1. ภาพรวม
เอสวาตินี หรือชื่อทางการคือ ราชอาณาจักรเอสวาตินี เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในภูมิภาคแอฟริกาใต้ มีลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ที่ราบสูงทางตะวันตกไปจนถึงที่ราบต่ำทางตะวันออก ประวัติศาสตร์ของประเทศเต็มไปด้วยการต่อสู้เพื่อเอกราชและการรักษาอัตลักษณ์ของชาวสวาซี นับตั้งแต่การก่อตั้งอาณาจักรในศตวรรษที่ 18 ผ่านยุคอาณานิคมของอังกฤษ จนกระทั่งได้รับเอกราชและเปลี่ยนชื่อประเทศในที่สุด การเมืองการปกครองของเอสวาตินีมีลักษณะเฉพาะคือระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในทุกด้าน ทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ประเด็นนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้เกิดการประท้วงเรียกร้องการปฏิรูปทางการเมือง เศรษฐกิจของเอสวาตินีพึ่งพาเกษตรกรรม การผลิต และมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับแอฟริกาใต้ อย่างไรก็ตาม ประเทศยังคงเผชิญกับความท้าทายสำคัญ เช่น ความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และอัตราการติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในด้านสังคมและวัฒนธรรม ชาวสวาซีส่วนใหญ่ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมไว้ได้อย่างเหนียวแน่น สะท้อนผ่านเทศกาลสำคัญต่าง ๆ เช่น พิธีอุมลังกาและอิงวาลา บทความนี้จะสำรวจประเด็นเหล่านี้อย่างละเอียด โดยให้ความสำคัญกับผลกระทบทางสังคม สิทธิมนุษยชน การพัฒนาประชาธิปไตย และสถานการณ์ของกลุ่มผู้เปราะบางในเอสวาตินี
2. ชื่อประเทศ
ชื่อประเทศอย่างเป็นทางการในปัจจุบันคือ ราชอาณาจักรเอสวาตินี (Umbuso weSwatiniอุมบูโซ เวสวาตินีSwati; Kingdom of Eswatiniคิงดอม ออฟ เอสวาตินีภาษาอังกฤษ) โดยเรียกสั้น ๆ ว่า เอสวาตินี (eSwatiniเอสวาตินีSwati; Eswatiniเอสวาตินีภาษาอังกฤษ) ชื่อนี้มีความหมายในภาษาสวาซีว่า "ดินแดนของชาวสวาซี"
ในอดีต ประเทศนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ สวาซีแลนด์ (Swazilandสวาซิแลนด์ภาษาอังกฤษ) ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้มาตั้งแต่สมัยเป็นรัฐในอารักขาของสหราชอาณาจักรและต่อเนื่องมาจนถึงหลังได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1968 ชื่อ "สวาซีแลนด์" เป็นการผสมผสานระหว่างคำว่า "สวาซี" (Swazi) ซึ่งหมายถึงกลุ่มชาติพันธุ์หลักของประเทศ กับคำว่า "แลนด์" (land) ในภาษาอังกฤษซึ่งหมายถึงดินแดน อย่างไรก็ตาม ชื่อนี้ถูกมองว่าเป็นมรดกตกทอดจากยุคอาณานิคม และสร้างความสับสนกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) อยู่บ่อยครั้ง
เมื่อวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 2018 ในวโรกาสฉลองครบรอบ 50 ปีแห่งการได้รับเอกราช และวันคล้ายวันพระราชสมภพครบ 50 พรรษาของสมเด็จพระราชาธิบดีอึมสวาตีที่ 3 พระองค์ได้มีพระราชดำรัสประกาศเปลี่ยนชื่อประเทศจาก "ราชอาณาจักรสวาซีแลนด์" (Kingdom of Swaziland) เป็น "ราชอาณาจักรเอสวาตินี" (Kingdom of Eswatini) อย่างเป็นทางการ การเปลี่ยนแปลงนี้มีจุดประสงค์เพื่อสะท้อนอัตลักษณ์ของชาติในภาษาท้องถิ่น และเพื่อขจัดความสับสนดังกล่าวข้างต้น องค์การสหประชาชาติได้ให้การรับรองการเปลี่ยนชื่อนี้ในวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 2018 สำหรับประเทศญี่ปุ่นได้มีการเปลี่ยนแปลงชื่อประเทศในทางกฎหมายเป็น "เอสวาตินี" เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 หลังจากการอนุมัติของคณะรัฐมนตรี
ในการเขียนชื่อ "เอสวาตินี" ด้วยอักษรจีน สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับเอสวาตินี ใช้ตัวอักษรว่า "史瓦帝尼" (พินอิน: Shǐwǎdìní) ขณะที่สาธารณรัฐประชาชนจีนยังคงใช้ชื่อเดิมคือ "斯威士兰" (พินอิน: Sīwēishìlán) ซึ่งหมายถึงสวาซีแลนด์ (ข้อมูล ณ เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021)
3. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของเอสวาตินีเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงและการต่อสู้เพื่อรักษาเอกราชและอัตลักษณ์ของชาติ ตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ยุคแรก การก่อตัวของอาณาจักรสวาซีที่ทรงอำนาจ การเผชิญหน้ากับการขยายอำนาจของชาวยุโรป การตกอยู่ภายใต้อารักขาของอังกฤษ จนกระทั่งได้รับเอกราชและการเผชิญหน้ากับความท้าทายในยุคปัจจุบัน รวมถึงการเรียกร้องประชาธิปไตย
3.1. สมัยโบราณและการก่อตัวของชนเผ่า
มีการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีที่บ่งชี้ว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่ในดินแดนเอสวาตินีตั้งแต่ยุคหินเก่าตอนต้น หรือประมาณ 200,000 ปีที่แล้ว นอกจากนี้ยังพบภาพเขียนสีบนผนังถ้ำยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งมีอายุตั้งแต่ประมาณ 27,000 ปีที่แล้วจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 กระจายอยู่ทั่วประเทศ

ชนกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในภูมิภาคนี้คือชาวคอยซาน (Khoisan) ซึ่งดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์และเก็บของป่า ต่อมาพวกเขาถูกแทนที่โดยชาวงูนี (Nguni) ในช่วงการอพยพครั้งใหญ่ของกลุ่มชาวบันตู (Bantu expansion) ซึ่งเดินทางมาจากบริเวณเกรตเลกส์ในแอฟริกากลางและตะวันออก หลักฐานการทำเกษตรกรรมและการใช้เหล็กในภูมิภาคนี้สามารถย้อนกลับไปได้ถึงประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 4 กลุ่มคนที่พูดภาษาที่เป็นรากฐานของภาษาโซโท-สวานา (Sotho-Tswana languages) และภาษางูนี (Nguni languages) ในปัจจุบัน เริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานไม่ช้ากว่าคริสต์ศตวรรษที่ 11
3.2. การก่อตั้งและการขยายอาณาจักรสวาซี
ชาวสวาซี หรือที่ในระยะแรกเรียกว่าชาวอึงกวาเน (Ngwane หรือ bakaNgwane) ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณริมแม่น้ำปองโกลา (Pongola River) ก่อนหน้านั้นพวกเขาเคยอาศัยอยู่ในแถบแม่น้ำเทมเบ (Tembe River) ใกล้กับกรุงมาปูโต ประเทศโมซัมบิกในปัจจุบัน ความขัดแย้งกับชาวอึนดวานดเว (Ndwandwe) ผลักดันให้พวกเขาอพยพขึ้นไปทางเหนือ พระเจ้าอึงกวาเนที่ 3 (Ngwane III) ได้สถาปนาเมืองหลวงขึ้นที่ชีเซลเวนี (Shiselweni) บริเวณเชิงเขาอึมโลเชนี (Mhlosheni)
ในรัชสมัยของพระเจ้าซอบูซาที่ 1 (Sobhuza I หรือ Somhlolo) ชาวอึงกวาเนได้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่ซอมโบดเซ (Zombodze) ซึ่งเป็นใจกลางของประเทศเอสวาตินีในปัจจุบัน ในกระบวนการนี้ พวกเขาได้พิชิตและผนวกรวมชนเผ่าดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้มาก่อน ซึ่งชาวสวาซีเรียกว่า เอมาคันด์ซัมบิลี (Emakhandzambili หมายถึง "ผู้ที่ถูกพบก่อน")
เอสวาตินีได้รับชื่อประเทศมาจากกษัตริย์ในยุคต่อมาคือ พระเจ้าอึมสวาตีที่ 2 (Mswati II) อีกชื่อหนึ่งของเอสวาตินีคือ คากวาเน (KaNgwane) ซึ่งตั้งตามพระนามของพระเจ้าอึงกวาเนที่ 3 และนามสกุลของราชวงศ์ยังคงเป็น อึนโคซี ดลามีนี (Nkhosi Dlamini) โดยคำว่า "อึนโคซี" (Nkhosi) มีความหมายว่า "กษัตริย์" พระเจ้าอึมสวาตีที่ 2 ทรงเป็นกษัตริย์นักรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเอสวาตินี พระองค์ทรงขยายอาณาเขตของประเทศออกไปจนมีขนาดใหญ่กว่าปัจจุบันถึงสองเท่า ในระยะแรก ชนเผ่าเอมาคันด์ซัมบิลีได้รับการผนวกรวมเข้ากับอาณาจักรโดยยังคงมีเอกราชในการปกครองตนเองอย่างกว้างขวาง และมักจะได้รับสถานะพิเศษทางพิธีกรรมและการเมือง อย่างไรก็ตาม พระเจ้าอึมสวาตีที่ 2 ได้ลดทอนอำนาจปกครองตนเองของชนเผ่าเหล่านี้ลงอย่างมาก โดยทรงโจมตีและปราบปรามบางส่วนในช่วงทศวรรษที่ 1850 ด้วยพระราชอำนาจ พระเจ้าอึมสวาตีที่ 2 ได้ลดอิทธิพลของเอมาคันด์ซัมบิลีลงอย่างมาก ขณะเดียวกันก็ผนวกรวมผู้คนเข้ามาในอาณาจักรมากขึ้น ทั้งจากการพิชิตและการให้ที่ลี้ภัย กลุ่มคนที่เข้ามาภายหลังเหล่านี้เป็นที่รู้จักในหมู่ชาวสวาซีว่า เอมาฟีคามูวา (Emafikamuva)


ความเป็นเอกราชของชาติสวาซีได้รับอิทธิพลจากการปกครองของอังกฤษและดัตช์ในแอฟริกาใต้ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ในปี ค.ศ. 1881 รัฐบาลอังกฤษได้ลงนามในอนุสัญญาที่ยอมรับเอกราชของสวาซี แม้ว่าจะอยู่ในช่วงการแย่งชิงแอฟริกา (Scramble for Africa) ก็ตาม เอกราชนี้ยังได้รับการยอมรับในอนุสัญญาลอนดอนปี 1884
พระเจ้าอึมบันด์เซนี (Mbandzeni) ได้สร้างรูปแบบการถือครองที่ดินที่ซับซ้อนโดยการให้สัมปทานจำนวนมากแก่ชาวยุโรป สัมปทานเหล่านี้รวมถึงการให้สิทธิ์และการเช่าเพื่อการเกษตรและการเลี้ยงสัตว์ ในปี ค.ศ. 1890 หลังจากการสวรรคตของพระเจ้าอึมบันด์เซนี ได้มีการจัดตั้งศาลกลาง (Chief Court) ตามอนุสัญญาสวาซีแลนด์เพื่อตัดสินข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินและแร่ธาตุที่เป็นที่ถกเถียง รวมถึงสัมปทานอื่น ๆ
สวาซีแลนด์ได้รับการบริหารแบบคณะผู้สำเร็จราชการร่วม (Triumvirate) ในปี ค.ศ. 1890 ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากอังกฤษ สาธารณรัฐดัตช์ (ชาวบัวร์) และชาวสวาซี ในปี ค.ศ. 1894 อนุสัญญาฉบับหนึ่งได้กำหนดให้สวาซีแลนด์อยู่ภายใต้การปกครองของสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ (South African Republic หรือ Transvaal Republic) ในฐานะรัฐในอารักขา (protectorate) การปกครองนี้ดำเนินต่อไปในรัชสมัยของพระเจ้าอึงกวาเนที่ 5 (Ngwane V) จนกระทั่งเกิดสงครามบูร์ครั้งที่สองในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1899
พระเจ้าอึงกวาเนที่ 5 สวรรคตในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1899 ระหว่างพิธีอิงวาลา (Incwala) หลังจากสงครามบูร์ครั้งที่สองได้เริ่มขึ้น ผู้สืบทอดราชบัลลังก์คือสมเด็จพระราชาธิบดีซอบูซาที่ 2 ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง 4 เดือน สวาซีแลนด์มีส่วนเกี่ยวข้องทางอ้อมในสงคราม โดยมีการปะทะกันระหว่างกองทัพอังกฤษและบัวร์เกิดขึ้นในประเทศจนถึงปี ค.ศ. 1902 การสวรรคตของกษัตริย์ในช่วงเวลาสำคัญนี้ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอำนาจภายในอาณาจักร และการกระจายทรัพยากรก็ได้รับผลกระทบจากการเข้ามาของชาวยุโรปและการให้สัมปทานที่ดิน
3.3. สมัยอยู่ภายใต้อารักขาของสหราชอาณาจักร (ค.ศ. 1906-1968)
ในปี ค.ศ. 1903 หลังจากชัยชนะของอังกฤษในสงครามบูร์ครั้งที่สอง สวาซีแลนด์ได้กลายเป็นหนึ่งในดินแดนภายใต้ข้าหลวงใหญ่สำหรับแอฟริกาตอนใต้ (High Commission Territories) ของอังกฤษ ร่วมกับบาซูโตแลนด์ (ปัจจุบันคือเลโซโท) และเบชวานาแลนด์ (ปัจจุบันคือบอตสวานา) อย่างไรก็ตาม สถานะรัฐในอารักขา (protectorate) ยังไม่ได้รับการจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ เนื่องจากยังไม่สามารถตกลงเงื่อนไขกับสมเด็จพระราชินีนาถลาบอตซีเบนี อึมดลูลี (Labotsibeni Mdluli) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในขณะนั้น
ประกาศการบริหารสวาซีแลนด์ปี 1904 (Swaziland Administration Proclamation of 1904) ได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นเพื่อตรวจสอบสัมปทานทั้งหมดและกำหนดขอบเขต งานนี้เสร็จสิ้นในปี 1907 และประกาศการแบ่งสัมปทานสวาซีแลนด์ (Swaziland Concessions Partition Proclamation) ได้กำหนดให้มีการแต่งตั้งกรรมาธิการแบ่งสัมปทานเพื่อจัดสรรพื้นที่สำหรับการใช้และการครอบครองของชาวสวาซีโดยเฉพาะ กรรมาธิการมีอำนาจในการเวนคืนที่ดินได้ถึงหนึ่งในสามของแต่ละสัมปทานโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย แต่จะต้องจ่ายเงินหากเวนคืนมากกว่าหนึ่งในสาม ในที่สุด ในปี 1910 เขาได้จัดสรรที่ดินจำนวน 1,639,687 เอเคอร์ ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 38 ของพื้นที่ทั้งหมดของสวาซีแลนด์ให้แก่ชาวสวาซี จากนั้นสมเด็จพระราชินีนาถผู้สำเร็จราชการได้สนับสนุนให้ชาวสวาซีไปทำงานในทรานสวาอัลเพื่อหารายได้มาซื้อที่ดินคืนจากชาวยุโรป
การบริหารดินแดนในช่วงแรก ๆ (เช่น บริการไปรษณีย์) ดำเนินการจากแอฟริกาใต้จนถึงปี ค.ศ. 1906 เมื่ออาณานิคมทรานสวาอัล (Transvaal Colony) ได้รับการปกครองตนเอง ข้าหลวงใหญ่อังกฤษมีหน้าที่บางประการคล้ายผู้ว่าการ แต่ชาวสวาซียังคงปกครองตนเองในเขตสงวนของตน และดินแดนนี้ไม่ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของอังกฤษ
การสถาปนาสมเด็จพระราชาธิบดีซอบูซาที่ 2 (Sobhuza II) ขึ้นเป็นกษัตริย์อย่างเป็นทางการมีขึ้นในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1921 หลังจากการสำเร็จราชการของสมเด็จพระราชินีนาถลาบอตซีเบนี หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1922 พระองค์ได้นำคณะผู้แทนไปยังคณะกรรมการตุลาการแห่งสภาองคมนตรี (Judicial Committee of the Privy Council) ในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เพื่อยื่นคำร้องเกี่ยวกับปัญหาเรื่องที่ดิน แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ
ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1923 ถึง 1963 สมเด็จพระราชาธิบดีซอบูซาที่ 2 ได้ก่อตั้ง "สวาซีคอมเมอร์เชียลอามาโดดา" (Swazi Commercial Amadoda) ซึ่งมีหน้าที่ออกใบอนุญาตให้ธุรกิจขนาดเล็กในเขตสงวนของชาวสวาซี และยังได้ก่อตั้ง "โรงเรียนแห่งชาติสวาซี" (Swazi National School) เพื่อคานอำนาจของโรงเรียนสอนศาสนาในการจัดการศึกษา พระเกียรติคุณของพระองค์เพิ่มพูนขึ้นตามกาลเวลา และผู้นำราชวงศ์สวาซีประสบความสำเร็จในการต่อต้านการลดทอนอำนาจของฝ่ายบริหารอังกฤษ และความเป็นไปได้ที่สวาซีแลนด์จะถูกผนวกรวมเข้ากับสหภาพแอฟริกาใต้
รัฐธรรมนูญสำหรับสวาซีแลนด์ที่เป็นเอกราชได้รับการประกาศใช้โดยสหราชอาณาจักรในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1963 ซึ่งกำหนดให้มีการจัดตั้งสภานิติบัญญัติ (Legislative Council) และสภาบริหาร (Executive Council) การพัฒนานี้ถูกคัดค้านโดยสภาแห่งชาติสวาซีของกษัตริย์ (ลิโคโค - Liqoqo) แม้จะมีการคัดค้านดังกล่าว การเลือกตั้งก็ยังคงดำเนินต่อไป และสภานิติบัญญัติชุดแรกได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1964 ภายในปี ค.ศ. 1964 พื้นที่ของประเทศที่สงวนไว้สำหรับการครอบครองโดยชาวสวาซีได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 56 การเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญฉบับดั้งเดิมที่เสนอโดยสภานิติบัญญัติได้รับการยอมรับจากสหราชอาณาจักร และได้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งกำหนดให้มีสภาผู้แทนราษฎร (House of Assembly) และวุฒิสภา (Senate) การเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้จัดขึ้นในปี ค.ศ. 1967 หลังจากการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1967 สวาซีแลนด์ยังคงเป็นรัฐในอารักขาจนกระทั่งได้รับเอกราชคืนในปี ค.ศ. 1968 ผลกระทบของการปกครองแบบอาณานิคมต่อสิทธิและที่ดินของคนพื้นเมืองยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศในระยะต่อมา
3.4. สมัยหลังได้รับเอกราช (ค.ศ. 1968-ปัจจุบัน)
เอสวาตินีได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1968 ภายหลังการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1967 หลังจากนั้นไม่นาน ในปี ค.ศ. 1973 สมเด็จพระราชาธิบดีซอบูซาที่ 2 (Sobhuza II) ได้ทรงยกเลิกรัฐธรรมนูญ และปกครองประเทศโดยพระราชกฤษฎีกา (decree) จนกระทั่งสวรรคตในปี ค.ศ. 1982 ณ เวลานั้น พระเจ้าซอบูซาที่ 2 ทรงครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งสวาซีแลนด์เป็นเวลาเกือบ 83 ปี ทำให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์
หลังจากการสวรรคตของพระองค์ ได้มีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ โดยสมเด็จพระราชินีเจลีเว ชองเว (Dzeliwe Shongwe) ทรงดำรงตำแหน่งประมุขแห่งรัฐจนถึงปี ค.ศ. 1984 เมื่อพระองค์ทรงถูกสภาลิโคโค (Liqoqo) ถอดถอน และแต่งตั้งสมเด็จพระราชินีอึนตอมบี ตวาลา (Ntfombi Tfwala) พระราชชนนี ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน สมเด็จพระราชาธิบดีอึมสวาตีที่ 3 (Mswati III) พระราชโอรสในสมเด็จพระราชินีอึนตอมบี ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 1986 ในฐานะกษัตริย์และ "อึงเกวนยามา" (Ngwenyama - สิงโต) แห่งสวาซีแลนด์
ความพยายามในปี ค.ศ. 1982 ที่จะโอนดินแดนบางส่วนของประเทศแอฟริกาใต้ที่อยู่ติดกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนหนึ่งของดินแดนของชาวซูลูในควาซูลู (KwaZulu) และส่วนหนึ่งของดินแดนของชาวสวาซีในคังวานี (KaNgwane) ให้แก่สวาซีแลนด์นั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง ข้อตกลงนี้หากสำเร็จจะทำให้สวาซีแลนด์ซึ่งเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลสามารถเข้าถึงทะเลได้ ข้อตกลงดังกล่าวได้รับการเจรจาโดยรัฐบาลแอฟริกาใต้และสวาซีแลนด์ แต่ถูกคัดค้านอย่างหนักจากประชาชนในดินแดนที่จะถูกโอนย้าย พระเจ้าซอบูซาที่ 2 ทรงอ้างสิทธิ์ในดินแดนดังกล่าวว่าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรดั้งเดิมของราชวงศ์สวาซี และรัฐบาลแอฟริกาใต้หวังที่จะใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตกันชนเพื่อป้องกันการแทรกซึมของกองโจรจากประเทศโมซัมบิก (รัฐบาลแอฟริกาใต้ตอบโต้ความล้มเหลวของการโอนย้ายดินแดนด้วยการระงับเอกราชของคังวานีเป็นการชั่วคราว)
ในช่วงทศวรรษที่ 1990 ได้เกิดการประท้วงของนักศึกษาและกลุ่มแรงงานเพิ่มมากขึ้น โดยเรียกร้องให้กษัตริย์ทรงดำเนินการปฏิรูป ด้วยเหตุนี้ กระบวนการปฏิรูปรัฐธรรมนูญจึงเริ่มขึ้น และนำไปสู่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของสวาซีในปี ค.ศ. 2005 แม้ว่าจะมีการคัดค้านจากนักกิจกรรมทางการเมืองก็ตาม รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่ได้ระบุสถานะของพรรคการเมืองไว้อย่างชัดเจน การเลือกตั้งครั้งแรกภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จัดขึ้นในปี ค.ศ. 2008 สมาชิกรัฐสภา (MPs) ได้รับเลือกจาก 55 เขตเลือกตั้ง (หรือที่เรียกว่า ทิงคุนด์ลา - tinkhundla) สมาชิกรัฐสภาเหล่านี้ดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 2013 ในปี ค.ศ. 2011 สวาซีแลนด์ประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจซึ่งเกิดจากการลดลงของรายได้จากสหภาพศุลกากรแอฟริกาตอนใต้ (SACU) เหตุการณ์นี้ทำให้รัฐบาลต้องขอสินเชื่อจากแอฟริกาใต้ แต่ไม่สามารถตกลงเงื่อนไขของสินเชื่อได้ ซึ่งรวมถึงการปฏิรูปทางการเมือง
ในช่วงเวลานี้ มีแรงกดดันเพิ่มขึ้นต่อรัฐบาลสวาซีให้ดำเนินการปฏิรูปมากขึ้น การประท้วงสาธารณะโดยองค์กรภาคประชาสังคมและสหภาพแรงงานกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 เป็นต้นมา การปรับปรุงรายได้จาก SACU ได้ช่วยลดแรงกดดันทางการคลังต่อรัฐบาลสวาซี รัฐสภาชุดใหม่ ซึ่งเป็นชุดที่สองนับตั้งแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ได้รับการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 2013 จากนั้นกษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งบาร์นาบัส ซีบูซีโซ ดลามีนี (Barnabas Sibusiso Dlamini) กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่สาม
3.4.1. การเปลี่ยนชื่อประเทศในปี 2018
เมื่อวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 2018 สมเด็จพระราชาธิบดีอึมสวาตีที่ 3 ได้ทรงประกาศว่าราชอาณาจักรสวาซีแลนด์ได้เปลี่ยนชื่อเป็นราชอาณาจักรเอสวาตินี ซึ่งสะท้อนถึงชื่อประเทศในภาษาสวาซีที่มีอยู่เดิมคือ เอสวาตินี (eSwatini) เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีแห่งเอกราชของสวาซี ชื่อ "เอสวาตินี" มีความหมายว่า "ดินแดนของชาวสวาซี" ในภาษาสวาซี และส่วนหนึ่งมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันความสับสนกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) ซึ่งมีชื่อคล้ายกัน
การเปลี่ยนชื่อประเทศได้รับการยอมรับจากนานาชาติ และองค์การสหประชาชาติได้ปรับปรุงชื่อประเทศในระบบของตนเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 2018 การตัดสินใจครั้งนี้มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยภายในประเทศ บางส่วนมองว่าเป็นการยืนยันอัตลักษณ์ของชาติและเป็นการปลดเปลื้องมรดกจากยุคอาณานิคม ในขณะที่บางส่วนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการปรึกษาหารืออย่างกว้างขวาง และเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมอื่น ๆ
3.4.2. การประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย ค.ศ. 2021-2023
ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค.ศ. 2021 เอสวาตินีได้เผชิญกับการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งใหญ่ทั่วประเทศ การประท้วงเหล่านี้เริ่มต้นขึ้นจากความไม่พอใจที่สั่งสมมานานหลายปีต่อการขาดการปฏิรูปที่มีความหมายเพื่อนำพาประเทศไปสู่ระบอบประชาธิปไตย รวมถึงรายงานการสั่งห้ามของรัฐบาลในการยื่นคำร้องเรียนของประชาชน จุดชนวนสำคัญเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2021 หลังจากการเสียชีวิตของนักศึกษากฎหมายชื่อ ทาบานี เอ็นโคโมนเย (Thabani Nkomonye) ซึ่งผู้ประท้วงกล่าวหาว่าตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้อง
การประท้วงได้บานปลายกลายเป็นความไม่สงบในบ้านเมือง มีการก่อจลาจล ปล้นสะดม และการปะทะกันบนท้องถนนระหว่างผู้ประท้วงกับตำรวจและทหาร อาคารหลายแห่งที่เชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกับสมเด็จพระราชาธิบดีอึมสวาตีที่ 3 ถูกผู้ประท้วงวางเพลิง และมีรายงานว่าตำรวจได้ทำร้ายและจับกุมฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง เดอะนิวยอร์กไทมส์ (The New York Times) เรียกเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลแห่งนี้ว่า "ความไม่สงบในบ้านเมืองที่รุนแรงที่สุดในรอบ 53 ปีแห่งเอกราช" มีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20-28 รายจากการปราบปรามของกองกำลังความมั่นคง และอีกหลายสิบคนได้รับบาดเจ็บและถูกควบคุมตัว
รัฐบาลตอบโต้ด้วยการใช้กำลังปราบปราม รวมถึงการประกาศใช้เคอร์ฟิว และสั่งปิดอินเทอร์เน็ต (โดยความร่วมมือจากผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ เช่น MTN และ Eswatini Mobile) ทำให้การเข้าถึงข่าวสารที่น่าเชื่อถือจากภายในประเทศเป็นไปได้ยาก มีข่าวลือว่ากษัตริย์ได้เสด็จหนีออกนอกประเทศ แต่เจ้าหน้าที่รัฐบาลได้ปฏิเสธข่าวดังกล่าว พร้อมทั้งเรียกร้องให้ยุติการประท้วง นายกรัฐมนตรีรักษาการ เทมบา มาซูกู (Themba Masuku) แถลงว่ากองทัพถูกเรียกเข้ามาเพื่อปกป้องโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของชาติและบังคับใช้กฎระเบียบเกี่ยวกับโควิด-19 โดยยืนยันว่าไม่ใช่การประกาศกฎอัยการศึก
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2021 ผู้บัญชาการกองทัพ เจฟฟรีย์ ชาบาลาลา (Jeffrey Shabalala) ได้ลาออกจากตำแหน่ง โดยมีรายงานว่าเนื่องมาจากการสั่งยิงผู้ประท้วง
การประท้วงเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับประเด็นการปกครอง สิทธิมนุษยชน และความต้องการการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่มากขึ้นของประชาชนในเอสวาตินี ประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงองค์กรสิทธิมนุษยชน ได้แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าวและเรียกร้องให้มีการเจรจาอย่างสันติและการเคารพสิทธิมนุษยชน ผลกระทบของการประท้วงยังคงดำเนินต่อไป และเป็นความท้าทายที่สำคัญต่อเสถียรภาพทางสังคมและการเมืองของประเทศ
4. ภูมิศาสตร์
เอสวาตินีเป็นประเทศขนาดเล็กที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ตั้งอยู่ในภูมิภาคแอฟริกาใต้ มีพื้นที่ประมาณ 17.36 K km2 มีอาณาเขตทางทิศเหนือ ทิศตะวันตก และทิศใต้ ติดกับประเทศแอฟริกาใต้ และทางทิศตะวันออกติดกับประเทศโมซัมบิก ประเทศมีความหลากหลายทางภูมิประเทศและภูมิอากาศ แม้ว่าจะมีขนาดเล็กก็ตาม
4.1. ลักษณะภูมิประเทศ

เอสวาตินีสามารถแบ่งออกเป็น 4 เขตภูมิศาสตร์หลัก ซึ่งทอดตัวจากเหนือจรดใต้และกำหนดโดยระดับความสูง:
1. ที่ราบสูงไฮเวลด์ (Highveld): ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก มีลักษณะเป็นเทือกเขาสูง มีระดับความสูงเฉลี่ยประมาณ 1.20 K m และเป็นที่ตั้งของเมืองหลวง อึมบาบานี (Mbabane)
2. ที่ราบกลางมิดเดิลเวลด์ (Middleveld): ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ มีระดับความสูงเฉลี่ย 700 m เหนือระดับน้ำทะเล เป็นเขตที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดของเอสวาตินี มีปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าเขตภูเขา เมืองสำคัญทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมอย่างมันซีนี (Manzini) ตั้งอยู่ในเขตนี้
3. ที่ราบต่ำโลว์เวลด์ (Lowveld): ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก มีระดับความสูงประมาณ 250 m มีประชากรเบาบางกว่าเขตอื่น ๆ และมีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าสะวันนาแบบแอฟริกัน ประกอบด้วยป่าละเมาะและทุ่งหญ้า
4. เทือกเขาลูบอมโบ (Lebombo Mountains): เป็นแนวสันเขาที่ทอดตัวตามแนวชายแดนด้านตะวันออกที่ติดกับโมซัมบิก มีระดับความสูงประมาณ 600 m เทือกเขานี้ถูกตัดผ่านด้วยหุบเขาลึกของแม่น้ำสามสาย ได้แก่ แม่น้ำอึงกวาวูมา (Ngwavuma River) แม่น้ำอูซูตูใหญ่ (Great Usutu River หรือ Lusutfu River) และแม่น้ำอึมบูลูซี (Mbuluzi River)
เอสวาตินีมีระบบนิเวศที่หลากหลาย ได้แก่ ป่าชายฝั่งมาปูตาแลนด์ (Maputaland coastal forest mosaic) ป่าไม้แซมเบเซียนและโมเพน (Zambezian and mopane woodlands) และทุ่งหญ้าและพุ่มไม้เขาสูงดราเคนส์เบิร์ก (Drakensberg montane grasslands)
4.2. ภูมิอากาศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เอสวาตินีแบ่งออกเป็นสี่เขตภูมิอากาศหลัก ได้แก่ ไฮเวลด์ มิดเดิลเวลด์ โลว์เวลด์ และที่ราบสูงลูบอมโบ โดยทั่วไปแล้ว ฝนจะตกส่วนใหญ่ในช่วงฤดูร้อน (ธันวาคมถึงมีนาคม) มักจะมาในรูปแบบของพายุฝนฟ้าคะนอง ฤดูหนาวเป็นฤดูแล้ง ปริมาณน้ำฝนรายปีสูงสุดในเขตไฮเวลด์ทางตะวันตก อยู่ระหว่าง 1.00 K mm ถึง 2.00 K mm ยิ่งไปทางตะวันออก ปริมาณน้ำฝนจะน้อยลง โดยเขตโลว์เวลด์มีปริมาณน้ำฝน 500 mm ถึง 900 mm ต่อปี ความผันแปรของอุณหภูมิยังเกี่ยวข้องกับระดับความสูงของแต่ละภูมิภาค อุณหภูมิในเขตไฮเวลด์จะอบอุ่นและไม่ค่อยร้อนจัด ในขณะที่เขตโลว์เวลด์อาจมีอุณหภูมิสูงถึงประมาณ 40 °C ในฤดูร้อน
อุณหภูมิเฉลี่ยที่อึมบาบานีตามฤดูกาล:
ฤดูใบไม้ผลิ | กันยายน-ตุลาคม | 18 °C |
ฤดูร้อน | พฤศจิกายน-มีนาคม | 20 °C |
ฤดูใบไม้ร่วง | เมษายน-พฤษภาคม | 17 °C |
ฤดูหนาว | มิถุนายน-สิงหาคม | 13 °C |
รัฐบาลเอสวาตินีได้แสดงความกังวลว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังซ้ำเติมความท้าทายทางสังคมที่มีอยู่ เช่น ความยากจน อัตราการระบาดของเชื้อเอชไอวีที่สูง และความไม่มั่นคงทางอาหาร และจะจำกัดความสามารถของประเทศในการพัฒนาอย่างมาก ตามวิสัยทัศน์ปี 2022 ในทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ส่งผลกระทบในทางลบต่อเอสวาตินีแล้ว ตัวอย่างเช่น ภัยแล้งในปี 2015-16 ทำให้การส่งออกน้ำตาลและหัวเชื้อน้ำอัดลม (สินค้าส่งออกทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของเอสวาตินี) ลดลง สินค้าส่งออกหลักจำนวนมากของเอสวาตินีเป็นวัตถุดิบทางการเกษตรและจึงมีความเปราะบางต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ผลกระทบเหล่านี้มักส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้เปราะบางมากที่สุด เช่น เกษตรกรรายย่อยและผู้ที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติในการดำรงชีวิต
4.3. ความหลากหลายทางชีวภาพและการอนุรักษ์

เอสวาตินีมีพื้นที่อนุรักษ์ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการซึ่งปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพอันอุดมสมบูรณ์ของประเทศ พื้นที่เหล่านี้คิดเป็นประมาณร้อยละ 5 ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศ เอสวาตินีมีสัตว์มีกระดูกสันหลังมากกว่า 820 ชนิด และพืชมากกว่า 2,400 ชนิด โดยมีหลายชนิดเป็นชนิดเฉพาะถิ่น (endemic species) ความหลากหลายนี้ชี้ให้เห็นว่าเอสวาตินีมีความสำคัญระดับโลกสำหรับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
การเสื่อมโทรมของที่ดินและการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินเป็นภัยคุกคามหลักต่อความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงการเกษตรแบบไร่ขนาดใหญ่ (ทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย) การถางป่า การแพร่กระจายของพืชต่างถิ่นและพืชรุกราน และการเก็บเกี่ยวทรัพยากรที่ไม่ยั่งยืน นอกจากนี้ยังพบเห็นการแบ่งแยกที่ดินออกเป็นผืนเล็กผืนน้อย (land fragmentation) อย่างชัดเจน
เอสวาตินีเป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity), อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) และกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change) มีกระทรวงหลักสามแห่งที่รับผิดชอบการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ ได้แก่ คณะกรรมาธิการทรัสต์แห่งชาติเอสวาตินี (Eswatini National Trust Commission - SNTC), หน่วยงานสิ่งแวดล้อมเอสวาตินี (Eswatini Environment Authority - EEA) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (Ministry of Agriculture and Cooperatives) นอกจากนี้ Big Game Parks ซึ่งเป็นหน่วยงานเอกชน ยังได้รับมอบหมายให้จัดการพระราชบัญญัติสัตว์ป่า (Game Act) ซึ่งควบคุมสัตว์ป่าและ CITES
มีพื้นที่คุ้มครองที่เป็นทางการ 6 แห่ง และไม่เป็นทางการมากกว่า 10 แห่งในประเทศ พื้นที่ที่ได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการ ได้แก่ เขตอนุรักษ์ธรรมชาติมาโลล็อตจา (Malolotja Nature Reserve), เขตอนุรักษ์ธรรมชาติมันเทนกา (Mantenga Nature Reserve), เขตอนุรักษ์ธรรมชาติมลาวูลา (Mlawula Nature Reserve), เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามลิลวาเน (Mlilwane Wildlife Sanctuary), เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอึมคายา (Mkhaya Game Reserve) และอุทยานแห่งชาติหลวงฮลาเน (Hlane Royal National Park) นอกจากนี้ยังมีเขตอนุรักษ์ธรรมชาติของเอกชนและชุมชนอีกหลายแห่ง รวมถึงบางแห่งที่มีโครงสร้างการกำกับดูแลแบบผสม เช่น เขตอนุรักษ์สัตว์ป่าดอมเบยา (Dombeya Game Reserve), เขตอนุรักษ์สัตว์ป่าอึมบูลูซี (Mbuluzi Game Reserve), เขตอนุรักษ์ธรรมชาติเชวูลา (Shewula Nature Reserve), เขตอนุรักษ์ธรรมชาติน้ำตกโพโพนยาเน (Phophonyane Falls Nature Reserve), รอยัลโจซินี (Royal Jozini), IYSIS (อินโยนี ยามี), เขตป่าสงวนอึงเกวมพิซี (Ngwempisi Wilderness), ซีเบเบ (Sibebe) และอื่น ๆ
ตั้งแต่ปี 2014 ถึง 2021 เอสวาตินีได้เข้าร่วมโครงการ "เสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบพื้นที่คุ้มครองแห่งชาติ" (Strengthening the National Protected Areas System - SNPAS) โครงการนี้พยายามที่จะเสริมสร้างผลลัพธ์ด้านการอนุรักษ์และขอบเขตการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศทั่วประเทศ
มีรายงานว่ามีนก 507 ชนิดในเอสวาตินี รวมถึง 11 ชนิดที่ถูกคุกคามทั่วโลก และ 4 ชนิดที่ถูกนำเข้ามา และมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 107 ชนิดที่เป็นสัตว์พื้นเมืองของเอสวาตินี รวมถึงแรดดำตอนใต้-ตอนกลาง (South-central black rhinoceros) ที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใกล้สูญพันธุ์หรือเปราะบางอีก 7 ชนิด เอสวาตินีอุดมสมบูรณ์ไปด้วยนกนานาชนิด รวมถึงอีแร้งแอฟริกาหลังขาว, อีแร้งหัวขาว, อีแร้งหน้าหงอน และอีแร้งเคป, นกล่าเหยื่อ เช่น เหยี่ยวอินทรีสงคราม, อินทรีห้อย และอินทรีเหยี่ยวปากยาว, และเป็นแหล่งทำรังทางใต้สุดของนกกระสาแอฟริกา
5. การเมืองการปกครอง
เอสวาตินีปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยมีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญและกฎหมายและจารีตประเพณีของชาวสวาซีเป็นพื้นฐาน ระบอบการปกครองนี้มีลักษณะเฉพาะที่พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจอย่างกว้างขวาง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการพัฒนาประชาธิปไตยและสิทธิพลเมืองในประเทศ สถานการณ์ทางการเมืองมักถูกครอบงำโดยสถาบันกษัตริย์ และมีการจำกัดการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนและพรรคการเมือง
5.1. รูปแบบการปกครองและสถาบันกษัตริย์

ประมุขแห่งรัฐคือพระมหากษัตริย์ หรือ อึงเกวนยามา (Ngwenyama - หมายถึง สิงโต) ซึ่งปัจจุบันคือ สมเด็จพระราชาธิบดีอึมสวาตีที่ 3 (Mswati III) ผู้เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 1986 หลังจากการสวรรคตของพระราชบิดาคือ สมเด็จพระราชาธิบดีซอบูซาที่ 2 ในปี ค.ศ. 1982 และช่วงเวลาของการสำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามรัฐธรรมนูญของประเทศ อึงเกวนยามะเป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีและความเป็นนิรันดร์ของชาติสวาซี
ตามประเพณี พระมหากษัตริย์ทรงปกครองร่วมกับพระราชชนนี (หรือผู้แทนตามพิธีกรรม) ซึ่งเรียกว่า อึนดลอวูคาตี (Ndlovukati - หมายถึง ช้างพัง) ในอดีต อึงเกวนยามะถูกมองว่าเป็นประมุขฝ่ายบริหารของรัฐ และอึนดลอวูคาตีเป็นประมุขฝ่ายจิตวิญญาณและแห่งชาติ โดยมีอำนาจที่แท้จริงในการคานอำนาจของกษัตริย์ แต่ในช่วงการครองราชย์อันยาวนานของพระเจ้าซอบูซาที่ 2 บทบาทของอึนดลอวูคาตีได้กลายเป็นสัญลักษณ์มากขึ้น
พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากสภานิติบัญญัติ และยังทรงแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาส่วนใหญ่และสมาชิกรัฐสภาส่วนน้อยในสภาล่างของลิบันด์ลา (รัฐสภา) โดยได้รับความช่วยเหลือจากสภาที่ปรึกษา รัฐธรรมนูญอนุญาตให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมาชิกรัฐสภาบางส่วนเพื่อเป็นตัวแทนผลประโยชน์พิเศษ ผลประโยชน์พิเศษเหล่านี้อาจเป็นพลเมืองที่อาจเคยเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่ไม่ได้รับเลือก หรืออาจไม่ได้ลงสมัครเป็นผู้สมัคร สิ่งนี้ทำขึ้นเพื่อสร้างความสมดุลของความคิดเห็นในรัฐสภา ผลประโยชน์พิเศษอาจเป็นบุคคลที่มีเพศหรือเชื้อชาติเฉพาะ บุคคลทุพพลภาพ สมาชิกคนสำคัญของชุมชนธุรกิจ ภาคประชาสังคม นักวิชาการ และหัวหน้าเผ่า
โครงสร้างรัฐบาลและการบริหารราชการแผ่นดินอยู่ภายใต้อิทธิพลของสถาบันกษัตริย์อย่างมาก การตัดสินใจที่สำคัญมักจะต้องได้รับความเห็นชอบจากพระมหากษัตริย์ ซึ่งทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความเป็นอิสระของฝ่ายบริหาร
5.2. รัฐสภา (ลิบันด์ลา)
รัฐสภาของเอสวาตินี หรือ ลิบันด์ลา (Libandla) เป็นระบบสองสภา ประกอบด้วย:
- วุฒิสภา (Senate): มีสมาชิก 30 ที่นั่ง โดย 10 ที่นั่งมาจากการแต่งตั้งโดยสภาผู้แทนราษฎร และอีก 20 ที่นั่งมาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ สมาชิกวุฒิสภามีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี
- สภาผู้แทนราษฎร (House of Assembly): มีสมาชิก 65 ที่นั่ง (ตามแหล่งข้อมูลบางแห่งอาจระบุจำนวนแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ปัจจุบันมีประมาณนี้) โดย 10 ที่นั่งมาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ และอีก 55 ที่นั่งมาจากการเลือกตั้งโดยคะแนนเสียงของประชาชน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี
การเลือกตั้งจัดขึ้นทุก ๆ 5 ปี หลังจากที่พระมหากษัตริย์ทรงมีพระบรมราชโองการให้ยุบรัฐสภา การเลือกตั้งครั้งล่าสุดจัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2023 การลงคะแนนเสียงเป็นไปในลักษณะที่ไม่แบ่งพรรคการเมือง เนื่องจากพรรคการเมืองไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจกรรมอย่างเป็นทางการในการเลือกตั้ง กระบวนการเลือกตั้งทั้งหมดอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการการเลือกตั้งและเขตแดน (Elections and Boundaries Commission)
แม้ว่าจะมีรัฐสภา แต่บทบาทและอำนาจที่แท้จริงของรัฐสภาในการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบริหารและสถาบันกษัตริย์นั้นมีจำกัดอย่างมากในระบบการเมืองปัจจุบัน พระมหากษัตริย์ยังคงมีอิทธิพลอย่างสูงเหนือกฎหมายและการตัดสินใจทางการเมืองที่สำคัญ
5.3. ฝ่ายตุลาการ
ระบบตุลาการในเอสวาตินีเป็นระบบคู่ขนาน รัฐธรรมนูญปี 2005 ได้จัดตั้งระบบศาลตามแบบตะวันตก ซึ่งประกอบด้วยศาลแขวงระดับภูมิภาค 4 แห่ง ศาลสูง (High Court) และศาลอุทธรณ์ (Supreme Court ซึ่งเป็นศาลสูงสุด) ศาลเหล่านี้มีความเป็นอิสระจากการควบคุมของสถาบันกษัตริย์ในทางทฤษฎี นอกจากนี้ยังมีศาลตามจารีตประเพณี (Swazi Courts หรือ Customary Courts) ซึ่งจัดการกับความผิดเล็กน้อยและการละเมิดกฎหมายและประเพณีดั้งเดิมของชาวสวาซี
ผู้พิพากษาได้รับการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ และบ่อยครั้งเป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากประเทศแอฟริกาใต้ ศาลฎีกาซึ่งมาแทนที่ศาลอุทธรณ์เดิม ประกอบด้วยประธานศาลฎีกาและผู้พิพากษาศาลฎีกาอีกอย่างน้อย 4 คน ศาลสูงประกอบด้วยประธานศาลฎีกา (ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานศาลสูงด้วย) และผู้พิพากษาศาลสูงอีกอย่างน้อย 4 คน
รายนามประธานศาลฎีกา (Chief Justices) ที่สำคัญ:
- ค.ศ. 1967-1970: เซอร์ ไอซาดอร์ วิกเตอร์ เอลแกน
- ค.ศ. 1998-2002: สแตนลีย์ ซาไปร์
- ค.ศ. 2002-2007: จาคอบัส อันนันเดล (รักษาการ)
- ค.ศ. 2007-2010: ริชาร์ด บันดา
- ค.ศ. 2010-2015: ไมเคิล ราโมดีเบดี
- ค.ศ. 2015-ปัจจุบัน: เบกี มาฟาลาลา
ประเด็นความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการยังคงเป็นข้อถกเถียงภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยมีการตั้งคำถามว่าฝ่ายตุลาการสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเป็นอิสระจากอิทธิพลทางการเมืองได้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะในคดีที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของรัฐหรือสถาบันกษัตริย์
5.4. การเลือกตั้งและพรรคการเมือง
ระบบการเลือกตั้งในเอสวาตินีมีลักษณะเฉพาะ โดยผู้สมัครลงรับเลือกตั้งในฐานะบุคคล ไม่ใช่ในนามพรรคการเมือง เนื่องจากพรรคการเมืองถูกห้ามดำเนินกิจกรรมอย่างเป็นทางการ แม้ว่ารัฐธรรมนูญปี 2005 จะไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนถึงการห้ามพรรคการเมือง แต่ในทางปฏิบัติ การเลือกตั้งยังคงเป็นแบบไม่แบ่งพรรค
กระบวนการเลือกตั้งเริ่มต้นด้วยการเสนอชื่อผู้สมัครในระดับหัวหน้าเผ่า (chiefdoms) ในวันเสนอชื่อ ผู้ได้รับการเสนอชื่อจะถูกยกมือสนับสนุน และผู้ได้รับการเสนอชื่อจะต้องตอบรับหรือปฏิเสธ หากตอบรับ จะต้องได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกอย่างน้อยสิบคนในเผ่า การเสนอชื่อนี้มีขึ้นสำหรับตำแหน่งสมาชิกรัฐสภา (Member of Parliament), หัวหน้าเขตเลือกตั้ง (Indvuna), และคณะกรรมการบริหารเขตเลือกตั้ง (Bucopho) จำนวนผู้ได้รับการเสนอชื่อขั้นต่ำคือสี่คนและสูงสุดคือสิบคน
การเลือกตั้งขั้นต้น (primary elections) ก็จัดขึ้นในระดับหัวหน้าเผ่าเช่นกัน โดยเป็นการลงคะแนนลับ ในระหว่างการเลือกตั้งขั้นต้น ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะมีโอกาสเลือกสมาชิกคณะกรรมการบริหาร (bucopho) สำหรับเผ่านั้น ๆ ผู้ที่ต้องการเป็นสมาชิกรัฐสภาและหัวหน้าเขตเลือกตั้งก็จะได้รับการเลือกตั้งจากแต่ละเผ่าเช่นกัน การเลือกตั้งขั้นที่สองและขั้นสุดท้าย (secondary and final elections) จะจัดขึ้นที่เขตเลือกตั้งต่าง ๆ ที่เรียกว่า ทิงคุนด์ลา (Tinkhundla) ผู้สมัครที่ชนะการเลือกตั้งขั้นต้นในระดับหัวหน้าเผ่าจะถือเป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อสำหรับการเลือกตั้งขั้นที่สองในระดับอินคุนด์ลาหรือเขตเลือกตั้ง ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อด้วยคะแนนเสียงข้างมากจะกลายเป็นผู้ชนะและได้เป็นสมาชิกรัฐสภาหรือหัวหน้าเขตเลือกตั้ง
การห้ามพรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมอย่างเป็นทางการและการเลือกตั้งแบบไม่แบ่งพรรคส่งผลกระทบอย่างมากต่อสิทธิทางการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน กลุ่มการเมืองที่ไม่เป็นทางการและองค์กรภาคประชาสังคมได้เรียกร้องให้มีการปฏิรูปเพื่อให้เกิดระบบหลายพรรคและการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงจำกัดกิจกรรมของกลุ่มเหล่านี้อย่างเข้มงวด สถานการณ์นี้เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่นำไปสู่การประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
6. การแบ่งเขตการปกครอง

เอสวาตินีแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 4 จังหวัด (regions) แต่ละจังหวัดบริหารงานโดยผู้บริหารส่วนภูมิภาค (Regional Administrator) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลาง จังหวัดต่าง ๆ ยังแบ่งย่อยออกเป็น ทิงคุนด์ลา (tinkhundla; เอกพจน์: inkhundla) ซึ่งเป็นหน่วยการปกครองท้องถิ่นแบบดั้งเดิม ปัจจุบันมีทิงคุนด์ลาทั้งหมด 55 แห่งทั่วประเทศ แต่ละอินคุนด์ลามีคณะกรรมการพัฒนา (bucopho) ที่มาจากการเลือกตั้งจากหัวหน้าเผ่าต่าง ๆ ในพื้นที่ โดยมีวาระ 5 ปี ประธานของบูโคโฟเรียกว่า "อินด์วูนา เย นคุนด์ลา" (indvuna ye nkhundla)
จังหวัดทั้งสี่ของเอสวาตินี ได้แก่:
จังหวัด | เมืองหลัก | พื้นที่ (ตร.กม.) | ประชากร (สำมะโน ค.ศ. 2017) |
---|---|---|---|
จังหวัดโฮโฮ (Hhohho) | อึมบาบานี (Mbabane) | 3,625.17 | 320,651 |
จังหวัดมันซีนี (Manzini) | มันซีนี (Manzini) | 4,093.59 | 355,945 |
จังหวัดลูบอมโบ (Lubombo) | ซีเตกี (Siteki) | 5,849.11 | 212,531 |
จังหวัดชีเซลเวนี (Shiselweni) | อึนลันกาโน (Nhlangano) | 3,786.71 | 204,111 |
โครงสร้างการบริหารส่วนท้องถิ่นยังแบ่งออกเป็นสภาเมืองและสภาชนบทตามระดับการพัฒนาของพื้นที่ สภาเมืองประกอบด้วยสภาเทศบาลนคร (city councils), สภาเทศบาลเมือง (town councils) และคณะกรรมการเมือง (town boards) โดยมีเมืองสำคัญที่ได้รับการประกาศเป็นเขตเมือง 12 แห่ง ซึ่งรวมถึงเมืองหลวงฝ่ายบริหาร อึมบาบานี และศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ มันซีนี ส่วนสภาชนบทคือทิงคุนด์ลานั่นเอง
7. กองทัพ

กองกำลังป้องกันตนเองอุมบุตโฟ เอสวาตินี (Umbutfo Eswatini Defence Force - UEDF) เป็นกองทัพของประเทศเอสวาตินี โดยมีภารกิจหลักในการรักษาความมั่นคงภายในประเทศ การป้องกันแนวชายแดน และการปฏิบัติหน้าที่ด้านศุลกากร กองทัพไม่เคยมีส่วนร่วมในความขัดแย้งระหว่างประเทศ
พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองกำลังป้องกันตนเอง และทรงเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมโดยตำแหน่ง กองกำลังป้องกันตนเองมีกำลังพลประมาณ 3,000 นาย โดยกองทัพบกเป็นหน่วยงานที่ใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ยังมีกองทัพอากาศขนาดเล็ก ซึ่งส่วนใหญ่ใช้สำหรับการขนส่งพระมหากษัตริย์ สินค้า และบุคลากร การสำรวจพื้นที่พร้อมปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัย และการระดมพลในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินระดับชาติ
งบประมาณกลาโหมของเอสวาตินีคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 5 ของงบประมาณแผ่นดินทั้งหมด บทบาทของกองทัพในการเมืองและความมั่นคงภายในประเทศมีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการประท้วงและความไม่สงบภายในประเทศ กองทัพมักถูกใช้เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและควบคุมสถานการณ์ ซึ่งบางครั้งนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ
8. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
นโยบายต่างประเทศพื้นฐานของเอสวาตินีมุ่งเน้นการรักษาความเป็นกลาง การไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐอื่น และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ เอสวาตินีเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศที่สำคัญหลายแห่ง เช่น องค์การสหประชาชาติ (UN), เครือจักรภพแห่งประชาชาติ, สหภาพแอฟริกา (AU), ตลาดร่วมแอฟริกาตะวันออกและใต้ (COMESA) และประชาคมเพื่อการพัฒนาแอฟริกาตอนใต้ (SADC) จุดยืนของเอสวาตินีในประเด็นสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และการพัฒนาในเวทีโลกมักจะสอดคล้องกับผลประโยชน์ของชาติและระบอบการปกครองปัจจุบัน ซึ่งบางครั้งอาจแตกต่างจากมุมมองของประเทศตะวันตกและองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
8.1. ความสัมพันธ์กับประเทศแอฟริกาใต้
เอสวาตินีมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและซับซ้อนกับประเทศแอฟริกาใต้เป็นอย่างมาก เนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ถูกล้อมรอบเกือบทั้งหมด และการพึ่งพาทางเศรษฐกิจอย่างสูง ประวัติศาสตร์ของทั้งสองประเทศมีความเกี่ยวพันกันมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงยุคการแบ่งแยกสีผิว (apartheid) ในแอฟริกาใต้ เอสวาตินีทำหน้าที่เป็นทั้งที่หลบภัยของนักกิจกรรมต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว และในขณะเดียวกันก็มีความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับรัฐบาลแอฟริกาใต้ในขณะนั้น
ปัจจุบัน ความร่วมมือหลักระหว่างสองประเทศครอบคลุมด้านการค้า การลงทุน การขนส่ง และการจัดการทรัพยากรน้ำ เอสวาตินีเป็นสมาชิกของสหภาพศุลกากรแอฟริกาตอนใต้ (SACU) ซึ่งมีแอฟริกาใต้เป็นสมาชิกรัฐสำคัญ และสกุลเงินลีลังเกนีของเอสวาตินีก็ผูกติดกับรันด์แอฟริกาใต้ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้ก็มีประเด็นที่อาจก่อให้เกิดความตึงเครียดได้ เช่น ปัญหาผู้ลี้ภัย การลักลอบขนสินค้า และบางครั้งมีความเห็นที่ไม่ตรงกันในประเด็นทางการเมืองระดับภูมิภาค นอกจากนี้ การพึ่งพาแอฟริกาใต้ทางเศรษฐกิจอย่างสูงทำให้เอสวาตินีมีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมืองในแอฟริกาใต้
8.2. ความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน)
เอสวาตินีเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในแอฟริกา (และเป็นประเทศเดียวในแอฟริกา ณ ปี 2024) ที่ยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) แทนที่จะเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน ความสัมพันธ์นี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1968 ซึ่งเป็นปีที่เอสวาตินีได้รับเอกราช ไต้หวันได้ให้ความช่วยเหลือแก่เอสวาตินีในหลายด้าน เช่น การเกษตร สาธารณสุข การศึกษา และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ความสัมพันธ์ทวิภาคีนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทั้งสองประเทศ โดยสำหรับเอสวาตินี ไต้หวันเป็นแหล่งความช่วยเหลือและการลงทุนที่สำคัญ ส่วนสำหรับไต้หวัน เอสวาตินีเป็นหนึ่งในพันธมิตรทางการทูตที่เหลืออยู่ไม่กี่แห่งที่ช่วยให้ไต้หวันยังคงมีบทบาทในเวทีระหว่างประเทศ แม้จะเผชิญแรงกดดันทางการทูตจากจีนแผ่นดินใหญ่ก็ตาม
8.3. ความสัมพันธ์กับประเทศอื่น ๆ และองค์การระหว่างประเทศ
นอกจากแอฟริกาใต้และไต้หวันแล้ว เอสวาตินียังมีความสัมพันธ์กับประเทศสำคัญอื่น ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งเป็นคู่ค้าและผู้ให้ความช่วยเหลือที่สำคัญ สหรัฐฯ ให้สิทธิพิเศษทางการค้าแก่เอสวาตินีภายใต้รัฐบัญญัติการเจริญเติบโตและโอกาสของแอฟริกา (AGOA) ขณะที่สหภาพยุโรปก็มีความร่วมมือในด้านการค้าและการพัฒนา
ในกรอบองค์การระหว่างประเทศ เอสวาตินีมีบทบาทอย่างแข็งขันในองค์การสหประชาชาติ (UN) โดยเข้าร่วมในหน่วยงานและโครงการต่าง ๆ ของ UN ในระดับภูมิภาค เอสวาตินีเป็นสมาชิกของสหภาพแอฟริกา (AU) และประชาคมเพื่อการพัฒนาแอฟริกาตอนใต้ (SADC) ซึ่งเป็นเวทีสำคัญสำหรับความร่วมมือทางการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคงในทวีปแอฟริกา นอกจากนี้ เอสวาตินียังเป็นสมาชิกของเครือจักรภพแห่งประชาชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอังกฤษ
9. เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของเอสวาตินีมีลักษณะผสมผสาน โดยมีภาคเกษตรกรรม การผลิต และบริการเป็นองค์ประกอบหลัก ประเทศพึ่งพาการค้ากับต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศแอฟริกาใต้ เศรษฐกิจโดยรวมยังคงเผชิญกับความท้าทายในด้านการกระจายรายได้ ความเหลื่อมล้ำที่สูง และผลกระทบจากปัญหาสังคม เช่น อัตราการติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ที่สูง ซึ่งส่งผลต่อผลิตภาพและกำลังแรงงาน
9.1. โครงสร้างและสถานะทางเศรษฐกิจ

ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของเอสวาตินีค่อนข้างเล็ก และรายได้ต่อหัวจัดอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับล่าง เศรษฐกิจของเอสวาตินีมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับเศรษฐกิจของประเทศแอฟริกาใต้ โดยมากกว่าร้อยละ 90 ของสินค้านำเข้ามาจากแอฟริกาใต้ และประมาณร้อยละ 70 ของสินค้าส่งออกส่งไปยังแอฟริกาใต้ เอสวาตินีเป็นสมาชิกของสหภาพศุลกากรแอฟริกาตอนใต้ (SACU) ซึ่งรายได้จากสหภาพนี้ถือเป็นสัดส่วนสำคัญของรายได้รัฐบาล
สกุลเงินของประเทศคือ ลีลังเกนี (Lilangeni, สัญลักษณ์: L; พหูพจน์: Emalangeni, สัญลักษณ์: E) ซึ่งผูกค่าเงินไว้กับรันด์แอฟริกาใต้ (South African Rand) ในอัตรา 1:1 และเงินรันด์ก็สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายในเอสวาตินี ระบบอัตราแลกเปลี่ยนนี้ช่วยสร้างเสถียรภาพทางการเงิน แต่ในขณะเดียวกันก็หมายความว่านโยบายการเงินของเอสวาตินีต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของแอฟริกาใต้
ธนาคารกลางแห่งเอสวาตินี (Central Bank of Eswatini) มีหน้าที่รับผิดชอบในการรักษาสเถียรภาพของราคาและส่งเสริมระบบการเงินที่มั่นคง
ความมั่งคั่งจำนวนมากในเอสวาตินีถือครองโดยรัฐและสถาบันกษัตริย์ รวมถึงที่ดินและบริษัทขนาดใหญ่ เช่น RES Corporation (Royal Eswatini Sugar) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของกษัตริย์ ทิบิโย ทาคา งวาเน (Tibiyo Taka Ngwane) โดยรัฐบาลเอสวาตินีถือหุ้นเพิ่มเติมอีก 6.5% การกระจุกตัวของความมั่งคั่งนี้เป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงระดับความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศ
9.2. อุตสาหกรรมหลัก
ภาคอุตสาหกรรมหลักของเอสวาตินีประกอบด้วยเกษตรกรรม การผลิต และภาคบริการ ซึ่งแต่ละภาคส่วนมีผลกระทบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และสิทธิแรงงานแตกต่างกันไป
9.2.1. เกษตรกรรมและป่าไม้
เกษตรกรรมเป็นภาคส่วนที่สำคัญในการจ้างงาน โดยประชากรส่วนใหญ่ยังคงประกอบอาชีพเกษตรกรรมเพื่อยังชีพ ผลิตผลทางการเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ อ้อย ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศ และผลไม้รสเปรี้ยว (citrus fruits) นอกจากนี้ยังมีข้าวโพดและข้าวฟ่างซึ่งเป็นธัญพืชหลักสำหรับการบริโภคภายในประเทศ การปลูกอ้อยส่วนใหญ่ดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่ (Title Deed Lands - TDLs) ซึ่งมีการลงทุนสูงและใช้ระบบชลประทาน ทำให้มีผลิตภาพสูง อย่างไรก็ตาม มีรายงานเกี่ยวกับประเด็นสิทธิแรงงานในอุตสาหกรรมอ้อย รวมถึงการบังคับขับไล่ชุมชนในชนบทเพื่อสร้างพื้นที่เพาะปลูก การใช้แรงงานเด็ก และสัปดาห์การทำงานที่ยาวนานถึง 60 ชั่วโมง สหพันธ์สหภาพแรงงานระหว่างประเทศ (ITUC) ได้กล่าวถึง "สภาพการทำงานที่หนักและไม่ถูกสุขลักษณะ ค่าจ้างที่ต่ำ และการปราบปรามอย่างรุนแรงต่อความพยายามใด ๆ ในการรวมตัวเป็นสหภาพ"
อุตสาหกรรมป่าไม้ก็มีความสำคัญ โดยมีการปลูกไม้สนและยูคาลิปตัสในพื้นที่สูง (Highveld) เพื่อผลิตไม้ซุงและเยื่อกระดาษ ประเด็นสิทธิของเกษตรกรรายย่อยและการเข้าถึงที่ดินยังคงเป็นความท้าทาย โดยที่ดินส่วนใหญ่ที่เรียกว่า Swazi Nation Land (SNL) ซึ่งเกษตรกรรายย่อยใช้ในการทำเกษตรเพื่อยังชีพ มักมีผลิตภาพต่ำและการลงทุนน้อย
9.2.2. การทำเหมืองแร่
ในอดีต เอสวาตินีเคยมีการผลิตแร่ธาตุสำคัญ เช่น แร่เหล็ก จากเหมืองอึงเกวนยา (Ngwenya Mine) ซึ่งเคยเป็นแหล่งรายได้สำคัญ แต่ปัจจุบันได้หมดสิ้นลงแล้ว และแร่ใยหิน (asbestos) ซึ่งการผลิตได้ลดลงอย่างมากเนื่องจากความกังวลด้านสุขภาพ ปัจจุบัน การทำเหมืองที่สำคัญคือถ่านหิน ซึ่งยังคงมีการดำเนินการอยู่ การทำเหมืองแร่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปนเปื้อนของแหล่งน้ำ และสุขภาพของคนงาน รวมถึงชุมชนท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ใกล้เหมือง
9.2.3. การผลิต
ภาคการผลิตของเอสวาตินีประกอบด้วยอุตสาหกรรมหลัก เช่น สิ่งทอ และการแปรรูปน้ำตาล อุตสาหกรรมสิ่งทอเคยเฟื่องฟูภายใต้สิทธิพิเศษทางการค้า เช่น AGOA ของสหรัฐฯ แต่ปัจจุบันเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น การผลิตน้ำตาลยังคงเป็นอุตสาหกรรมหลัก โดยมีการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ แนวโน้มการส่งออกและนำเข้าของภาคการผลิตโดยรวมมีความผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจโลกและนโยบายการค้า สภาพการจ้างงาน มาตรฐานแรงงาน และสิทธิของคนงานในภาคการผลิตเป็นประเด็นที่องค์กรแรงงานให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสิ่งทอซึ่งมักมีการจ้างงานสตรีเป็นจำนวนมาก
9.2.4. ภาคบริการ
ภาคบริการมีสัดส่วนที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจของเอสวาตินี ประกอบด้วยบริการภาครัฐ การเงิน การธนาคาร โทรคมนาคม และการท่องเที่ยว ภาครัฐเป็นนายจ้างรายใหญ่ที่สุด ภาคการเงินมีการพัฒนาในระดับหนึ่ง แต่ยังคงมีความเชื่อมโยงกับระบบการเงินของแอฟริกาใต้ การท่องเที่ยวมีศักยภาพในการเติบโต โดยมีจุดเด่นด้านธรรมชาติและวัฒนธรรม แต่ยังคงต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้น
9.3. ปัญหาและสิ่งท้าทายทางเศรษฐกิจ
เอสวาตินีเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจที่สำคัญหลายประการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและความสามารถในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน:
- ความยากจนและการว่างงาน: อัตราความยากจนยังคงอยู่ในระดับสูง โดยประชากรส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในเขตชนบท มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน อัตราการว่างงาน โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน ก็เป็นปัญหาสำคัญเช่นกัน
- ความเหลื่อมล้ำทางรายได้และทรัพย์สิน: เอสวาตินีเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางรายได้สูงที่สุดในโลก ความมั่งคั่งกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนจำนวนน้อย รวมถึงสถาบันกษัตริย์และชนชั้นสูง
- ผลกระทบของ HIV/AIDS: อัตราการติดเชื้อ HIV/AIDS ที่สูงมากส่งผลกระทบต่อกำลังแรงงาน ผลิตภาพ และเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขของประเทศ
- ความมั่นคงทางการคลัง: รัฐบาลพึ่งพารายได้จากสหภาพศุลกากรแอฟริกาใต้ (SACU) เป็นอย่างมาก ซึ่งมีความผันผวนและไม่แน่นอน นอกจากนี้ การใช้จ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะค่าจ้างข้าราชการและค่าใช้จ่ายของสถาบันกษัตริย์ ก็เป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์
- ผลิตภาพทางการเกษตรต่ำ: ในพื้นที่ Swazi Nation Land (SNL) ซึ่งเกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่ทำการเกษตรเพื่อยังชีพ ยังคงมีผลิตภาพต่ำ เนื่องจากขาดการลงทุน เทคโนโลยี และการเข้าถึงตลาด
- ภัยแล้งและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรมและความมั่นคงทางอาหาร
แนวทางการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ควรมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาที่ยั่งยืน การสร้างความเป็นธรรมทางสังคม การกระจายรายได้ที่เป็นธรรมมากขึ้น การเสริมสร้างศักยภาพของประชาชนผ่านการศึกษาและการพัฒนาทักษะ การส่งเสริมธรรมาภิบาลและความโปร่งใส และการลงทุนในภาคส่วนที่มีศักยภาพในการสร้างงานและรายได้ เช่น การเกษตรสมัยใหม่ การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมเบา
10. การคมนาคม
เครือข่ายการคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานในเอสวาตินีมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการเชื่อมโยโยงภายในประเทศและกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายในการพัฒนาให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ
10.1. ถนนและทางรถไฟ
เครือข่ายถนนในประเทศเอสวาตินีประกอบด้วยถนนสายหลักที่เชื่อมโยงเมืองสำคัญและเขตเศรษฐกิจต่าง ๆ รวมถึงเส้นทางที่เชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างแอฟริกาใต้และโมซัมบิก สภาพถนนโดยทั่วไปมีความแตกต่างกันไป โดยถนนสายหลักมักได้รับการบำรุงรักษาที่ดีกว่าถนนในชนบท
เส้นทางรถไฟของเอสวาตินีมีความยาวรวมประมาณ 301 km โดยมีบทบาทหลักในการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าผ่านแดนจากแอฟริกาเหนือไปยังท่าเรือเดอร์บันของแอฟริกาใต้ และการขนส่งถ่านหินและน้ำตาลเพื่อการส่งออก ทางรถไฟเชื่อมต่อกับระบบรางของแอฟริกาใต้และโมซัมบิก การขนส่งผู้โดยสารทางรถไฟมีจำกัด
10.2. การบิน
ท่าอากาศยานหลักของเอสวาตินีคือ ท่าอากาศยานนานาชาติสมเด็จพระราชาธิบดีอึมสวาตีที่ 3 (King Mswati III International Airport) ซึ่งเปิดให้บริการในปี ค.ศ. 2014 ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองมันซีนี ท่าอากาศยานแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อทดแทนท่าอากาศยานมัตซาฟา (Matsapha International Airport) ซึ่งมีข้อจำกัดด้านขนาดและความทันสมัย อย่างไรก็ตาม การก่อสร้างท่าอากาศยานใหม่แห่งนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการลงทุนที่เกินความจำเป็นเมื่อเทียบกับปริมาณการใช้งานที่คาดการณ์ไว้ เส้นทางบินหลักเชื่อมต่อเอสวาตินีกับเมืองสำคัญในภูมิภาค เช่น โจฮันเนสเบิร์กในแอฟริกาใต้ การขนส่งทางอากาศมีบทบาทในการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการค้าระหว่างประเทศ แต่ยังคงมีข้อจำกัดด้านปริมาณเที่ยวบินและจุดหมายปลายทาง
11. สังคม
สังคมเอสวาตินีมีลักษณะผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมดั้งเดิมที่เข้มแข็งกับอิทธิพลจากภายนอก ประเด็นด้านประชากรศาสตร์ กลุ่มชาติพันธุ์ ภาษา ศาสนา การศึกษา และสาธารณสุข ล้วนสะท้อนถึงความท้าทายและโอกาสในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความเท่าเทียมทางสังคม การเข้าถึงบริการพื้นฐาน และการดูแลสวัสดิภาพของกลุ่มผู้ด้อยโอกาสและเปราะบาง
11.1. ประชากรศาสตร์
ณ ปี ค.ศ. 2017 เอสวาตินีมีประชากรประมาณ 1.36 ล้านคน อัตราการเพิ่มของประชากรอยู่ที่ประมาณร้อยละ 1.2 ต่อปี โครงสร้างอายุของประชากรค่อนข้างเยาว์วัย โดยมีอายุมัธยฐานอยู่ที่ประมาณ 20.5 ถึง 22 ปี และประชากรที่มีอายุต่ำกว่า 14 ปี คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 35-37.5 ของประชากรทั้งหมด ความหนาแน่นของประชากรมีความแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค โดยเขตมิดเดิลเวลด์เป็นเขตที่มีประชากรหนาแน่นที่สุด การกระจายตัวของประชากรส่วนใหญ่อยู่ในเขตชนบท แม้ว่าจะมีแนวโน้มการอพยพเข้าสู่เขตเมืองเพิ่มมากขึ้น
เอสวาตินีมีอัตราการเกิดค่อนข้างสูง แต่ก็มีอัตราการตายสูงเช่นกัน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากอัตราการติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ที่สูง ทำให้การคาดหมายคงชีพ (life expectancy) ของประชากรอยู่ในระดับต่ำ ประมาณ 58-59 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการคาดหมายคงชีพต่ำที่สุดในโลก
11.1.1. เมืองสำคัญ
เมืองสำคัญในเอสวาตินี ได้แก่:
- อึมบาบานี (Mbabane): เป็นเมืองหลวงฝ่ายบริหาร ตั้งอยู่ในจังหวัดโฮโฮ มีประชากรประมาณ 76,000 - 95,000 คน (ข้อมูลจากการประมาณการต่าง ๆ) เป็นศูนย์กลางของหน่วยงานราชการและสถาบันการเงินหลายแห่ง
- มันซีนี (Manzini): เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ ตั้งอยู่ในจังหวัดมันซีนี มีประชากรประมาณ 110,000 คน เป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งที่สำคัญ
- อึนลันกาโน (Nhlangano): เป็นเมืองหลักของจังหวัดชีเซลเวนี
- ซีเตกี (Siteki): เป็นเมืองหลักของจังหวัดลูบอมโบ
- โลบัมบา (Lobamba): เป็นเมืองหลวงฝ่ายนิติบัญญัติและเป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวงและรัฐสภา แม้จะมีประชากรน้อยกว่าเมืองอื่น ๆ (ประมาณ 4,500 - 10,000 คน) แต่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยิ่ง
เมืองอื่น ๆ ที่มีความสำคัญรองลงมา ได้แก่ บิกเบนด์ (Big Bend), มัลเคินส์ (Malkerns), อึมลูเม (Mhlume), ลูตี (Hluti) และพิกส์พีก (Piggs Peak)
11.2. กลุ่มชาติพันธุ์
ประชากรส่วนใหญ่ของเอสวาตินีคือชาวสวาซี (Swazi) ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 82.3 ของประชากรทั้งหมด ชาวสวาซีเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ในตระกูลงูนี (Nguni) มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับชาวซูลูและชาวโคซา
กลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อยที่สำคัญ ได้แก่ ชาวซูลู (Zulu) ซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก และชาวซองกา (Tsonga) นอกจากนี้ยังมีประชากรผิวขาว (White Africans) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากชาวอังกฤษและชาวอาฟรีกาเนอร์ (Afrikaners) อาศัยอยู่ในประเทศ รวมถึงผู้ลี้ภัยชาวโมซัมบิกและผู้ตั้งถิ่นฐานชาวโปรตุเกสในอดีต
ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ โดยทั่วไปเป็นไปด้วยดี แม้ว่าชาวสวาซีจะเป็นกลุ่มที่มีบทบาทนำในทางการเมืองและสังคมก็ตาม
11.3. ภาษา
ภาษาราชการของเอสวาตินีคือ ภาษาสวาซี (siSwati) และภาษาอังกฤษ
- ภาษาสวาซี (siSwati): เป็นภาษาในกลุ่มภาษางูนี (Nguni) ตระกูลภาษาบันตู (Bantu languages) เป็นภาษาแม่ของประชากรส่วนใหญ่ และใช้กันอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวัน การศึกษา และสื่อสารมวลชน มีผู้พูดประมาณ 2.5 ล้านคนทั้งในเอสวาตินีและแอฟริกาใต้
- ภาษาอังกฤษ: ใช้เป็นสื่อกลางในการบริหารราชการ การศึกษา ธุรกิจ และสื่อสิ่งพิมพ์ เป็นภาษาที่สองสำหรับชาวสวาซีจำนวนมาก
ภาษาของชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ที่ใช้ในประเทศ ได้แก่ ภาษาซูลู (Zulu) ซึ่งมีผู้พูดประมาณ 76,000 คน และภาษาซองกา (Tsonga) ซึ่งมีผู้พูดประมาณ 19,000 คน นอกจากนี้ยังมีผู้พูดภาษาอาฟรีกานส์ (Afrikaans) ในกลุ่มผู้มีเชื้อสายอาฟรีกาเนอร์ และมีการริเริ่มสอนภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาที่สามในโรงเรียนบางแห่ง เนื่องจากมีชุมชนผู้พูดภาษาโปรตุเกสจากโมซัมบิกและโปรตุเกสอาศัยอยู่
11.4. ศาสนา
ประชากรส่วนใหญ่ของเอสวาตินีนับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 83-88 ของประชากรทั้งหมด ภายในกลุ่มผู้นับถือศาสนาคริสต์ นิกายที่สำคัญ ได้แก่:
- นิกายโปรเตสแตนต์ และคริสตจักรแอฟริกันพื้นเมือง (African Independent Churches) รวมถึงกลุ่มไซออนิสต์แอฟริกัน (African Zionist) ซึ่งมีผู้นับถือมากที่สุด (ประมาณร้อยละ 40)
- นิกายโรมันคาทอลิก มีผู้นับถือประมาณร้อยละ 6-20
ประมาณร้อยละ 10-15 ของประชากรยังคงนับถือความเชื่อดั้งเดิมของแอฟริกา (traditional African religions) ซึ่งมักจะผสมผสานกับการปฏิบัติทางศาสนาคริสต์ ศาสนาอื่น ๆ ที่มีผู้นับถือในจำนวนน้อย ได้แก่ ศาสนาอิสลาม (ประมาณร้อยละ 0.2-2), ศาสนาบาไฮ (ประมาณร้อยละ 0.5) และศาสนาฮินดู (ประมาณร้อยละ 0.2) นอกจากนี้ยังมีชุมชนชาวยิวขนาดเล็ก (ประมาณ 14 ครอบครัวในปี 2013)
ศาสนามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันและสังคมของชาวเอสวาตินี โดยเฉพาะศาสนาคริสต์ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อค่านิยมและบรรทัดฐานทางสังคม อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญของเอสวาตินีรับรองเสรีภาพในการนับถือศาสนา
11.5. การศึกษา

ระบบการศึกษาของเอสวาตินีครอบคลุมตั้งแต่ระดับปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษา จนถึงอุดมศึกษา
- ระดับปฐมวัย (Early Childhood Care and Education - ECCE): สำหรับเด็กอายุ 5 ปีหรือต่ำกว่า มีทั้งในรูปแบบโรงเรียนอนุบาลและศูนย์ดูแลเด็กในชุมชน ประมาณร้อยละ 21.6 ของเด็กในวัยนี้สามารถเข้าถึงการศึกษาปฐมวัยได้
- ระดับประถมศึกษา (Primary Education): เริ่มต้นเมื่ออายุ 6 ปี เป็นหลักสูตร 7 ปี สิ้นสุดด้วยการสอบวัดผลระดับประถมศึกษาในชั้นปีที่ 7 ซึ่งเป็นการประเมินผลระดับท้องถิ่นที่ดำเนินการโดยสภาการสอบผ่านโรงเรียนต่าง ๆ
- ระดับมัธยมศึกษา (Secondary and High School Education): เป็นหลักสูตร 5 ปี แบ่งออกเป็นมัธยมศึกษาตอนต้น 3 ปี และมัธยมศึกษาตอนปลาย 2 ปี มีการสอบวัดผลระดับชาติ (Junior Certificate) เมื่อสิ้นสุดระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งผู้เรียนต้องสอบผ่านเพื่อศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เมื่อสิ้นสุดระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ผู้เรียนจะเข้าสอบวัดผลระดับชาติ คือ Swaziland General Certificate of Secondary Education (SGCSE) และ International General Certificate of Secondary Education (IGCSE) ซึ่งได้รับการรับรองจาก Cambridge International Examination โรงเรียนบางแห่งเปิดสอนหลักสูตร Advanced Studies (AS)
เอสวาตินีมีโรงเรียนรัฐบาลประมาณ 830 แห่ง (รวมระดับประถม มัธยมต้น และมัธยมปลาย) และโรงเรียนเอกชนที่ได้รับการรับรอง 34 แห่ง (รวมถึงโรงเรียนเอกชนที่ไม่ได้รับการรับรองอีก 14 แห่ง) จังหวัดโฮโฮมีจำนวนโรงเรียนมากที่สุด การศึกษาในระดับประถมศึกษา (โดยเฉพาะชั้นปีที่ 1-4) ไม่เสียค่าใช้จ่าย และยังไม่เสียค่าใช้จ่ายสำหรับเด็กกำพร้าและเด็กเปราะบาง แต่ยังไม่เป็นการศึกษาภาคบังคับ อัตราการรู้หนังสือของประชากรโดยรวมอยู่ที่ประมาณร้อยละ 87 (ปี 2015) อัตราการเข้าเรียนในระดับประถมศึกษาในปี 1996 อยู่ที่ร้อยละ 90.8 และมีความเท่าเทียมกันทางเพศในระดับนี้
หนึ่งในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงคือ โรงเรียนวอเตอร์ฟอร์ด คัมห์ลาบา (Waterford Kamhlaba United World College of Southern Africa) ก่อตั้งขึ้นในปี 1963 เป็นโรงเรียนนานาชาติแห่งแรกในแอฟริกาใต้ที่รับนักเรียนหลายเชื้อชาติ และได้เข้าร่วมขบวนการ United World Colleges ในปี 1981
11.5.1. การศึกษาระดับอุดมศึกษา
สถาบันอุดมศึกษาหลักในเอสวาตินี ได้แก่:
- มหาวิทยาลัยเอสวาตินี (University of Eswatini - UNESWA): ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1982 เป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติ มีวิทยาเขตหลักที่ควาลูเซนี (Kwaluseni) และวิทยาเขตย่อยที่อึมบาบานีและลูเยนโก (Luyengo)
- มหาวิทยาลัยนาซารีนแห่งแอฟริกาตอนใต้ (Southern African Nazarene University - SANU): ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2010 จากการรวมตัวของวิทยาลัยพยาบาลนาซารีน วิทยาลัยเทววิทยา และวิทยาลัยครูนาซารีน ตั้งอยู่ที่มันซีนี
- มหาวิทยาลัยการแพทย์คริสเตียนเอสวาตินี (Eswatini Medical Christian University - EMCU): ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2012 เน้นการศึกษาด้านการแพทย์ ตั้งอยู่ที่อึมบาบานี
- มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสร้างสรรค์ลิมคอกวิง (Limkokwing University of Creative Technology): มีวิทยาเขตที่ซิตวาชินี (Sidvwashini) ใกล้อึมบาบานี เปิดดำเนินการในปี ค.ศ. 2012
นอกจากนี้ยังมีวิทยาลัยครู เช่น Ngwane Teacher's College และ William Pitcher College และสถาบันฝึกอบรมด้านเทคนิคและอาชีวศึกษา เช่น วิทยาลัยเทคโนโลยีเอสวาตินี (Eswatini College of Technology - SCOT), สถาบันฝึกอบรมอาชีวศึกษาและการพาณิชย์กวามิเล (Gwamile Vocational and Commercial Training Institute - GVCTI) ที่มัตซาฟา (Matsapha), ศูนย์ฝึกอบรมอุตสาหกรรมมันซีนี (Manzini Industrial and Training Centre - MITC), ศูนย์ฝึกอบรมทักษะการเกษตรอึนลันกาโน (Nhlangano Agricultural Skills Training Centre) และศูนย์ฝึกอบรมอุตสาหกรรมซีเตกี (Siteki Industrial Training Centre) สถาบันอื่น ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ สถาบันการจัดการและรัฐประศาสนศาสตร์เอสวาตินี (Eswatini Institute of Management and Public Administration - SIMPA) และสถาบันการจัดการการพัฒนา (Institute of Development Management - IDM)
ความท้าทายในการพัฒนาคุณภาพและการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมยังคงเป็นประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลและสำหรับกลุ่มผู้ด้อยโอกาส
11.6. สาธารณสุข
เอสวาตินีเผชิญกับความท้าทายด้านสาธารณสุขที่สำคัญหลายประการ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเป็นอยู่และพัฒนาการของประชากร
- การคาดหมายคงชีพ (Life Expectancy): อยู่ในระดับต่ำมาก ประมาณ 58-59 ปี (ข้อมูลปี 2018) ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการคาดหมายคงชีพต่ำที่สุดในโลก สาเหตุหลักมาจากอัตราการติดเชื้อ HIV/AIDS ที่สูง
- อัตราการตายของทารก (Infant Mortality Rate): ยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ว่าจะมีความพยายามในการปรับปรุงบริการสุขภาพแม่และเด็ก
- สถานพยาบาล: มีโรงพยาบาลและคลินิกกระจายอยู่ทั่วประเทศ แต่ยังคงขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ อุปกรณ์ และยาที่จำเป็น โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท โรงพยาบาลกู๊ดเชพเพิร์ด (Good Shepherd Hospital) ในซีเตกี เป็นหนึ่งในสถานพยาบาลที่สำคัญ
- โรคสำคัญ: นอกจาก HIV/AIDS แล้ว วัณโรค (Tuberculosis - TB) ก็เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญเช่นกัน โดยมักพบร่วมกับการติดเชื้อ HIV โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง ก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
- การเข้าถึงบริการสุขภาพ: การเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ยังไม่เท่าเทียมกัน กลุ่มผู้ยากจนและผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลมักประสบปัญหาในการเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ
- ความท้าทายของระบบสาธารณสุข: ระบบสาธารณสุขยังคงเผชิญกับข้อจำกัดด้านงบประมาณ การบริหารจัดการ และทรัพยากรมนุษย์
11.6.1. สถานการณ์ HIV/AIDS
เอสวาตินีมีอัตราการติดเชื้อ เอชไอวี/เอดส์ (HIV/AIDS) สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จากข้อมูลปี 2019 ประมาณร้อยละ 27.1 ของประชากรวัยผู้ใหญ่ (อายุ 15-49 ปี) ติดเชื้อ HIV สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทุกภาคส่วนของสังคมและเศรษฐกิจ รวมถึง:
- ผลกระทบทางสังคม: จำนวนเด็กกำพร้าเพิ่มสูงขึ้น ครอบครัวแตกแยก และภาระในการดูแลผู้ป่วยเพิ่มขึ้น
- ผลกระทบทางเศรษฐกิจ: การสูญเสียกำลังแรงงาน ผลิตภาพลดลง และค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้น
- ความพยายามในการป้องกันและรักษา: รัฐบาลเอสวาตินีร่วมกับประชาคมระหว่างประเทศได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ HIV และให้การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ARV) แก่ผู้ติดเชื้อ ซึ่งช่วยลดอัตราการเสียชีวิตและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงการรักษาและการป้องกันยังคงเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่เปราะบาง
12. สิทธิมนุษยชน
สถานการณ์สิทธิมนุษยชนโดยรวมในเอสวาตินีเป็นประเด็นที่น่ากังวลและถูกจับตามองจากองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในระดับชาติและนานาชาติอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีข้อจำกัดสำคัญเกี่ยวกับเสรีภาพทางการเมือง การแสดงออก การชุมนุม และการรวมกลุ่ม
- เสรีภาพทางการเมือง: พรรคการเมืองถูกห้ามดำเนินกิจกรรมอย่างเป็นทางการ และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนมีจำกัดอย่างมาก การเลือกตั้งจัดขึ้นในระบบที่ไม่เอื้อต่อการแข่งขันอย่างแท้จริง และผู้สมัครส่วนใหญ่ต้องลงในนามอิสระ
- เสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุม: การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์และรัฐบาลเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและอาจนำไปสู่การคุกคามหรือการจับกุม การชุมนุมโดยสงบมักถูกจำกัดหรือสลายตัวโดยเจ้าหน้าที่รัฐ
- การเรียกร้องประชาธิปไตยและการตอบสนองของรัฐบาล: ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตั้งแต่ปี ค.ศ. 2021 ได้เกิดการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยและการปฏิรูปทางการเมืองครั้งใหญ่ รัฐบาลได้ตอบโต้ด้วยการใช้กำลังปราบปราม ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิต บาดเจ็บ และการจับกุมผู้ประท้วงจำนวนมาก มีรายงานการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุโดยกองกำลังความมั่นคง และการจำกัดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพื่อควบคุมข้อมูลข่าวสาร
- การประเมินและข้อเสนอแนะ: องค์กรสิทธิมนุษยชน เช่น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และ ฮิวแมนไรตส์วอตช์ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลเอสวาตินีเคารพสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ยุติการใช้ความรุนแรงต่อผู้ประท้วง อนุญาตให้มีการแสดงออกและการรวมกลุ่มอย่างเสรี และดำเนินการปฏิรูปทางการเมืองเพื่อเปิดพื้นที่ประชาธิปไตยมากขึ้น
ประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนในเอสวาตินี ได้แก่ สิทธิสตรี ความรุนแรงในครอบครัว สิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ และสิทธิแรงงาน ซึ่งยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ
13. ความปลอดภัยสาธารณะ
สถานการณ์ความปลอดภัยสาธารณะในเอสวาตินีมีความท้าทายหลายประการ อัตราอาชญากรรมโดยทั่วไปถือว่าค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ประเภทอาชญากรรมที่พบบ่อย ได้แก่ การลักทรัพย์ การปล้นทรัพย์ การงัดแงะบ้านเรือน และการโจรกรรมรถยนต์ โดยเฉพาะในเขตเมืองและพื้นที่ท่องเที่ยว
นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในเวลากลางคืน และหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่เปลี่ยวหรือที่ไม่คุ้นเคยตามลำพัง การโจรกรรมทรัพย์สินจากรถยนต์ที่จอดอยู่ก็เป็นปัญหาที่พบบ่อยเช่นกัน
ความขัดแย้งทางการเมืองและการประท้วงที่เกิดขึ้นเป็นระยะ โดยเฉพาะในช่วงปี 2021-2023 สามารถนำไปสู่สถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัยได้ โดยอาจมีการปะทะกันระหว่างผู้ประท้วงและกองกำลังความมั่นคง การปิดถนน และการหยุดชะงักของบริการต่าง ๆ
หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของเอสวาตินีพยายามรักษาความสงบเรียบร้อยและปราบปรามอาชญากรรม แต่ยังคงเผชิญกับข้อจำกัดด้านทรัพยากรและการฝึกอบรม ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การค้ายาเสพติด การลักลอบค้าอาวุธ และการโจรกรรมรถยนต์ข้ามแดน โดยเฉพาะบริเวณชายแดนที่ติดกับแอฟริกาใต้และโมซัมบิก ก็เป็นความท้าทายสำคัญต่อความปลอดภัยสาธารณะ
14. วัฒนธรรม
วัฒนธรรมของเอสวาตินีมีความโดดเด่นและหยั่งรากลึกในประเพณีดั้งเดิมของชาวสวาซี ซึ่งยังคงได้รับการสืบทอดและปฏิบัติกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน โครงสร้างสังคมแบบดั้งเดิม ขนบธรรมเนียมประเพณี เทศกาล ศิลปะ และกีฬา ล้วนสะท้อนถึงอัตลักษณ์ของชาติ
14.1. สังคมและวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม
สังคมสวาซีแบบดั้งเดิมมีหน่วยพื้นฐานคือ โฮมสเตด (homestead) ซึ่งเป็นกลุ่มบ้านเรือนที่สร้างขึ้นในลักษณะกระท่อมรังผึ้ง (beehive huts) มุงด้วยหญ้าแห้ง ในครอบครัวที่มีภรรยาหลายคน (polygamous homestead) ภรรยาแต่ละคนจะมีกระท่อมและลานส่วนตัวล้อมรอบด้วยรั้วต้นอ้อ ภายในโฮมสเตดมักมีโครงสร้างสำหรับนอนหลับ ทำอาหาร และเก็บของ (รวมถึงการหมักเบียร์) โฮมสเตดขนาดใหญ่อาจมีส่วนสำหรับชายหนุ่มโสดและที่พักสำหรับแขก
ศูนย์กลางของโฮมสเตดแบบดั้งเดิมคือ คอกวัว (cattle byre หรือ kraal) ซึ่งเป็นพื้นที่วงกลมล้อมรอบด้วยท่อนซุงขนาดใหญ่แทรกด้วยกิ่งไม้ คอกวัวมีความสำคัญทั้งในทางพิธีกรรมและในทางปฏิบัติ โดยเป็นแหล่งเก็บความมั่งคั่งและสัญลักษณ์ของเกียรติภูมิ ภายในคอกวัวมักมีหลุมเก็บเมล็ดธัญพืชที่ปิดสนิท หันหน้าเข้าหาคอกวัวคือกระท่อมใหญ่ (great hut) ซึ่งเป็นที่อยู่ของมารดาของหัวหน้าครอบครัว
หัวหน้าครอบครัว (headman) มีบทบาทสำคัญในทุกกิจการของโฮมสเตด และมักจะมีภรรยาหลายคน เขาเป็นผู้นำด้วยการเป็นแบบอย่างและให้คำแนะนำแก่ภรรยาในเรื่องต่าง ๆ ของบ้าน รวมถึงดูแลความเป็นอยู่ของครอบครัว นอกจากนี้ เขายังใช้เวลาในการสังสรรค์กับเด็กชาย ซึ่งมักจะเป็นลูกหลานหรือญาติสนิท เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับความคาดหวังของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ซังโกมา (Sangoma) คือหมอพื้นบ้านและผู้ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อดั้งเดิม ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากบรรพบุรุษของครอบครัวนั้น ๆ การฝึกฝนเพื่อเป็นซังโกมาเรียกว่า "เกว็ตวาซา" (kwetfwasa) เมื่อสิ้นสุดการฝึกฝน จะมีพิธีสำเร็จการศึกษาซึ่งซังโกมาในท้องถิ่นจะมารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองและเต้นรำ ผู้คนจะปรึกษาซังโกมาด้วยเหตุผลต่าง ๆ เช่น การหาสาเหตุของความเจ็บป่วยหรือแม้กระทั่งความตาย การวินิจฉัยของซังโกมาอาศัย "คูบูลา" (kubhula) ซึ่งเป็นกระบวนการสื่อสารกับพลังเหนือธรรมชาติผ่านสภาวะเข้าฌาน ส่วน อินยังกา (Inyanga) คือผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และเภสัชกรรมตามแบบตะวันตก ซึ่งมีความสามารถในการทอดกระดูก ("คูชายา เอมัตซัมโบ" - kushaya ematsambo) เพื่อหาสาเหตุของความเจ็บป่วย
การมีภรรยาหลายคน (polygamy) ยังคงเป็นที่ยอมรับในสังคมเอสวาตินี แม้ว่าจะมีแนวโน้มลดลงในกลุ่มคนรุ่นใหม่และผู้ที่อาศัยอยู่ในเมือง พระเจ้าอึมสวาตีที่ 3 องค์ปัจจุบันก็ทรงมีพระมเหสีหลายพระองค์ เช่นเดียวกับสมเด็จพระราชาธิบดีซอบูซาที่ 2 อดีตกษัตริย์ซึ่งทรงมีพระมเหสีถึง 70 พระองค์ และมีพระราชโอรสธิดารวม 210 พระองค์
14.2. เทศกาลสำคัญ
เอสวาตินีมีเทศกาลประเพณีที่สำคัญระดับชาติหลายเทศกาล ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมและความเชื่อของชาวสวาซี เทศกาลที่สำคัญที่สุดสองเทศกาล ได้แก่:
- อิงวาลา (Incwala หรือ Kingship Ceremony): เป็นพิธีบวงสรวงกษัตริย์และถือเป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดทางวัฒนธรรม จัดขึ้นในวันที่สี่หลังจากวันพระจันทร์เต็มดวงที่ใกล้ที่สุดกับวันที่กลางวันยาวนานที่สุด (ประมาณวันที่ 21 ธันวาคม) มักแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า "พิธีแรกผล" (first fruits ceremony) แต่การที่กษัตริย์ทรงชิมพืชผลใหม่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพิธีกรรมอันยาวนานนี้เท่านั้น อิงวาลาควรแปลว่า "พิธีแห่งความเป็นกษัตริย์" (Kingship Ceremony) มากกว่า หากไม่มีกษัตริย์ ก็จะไม่มีพิธีอิงวาลา และถือเป็นความผิดหากบุคคลอื่นใดจัดพิธีอิงวาลา ชาวสวาซีทุกคนสามารถเข้าร่วมในส่วนที่เป็นสาธารณะของพิธีได้ วันที่สี่ของพิธีอิงวาลาใหญ่ (Big Incwala) ถือเป็นจุดสุดยอดของงาน บุคคลสำคัญในพิธี ได้แก่ กษัตริย์, พระราชชนนี (Ndlovukati), พระมเหสีและพระราชโอรสธิดา, ผู้ว่าราชการ (indunas), หัวหน้าเผ่า, กองทหาร และ "เบมันตี" (bemanti) หรือ "คนแห่งน้ำ"
- อุมลังกา (Umhlanga หรือ Reed Dance): เป็นพิธีระบำกก ซึ่งเป็นเทศกาลที่รู้จักกันดีที่สุดของเอสวาตินี จัดขึ้นเป็นเวลาแปดวันในช่วงปลายเดือนสิงหาคมหรือต้นเดือนกันยายน หญิงสาวพรหมจรรย์ที่ยังไม่มีบุตรจะตัดต้นอ้อ นำไปถวายแด่พระราชชนนี จากนั้นจึงเต้นรำโดยเปลือยอก วัตถุประสงค์ของพิธีนี้คือเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของหญิงสาว เป็นการถวายแรงงานแด่พระราชชนนี และเพื่อส่งเสริมความสามัคคีจากการทำงานร่วมกัน ราชวงศ์จะแต่งตั้งหญิงสาวสามัญชนคนหนึ่งให้เป็น "อินดูนา" (induna) หรือหัวหน้าของกลุ่มหญิงสาว และเธอจะเป็นผู้ประกาศวันจัดพิธีประจำปีทางวิทยุ อินดูนาที่ได้รับเลือกจะต้องเป็นนักเต้นที่เชี่ยวชาญและมีความรู้เกี่ยวกับพิธีการในราชสำนัก หนึ่งในพระราชธิดาของกษัตริย์จะทำหน้าที่เป็นคู่ของเธอในระหว่างพิธี ระบำกกในปัจจุบันไม่ใช่พิธีโบราณ แต่เป็นการพัฒนามาจากประเพณีดั้งเดิมที่เรียกว่า "อุมชวาโช" (umchwasho) ซึ่งหญิงสาวทุกคนจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มอายุหญิง หากหญิงสาวคนใดตั้งครรภ์นอกสมรส ครอบครัวของเธอจะต้องจ่ายค่าปรับเป็นวัวหนึ่งตัวให้แก่หัวหน้าเผ่าในท้องถิ่น หลังจากผ่านไปหลายปี เมื่อหญิงสาวถึงวัยสมควรแก่การแต่งงาน พวกเธอจะทำงานรับใช้พระราชชนนี สิ้นสุดด้วยการเต้นรำและงานเลี้ยง เอสวาตินีอยู่ภายใต้พิธีกรรม "อุมชวาโช" จนถึงปี ค.ศ. 2005
เทศกาลเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการสืบทอดประเพณี แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญที่ชาวสวาซีจะมารวมตัวกันเพื่อแสดงความเคารพต่อสถาบันกษัตริย์และเฉลิมฉลองวัฒนธรรมของตน
14.3. ศิลปะและหัตถกรรม
เอสวาตินีมีชื่อเสียงในด้านศิลปะและหัตถกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวสวาซี งานหัตถกรรมที่สำคัญ ได้แก่:
- งานแกะสลักไม้: มีการแกะสลักไม้เป็นรูปทรงต่าง ๆ ทั้งของใช้ในชีวิตประจำวันและของตกแต่ง
- เครื่องปั้นดินเผา: เป็นงานฝีมือดั้งเดิมที่สืบทอดกันมา
- ลูกปัด: การร้อยลูกปัดเป็นเครื่องประดับและของตกแต่งเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยมีลวดลายและสีสันที่เป็นเอกลักษณ์
ธุรกิจหัตถกรรมที่เป็นทางการในเอสวาตินีมีการจ้างงานมากกว่า 2,500 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสตรี ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีความหลากหลาย ตั้งแต่ของใช้ในบ้าน ของตกแต่งทางศิลปะ ไปจนถึงงานศิลปะที่ซับซ้อนจากแก้ว หิน หรือไม้
ดนตรีและการเต้นรำแบบดั้งเดิมเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมสวาซี และมักแสดงในงานเทศกาลและพิธีกรรมต่าง ๆ เครื่องดนตรีพื้นเมืองและการขับร้องเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
วรรณกรรมสมัยใหม่ของเอสวาตินีก็มีการพัฒนาเช่นกัน โดยมีนักเขียนที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น กลาดิส โลมาฟู พาโต (Gladys Lomafu Pato), ซาราห์ อึมคอนซา (Sarah Mkhonza), แพทริเซีย แม็คฟาดเดน (Patricia McFadden) และเรจินา ทวาลา (Regina Twala) ซาราห์ อึมคอนซา ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ไม่เพียงแต่เป็นนักเขียนเท่านั้น แต่ยังเป็นนักการศึกษาและนักกิจกรรมด้านสิทธิสตรีอีกด้วย
กิจกรรมทางศิลปะแขนงต่าง ๆ เช่น การวาดภาพ การปั้น และการทอผ้า ก็ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
14.4. กีฬา
กีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเอสวาตินีคือ ฟุตบอล ลีกฟุตบอลอาชีพของประเทศคือ เอสวาตินีพรีเมียร์ลีก (Premier League of Eswatini) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1972 ฟุตบอลทีมชาติเอสวาตินียังไม่เคยผ่านเข้ารอบสุดท้ายของฟุตบอลโลกหรือแอฟริกาคัพออฟเนชันส์
กีฬาอื่น ๆ ที่มีการเล่นกัน ได้แก่ คริกเกต และรักบี้ยูเนียน สนามกีฬาแห่งชาติซอมโฮโลโล (Somhlolo National Stadium) เป็นสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
เอสวาตินีส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1972 แต่ยังไม่เคยได้รับเหรียญรางวัล อย่างไรก็ตาม ประเทศเคยได้รับเหรียญรางวัลในกีฬามวยสากลและมาราธอนในการแข่งขันกีฬาเครือจักรภพ
15. การท่องเที่ยว
เอสวาตินีมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว โดยมีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลายทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรม
- แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ: ได้แก่ เขตอนุรักษ์สัตว์ป่าต่าง ๆ เช่น อุทยานแห่งชาติหลวงฮลาเน (Hlane Royal National Park) ซึ่งเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าหลากหลายชนิด รวมถึงสิงโต ช้าง และแรด, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามลิลวาเน (Mlilwane Wildlife Sanctuary) ซึ่งเหมาะสำหรับการเดินป่าและชมสัตว์, และเขตอนุรักษ์ธรรมชาติมาโลล็อตจา (Malolotja Nature Reserve) ที่มีทิวทัศน์ภูเขาสวยงามและเส้นทางเดินป่าที่ท้าทาย นอกจากนี้ยังมีน้ำตก เช่น น้ำตกมันเทนกา (Mantenga Falls) และทัศนียภาพของหุบเขาเอซุลวินี (Ezulwini Valley) หรือ "หุบเขาสวรรค์"
- แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม: นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมหมู่บ้านวัฒนธรรม (cultural villages) เพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตและประเพณีของชาวสวาซี รวมถึงชมการแสดงระบำพื้นเมืองและงานหัตถกรรม เทศกาลประเพณีที่สำคัญ เช่น อุมลังกา (ระบำกก) และอิงวาลา (พิธีบวงสรวงกษัตริย์) ก็เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวอย่างมาก
- อุทยานแห่งชาติ: นอกจากอุทยานแห่งชาติหลวงฮลาเนแล้ว ยังมีพื้นที่คุ้มครองอื่น ๆ ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในเอสวาตินีเริ่มพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ประเทศแอฟริกาใต้ยังคงอยู่ภายใต้นโยบายการแบ่งแยกสีผิว (apartheid) โดยดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยนโยบายที่แตกต่างจากแอฟริกาใต้ในขณะนั้น เช่น การอนุญาตให้มีสถานบันเทิงและกาสิโน จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจาก 89,015 คนในปี 1972 เป็น 257,997 คนในปี 1989 อย่างไรก็ตาม หลังจากการสิ้นสุดของนโยบายการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ การเติบโตของการท่องเที่ยวในเอสวาตินีชะลอตัวลง เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านเริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น
ปัจจุบัน เอสวาตินีเน้นส่งเสริมวัฒนธรรมดั้งเดิมและสถานะความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์แห่งสุดท้ายในอนุภูมิภาคแอฟริกาใต้เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว คณะกรรมการการท่องเที่ยวเอสวาตินี (Eswatini Tourism Board) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2003 มีบทบาทในการส่งเสริมงานเฉลิมฉลองของราชวงศ์และอุทยานสัตว์ป่า ในปี 2006 เอสวาตินีได้เข้าร่วมข้อตกลงเส้นทางลูบอมโบ (Lubombo Route) กับแอฟริกาใต้และโมซัมบิก ซึ่งอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินทางข้ามพรมแดนระหว่างสามประเทศได้ด้วยวีซ่าเดียว
ความพยายามในการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนกำลังดำเนินไป โดยคำนึงถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม ควบคู่ไปกับการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้แก่ชุมชนท้องถิ่น
16. สื่อมวลชน
สถานะของสื่อมวลชนในเอสวาตินีสะท้อนให้เห็นถึงสภาพแวดล้อมทางการเมืองและสังคมของประเทศ ซึ่งปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สื่อมวลชนหลักในประเทศประกอบด้วย:
- หนังสือพิมพ์: มีทั้งหนังสือพิมพ์ที่ดำเนินการโดยรัฐและเอกชน เช่น Times of Swaziland และ Eswatini Observer เนื้อหาของหนังสือพิมพ์มักจะถูกควบคุมหรือเซ็นเซอร์ตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์และรัฐบาล
- สถานีวิทยุและโทรทัศน์: ส่วนใหญ่เป็นของรัฐหรือมีความเชื่อมโยงกับรัฐ ทำให้การนำเสนอข่าวสารและรายการต่าง ๆ มักจะเป็นไปในทิศทางที่สนับสนุนรัฐบาล สถานีวิทยุชุมชนมีบทบาทในระดับท้องถิ่น แต่ก็อาจเผชิญกับข้อจำกัดเช่นกัน
- สื่ออินเทอร์เน็ต: การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์เพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดช่องทางใหม่ในการแสดงความคิดเห็นและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็มีความพยายามในการตรวจสอบและควบคุมเนื้อหาบนอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในช่วงที่มีความตึงเครียดทางการเมือง เช่น การสั่งปิดอินเทอร์เน็ตระหว่างการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในปี 2021
ประเด็นเสรีภาพของสื่อและการแสดงออกเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่งในเอสวาตินี องค์กรสิทธิมนุษยชนและสื่อมวลชนระหว่างประเทศมักวิพากษ์วิจารณ์การจำกัดเสรีภาพของสื่อ การคุกคามนักข่าว และการขาดความเป็นอิสระของสื่อมวลชน กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและกฎหมายความมั่นคงถูกนำมาใช้เพื่อจำกัดการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่ตรวจสอบของสื่อและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอภิปรายสาธารณะ การพัฒนาสื่อที่เป็นอิสระและมีคุณภาพยังคงเป็นความท้าทายสำคัญในเอสวาตินี