1. ชีวิตช่วงต้นและการศึกษา
ทสึกาดะ ริกิชิ (塚田 理喜智Tsukada Rikichiภาษาญี่ปุ่น) เกิดเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1892 ที่จังหวัดอิชิกาวะ ประเทศญี่ปุ่น
เขาเริ่มเส้นทางการศึกษาทางทหารโดยเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก (ญี่ปุ่น) และสำเร็จการศึกษาในชั้นปีที่ 28 เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1916 หลังจากนั้นเขายังคงศึกษาต่อที่วิทยาลัยเสนาธิการทหารบก และสำเร็จการศึกษาในชั้นปีที่ 36 เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1924
2. อาชีพทหาร
ทสึกาดะ ริกิชิ มีเส้นทางอาชีพทหารที่หลากหลายและก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มจากการเป็นนายทหารราบ ก่อนที่จะย้ายเหล่าไปประจำการในหน่วยทหารอากาศ และมีบทบาทสำคัญในสงครามใหญ่ทั้งสองครั้งของจักรวรรดิญี่ปุ่นในช่วงกลางศตวรรษที่ 20
2.1. การรับราชการช่วงต้นและการย้ายเหล่า
หลังจากสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบก ทสึกาดะได้รับตำแหน่งร้อยตรีในเหล่าทหารราบเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 1916 เขาได้ถูกมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ด้านธุรการในกองวางแผนของกองบัญชาการใหญ่ทหารบก ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้เขาได้เรียนรู้และมีส่วนร่วมในงานด้านการบริหารและการวางแผนระดับสูงของกองทัพ
ภายหลังจากการทำงานในเหล่าทหารราบและงานธุรการ ทสึกาดะได้ย้ายเหล่ามายังเหล่าทหารอากาศ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่กำหนดเส้นทางอาชีพของเขาในช่วงหลัง เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1933 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สอนที่โรงเรียนการบินทหารบกฮามามัตสึ ซึ่งเป็นสถาบันสำคัญในการฝึกอบรมนักบินและบุคลากรทางอากาศของกองทัพญี่ปุ่น
2.2. ช่วงสงครามจีน-ญี่ปุ่นและสงครามแปซิฟิก
ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ทสึกาดะ ริกิชิ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิบัติการทางทหารที่ขยายวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าร่วมในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สองและสงครามแปซิฟิก ซึ่งเขาได้เลื่อนยศและรับตำแหน่งบัญชาการที่สำคัญหลายตำแหน่ง
2.2.1. การเข้าร่วมสงครามจีน-ญี่ปุ่นและตำแหน่งสำคัญ
เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1936 ทสึกาดะได้รับมอบหมายให้เข้าประจำการในกองเสนาธิการของกองทัพประจำการจีน และเมื่อสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น เขาได้เป็นหัวหน้าเสนาธิการข่าวกรองของกองทัพพื้นที่จีนเหนือ ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารในภาคเหนือของจีน
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1938 เขาได้รับเลื่อนยศเป็นพันเอกทหารอากาศ และในเดือนมิถุนายนปีเดียวกันนั้น เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับการกรมบินที่ 7 ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1939 เขาได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งเสนาธิการกองบินที่ 1 การเลื่อนยศของเขายังคงดำเนินต่อไป โดยในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1941 เขาได้รับเลื่อนยศเป็นพลตรี และเผชิญหน้ากับสงครามแปซิฟิกในฐานะนายพล
2.2.2. กิจกรรมหลักในสงครามแปซิฟิกและยุทธการที่ฟิลิปปินส์
เมื่อสงครามแปซิฟิกขยายวงกว้าง ทสึกาดะยังคงได้รับตำแหน่งที่สำคัญยิ่งขึ้น ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1942 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บังคับการกองบินที่ 3 ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1944 เขาได้ดำรงตำแหน่งเสนาธิการกองทัพอากาศที่ 3 และในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1944 เขาได้เข้ารับตำแหน่งผู้บังคับการฝึกหน่วยรบพิเศษเทชิน ชูดัน (挺進集団Teishin Shudanภาษาญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นหน่วยรบทางอากาศพิเศษ
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1945 ทสึกาดะได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บัญชาการกองกำลังเคนบุ (建武集団Kenbu Shudanภาษาญี่ปุ่น) ซึ่งประกอบด้วยกำลังพล 30,000 นาย ในยุทธการที่ฟิลิปปินส์ เพื่อป้องกันพื้นที่ลูซอนตอนกลางและฐานทัพอากาศคลาร์กจากการรุกคืบของกองทัพสหรัฐอเมริกา ภายในกองกำลังเคนบุนี้ มีหน่วยเฉพาะกิจพิเศษที่เรียกว่า กองพลจู่โจมที่ 2 ซึ่งมีกำลังพล 750 นาย ซึ่งเป็นหน่วยคอมมานโดชั้นยอดที่ได้รับมอบหมายให้โจมตีฐานทัพอากาศของสหรัฐฯ ในลูซอนและเกาะเลเต หน่วยนี้สร้างความเสียหายและสังหารทหารฝ่ายสัมพันธมิตรได้จำนวนมากก่อนที่จะถูกทำลายล้างไป
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1945 ทสึกาดะได้รับเลื่อนยศเป็นพลโท อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นเดือนเมษายน กองกำลังของเขาถูกทำลายล้างไปเกือบทั้งหมด เขาจึงมีคำสั่งให้หน่วยที่เหลืออยู่ต่อสู้ในรูปแบบของสงครามกองโจรตามภูเขาทางตะวันตกของฐานทัพอากาศคลาร์กต่อไป
3. หลังสงครามและการเสียชีวิต
หลังจากการยอมจำนนของญี่ปุ่น ทสึกาดะ ริกิชิ เผชิญหน้ากับสถานการณ์ใหม่ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและการทหาร
3.1. หลังสงครามและการถูกกวาดล้างจากตำแหน่งสาธารณะ
หลังจากที่ญี่ปุ่นยอมจำนนอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1945 ทสึกาดะได้ยอมมอบตัว เขาเคยเป็นเป้าหมายของหน่วยอะลาโม สเกาต์ส (Alamo Scouts) ซึ่งเป็นหน่วยสอดแนมและล่าสังหารของกองทัพที่หกของสหรัฐฯ ที่ได้รับมอบหมายให้จับกุมเขา แต่เขาก็สามารถหลบหนีได้ก่อนที่จะยอมมอบตัวในภายหลัง
ในวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 ทสึกาดะ ริกิชิ ถูกระบุชื่อเป็นการชั่วคราวเพื่อดำเนินการกวาดล้างบุคคลจากตำแหน่งสาธารณะ (公職追放Kōshoku Tsuihōภาษาญี่ปุ่น) ตามคำสั่งของกองบัญชาการสูงสุดของฝ่ายสัมพันธมิตร (GHQ) และรัฐบาลญี่ปุ่นหลังสงคราม การกวาดล้างนี้มีจุดประสงค์เพื่อถอดถอนบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมลัทธิทหารและชาตินิยมสุดโต่งออกจากตำแหน่งสาธารณะทุกประเภท เพื่อสนับสนุนกระบวนการทำให้เป็นประชาธิปไตยและสร้างสันติภาพในญี่ปุ่น
3.2. การเสียชีวิต
ทสึกาดะ ริกิชิ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1958 สิริอายุ 65 ปี
4. การประเมินและมรดก
การประเมินชีวิตและอาชีพของทสึกาดะ ริกิชิ ครอบคลุมทั้งความสามารถทางทหารและการถูกตั้งคำถามในยุคหลังสงคราม
4.1. การประเมินกิจกรรม
ทสึกาดะ ริกิชิ แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเป็นนักยุทธศาสตร์และผู้บัญชาการทางทหารที่โดดเด่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุทธการที่ฟิลิปปินส์ ภายใต้สภาวะที่ยากลำบากอย่างยิ่ง ด้วยทรัพยากรที่จำกัดและการถูกกดดันจากกองทัพสหรัฐอเมริกาที่เหนือกว่า เขายังคงสามารถบัญชาการกองกำลังเคนบุขนาด 30,000 นาย ให้เข้าปะทะและป้องกันฐานที่มั่นสำคัญได้ การตัดสินใจสั่งให้หน่วยที่เหลืออยู่ต่อสู้แบบกองโจรภายหลังการล่มสลายของกำลังหลัก ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นและความเด็ดเดี่ยวของเขาในการต่อสู้จนถึงที่สุด
4.2. คำวิจารณ์และข้อโต้แย้ง
แม้จะมีความสามารถทางการทหาร แต่ทสึกาดะ ริกิชิ ในฐานะนายทหารระดับสูงของกองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งมีส่วนร่วมในนโยบายการรุกรานและขยายอำนาจในช่วงสงคราม เขาจึงถูกเชื่อมโยงกับการวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างที่มุ่งเป้าไปที่การกระทำของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนและการปฏิบัติต่อเชลยสงคราม รวมถึงผลกระทบต่อชีวิตผู้คนและความมั่นคงในภูมิภาค
การที่เขาถูกกวาดล้างจากตำแหน่งสาธารณะหลังสงคราม เป็นการสะท้อนถึงการประเมินจากฝ่ายสัมพันธมิตรและรัฐบาลญี่ปุ่นหลังสงครามว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับระบอบการปกครองแบบเผด็จการทหารที่นำไปสู่สงคราม การที่เขาดำรงตำแหน่งสูงในกองทัพที่มีนโยบายการขยายอำนาจและได้สั่งการให้ทหารที่เหลือเข้าต่อสู้ในรูปแบบกองโจรหลังจากความพ่ายแพ้ ย่อมนำมาซึ่งคำถามเกี่ยวกับความรับผิดชอบของเขาในบริบทของอาชญากรรมสงครามและความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งนั้น ๆ