1. ภาพรวม
สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 แห่งเลโซโท (พระนามเดิม: Mohato Bereng Seeisoโมฮาโต เบเร็ง เซเอโซภาษาอังกฤษ) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์และประมุขแห่งรัฐของราชอาณาจักรเลโซโท พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2533 หลังจากการลี้ภัยของพระราชบิดา สมเด็จพระราชาธิบดีโมโชโชที่ 2 แห่งเลโซโท และทรงกลับมาครองราชย์อีกครั้งในปี พ.ศ. 2539 ภายหลังการสวรรคตของพระราชบิดา ในฐานะพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ พระราชกรณียกิจส่วนใหญ่ของพระองค์เป็นไปในเชิงสัญลักษณ์และพิธีการ อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมประชาธิปไตยและแก้ไขปัญหาสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกาศให้เอชไอวี/เอดส์เป็นภัยพิบัติแห่งชาติในปี พ.ศ. 2543 ซึ่งนำไปสู่การตอบสนองทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ พระองค์ยังทรงเป็นผู้อุปถัมภ์โครงการพัฒนาต่างๆ และทรงมีบทบาทในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศผ่านการเสด็จพระราชดำเนินเยือนนานาชาติ

2. ประวัติช่วงต้นและการศึกษา
สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 ทรงมีภูมิหลังส่วนพระองค์ที่เชื่อมโยงกับพระราชวงศ์แห่งเลโซโท และทรงได้รับการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งหล่อหลอมพระองค์ให้พร้อมสำหรับบทบาทในฐานะประมุขของรัฐ
2.1. การประสูติและพระราชวงศ์
สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 ณ โรงพยาบาลสกอตต์ ในเมืองโมริยา ทางตอนใต้ของมาเซรู ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเลโซโท พระองค์ทรงมีพระนามเดิมว่า Mohato Bereng Seeisoโมฮาโต เบเร็ง เซเอโซภาษาอังกฤษ และมีพระนามเต็มว่า David Mohato Bereng Seeisoเดวิด โมฮาโต เบเร็ง เซเอโซภาษาอังกฤษ พระองค์เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระราชาธิบดีโมโชโชที่ 2 แห่งเลโซโท และสมเด็จพระราชินีมาโมฮาโตแห่งเลโซโท พระองค์ทรงมีพระราชอนุชาคือ เจ้าชายซีอีโซแห่งเลโซโท และพระราชธิดา 3 พระองค์ ได้แก่ เจ้าหญิงเซนาดี เซโอโซ เจ้าหญิงมาเซเอโซ และเจ้าชายเลโรโทรี เซเอโซ
2.2. การศึกษา
พระองค์ทรงได้รับการศึกษาในสหราชอาณาจักร ณ แอมเพิลฟอร์ทคอลเลจ (Ampleforth College) หลังจากนั้นทรงศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติเลโซโท ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีสาขานิติศาสตร์ พระองค์ยังคงศึกษาต่อในระดับสูงขึ้นไปอีกหลายสถาบัน ได้แก่ มหาวิทยาลัยบริสตอล (ทรงได้รับประกาศนียบัตรด้านกฎหมายอังกฤษในปี พ.ศ. 2529) วูล์ฟสันคอลเลจ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (ทรงศึกษาด้านการพัฒนาในปี พ.ศ. 2532) และวิทยาลัยวาย (Wye College) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยลอนดอน (ทรงศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์การเกษตร) พระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาทั้งหมดในปี พ.ศ. 2532 และเสด็จกลับเลโซโท นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้ปกครองแห่งมาซีเยง เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2532
3. การครองราชย์
สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 ทรงเผชิญกับความท้าทายทางการเมืองในช่วงต้นรัชกาล แต่ก็ทรงเป็นผู้ที่นำพาเลโซโทไปสู่การปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญที่มั่นคงยิ่งขึ้น
3.1. การสืบราชสันตติวงศ์และการขึ้นครองราชย์
กระบวนการสืบราชสันตติวงศ์ของสมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 มีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางการเมืองสำคัญในเลโซโท พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2533 ภายหลังจากที่สมเด็จพระราชาธิบดีโมโชโชที่ 2 แห่งเลโซโท พระราชบิดาของพระองค์ ทรงถูกบังคับให้ลี้ภัยออกนอกประเทศในปี พ.ศ. 2533 อย่างไรก็ตาม พระราชบิดาของพระองค์ทรงได้รับการฟื้นฟูพระราชอำนาจเป็นการชั่วคราวในปี พ.ศ. 2538 ทำให้สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 ทรงสละราชสมบัติเพื่อคืนตำแหน่งให้พระราชบิดา แต่หลังจากที่สมเด็จพระราชาธิบดีโมโชโชที่ 2 เสด็จสวรรคตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2539 สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 ก็ทรงขึ้นครองราชย์อีกครั้งเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 ในฐานะพระมหากษัตริย์แห่งเลโซโท
3.2. พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2540 ณ สนามกีฬาเซตโซโต (Setsoto Stadium) ซึ่งเป็นสนามกีฬาแห่งชาติของเลโซโท ในพิธีสำคัญนี้ เจ้าชายแห่งเวลส์ (ปัจจุบันคือสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3) ได้เสด็จพระราชดำเนินเข้าร่วมพิธีด้วย
3.3. บทบาทในฐานะพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
เลโซโทมีการปกครองแบบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งหมายความว่าอำนาจในการปกครองที่แท้จริงจะอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ในฐานะประมุขแห่งรัฐ สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 ทรงมีบทบาทส่วนใหญ่เป็นเชิงสัญลักษณ์และพิธีการ พระองค์ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาติและทรงเป็นผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญ แต่ไม่ทรงมีอำนาจบริหารโดยตรง บทบาทของพระองค์รวมถึงการเปิดรัฐสภา การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามผลการเลือกตั้ง และการเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเอกภาพและความต่อเนื่องของประเทศ
3.4. เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองและนโยบาย
ในช่วงการครองราชย์ของสมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 มีเหตุการณ์ทางการเมืองและนโยบายสำคัญหลายประการที่ส่งผลต่อประชาธิปไตยและสังคมของเลโซโท
- วิกฤตการณ์เลโซโทในปี พ.ศ. 2537:** ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2537 สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 ทรงมีความขัดแย้งกับนายกรัฐมนตรี นัตซู โมเคห์เล (Ntsu Mokhehle) ซึ่งนำไปสู่การประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ และการประกาศยุบรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีโดยฝ่ายเดียว เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งใหญ่ในเลโซโท มีการประท้วงและการนัดหยุดงานทั่วไปเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ทำให้การปกครองแบบส่วนพระองค์เป็นไปได้ยาก ในที่สุด พระองค์ทรงถูกบีบให้สละราชสมบัติในเดือนกันยายน พ.ศ. 2537 อย่างไรก็ตาม การกลับมาครองราชย์ครั้งที่สองของพระองค์ในปี พ.ศ. 2539 ได้ช่วยฟื้นฟูเสถียรภาพและส่งเสริมการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศ
- การประกาศให้ HIV/AIDS เป็นภัยพิบัติแห่งชาติ:** ในปี พ.ศ. 2543 สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 ทรงประกาศให้เอชไอวี/เอดส์เป็นภัยพิบัติแห่งชาติในเลโซโท การประกาศนี้เป็นการตอบสนองต่อวิกฤตสุขภาพที่รุนแรง และกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองอย่างเร่งด่วนทั้งจากหน่วยงานภายในประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อต่อสู้กับโรคเอดส์และผลกระทบต่อประชากร การดำเนินการนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของพระองค์ในการแก้ไขปัญหาสังคมที่สำคัญและปกป้องกลุ่มเปราะบาง
4. พระราชวงศ์และชีวิตส่วนพระองค์
สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 ทรงมีชีวิตส่วนพระองค์ที่เรียบง่ายและทรงยึดมั่นในหลักคำสอนทางศาสนา
4.1. การอภิเษกสมรสและพระราชโอรสธิดา
ในปี พ.ศ. 2543 สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 ทรงอภิเษกสมรสกับนางสาวKarabo Motšoenengคาราโบ โมตโซเอเนงภาษาอังกฤษ ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชินีมาเซเนต โมฮาโต เซเอโซ พระราชพิธีอภิเษกสมรสจัดขึ้นเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 พระองค์และสมเด็จพระราชินีทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดารวม 3 พระองค์ ดังนี้:
- เจ้าหญิงเซนาดี เซโอโซ (Princess Mary Senate Mohato Seeiso) ประสูติเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2544 ณ โรงพยาบาลเอกชนมาเซรู ในมาเซรู
- เจ้าหญิงมาเซเอโซ (Princess 'Maseeiso Mohato Seeiso) ประสูติเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ณ โรงพยาบาลเอกชนมาเซรู ในมาเซรู
- เจ้าชายเลโรโทรี เซเอโซ มกุฎราชกุมารแห่งเลโซโท (Prince Lerotholi David Mohato Bereng Seeiso) ประสูติเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2550 ณ โรงพยาบาลเอกชนมาเซรู ในมาเซรู

4.2. ความเชื่อทางศาสนา
สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 ทรงเป็นคริสตศาสนิกชนนิกายคาทอลิก พระองค์ทรงเป็นหนึ่งในสองประมุขของรัฐที่นับถือนิกายคาทอลิกซึ่งไม่ได้มีเชื้อสายยุโรปในโลก โดยอีกพระองค์หนึ่งคือสมเด็จพระราชินีมาโอรี Ngā Wai Hono i te Pōงา ไว โฮโน อิ เต โปภาษาอังกฤษ ความเชื่อทางศาสนามีอิทธิพลอย่างมากต่อการดำเนินพระชนม์ชีพและการปกครองของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นสมาชิกของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทางทหารคอนสแตนตินแห่งนักบุญจอร์จ (Sacred Military Constantinian Order of Saint George) และทรงได้รับการยกย่องว่าทรงส่งเสริมหลักการของศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกในเลโซโท
5. พระเกียรติยศและบทบาทในฐานะผู้อุปถัมภ์
สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 ทรงได้รับพระเกียรติยศและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งจากภายในประเทศและต่างประเทศมากมาย อีกทั้งยังทรงมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้อุปถัมภ์กิจกรรมต่างๆ และทูตพิเศษในระดับนานาชาติ
5.1. เครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งชาติ
ในฐานะประมุขแห่งรัฐ สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 ทรงเป็นประธานและได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่สำคัญของเลโซโทหลายรายการ ได้แก่:
ประธานแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งมหาศักดิ์ศรีแห่งโมโชโช (Most Dignified Order of Moshoeshoe)
ประธานแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งเลโซโทอันทรงเกียรติสูงสุด (Most Courteous Order of Lesotho)
ประธานแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งโมห์โลมีอันทรงคุณค่าสูงสุด (Most Meritorious Order of Mohlomi)
ประธานแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งรามาตเซอาตซาเนอันจงรักภักดีสูงสุด (Most Loyal Order of Ramatseatsane)
- ประธานแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งมาโคอันยาเนอันกล้าหาญสูงสุด (Most Gallant Order of Makoanyane)
เหรียญบริการดีเด่น (เลโซโท) (Outstanding Service Medal)
5.2. เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 ทรงได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากต่างประเทศเช่นกัน อาทิ:
ราชวงศ์ทูซิซิลี: อัศวินมหาปรมาภรณ์แห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทางทหารคอนสแตนตินแห่งนักบุญจอร์จ (Sacred Military Constantinian Order of Saint George) เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556
5.3. กิจกรรมอุปถัมภ์และบทบาทสาธารณะ
พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์โครงการและกิจกรรมต่างๆ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเยาวชนและสังคม เช่น โครงการPrince Mohato Awardพรินซ์โมฮาโตอะวอร์ดภาษาอังกฤษ (Khau ea Khosana Mohato) นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559 ณ กรุงโรม สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตพิเศษด้านโภชนาการคนล่าสุดขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) โดยโฮเซ กราเซียโน ดา ซิลวา ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การ ซึ่งเป็นบทบาทที่สำคัญในการส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการในระดับโลก
6. พระราชวงศ์และบรรพบุรุษ
สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 ทรงสืบเชื้อสายมาจากพระราชวงศ์แห่งเลโซโท ซึ่งมีรากฐานมาจากบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งชาติ
- สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 แห่งเลโซโท (พระนามเดิม: David Mohato Bereng Seeisoเดวิด โมฮาโต เบเร็ง เซเอโซภาษาอังกฤษ)
- พระราชบิดา: สมเด็จพระราชาธิบดีโมโชโชที่ 2 แห่งเลโซโท
- พระราชมารดา: สมเด็จพระราชินีมาโมฮาโตแห่งเลโซโท (พระนามเดิม: Princess Tabitha 'Masentle Lerotholi Mojelaเจ้าหญิงทาบิธา มาเซนท์เล เลโรโทลี โมเจลาภาษาอังกฤษ)
- พระอัยกา (ปู่): Simon Seeiso, Paramount Chief of Basutolandไซมอน เซเอโซ หัวหน้าสูงสุดแห่งบาซูโทแลนด์ภาษาอังกฤษ
- พระอัยยิกา (ย่า): 'Maberengมาเบเร็งภาษาอังกฤษ
- พระอัยกา (ตา): Lerotholi Mojela, Chief of Tsakholoเลโรโทลี โมเจลา หัวหน้าแห่งซาโคโลภาษาอังกฤษ
- พระปัยกา (ทวดปู่): Nathaniel Griffith Lerotholi, Paramount Chief of Basutolandนาธาเนียล กริฟฟิธ เลโรโทลี หัวหน้าสูงสุดแห่งบาซูโทแลนด์ภาษาอังกฤษ
- พระปัยปัยกา (ทวดทวดปู่): Letsie II Lerotholi, Paramount Chief of Basutolandเลตซีที่ 2 เลโรโทลี หัวหน้าสูงสุดแห่งบาซูโทแลนด์ภาษาอังกฤษ
- พระปัยปัยปัยกา (ทวดทวดทวดปู่): Letsie I Moshoeshoe, Paramount Chief of Basutolandเลตซีที่ 1 โมโชโช หัวหน้าสูงสุดแห่งบาซูโทแลนด์ภาษาอังกฤษ
- พระปัยปัยกา (ทวดทวดปู่): Letsie II Lerotholi, Paramount Chief of Basutolandเลตซีที่ 2 เลโรโทลี หัวหน้าสูงสุดแห่งบาซูโทแลนด์ภาษาอังกฤษ
- พระปัยกา (ทวดตา): Mojela Letsie, Chief of Tsakholoโมเจลา เลตซี หัวหน้าแห่งซาโคโลภาษาอังกฤษ
- พระปัยกา (ทวดปู่): Nathaniel Griffith Lerotholi, Paramount Chief of Basutolandนาธาเนียล กริฟฟิธ เลโรโทลี หัวหน้าสูงสุดแห่งบาซูโทแลนด์ภาษาอังกฤษ
7. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการเสด็จพระราชดำเนิน
สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 ทรงมีบทบาทสำคัญในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเลโซโท และทรงเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศหลายครั้ง เพื่อกระชับความสัมพันธ์และเข้าร่วมในเวทีระหว่างประเทศ

- การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศญี่ปุ่น**
- ปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2559 สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 พร้อมด้วยสมเด็จพระราชินีมาเซเนต โมฮาโต เซเอโซ ทรงเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการเสด็จเยือนครั้งแรกของพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์ และเป็นครั้งแรกในรอบ 27 ปีที่พระมหากษัตริย์แห่งเลโซโทเสด็จเยือนญี่ปุ่น ในการเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ พระองค์และสมเด็จพระราชินีทรงเยือนภูมิภาคคันโตและภูมิภาคคันไซ นอกจากนี้ ยังทรงเสด็จเยือนจังหวัดฟูกูชิมะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองโซมะ ซึ่งได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทางตะวันออกของญี่ปุ่น พระองค์ทรงพบปะกับมาซาโอะ อุจิโบริ ผู้ว่าราชการจังหวัดฟูกูชิมะ และฮิเดโอะ ทาจิยะ นายกเทศมนตรีเมืองโซมะ ณ ที่ทำการเทศบาลเมืองโซมะ และทรงกล่าวแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ประสบภัย พร้อมทั้งให้กำลังใจว่า "แม้ชีวิตที่สูญเสียไปจะไม่สามารถกลับคืนมาได้ แต่ความพยายามในการฟื้นฟูจะเป็นเครื่องปลอบขวัญแก่ผู้เสียสละ และเป็นพลังสำหรับอนาคต" ระหว่างประทับในเมืองโซมะ พระองค์และสมเด็จพระราชินีทรงวางดอกไม้ที่อนุสรณ์สถานรำลึกถึงผู้เสียชีวิต และทรงปลูกต้นไม้ที่สวนสาธารณะมัตสึคาวะอุระ (Matsukawaura Environmental Park)
- เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2562 พระองค์ทรงเข้าเฝ้าฯ ชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ณ เกอิฮิงคัง อากาซากะริกิว (Akasaka Palace State Guest House) และในวันรุ่งขึ้น 22 ตุลาคม ทรงเข้าร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ (Sokui no Rei Seiden no Gi)
- การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทย**
- วันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2549 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระราชินีมาเซเนต โมฮาโต เซเอโซ เพื่อเข้าร่วมพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในฐานะพระราชอาคันตุกะ ซึ่งนับเป็นการเสด็จพระราชดำเนินมายังประเทศไทยครั้งแรกของทั้งสองพระองค์ ในการนี้ พระองค์และสมเด็จพระราชินีได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์เยี่ยมชมสถานที่สำคัญในกรุงเทพมหานคร และศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่
- วันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาถวายพระราชสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง
- วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2560 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระราชินีมาเซเนต โมฮาโต เซเอโซ เพื่อเข้าร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในฐานะแขกของรัฐบาล
- วันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2562 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระราชินีมาเซเนต โมฮาโต เซเอโซ เพื่อเข้าร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพหม่อมราชวงศ์กิติวัฒนา ปกมนตรี มารดาของอวัสดา ปกมนตรี ภริยาของอภิชาติ สุดแสวง กงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์แห่งราชอาณาจักรเลโซโท
- วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2562 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระราชินีมาเซเนต โมฮาโต เซเอโซ เป็นการส่วนพระองค์ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการเกษตรกับเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- วันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2562 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระราชินีมาเซเนต โมฮาโต เซเอโซ เพื่อทรงเข้าร่วมงาน The Simply Exceptional 2019 Gala Dinner ร่วมกับผู้แทนจากพระราชวงศ์ไทยและพระราชวงศ์เบลเยียม
- วันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2562 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระราชินีมาเซเนต โมฮาโต เซเอโซ เพื่อเข้าร่วมพิธีถวายปริญญาวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาเกษตรศาสตร์ โดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ แด่สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 แห่งราชอาณาจักรเลโซโท จากการที่ทรงน้อมนำการเกษตรทฤษฎีใหม่ไปใช้และเห็นผลเป็นรูปธรรม
8. การประเมินและมรดก
การครองราชย์ของสมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 ได้รับการประเมินว่ามีบทบาทสำคัญในการสร้างเสถียรภาพและพัฒนาสังคมของเลโซโท แม้จะมีความท้าทายทางการเมืองในช่วงต้น
8.1. การอุทิศตนเพื่อสังคมและสาธารณสุข
สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 ทรงอุทิศพระองค์เพื่อการพัฒนาสังคมและสาธารณสุขในเลโซโทอย่างต่อเนื่อง พระราชกรณียกิจที่โดดเด่นที่สุดคือการประกาศให้เอชไอวี/เอดส์เป็นภัยพิบัติแห่งชาติในปี พ.ศ. 2543 ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการต่อสู้กับโรคระบาดนี้ และกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือจากนานาชาติในการให้ความช่วยเหลือ พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมทางสังคม โดยทรงใช้บทบาทในฐานะพระมหากษัตริย์ในการเป็นกระบอกเสียงให้กับกลุ่มเปราะบางและสนับสนุนโครงการที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากร
8.2. การวิพากษ์วิจารณ์และข้อถกเถียง
แม้ว่าบทบาทของสมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 ในฐานะพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญจะได้รับการยอมรับ แต่การครองราชย์ของพระองค์ก็ไม่ได้ปราศจากข้อถกเถียงและสถานการณ์ที่ท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์วิกฤตการณ์ทางการเมืองในปี พ.ศ. 2537 ที่พระองค์ทรงประกาศยุบรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี ซึ่งนำไปสู่ความไม่สงบและการประท้วง อย่างไรก็ตาม การที่พระองค์ทรงยอมสละราชสมบัติชั่วคราวและกลับมาครองราชย์อีกครั้งในภายหลัง ได้ช่วยให้เลโซโทสามารถฟื้นฟูเสถียรภาพทางการเมืองและเดินหน้าสู่การเป็นประชาธิปไตยที่มั่นคงยิ่งขึ้น ความท้าทายเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของภูมิทัศน์ทางการเมืองในเลโซโท และบทบาทที่ละเอียดอ่อนของพระมหากษัตริย์ในการรักษาสมดุลระหว่างอำนาจและเสถียรภาพของประเทศ