นผู้ริเริ่มและนำไปปฏิบัติ แผนนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงว่าเป็นนโยบายที่ตั้งใจให้เกิดการอดอยากครั้งใหญ่ต่อประชากรชาวสลาฟและชาวยิวในดินแดนโซเวียตที่ถูกยึดครอง
นักประวัติศาสตร์หลายคนชี้ให้เห็นว่าแผนความหิวเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เนื่องจากส่งผลให้พลเรือนหลายล้านคนเสียชีวิตด้วยความอดอยากในช่วงปี ค.ศ. 1941-1944 การกระทำของบัคเคอสะท้อนให้เห็นถึงอุดมการณ์ทางลัทธิเหยียดเชื้อชาติของลัทธินาซีที่มองว่าชีวิตของชนกลุ่มน้อยบางกลุ่มไม่มีค่า และทรัพยากรควรถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของชาวเยอรมันเท่านั้น
บทบาทของบัคเคอในฐานะเทคโนแครตผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรที่นำความรู้ทางเทคนิคมาใช้ในการดำเนินนโยบายที่โหดร้าย ได้รับการวิเคราะห์อย่างละเอียด การที่วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเขาถูกมองว่าเป็น "แถลงการณ์สำหรับการจักรวรรดินิยมทางเชื้อชาติ" ยิ่งตอกย้ำถึงแนวคิดที่ฝังรากลึกของเขาในการใช้การควบคุมอาหารเป็นเครื่องมือในการครอบงำและทำลายล้างชนชาติอื่น การประเมินโดยรวมชี้ให้เห็นว่าบัคเคอเป็นบุคคลที่รับผิดชอบโดยตรงต่อความทุกข์ทรมานและการเสียชีวิตของพลเรือนจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายที่ไร้มนุษยธรรมของเขา
7. ชีวิตส่วนตัว
แฮร์แบร์ท บัคเคอ แต่งงานกับเออร์ซูลา คาห์ล (Ursula Kahl) เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1928 ทั้งคู่มีบุตรร่วมกันสี่คน เป็นบุตรชายสามคนและบุตรสาวหนึ่งคน บัคเคอมีความสูงประมาณ 175 cm เดิมทีเขานับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ แต่ในปี ค.ศ. 1942 เขาได้ออกจากคริสตจักรตามนโยบายของหน่วยเอ็สเอ็ส
8. ยศและเครื่องราชอิสริยาภรณ์

แฮร์แบร์ท บัคเคอ ได้รับการเลื่อนตำแหน่งในหน่วยเอ็สเอ็สอย่างต่อเนื่อง และได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์และการยกย่องมากมายตลอดอาชีพของเขาในนาซีเยอรมนี
- ยศในหน่วยเอ็สเอ็ส:
- เอ็สเอ็ส-ชตูร์มบานน์ฟือเรอร์ (SS-Sturmbannführer): 1 ตุลาคม ค.ศ. 1933
- เอ็สเอ็ส-โอเบอร์ชตูร์มบานน์ฟือเรอร์ (SS-Obersturmbannführer): 29 มีนาคม ค.ศ. 1934
- เอ็สเอ็ส-ชตันดาร์เทินฟือเรอร์ (SS-Standartenführer): 20 เมษายน ค.ศ. 1934
- เอ็สเอ็ส-โอเบอร์ฟือเรอร์ (SS-Oberführer): 28 สิงหาคม ค.ศ. 1934
- เอ็สเอ็ส-บรีกาเดอฟือเรอร์ (SS-Brigadeführer): 1 มกราคม ค.ศ. 1935
- เอ็สเอ็ส-กรุพเพินฟือเรอร์ (SS-Gruppenführer): 30 มกราคม ค.ศ. 1938
- เอ็สเอ็ส-โอเบอร์กรุพเพินฟือเรอร์ (SS-Obergruppenführer): 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1942
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์และเครื่องประดับ:
- กางเขนบุญคุณสงคราม (War Merit Cross)
- ชั้นที่หนึ่ง (ไม่มีดาบ)
- ชั้นที่สอง (ไม่มีดาบ)
- เหรียญตราทองคำพรรคนาซี (Golden Party Badge): 30 มกราคม ค.ศ. 1938
- เครื่องอิสริยาภรณ์ความดีความชอบพรรคนาซี (Nazi Party Long Service Award)
- เหรียญทองแดง
- เหรียญเงิน
- เครื่องอิสริยาภรณ์ความดีความชอบเอ็สเอ็ส (SS Long Service Award)
- แหวนเกียรติยศเอ็สเอ็ส (SS Honour Ring): ค.ศ. 1936
- ดาบเกียรติยศของไรช์สฟือเรอร์-เอ็สเอ็ส (Honour Sword of the Reichsführer-SS): 1 ธันวาคม ค.ศ. 1937
- เหรียญที่ระลึก 13 มีนาคม ค.ศ. 1938 (March 13, 1938 Commemorative Medal)
- เหรียญที่ระลึก 1 ตุลาคม ค.ศ. 1938 (October 1, 1938 Commemorative Medal)
- ตราการชุมนุมบรันสวิก (Brunswick Rally Badge): ค.ศ. 1931
- ตรากีฬาเอสเอ (SA Sports Badge)
- เหรียญทองแดง
- เครื่องอิสริยาภรณ์เกียรติยศโอลิมปิก (Olympic Honor Decoration)
- ชั้นที่หนึ่ง: ค.ศ. 1936
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎอิตาลี (Order of the Crown of Italy)
- ชั้นประถมาภรณ์ (Grand Officer Cross)
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญมอริซและนักบุญลาซารัส (Order of Saints Maurice and Lazarus)
- ชั้นประถมาภรณ์ (Grand Officer Cross)
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์คุณความดีทางพลเรือนแห่งบัลแกเรีย (Order of Civil Merit of Bulgaria)
- ชั้นมหาปรมาภรณ์ (Grand Cross)
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์สิงโตฟินแลนด์ (Order of the Finnish Lion)
- ชั้นมหาปรมาภรณ์ (Grand Cross)
- SS-Zivilabzeichen (หมายเลข 45,853)
- Julleuchter der SS: 16 ธันวาคม ค.ศ. 1935
- Honour Chevron for the Old Guard
- กางเขนบุญคุณสงคราม (War Merit Cross)