1. ชีวิตช่วงต้นและภูมิหลัง
มุนตะซ็อร อัซซัยดี เกิดเมื่อวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 1979 และเติบโตในนครอัศศ็อดร์ ซึ่งเป็นชานเมืองของแบกแดด ประเทศอิรัก เขาสำเร็จการศึกษาด้านสื่อสารมวลชนจากมหาวิทยาลัยแบกแดด โดยมีความเชี่ยวชาญในสาขาอาชีพนี้ เขานับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะฮ์ และมีเชื้อสายไซยิด ซึ่งเป็นผู้สืบเชื้อสายจากศาสดาพยากรณ์มุฮัมมัด เขาอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์สองห้องในใจกลางกรุงแบกแดด
2. อาชีพนักข่าว
มุนตะซ็อร อัซซัยดี เริ่มต้นอาชีพนักข่าวในปี ค.ศ. 2005 โดยทำงานเป็นผู้สื่อข่าวให้กับช่องอัลบัฆดาดียะฮ์ ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ของอิรักที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในไคโร ประเทศอียิปต์ การรายงานข่าวของเขามักมุ่งเน้นไปที่ความทุกข์ทรมานของเหยื่อสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงหม้าย เด็กกำพร้า และเด็กที่ได้รับผลกระทบจากสงครามอิรัก รายงานชิ้นหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาคือเรื่องราวของซะฮ์รอ เด็กนักเรียนหญิงชาวอิรักที่ถูกสังหารโดยกองกำลังยึดครองระหว่างทางไปโรงเรียน ซึ่งเขาได้บันทึกโศกนาฏกรรมนี้พร้อมสัมภาษณ์ครอบครัว เพื่อนบ้าน และเพื่อนของเธอ รายงานนี้ทำให้เขาได้รับความเคารพจากชาวอิรักจำนวนมากและชนะใจผู้คนในประเทศ
อัซซัยดีเป็นที่รู้จักในฐานะนักข่าวที่ยึดมั่นในหลักการ เขาเคยปฏิเสธข้อเสนอให้ทำงานกับช่องโทรทัศน์ที่เขาเรียกว่า "ช่องที่สนับสนุนการยึดครอง" เพื่อนร่วมงานของเขาระบุว่าอัซซัยดีได้รับผลกระทบทางอารมณ์อย่างมากจากความเสียหายที่เขาเห็นในการรายงานข่าวเกี่ยวกับการทิ้งระเบิดของสหรัฐในนครอัศศ็อดร์ เขามีความเชื่อมั่นว่าเขาเป็นชาวอิรักและภูมิใจในประเทศของตน โดยปฏิเสธการยึดครองและการปะทะทางแพ่งอย่างสิ้นเชิง เขามองว่าข้อตกลงสถานะกองกำลังสหรัฐฯ-อิรักเป็นการ "ทำให้การยึดครองเป็นเรื่องถูกกฎหมาย"
ก่อนเหตุการณ์ขว้างรองเท้า อัซซัยดีเคยเผชิญกับภัยคุกคามหลายครั้งในฐานะนักข่าวผู้กล้าหาญ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 เขาถูกลักพาตัวโดยกลุ่มชายติดอาวุธนิรนามระหว่างเดินทางไปทำงานในใจกลางกรุงแบกแดด เขาถูกบังคับให้ขึ้นรถ ถูกทำร้ายจนหมดสติ ถูกปิดตาด้วยเนกไท และถูกมัดมือด้วยเชือกรองเท้า เขาถูกกักขังโดยได้รับอาหารและน้ำเพียงเล็กน้อย และถูกสอบปากคำเกี่ยวกับการทำงานของเขาในฐานะนักข่าว ระหว่างที่เขาหายตัวไป หน่วยงานสังเกตการณ์เสรีภาพสื่อของอิรักได้รายงานการหายตัวไปของเขา และผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนได้แสดงความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ของเขา ไม่มีการเรียกค่าไถ่ และอัซซัยดีถูกปล่อยตัวสามวันต่อมาในวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 โดยยังคงถูกปิดตาอยู่บนถนนในเวลาประมาณ 03:00 น. ซึ่งหลังจากนั้นพี่ชายของเขาก็มารับตัวไป ผู้จัดรายการของช่องอัลบัฆดาดียะฮ์อธิบายการลักพาตัวครั้งนี้ว่าเป็น "การกระทำของแก๊ง" เนื่องจากรายงานทั้งหมดของอัซซัยดีมีความเป็นกลางและไม่ลำเอียง
นอกจากนี้ อัซซัยดีเคยถูกกองทัพสหรัฐจับกุมตัวถึงสองครั้งในอิรัก ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2008 เขาถูกทหารสหรัฐฯ ควบคุมตัวค้างคืนระหว่างการตรวจค้นที่พักของเขา ซึ่งภายหลังทหารได้กล่าวขอโทษเขา
3. เหตุการณ์ขว้างรองเท้าใส่จอร์จ ดับเบิลยู. บุช
เหตุการณ์ที่ทำให้มุนตะซ็อร อัซซัยดี เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 2008 ระหว่างการแถลงข่าวร่วมกันของจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้น และนายกรัฐมนตรีนูรี อัลมาลิกี แห่งอิรัก ที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรีในแบกแดด ประเทศอิรัก
ในระหว่างการแถลงข่าว อัซซัยดีได้ลุกขึ้นยืนและขว้างรองเท้าทั้งสองข้างของเขาไปที่ประธานาธิบดีบุช ขณะที่ขว้างรองเท้าข้างแรก เขาตะโกนเป็นภาษาอาหรับว่า "นี่คือรอยจูบร่ำลาจากชาวอิรัก ไอ้หมา!" เมื่อขว้างรองเท้าข้างที่สอง เขาก็ตะโกนอีกว่า "นี่สำหรับหญิงหม้าย เด็กกำพร้า และผู้ที่เสียชีวิตในประเทศอิรัก!" การขว้างรองเท้าในวัฒนธรรมอาหรับและอิสลามถือเป็นการแสดงความดูหมิ่นอย่างรุนแรง
ประธานาธิบดีบุชสามารถหลบรองเท้าทั้งสองข้างได้อย่างหวุดหวิด โดยหลบได้ถึงสองครั้ง ขณะที่นายกรัฐมนตรีอัลมาลิกีพยายามใช้มือปัดรองเท้าข้างหนึ่งเพื่อปกป้องบุช หลังจากการขว้างรองเท้า อัซซัยดีถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรีเข้าควบคุมตัวทันที เขาถูกลากลงไปกับพื้น ถูกเตะ และถูกนำตัวออกจากห้องแถลงข่าวอย่างรวดเร็ว
อัซซัยดีถูกควบคุมตัวในเบื้องต้นโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะถูกส่งมอบให้กองบัญชาการแบกแดดของกองทัพอิรัก และจากนั้นก็ถูกส่งตัวไปยังฝ่ายตุลาการของอิรัก มีรายงานว่าเขาได้รับบาดเจ็บระหว่างถูกนำตัวไปควบคุม และบางแหล่งข่าวระบุว่าเขาถูกทรมานระหว่างการควบคุมตัวในเบื้องต้น
หลังเหตุการณ์ดังกล่าว มีเสียงเรียกร้องจากทั่วตะวันออกกลางให้เก็บรองเท้าของเขาไว้ในพิพิธภัณฑ์อิรัก เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการประท้วง อย่างไรก็ตาม กองกำลังรักษาความปลอดภัยของสหรัฐฯ และอิรักได้ทำลายรองเท้าคู่นั้นในภายหลัง ประธานาธิบดีบุชเองได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ว่า มีนักข่าวอิรักคนหนึ่งได้กล่าวขอโทษเขาในนามของชาวอิรัก ซึ่งเขาได้กล่าวขอบคุณ และเมื่อถูกถามถึงเหตุการณ์นี้ เขากล่าวว่า "นี่เป็นวิธีหนึ่งที่คนต้องการดึงดูดความสนใจ ผมไม่รู้ว่าคนนั้นมีเจตนาอะไร ผมไม่รู้สึกถูกคุกคามแม้แต่น้อย"
4. การดำเนินคดีและช่วงเวลาในเรือนจำ
หลังเหตุการณ์ขว้างรองเท้า มุนตะซ็อร อัซซัยดี ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เขาถูกตั้งข้อหาทำร้ายประมุขแห่งรัฐต่างชาติและนายกรัฐมนตรีอิรัก ซึ่งตามกฎหมายของอิรัก ข้อหาเหล่านี้อาจมีโทษจำคุกสูงสุดถึงสองปี หรือปรับเป็นเงินจำนวนเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ผู้สังเกตการณ์ในตะวันออกกลางเชื่อว่าเขาไม่น่าจะได้รับโทษสูงสุด เนื่องจากเขาได้รับ "สถานะวีรบุรุษ" ในโลกอาหรับ
ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2008 อัซซัยดีถูกนำตัวขึ้นศาลเป็นการส่วนตัวภายในเขตกรีนโซน เขาปฏิเสธที่จะให้เคาะลีล อัดดุลัยมี ซึ่งเคยเป็นทนายความของซัดดัม ฮุสเซน อดีตประธานาธิบดีอิรัก เป็นตัวแทนในการพิจารณาคดี และยืนยันที่จะให้ทนายความชาวอิรักเป็นผู้ว่าความแทน ดียะอ์ อัซซะอ์ดี ทนายความของอัซซัยดีและหัวหน้าเนติบัณฑิตยสภาอิรัก ได้กล่าวว่าเขาจะทำหน้าที่เป็นทนายความและเรียกร้องให้ปิดคดีและปล่อยตัวมุนตะซ็อร เนื่องจากเขาไม่ได้ก่ออาชญากรรม แต่เป็นการแสดงออกอย่างเสรีต่อผู้ยึดครอง ซึ่งเป็นสิทธิของเขาภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 อัซซัยดีได้รับการไต่สวนเป็นเวลา 90 นาทีที่ศาลอาญากลางแห่งอิรัก ต่อมาในวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 2009 เขาถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลาสามปีในข้อหาโจมตีประมุขแห่งรัฐต่างชาติระหว่างการเยือนอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 2009 โทษของเขาถูกลดลงเหลือหนึ่งปี โดยพิจารณาจากแรงจูงใจในการกระทำความผิด อายุที่ยังน้อย และการที่เขาไม่มีประวัติอาชญากรรม รวมถึงความประพฤติที่ดีระหว่างถูกคุมขัง
อัซซัยดีถูกปล่อยตัวจากเรือนจำเมื่อวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 2009 หลังจากถูกคุมขังเป็นเวลาเก้าเดือน ในช่วงเวลาที่ถูกคุมขัง มีรายงานว่าเขาถูกทรมานอย่างหนัก และหลังจากการปล่อยตัว เขาได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเปิดเผยรายชื่อผู้ที่ทรมานเขา ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลและกองทัพด้วย นอกจากนี้ เขายังกล่าวว่าจดหมายขอโทษที่ส่งถึงนายกรัฐมนตรีอัลมาลิกีนั้นถูกเขียนขึ้นภายใต้การบีบบังคับจากการทรมาน เขาเคยกล่าวว่า "ผมไม่ใช่ฮีโร่ ผมแค่อยากทำให้บุชอับอายต่อความอยุติธรรมที่เรากำลังเผชิญอยู่"
5. กิจกรรมหลังพ้นโทษ
หลังจากได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ มุนตะซ็อร อัซซัยดี ได้เดินทางไปยังเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และประกาศจัดตั้งองค์กรเพื่อมนุษยธรรมขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ "สร้างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า โรงพยาบาลเด็ก และศูนย์การแพทย์และศัลยกรรมกระดูกที่ให้การรักษาฟรี โดยมีแพทย์และเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ชาวอิรักเป็นผู้ดูแล" ทนายความของเขากล่าวว่าอัซซัยดีหวังที่จะใช้กระแสการสนับสนุนที่เขาได้รับเพื่อทำประโยชน์ให้กับสังคม
ในด้านอาชีพสื่อสารมวลชน อัซซัยดีได้กลับมาทำงานในวงการอีกครั้ง โดยจากข้อมูลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 เขาทำงานให้กับช่องโทรทัศน์แห่งหนึ่งในเลบานอน นอกจากนี้ ช่องอัลบัฆดาดียะฮ์ ซึ่งเป็นอดีตต้นสังกัดของเขา ยังคงจ่ายค่าจ้างให้เขาระหว่างที่ถูกคุมขัง และได้จัดหาที่พักในแบกแดดให้เขาด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาได้รับการยกย่องอย่างสูงในฐานะวีรบุรุษ
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 2009 ระหว่างการแถลงข่าวที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งอัซซัยดีจัดขึ้นเพื่อรณรงค์ช่วยเหลือเหยื่อสงครามในอิรัก เขาถูกชายชาวอิรักคนหนึ่งที่อ้างตัวว่าเป็นนักข่าว ขว้างรองเท้าใส่กลับคืนมา การกระทำครั้งนี้ไม่ได้โดนตัวอัซซัยดี และสื่อฝรั่งเศสรายงานว่าชายผู้ขว้างรองเท้าคนดังกล่าวสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลบุชในอิรัก และกล่าวหาอัซซัยดีว่าเห็นอกเห็นใจเผด็จการ
6. กิจกรรมทางการเมือง
ในปี ค.ศ. 2018 มุนตะซ็อร อัซซัยดี ได้ประกาศความตั้งใจที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอิรัก ในการเลือกตั้งรัฐสภาอิรัก ค.ศ. 2018 โดยเขาลงสมัครในนามของพรรคพันธมิตรสู่การปฏิรูป ซึ่งเป็นพันธมิตรที่นำโดยมุกตะดา อัศศ็อดร์ นักศาสนานิกายชีอะฮ์ ซึ่งมีความร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์อิรัก
ในการหาเสียงเลือกตั้ง อัซซัยดีได้ชูนโยบายหลักคือการ "กำจัดพวกทุจริต และขับไล่พวกเขาออกจากประเทศของเรา" เขายังคงวิพากษ์วิจารณ์การมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ และอิหร่านในอิรัก โดยกล่าวว่าทั้งสองประเทศเป็น "สาเหตุของความตึงเครียดในอิรัก" และโต้แย้งการคงอยู่ของกองทัพสหรัฐฯ ในอิรักภายใต้ชื่อ "ที่ปรึกษา" โดยยืนยันว่าชาวอิรักไม่ยอมรับการมีอยู่ของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการลงสมัครรับเลือกตั้งของเขาไม่ประสบความสำเร็จ แต่เขาก็ยังคงยืนยันว่า "การต่อสู้ของเราจะดำเนินต่อไป"
7. ผลงานตีพิมพ์
มุนตะซ็อร อัซซัยดี ได้ถ่ายทอดประสบการณ์และมุมมองของเขาผ่านผลงานเขียน โดยมีหนังสือที่เขาเขียนคือ:
- The Last Salute to President Bush (คำอำลาสุดท้ายแด่ประธานาธิบดีบุช) ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2010 ซึ่งเป็นหนังสือที่สะท้อนถึงเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของเขา โดยเฉพาะการประท้วงด้วยการขว้างรองเท้าใส่ประธานาธิบดีบุช เขาได้จัดงานเปิดตัวและลงนามหนังสือเล่มแรกของเขาที่เบรุต
8. การประเมินและผลกระทบ
การกระทำของมุนตะซ็อร อัซซัยดี ในการขว้างรองเท้าใส่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้รับการประเมินและก่อให้เกิดผลกระทบที่หลากหลายและกว้างขวาง ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับนานาชาติ
ในโลกอาหรับและในประเทศอิรักและอัฟกานิสถาน เขาได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นวีรบุรุษและสัญลักษณ์ของการต่อต้านสหรัฐฯ การกระทำของเขาถูกมองว่าเป็นการแสดงออกถึงความกล้าหาญและความไม่พอใจต่อการยึดครองและความทุกข์ทรมานที่ชาวอิรักต้องเผชิญหน้า มีการจัดการประท้วงเรียกร้องให้ปล่อยตัวเขา และมูลนิธิการกุศลที่บริหารโดยลูกสาวของมูอัมมาร์ กัดดาฟี อดีตผู้นำลิเบีย ได้มอบรางวัลเพื่อยกย่องความกล้าหาญของเขา
อย่างไรก็ตาม การกระทำของเขาก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากบางส่วนเช่นกัน โดยมีผู้ให้ความเห็นว่าการขว้างรองเท้าเป็นการแสดงออกถึงความรุนแรงที่ไม่สมเหตุสมผล และอยู่นอกขอบเขตของเสรีภาพในการแสดงออก บางคนวิเคราะห์ว่าเหตุการณ์นี้เป็นผลมาจากความรู้สึกผิดหวังและสิ้นหวังทางจิตใจที่เปลี่ยนไปเป็นความโกรธแค้นส่วนตัวและการแก้แค้น ซึ่งนำไปสู่การแสดงออกที่รุนแรง
ผลกระทบจากการประท้วงของอัซซัยดีขยายวงกว้างไปทั่วโลก โดยเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเหตุการณ์การประท้วงทางการเมืองที่คล้ายคลึงกันในหลายประเทศ มีการสร้างเกมออนไลน์ที่จำลองเหตุการณ์นี้ขึ้นมา และได้รับความนิยมอย่างมาก ในอิหร่าน นักศึกษาได้จัดการประท้วงโดยการขว้างรองเท้าใส่หุ่นจำลองของประธานาธิบดีบุช เพื่อแสดงออกถึงการต่อต้านนโยบายของสหรัฐฯ ขณะที่ในจีน การกระทำของเขาก็ได้รับการชื่นชมอย่างกว้างขวางบนกระดานข่าวออนไลน์ แม้แต่อูโก ชาเบซ อดีตประธานาธิบดีเวเนซุเอลา ก็ยังหัวเราะเยาะประธานาธิบดีบุชจากเหตุการณ์ดังกล่าว
เพื่อเป็นการยกย่องอัซซัยดี มีการจัดสร้างรูปปั้นรองเท้าทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ขึ้นในติกรีต ประเทศอิรัก เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาและเพื่อสนับสนุนเด็กๆ ที่สูญเสียพ่อแม่จากการโจมตีของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม รูปปั้นนี้ถูกสั่งให้รื้อถอนภายในสองวันหลังจากการเปิดตัวโดยผู้ว่าการจังหวัดซอลาฮุดดีน