1. พระชนม์ชีพ
อาร์ชดยุกคาร์ล ลุดวิกทรงมีพระชนม์ชีพที่เต็มไปด้วยความท้าทายและการปรับตัวจากสถานะสมาชิกราชวงศ์ที่ลี้ภัย สู่บทบาทของพลเมืองผู้ประกอบอาชีพและบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม พระชนม์ชีพของพระองค์สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ของยุโรปในศตวรรษที่ 20 ทั้งในด้านการเมืองและสังคม ตั้งแต่วัยเยาว์ที่ต้องลี้ภัยไปจนถึงการกลับคืนสู่มาตุภูมิในวัยชรา
1.1. วัยเยาว์และการศึกษา
อาร์ชดยุกคาร์ล ลุดวิก ประสูติเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2461 ณ บาเดินไบวีน (Baden bei Wien) ประเทศออสเตรีย โดยเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 4 และพระราชบุตรองค์ที่ 5 ของสมเด็จพระจักรพรรดิคาร์ลที่ 1 แห่งออสเตรีย และสมเด็จพระจักรพรรดินีซีต้าแห่งบูร์บอง-ปาร์มา ในวันประสูติของพระองค์ มีการยิงสลุต 101 นัดเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง
หลังจากการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 1 และการล้มล้างระบอบราชาธิปไตยในออสเตรีย ราชวงศ์ฮับส์บูร์กถูกบังคับให้ลี้ภัย พระองค์และพระราชวงศ์ได้เสด็จลี้ภัยไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นที่แรก ก่อนจะย้ายไปที่เกาะมาไดรา ประเทศโปรตุเกส ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระราชบิดาของพระองค์เสด็จสวรรคต
ต่อมาในปี พ.ศ. 2483 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อนาซีเยอรมนีเข้ารุกรานเบลเยียม ครอบครัวของพระองค์ได้อพยพต่อไปยังทวีปอเมริกาเหนือ โดยทรงไปประทับที่เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา ซึ่งในระหว่างที่ประทับที่ทวีปอเมริกาเหนือ พระองค์ได้เปลี่ยนการสะกดพระนามจาก Karlภาษาเยอรมัน เป็น Carlภาษาเยอรมัน เพื่อให้เข้ากับบริบทการใช้ชีวิตในโลกตะวันตก พระองค์ทรงศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยคาทอลิกลูแว็ง (University of Louvain) ในประเทศเบลเยียม ซึ่งเป็นสถาบันเดียวกับที่อาร์ชดยุกออทโท ฟรันซ์ โจเซฟ แห่งออสเตรีย พระเชษฐาทรงเคยศึกษา และต่อมาทรงสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยลาวาล (Université Laval) ในเมืองควิเบก โดยทรงศึกษาในสาขานิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์
1.2. การเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อาร์ชดยุกคาร์ล ลุดวิกทรงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตรและช่วยเหลือผู้ลี้ภัย โดยเฉพาะชาวยิวที่อพยพหนีการกดขี่จากอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ในประเทศเยอรมนี ในปี พ.ศ. 2486 พระองค์และอาร์ชดยุกเฟลิกซ์แห่งออสเตรีย พระเชษฐา ทรงอาสาเข้าร่วมกับกองทัพสหรัฐฯ ในนาม "กองพันออสเตรียเสรี" (Free Austria Battalion) ซึ่งเป็นกองพันทหารราบที่ 101
แม้ว่ากองพันนี้จะถูกยุบในภายหลัง เนื่องจากชาวยิวผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ซึ่งเป็นกำลังหลักปฏิเสธที่จะยืนยันการเกณฑ์ทหาร แต่พระองค์ก็ยังคงรับใช้ชาติอย่างต่อเนื่อง โดยทรงเข้าร่วมในปฏิบัติการลับตามคำสั่งของแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อเจรจาสันติภาพลับกับราชอาณาจักรฮังการีในประเทศโปรตุเกส ซึ่งแม้จะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงบทบาททางการทูตของพระองค์
ในปี พ.ศ. 2487 พระองค์ได้ทรงเข้าร่วมในยุทธการนอร์มังดี ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรบที่สำคัญในสงครามโลกครั้งที่ 2 พระองค์ทรงรับราชการในกองทัพสหรัฐฯ จนถึงปี พ.ศ. 2490 และได้รับการเลื่อนยศเป็นพันตรี
1.3. อาชีพธุรกิจและกิจกรรมทางสังคม
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อาร์ชดยุกคาร์ล ลุดวิกทรงเริ่มต้นเส้นทางอาชีพในภาคธุรกิจ โดยทรงเข้าร่วมงานกับบริษัทเบลเยียมสาขาในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในนครนิวยอร์ก และวอชิงตัน ดี.ซี. ในปี พ.ศ. 2501 พระองค์และพระราชวงศ์ทรงย้ายกลับมายังทวีปยุโรป และทรงประทับที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม
ที่กรุงบรัสเซลส์ พระองค์ทรงเข้าร่วมงานกับบริษัทโซซิเอเต้ เจเนอราล เดอ เบลจิก (Société Générale de Belgique) และต่อมาได้ทรงก่อตั้งบริษัทลูกในประเทศแคนาดาชื่อ เจนสตาร์ (Genstar) ซึ่งพระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการบริหารจนกระทั่งเกษียณอายุในปี พ.ศ. 2529 ภายใต้การบริหารของพระองค์ บริษัทเจนสตาร์ได้ขยายขนาดและเพิ่มจำนวนพนักงานกว่า 2,000 คน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารและวิสัยทัศน์ทางธุรกิจของพระองค์
นอกจากความสำเร็จในด้านธุรกิจแล้ว พระองค์ยังทรงมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมอย่างแข็งขัน โดยทรงช่วยเหลือผู้ยากไร้และผู้ว่างงานจำนวนมากในประเทศเบลเยียม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือสังคมและผู้ด้อยโอกาส
1.4. ความสัมพันธ์กับออสเตรียและการกลับประเทศ
หลังจากการล้มล้างระบอบราชาธิปไตยในออสเตรีย ได้มีการประกาศใช้กฎหมายฮับส์บูร์กในปี พ.ศ. 2462 ซึ่งนำไปสู่การริบทรัพย์สินของราชวงศ์ฮับส์บูร์กทั้งหมดกลับคืนเป็นของรัฐ อาร์ชดยุกคาร์ล ลุดวิก และอาร์ชดยุกเฟลิกซ์แห่งออสเตรีย พระเชษฐา ทรงเป็นหนึ่งในสมาชิกราชวงศ์ที่เรียกร้องให้รัฐบาลออสเตรียคืนทรัพย์สินบางส่วนที่เคยได้รับการเยียวยาคืนแก่ราชวงศ์ในช่วงปี พ.ศ. 2478 ถึง พ.ศ. 2479 แต่ถูกนาซีเยอรมนียึดไปอีกครั้งหลังจากการผนวกออสเตรียในปี พ.ศ. 2481
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างอาร์ชดยุกคาร์ล ลุดวิกกับรัฐบาลออสเตรียมีความซับซ้อน เนื่องจากพระองค์ไม่ทรงยอมสละสิทธิ์ในราชบัลลังก์ตามที่กฎหมายฮับส์บูร์กกำหนด ซึ่งแตกต่างจากอาร์ชดยุกออทโท ฟรันซ์ โจเซฟ แห่งออสเตรีย พระเชษฐาที่ทรงสละสิทธิ์เพื่อขอสัญชาติออสเตรีย ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลออสเตรียจึงมีคำสั่งห้ามไม่ให้พระองค์เสด็จเข้าประเทศ
แต่ด้วยความพยายามในการเจรจา ในที่สุดเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2539 อาร์ชดยุกคาร์ล ลุดวิก และอาร์ชดยุกเฟลิกซ์ ก็ทรงประกาศความจงรักภักดีต่อสาธารณรัฐออสเตรีย โดยไม่มีการระบุถึงการสละสิทธิ์ในราชบัลลังก์ ซึ่งเป็นการประนีประนอมจากรัฐบาลออสเตรียที่ยอมรับเงื่อนไขนี้ และในวันที่ 16 เมษายน ปีเดียวกัน รัฐสภาออสเตรียได้อนุมัติการมอบหนังสือเดินทางและอนุญาตให้ทั้งสองพระองค์สามารถเสด็จกลับเข้าประเทศได้
2. การอภิเษกสมรสและพระโอรส-ธิดา
อาร์ชดยุกคาร์ล ลุดวิก ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงโยลันเดอแห่งลิกเน (Princess Yolande of Ligne) ซึ่งประสูติเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2466 และเป็นพระธิดาในเจ้าชายยูจีนแห่งลิกเน (Eugène II, Prince of Ligne) ณ เบลเยิล (Belœil) ประเทศเบลเยียม เมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2493 ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสและพระธิดารวม 4 พระองค์ ดังนี้
- อาร์ชดยุกรูดอล์ฟแห่งออสเตรีย (Rudolf Maria Carl Eugen Anna Antonius Marcus d'Aviano) ประสูติเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 ทรงอภิเษกสมรสกับ บารอนเนสเฮเลน เดอ วิลเลนแฟก เดอ โวเกลแซก (Hélène de Villenfagne de Vogelsanck) ซึ่งประสูติเมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2497 ณ กรุงบรัสเซลส์ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 และครอบครัวของพระองค์ได้ประทับในเบลเยียมตั้งแต่นั้นมา เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2521 พระองค์ พระโอรสธิดา และผู้สืบสายจากฝ่ายชายได้รับการบรรจุในขุนนางเบลเยียม โดยได้รับพระอิสริยยศเป็น "เจ้าชาย/เจ้าหญิงแห่งฮับส์บูร์ก-โลทริงเงิน" และมีฐานันดรศักดิ์เป็น "เจ้าฟ้า" อาร์ชดยุกรูดอล์ฟทรงงานที่บริษัทบริหารการลงทุน AAA Gestion ใน วิลลาร์-ซูร์-กลาน (Villars-sur-Glâne) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และประทับที่ปราสาทเดอดีสบาช (De Diesbach Castle) พระองค์และเฮเลนมีพระโอรสธิดา 8 พระองค์ ซึ่งต่อมาได้รับการยอมรับจากประมุขแห่งราชวงศ์ฮับส์บูร์ก-โลทริงเงินว่าเป็น "อาร์ชดยุกและอาร์ชดัชเชสแห่งออสเตรีย":
- อาร์ชดยุกคาร์ล คริสเตียนแห่งออสเตรีย (Carl Christian of Austria) ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2520 ทรงอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2550 กับ เอสเต็ลล์ เดอ แซง-โรแมง (Estelle de Saint-Romain) ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2522
- อาร์ชดัชเชสพริซิลล่าแห่งออสเตรีย (Priscilla of Austria) ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2522 ทรงหมั้นเมื่อปี พ.ศ. 2565 กับ กาเบรียล คอนเทรรัส มิลลัน (Gabriel Contreras Millán)
- อาร์ชดยุกโจฮันเนสแห่งออสเตรีย (Johannes of Austria) ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2524 เป็นนักบวชคาทอลิกในคณะภราดรภาพสวิส Eucharisteinภาษาฝรั่งเศส
- อาร์ชดยุกโธมัสแห่งออสเตรีย (Thomas of Austria) ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2526 เป็นสมาชิกคณะภราดรภาพคาทอลิกสวิส Eucharisteinภาษาฝรั่งเศส
- อาร์ชดัชเชสมารี-เดส-ไนเจสแห่งออสเตรีย (Marie-des-Neiges of Austria) ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2529 เป็นสมาชิกคณะภราดรภาพคาทอลิกสวิส Eucharisteinภาษาฝรั่งเศส
- อาร์ชดยุกฟรานซ์-ลุดวิกแห่งออสเตรีย (Franz-Ludwig of Austria) ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2531 ทรงอภิเษกสมรสเมื่อปี พ.ศ. 2561 กับ มาทิลด์ วิกนอน (Mathilde Vignon) ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2535
- อาร์ชดยุกไมเคิลแห่งออสเตรีย (Michael of Austria) ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2533
- อาร์ชดยุกโจเซฟแห่งออสเตรีย (Joseph of Austria) ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2534 เป็นสมาชิกคณะภราดรภาพคาทอลิกสวิส Eucharisteinภาษาฝรั่งเศส
- อาร์ชดัชเชสอเล็กซานดร้าแห่งออสเตรีย (Alexandra of Austria) ประสูติเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 ทรงอภิเษกสมรสกับ เฮคเตอร์ รีเซิล คอนเทรรัส (Héctor Riesle Contreras) เอกอัครราชทูตประเทศชิลีประจำนครรัฐวาติกัน ซึ่งประสูติเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 ทั้งสองมีพระโอรสธิดา 3 พระองค์:
- เฟลิเป้ รีเซิล เดอ ฮับส์บูร์ก-โลเรนา (Felipe Riesle de Habsburgo-Lorena) ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2529 ทรงอภิเษกสมรสกับ ปิลา กาเซีย-ฮูยโดโบร เอเชเวร์เรีย (Pilar García-Huidobro Echeverría)
- มาเรีย โซเฟีย รีเซิล เดอ ฮับส์บูร์ก-โลเรนา (María Sofía Riesle de Habsburgo-Lorena) ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2530 ทรงอภิเษกสมรสกับ โรดริโก รีโซปาตรอน มอนเตโร (Rodrigo Risopatrón Montero)
- คอนสแตนซ่า รีเซิล เดอ ฮับส์บูร์ก-โลเรนา (Constanza Riesle de Habsburgo-Lorena) ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2532 ทรงอภิเษกสมรสกับ เซบัสเตียน ปรีเอโต โดโนโซ (Sebastián Prieto Donoso)
- อาร์ชดยุกคาร์ล คริสเตียนแห่งออสเตรีย (Carl Christian of Austria) ประสูติเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2497 ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงมารี แอสทริดแห่งลักเซมเบิร์ก เมื่อปี พ.ศ. 2525 เช่นเดียวกับพระเชษฐา พระองค์ทรงงานที่บริษัทบริหารการลงทุน AAA Gestion ใน วิลลาร์-ซูร์-กลาน (Villars-sur-Glâne) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อาร์ชดยุกคาร์ล คริสเตียน และมารี แอสทริด มีพระโอรสธิดา 5 พระองค์:
- อาร์ชดัชเชส มารี-คริสตีน แอนน์ แอสทริด ซีต้า ชาร์ลอต แห่งออสเตรีย (Marie-Christine Anne Astrid Zita Charlotte of Austria) ประสูติเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2526 ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ทรงหมั้นเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 กับ เคานต์ โรดอล์ฟ คริสเตียน ลีโอโพลด์ คาร์ล ลุดวิก ฟิลลิปป์ เดอ ลิมเบิร์ก-สเตียร์รัม (Rodolphe Christian Léopold Carl Ludwig Phillipe de Limburg-Stirum) ประสูติเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2522 ณ อุคเคิล (Uccle) กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ทั้งสองอภิเษกสมรสในพิธีทางแพ่งเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ณ ศาลาว่าการเมืองเมเคอเลิน (Mechelen) ประเทศเบลเยียม และตามด้วยพิธีทางศาสนาที่อาสนวิหารนักบุญรัมโบลด์ (St. Rumbold's Cathedral) ในเมเคอเลิน ทั้งสองมีพระโอรส 3 พระองค์:
- เคานต์ ลีโอโพลด์ เมนโน ฟิลลิปป์ กาเบรียล ฟรองซัวส์-ซาเวียร์ มารี โจเซฟ กิสแลง เดอ ลิมเบิร์ก-สเตียร์รัม (Léopold Menno Philippe Gabriel François-Xavier Marie Joseph Ghislain de Limburg-Stirum) ประสูติเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554 ณ บัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา
- เคานต์ คอนสแตนติน เดอ ลิมเบิร์ก-สเตียร์รัม (Constantin de Limburg-Stirum) ประสูติเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556 ณ บัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา
- เคานต์ กาเบรียล เดอ ลิมเบิร์ก-สเตียร์รัม (Gabriel de Limburg-Stirum) ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2559
- อาร์ชดยุก ไอเมอร์ เอ็มมานูเอล ซิเมออน ฌ็อง คาร์ล มาร์คัส ดาเวียโน แห่งออสเตรีย (Imre Emanuel Simeon Jean Carl Marcus d'Aviano of Austria) ประสูติเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2528 ณ เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงหมั้นกับ แคทลีน เอลิซาเบธ วอล์กเกอร์ (Kathleen Elizabeth Walker) ประสูติเมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2529 ณ ซินซินแนติ (Cincinnati) รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ทั้งสองพบกันในเดือนเมษายน พ.ศ. 2553 และอภิเษกสมรสกันเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ณ โบสถ์เซนต์แมรี มารดาพระเจ้า (Saint Mary, Mother of God Catholic Church) กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ทั้งสองมีพระโอรสธิดา 5 พระองค์:
- อาร์ชดัชเชส มาเรีย-สเตลล่า เอลิซาเบธ คริสเตียนา โยลันเดอ อัลเบอร์ต้า แห่งออสเตรีย (Maria-Stella Elizabeth Christiana Yolande Alberta of Austria) ประสูติเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ณ เคียร์ชแบร์ก (Kirchberg) ลักเซมเบิร์ก
- อาร์ชดัชเชส แมกดาลีน่า มาเรีย อเล็กซานดร้า ซีต้า ชาร์ลอต แห่งออสเตรีย (Magdalena Maria Alexandra Zita Charlotte of Austria) ประสูติเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ณ เคียร์ชแบร์ก (Kirchberg) ลักเซมเบิร์ก
- อาร์ชดัชเชส จูเลียนา มาเรีย คริสตีน วิลเฮลมินา มาร์กาเร็ต แอสทริด แห่งออสเตรีย (Juliana Marie Christine Wilhelmina Margaret Astrid of Austria) ประสูติเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2561 ณ เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
- อาร์ชดัชเชส เซซีเลีย มารี โจเซฟิน อเดเลด เฮนเรียตตา แห่งออสเตรีย (Cecilia Marie Josephine Adelaide Henrietta of Austria) ประสูติเมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2564 ณ เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
- อาร์ชดยุก คาร์ล แห่งออสเตรีย (Karl of Austria) ประสูติเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2566 ณ เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
- อาร์ชดยุก คริสโตฟ อองรี อเล็กซานเดอร์ มาเรีย มาร์คัส ดาเวียโน แห่งออสเตรีย (Christoph Henri Alexander Maria Marcus d' Aviano of Austria) ประสูติเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 ณ เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงหมั้นกับ อาเดเลด มารี เบอาทริซ ดราเป-ฟรีช (Adélaïde Marie Béatrice Drapé-Frisch) ประสูติเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2532 ณ เลอ ลิลลาส (Les Lilas) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ. 2554 ทั้งสองอภิเษกสมรสกันเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ณ อาสนวิหารนักบุญเอปเวร (Basilica of Saint-Epvre) ในน็องซี (Nancy) ประเทศฝรั่งเศส ทั้งสองมีพระโอรสธิดา 4 พระองค์:
- อาร์ชดัชเชส คาตารีน่า มารี-คริสตีน ฟาบิโอล่า แห่งออสเตรีย (Katarina Marie-Christine Fabiola of Austria) ประสูติเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ณ เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
- อาร์ชดัชเชส โซเฟีย แห่งออสเตรีย (Sophia of Austria) ประสูติเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2560 ณ เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
- อาร์ชดยุก โจเซฟ แห่งออสเตรีย (Josef of Austria) ประสูติเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2563 ณ เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
- อาร์ชดัชเชส ฟลาเวีย แห่งออสเตรีย (Flavia of Austria) ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2566
- อาร์ชดยุก อเล็กซานเดอร์ เฮคเตอร์ มารี คาร์ล ลีโอโพลด์ มาร์คัส ดาเวียโน แห่งออสเตรีย (Alexander Hector Marie Karl Leopold Marcus d'Aviano of Austria) ประสูติเมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2533 ณ เมย์ริน (Meyrin) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2566 ณ เบลเยิล (Belœil) ประเทศเบลเยียม กับ นาตาชา รูเมียนท์เซฟฟ์-ปาชเควิช (Natacha Roumiantzeff-Pachkevitch)
- อาร์ชดัชเชส กาเบรียลล่า มาเรีย พิลาร์ โยลันเดอ โจเซฟีน-ชาร์ลอต แห่งออสเตรีย (Gabriella Maria Pilar Yolande Joséphine-Charlotte of Austria) ประสูติเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2537 ณ เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงหมั้นกับ เจ้าชาย อองรี ลุยต์โพลด์ อองตวน วิคเตอร์ มารี โจเซฟ แห่งบูร์บอง-ปาร์มา (Henri Luitpold Antoine Victor Marie Joseph of Bourbon-Parma) ประสูติเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2534 ณ รอสกิลด์ (Roskilde) เดนมาร์ก เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ทั้งสองอภิเษกสมรสกันเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2563 ณ ปราสาททรัตซ์เบิร์ก (Tratzberg Castle) ใน เยนบาค (Jenbach) รัฐทีโรล ประเทศออสเตรีย ทั้งสองมีพระธิดา 3 พระองค์:
- เจ้าหญิง วิคตอเรีย แอนโตเนีย มารี-แอสทริด ลิเดีย แห่งบูร์บอง-ปาร์มา (Victoria Antonia Marie-Astrid Lydia of Bourbon-Parma) ประสูติเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ณ เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
- เจ้าหญิง อนาสตาเซีย เอริกา อเล็กซานดร้า มารี โยลันเดอ แห่งบูร์บอง-ปาร์มา (Anastasia Erika Alexandra Marie Yolande of Bourbon-Parma) ประสูติเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 ณ เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
- เจ้าหญิง ฟิลิปปินา แห่งบูร์บอง-ปาร์มา (Philippina of Bourbon-Parma) ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2566
- อาร์ชดัชเชสมาเรีย คอนสแตนซ่าแห่งออสเตรีย (Maria Constanza of Austria) ประสูติเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2500 ทรงอภิเษกสมรสกับ ฟรานซ์ โจเซฟ เจ้าชายแห่งเอาเออร์สเบิร์ก-เทราท์ซอน (Franz Josef, Prince von Auersperg-Trautson) ประสูติเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2497 ณ เบลเยิล ประเทศเบลเยียม เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2537 ทั้งสองมีพระธิดา 3 พระองค์ (หนึ่งพระองค์สิ้นพระชนม์หลังประสูติไม่นาน) และพระธิดาบุญธรรม 1 พระองค์ ซึ่งใช้ชื่อสกุล "เจ้าหญิงแห่งเอาเออร์สเบิร์ก-เทราท์ซอน" และฐานันดรศักดิ์ "เจ้าหญิงแห่งเอาเออร์สเบิร์ก-เทราท์ซอน":
- เจ้าหญิงอันนา มาเรียแห่งเอาเออร์สเบิร์ก-เทราท์ซอน (Anna Maria of Auersperg-Trautson) ประสูติเมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2540
- เจ้าหญิงอเล็กซานดร้า มาเรียแห่งเอาเออร์สเบิร์ก-เทราท์ซอน (Alexandra Maria of Auersperg-Trautson) ประสูติและสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541
- เจ้าหญิงลาดิสลาย่าแห่งเอาเออร์สเบิร์ก-เทราท์ซอน (Ladislaya of Auersperg-Trautson) ประสูติเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542
- เจ้าหญิงเอเลโอโนราแห่งเอาเออร์สเบิร์ก-เทราท์ซอน (Eleonora of Auersperg-Trautson) ประสูติเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2545
อาร์ชดยุกรูดอล์ฟแห่งออสเตรีย พระโอรสในอาร์ชดยุกคาร์ล ลุดวิก ระหว่างการนำเสนอเกี่ยวกับสมเด็จพระอัยยิกาสมเด็จพระจักรพรรดินีซีต้าแห่งออสเตรีย ณ เบอร์โน (พ.ศ. 2557)
- อาร์ชดัชเชส มารี-คริสตีน แอนน์ แอสทริด ซีต้า ชาร์ลอต แห่งออสเตรีย (Marie-Christine Anne Astrid Zita Charlotte of Austria) ประสูติเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2526 ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ทรงหมั้นเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 กับ เคานต์ โรดอล์ฟ คริสเตียน ลีโอโพลด์ คาร์ล ลุดวิก ฟิลลิปป์ เดอ ลิมเบิร์ก-สเตียร์รัม (Rodolphe Christian Léopold Carl Ludwig Phillipe de Limburg-Stirum) ประสูติเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2522 ณ อุคเคิล (Uccle) กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ทั้งสองอภิเษกสมรสในพิธีทางแพ่งเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ณ ศาลาว่าการเมืองเมเคอเลิน (Mechelen) ประเทศเบลเยียม และตามด้วยพิธีทางศาสนาที่อาสนวิหารนักบุญรัมโบลด์ (St. Rumbold's Cathedral) ในเมเคอเลิน ทั้งสองมีพระโอรส 3 พระองค์:
3. สิ้นพระชนม์
อาร์ชดยุกคาร์ล ลุดวิกแห่งออสเตรีย ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เมื่อพระชันษา 89 ปี
พิธีพระศพของพระองค์จัดขึ้น ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2551 โดยมีสมาชิกจากราชวงศ์ออสเตรีย-ฮังการี ราชวงศ์ลักเซมเบิร์ก และราชวงศ์เบลเยียมเข้าร่วมในพิธีด้วย นอกจากนี้ คณะรัฐบาลออสเตรียยังมีส่วนร่วมในการจัดพิธีพระศพครั้งนี้ ซึ่งรวมถึงการปรากฏตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจออสเตรียด้วย
พระศพของพระองค์ถูกฝังอยู่เคียงข้างสมเด็จพระจักรพรรดินีซีต้าแห่งบูร์บอง-ปาร์มา พระราชชนนีของพระองค์ ในวิหารคาปูซิน (Kapuziner Crypt) ซึ่งเป็นสถานที่ฝังพระศพของราชวงศ์ฮับส์บูร์กในกรุงเวียนนา

4. ราชตระกูล
ตัวเลข | พระนาม |
---|---|
1 | อาร์ชดยุกคาร์ล ลุดวิกแห่งออสเตรีย |
2 | สมเด็จพระจักรพรรดิคาร์ลที่ 1 แห่งออสเตรีย |
3 | สมเด็จพระจักรพรรดินีซีต้าแห่งบูร์บอง-ปาร์มา |
4 | อาร์ชดยุกออทโท ฟรันซ์ แห่งออสเตรีย |
5 | เจ้าหญิงมาเรีย โจเซฟ่าแห่งแซ็กโซนี (พ.ศ. 2410-2487) |
6 | โรเบิร์ตที่ 1 ดยุกแห่งปาร์มา |
7 | อินฟานตามารีอา อันโตเนียแห่งโปรตุเกส |
8 | อาร์ชดยุกคาร์ล ลุดวิกแห่งออสเตรีย |
9 | เจ้าหญิงมาเรีย แอนนันซุเอต้าแห่งทู ซิชิลี่ส์ |
10 | สมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จแห่งแซ็กโซนี |
11 | อินฟานตามารีอา อานาแห่งโปรตุเกส (พ.ศ. 2386-2427) |
12 | ชาร์ลส์ที่ 3 ดยุกแห่งปาร์มา |
13 | เจ้าหญิงหลุยส์แห่งอาร์ตัว |
14 | สมเด็จพระราชาธิบดีมิเกลที่ 1 แห่งโปรตุเกส |
15 | อาเดเลดแห่งโลเวนสไตน์-เวอร์เธ็ม-โรเซนเบิร์ก |
5. การประเมินและมรดก
อาร์ชดยุกคาร์ล ลุดวิกแห่งออสเตรียทรงเป็นบุคคลสำคัญที่เชื่อมโยงระหว่างอดีตอันรุ่งเรืองของราชวงศ์ฮับส์บูร์กกับการดำเนินชีวิตในสังคมยุคใหม่ที่เน้นประชาธิปไตยและบทบาทของพลเมือง แม้จะประสูติในฐานะสมาชิกราชวงศ์ชั้นสูง แต่พระองค์ก็ทรงใช้ชีวิตภายหลังการล่มสลายของจักรวรรดิอย่างถ่อมตนและมุ่งมั่นในการสร้างคุณูปการให้แก่สังคม
ในด้านธุรกิจ พระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการก่อตั้งและบริหารบริษัทเจนสตาร์ในแคนาดา ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงวิสัยทัศน์และความเป็นผู้นำของพระองค์ นอกจากนี้ บทบาทของพระองค์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวยิว และการรับราชการในกองทัพสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและจิตวิญญาณแห่งมนุษยธรรมของพระองค์
อย่างไรก็ตาม มรดกที่สำคัญที่สุดของพระองค์อาจอยู่ที่ความมุ่งมั่นในการรักษาเกียรติภูมิและสิทธิของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ในขณะเดียวกันก็เคารพในกฎหมายของสาธารณรัฐออสเตรีย การที่พระองค์และพระเชษฐาพยายามเรียกร้องการคืนทรัพย์สินของราชวงศ์ฮับส์บูร์กที่ถูกริบไป และในที่สุดก็สามารถกลับเข้าสู่มาตุภูมิได้โดยไม่จำเป็นต้องสละสิทธิ์ในราชบัลลังก์อย่างเป็นทางการ แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการประนีประนอมทางการเมืองที่ละเอียดอ่อน
อาร์ชดยุกคาร์ล ลุดวิกทรงเป็นแบบอย่างของสมาชิกราชวงศ์ที่ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยไม่ทอดทิ้งความรับผิดชอบต่อครอบครัวและสังคม กิจกรรมเพื่อสังคมของพระองค์ในเบลเยียม ทั้งการช่วยเหลือผู้ยากไร้และผู้ว่างงาน ยังสะท้อนถึงความเห็นอกเห็นใจและความมุ่งมั่นในการสร้างความก้าวหน้าทางสังคม ทำให้พระองค์เป็นที่จดจำในฐานะผู้ที่ทุ่มเทเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน.