1. Overview
อิกษวากุ (Ikṣvākuภาษาสันสกฤต) หรือในภาษาบาลีเรียกว่า โอกกากะ (Okkākaภาษาบาลี) เป็นกษัตริย์ในตำนานของศาสนาอินเดีย โดยเฉพาะในคัมภีร์ของศาสนาฮินดูและศาสนาเชน พระองค์ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรโกศล และเป็นหนึ่งในพระโอรสสิบพระองค์ของพระมนูศรัทธาเทวะ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นมนุษย์คนแรกบนโลก อิกษวากุทรงเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของราชวงศ์อิกษวากุ หรือที่รู้จักกันในนามสุริยวงศ์ (ราชวงศ์สุริยะ) ในอาณาจักรโกศล ซึ่งมีราชธานีอยู่ที่อโยธยา
อิกษวากุได้รับการจดจำในฐานะพระราชาผู้ทรงทศพิธราชธรรมและเปี่ยมด้วยปัญญา ในตำนานฮินดู พระองค์และผู้สืบเชื้อสายได้รับการกล่าวถึงว่าเป็น "มหาราชาแห่งโลก" ซึ่ง "โลก" ในวรรณกรรมพระเวทหมายถึงพื้นที่ทั้งหมดของภารตกานฑะ หรือภารตวรรษ (อินเดียในปัจจุบัน รวมถึงเนปาล บังกลาเทศ และปากีสถาน) ผู้สืบเชื้อสายจากราชวงศ์อิกษวากุมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อศาสนาอินเดียหลายแขนง โดยมีบุคคลสำคัญ เช่น พระรามในศาสนาฮินดู, พระมหาวีระในศาสนาเชน และพระโคตมพุทธเจ้าในศาสนาพุทธ ล้วนเชื่อกันว่าทรงสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์นี้
2. ที่มาและวงศ์วาน
ที่มาของพระเจ้าอิกษวากุนั้นเชื่อมโยงกับเทพเจ้าผู้สร้างและบรรพบุรุษของมนุษยชาติอย่างลึกซึ้ง โดยมีลำดับวงศ์วานอันศักดิ์สิทธิ์ที่เริ่มต้นจากพระพรหมผู้สร้างโลก ไปจนถึงพระมนู ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดพระองค์ นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีทางวิชาการที่หลากหลายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของพระองค์ ซึ่งรวมถึงการเชื่อมโยงกับกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างกันในอนุทวีปอินเดีย
2.1. วงศ์วาน
ตามคัมภีร์ในศาสนาฮินดูหลายเล่ม ลำดับวงศ์วานที่นำไปสู่พระเจ้าอิกษวากุ เริ่มต้นจากพระพรหม พระผู้สร้างจักรวาล พระพรหมมีพระโอรสคือมารีจิ ซึ่งมารีจิมีพระโอรสคือกัศยปะ (กัศยปะเป็นหนึ่งในปรชาบดีที่พระพรหมสร้างขึ้น) กัศยปะและอทิติมีพระโอรสคือวิวัสวัน หรือสุริยะ ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ จากวิวัสวันก็ให้กำเนิดพระมนูศรัทธาเทวะ ผู้เป็นมนุษย์คนแรกบนโลก ซึ่งถือกำเนิดจากครรภ์ของพระนางสัญชา
พระมนูศรัทธาเทวะและพระชายาของพระองค์คือศรัทธา มีพระโอรสด้วยกันสิบพระองค์ ในจำนวนนั้นรวมถึงอิกษวากุและนฤค พระเจ้าอิกษวากุจึงนับเป็นพระโอรสองค์แรกของพระมนูผู้สืบทอดความรู้เกี่ยวกับธรรมะและมนุษยธรรมจากพระอาทิตย์ (วิวัสวัน) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสายเลือดแห่งสุริยวงศ์อันศักดิ์สิทธิ์
2.2. ทฤษฎีเกี่ยวกับที่มา
นอกเหนือจากตำนานศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังมีการอภิปรายทางวิชาการเกี่ยวกับที่มาของพระเจ้าอิกษวากุและการเชื่อมโยงทางชาติพันธุ์ของราชวงศ์ของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราชวงศ์ศากยะ ซึ่งเป็นเชื้อสายของพระองค์ คัมภีร์อาถรรพเวทและพราหมณะบางส่วนกล่าวว่าอิกษวากุมีความเกี่ยวข้องกับผู้คนที่ไม่ใช่อารยัน ซึ่งแตกต่างจากชาวอารยันที่ประพันธ์บทสวดในพระเวททั้งสี่
นักประวัติศาสตร์บางคน เช่น เอฟ. อี. พาร์กิเตอร์ ได้ตีความว่าอิกษวากุมีความคล้ายคลึงกับชาวทราวิฑ อย่างไรก็ตาม นักวิชาการอย่างฟรานซิสคัส คุยเปอร์, มันเฟรด ไมเออร์โฮเฟอร์ และเลฟแมน กลับเสนอว่าชื่อ "อิกษวากุ" อาจมาจากภาษามุนดา ซึ่งเป็นตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก โดยเลฟแมนให้ข้อสังเกตว่าชื่อของราชวงศ์ศากยะ ซึ่งเป็นเชื้อสายของอิกษวากุ มีชื่อที่มาจากภาษามุนดา ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าชาวศากยะอย่างน้อยก็เป็นชนสองภาษา นอกจากนี้ ชื่อหมู่บ้านของชาวศากยะหลายแห่งยังเชื่อว่าไม่ใช่ภาษาอินโด-อารยัน เช่น คำว่า "นคร" (นครา) ที่หมายถึงเมืองหรือชุมชน ก็มีรากศัพท์มาจากภาษาทราวิฑ
อย่างไรก็ตาม มีนักวิชาการบางท่าน เช่น จี. เอส. คุรเย โต้แย้งแนวคิดของพาร์กิเตอร์ โดยเสนอว่าอิกษวากุเป็นนักรบชาวอารยันที่ขี่ม้า และอาจเดินทางมาถึงอนุทวีปอินเดียก่อนชาวอารยันที่ประพันธ์ฤคเวทเสียอีก นอกจากนี้ คัมภีร์พราหมณะยังระบุว่าอิกษวากุสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ปุรุ ซึ่งเป็นหนึ่งในเผ่าอารยันที่ถูกกล่าวถึงในฤคเวท ยิ่งไปกว่านั้น มันธาตรี กษัตริย์ในราชวงศ์อิกษวากุ ยังได้รับการพรรณนาในฤคเวทว่าได้ทำลายทัสยุ และได้รับการช่วยเหลือจากคู่แฝดอัศวิน ซึ่งเป็นเทพเจ้าแพทย์ในศาสนาพระเวท
3. การก่อตั้งราชวงศ์อิกษวากุ
พระเจ้าอิกษวากุมีความสำคัญอย่างยิ่งในการก่อตั้งราชวงศ์สุริยวงศ์ หรือราชวงศ์อิกษวากุ ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่โดดเด่นในประวัติศาสตร์และตำนานของอินเดีย พระองค์ทรงสถาปนาราชอาณาจักรโดยมีอโยธยา (अयोध्याภาษาฮินดี) หรือโกศล (कोसलภาษาฮินดี) เป็นราชธานี ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจที่สำคัญและเป็นที่รู้จักกันดีในภายหลัง
3.1. ผู้สืบเชื้อสายและราชวงศ์สาขา
พระเจ้าอิกษวากุมีพระโอรสถึงหนึ่งร้อยพระองค์ ซึ่งเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์และขยายอิทธิพลของราชวงศ์ออกไปทั่วทั้งอนุทวีปอินเดีย พระโอรสองค์โตของพระองค์คือวิกุกษี (विकुक्षिภาษาสันสกฤต) ซึ่งได้รับการกล่าวถึงในบางคัมภีร์ว่ามีพระนามอีกอย่างว่าศศาดะ (शशादภาษาสันสกฤต) พระวิกุกษีเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์แห่งอโยธยาต่อจากพระบิดา
พระโอรสอีกพระองค์หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญคือนิมี (निमिภาษาสันสกฤต) หรือเนมิราช พระองค์ได้เสด็จไปทางทิศตะวันออกและทรงก่อตั้งราชอาณาจักรวิเทหะ (विदेहภาษาสันสกฤต) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งราชอาณาจักรสำคัญในอินเดียโบราณ นอกเหนือจากนี้ คัมภีร์ปุราณะได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการปกครองของพระโอรสอิกษวากุไว้สองแนวทาง:
- ทฤษฎีแรก: ระบุว่าพระโอรสห้าสิบพระองค์ของอิกษวากุได้ปกครองอาณาจักรทางภาคเหนือของอินเดีย ในขณะที่อีกสี่สิบแปดพระองค์ได้ไปเป็นเจ้าชายผู้ปกครองทางภาคใต้
- ทฤษฎีที่สอง: ระบุว่าจากพระโอรสของพระวิกุกษี สิบห้าพระองค์ได้ปกครองทางตอนเหนือของภูเขาเมรุ และอีกหนึ่งร้อยสิบสี่พระองค์ได้ปกครองทางตอนใต้ของภูเขาเมรุ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการขยายอาณาเขตและอิทธิพลของราชวงศ์อิกษวากุในวงกว้าง
ราชวงศ์อิกษวากุจึงมิได้เป็นเพียงราชวงศ์ในตำนานเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นอารยธรรมและธรรมาธิปไตยในอนุทวีปอินเดีย โดยมีสายเลือดของพระองค์เป็นรากฐานของราชวงศ์และอาณาจักรสำคัญในยุคต่อมา
4. การกล่าวถึงในคัมภีร์
พระเจ้าอิกษวากุได้รับการกล่าวถึงอย่างแพร่หลายในคัมภีร์สำคัญต่าง ๆ ของศาสนาอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นในศาสนาฮินดู ศาสนาเชน และศาสนาพุทธ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทและความสำคัญของพระองค์ในฐานะบุคคลในตำนานผู้มีอิทธิพลต่อความเชื่อและประเพณีของหลายศาสนา
4.1. ในคัมภีร์ฮินดู
ในคัมภีร์ฮินดู พระเจ้าอิกษวากุมีบทบาทสำคัญในฐานะบรรพบุรุษของราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่และเป็นผู้เผยแพร่หลักคำสอนอันเป็นรากฐานของสังคม
4.1.1. วรรณคดีพระเวท
พระนามของอิกษวากุมีการกล่าวถึงในวรรณคดีพระเวท ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดของศาสนาฮินดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤคเวท พระนามของพระองค์ปรากฏเพียงหนึ่งครั้งในมณฑล 10, บทสวด 60, โองการ 4 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการรับรู้ถึงพระองค์ในยุคแรกเริ่มของพระเวท ในขณะที่อาถรรพเวท ในส่วน 19.39.9 ก็มีการกล่าวถึงพระองค์เช่นกัน โดยเชื่อมโยงกับพระมนู ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดพระองค์
4.1.2. มหากาพย์และปุราณะ
ในมหากาพย์และปุราณะ บทบาทของพระเจ้าอิกษวากุได้รับการขยายความอย่างละเอียด ในรามายณะ ฤๅษีอคัสตยะได้อธิบายถึงที่มาของอิกษวากุแก่พระราม โดยกล่าวถึงการที่พระมนู ซึ่งเป็นพระบิดาของอิกษวากุ ได้ยกราชสมบัติให้แก่พระโอรสองค์โตของพระองค์คืออิกษวากุ และสั่งสอนให้พระองค์ตั้งราชวงศ์ปกครองโลกด้วยความเที่ยงธรรม โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการลงโทษผู้กระทำผิดตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อนำพากษัตริย์ไปสู่สวรรค์ พระรามเองก็ทรงเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์อิกษวากุนี้ด้วย โดยลำดับวงศ์วานจากพระพรหมสู่พระรามได้ถูกบันทึกไว้ในรามายณะถึงสองแห่ง (1.70, 2.110)

วิษณุปุราณะระบุว่าอิกษวากุถือกำเนิดจากการจามของพระมนู พระองค์มีพระโอรสหนึ่งร้อยพระองค์ ซึ่งสามพระองค์ที่โดดเด่นที่สุดคือวิกุกษี นิมี และทัณฑะ ในช่วงพิธีอัษฏกะ อิกษวากุมีพระประสงค์จะประกอบพิธีบูชาบรรพบุรุษ และทรงสั่งให้พระวิกุกษีนำเนื้อสัตว์ที่เหมาะสมมาถวาย พระวิกุกษีได้ออกล่าสัตว์ในป่าเพื่อใช้ในพิธี แต่เนื่องจากทรงเหน็ดเหนื่อยมาก พระองค์จึงเสวยกระต่ายตัวหนึ่งในบรรดาสัตว์ที่ล่ามาได้ ก่อนที่จะนำสัตว์ที่เหลือกลับมาถวายพระบิดา
เมื่อวสิษฐะ ปุโรหิตประจำราชวงศ์ ถูกขอให้ประกอบพิธีบูชา ท่านประกาศว่าเนื้อสัตว์นั้นไม่บริสุทธิ์ เนื่องจากพระวิกุกษีได้เสวยกระต่ายไปแล้ว ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องพลีที่นำมาถวาย ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าอิกษวากุจึงทรงขับไล่พระวิกุกษีออกจากอาณาจักรเนื่องจากทรงขัดเคืองกับการกระทำนี้ แต่หลังจากที่พระเจ้าอิกษวากุเสด็จสวรรคต ราชบัลลังก์ของภูลโลกก็ตกเป็นของพระวิกุกษี ซึ่งต่อมาทรงได้รับการสืบทอดโดยพระโอรสของพระองค์คือปุรัญชัย
4.2. ในศาสนาเชน
ในคัมภีร์ศาสนาเชน พระเจ้าอิกษวากุได้รับการระบุว่าเป็นบุคคลเดียวกับฤษภนาถ (Ṛṣabhanāthaภาษาสันสกฤต) ซึ่งเป็นตีรถังกรองค์แรกของศาสนาเชน นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าตีรถังกรส่วนใหญ่ ยกเว้นมุนิสุวรัต (ตีรถังกรองค์ที่ 20) และเนมินาถ (ตีรถังกรองค์ที่ 22) ล้วนสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์อิกษวากุ ไม่ว่าจะเป็นสายหลักหรือสายสาขา
ตีรถังกรฤษภนาถยังมีความเกี่ยวข้องกับตำนานเกี่ยวกับ "อ้อย" (ikṣuภาษาสันสกฤต) ในฐานะที่เป็นบุคคลแรกที่ออกบวช ผู้คนในยุคนั้นไม่ทราบว่าจะถวายสิ่งใดแก่ท่าน ในที่สุด เจ้าชายศเรยันสา ได้ถวายน้ำอ้อย (ikṣuภาษาสันสกฤต) แด่ท่าน ซึ่งนับเป็นสิ่งแรกที่ตีรถังกรฤษภนาถทรงรับเป็นทาน เหตุการณ์นี้ได้รับการรำลึกถึงในเทศกาลอักษยะ ตฤติยะ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่สามของศุกลปักษ์ (ช่วงที่พระจันทร์สว่างขึ้น) ในเดือนไวศาขะของปฏิทินฮินดู
4.3. ในศาสนาพุทธ
ในศาสนาพุทธ มีธรรมเนียมที่ระบุว่าราชวงศ์ศากยะ ซึ่งเป็นตระกูลของเจ้าชายสิทธัตถะ (พระโคตมพุทธเจ้า) ทรงสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์อิกษวากุ โดยในคัมภีร์ภาษาบาลี พระองค์จะถูกเรียกว่า โอกกากะ (Okkākaภาษาบาลี)
นอกจากนี้ ในคัมภีร์ทางพุทธศาสนาอย่างเช่น พุทธประวัติตรีปิฎก (เทียบเท่า Fo Ben Xing Ji Jing) ยังมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ซึ่งถูกเรียกว่า พระเจ้าอ้อย (甘蔗王Kānzhè WángChinese) ตำนานเล่าว่า มีพระราชาองค์หนึ่งชื่อ ท้าวอาทิจจะ หรือมหาปัสสาสิ ซึ่งออกบวชแต่ถูกนายพรานเข้าใจผิดว่าเป็นนกกระเรียนขาวแล้วยิงเสียชีวิต เมื่อพระราชาสิ้นพระชนม์ เลือดของพระองค์ได้ไหลลงสู่พื้นดิน และจากหยดเลือดนั้นได้มีต้นอ้อยสองต้นผลิขึ้นมา ภายในต้นอ้อยนั้นมีเด็กชายและเด็กหญิงคู่หนึ่งถือกำเนิดขึ้น ผู้คนได้ยกให้เด็กชายขึ้นเป็นพระราชา และเนื่องจากการกำเนิดของพระองค์เกี่ยวข้องกับต้นอ้อย พระองค์จึงถูกขนานนามว่า "พระเจ้าอ้อย" ซึ่งเป็นชื่อที่เชื่อมโยงกับพระนาม "อิกษวากุ" หรือ "อิกษุ" ที่แปลว่าอ้อย
5. มรดกและความสำคัญ
พระเจ้าอิกษวากุเป็นบุคคลที่มีมรดกทางวัฒนธรรมและศาสนาอันยิ่งใหญ่ในอนุทวีปอินเดีย พระองค์เป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นราชวงศ์อันศักดิ์สิทธิ์และเป็นรากฐานสำคัญที่เชื่อมโยงระหว่างศาสนาฮินดู ศาสนาเชน และศาสนาพุทธ เข้าด้วยกัน อิทธิพลของพระองค์สะท้อนให้เห็นผ่านสายเลือดของกษัตริย์ผู้ทรงคุณธรรมและศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งล้วนสืบเชื้อสายมาจากพระองค์
5.1. ความหมายของพระนาม
พระนาม "อิกษวากุ" (Ikṣvākuภาษาสันสกฤต) นั้นมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้ง โดยคำว่า อิกษุ (ikṣuภาษาสันสกฤต) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระนาม มีความหมายว่า อ้อย การเชื่อมโยงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศาสนาพุทธ ที่พระองค์ได้รับการขนานนามว่า พระเจ้าอ้อย (甘蔗王Chinese) หรือในภาษาบาลีเรียกว่า โอกกากะ (Okkākaภาษาบาลี)
ภูมิหลังที่ทำให้พระองค์ถูกเรียกว่า "พระเจ้าอ้อย" นั้นมาจากตำนานที่เล่าว่าเลือดของพระองค์ที่หยดลงบนพื้นได้กลายเป็นต้นอ้อยอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งให้กำเนิดผู้สืบทอดราชบัลลังก์ขึ้นมาอีกครั้ง ความหมายนี้จึงสะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ การเริ่มต้นใหม่ และการเป็นรากฐานของสายเลือดอันบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นมรดกสำคัญของพระองค์ที่ยังคงได้รับการยกย่องในความเชื่อและตำนานต่าง ๆ มาจนถึงปัจจุบัน