1. ภาพรวม
เซอร์เอิร์นสต์ บอริส เชน (Sir Ernst Boris Chain) เป็นนักชีวเคมีชาวอังกฤษผู้มีเชื้อสายเยอรมัน-ยิว ซึ่งเป็นที่รู้จักจากคุณูปการอันโดดเด่นในการพัฒนาเพนิซิลิน โดยเฉพาะการสกัดและวิเคราะห์โครงสร้างทางเคมีของมัน ซึ่งทำให้ได้รับรางวัลรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ในปี 1945 ร่วมกับอเล็กซานเดอร์ เฟลมิง และฮาวเวิร์ด ฟลอรีย์ บทความนี้จะสำรวจชีวิตและอาชีพของเชน ตั้งแต่วัยเด็กในเบอร์ลิน การอพยพหนีการประหัตประหารชาวยิวในนาซีเยอรมนีมายังสหราชอาณาจักร ตลอดจนผลงานวิจัยสำคัญเกี่ยวกับยาปฏิชีวนะ บทบาทของเขาในแวดวงวิทยาศาสตร์โลก และความสำคัญของอัตลักษณ์ชาวยิวที่มีต่อชีวิตของเขา มุมมองนี้จะสะท้อนความสำคัญของวิทยาศาสตร์เพื่อมนุษยชาติและยืนหยัดต่อต้านการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ
2. ชีวิตช่วงต้นและการศึกษา
เอิร์นสต์ บอริส เชน มีพื้นเพมาจากเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ครอบครัวของเขาเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แต่เขาก็ยังคงได้รับการศึกษาที่ดีเยี่ยม ซึ่งนำไปสู่การเป็นนักวิจัยทางชีวเคมีที่ประสบความสำเร็จ
2.1. วัยเด็กและภูมิหลังครอบครัว

เชนเกิดที่เบอร์ลิน เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 1906 โดยเป็นบุตรชายของ มาร์กาเรเท (สกุลเดิม ไอซ์เนอร์) และมิคาเอล เชน ผู้เป็นนักเคมีและนักอุตสาหกรรมที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เคมี ครอบครัวของเขามีเชื้อสายยิว ทั้งชาวยิวเซฟาร์ดีและชาวยิวอัชเคนาซี บิดาของเชนอพยพจากจักรวรรดิรัสเซียมายังเยอรมนีเพื่อศึกษาเคมี และอาศัยอยู่ที่นั่น เขาแต่งงานกับหญิงชาวเบอร์ลินและก่อตั้งบริษัทผลิตเคมีภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จ แม้บิดาจะเสียชีวิตในปี 1920 ขณะที่เชนมีอายุเพียง 14 ปี ซึ่งทำให้เขาต้องแบกรับความรับผิดชอบของครอบครัว เชนได้รับมรดกความสำเร็จของครอบครัว แต่ความมั่งคั่งนี้กลับถูกทำลายลงด้วยภาวะเงินเฟ้อรุนแรงในสาธารณรัฐไวมาร์ช่วงปี 1923 ถึง 1924 บรรพบุรุษของเขายังรวมถึงซีราเฮียะห์ เบน ชีเอลเทียล เฮน ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในหมู่ชาวยิวคาตาโลเนีย และบรรพบุรุษของพวกเขาก็เป็นบุคคลสำคัญของชาวยิวบาบิโลเนีย เชนยังเป็นเพื่อนตลอดชีวิตกับศาสตราจารย์อัลเบิร์ต นอยเบอร์เกอร์ ซึ่งเขาพบกันในเบอร์ลินช่วงคริสต์ทศวรรษ 1930
2.2. การศึกษาและอาชีพทางวิชาการช่วงต้น
ในปี 1930 เชนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาด้านเคมีจากมหาวิทยาลัยฟรีดริช วิลเฮ็ล์ม (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยฮุมโบลด์ทแห่งเบอร์ลิน) และได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิต (PhD) ในปีเดียวกัน เขายังเคยพิจารณาอาชีพเป็นนักเปียโนคอนเสิร์ตอย่างจริงจังและมักจะแสดงต่อสาธารณะ เชนได้ศึกษาชีวเคมีของเอนไซม์และได้ทำงานวิจัยต่อในสาขานี้ ภายหลังเขาย้ายมายังสหราชอาณาจักรเพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่วิทยาลัยฟิตซ์วิลเลียม มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ โดยทำงานวิจัยเกี่ยวกับฟอสโฟลิพิดภายใต้การดูแลของเฟรเดอริก โกว์แลนด์ ฮอปกินส์ จากนั้นในปี 1935 เขาก็ได้รับตำแหน่งอาจารย์ประจำภาควิชาพยาธิวิทยาที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ในช่วงเวลานี้ เขาได้ดำเนินงานวิจัยในหัวข้อที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงพิษงู เมแทบอลิซึมของเนื้องอก ไลโซไซม์ และเทคนิคทางชีวเคมี เขาได้รับสัญชาติอังกฤษในเดือนเมษายน 1939
3. การย้ายถิ่นฐานสู่สหราชอาณาจักรและการวิจัยช่วงต้น

หลังจากการขึ้นสู่อำนาจของพรรคนาซีในเยอรมนี เชนตระหนักดีว่าในฐานะที่เป็นชาวยิวและผู้มีแนวคิดทางการเมืองแบบซ้ายกลาง เขาจะไม่ปลอดภัยในเยอรมนีอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจเดินทางออกจากประเทศ โดยมาถึงอังกฤษเมื่อวันที่ 2 เมษายน 1933 โดยมีเงินติดตัวเพียง 10 GBP ในเวลานั้น เจ. บี. เอส. ฮัลเดน นักพันธุศาสตร์และนักสรีรวิทยา ได้ช่วยเหลือให้เขาได้รับตำแหน่งที่โรงพยาบาลยูนิเวอร์ซิตี้คอลเลจ ลอนดอน
หลังจากนั้นไม่กี่เดือน เชนก็ได้รับการตอบรับให้เป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่วิทยาลัยฟิตซ์วิลเลียม มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ซึ่งเขาเริ่มต้นทำงานวิจัยเกี่ยวกับฟอสโฟลิพิดภายใต้การดูแลของเฟรเดอริก โกว์แลนด์ ฮอปกินส์ การวิจัยนี้เป็นการต่อยอดความสนใจของเขาในสาขาวิชาชีวเคมี ซึ่งเขาได้ศึกษามาตั้งแต่การได้รับปริญญาเอกในปี 1930 นอกจากนี้ ในช่วงต้นอาชีพของเขา เชนยังได้ทำงานวิจัยหลากหลายที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ซึ่งครอบคลุมหัวข้อต่างๆ เช่น พิษงู เมแทบอลิซึมของเนื้องอก ไลโซไซม์ และเทคนิคชีวเคมีต่างๆ ซึ่งเป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต
4. การวิจัยเพนิซิลิน
เชนมีบทบาทสำคัญในการฟื้นคืนและพัฒนาการวิจัยเพนิซิลิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการระบุคุณสมบัติทางเคมีและศักยภาพในการรักษา ซึ่งส่งผลให้เขาได้รับรางวัลโนเบล
4.1. การค้นพบเพนิซิลินซ้ำและไขความกระจ่างในผลการรักษา

ในปี 1939 เอิร์นสต์ เชนได้เข้าร่วมกับฮาวเวิร์ด ฟลอรีย์ เพื่อทำการวิจัยเกี่ยวกับสารต้านแบคทีเรียตามธรรมชาติที่ผลิตโดยจุลินทรีย์ โดยเฉพาะเชื้อรา ซึ่งนำไปสู่การทบทวนงานวิจัยของอเล็กซานเดอร์ เฟลมิง ที่ได้บรรยายเกี่ยวกับเพนิซิลินไว้ก่อนหน้านี้ถึงเก้าปี การศึกษาของเฟลมิงที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญในปี 1928 พบว่าเชื้อรา Penicillium notatum (หรือ Penicillium chrysogenum) มีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย อย่างไรก็ตาม การค้นพบนี้ยังไม่ได้รับการพัฒนาต่อยอดเพื่อนำไปใช้ทางการแพทย์อย่างจริงจัง
เชนและฟลอรีย์ได้ทำการทดลองเพื่อยืนยันผลการต้านแบคทีเรียของเพนิซิลิน และก้าวหน้าไปอีกขั้นในการค้นพบการออกฤทธิ์ในการรักษาและองค์ประกอบทางเคมีของสารนี้ พวกเขาสามารถแยกและทำให้สารที่ฆ่าเชื้อโรคในเพนิซิลินบริสุทธิ์และเข้มข้นขึ้นได้ การทำงานร่วมกันนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพิสูจน์ศักยภาพของเพนิซิลินในการเป็นยาปฏิชีวนะที่มีประสิทธิภาพสูง และเป็นรากฐานสำคัญในการนำเพนิซิลินไปใช้ในวงการแพทย์เพื่อรักษาโรคติดเชื้อต่างๆ
4.2. การกำหนดทฤษฎีโครงสร้างเบตา-แลคแทม
เชนมีส่วนสำคัญในการตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับโครงสร้างเบตา-แลคแทมของเพนิซิลินร่วมกับเอ็ดเวิร์ด อับราฮัมในปี 1942 การทำนายโครงสร้างทางเคมีที่ซับซ้อนนี้เป็นขั้นตอนสำคัญในการทำความเข้าใจการทำงานของเพนิซิลินในระดับโมเลกุล การกำหนดทฤษฎีนี้ได้รับการยืนยันในเวลาต่อมาผ่านการวิเคราะห์การวิเคราะห์ผลึกด้วยรังสีเอกซ์ที่ดำเนินการโดยโดโรธี ฮอดจ์กินในปี 1945 การยืนยันโครงสร้างนี้เป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจกลไกการออกฤทธิ์ของยาและปูทางไปสู่การสังเคราะห์และการพัฒนาอนุพันธ์ของเพนิซิลินในอนาคต
4.3. รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์
จากการวิจัยอันก้าวล้ำเกี่ยวกับเพนิซิลิน เอิร์นสต์ เชนได้รับรางวัลรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ในปี 1945 ร่วมกับอเล็กซานเดอร์ เฟลมิง และฮาวเวิร์ด ฟลอรีย์ รางวัลนี้มอบให้เพื่อยกย่องคุณูปการที่สำคัญของพวกเขาในการค้นพบเพนิซิลินและประสิทธิภาพในการรักษาโรคติดเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เชนและฟลอรีย์ได้รับการยกย่องจากการทำงานที่นำไปสู่การแยกสารบริสุทธิ์ การวิเคราะห์คุณสมบัติทางเคมี และการพิสูจน์ผลการรักษาของเพนิซิลิน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนโฉมวงการแพทย์และช่วยชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วนทั่วโลก
5. กิจกรรมหลังได้รับรางวัลโนเบล
หลังจากได้รับรางวัลโนเบล เชนยังคงมีบทบาทสำคัญในแวดวงวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรปและสหราชอาณาจักร เขายังคงมุ่งมั่นกับการวิจัยและมีส่วนร่วมในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับจุลชีววิทยาและเคมี
5.1. กิจกรรมในอิตาลี
ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง เชนได้รับข่าวอันน่าสลดใจว่ามารดาและน้องสาวของเขาถูกพวกนาซีสังหาร หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง เชนได้ตัดสินใจย้ายไปพำนักที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ที่นั่นเขาได้ทำงานที่สถาบันสาธารณสุขขั้นสูง (Istituto Superiore di Sanità) และมีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งและเป็นผู้นำของศูนย์วิจัยจุลชีววิทยาเคมีระหว่างประเทศ ซึ่งถือเป็นศูนย์วิจัยแห่งแรกที่มุ่งเน้นการศึกษายาปฏิชีวนะโดยเฉพาะ การเคลื่อนไหวครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเชนในการพัฒนาวิทยาศาสตร์เพื่อมนุษยชาติ แม้จะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากความโหดร้ายของสงคราม
5.2. การกลับสู่สหราชอาณาจักรและการวิจัยในเวลาต่อมา
ในที่สุด เชนก็ได้กลับมายังสหราชอาณาจักรในปี 1964 เพื่อรับตำแหน่งอันทรงเกียรติเป็นผู้ก่อตั้งและหัวหน้าคนแรกของภาควิชาชีวเคมีที่อิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน เขาประจำอยู่ที่นี่จนกระทั่งเกษียณอายุราชการ โดยมีความเชี่ยวชาญพิเศษในด้านเทคโนโลยีการหมักทางอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสาขาที่มีความสำคัญในการผลิตยาปฏิชีวนะและผลิตภัณฑ์ชีวภาพอื่นๆ ในระดับอุตสาหกรรม การกลับมาและบทบาทของเขาในสถาบันการศึกษาชั้นนำของอังกฤษได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับวงการชีวเคมีของประเทศ และยังคงมีอิทธิพลต่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ประยุกต์
6. ชีวิตส่วนตัวและอัตลักษณ์ชาวยิว
ชีวิตส่วนตัวของเอิร์นสต์ เชน สะท้อนให้เห็นถึงความผูกพันกับครอบครัวและเชื้อชาติอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตลักษณ์ชาวยิวของเขากลายเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในช่วงบั้นปลายชีวิต
ในปี 1948 เขาได้สมรสกับแอนน์ เบลอฟ ซึ่งเป็นนักชีวเคมีที่มีชื่อเสียงเช่นกัน แอนน์เป็นน้องสาวของเรเน่ เบลอฟ แมกซ์ เบลอฟ จอห์น เบลอฟ และโนรา เบลอฟ ทั้งคู่มีบุตรรวมสามคน ได้แก่ บุตรชายสองคนและบุตรสาวหนึ่งคน
ในช่วงบั้นปลายชีวิต อัตลักษณ์ชาวยิวของเชนมีความสำคัญต่อตัวเขามากขึ้นเรื่อยๆ เขาเป็นผู้สนับสนุนไซออนิสต์อย่างกระตือรือร้น และในปี 1954 ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกคณะกรรมการบริหารของสถาบันวิทยาศาสตร์ไวซ์มานน์ (Weizmann Institute of Science) ที่เรโฮโวต ประเทศอิสราเอล และต่อมาได้เป็นสมาชิกคณะกรรมการบริหาร เชนเลี้ยงดูบุตรของเขาอย่างมั่นคงภายใต้ความเชื่อของศาสนายิว โดยจัดให้มีการเรียนพิเศษนอกหลักสูตรมากมาย เพื่อให้แน่ใจว่าบุตรของเขาจะเข้าใจและยึดมั่นในรากเหง้าทางวัฒนธรรมและศาสนาของตนเอง แนวคิดของเชนเกี่ยวกับอัตลักษณ์ชาวยิวของเขาได้ถูกแสดงออกอย่างชัดเจนที่สุดในสุนทรพจน์ที่ชื่อว่า "ทำไมฉันจึงเป็นชาวยิว" (Why I am a Jew) ซึ่งเขาได้กล่าวไว้ในการประชุมนักปราชญ์แห่งสภาชาวยิวโลกในปี 1965 สุนทรพจน์นี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความภาคภูมิใจในเชื้อชาติและวัฒนธรรมของเขา ท่ามกลางประวัติศาสตร์อันเจ็บปวดของการประหัตประหารชาวยิว
7. เกียรติยศและมรดก
เชนได้รับรางวัลและเกียรติยศมากมายตลอดชีวิต ซึ่งสะท้อนถึงคุณูปการอันมหาศาลของเขาต่อวงการวิทยาศาสตร์และการแพทย์ มรดกของเขายังคงได้รับการรำลึกผ่านสิ่งต่างๆ ที่ตั้งชื่อตามเขา
7.1. รางวัลและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อัศวิน
เชนได้รับเกียรติสูงสุดหลายครั้งจากการทำงานของเขา โดยเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 1948 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นภาคีราชบัณฑิตยสภา (Fellow of the Royal Society) ซึ่งเป็นเกียรติสูงสุดสำหรับนักวิทยาศาสตร์ในสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ ในปี 1954 เขายังได้รับรางวัลพอล แอร์ลิชและลุดวิก ดาร์มชเตดเทอร์ ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติในสาขาการแพทย์และการวิจัยทางชีววิทยา และในปี 1969 เชนได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อัศวิน (Knight Bachelor) ในงานพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์วันคล้ายวันประสูติพระราชินี ซึ่งทำให้เขามีคำนำหน้าชื่อว่า "เซอร์" (Sir) เกียรติยศเหล่านี้ยืนยันถึงสถานะของเขาในฐานะบุคคลสำคัญที่เปลี่ยนแปลงวงการวิทยาศาสตร์และการแพทย์อย่างแท้จริง
7.2. การเสียชีวิตและการรำลึก
เซอร์เอิร์นสต์ เชน ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 1979 ที่โรงพยาบาลทั่วไปเมโย (Mayo General Hospital) ในคาสเซิลบาร์ ประเทศไอร์แลนด์ ในช่วงบั้นปลายชีวิต เขาใช้เวลาอยู่ที่ทางตะวันตกของไอร์แลนด์ และได้แสดงความประทับใจอย่างลึกซึ้งต่อความทุ่มเทของแพทย์ประจำตัวของเขา นพ. อโศก จาห์นวี-ปราสาด (Ashoka Jahnavi-Prasad) ซึ่งต่อมาได้เสนอการใช้กรดวาลโปรอิกแทนเกลือลิเทียมในการรักษาโรคสองขั้ว
เพื่อเป็นเกียรติแก่คุณูปการทางวิชาการอันยิ่งใหญ่ของเชน อาคารชีวเคมีของอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน ได้รับการตั้งชื่อตามเขา และยังมีถนนสายหนึ่งในคาสเซิลบาร์ก็ถูกตั้งชื่อตามเขาเช่นกัน สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องรำลึกถึงผลงานของเขาที่ได้สร้างคุณูปการอันมหาศาลต่อการแพทย์และชีวิตของมนุษย์ทั่วโลก
8. การประเมินและข้อโต้แย้ง
เอิร์นสต์ เชน ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางในฐานะผู้บุกเบิกในวงการวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเพนิซิลิน อย่างไรก็ตาม ชีวิตและอาชีพของเขาก็ไม่ได้ปราศจากข้อโต้แย้งและความท้าทาย
8.1. การประเมินเชิงบวก
คุณูปการหลักของเอิร์นสต์ เชน คือบทบาทสำคัญของเขาในการพัฒนาเพนิซิลินให้เป็นยาที่สามารถนำไปใช้รักษาได้จริง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของการแพทย์แผนใหม่และช่วยชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วนทั่วโลก เขาได้รับการยกย่องจากการแยกและทำให้เพนิซิลินบริสุทธิ์ ตลอดจนการระบุโครงสร้างทางเคมีของมัน ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำความเข้าใจกลไกการออกฤทธิ์และนำไปสู่การผลิตในปริมาณมากในภายหลัง การทำงานของเชนร่วมกับฮาวเวิร์ด ฟลอรีย์ ในการพิสูจน์ผลการรักษาของเพนิซิลินได้เน้นย้ำถึงศักยภาพของยาปฏิชีวนะในการต่อสู้กับโรคติดเชื้อ ทำให้เขาได้รับการยกย่องในฐานะผู้บุกเบิกในสาขายาปฏิชีวนะและเทคโนโลยีการหมัก
8.2. คำวิพากษ์วิจารณ์และข้อโต้แย้ง
แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูงในอาชีพนักวิทยาศาสตร์และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากการได้รับรางวัลโนเบล แต่เชนก็เผชิญกับสถานการณ์ที่เป็นข้อถกเถียงอยู่บ้าง เขาถูกบรรยายว่ามีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงง่ายและบางครั้งก็มีลักษณะของการขัดขืน นอกจากนี้ เชนยังไม่พอใจกับพัฒนาการหลังสงครามในสาขาวิชาของเขาในอังกฤษ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เขาย้ายไปทำงานที่อิตาลีหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
อย่างไรก็ตาม ข้อโต้แย้งที่โดดเด่นที่สุดคือเหตุการณ์ที่เชนถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าสหรัฐอเมริกาภายใต้พระราชบัญญัติความมั่นคงภายในแมคคาร์แรนปี 1950 (McCarran Internal Security Act of 1950) เขาถูกปฏิเสธวีซ่าถึงสองครั้งในปี 1951 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงยุคแมคคาร์ที (McCarthyism) ที่มีการกวาดล้างผู้ที่ถูกสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์หรือผู้มีแนวคิดฝ่ายซ้ายในสหรัฐอเมริกา การที่นักวิทยาศาสตร์ผู้มีคุณูปการระดับโลกอย่างเชนถูกปฏิเสธการเข้าประเทศด้วยเหตุผลทางการเมือง สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบเชิงลบของการเมืองต่อการแลกเปลี่ยนทางวิทยาศาสตร์และเสรีภาพส่วนบุคคลในยุคนั้น แม้จะมีข้อโต้แย้งเหล่านี้ แต่คุณูปการของเชนที่มีต่อการแพทย์และวิทยาศาสตร์ก็ยังคงได้รับการจดจำและยกย่องอย่างกว้างขวาง