1. ชีวิตช่วงต้นและภูมิหลัง
มิตร ชัยบัญชา มีชื่อจริงเมื่อแรกเกิดว่า บุญทิ้ง ระวีแสง เกิดเมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2477 ที่หมู่บ้านไสค้าน อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ในครอบครัวที่ยากจน เขาเป็นบุตรชายของพลตำรวจ ชม ระวีแสง และนางยี หรือ สงวน ระวีแสง ซึ่งเป็นสาวตลาดท่ายาง บิดาของเขาเป็นตำรวจชั้นประทวนที่ไม่ได้ดูแลเขาตั้งแต่ยังเด็กเนื่องจากต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการ
1.1. การเกิดและวัยเด็ก
เมื่อมิตร ชัยบัญชาอายุได้เพียง 1 ขวบ บิดามารดาของเขาก็แยกทางกัน มารดาของเขาได้ย้ายเข้ามาทำงานเป็นแม่ค้าขายผักในกรุงเทพมหานคร โดยฝากมิตรไว้กับนายรื่นและนางผาด ปู่และย่าของเขาที่หมู่บ้านไสค้าน เมื่อปู่และย่าชราภาพลง จึงได้ฝากมิตรไว้กับสามเณรแช่ม ระวีแสง ผู้เป็นอา ซึ่งบวชอยู่ที่วัดท่ากระเทียม และต่อมาได้บวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดสนามพราหมณ์ ทำให้มิตรใช้ชีวิตในวัยเด็กเป็นเด็กวัดที่อาศัยข้าวก้นบาตรกิน ซึ่งชีวิตในช่วงนี้ได้ถูกกล่าวถึงในเพลง "ข้าวก้นบาตร" ที่แต่งโดย สมโภชน์ ล้ำพงษ์ และ บำเทอง เชิดชูตระกูล
เมื่อมารดามีฐานะดีขึ้น ได้มารับมิตรไปอยู่ด้วยที่บ้านย่านนางเลิ้ง กรุงเทพฯ ขณะอายุประมาณ 9 ปี เขาเข้าเรียนที่โรงเรียนไทยประสาทวิทยา ถนนกรุงเกษม และได้รับการอุปถัมภ์เป็นบุตรบุญธรรมของน้าและน้าเขย ทำให้ชื่อของเขาเปลี่ยนจากบุญทิ้งเป็น สุพิศ นิลสีทอง (นามสกุลของน้าเขย) และต่อมาเป็น สุพิศ พุ่มเหม (นามสกุลของนายเฉลิม ผู้เป็นพ่อเลี้ยง)
1.2. การศึกษาและกิจกรรมช่วงต้น
มิตรเป็นเด็กเรียนดี มีความสามารถด้านศิลปะ งานช่าง และภาษาอังกฤษ นอกจากนี้เขายังทำงานรับจ้างสารพัด เช่น เลี้ยงปลากัด ช้อนลูกน้ำขาย และซ่อมจักรยานเก่าให้เช่า เพื่อหาเงินใช้เองโดยไม่ต้องพึ่งครอบครัว
นอกจากนี้เขายังชอบเล่นกีฬา โดยเฉพาะมวยไทย และได้เข้าเรียนในโรงเรียนสอนมวยไทย เขาเป็นนักมวยแชมป์รุ่นเฟเธอร์เวทและไลท์เวท (61 kg (135 lb)) ของโรงเรียนในปี พ.ศ. 2492 และ พ.ศ. 2494 และสามารถคว้าแชมป์มวยรุ่นไลท์เวทได้ถึง 3 สมัย

หลังจบชั้นมัธยมศึกษา เขาได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนปริยัติรังสรรค์ จังหวัดเพชรบุรี ระยะหนึ่ง ก่อนจะย้ายไปเรียนต่อระดับเตรียมอุดมที่โรงเรียนพระนครวิทยาลัย แต่ได้ลาออกเพื่อสมัครสอบเข้าโรงเรียนจ่าอากาศ ณ จังหวัดนครราชสีมา ด้วยความปรารถนาที่จะเป็นนักบิน เขาเริ่มการศึกษาในปี พ.ศ. 2497 ในฐานะนักเรียนการบินรุ่นที่ ป.15 ของโรงเรียนการบินโคราช และนักเรียนจ่าอากาศ เหล่าอากาศโยธิน รุ่นที่ 11 สำเร็จการศึกษาในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2499 และได้รับการติดยศพันจ่าอากาศโทเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2499 หลังจากนั้น เขาก็ได้ทำงานเป็นครูฝึกที่กองพันต่อสู้อากาศยาน กรมอากาศโยธิน กองทัพอากาศดอนเมือง ซึ่งเป็นช่วงที่เขาเปลี่ยนชื่อเป็น พันจ่าอากาศโท พิเชษฐ์ พุ่มเหม
2. เส้นทางอาชีพนักแสดง
เส้นทางอาชีพนักแสดงของมิตร ชัยบัญชาเริ่มต้นขึ้นจากการเป็นทหารอากาศผู้มีบุคลิกโดดเด่น และก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในวงการภาพยนตร์ไทยด้วยความสามารถและความทุ่มเทอย่างไม่หยุดยั้ง
2.1. การเข้าสู่วงการและช่วงต้นอาชีพ
ในปี พ.ศ. 2499 จ่าโทสมจ้อย เพื่อนของมิตร ชัยบัญชา (ซึ่งขณะนั้นยังคงใช้ชื่อ พิเชษฐ์ พุ่มเหม) ได้ส่งรูปของเขาให้แก่ กิ่งแก้ว แก้วประเสริฐ นักข่าวผู้เห็นแววในตัวมิตร ด้วยรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลา สูงสง่า และบุคลิกที่สุภาพอ่อนโยน กิ่งแก้วได้แนะนำมิตรให้รู้จักกับ สุรัฐ พุกกะเวส บรรณาธิการนิตยสารภาพยนตร์ และภราดร ศักดา นักเขียนนวนิยายชื่อดัง
แม้จะเคยถูกปฏิเสธจากผู้สร้างหลายรายด้วยเหตุผลเรื่องความสูงที่หายากนางเอกคู่แสดง และการที่เขาไม่รับบทอื่นนอกจากบทพระเอก แต่ในที่สุดมิตรก็ได้พบกับประทีป โกมลภิส ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง ชาติเสือ ซึ่งกำลังมองหานักแสดงหน้าใหม่ ประทีปประทับใจในตัวมิตร และได้ตั้งชื่อใหม่ให้เขาว่า "มิตร ชัยบัญชา" โดย "มิตร" มาจากคำตอบของเขาที่ว่า "เพื่อน" คือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต และ "ชัยบัญชา" มาจากการที่เขารู้สึกภูมิใจที่สุดที่ได้อัญเชิญธงชัยเฉลิมพลในพิธีสวนสนามวันปิยมหาราช ซึ่งเป็นเกียรติยศสูงสุดที่เขาปฏิบัติหน้าที่ทุกปีในฐานะทหาร
ภาพยนตร์เรื่อง ชาติเสือ (บทประพันธ์ของ เศก ดุสิต กำกับโดย ประทีป โกมลภิส) เริ่มถ่ายทำปลายปี พ.ศ. 2500 และเข้าฉายในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2501 โดยมิตรได้แสดงประกบกับนางเอกชื่อดังถึง 6 คน เช่น เรวดี ศิริวิไล นัยนา ถนอมทรัพย์ ประภาศรี สาธรกิจ และ น้ำเงิน บุญหนัก ภาพยนตร์ทำรายได้กว่า 800.00 K THB ซึ่งถือว่าดีมากในสมัยนั้น ทำให้ชื่อของมิตร ชัยบัญชาเป็นที่รู้จักในหมู่ประชาชน

มิตรโด่งดังอย่างมากจากบทบาท โรม ฤทธิไกร หรือ อินทรีแดง ในภาพยนตร์เรื่อง จ้าวนักเลง (พ.ศ. 2502) ซึ่งเป็นบทที่เขาต้องการแสดงอย่างมากหลังจากได้อ่านนวนิยายเรื่องนี้ เศก ดุสิต ผู้ประพันธ์ ถึงกับกล่าวกับมิตรว่า "...คุณคือ อินทรีแดง ของผม..." ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูงและมีภาคต่อหลายเรื่อง นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์ที่สร้างชื่อเสียงให้มิตรอีกหลายเรื่องในปีเดียวกัน เช่น เหนือมนุษย์ แสงสูรย์ ค่าน้ำนม ร้ายก็รัก ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งเก้า หงษ์ฟ้า และ ทับสมิงคลา
2.2. ยุคทองและคู่ขวัญ
ความโด่งดังของมิตร ชัยบัญชาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากบทบาทการแสดงที่หลากหลาย วินัยที่ดีในการทำงาน และอัธยาศัยไมตรีต่อเพื่อนร่วมงาน ในปี พ.ศ. 2504 เขาได้แสดงภาพยนตร์คู่กับเพชรา เชาวราษฎร์ นางเอกใหม่เป็นครั้งแรกในเรื่อง บันทึกรักของพิมพ์ฉวี ซึ่งออกฉายในปี พ.ศ. 2505 นับเป็นจุดเริ่มต้นของคู่ขวัญที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทยคือ "มิตร-เพชรา" ทั้งคู่แสดงภาพยนตร์ร่วมกันมากถึงประมาณ 172 เรื่อง จนแฟนภาพยนตร์เรียกขานว่า "มิตร-เพชรา" (แฟนหนังบางส่วนเข้าใจผิดว่าเพชราเป็นนามสกุลของมิตร) และถึงขนาดที่ว่าหากไม่มีชื่อมิตรแสดงในภาพยนตร์ แฟน ๆ ก็จะเดินทางกลับโดยไม่ชมภาพยนตร์ แม้จะเดินทางมาไกลก็ตาม แม้แฟนภาพยนตร์มักเข้าใจว่าเป็นคู่รัก แต่ในความเป็นจริงแล้วทั้งคู่มีความสนิทสนมจริงใจเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกัน มิตรรักเพชราเหมือนน้องสาว คอยปกป้องและเป็นที่ปรึกษาแก้ปัญหาให้เพชรา แต่ก็มักโกรธกันอยู่บ่อย ๆ บางครั้งไม่พูดกันเป็นเดือน ทั้ง ๆ ที่แสดงหนังร่วมกันอยู่ โดยเพชราเคยกล่าวว่ามิตรเป็นคนช่างน้อยใจ
ภาพยนตร์เรื่อง มนต์รักลูกทุ่ง (พ.ศ. 2513) ซึ่งเป็นภาพยนตร์เพลงลูกทุ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เป็นหนึ่งในผลงานที่โด่งดังที่สุดของคู่ขวัญมิตร-เพชรา ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้กว่า 6.00 M THB ในกรุงเทพฯ และยืนโรงฉายนานถึง 6 เดือน และทำรายได้ทั่วประเทศมากกว่า 13.00 M THB ความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้ยังถูกกระตุ้นด้วยอัลบั้มเพลงประกอบที่ขายดี และการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของมิตรขณะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง อินทรีทอง
มิตรเป็นนักแสดงที่ทำงานหนักมาก เขามีตารางงานที่แน่นขนัด ต้องเดินทางจากกองถ่ายหนึ่งไปยังอีกกองถ่ายหนึ่งอยู่เสมอ และนอนหลับเพียงวันละ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น กิ่งดาว ดารณี เคยให้สัมภาษณ์ว่ามิตรมีภาพยนตร์ที่ต้องถ่ายทำประมาณ 30 เรื่องต่อเดือน ทำให้เขามีผลงานมากถึง 35-40 เรื่องต่อปี ซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งหรือมากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนภาพยนตร์ที่ออกฉายทั้งปี
ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2504 มิตรประสบอุบัติเหตุจากการเดินทางไปดูสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ทวนสุริยะ ของ ปรีชา บุญยเกียรติ ซึ่งเป็นเหตุให้มิตรสะบ้าแตก หน้าแข้งหัก กะโหลกศีรษะกลางหน้าผากเจาะ และฟันหน้าบิ่น เกือบพิการและถูกตัดขา แต่ในที่สุดก็สามารถฟื้นตัวได้หลังจากใส่สะบ้าเทียมและดามเหล็กยาวที่หน้าแข้ง และต้องฝึกเดินอยู่นานจึงหายเป็นปกติ แต่อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ ปรีชา บุญยเกียรติ เสียชีวิต
2.3. ผลงานเด่นและรางวัล
มิตร ชัยบัญชา มีผลงานภาพยนตร์เด่นมากมายตลอดอาชีพการแสดงของเขา นอกเหนือจาก ชาติเสือ และ จ้าวนักเลง (อินทรีแดง) แล้ว ยังมีภาพยนตร์ที่สร้างชื่อเสียงและทำรายได้อย่างสูงอีกหลายเรื่อง เช่น ใจเพชร (พ.ศ. 2506) ซึ่งทำรายได้สูงสุดในปีนั้น
ในปี พ.ศ. 2508 มิตรได้รับพระราชทานรางวัล "โล่เกียรตินิยม" ในฐานะนักแสดงนำชายที่ทำรายได้สูงสุด จากภาพยนตร์เรื่อง เงิน เงิน เงิน ซึ่งเป็นภาพยนตร์ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ ถ่ายทำด้วยฟิล์ม 35 มม. ระบบซูเปอร์ซีเนสโคป สีอิสต์แมน ร่วมแสดงกับเพชรา เชาวราษฎร์, ชรินทร์ นันทนาคร, สุมาลี ทองหล่อ, สุเทพ วงศ์กำแหง และ อรสา อิศรางกูร ณ อยุธยา ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้มากเป็นประวัติการณ์
ต่อมาในปี พ.ศ. 2509 ภาพยนตร์เรื่อง เพชรตัดเพชร ซึ่งถ่ายทำทั้งในกรุงเทพฯ และฮ่องกง และมีนักแสดงอย่างเกชา เปลี่ยนวิถี และลือชัย นฤนาท รับบทตัวร้าย รวมถึงนักแสดงหญิงอันดับต้น ๆ ของฮ่องกงในขณะนั้นอย่าง เรจินา ไปปิง ก็สามารถทำรายได้ทำลายสถิติของ เงิน เงิน เงิน ได้ถึง 3.00 M THB ภายในเวลาเพียง 1 เดือน
ในปีเดียวกัน (พ.ศ. 2509) สมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทยได้จัดตั้งรางวัล "ดาราทอง" ขึ้นเพื่อมอบให้กับดาราและนักแสดงที่มีคุณสมบัติที่ดีในการทำงาน เป็นที่รักของคนในอาชีพเดียวกัน เป็นที่รักของประชาชน มีความรับผิดชอบ และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนร่วมงาน มิตร ชัยบัญชา ได้รับพระราชทานรางวัล "ดาราทอง" สาขานักแสดงนำภาพยนตร์ฝ่ายชาย (ร่วมกับพิศมัย วิไลศักดิ์ ฝ่ายหญิง) จากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ เวทีลีลาศ สวนอัมพร เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2510 โดยพิจารณาจากคุณสมบัติหลัก 4 ประการ คือ ศรัทธา หน้าที่ ไมตรี และ น้ำใจ
นอกจากนี้ ภาพยนตร์เรื่อง นางสาวโพระดก (พ.ศ. 2507) และ สาวเครือฟ้า (พ.ศ. 2508) ที่มิตรแสดงนำคู่กับพิศมัย วิไลศักดิ์ ก็ได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปีอีกด้วย
2.4. การผลิตภาพยนตร์
มิตร ชัยบัญชา ไม่เพียงแต่เป็นนักแสดงนำเท่านั้น แต่ยังมีส่วนร่วมในการผลิตภาพยนตร์ด้วยตนเอง ในปี พ.ศ. 2505 เขาร่วมกับเพื่อนในวงการภาพยนตร์ เช่น อนุชา รัตนมาลย์ แดน กฤษดา และไพรัช สังวริบุตร จัดตั้งบริษัท วชิรนทร์ภาพยนตร์ และสร้างภาพยนตร์ 2 เรื่องคือ ยอดขวัญจิต และ ทับสมิงคลา (ซึ่งเป็นภาคหนึ่งของอินทรีแดง)
ในปี พ.ศ. 2506 มิตรได้ก่อตั้งบริษัท ชัยบัญชาภาพยนตร์ ของตนเอง และสร้างภาพยนตร์เรื่อง ครุฑดำ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น เหยี่ยวดำ) ซึ่งแม้จะมีปัญหาเรื่องชื่อเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่านำสัญลักษณ์ตราครุฑมาใช้อย่างไม่เหมาะสม แต่มิตรก็ลงทุนแก้ไขและฝ่าฟันจนภาพยนตร์ออกฉายได้โดยไม่ขาดทุน ท่ามกลางความเห็นใจของประชาชนและผู้คนรอบข้าง
ภาพยนตร์เรื่อง อินทรีทอง (พ.ศ. 2513) เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่มิตร ชัยบัญชา ลงทุนสร้างและกำกับการแสดงด้วยตนเอง ซึ่งเป็นภาพยนตร์ชุด "อินทรีแดง" เรื่องที่ 6 ที่เขารับบทโรม ฤทธิไกร หรือ อินทรีแดง
ในปี พ.ศ. 2510 หลังจากที่มิตรประสบความสำเร็จอย่างสูง มีทรัพย์สิน เงินทอง ชื่อเสียง และเกียรติยศ พร้อมหลักฐานมั่นคง เขาได้คิดช่วยให้เพื่อน ๆ ตั้งตัวได้ โดยตั้งสหชัยภาพยนตร์ขึ้นให้สลับกันเป็นผู้อำนวยการสร้าง มิตรเป็นพระเอกให้โดยไม่คิดค่าแสดง หากมีปัญหาเรื่องเงินทุนก็ช่วยเหลือกัน และมีภาพยนตร์หลายเรื่องในช่วงนี้จนถึงปี พ.ศ. 2513 ที่มิตรร่วมทุนสร้างด้วย เช่น จอมโจรมเหศวร และ สวรรค์เบี่ยง ซึ่งเป็นเรื่องแรกที่อดุลย์ ดุลยรัตน์ เป็นผู้กำกับการแสดง โดยมิตรเป็นผู้แนะนำให้ผู้สร้างคือ วิเชียร สงวนไทย ติดต่ออดุลย์ และบอกว่าอดุลย์จะเป็นผู้กำกับที่มีฝีมือในอนาคต
3. การรับราชการทหารและกิจกรรมทางการเมือง
มิตร ชัยบัญชา ไม่เพียงแต่เป็นนักแสดงผู้โด่งดัง แต่ยังเป็นผู้ที่ได้รับราชการทหารและมีความพยายามที่จะเข้าสู่แวดวงการเมืองเพื่อรับใช้สังคม
3.1. การรับราชการทหาร
มิตร ชัยบัญชา สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนการบินโคราชและโรงเรียนจ่าอากาศ เหล่าอากาศโยธิน ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2499 และได้รับการติดยศพันจ่าอากาศโทเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2499 หลังจากนั้น เขาก็ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นครูฝึกที่กองพันต่อสู้อากาศยาน กรมอากาศโยธิน กองทัพอากาศดอนเมือง
อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2506 มิตรจำต้องลาออกจากอาชีพทหารอากาศขณะมียศพันจ่าอากาศโท เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2506 การลาออกครั้งนี้เป็นผลมาจากการที่เขาลงทุนสร้างภาพยนตร์เรื่อง ครุฑดำ (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น เหยี่ยวดำ) โดยถูกกล่าวหาว่านำสัญลักษณ์ตราครุฑมาใช้อย่างไม่เหมาะสม และผู้บังคับบัญชาระดับสูงในกองทัพอากาศเห็นว่าเขาควรเลือกทำอาชีพเดียว มิตร ชัยบัญชา ได้กล่าวกับแฟน ๆ ที่หน้าโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุงในวันที่ภาพยนตร์ เหยี่ยวดำ เข้าฉาย เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2506 ว่า "ถึงแม้ว่าได้เลือกอาชีพการแสดงภาพยนตร์เพื่อการเลี้ยงชีพ แต่ทั้งร่างกายและจิตใจของผม คือ ทหาร ผมรักเครื่องแบบทหาร ชื่อเสียงความนิยมที่ประชาชนมอบให้ผมในฐานะนักแสดง ผมก็ถือว่าเป็นชื่อเสียงของกองทัพอากาศเช่นกัน การให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ทุกครั้ง ผมไม่เคยลืมที่จะกล่าวถึง การเป็นทหารอากาศ มากกว่าการให้สัมภาษณ์อย่างอื่น ถึงแม้ว่าการแสดงจะเป็นภาระจนทำให้ผมต้องตัดสินใจลาออก แต่จิตใจของผมและทั้งตัว คือ ทหารอากาศ" หลังจากนั้น เขาก็ได้ทุ่มเทเวลาให้กับการแสดงอย่างเต็มที่
3.2. การเข้าสู่การเมือง
ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2511 มิตร ชัยบัญชา ซึ่งขณะนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมาก ได้ตัดสินใจผันตัวเองเข้าสู่การเมืองเป็นครั้งแรก โดยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลในนามกลุ่ม "หนุ่ม" เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2511 เพื่อทดลองหยั่งเสียงความนิยมของตนเอง เขาหาเสียงในเขตบางรัก ยานนาวา สัมพันธวงศ์ และป้อมปราบศัตรูพ่าย แต่ก็ไม่ได้รับเลือกตั้ง หลังจากนั้น เขาได้เดินทางไปพักผ่อนที่ป่าไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี กับรังสี ทัศนพยัคฆ์ ล้อต๊อก กิ่งดาว และเพื่อน ๆ ก่อนจะกลับมาทำงานต่อ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2512 มิตรได้ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง เพื่อพิสูจน์ความนิยมในตัวเองตามคำขอของเพื่อน แต่คราวนี้เป็นการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนคร ร่วมกับ ปราโมทย์ คชสุนทร ในสังกัดพรรคแนวประชาธิปไตย ด้วยความหวังที่จะทำงานรับใช้ประชาชน และต้องการช่วยเหลือให้นักแสดงมีอาชีพที่มั่นคง มีสวัสดิการ และได้รับการดูแลเหมือนอาชีพเฉพาะทางอื่น ๆ ในช่วงหาเสียง มิตรยังคงมีงานถ่ายภาพยนตร์จำนวนมาก รวมถึงต้องเคลียร์คิวไปถ่ายทำภาพยนตร์ในต่างประเทศ 2 เรื่อง ที่ประเทศญี่ปุ่น และปีนัง คู่แข่งขันทางการเมืองได้กล่าวกับประชาชนว่าหากมิตร ชัยบัญชา ได้รับเลือกตั้ง เขาจะไม่ได้มาแสดงภาพยนตร์ให้ชมอีก ซึ่งอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มิตรไม่ได้รับเลือกตั้งเป็นครั้งที่สอง โดยเขาได้คะแนนอยู่ในลำดับที่ 31 จากจำนวนที่ต้องการ 15 คน
การลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ทำให้มิตรต้องสูญเสียเงินทองและทรัพย์สินไปหลายล้านบาท พร้อมกับบ้าน 1 หลังที่จำนองกับธนาคาร เขาเก็บความผิดหวังไว้เงียบ ๆ และยังต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากการที่หญิงสาวที่เขารักมากได้ตีตัวออกห่างไป (เพราะเหตุผลว่าเขาผิดสัญญาที่ลงเล่นการเมืองเป็นครั้งที่ 2 และเลือกประชาชนมากกว่าเลือกเธอ) ทำให้มิตรเสียใจมาก เขาพยายามตั้งใจ อดทนสู้ใหม่ โดยรับงานภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง เช่น 7 สิงห์คืนถิ่น, วิมานไฟ, จอมโจรมเหศวร, ทรชนเดนตาย, ฟ้าเพียงดิน, ไอ้หนึ่ง, ชาติลำชี, ขุนทาส, สมิงเจ้าท่า, แม่ย่านาง, ลมเหนือ, 2สิงห์จ้าวพยัคฆ์, กำแพงเงินตรา, วิญญาณดอกประดู่, สวรรค์เบี่ยง, ฝนเดือนหก ฯลฯ และในปีเดียวกัน มิตรได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง รอยพราน ในนามชัยบัญชาภาพยนตร์ด้วย
ในปี พ.ศ. 2513 เขารวบรวมที่ดินทั้งหมดที่มีอยู่จำนองกับธนาคารเอเชีย 4.60 M THB และจำนองบ้านพักทั้ง 3 หลัง รวมถึงขายที่ดินที่จังหวัดสระบุรีอีก 700.00 K THB นำเงินทั้งหมดรวม 7.00 M THB ไปซื้อที่ดินตรงเชิงสะพานผ่านฟ้า เนื้อที่ 514 ตารางวา เพื่อลงทุนสร้างโรงภาพยนตร์ขนาดมาตรฐานสำหรับฉายหนังไทยโดยเฉพาะ พร้อมร้านค้า และที่จอดรถแบบทันสมัย โดยหวังช่วยเหลือผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ไทยให้ไม่ต้องรอโปรแกรมฉายต่อจากภาพยนตร์ต่างประเทศ การออกแบบเรียบร้อย และดำเนินการปรับพื้นที่แล้ว รวมทั้งมีโครงการสร้างภาพยนตร์ 2 เรื่อง เพื่อฉายรับโรงภาพยนตร์ใหม่ เป็นการวางอนาคตของมิตร ชัยบัญชา ผู้เป็นความหวังและที่พึ่งของเพื่อนที่ร่วมโครงการนี้ และในปี พ.ศ. 2513 นี้ มิตรรับงานแสดงภาพยนตร์ไว้ประมาณ 50 เรื่อง และยังมีการแสดงภาพยนตร์จีนกำลังภายในที่ฮ่องกง ที่รับไว้ตั้งแต่ปีก่อน เรื่อง อัศวินดาบกายสิทธิ์ โดยได้แสดงร่วมกับ เถียนเหย่ และ กว่างหลิง และเรื่อง จอมดาบพิชัยยุทธ (ส่วนอีกเรื่องเมื่อมิตรเสียชีวิตก็ให้ไชยา สุริยัน แสดงแทนในดาบคู่สะท้านโลกันต์)
4. ชีวิตส่วนตัว
ชีวิตส่วนตัวของมิตร ชัยบัญชาเต็มไปด้วยความรัก ความผูกพัน และความทุ่มเทให้กับทั้งครอบครัวและผู้คนรอบข้าง แม้จะมีชีวิตที่ต้องปิดบังบางส่วนเพื่อรักษาอาชีพการงาน
4.1. ความสัมพันธ์และครอบครัว
มิตร ชัยบัญชา สมรสอย่างเงียบ ๆ กับ จารุวรรณ สรีรวงศ์ ในปี พ.ศ. 2502 และมีบุตรชายหนึ่งคนชื่อ ยุทธนา พุ่มเหม (ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2504 และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566) อย่างไรก็ตาม ชีวิตสมรสของทั้งคู่ไม่ราบรื่นนัก เนื่องจากมิตรไม่มีเวลาให้ครอบครัว ต้องทำงานทั้งกลางวัน กลางคืน และวันหยุด อีกทั้งยังต้องปกปิดสถานภาพการแต่งงานจากสาธารณชนเพื่อรักษาความนิยมจากแฟนภาพยนตร์ รวมถึงภรรยาที่อาจไม่เข้าใจสภาพการทำงานและความตั้งใจจริงของมิตร ทั้งคู่จึงได้หย่าขาดจากกันในปี พ.ศ. 2506 แม้จะแยกทางกัน แต่มิตรยังคงรับผิดชอบส่งเสียเงินทองและดูแลเรื่องการศึกษาของบุตรชายอย่างสม่ำเสมอ โดยเมื่อมิตรเสียชีวิต บุตรชายกำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนเซนต์จอห์น
หลังจากนั้น มิตรได้มีความสัมพันธ์และใช้ชีวิตคู่อย่างไม่เปิดเผยกับ กิ่งดาว ดารณี ซึ่งเป็นภรรยาคนที่สองของเขา โดยผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายรับทราบ ทั้งคู่อยู่กินกันเป็นเวลา 5 ปี เริ่มจากบ้านของแม่ที่นางเลิ้ง ไปเช่าบ้านที่ซอยกลาง สุขุมวิท จนกระทั่งมิตรซื้อที่ดินและปลูกบ้านในซอยจันทโรจน์วงศ์ในปี พ.ศ. 2507-2508 และใช้ชีวิตคู่ร่วมกันในบ้านทั้งสองหลังในพื้นที่กว่า 19 m2 (200 ft2) แม้จะรักกันมาก แต่ชีวิตรักของทั้งคู่ก็มีขึ้นมีลง ด้วยความที่ต่างฝ่ายต่างมีความสามารถและมั่นใจในตัวเองสูง รวมถึงอารมณ์ที่เกิดจากภาระความรับผิดชอบอันหนักอึ้งของมิตร การพักผ่อนน้อย การหึงหวงของทั้งคู่ และทิฐิที่ต้องการเอาชนะของฝ่ายหญิง ทำให้ทั้งคู่เลิกรากันไปในที่สุดด้วยความเสียใจของทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะมิตร หลังจากที่เขาลงสมัครเลือกตั้งในช่วงต้นปี พ.ศ. 2512 กิ่งดาวได้เดินทางไปใช้ชีวิตและเรียนหนังสือต่อที่ประเทศอังกฤษ
ก่อนเสียชีวิตไม่นาน มิตรได้พบรักครั้งใหม่กับ ศศิธร เพชรรุ่ง ซึ่งเป็นภรรยาคนที่สามของเขา มิตรได้ไปสู่ขอจากบิดามารดาของศศิธรและปลูกบ้านให้เธอที่อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก พร้อมให้เงินเดือนใช้เดือนละ 1.00 K THB ซึ่งแตกต่างจากช่วงที่อยู่กับกิ่งดาว ดารณี ที่เขาให้เงินเดือนถึง 10.00 K THB
4.2. บุคลิกและนิสัย
มิตร ชัยบัญชา มีบุคลิกความเป็นผู้นำ เป็นคนตรงไปตรงมา จริงใจ จริงจัง และทุ่มเทให้กับทุกสิ่งที่ทำ เขามีความละเอียด มีระเบียบวินัย และตรงต่อเวลาเสมอ เป็นคนสุภาพ อ่อนน้อม มีอัธยาศัยไมตรีดี และอารมณ์ดี ชอบหยอกล้อ แต่ไม่ชอบการผิดนัด ผิดคำพูด หรือการทำงานแบบไม่ตั้งใจ หากทำให้เขาโกรธก็จะโมโหร้าย มิตรเป็นคนทำงานรวดเร็ว ผู้ร่วมงานกับเขาจึงต้องปรับตัวให้ทันและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ เขามักไม่จู้จี้จุกจิกหรือขี้บ่น แต่จะสั่งสอนและทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
แม้ภายนอกจะดูเข้มแข็ง แต่มิตรเป็นคนใจอ่อน มีเมตตา ช่างสงสาร และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่รักของมหาชน เจ้าของหนังรายใดที่มีทุนน้อย มิตรจะให้คิวถ่ายทำอย่างเต็มที่เพื่อให้สามารถปิดกล้องและเข้าฉายได้เร็ว ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเงินกู้ เขามักมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาในกองถ่ายและให้คำปรึกษาแก่ผู้สร้าง เช่น การประชุมนักแสดงประกอบไม่ให้ผิดนัดกองถ่าย เพื่อให้ผู้สร้างสามารถปิดกล้องได้ตามกำหนดและประหยัดค่าใช้จ่าย การเจรจากับผู้สร้างเมื่อนักแสดงคนอื่นไม่ได้รับค่าแสดง การให้ยืมเงินในการดำเนินงาน และการให้คำปรึกษาแก่นักแสดงร่วมที่มีปัญหา
ด้วยความที่มิตรไม่ต้องการให้เสียงาน ไม่ต้องการให้ผู้สร้างหรือผู้แสดงเดือดร้อน และต้องการให้งานที่เขาตั้งใจและมีส่วนในการแสดงสำเร็จลงด้วยดี เขามักจะรักษาคำพูดและตรงต่อเวลาเสมอ ไม่ต้องให้ใครรอ และจะไม่ทิ้งงานไปงานอื่นแม้จะเป็นงานสำคัญส่วนตัวก็ตาม ครั้งหนึ่งขณะนั่งรถอยู่ เขาได้พบเพื่อนเก่าที่ป้ายรถเมล์ซึ่งทำงานเป็นช่างตัดผม เขาได้ควักเงิน 6.00 K THB เพื่อให้นำไปซื้อรถจักรยานยนต์ขี่ไปทำงาน และอีกเหตุการณ์หนึ่ง มิตรเคยถูกผู้ชายแต่งกายเป็นทหารอากาศขอยืมเงินไป 40.00 K THB แต่ไม่ได้คืน เพราะความโอบอ้อมอารี และการไม่คิดระแวงใครของเขา เขายังเคยถูกเพื่อนที่สนิทไว้วางใจหลอกโกงเงินจำนวน 400.00 K THB แต่สุดท้ายก็ไม่เอาเรื่องเพราะเห็นใจที่ครอบครัวเพื่อนจะเดือดร้อน ชีวิตประจำวันของมิตร ชัยบัญชา จึงพกเงินติดตัวไม่ได้ จะได้ไปเพียงวันละ 20 THB เพราะจะถูกเพื่อนขอยืมหมด
มิตร ชัยบัญชา ได้รับฉายาว่า "พระเอกนักบุญ" และเป็นผู้ริเริ่ม "กฐินดารา" เขาได้บริจาคเงินเพื่อสาธารณกุศลจำนวนมาก เช่น บริจาคเงิน 10.00 K THB ร่วมกับยิ่งยง สะเด็ดยาด เข้ามูลนิธิสงเคราะห์ผู้พิการในพระบรมราชินูปถัมภ์ บริจาคเงินส่วนตัวสร้างโบสถ์วัดแคนางเลิ้ง 500.00 K THB และ 46.50 K THB เป็นเจ้าภาพทอดกฐินวัดแคนางเลิ้งในช่วงปี พ.ศ. 2510-2513 ได้เงินรวม 402.09 K THB และบริจาคเงินเป็นกองทุนสร้างอนุสาวรีย์เจ้ากาวิละ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเงิน 12.90 K THB
ชีวิตที่เคยลำบากในวัยเด็กและการเป็นทหารสอนให้เขากลายเป็นคนขยัน อดทน กินง่ายอยู่ง่าย อาหารสำหรับมิตรไม่ต้องดูแลเป็นพิเศษ บางครั้งเขาก็ใช้ช้อนสังกะสีเหมือนอยู่ในวัดได้ หากไม่มียาสระผม เขาก็ใช้ผงซักฟอกสระผมแทน มิตรยึดคติการใช้ชีวิตว่า "รถยนต์เป็นพาหนะ ไม่ใช่เฟอร์นิเจอร์" แม้ว่าเขามีเงินเข้าบัญชีธนาคารถึงสัปดาห์ละ 100.00 K THB เขาก็ยังคงใช้รถยนต์ จี๊ป วิลลีส์ รุ่นพวงมาลัยซ้ายที่เก่าแก่ในสายตาผู้อื่น ต่อมาเขาใช้รถโตโยต้าเพื่อให้มีคนขับและเขาจะได้พักผ่อน แต่เขาปฏิเสธที่จะใช้รถเมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเด็ดขาด แม้จะสามารถซื้อได้สบาย ๆ เพราะเขาคิดว่ารถเบนซ์แพงเกินฐานะนักแสดง
มิตร ชัยบัญชา เป็นคนกตัญญูต่อผู้มีพระคุณอย่างยิ่ง แม้มารดาจะไม่ได้เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็ก แต่เมื่อเขาเป็นพระเอกภาพยนตร์เรื่องแรก เขาก็ให้ใช้บ้านของมารดาเป็นฉากถ่ายทำและให้ที่บ้านจัดอาหารให้กองถ่าย เพื่อเป็นรายได้เสริมให้มารดา รวมถึงการปรับปรุงบ้านใหม่ รับผิดชอบค่าใช้จ่ายภายในบ้าน และให้ความช่วยเหลือครอบครัวและญาติในเรื่องต่าง ๆ ส่วนบิดาผู้ให้กำเนิดที่ไม่เคยเลี้ยงดู เมื่อบิดาของเขานัดมาขอพบครั้งที่มิตรไปปรากฏตัวที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีในปี พ.ศ. 2504 มิตรก็ดีใจที่ได้พบพ่อ ไม่คิดโกรธเคือง และยังรับบิดามาอยู่ด้วยที่กรุงเทพฯ ทั้งยังปลูกบ้านและซื้อที่ดิน 5 ไร่ให้ที่บ้านไสค้าน จังหวัดเพชรบุรี
เขารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณประชาชนทั้งประเทศ โดยในวันปีใหม่ มิตรได้ทำส.ค.ส.จำนวนมากเพื่อส่งความสุขให้กับแฟนภาพยนตร์ของเขา ข้อความหนึ่งใน ส.ค.ส. กล่าวว่า "มิตร ชัยบัญชา ถือกำเนิดได้ เพราะประชาชนกำหนด จึงน้อมรำลึกถึงพระคุณของท่าน"
5. การเสียชีวิต
มิตร ชัยบัญชา เสียชีวิตอย่างกะทันหันและเป็นเหตุการณ์ที่น่าเศร้าที่สุดในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์ไทย ขณะถ่ายทำฉากสุดท้ายของภาพยนตร์เรื่อง อินทรีทอง ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาทั้งแสดงนำและกำกับการแสดงเอง
ภาพยนตร์เรื่อง อินทรีทอง เป็นภาพยนตร์ชุด "อินทรีแดง" ลำดับที่ 6 ที่มิตรแสดงในบทบาท โรม ฤทธิไกร หรือ อินทรีแดง ผู้ต้องสืบหาอินทรีแดงตัวปลอม (รับบทโดยครรชิต ขวัญประชา) โดยมีเพชรา เชาวราษฎร์ รับบทเป็นวาสนา
การถ่ายทำดำเนินไปได้ด้วยดีจนกระทั่งถึงฉากสุดท้ายของเรื่อง ซึ่งถ่ายทำที่หาดดงตาล พัทยาใต้ จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2513 เวลาประมาณ 9.00 น. ฉากนี้กำหนดให้หลังจากที่อินทรีแดงปราบผู้ร้ายได้แล้ว จะหนีตำรวจออกจากรังของคนร้ายโดยโหนบันไดเชือกจากเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งมีวาสนาเป็นผู้ขับ กล้องจะเก็บภาพเฮลิคอปเตอร์พาอินทรีแดงบินลับหายไปในท้องฟ้า
เพื่อความสมจริงและเนื่องจากเสื้อผ้าของนักแสดงแทนยังไม่พร้อม มิตรจึงตัดสินใจแสดงฉากนี้ด้วยตัวเอง โดยมีการวางแผนการถ่ายทำไว้อย่างละเอียด แต่ด้วยความผิดพลาดทางเทคนิคที่มิตรไม่อาจล่วงรู้ได้ขณะกำลังแสดง ปรากฏว่าเมื่อเฮลิคอปเตอร์บินขึ้น แรงกระตุกของเครื่องทำให้มิตรไม่ได้เหยียบบนบันได และต้องโหนตัวอยู่กับบันไดเพียงลำพัง นักบินซึ่งไม่เห็นความผิดปกติและการให้สัญญาณจากพื้นล่าง ยังคงบินสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ และเกิดแรงเหวี่ยงในจังหวะที่เครื่องเลี้ยวกลับ
มิตรพยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยใช้ข้อมือซ้ายเกี่ยวพันกับบันไดลิง แต่เนื่องจากเชือกบาดข้อมือจนเกือบขาด เขาทนความเจ็บปวดไม่ไหว จึงตัดสินใจแกะเชือกที่รัดข้อมือออกและปล่อยตัวลงมา โดยตั้งใจว่าจะลงสู่บึงข้างล่างเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ด้วยแรงลมที่พัดร่างของมิตร ทำให้เขากระแทกกับพื้นดินตรงจอมปลวกจากความสูงประมาณ 91 m (300 ft)
มิตรถูกนำส่งโรงพยาบาลศรีราชาด้วยเฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวภายใน 5 นาที แต่ก็สายเกินไป ผลการชันสูตรศพยืนยันว่าเขาเสียชีวิตทันทีเนื่องจากร่างกายแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี มีบาดแผลลึก 2 cm ยาว 8 cm ที่ข้อมือ กระดูกขากรรไกรข้างขวาหัก กระดูกโหนกแก้มซ้ายและขวาหัก มีเลือดออกทางหูขวา กระดูกซี่โครงขวาหัก 5 ซี่ กระดูกโคนขาขวาหัก และกระดูกต้นคอหัก โดยเสียชีวิตเมื่อเวลาประมาณ 16.13 น.
ในวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2513 หนังสือพิมพ์ไทยทุกฉบับพาดหัวข่าวการเสียชีวิตของเขา และข่าวได้แพร่กระจายไปถึงประเทศญี่ปุ่น ฮ่องกง และไต้หวัน หลังจากข่าวการเสียชีวิตของเขา ทรัพย์สินส่วนใหญ่ของมิตรได้ถูกเคลื่อนย้ายออกจากบ้านทั้ง 3 หลังของเขา จนไม่มีเสื้อผ้าเหลือแม้แต่ชุดเดียวที่จะสวมใส่ให้ใหม่ตอนรดน้ำศพ
อุบัติเหตุครั้งนี้ถูกบันทึกไว้ในฟิล์มและถูกนำไปใช้ในฉบับที่ออกฉายในโรงภาพยนตร์ (แต่ถูกลบออกจากเวอร์ชันดีวีดี โดยมีข้อความไว้อาลัยแทน) ในด้านความปลอดภัย ฉากสุดท้ายนี้ควรมีการถ่ายทำสองครั้ง คือครั้งแรกให้มิตรโหนบันไดและบินไปในระดับต่ำ และอีกครั้งโดยใช้นักแสดงแทนในระดับความสูงที่สูงกว่า การเสียชีวิตของมิตร ชัยบัญชา นับเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้ปี พ.ศ. 2513 เป็นปีที่ยากลำบากสำหรับวงการภาพยนตร์ไทย เนื่องจากหลายเดือนก่อนหน้านั้น รัตน์ เปสตันยี ผู้กำกับภาพยนตร์ผู้บุกเบิก ก็ได้ล้มลงขณะกล่าวสุนทรพจน์เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศ และเสียชีวิตในอีกหลายชั่วโมงต่อมา
6. พิธีศพและการระลึกถึง
การเสียชีวิตของมิตร ชัยบัญชาสร้างความตกใจและโศกเศร้าอย่างสุดซึ้งแก่ประชาชนทั่วประเทศ และพิธีศพของเขาได้กลายเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงความรักและอาลัยของมหาชน
ศพของมิตร ชัยบัญชา ถูกนำไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดแคนางเลิ้ง หลังจากครบ 100 วัน พิธีพระราชทานเพลิงศพได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2514 โดยย้ายจากวัดแคนางเลิ้งไปจัดที่วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร มีประชาชนหลั่งไหลเข้าร่วมงานจำนวนมหาศาลกว่า 300.00 K people จนกระทั่งหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้กล่าวว่าเป็นงานศพของสามัญชนที่มีผู้ไปร่วมงานมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ในดีวีดีภาพยนตร์เรื่อง อินทรีทอง ที่วางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2548 ในประเทศไทย ยังมีฟุตเทจของพิธีฌาปนกิจ ซึ่งแสดงให้เห็นร่างของมิตรที่ถูกยกขึ้นเพื่อให้ฝูงชนได้เห็นเป็นครั้งสุดท้าย
6.1. การระลึกถึงและอนุสรณ์สถาน
4 ปีหลังการเสียชีวิตของมิตร ชัยบัญชา ได้มีการสร้างหุ่นจำลองของเขาขึ้น โดยมีที่มาจากการเล่นผีถ้วยแก้ว และนำไปไว้ที่วัดบ้านท่า อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ส่วนอัฐิของมิตรยังคงถูกเก็บไว้ที่ช่องเก็บอัฐิภายในวัดแคนางเลิ้ง ซึ่งมีผู้คนแวะเวียนไปกราบไหว้ไม่ขาดสาย

บริเวณหาดดงตาล พัทยาใต้ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มิตรเสียชีวิต ได้มีการสร้างศาลมิตร ชัยบัญชาขึ้น ต่อมาเมื่อมีการซื้อที่ดินเพื่อสร้างโรงแรม ศาลเดิมจึงได้รับการปรับปรุงและสร้างขึ้นใหม่เป็นศาลไม้สัก ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ตรงข้ามสำนักงานสรรพากร ด้านหลังโรงแรมจอมเทียนปาล์มบีช บริเวณหาดจอมเทียน ศาลแห่งนี้เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 6.00 น. ถึง 18.00 น. ทุกวัน ภายในศาลพระภูมิแห่งนี้มีรูปปั้นของมิตรในชุดอินทรีทอง ถือปืนพกในมือขวา ซึ่งชวนให้นึกถึงบทบาทนักแสดงภาพยนตร์แอ็คชั่นมากมายของเขา ผนังศาลประดับด้วยภาพถ่ายและของที่ระลึกต่าง ๆ ผู้คนมักมาขอโชคลาภที่ศาลแห่งนี้ โดยการเขย่าเซียมซีและตรวจดูคำทำนาย หากคำขอพรสำเร็จ ผู้คนก็จะกลับมาซื้อเครื่องบูชาเล็ก ๆ น้อย ๆ มาถวายที่ศาล

นอกจากนี้ ยังมีการตั้งชื่อซอยมิตร ชัยบัญชา หรือ พัทยาซอย 17 บนถนนเทพประสิทธิ์อีกด้วย และในปี พ.ศ. 2549 ได้มีการจัดสร้างอนุสรณ์สถานมิตร ชัยบัญชา พร้อมหุ่นไฟเบอร์กลาสขนาดเท่าตัวจริงขึ้นที่วัดท่ากระเทียม อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของมิตร ชัยบัญชา
ในปี พ.ศ. 2548 บริษัท เจ เอส แอล จำกัด ได้สร้างละครโทรทัศน์เรื่อง "มิตร ชัยบัญชา มายา-ชีวิต" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 โดยละครเรื่องนี้สร้างจากบทประพันธ์ร่วมของกิ่งดาว ดารณี เพชรา เชาวราษฎร์ และยุทธนา พุ่มเหม ซึ่งอ้างอิงจากเค้าโครงเรื่องและเหตุการณ์จริงในชีวิตของมิตร ชัยบัญชา โดยมี "กอล์ฟ" อครา อมาตยกุล มารับบทเป็นมิตร และฝน ธนสุนทร รับบทเป็นเพชรา นางเอกคู่ขวัญของเขา
เพื่อรำลึกถึงการจากไปของมิตร ชัยบัญชา แฟนภาพยนตร์ของเขาได้จัดงานรำลึกขึ้นเป็นประจำทุกปีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 ภายในงานจะมีการจัดนิทรรศการภาพถ่ายและการฉายภาพยนตร์ของมิตร ชัยบัญชา ในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการเปิดตัวละครวิทยุเรื่อง ดาวดิน ปาฏิหาริย์แห่งรัก ลิขิตแห่งหัวใจ ประพันธ์โดย เอ็ม เฉลิมกรุง (อิงคศักย์ เกตุหอม) และได้รับเกียรติจากชินกร ไกรลาศ ศิลปินแห่งชาติ มาประพันธ์คำร้องและทำนองเพลง "มิตร ชัยบัญชา" ในลักษณะสากลปนแหล่ ซึ่งชินกร ไกรลาศ ได้กล่าวถึงการประพันธ์เพลงนี้ว่า "มองมิตรว่าเป็นดั่งพรหม คือ เป็นนักแสดงที่ยึดหลักพรหมวิหาร 4 คือมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา" ทุกปีจะมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศทั้งในและต่างประเทศเดินทางมาร่วมงานรำลึกนี้
นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุซโซต์ กรุงเทพ ยังได้จัดทำหุ่นขี้ผึ้งของมิตรในชุดอินทรีแดงเพื่อจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์ ที่สยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์ ร่วมกับหุ่นของบุคคลสำคัญอื่น ๆ
7. ผลงานภาพยนตร์
มิตร ชัยบัญชา มีผลงานการแสดงภาพยนตร์ไว้มากกว่า 266 เรื่อง (นับเฉพาะที่ออกฉายในโรงภาพยนตร์) โดยส่วนใหญ่เป็นภาพยนตร์ขนาด 16 มม. ที่มีการพากย์สดหน้าโรงภาพยนตร์ มีเพียง 16 เรื่องเท่านั้นที่สร้างด้วยฟิล์ม 35 มม. แบบบันทึกเสียงในฟิล์ม เขาร่วมแสดงกับนางเอกมากกว่า 29 คน โดยมีเพชรา เชาวราษฎร์ เป็นนางเอกคู่ขวัญที่แสดงร่วมกันมากที่สุดถึง 172 เรื่อง
ผลงานเด่นที่สร้างชื่อเสียงให้มิตร ชัยบัญชา ได้แก่:
- ชาติเสือ (พ.ศ. 2501)
- จ้าวนักเลง หรือ อินทรีแดง (พ.ศ. 2502)
- ใจเพชร (พ.ศ. 2506)
- นกน้อย (พ.ศ. 2507)
- สิงห์ล่าสิงห์ (พ.ศ. 2507)
- เงิน เงิน เงิน (พ.ศ. 2508)
- เพชรตัดเพชร (พ.ศ. 2509)
- แสนรัก (พ.ศ. 2510)
- มนต์รักลูกทุ่ง (พ.ศ. 2513)
- อินทรีทอง (พ.ศ. 2513)
- อัศวินดาบกายสิทธิ์ (พ.ศ. 2513)
- The Tiger and the Dragon (พ.ศ. 2514)
8. การประเมินและอิทธิพล
มิตร ชัยบัญชา ได้รับการยกย่องให้เป็น "พระเอกตลอดกาล" ของวงการภาพยนตร์ไทย ด้วยบุคลิกเฉพาะตัวและอิทธิพลที่เขามีต่อทั้งอุตสาหกรรมและแฟนภาพยนตร์
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ เคยเปิดเผยว่า มิตร ชัยบัญชา ไม่ใช่นักแสดงในความหมายทั่วไป เขามักจะนำตัวตนที่แท้จริงของเขาใส่เข้าไปในภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นบทเศรษฐี ยาจก นักเรียนนอก หรือแม้แต่บทที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เช่น พระลอ หรือนักร้องเพลงลูกทุ่ง บางครั้งขณะกำลังแสดงบทรักบนเตียง เขาก็อาจจะลุกขึ้นมาร้องเพลง ซึ่งแฟนภาพยนตร์ก็ยอมรับและพอใจในความเป็น "มิตร ชัยบัญชา" ในทุกบทบาท ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เขาสามารถแสดงภาพยนตร์ได้ถึง 4-5 เรื่องภายในวันเดียว
สนทะเล คอลัมนิสต์ชื่อดังในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ เคยกล่าวถึงมิตรว่า "เราไม่ชอบบทบาทของเขามากเท่าไหร่นัก... อาจเป็นเพราะเราดูหนังที่เขาแสดงมากเกินไป แต่เมื่อเขาตายไปแล้ว ตลอดทั้งคืนเราเห็นแต่รอยยิ้มของมิตร... เห็นท่าทางกระโดดโลดเต้นที่ไม่เห็นจะสวยงามสักหน่อย เห็นท่าทางของเขาทุกอากัปกิริยาที่ปรากฏขึ้นในจอหนัง เราเห็นมันด้วยความอาลัย... ว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเราจะไม่ได้พบเห็นมันอีกแล้ว"
มิตร ชัยบัญชา ถือเป็นพระเอกตลอดกาลของวงการภาพยนตร์ไทย ไม่ใช่เพียงแค่มีมนต์ขลังกับผู้คนที่เกิดในยุคสมัยนั้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงคนรุ่นหลังอีกด้วย ดังเช่นการก่อตั้งชมรม "คนรัก มิตร ชัยบัญชา" และในปี พ.ศ. 2544 บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้จัดการแข่งขันรายการ แฟนพันธุ์แท้ ของพระเอกมิตร ชัยบัญชา ซึ่งเป็นการแข่งขันเพื่อค้นหาแฟนตัวจริงของเขา
กรุง ศรีวิไล นักแสดงชื่อดัง เคยกล่าวไว้ว่า "ถ้าไม่มีวันนั้นเกิดขึ้น วันที่ 8 ตุลา พ.ศ. 2513 (วันที่มิตรเสียชีวิต) ก็จะไม่มี กรุง ศรีวิไล ไม่มี ไพโรจน์ ใจสิงห์ ไม่มี สรพงษ์ ชาตรี ไม่มี ยอดชาย เมฆสุวรรณ ไม่มี รพินทร์ ไพรวัลย์ ไม่มี ขวัญชัย สุริยา ไม่มี นาท ภูวนัย" ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการจากไปของมิตรได้เปิดโอกาสให้นักแสดงรุ่นใหม่ ๆ ก้าวขึ้นมาในวงการ
ส่วนเพชรา เชาวราษฎร์ คู่ขวัญของมิตร ได้กล่าวถึงเขาว่า "เขาเป็นคนดี ชอบช่วยเหลือคน เอาใจใส่คนอื่น ยิ้มแย้มแจ่มใส คุยได้กับทุกคน ไม่มีมาด ไม่ถือตัว... ตรงนี้แหละที่ทำให้เขายังเป็นพระเอกตลอดกาล ยังไม่ตายไปจากใจแฟน ๆ จนถึงวันนี้"
9. รางวัล
ตลอดเส้นทางอาชีพของมิตร ชัยบัญชา เขาได้รับรางวัลอันทรงเกียรติเพื่อยกย่องความสำเร็จและคุณูปการในวงการภาพยนตร์ไทย ดังนี้:
ปี | รางวัล | สาขา | ผล | ภาพยนตร์ |
---|---|---|---|---|
พ.ศ. 2508 | รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี | ดารานำฝ่ายชายที่ทำรายได้สูงสุด | ได้รับรางวัล | เงิน เงิน เงิน |
พ.ศ. 2509 | รางวัลดาราทองพระราชทาน | รางวัลดาราทองขวัญใจมหาชน | ได้รับรางวัล | - |