1. ชีวิตช่วงต้นและภูมิหลัง
เอสเตบัน อัลบาราโด บราวน์ เกิดเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2532 ที่เมืองซิกีร์เรส ประเทศคอสตาริกา เขามีเชื้อสายจาเมกา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภูมิหลังทางวัฒนธรรมของเขา ในวัยเด็ก อัลบาราโดมีความสนใจในฟุตบอลอย่างมากและได้พัฒนาทักษะของตนเองอย่างต่อเนื่อง
1.1. อาชีพเยาวชน
อัลบาราโดเริ่มต้นเส้นทางอาชีพนักฟุตบอลในระดับเยาวชนกับสถาบันซานโตส เด กัวปิเลส ซึ่งเป็นสโมสรท้องถิ่นในคอสตาริกา ก่อนที่จะย้ายไปร่วมทีมเยาวชนของเดปอร์ติโบ ซาปริสซ่า ซึ่งเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุดในคอสตาริกา ระหว่างการฝึกฝนที่ซาปริสซ่า เขาได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่โดดเด่นในตำแหน่งผู้รักษาประตู แม้ว่าในวัยเด็กเขาจะเคยเล่นในตำแหน่งกองหน้ามาก่อน โดยเปลี่ยนมาเล่นผู้รักษาประตูเมื่ออายุ 14 ปี อัลบาราโดยังคงเป็นเพื่อนสนิทกับโจเอล แคมป์เบลล์ ซึ่งเป็นนักฟุตบอลเพื่อนร่วมชาติ ตั้งแต่สมัยที่เล่นฟุตบอลด้วยกันในวัยเด็ก
1.2. การเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลอาชีพช่วงแรก
อัลบาราโดประเดิมสนามในระดับอาชีพกับเดปอร์ติโบ ซาปริสซ่าเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ในการแข่งขันที่ทีมของเขาเอาชนะมูนิซิปัล ลิเบเรียไปได้ 3-1 ในฤดูกาลนั้น แม้จะมีการตกลงย้ายไปอาแซด อัลกมาร์ ในช่วงฤดูร้อนปีถัดไปแล้ว แต่อัลบาราโดก็ยังคงลงสนามให้กับซาปริสซ่า 4 นัดและมีส่วนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีกา เอฟพีดีได้สำเร็จ
2. อาชีพสโมสร
เส้นทางอาชีพของเอสเตบัน อัลบาราโดในระดับสโมสรนั้นครอบคลุมหลายลีกและหลายประเทศ โดยเริ่มต้นที่คอสตาริกา ก่อนจะย้ายไปยุโรป และกลับมาปิดท้ายอาชีพในบ้านเกิดอีกครั้ง
2.1. เดปอร์ติโบ ซาปริสซ่า (ช่วงแรก)
หลังจากเติบโตมาจากระบบเยาวชนของสโมสร อัลบาราโดได้มีโอกาสลงสนามในทีมชุดใหญ่ของเดปอร์ติโบ ซาปริสซ่าในช่วงฤดูกาล 2009-10 เขาลงเล่น 4 นัดและมีส่วนสำคัญในการช่วยให้สโมสรคว้าแชมป์ลีกา เอฟพีดี ในรายการกลาวซูรา (Clausura) ประจำปี 2010
2.2. อาแซด อัลกมาร์

ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2552 อาแซด อัลกมาร์ สโมสรจากเนเธอร์แลนด์ ได้เซ็นสัญญากับอัลบาราโดจากเดปอร์ติโบ ซาปริสซ่า และเขาย้ายไปยังเนเธอร์แลนด์ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 โดยเซ็นสัญญาระยะยาว 5 ปีจนถึงปี 2558
ในช่วงแรกที่อาแซด อัลกมาร์ อัลบาราโดเป็นผู้รักษาประตูสำรองต่อจากโจอี้ ดิดูลิก้าและเซร์คิโอ โรเมโร แต่หลังจากที่โรเมโรได้รับบาดเจ็บจากการไปรับใช้ทีมชาติ อัลบาราโดก็ได้ประเดิมสนามให้กับอาแซดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ในการแข่งขันกับพีเอสวี ไอนด์โฮเฟิน ซึ่งจบลงด้วยความพ่ายแพ้ 4-0 โดยที่เขาเสียไป 4 ประตู หลังจบเกม อัลบาราโดกล่าวว่า "มีเพียงซูเปอร์แมนเท่านั้นที่จะช่วยผมได้" อย่างไรก็ตาม อัลบาราโดก็ยังคงเป็นผู้รักษาประตูตัวเลือกแรกเป็นการชั่วคราว โดยลงเล่นไป 6 นัดในฤดูกาล 2010-11 รวมถึงการเก็บคลีนชีทได้ในนัดที่พบกับฮีเรนวีนเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 อย่างไรก็ตาม เขาก็เคยถูกตัดออกจากทีมในนัดที่พบกับเฟเยนูร์ด เนื่องจากกลับมายังเนเธอร์แลนด์ล่าช้าจากการเดินทางไปคอสตาริกา
ก่อนฤดูกาล 2011-12 อัลบาราโดได้รับเสื้อหมายเลข 34 และกลายเป็นผู้รักษาประตูตัวหลักของอาแซดหลังจากที่เซร์คิโอ โรเมโรย้ายไปยู.ซี. ซัมป์โดเรียและโจอี้ ดิดูลิก้าประกาศเลิกเล่นอย่างกะทันหัน เขาลงสนามนัดแรกในฤดูกาล 2011-12 เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ในการแข่งขันที่อาแซดเอาชนะเอฟเค เบามิต จาโบลเนค 2-0 ซึ่งทำให้ทีมผ่านเข้ารอบต่อไปหลังจากเสมอ 1-1 ในเลกที่สอง เขาประเดิมสนามในลีกฤดูกาล 2011-12 โดยช่วยให้อาแซดเอาชนะพีเอสวี 3-1 ในเกมเปิดฤดูกาล ผลงานของเขาทำให้แฟนบอลโหวตให้เขาเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือนพฤศจิกายน
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554 อัลบาราโดถูกผู้ตัดสินบัส ไนฮุสไล่ออกจากสนามในศึกเคเอ็นวีบี คัพที่พบกับอาแจกซ์ หลังจากแฟนบอลรายหนึ่งพยายามวิ่งเข้ามาทำร้ายเขา แฟนบอลอาแจกซ์วัย 19 ปีชื่อเวสลีย์ ฟาน ดับบลิว ซึ่งอยู่ในอาการมึนเมา ได้วิ่งเข้ามาในสนามหลังจากเล่นไป 36 นาที และพยายามเตะอัลบาราโดแต่ล้มลงก่อน อัลบาราโดจึงเตะผู้บุกรุกสองครั้งและถูกไล่ออกเนื่องจากพฤติกรรมรุนแรง เหตุการณ์นี้ทำให้นายใหญ่ของอาแซดอย่างเกิร์ตยาน เฟอร์บีคสั่งให้นักเตะเดินออกจากสนามเพื่อประท้วง และเกมดังกล่าวก็ถูกยกเลิกไปในที่สุด
q=52.3142, 4.9406|position=right
ต่อมา เคเอ็นวีบี ได้ยกเลิกใบแดงของอัลบาราโด และอาแจกซ์ได้แบนเวสลีย์ ฟาน ดับบลิว ห้ามเข้าชมการแข่งขันในบ้านของพวกเขาทุกนัดตลอดชีวิต นอกจากนี้ เขายังถูกตัดสินจำคุก 6 เดือน โดยให้รอลงอาญา 2 เดือน และต้องเข้ารับการบำบัดปัญหาติดสุรา รวมถึงต้องรายงานตัวต่อตำรวจในระหว่างการแข่งขันเอเรอดีวีซีและทีมชาติเนเธอร์แลนด์ทุกนัด เคเอ็นวีบีมีคำสั่งให้แข่งขันใหม่ทั้งเกมโดยไม่มีผู้ชม เมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555 การแข่งขันถูกเล่นใหม่โดยมีอัลบาราโดลงเป็นผู้รักษาประตู และอาแซดเอาชนะอาแจกซ์ไป 3-2 ผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศได้สำเร็จ อัลบาราโดเป็นผู้รักษาประตูที่ลงสนามอย่างสม่ำเสมอ โดยลงเล่น 34 นัดและเก็บคลีนชีทได้ 15 ครั้งในฤดูกาล 2011-12 และยังได้รับเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลของเอเรอดีวีซีโดย Goal.com
ในฤดูกาล 2012-13 อัลบาราโดได้รับเสื้อหมายเลข 1 และลงสนามนัดแรกในฤดูกาลด้วยผลเสมอ 2-2 กับอาแจกซ์ในเกมเปิดฤดูกาล เขายังคงเป็นผู้รักษาประตูตัวหลักในหลายรายการ รวมถึงการแข่งขันยูฟ่า ยูโรปา ลีก รอบเพลย์ออฟที่พบกับอันจี มาคัชคาลา แม้ว่าทีมจะพ่ายแพ้ไปอย่างราบคาบก็ตาม ตลอดฤดูกาล 2012-13 อัลบาราโดลงเล่น 34 นัด และเก็บได้ 5 คลีนชีท นอกจากนี้ เขายังได้ลงสนามในนัดชิงชนะเลิศเคเอ็นวีบี คัพ 2012-13 ที่อาแซดเอาชนะพีเอสวี 2-1 ซึ่งถือเป็นความสำเร็จแรกของอัลบาราโดกับอาแซด อัลกมาร์
ในฤดูกาล 2013-14 อัลบาราโดได้ส่งสัญญาณว่าเขาอาจจะย้ายออกจากสโมสรเพื่อแสวงหาความท้าทายใหม่ ๆ แม้จะมีความคิดเช่นนั้น เขาก็ยังคงลงสนามนัดแรกในฤดูกาลในรายการโยฮัน ครัฟฟ์ สคาล ที่พ่ายแพ้ต่ออาแจกซ์ 3-2 สองสัปดาห์ต่อมาในวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556 อัลบาราโดช่วยให้ทีมแก้แค้นอาแจกซ์ได้สำเร็จด้วยการเอาชนะ 3-2 และยังช่วยให้ทีมผ่านเข้ารอบต่อไปในการแข่งขันกับอันจี มาคัชคาลาในรายการยุโรป โดยรวมผลสองนัดเอาชนะไปได้ 1-0 ตลอดฤดูกาล อัลบาราโดลงสนาม 34 นัด รวมถึงการแข่งขันเอเรอดีวีซีรอบเพลย์ออฟที่อาแซดพ่ายแพ้ต่อเอฟซี โกรนิงเงิน ด้วยสกอร์รวม 3-0
ในฤดูกาล 2014-15 อัลบาราโดยังคงเป็นผู้รักษาประตูตัวหลักจนกระทั่งได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าซึ่งทำให้เขาต้องพักไปหลายเดือน เขาพักไปสองเดือนและยังมีอาการป่วยด้วยไข้หวัด อัลบาราโดกลับมาลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 ในเกมที่เสมอกับเอส.บี.เฟ. เอ็กเซลซิเออร์ 3-3 และเขาก็เป็นผู้รักษาประตูตัวเลือกแรกสำหรับช่วงที่เหลือของฤดูกาล ฤดูกาลนี้เป็นครั้งแรกในอาชีพของเขากับอาแซดที่เขาลงสนามน้อยกว่า 30 นัด โดยลงเล่นไป 26 นัดในฤดูกาล 2014-15
ด้วยสัญญาที่กำลังจะหมดลงในปลายฤดูกาล 2014-15 อัลบาราโดคาดว่าจะย้ายออกจากสโมสร โดยมีเซร์คิโอ โรเชต์ ผู้รักษาประตูที่เซ็นสัญญาใหม่จากอุรุกวัยเข้ามาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง หลังจากการลงสนามนัดสุดท้ายของเขาในเกมกับเอส.บี.เฟ. เอ็กเซลซิเออร์ในเกมสุดท้ายของฤดูกาล อัลบาราโดช่วยให้ทีมจบอันดับที่สาม ตลอดช่วงเวลาที่อาแซด อัลบาราโดเป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอล
2.3. แทร็บซอนสปอร์
หลังจากออกจากอาแซด อัลกมาร์ อัลบาราโดได้เข้าร่วมทีมแทร็บซอนสปอร์ในตุรกีแบบไม่มีค่าตัวในต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2558 โดยเซ็นสัญญาจนถึงปี 2560 การย้ายทีมได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558 สัญญาของเขากับแทร็บซอนสปอร์ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2561
หลังจากออกจากแทร็บซอนสปอร์ เขามีข้อตกลงกับสโมสรอาลาฮูเอเลนเซ่ในคอสตาริกา อย่างไรก็ตาม การย้ายทีมไม่สำเร็จเนื่องจากปัญหาเรื่องใบอนุญาตนักกีฬา ทำให้ฟีฟ่าต้องตักเตือนแทร็บซอนสปอร์ให้แก้ไขปัญหานี้
2.4. กลับสู่ลีกคอสตาริกา
หลังจากประสบปัญหาการย้ายทีมไปยังอาลาฮูเอเลนเซ่ อัลบาราโดก็ได้กลับมาค้าแข้งในลีกบ้านเกิดกับสโมสรซีเอส เฮเรเดียโน โดยเขาอยู่กับทีมนี้ในช่วงฤดูกาล 2019-20 และ 2021-22 ถึง 2022-23 ระหว่างนั้นเขาก็เคยเล่นให้กับลิมอน เอฟซีในฤดูกาล 2020-21 ด้วย ก่อนที่ในฤดูกาล 2022-23 เขาจะย้ายกลับมาร่วมทีมเดปอร์ติโบ ซาปริสซ่า ซึ่งเป็นสโมสรแรกในอาชีพของเขาอีกครั้ง และยังคงเล่นอยู่กับทีมจนถึงปัจจุบันในฤดูกาล 2023-24
3. อาชีพระดับนานาชาติ
เอสเตบัน อัลบาราโดเป็นตัวแทนของคอสตาริกาในระดับนานาชาติทั้งในระดับเยาวชนและชุดใหญ่ โดยมีผลงานที่โดดเด่นและมีส่วนร่วมในทัวร์นาเมนต์สำคัญหลายครั้ง
3.1. ทีมชาติชุดเยาวชน
อัลบาราโดเป็นหนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญของทีมชาติคอสตาริการุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี เขาเป็นตัวแทนของประเทศในการแข่งขันฟุตบอลโลก รุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี 2009 ซึ่งจัดขึ้นที่อียิปต์ ในการแข่งขันครั้งนั้น อัลบาราโดโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมและได้รับรางวัลถุงมือทองคำ ซึ่งมอบให้กับผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์ ถือเป็นหนึ่งในความสำเร็จส่วนตัวที่สำคัญในช่วงเริ่มต้นอาชีพของเขา
3.2. ทีมชาติชุดใหญ่
อัลบาราโดประเดิมสนามให้กับทีมชาติชุดใหญ่เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2553 ในการแข่งขันนัดกระชับมิตรกับปารากวัย อย่างไรก็ตาม เส้นทางของเขากับทีมชาติก็ไม่ได้ราบรื่นนัก
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555 อัลบาราโดถูกห้ามไม่ให้ติดทีมชาติเป็นเวลา 5 เดือน หลังจากที่เขาออกจากทีมก่อนการแข่งขันนัดกระชับมิตรกับสเปนโดยไม่ได้แจ้งให้ทีมงานทราบ
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2557 เขาถูกตัดชื่อออกจากฟุตบอลโลก 2014 ซึ่งถูกคาดการณ์ว่าเป็นผลมาจากความขัดแย้งกับผู้จัดการทีมชาติในขณะนั้นคือฮอร์เฮ ลุยส์ ปินโต้ อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 อัลบาราโดก็มีชื่อติดทีมชุดเบื้องต้น 26 คนสำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลก แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่มีชื่อในทีม 23 คนสุดท้าย ซึ่งเป็นข้อสงสัยว่ายังคงมีความขัดแย้งกับฮอร์เฮ ลุยส์ ปินโต้อย่างต่อเนื่อง
หลังจากที่ฮอร์เฮ ลุยส์ ปินโต้ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติคอสตาริกา อัลบาราโดก็ได้กลับมาติดทีมชาติอีกครั้งภายใต้การคุมทีมของเปาโล วันโชเป ในปี 2558 ในการแข่งขันคอนคาแคฟ โกลด์คัพ 2015 อัลบาราโดมีชื่อติดทีมและได้ลงเล่นในฐานะผู้รักษาประตูตัวเลือกแรกแทนเกย์ลอร์ นาวาสที่ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ เขายังมีชื่อติดทีมชาติคอสตาริกาชุดสำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 อีกด้วย
4. ชีวิตส่วนตัว
ข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเอสเตบัน อัลบาราโด นอกเหนือจากอาชีพนักฟุตบอลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ
อัลบาราโดเป็นเพื่อนสนิทกับโจเอล แคมป์เบลล์ นักฟุตบอลเพื่อนร่วมชาติ ตั้งแต่สมัยที่ทั้งคู่เล่นฟุตบอลด้วยกันในวัยเด็ก เขายังเปิดเผยว่าเคยเล่นในตำแหน่งกองหน้าก่อนที่จะเปลี่ยนมาเล่นตำแหน่งผู้รักษาประตูเมื่ออายุ 14 ปี
4.1. เหตุการณ์ที่เป็นที่ถกเถียง
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2554 อัลบาราโดถูกอดีตแฟนสาวของเขา มาร์เซลา ฮัวเรซ คาสตีลโล กล่าวหาว่าใช้ความรุนแรงในครอบครัว อย่างไรก็ตาม สองเดือนต่อมา ข้อกล่าวหาต่ออัลบาราโดก็ได้ถูกยกเลิกไป
5. สถิติอาชีพ
นี่คือข้อมูลสถิติการลงสนามและผลงานของเอสเตบัน อัลบาราโดตลอดอาชีพของเขาในระดับสโมสรและทีมชาติ
5.1. สโมสร
อัปเดตล่าสุด: 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2567
สโมสร | ฤดูกาล | ลีก | ฟุตบอลถ้วย | การแข่งขันระดับทวีป | รายการอื่น ๆ | รวม | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ดิวิชั่น | ลงสนาม | ประตู | ลงสนาม | ประตู | ลงสนาม | ประตู | ลงสนาม | ประตู | ลงสนาม | ประตู | ||
ซาปริสซ่า | 2009-10 | ลีกา เอฟพีดี | 4 | 0 | - | - | - | 4 | 0 | |||
อาแซด | 2010-11 | เอเรอดีวีซี | 6 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | - | 6 | 0 | |
2011-12 | 34 | 0 | 5 | 0 | 16 | 0 | - | 55 | 0 | |||
2012-13 | 34 | 0 | 6 | 0 | 2 | 0 | - | 42 | 0 | |||
2013-14 | 34 | 0 | 5 | 0 | 13 | 0 | 5 | 0 | 57 | 0 | ||
2014-15 | 26 | 0 | 3 | 0 | - | - | 29 | 0 | ||||
รวม | 134 | 0 | 19 | 0 | 31 | 0 | 5 | 0 | 189 | 0 | ||
แทร็บซอนสปอร์ | 2015-16 | ซือเปอร์ลีก | 14 | 0 | 2 | 0 | - | - | 16 | 0 | ||
2016-17 | 3 | 0 | 8 | 0 | - | - | 11 | 0 | ||||
2017-18 | 3 | 0 | 5 | 0 | - | - | 8 | 0 | ||||
2018-19 | 0 | 0 | 1 | 0 | - | - | 1 | 0 | ||||
รวม | 20 | 0 | 16 | 0 | - | - | 36 | 0 | ||||
เฮเรเดียโน | 2019-20 | ลีกา เอฟพีดี | 43 | 0 | - | 2 | 0 | - | 45 | 0 | ||
2020-21 | 8 | 0 | - | 0 | 0 | - | 8 | 0 | ||||
รวม | 51 | 0 | - | 2 | 0 | - | 53 | 0 | ||||
ลิมอน | 2020-21 | ลีกา เอฟพีดี | 20 | 0 | - | - | - | 20 | 0 | |||
เฮเรเดียโน | 2021-22 | ลีกา เอฟพีดี | 14 | 0 | - | - | - | 14 | 0 | |||
2022-23 | 16 | 0 | 2 | 0 | 4 | 0 | 1 | 0 | 23 | 0 | ||
รวม | 30 | 0 | 2 | 0 | 4 | 0 | 1 | 0 | 37 | 0 | ||
ซาปริสซ่า | 2022-23 | ลีกา เอฟพีดี | 3 | 0 | - | - | - | 3 | 0 | |||
2023-24 | 7 | 0 | 2 | 0 | 8 | 0 | - | 17 | 0 | |||
รวม | 10 | 0 | 2 | 0 | 8 | 0 | - | 20 | 0 | |||
รวมตลอดอาชีพ | 269 | 0 | 39 | 0 | 45 | 0 | 6 | 0 | 359 | 0 |
5.2. ทีมชาติ
อัปเดตล่าสุด: 2565
ทีมชาติ | ปี | ลงสนาม | ประตู |
---|---|---|---|
คอสตาริกา | 2010 | 1 | 0 |
2011 | 1 | 0 | |
2012 | 0 | 0 | |
2013 | 0 | 0 | |
2014 | 1 | 0 | |
2015 | 8 | 0 | |
2016 | 1 | 0 | |
2017 | 0 | 0 | |
2018 | 3 | 0 | |
2019 | 3 | 0 | |
2020 | 1 | 0 | |
2021 | 3 | 0 | |
2022 | 3 | 0 | |
รวม | 25 | 0 |
6. เกียรติประวัติ
เอสเตบัน อัลบาราโดได้รับรางวัลและเกียรติยศมากมายตลอดเส้นทางอาชีพของเขา ทั้งในระดับสโมสรและรางวัลส่วนตัว
เดปอร์ติโบ ซาปริสซ่า
- ลีกา เอฟพีดี: กลาวซูรา 2010
อาแซด อัลกมาร์
- เคเอ็นวีบี คัพ: 2012-13
ซีเอส เฮเรเดียโน
- ลีกา เอฟพีดี: อาเปอร์ตูรา 2019
รางวัลส่วนตัว
- ฟุตบอลโลก รุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี 2009: รางวัลถุงมือทองคำ
7. การประเมินและข้อวิพากษ์วิจารณ์
เอสเตบัน อัลบาราโดเป็นนักฟุตบอลที่มีทั้งด้านที่ได้รับคำชื่นชมและด้านที่เป็นข้อถกเถียงตลอดอาชีพการงานของเขา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนในเส้นทางชีวิตนักฟุตบอลของบุคคลสาธารณะ
7.1. การประเมินเชิงบวก
ในด้านความสำเร็จและผลงาน เอสเตบัน อัลบาราโดได้รับการยอมรับอย่างสูงจากการแสดงออกในตำแหน่งผู้รักษาประตู เขาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากการคว้ารางวัลถุงมือทองคำในฟุตบอลโลก รุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี 2009 ซึ่งเป็นการแสดงศักยภาพตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากนี้ เขายังประสบความสำเร็จในการคว้าเคเอ็นวีบี คัพกับอาแซด อัลกมาร์ในปี 2012-13 ซึ่งเป็นถ้วยรางวัลสำคัญในอาชีพของเขาที่ยุโรป ตลอดช่วงเวลาที่อยู่กับอาแซด อัลกมาร์ อัลบาราโดเป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลอย่างมาก ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความสามารถและการทุ่มเทในสนามที่ทำให้เขาเป็นที่รักของกองเชียร์
7.2. คำวิจารณ์และข้อถกเถียง
อย่างไรก็ตาม เส้นทางอาชีพของอัลบาราโดก็ไม่ได้ปราศจากข้อวิพากษ์วิจารณ์และเหตุการณ์ที่เป็นที่ถกเถียง ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2554 ขณะเล่นให้กับอาแซด อัลกมาร์ เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่แฟนบอลบุกรุกสนามระหว่างการแข่งขันเคเอ็นวีบี คัพกับอาแจกซ์ ซึ่งอัลบาราโดได้เตะผู้บุกรุกสองครั้งและถูกไล่ออกในตอนแรก แม้ว่าใบแดงจะถูกยกเลิกในภายหลังและผู้บุกรุกก็ถูกลงโทษตามกฎหมาย แต่เหตุการณ์นี้ก็ยังคงเป็นจุดที่ผู้คนจดจำเกี่ยวกับพฤติกรรมของเขา นอกจากนี้ เขายังเคยมีปัญหาทางวินัยกับทีมชาติ โดยถูกแบน 5 เดือนในปี 2555 จากการที่ออกจากทีมโดยไม่แจ้งให้สต๊าฟโค้ชทราบ และยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการถูกตัดชื่อออกจากทีมฟุตบอลโลก 2014 ซึ่งถูกคาดว่าเป็นผลมาจากความขัดแย้งกับผู้จัดการทีมในขณะนั้น ยิ่งไปกว่านั้น อัลบาราโดยังเคยเผชิญกับข้อกล่าวหาเรื่องความรุนแรงในครอบครัวจากอดีตแฟนสาวของเขาในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2554 แม้ว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวจะถูกยกเลิกในอีกสองเดือนต่อมา แต่เหตุการณ์เหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ของเขาที่สะท้อนถึงประเด็นทางสังคมและส่วนตัวที่นักฟุตบอลรายนี้เคยเผชิญมา