1. ภาพรวม
เปาโล เบตตินี (เกิดเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2517) เป็นอดีตนักปั่นจักรยานถนนชาวอิตาลีผู้เป็นแชมป์และอดีตโค้ชของทีมชาติอิตาลี เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักปั่นคลาสสิกที่เก่งที่สุดในยุคของเขา และอาจจะเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดตลอดกาล เบตตินีได้รับเหรียญทองในการแข่งขันจักรยานถนนโอลิมปิกที่เอเธนส์ในปี พ.ศ. 2547 และคว้าแชมป์โลกจักรยานถนนสองสมัยติดต่อกันในปี พ.ศ. 2549 และ พ.ศ. 2550 ด้วยสไตล์การปั่นที่ดุดันและการโจมตีที่รวดเร็วฉับพลัน ทำให้เขาได้รับฉายาว่า Il Grilloอิล กริลโลภาษาอิตาลี ซึ่งหมายถึง "จิ้งหรีด" ในภาษาอิตาลี
เบตตินีเริ่มเป็นที่รู้จักจากการคว้าแชมป์ลีแยฌ-บัสตอญ-ลีแยฌในปี พ.ศ. 2543 และ พ.ศ. 2545 และสร้างสถิติชนะการแข่งขันยูซีไอ โรด เวิลด์คัพมากที่สุดในฤดูกาลเดียวในปี พ.ศ. 2546 โดยชนะรายการสำคัญอย่างมิลาน-ซานเรโม เฮเวอ ซีคลาสสิกส์ และกลาซิกา เด ซาน เซบาสเตียน นอกจากนี้ เขายังคว้าแชมป์จีโร ดิ ลอมบาร์เดียในปี พ.ศ. 2548 และ พ.ศ. 2549 แชมป์ซูริ-เม็ตซ์เก็ตในปี พ.ศ. 2544 และ พ.ศ. 2548 รวมถึงแชมป์ตีร์เรโน-อาเดรียติโกในปี พ.ศ. 2547
2. ช่วงต้นอาชีพ
เปาโล เบตตินีเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวของเขาที่ชายฝั่งแคว้นทัสคานี เขาเริ่มเข้าสู่การแข่งขันจักรยานตั้งแต่อายุเพียง 7 ขวบ และสามารถคว้าชัยชนะได้ถึง 23 ครั้งจากการแข่งขัน 24 ครั้งแรกในชีวิต จักรยานคันแรกของเขาเป็นโครงจักรยานมือสองที่พ่อของเขา จูเลียโน่ ได้ทาสีส้ม และชิ้นส่วนต่างๆ ก็ถูกนำมาจากจักรยานคันอื่น ๆ เขาเริ่มแข่งจักรยานตามคำแนะนำของพี่ชาย
ในปี พ.ศ. 2539 เบตตินีคว้าอันดับที่สี่ในการแข่งขันชิงแชมป์โลกจักรยานถนนรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี โดยมีนักปั่นชาวอิตาลีอีกสามคนคือ จูเลียโน่ ฟูเกราส, โรแบร์ติ สกัมเบลลูรี และลูก้า ซิโรนี อยู่ข้างหน้าเขา ในปีถัดมา พ.ศ. 2540 เขาก็ได้ผันตัวเป็นนักปั่นอาชีพให้กับทีม MG-Technogym ที่นั่นเขาได้ทำหน้าที่เป็นโดเมสติก (ผู้ช่วย) ให้กับมิเคเล บาร์โตลี ซึ่งเป็นนักปั่นที่สตีเฟน ฟาร์แรนด์ บรรยายว่าเป็น "นักปั่นชนชั้นแรงงาน" ที่ต้องทำงานเพื่อผู้อื่นเพื่อหาเลี้ยงชีพ เบตตินีทำงานให้บาร์โตลี และบาร์โตลีก็ให้คำแนะนำตอบแทน ด้วยความช่วยเหลือจากเบตตินี บาร์โตลีจึงสามารถคว้าแชมป์ยูซีไอ โรด เวิลด์คัพได้ในปี พ.ศ. 2540 และ พ.ศ. 2541

ในปี พ.ศ. 2542 บาร์โตลีประสบอุบัติเหตุล้มอย่างรุนแรงที่หัวเข่า ทำให้เบตตินีมีโอกาสได้ลงแข่งขันเพื่อตัวเอง ในปี พ.ศ. 2543 เขาคว้าแชมป์ลีแยฌ-บัสตอญ-ลีแยฌ ซึ่งเป็นชัยชนะที่ทำให้เขาซื้อรถปอร์เชราคา 100.00 K EUR และยังชนะสเตจทางเรียบในตูร์เดอฟร็องส์ปีเดียวกัน จากเมืองอาฌ็องไปยังเมืองดักซ์ ในปี พ.ศ. 2544 หลังจากไม่ชนะมาหลายเดือน เขาก็คว้าแชมป์ซูริ-เม็ตซ์เก็ตได้สำเร็จ โดยเอาชนะยาน อุลริชในการสปรินต์เข้าเส้นชัย ความสำเร็จของเขาทำให้เกิดความบาดหมางกับบาร์โตลี ซึ่งถึงจุดสูงสุดในการแข่งขันชิงแชมป์โลกปี พ.ศ. 2544 ที่ลิสบอน ประเทศโปรตุเกส เมื่อบาร์โตลีปฏิเสธที่จะนำเบตตินีไปสู่การสปรินต์เข้าเส้นชัย ทำให้ออสการ์ เฟรย์เร นักปั่นชาวสเปนคว้าชัยชนะไปแทน
3. อาชีพนักปั่นอาชีพ
เปาโล เบตตินีมีอาชีพที่โดดเด่นในฐานะนักปั่นจักรยานอาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแข่งขันวันเดย์เรซและรายการสำคัญต่างๆ เขาแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่หลากหลายและคว้าชัยชนะในระดับสูงสุดหลายรายการ
3.1. การแข่งขัน UCI World Cup
ฤดูกาล พ.ศ. 2545 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอาชีพของเบตตินี ในการแข่งขันมิลาน-ซานเรโม เขาถูกตามทันในช่วงกิโลเมตรสุดท้าย หลังจากคว้าชัยชนะ 1-2 ร่วมกับสเตฟาโน การ์เซลลี ในรายการลีแยฌ-บัสตอญ-ลีแยฌ เบตตินีก็ขับเคี่ยวกับโยฮัน มูเซอูว์อย่างสูสี ซึ่งมูเซอูว์ได้คว้าแชมป์ปารีส-รูแบจากการเบรกอเวย์เดี่ยวระยะทาง 50 km และแชมป์เฮเวอ ซีคลาสสิกส์ การปั่นด้วยกลยุทธ์อันยอดเยี่ยมในจีโร ดิ ลอมบาร์เดีย ทำให้เบตตินีคว้าแชมป์ยูซีไอ โรด เวิลด์คัพได้สำเร็จ นอกจากนี้ เขายังมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนมาริโอ ชิโปลลินีให้คว้าแชมป์ชิงแชมป์โลกจักรยานถนนที่โซลเดอร์ ประเทศเบลเยียม

ฤดูกาล2546 เริ่มต้นขึ้นอย่างยอดเยี่ยมด้วยรายการมิลาน-ซานเรโม เบตตินีโจมตีสองครั้งในเนินสุดท้ายก่อนเข้าเส้นชัย โดยได้รับความช่วยเหลือจากลูก้า ปาโอลินี ที่โจมตีลงมาในทางลงที่ท้าทาย อย่างไรก็ตาม อาการบาดเจ็บจากการแข่งขันเกนต์-เวเวลเกม ทำให้เบตตินีพลาดการแข่งขันหลายรายการจนกระทั่งถึงตูร์เดอฟร็องส์ในเดือนกรกฎาคม หลังจากนั้น เขาก็กลับมาคว้าแชมป์เฮเวอ ซีคลาสสิกส์ โดยเอาชนะยาน อุลริชที่ได้อันดับสองในตูร์ และยังคว้าแชมป์กลาซิกา เด ซาน เซบาสเตียนได้อีกด้วย แม้จะเป็นตัวเต็ง แต่เบตตินีก็พลาดการคว้าแชมป์ชิงแชมป์โลกจักรยานถนนในปีนั้น เนื่องจากความผิดพลาดในช่วงท้ายของการแข่งขัน หลังจากที่เขาได้อยู่ในกลุ่มนำที่เบรกอเวย์ออกมา การลังเลทำให้อีกอร์ อัสตาร์โลอา นักปั่นชาวสเปนสามารถหนีออกไปคว้าชัยชนะได้ อัสตาร์โลอาอ้างว่าเบตตินีเสนอเงินให้เขาเพื่อแลกกับการยอมแพ้ ซึ่งอัสตาร์โลอาปฏิเสธ ทำให้เกิดความบาดหมางกัน และอัสตาร์โลอาอ้างว่าคำพูดของเขาเกิดจากความเข้าใจผิดในภาษาอิตาลีของเบตตินี
ฤดูกาล2547 เริ่มต้นได้ดีกับมิลาน-ซานเรโม แต่ดาวิเด เรเบลลินกลับคว้าแชมป์ลา แฟลช วัลลอน (ซึ่งไม่ได้อยู่ในเวิลด์คัพ) ลีแยฌ-บัสตอญ-ลีแยฌ และอัมสเตล โกลด์ เรซ ความผิดหวังของเบตตินียังคงดำเนินต่อไปด้วยการได้อันดับสองในเฮเวอ ซีคลาสสิกส์ ซึ่งเขาเคยชนะมาก่อน และในกลาซิกา เด ซาน เซบาสเตียน ซึ่งเขาเคยชนะในปีที่แล้ว คะแนนที่ได้จากปารีส-ตูร์ทำให้เขาอยู่ในเสื้อผู้นำ แต่ด้วยการแข่งขันสุดท้ายคือจีโร ดิ ลอมบาร์เดีย ที่เหมาะกับเรเบลลินมากกว่า ทำให้ตำแหน่งแชมป์เวิลด์คัพยังไม่ปลอดภัย เบตตินีตามติดเรเบลลินตลอดการแข่งขัน จนกระทั่งเรเบลลินยอมแพ้ด้วยความหงุดหงิด และเบตตินีก็สามารถคว้าแชมป์ยูซีไอ โรด เวิลด์คัพได้เป็นปีที่สามติดต่อกัน
3.2. เหรียญทองโอลิมปิกและชัยชนะในชิงแชมป์โลก
ชัยชนะที่สำคัญที่สุดของเบตตินีคือการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2547 ที่กรุงเอเธนส์ ซึ่งเขาได้เบรกอเวย์ร่วมกับแซร์ฌีอู ปาอูลินญู นักปั่นชาวโปรตุเกส และคว้าชัยชนะได้อย่างสบายๆ ในการสปรินต์ช่วงสุดท้าย อย่างไรก็ตาม เขาก็พลาดการคว้าแชมป์โลกอีกครั้งในปีนั้น เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าจากการกระแทกกับรถทีมในช่วงต้นการแข่งขัน

ในปี พ.ศ. 2549 เบตตินีประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์ชิงแชมป์โลกจักรยานถนนได้เป็นครั้งแรกในชีวิต หลังจากที่เคยพลาดหวังมาหลายครั้ง (ในปี พ.ศ. 2545 เขาเป็นผู้ช่วยของมาริโอ ชิโปลลินี ในปี พ.ศ. 2546 ได้อันดับ 4 เพราะตามการโจมตีของอีกอร์ อัสตาร์โลอาไม่ได้ ในปี พ.ศ. 2547 ต้องออกจากการแข่งขันเนื่องจากอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า และในปี พ.ศ. 2548 ได้อันดับที่ 13) เพียงไม่กี่วันหลังจากชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์นี้ ซาอุโร พี่ชายของเขาก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้เบตตินีเกือบจะเลิกปั่นจักรยานไป แต่เขาก็เปลี่ยนใจและลงแข่งขันจีโร ดิ ลอมบาร์เดีย ซึ่งเขาสามารถคว้าชัยชนะได้ทั้งน้ำตา
ฤดูกาล พ.ศ. 2550 เบตตินีลงแข่งตูร์ออฟแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเขาคว้าชัยชนะในสเตจ 4 ด้วยการสปรินต์เข้าเส้นชัย ต่อมาเขาก็ชนะสเตจ 3 ของวูเอลตาอาเอสปัญญา และได้อันดับสองอีกสามสเตจ จากนั้นเขาก็คว้าเสื้อรุ้งในการแข่งขันชิงแชมป์โลกจักรยานถนนที่ชตุทท์การ์ทได้อีกครั้ง แม้จะมีปัญหาเรื่องข้อกล่าวหาการใช้สารกระตุ้น แต่เขาก็แสดงให้เห็นถึงการวางแผนการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมและความแข็งแกร่งทางจิตใจ คว้าแชมป์โลกได้เป็นสมัยที่สองติดต่อกัน ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีใครทำได้มานานถึง 15 ปี นับตั้งแต่จานนี บูโญทำได้ในปี พ.ศ. 2534 - พ.ศ. 2535 และเป็นนักปั่นคนที่ 5 ในประวัติศาสตร์ที่ทำได้
3.3. ความเชี่ยวชาญในการแข่งขันคลาสสิก
เปาโล เบตตินีได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในนักปั่นคลาสสิกที่เก่งที่สุดในยุคของเขาและอาจจะตลอดกาล ด้วยสไตล์การปั่นที่ผสมผสานระหว่างความเป็นพันเชอร์ (นักปั่นที่เก่งในทางขึ้นเนินสั้นๆ) และสปรินเตอร์ที่สามารถปีนเขาได้ ทำให้เขามีความแข็งแกร่งอย่างมากในการแข่งขันวันเดย์เรซประเภทคลาสสิก
3.3.1. ชัยชนะในรายการคลาสสิกสำคัญ
เบตตินีประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในการแข่งขันวันเดย์เรซสำคัญหลายรายการ:
- ลีแยฌ-บัสตอญ-ลีแยฌ: ชนะในปี พ.ศ. 2543 และ พ.ศ. 2545
- ซูริ-เม็ตซ์เก็ต: ชนะในปี พ.ศ. 2544 และ พ.ศ. 2548
- มิลาน-ซานเรโม: ชนะในปี พ.ศ. 2546
- เฮเวอ ซีคลาสสิกส์: ชนะในปี พ.ศ. 2546
- กลาซิกา เด ซาน เซบาสเตียน: ชนะในปี พ.ศ. 2546
- จีโร ดิ ลอมบาร์เดีย: ชนะในปี พ.ศ. 2548 และ พ.ศ. 2549
3.4. ผลงานในแกรนด์ทัวร์
แม้จะไม่ได้เป็นนักปั่นที่เน้นการจัดอันดับเวลารวมในแกรนด์ทัวร์ แต่เปาโล เบตตินีก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการคว้าชัยชนะในสเตจต่างๆ และตำแหน่งผู้นำประเภทคะแนน
- ในปี พ.ศ. 2543 เขาคว้าชัยชนะในสเตจ 9 ของตูร์เดอฟร็องส์
- ในปี พ.ศ. 2548 เขาคว้าชัยชนะสองสเตจในจีโรเดอิตาเลีย และได้สวมเสื้อสีชมพูในฐานะผู้นำเวลารวมอยู่หลายวัน นอกจากนี้ เขายังชนะสเตจ 16 ของวูเอลตาอาเอสปัญญา โดยเอาชนะอาเลสซานโดร เปตักกีในการสปรินต์ทางขึ้นเนินที่บายาโดลิด
- ในปี พ.ศ. 2549 เขาคว้าชัยชนะในสเตจ 15 ของจีโรเดอิตาเลีย และยังคว้าเสื้อม่วงในประเภทคะแนนได้อีกด้วย นอกจากนี้ เขายังชนะสเตจ 2 ของวูเอลตาอาเอสปัญญา
- ในปี พ.ศ. 2550 เขาคว้าชัยชนะในสเตจ 3 ของวูเอลตาอาเอสปัญญา และจบอันดับสองอีกสามสเตจ
- ในปี พ.ศ. 2551 เขาคว้าชัยชนะสองสเตจในวูเอลตาอาเอสปัญญา ได้แก่ สเตจ 6 และ 12
ตารางแสดงผลงานเวลารวมในแกรนด์ทัวร์:
แกรนด์ทัวร์ | 2540 | 2541 | 2542 | 2543 | 2544 | 2545 | 2546 | 2547 | 2548 | 2549 | 2550 | 2551 |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
จีโรเดอิตาเลีย | 25 | 7 | 44 | |||||||||
DNF | ||||||||||||
38 | 56 | 41 | 19 | |||||||||
ตูร์เดอฟร็องส์ | ||||||||||||
122 | 74 | |||||||||||
114 | 114 | |||||||||||
วูเอลตาอาเอสปัญญา | ||||||||||||
32 | ||||||||||||
DNF | DNF | DNF | DNF |
- | ไม่ได้ลงแข่งขัน |
---|---|
DNF | แข่งขันไม่จบ |
3.5. การแข่งขันชิงแชมป์อิตาลี
เปาโล เบตตินีประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ชิงแชมป์ถนนแห่งชาติอิตาลีได้ถึงสองครั้ง ได้แก่ในปี พ.ศ. 2546 และ พ.ศ. 2549
ตารางแสดงผลงานในรายการชิงแชมป์สำคัญ:
2541 | 2542 | 2543 | 2544 | 2545 | 2546 | 2547 | 2548 | 2549 | 2550 | 2551 | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
โอลิมปิกเกมส์ | ไม่ได้จัด | 9 | ไม่ได้จัด | 1 | ไม่ได้จัด | 17 | |||||
ชิงแชมป์โลก | 63 | - | 9 | 2 | 26 | 4 | DNF | 13 | 1 | 1 | 28 |
ชิงแชมป์แห่งชาติ | - | - | 7 | 15 | - | 1 | 11 | - | 1 | DNF | 27 |
4. รูปแบบการปั่นและฉายา
เปาโล เบตตินีได้รับฉายาว่า Il Grilloอิล กริลโลภาษาอิตาลี ซึ่งแปลว่า "จิ้งหรีด" ในภาษาอิตาลี เนื่องจากสไตล์การปั่นของเขาที่ชอบโจมตีอย่างรวดเร็วฉับพลันและมีพลังในการสปรินต์ แม้จะมีรูปร่างค่อนข้างเล็ก ด้วยความสูง 169 cm และน้ำหนัก 58 kg แต่เขากลับมีพละกำลังที่น่าทึ่ง ทำให้เขามีลักษณะการปั่นแบบพันเชอร์ ซึ่งสามารถรับมือกับเนินสั้นๆ ได้ดี และเป็นสปรินเตอร์ที่สามารถปีนเขาได้ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเป็นนักปั่นคลาสสิกที่แข็งแกร่งอย่างมาก
เบตตินีมักจะด้อยกว่านักสปรินเตอร์ชั้นนำในการสปรินต์กลุ่มใหญ่ และไม่สามารถเทียบชั้นกับนักปีนเขาระดับแนวหน้าในสเตจภูเขาที่มีจุดปีนเขาสำคัญหรือเส้นชัยบนยอดเขา อย่างไรก็ตาม ในการแข่งขันวันเดย์เรซประเภทคลาสสิก เช่น ลา แฟลช วัลลอน หรือจีโร ดิ ลอมบาร์เดีย ซึ่งมักจะมีเนินสั้นๆ หลายลูก เขากลับคว้าชัยชนะได้มากกว่านักปั่นที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
การแข่งขันวันเดย์เรซโดยทั่วไปมีความเร็วเฉลี่ยสูง และไม่ค่อยยอมให้นักปั่นที่มีอันดับเวลารวมต่ำกว่าหนีออกไปได้ง่ายๆ นอกจากนี้ เส้นทางมักประกอบด้วยเนินเตี้ยๆ สลับขึ้นลงเป็นระยะทางสั้นๆ ซึ่งเอื้อต่อสไตล์การปั่นของเบตตินี เขาสามารถสลัดนักสปรินเตอร์ออกไปได้ในทางขึ้นเนิน และจากนั้นก็สปรินต์เข้าเส้นชัยทันที หรือโจมตีในทางเรียบก่อนถึงเนินเพื่อสลัดนักปีนเขาออกไปได้ หรือหากเส้นชัยเป็นทางขึ้นเนิน เขาก็สามารถเพิ่มความเร็วในทางเรียบเพื่อสลัดนักปีนเขาที่พละกำลังน้อยกว่า และใช้การสปรินต์บนทางขึ้นเนินซึ่งเป็นจุดอ่อนของนักสปรินเตอร์สายน้ำหนักมาก ทำให้เขามีความได้เปรียบอย่างมาก
สิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างคือความสามารถในการรักษาสภาพร่างกายให้พร้อมสำหรับการแข่งขันตลอดทั้งฤดูกาล เขาแทบไม่เคยมีฟอร์มตกอย่างรุนแรง และสามารถปรับสภาพร่างกายให้ถึงจุดสูงสุดได้เสมอเมื่อตั้งเป้าหมายไว้ที่การแข่งขันสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันคลาสสิก
5. ชีวิตส่วนตัวและเกร็ดประวัติ

เปาโล เบตตินีแต่งงานกับโมนิกา ออร์ลันดินี ครูสอนวรรณคดีในปี พ.ศ. 2543 พวกเขาย้ายไปอยู่ในบ้านไร่ของครอบครัวภรรยา ซึ่งเป็นชาวสวนมะกอกมาสี่ชั่วอายุคน ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ที่ริปาร์เบลลา ซึ่งอยู่ห่างจากเชชีนา บ้านเกิดของเบตตินี ประมาณ 10 km
ในปี พ.ศ. 2549 หลังจากที่เขาคว้าแชมป์ชิงแชมป์โลกจักรยานถนนได้ไม่กี่วัน ซาอุโร พี่ชายของเขาก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เหตุการณ์นี้ทำให้เบตตินีเกือบจะเลิกปั่นจักรยานไป แต่เขาก็เปลี่ยนใจและลงแข่งขันจีโร ดิ ลอมบาร์เดีย ซึ่งเขาสามารถคว้าชัยชนะได้ทั้งน้ำตา หลังการแข่งขันเขาให้สัมภาษณ์ว่า "ชัยชนะครั้งนี้มีความสุขยิ่งกว่าโอลิมปิกหรือชิงแชมป์โลกเสียอีก วันนี้ผมไม่ได้ปั่นจักรยานอยู่คนเดียว" ซึ่งสร้างความประทับใจและน้ำตาให้กับผู้คนรอบข้าง
ในการแข่งขันวูเอลตาอาเอสปัญญา ปี พ.ศ. 2550 เบตตินีเป็นผู้นำในการแข่งขันประเภทคะแนนตั้งแต่ช่วงกลางรายการ แต่เขาตัดสินใจถอนตัวจากการแข่งขันเพื่อเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันชิงแชมป์โลก ในสเตจที่ 17 ซึ่งเป็นสเตจสุดท้ายที่เขาลงแข่ง เขาได้สวมเสื้อรุ้งแทนที่จะเป็นเสื้อผู้นำประเภทคะแนน ซึ่งต่อมามีรายงานว่าเขาต้องจ่ายค่าปรับจำนวนมากให้กับผู้จัด
ในการแข่งขันชิงแชมป์โลกปี พ.ศ. 2550 ที่ชตุทท์การ์ท เมื่อเบตตินีเข้าเส้นชัย เขาได้แสดงท่าทางคล้ายการยิงปืนเพื่อแสดงความไม่พอใจต่อองค์กรที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการใช้สารกระตุ้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์จากบางส่วน
เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2550 จักรยานของทีมที่เก็บไว้ในรถถูกขโมยไป ซึ่งในจำนวนนั้นมีจักรยานที่เบตตินีใช้ในการแข่งขันชิงแชมป์โลกเมื่อสัปดาห์ก่อนรวมอยู่ด้วย ทำให้เขาต้องเผชิญกับเหตุการณ์โศกนาฏกรรมหลังจากชิงแชมป์โลกเป็นปีที่สองติดต่อกัน
ในปี พ.ศ. 2551 ในการแข่งขันจีโรเดอิตาเลีย เบตตินีได้ช่วยโจวันนี วิสคอนตี เพื่อนร่วมทีมที่สวมเสื้อมาเลียโรซา (เสื้อผู้นำ) อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในสเตจ 7 เขาสามารถประเมินการเคลื่อนไหวของคู่แข่งโดยตรงและช่วยวิสคอนตีรักษาสภาพผู้นำไว้ได้
เบตตินียังเป็นที่รู้จักจากเครื่องหมายการค้าที่เป็นสีทองบนหมวกกันน็อกและรองเท้าของเขา ครั้งหนึ่งเขาเคยขี่จักรยานเสือหมอบที่มีเฟรม, เทปพันแฮนด์, ล้อ และอาน เป็นสีทองทั้งหมด หมวกกันน็อกของเขายังเป็นแบบสั่งทำพิเศษที่มีแผ่นทองและเพชรประดับอยู่
6. การเลิกปั่นและการเป็นโค้ช
ในฤดูกาล พ.ศ. 2551 อาชีพของเปาโล เบตตินีต้องเผชิญกับปัญหาอาการบาดเจ็บหลายครั้ง รวมถึงการล้มในการแข่งขันเคอร์เนอ-บรัสเซลส์-เคอร์เนอ และกระดูกซี่โครงหักจากการล้มในทางลงที่เปียกในการแข่งขันตูร์ออฟเดอะบาสก์คันทรี แม้จะมีปัญหาเหล่านี้ เขาก็ยังคว้าแชมป์โตรเฟโอ มัตเตออตติ และชนะสเตจในการแข่งขันตูร์ออฟออสเตรีย และตูร์เดอวัลโลนี นอกจากนี้ เขายังคว้าชัยชนะสองสเตจในวูเอลตาอาเอสปัญญา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาประกาศว่าจะออกจากทีมควิกสเต็ปหลังจากอยู่มา 10 ปี เนื่องจากข้อพิพาททางการเงิน
เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2551 เบตตินีได้ประกาศการอำลาวงการจักรยานอาชีพอย่างเป็นทางการ หลังจากจบการแข่งขันชิงแชมป์โลก อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 4 พฤศจิกายนปีเดียวกัน เขาก็ประสบอุบัติเหตุล้มระหว่างการแข่งขันมิลานซิกซ์เดย์ และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในสภาพหมดสติ
หลังจากเลิกปั่นจักรยานอาชีพ เบตตินีได้เดินตามรอยนักปั่นรุ่นก่อนหน้ายุค 1970s โดยหันมาสนใจการแข่งขันจักรยานลู่แบบซิกซ์เดย์ในช่วงฤดูหนาว เขาลงแข่งที่มิวนิกและเกรอนอบล์ในปี พ.ศ. 2549 เขากล่าวว่า "ผมไม่ได้ทำเพื่อเงิน ผมมีอยู่แล้ว ผมทำเพราะความรักในการแข่งขัน เพื่อดูว่าการแข่งบนลู่เป็นอย่างไร" อย่างไรก็ตาม การปั่นบนทางโค้งของลู่นั้นยากกว่าการปั่นบนถนนมาก การเปิดตัวของเขาถูกบรรยายว่า "หายนะ" เนื่องจากเขาไม่สามารถประสานงานกับคู่หูในการแข่งขันแมดิสันได้อย่างราบรื่น และจบคืนแรกด้วย "ความกลัวบนใบหน้า" แต่ชาร์ลี มอตเต็ต กล่าวว่า "ผมเห็นเขาตอนเริ่มเย็น และเขาก็ทำให้ผมกังวล สองชั่วโมงต่อมา ผมบอกได้เลยว่าเขาได้รับความเคารพจากคนอื่นๆ เขาเปลี่ยนตัวได้ถูกต้อง เขาเข้าร่วมการแข่งขัน และเขาก็ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ คนอื่นๆ แทบไม่เชื่อสายตา"
เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เบตตินีได้รับการแต่งตั้งให้เป็นโค้ชทีมชาติอิตาลีคนใหม่ สืบต่อจากฟรังโก บัลเลรินี ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในช่วงต้นปีนั้น เขาดำรงตำแหน่งนี้จนถึงปี พ.ศ. 2557 ก่อนที่จะลาออกไปร่วมงานกับเฟร์นันโด อาลอนโซ ในโครงการทีมจักรยานใหม่ของเขา เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดตัวในปี พ.ศ. 2558
7. การประเมินและมรดก
เปาโล เบตตินีได้สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อวงการจักรยาน โดยได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักปั่นคลาสสิกที่เก่งที่สุดในยุคของเขาและอาจจะตลอดกาล เขาเป็นนักปั่นที่สามารถคว้าเกียรติยศได้เกือบทุกประเภท ยกเว้นเพียงแค่การคว้าแชมป์เวลารวมในแกรนด์ทัวร์เท่านั้น
ความสม่ำเสมอในการทำผลงานตลอดทั้งฤดูกาลเป็นสิ่งที่โดดเด่นอย่างยิ่ง เขาแทบไม่เคยมีฟอร์มตกอย่างรุนแรง และมีความสามารถพิเศษในการปรับสภาพร่างกายให้ถึงจุดสูงสุดได้อย่างแม่นยำสำหรับการแข่งขันที่เขาตั้งเป้าหมายไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันคลาสสิก ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่นักปั่นชั้นนำหลายคนยังต้องชื่นชม
ในปี พ.ศ. 2550 นิตยสารจักรยานฝรั่งเศส Velo ได้มอบรางวัล Vélo d'Or ให้แก่เบตตินีในฐานะนักปั่นยอดเยี่ยมแห่งปี พ.ศ. 2549 ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงตำแหน่งของเขาในฐานะหนึ่งในตำนานของกีฬาจักรยาน