1. ภาพรวม
ราชรัฐโมนาโกเป็นนครรัฐอิสระขนาดเล็กบนชายฝั่งเฟรนช์ริวีเอรา มีชื่อเสียงด้านภูมิศาสตร์ที่สวยงาม ประวัติศาสตร์อันยาวนานภายใต้การปกครองของราชวงศ์กรีมัลดี ระบบการเมืองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการท่องเที่ยว บริการทางการเงิน และกาสิโน โมนาโกเป็นที่รู้จักในฐานะดินแดนปลอดภาษีและเป็นที่พำนักของกลุ่มคนผู้มีฐานะร่ำรวยจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม สถานะดังกล่าวได้นำมาซึ่งความท้าทายด้านความโปร่งใสทางการเงินและความเท่าเทียมทางสังคม วัฒนธรรมของโมนาโกเป็นการผสมผสานระหว่างอิทธิพลฝรั่งเศสและอิตาลี สะท้อนผ่านภาษา อาหาร และศิลปะ แม้จะมีขนาดเล็ก โมนาโกยังคงมีบทบาทสำคัญในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล บทความนี้จะสำรวจแง่มุมต่าง ๆ ของโมนาโกโดยละเอียด ตั้งแต่ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ไปจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยพิจารณาถึงพัฒนาการทางประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และความยุติธรรมทางสังคมเป็นสำคัญ
2. ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของราชรัฐโมนาโกเริ่มต้นตั้งแต่สมัยโบราณ มีการตั้งถิ่นฐานโดยชาวกรีกและโรมัน ก่อนที่ราชวงศ์กรีมัลดีจะเข้ามามีอำนาจในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 ราชรัฐได้ผ่านช่วงเวลาแห่งการเสริมสร้างความมั่นคงทางการเมืองและสังคม รวมถึงการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์กับมหาอำนาจโดยรอบ โดยเฉพาะฝรั่งเศส ตลอดหลายศตวรรษ โมนาโกได้พัฒนาจากป้อมปราการชายฝั่งสู่ศูนย์กลางการท่องเที่ยวและธุรกิจที่สำคัญในยุคปัจจุบัน การทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ของโมนาโกจะช่วยให้เห็นภาพรวมของการพัฒนาประเทศ ผลกระทบต่อสังคม และวิวัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยในราชรัฐแห่งนี้
2.1. ที่มาของชื่อ
ชื่อ "โมนาโก" Monacoโมนาโกภาษาอังกฤษ มีที่มาจากนิคมชาวกรีกโบราณพวกโฟเคีย (ΦώκαιαโฟไกอาGreek, Ancient) ในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับที่ตั้งปัจจุบัน ชาวลิกูเรียเรียกดินแดนแถบนี้ว่า Monoikosโมโนอิโกสlij มาจากคำในภาษากรีกว่า "μόνοικοςโมโนอิโกสGreek, Ancient" ซึ่งแปลว่า "บ้านเดี่ยว" หรือ "ที่อยู่อาศัยเพียงหลังเดียว" โดยเกิดจากการประสมคำว่า "μόνοςโมโนสGreek, Ancient" (monosโมโนสภาษาอังกฤษ แปลว่า "โดดเดี่ยว, เดียวดาย") กับคำว่า "οἶκοςโออิโกสGreek, Ancient" (oikosโออิโกสภาษาอังกฤษ แปลว่า "บ้าน, ที่อยู่อาศัย")
ตามตำนานโบราณ เฮอร์คิวลีสเคยเดินทางผ่านบริเวณโมนาโกและได้ขับไล่เทพเจ้าองค์ก่อน ๆ ออกไป ด้วยเหตุนี้ จึงมีการสร้างวิหารอุทิศแด่เฮอร์คิวลีสขึ้น ณ ที่แห่งนั้น และเนื่องจากวิหารนี้เป็น "บ้าน" (วิหาร) เพียงหลังเดียวของเฮอร์คิวลีสในบริเวณนั้น เมืองจึงถูกเรียกว่า "โมโนอิโกส"
2.2. สมัยโบราณและสมัยกลาง

ประวัติศาสตร์ยุคแรกเริ่มของโมนาโกย้อนไปถึงการตั้งถิ่นฐานของชาวกรีกโบราณพวกโฟเคีย (ΦώκαιαโฟไกอาGreek, Ancient) ในราวศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล ต่อมาพื้นที่นี้ได้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของจักรวรรดิโรมัน และกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในเวลาต่อมา ในปี ค.ศ. 1191 จักรพรรดิไฮน์ริชที่ 6 ได้มอบดินแดนโมนาโกให้แก่สาธารณรัฐเจนัว เพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่วยปราบปรามโจรสลัด เจนัวได้ก่อตั้งโมนาโกขึ้นใหม่เป็นอาณานิคมในปี ค.ศ. 1215 และได้สร้างป้อมปราการบนโขดหิน (ปัจจุบันคือโมนาโก-วีล) รวมถึงเริ่มใช้ประโยชน์จากท่าเรือธรรมชาติของพื้นที่นี้ อิทธิพลของสาธารณรัฐเจนัวมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ก่อนการปรากฏตัวของราชวงศ์กรีมัลดี
2.3. การสถาปนาราชวงศ์กรีมัลดี

การปกครองโมนาโกโดยสมาชิกของราชวงศ์กรีมัลดีเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1297 เมื่อฟรันเชสโก กรีมัลดี (Francesco Grimaldiฟรันเชสโก กรีมัลดีภาษาอิตาลี) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "มาลิเซีย" (Maliziaมาลิเซียภาษาอิตาลี ซึ่งแปลจากภาษาอิตาลีได้ว่า "ผู้มุ่งร้าย" หรือ "ผู้มีเล่ห์เหลี่ยม") พร้อมด้วยพรรคพวก ได้ปลอมตัวเป็นนักบวชฟรันซิสกัน (คำว่า monaco ในภาษาอิตาลีแปลว่านักบวช ซึ่งเป็นความบังเอิญเนื่องจากพื้นที่นี้เป็นที่รู้จักในชื่อนี้อยู่แล้ว) และเข้ายึดป้อมปราการที่ป้องกันโขดหินโมนาโก (Rock of Monacoร็อกออฟโมนาโกภาษาอังกฤษ) ได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ฟรันเชสโกถูกกองกำลังเจนัวขับไล่ออกไปในอีกไม่กี่ปีต่อมา และการต่อสู้เพื่อแย่งชิง "โขดหิน" นี้ยังคงดำเนินต่อไปอีกหนึ่งศตวรรษ ราชวงศ์กรีมัลดีมีต้นกำเนิดจากเจนัว และการต่อสู้ครั้งนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งภายในตระกูล เจนัวยังมีส่วนร่วมในความขัดแย้งอื่น ๆ และในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 เจนัวได้สูญเสียโมนาโกไปหลังจากต่อสู้กับราชบัลลังก์อารากอนเพื่อแย่งชิงคอร์ซิกา ในที่สุดราชวงศ์กรีมัลดีก็สามารถสถาปนาอำนาจการปกครองอย่างเป็นทางการได้เมื่อซื้อโมนาโกจากราชบัลลังก์อารากอนในปี ค.ศ. 1419 พร้อมด้วยเมืองใกล้เคียงอีกสองแห่งคือม็องตงและรอกเกอบรูน-กัป-มาร์แต็ง ทำให้ราชวงศ์กรีมัลดีกลายเป็นผู้ปกครอง "โขดหินโมนาโก" อย่างเป็นทางการและไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ
2.4. คริสต์ศตวรรษที่ 14-18
หลังจากที่ราชวงศ์กรีมัลดีได้สถาปนาอำนาจการปกครองอย่างมั่นคงในโมนาโกในปี ค.ศ. 1419 พวกเขาได้เริ่มเสริมสร้างความมั่นคงและความเป็นอิสระของราชรัฐ ในปี ค.ศ. 1612 ออนอเรที่ 2 (Honoré IIออนอเรที่ 2ภาษาฝรั่งเศส) เริ่มใช้ฐานันดรศักดิ์ "เจ้าชาย" (Princeแพร็งซ์ภาษาฝรั่งเศส) แห่งโมนาโก ในช่วงทศวรรษที่ 1630 พระองค์ได้แสวงหาการคุ้มครองจากฝรั่งเศสเพื่อต่อต้านกองกำลังสเปน และในปี ค.ศ. 1642 พระองค์ได้รับการต้อนรับในราชสำนักของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศสในฐานะ "ดยุกและขุนนางต่างชาติ" (duc et pair étrangerดูกเอแปเรทร็องเฌภาษาฝรั่งเศส)
เจ้าชายแห่งโมนาโกกลายเป็นข้าราชบริพารของกษัตริย์ฝรั่งเศส ในขณะเดียวกันก็ยังคงดำรงสถานะเป็นเจ้าชายผู้มีอำนาจอธิปไตย แม้ว่าเจ้าชายและครอบครัวที่สืบทอดตำแหน่งต่อมาจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในปารีส และมีการสมรสข้ามตระกูลกับขุนนางฝรั่งเศสและอิตาลี ราชวงศ์กรีมัลดีก็ยังคงมีรากเหง้ามาจากเจนัว ราชรัฐโมนาโกดำรงอยู่ภายใต้การอารักขาของฝรั่งเศสจนกระทั่งเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมครั้งใหญ่ในภูมิภาคนี้ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของโมนาโกด้วย
2.5. คริสต์ศตวรรษที่ 19
ในปี ค.ศ. 1793 กองกำลังปฏิวัติฝรั่งเศสได้เข้ายึดครองโมนาโก และจนถึงปี ค.ศ. 1814 โมนาโกก็ถูกฝรั่งเศสยึดครอง (ในช่วงเวลานี้ พื้นที่ส่วนใหญ่ของยุโรปถูกกองทัพฝรั่งเศสภายใต้การบัญชาการของนโปเลียน โบนาปาร์ตยึดครอง) ราชรัฐได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1814 ภายใต้การปกครองของราชวงศ์กรีมัลดี และถูกกำหนดให้เป็นรัฐอารักขาของราชอาณาจักรซาร์ดิเนียโดยการประชุมใหญ่แห่งเวียนนาในปี ค.ศ. 1815 โมนาโกยังคงอยู่ในสถานะนี้จนถึงปี ค.ศ. 1860 เมื่อกองกำลังซาร์ดิเนียถอนตัวออกจากราชรัฐตามสนธิสัญญาตูริน และเคาน์ตีนิส (รวมถึงซาวอย) โดยรอบถูกยกให้ฝรั่งเศส โมนาโกจึงกลายเป็นรัฐอารักขาของฝรั่งเศสอีกครั้ง จนถึงปี ค.ศ. 1860 ภาษาอิตาลีเป็นภาษาราชการในโมนาโก ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยภาษาฝรั่งเศส
ก่อนหน้านั้น ได้เกิดความไม่สงบในเมืองม็องตงและรอกเกอบรูน-กัป-มาร์แต็ง ซึ่งประชาชนในเมืองต่างเบื่อหน่ายกับการถูกเก็บภาษีอย่างหนักจากราชวงศ์กรีมัลดี พวกเขาได้ประกาศอิสรภาพเป็นนครรัฐอิสระม็องตงและรอกเกอบรูน โดยหวังว่าจะได้รับการผนวกเข้ากับซาร์ดิเนีย แต่ฝรั่งเศสคัดค้าน ความไม่สงบยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งเจ้าชายชาร์ลที่ 3 แห่งโมนาโก ทรงสละสิทธิ์การอ้างกรรมสิทธิ์เหนือเมืองทั้งสอง (ซึ่งคิดเป็นประมาณ 95% ของพื้นที่ราชรัฐในขณะนั้น) ที่ราชวงศ์กรีมัลดีเคยปกครองมานานกว่า 500 ปี เมืองทั้งสองถูกยกให้ฝรั่งเศสเป็นการแลกเปลี่ยนกับเงินจำนวน 4.10 M FRF การโอนกรรมสิทธิ์และอธิปไตยของโมนาโกได้รับการยอมรับโดยสนธิสัญญาฝรั่งเศส-โมนาโก ค.ศ. 1861
การสูญเสียดินแดนทำให้โมนาโกขาดรายได้หลัก เจ้าชายชาร์ลที่ 3 จึงตัดสินใจเปิดกาสิโนแห่งแรกของรัฐ คือ มงเต-การ์โล กาสิโน ในปี ค.ศ. 1863 พร้อมกับการเชื่อมต่อทางรถไฟไปยังปารีสในปี ค.ศ. 1868 อุตสาหกรรมกาสิโนประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ในปี ค.ศ. 1869 ราชรัฐจึงสามารถยกเลิกการเก็บภาษีเงินได้จากประชาชนได้ ซึ่งเป็นนโยบายที่ดึงดูดให้ชาวต่างชาติผู้มั่งคั่งเข้ามาอาศัยในโมนาโกเป็นจำนวนมาก และเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนารัฐสมัยใหม่
2.6. คริสต์ศตวรรษที่ 20

จนกระทั่งการปฏิวัติโมนาโก ค.ศ. 1910 บีบบังคับให้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งโมนาโก ค.ศ. 1911 เจ้าชายแห่งโมนาโกยังคงเป็นผู้ปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิ์ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ลดอำนาจเด็ดขาดของราชวงศ์กรีมัลดีลงเล็กน้อย แต่เจ้าชายอาลแบร์ที่ 1 แห่งโมนาโกทรงระงับการใช้รัฐธรรมนูญในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1918 ได้มีการลงนามในสนธิสัญญาฝรั่งเศส-โมนาโกฉบับใหม่ ซึ่งกำหนดให้ฝรั่งเศสให้ความคุ้มครองโมนาโกอย่างจำกัด สนธิสัญญานี้ ซึ่งได้รับการรับรองในปี ค.ศ. 1919 โดยสนธิสัญญาแวร์ซาย ได้กำหนดให้นโยบายระหว่างประเทศของโมนาโกต้องสอดคล้องกับผลประโยชน์ทางการเมือง การทหาร และเศรษฐกิจของฝรั่งเศส และยังได้แก้ไขวิกฤตการณ์การสืบราชบัลลังก์โมนาโก ค.ศ. 1918ด้วย

ในปี ค.ศ. 1943 กองทัพอิตาลีได้บุกเข้ายึดครองโมนาโก และจัดตั้งการปกครองแบบฟาสซิสต์ หลังจากเบนิโต มุสโสลินีหมดอำนาจในเดือนกันยายน ค.ศ. 1943 แวร์มัคท์ของเยอรมนีได้เข้ายึดครองอิตาลีและโมนาโก และเริ่มมีการเนรเทศประชากรชาวยิว เรอเน บลูม (René Blumเรอเน บลูมภาษาฝรั่งเศส) ชาวยิวชาวฝรั่งเศสผู้ก่อตั้งคณะบัลเลต์แห่งโอเปร่ามงเต-การ์โล ถูกจับกุมที่บ้านพักในปารีส และถูกคุมขังที่ค่ายกักกันดร็องซี ก่อนจะถูกส่งตัวไปยังค่ายกักกันเอาชวิทซ์ ที่ซึ่งเขาถูกสังหารในภายหลัง ส่วนราอูล กุนส์บูร์ก (Raoul Gunsbourgราอูล กุนส์บูร์กภาษาฝรั่งเศส) ผู้อำนวยการโรงอุปรากรมงเต-การ์โล ได้รับความช่วยเหลือจากขบวนการต่อต้านฝรั่งเศส สามารถหลบหนีการจับกุมไปยังสวิตเซอร์แลนด์ได้ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1944 เยอรมนีได้ประหารชีวิต เรอเน บอร์กินี (René Borghini), โฌแซ็ฟ-อ็องรี ลาฌู (Joseph-Henri Lajoux) และ เอสเธอร์ ปอจโจ (Esther Poggio) ซึ่งเป็นผู้นำขบวนการต่อต้าน การยึดครองนี้แม้จะสั้น แต่ส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะการเนรเทศชาวยิวและการประหารชีวิตสมาชิกขบวนการต่อต้าน
เจ้าชายแรนีเยที่ 3 แห่งโมนาโก สืบทอดราชบัลลังก์หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระอัยกา คือ เจ้าชายหลุยส์ที่ 2 แห่งโมนาโก ในปี ค.ศ. 1949 และทรงครองราชย์จนถึงปี ค.ศ. 2005 ในวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1956 เจ้าชายแรนีเยอภิเษกสมรสกับเกรซ เคลลี นักแสดงชาวอเมริกัน งานนี้ได้รับการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์และเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนทั่วโลก ทำให้ราชรัฐเล็ก ๆ แห่งนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
การแก้ไขรัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1962 ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิต ให้สิทธิสตรีในการออกเสียงเลือกตั้ง และจัดตั้งศาลสูงสุดแห่งโมนาโกเพื่อรับประกันเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ในปี ค.ศ. 1963 เกิดวิกฤตการณ์เมื่อชาร์ล เดอ โกลทำการปิดล้อมโมนาโก เนื่องจากไม่พอใจสถานะการเป็นดินแดนภาษีต่ำสำหรับพลเมืองฝรั่งเศสผู้มั่งคั่ง
ในปี ค.ศ. 1993 ราชรัฐโมนาโกได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ โดยมีสิทธิออกเสียงอย่างสมบูรณ์
2.7. คริสต์ศตวรรษที่ 21

ในปี ค.ศ. 2002 สนธิสัญญาฉบับใหม่ระหว่างฝรั่งเศสและโมนาโกระบุว่า หากไม่มีทายาทสืบราชวงศ์กรีมัลดี ราชรัฐจะยังคงเป็นประเทศเอกราชแทนที่จะกลับไปรวมกับฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม การป้องกันทางทหารของโมนาโกยังคงเป็นความรับผิดชอบของฝรั่งเศส
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2005 เจ้าชายแรนีเยที่ 3 แห่งโมนาโก ซึ่งประชวรหนักเกินกว่าจะปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้ ทรงสละราชสมบัติให้แก่เจ้าชายอาลแบร์ พระโอรสองค์เดียวและรัชทายาทของพระองค์ เจ้าชายแรนีเยสิ้นพระชนม์ในอีกหกวันต่อมา หลังจากทรงครองราชย์เป็นเวลา 56 ปี เจ้าชายอาลแบร์ที่ 2 จึงขึ้นครองราชย์เป็นเจ้าผู้ครองนครโมนาโก หลังจากช่วงไว้ทุกข์อย่างเป็นทางการ เจ้าชายอาลแบร์ที่ 2 ทรงประกอบพิธีราชาภิเษกอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 2005 ซึ่งเริ่มต้นด้วยพิธีมิสซาอันศักดิ์สิทธิ์ ณ อาสนวิหารนักบุญนิโคลัสแห่งโมนาโก สถานที่ซึ่งพระบิดาของพระองค์ได้รับการฝังพระศพเมื่อสามเดือนก่อน การขึ้นครองราชย์ของพระองค์เป็นเหตุการณ์สองขั้นตอน โดยมีพิธีเพิ่มเติมซึ่งมีประมุขแห่งรัฐต่าง ๆ เข้าร่วมในงานเลี้ยงรับรองอันหรูหรา จัดขึ้นเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 2005 ณ พระราชวังเจ้าชายแห่งโมนาโกอันเก่าแก่ในโมนาโก-วีล
เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 2015 เจ้าชายอาลแบร์ที่ 2 ทรงกล่าวขอโทษสำหรับบทบาทของโมนาโกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในการอำนวยความสะดวกในการเนรเทศชาวยิวและนักต่อต้านรวม 90 คน ซึ่งมีเพียงเก้าคนเท่านั้นที่รอดชีวิต พระองค์ตรัสว่า "เราได้กระทำการอันไม่อาจแก้ไขได้ในการส่งมอบสตรี บุรุษ และเด็กที่ลี้ภัยมาอยู่กับเราเพื่อหลีกหนีการประหัตประหารที่พวกเขาได้รับในฝรั่งเศส ให้แก่ทางการของประเทศเพื่อนบ้าน" "ด้วยความทุกข์ทรมาน พวกเขามาลี้ภัยอยู่กับเราโดยเฉพาะ โดยคิดว่าจะพบความเป็นกลาง" คำกล่าวนี้มีขึ้นในพิธีเปิดอนุสาวรีย์เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่สุสานโมนาโก
นโยบายหลักหลังจากเจ้าชายอาลแบร์ที่ 2 ขึ้นครองราชย์ ได้แก่ โครงการขยายอาณาเขตผ่านการถมทะเลเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย ซึ่งรวมถึงโครงการเลอปอร์ตีเย (Le Portierเลอปอร์ตีเยภาษาฝรั่งเศส) โครงการนี้ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นเอกฉันท์ในปี ค.ศ. 2015 เพื่อรองรับความต้องการด้านที่อยู่อาศัยและพื้นที่สีเขียวขนาดเล็ก โดยมีมูลค่าประมาณ 1.00 B EUR สำหรับพื้นที่ประมาณ 6 ha ประกอบด้วยอาคารอพาร์ตเมนต์ สวนสาธารณะ ร้านค้า และสำนักงาน การพัฒนานี้อยู่ติดกับเขตลาร์วอตโตและรวมถึงท่าจอดเรือขนาดเล็กด้วย
โมนาโกยังให้ความสำคัญกับการรับมือกับปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการอนุรักษ์ทางทะเล และการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน ดาวเทียมดวงแรกของโมนาโกชื่อ OSM-1 CICERO ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 2020 จากเฟรนช์เกียนาบนจรวดเวกา ดาวเทียมนี้สร้างขึ้นในโมนาโกโดย Orbital Solutions Monaco
ในด้านสังคมและความยุติธรรม โมนาโกเผชิญกับความท้าทายในยุคปัจจุบัน รวมถึงการจัดการกับปัญหาการการฟอกเงิน ซึ่งทำให้ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2024 คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน (FATF) ได้จัดให้โมนาโกอยู่ในรายชื่อประเทศที่ต้องมีการตรวจสอบเพิ่มขึ้นเพื่อต่อต้านการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 โมนาโกประกาศพบผู้ป่วยโควิด-19รายแรก
3. การเมืองการปกครอง
โมนาโกปกครองในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1911 โดยมีเจ้าผู้ครองโมนาโกเป็นประมุขแห่งรัฐ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันประกาศใช้ในปี ค.ศ. 1962 ซึ่งได้ยกเลิกโทษประหารชีวิต ให้สิทธิสตรีในการเลือกตั้ง และจัดตั้งศาลสูงสุดเพื่อรับประกันเสรีภาพขั้นพื้นฐาน การพัฒนาระบอบประชาธิปไตยและสิทธิพลเมืองเป็นประเด็นสำคัญในการเมืองโมนาโกมาโดยตลอด
3.1. โครงสร้างรัฐบาล

ตามรัฐธรรมนูญแห่งโมนาโก ค.ศ. 1962 ราชรัฐโมนาโกเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยมีเจ้าผู้ครองโมนาโก (ปัจจุบันคือ เจ้าชายอาลแบร์ที่ 2 แห่งโมนาโก) เป็นประมุขแห่งรัฐ พระองค์ทรงมีอำนาจทางการเมืองอย่างมากแม้จะอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ฝ่ายบริหาร ประกอบด้วยมนตรีแห่งรัฐ (Ministre d'Étatมีนิสเตรอเดตาภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล และเป็นประธานของคณะมนตรีรัฐบาล (Conseil de Gouvernementกงเซย์เดอกูแวร์เนอม็องภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งมีสมาชิกอีก 5 คน จนถึงปี ค.ศ. 2002 มนตรีแห่งรัฐจะต้องเป็นพลเมืองฝรั่งเศสที่ได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าผู้ครองนครตามรายชื่อผู้ที่ได้รับการเสนอจากรัฐบาลฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม หลังจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 2002 มนตรีแห่งรัฐสามารถเป็นได้ทั้งชาวฝรั่งเศสหรือชาวโมนาโก ปัจจุบันผู้ดำรงตำแหน่งคือ ดีดีเย กีโยม (Didier Guillaumeดีดีเย กีโยมภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งเป็นพลเมืองฝรั่งเศส ได้รับการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 2024
ฝ่ายนิติบัญญัติ คือ สภาแห่งชาติ (Conseil Nationalกงเซย์นาซียงนาลภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งเป็นระบบสภาเดียว ประกอบด้วยสมาชิก 24 คน ได้รับการเลือกตั้งทุก ๆ 5 ปี โดย 16 คนมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด และอีก 8 คนมาจากการเลือกตั้งแบบระบบสัดส่วน กฎหมายทุกฉบับจะต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาแห่งชาติ ในการเลือกตั้งทั่วไปในโมนาโก ค.ศ. 2023 พรรคสหภาพแห่งชาติโมนาโก (Union Nationale Monégasqueอูว์นียงนาซียงนาลโมเนกาสก์ภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งสนับสนุนสถาบันกษัตริย์ ได้รับที่นั่งทั้งหมด 24 ที่นั่ง
ฝ่ายตุลาการ สมาชิกของฝ่ายตุลาการได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าผู้ครองนคร ตำแหน่งสำคัญในฝ่ายตุลาการมักดำรงตำแหน่งโดยผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสที่ได้รับการเสนอชื่อจากรัฐบาลฝรั่งเศส ปัจจุบันโมนาโกมีผู้พิพากษาสอบสวน 3 คน
กิจการของเมืองได้รับการจัดการโดยเทศบาลโมนาโก (Commune de Monacoกอมมูนเดอมอนาโกภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งนำโดยสภาเทศบาลโมนาโก (Conseil communalกงเซย์กอมมูนนาลภาษาฝรั่งเศส) ประกอบด้วยสมาชิก 14 คนที่ได้รับการเลือกตั้ง และมีนายกเทศมนตรีเป็นประธาน ฌอร์ฌ มาร์ซ็อง (Georges Marsanฌอร์ฌ มาร์ซ็องภาษาฝรั่งเศส) ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 สมาชิกสภาเทศบาลได้รับการเลือกตั้งทุก ๆ 4 ปี และไม่สังกัดพรรคการเมืองอย่างเคร่งครัด
3.2. เขตการปกครอง
ราชรัฐโมนาโกประกอบด้วยเทศบาลเพียงแห่งเดียว (communeกอมมูนภาษาฝรั่งเศส) คือ เทศบาลโมนาโก ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างรัฐและเมืองโมนาโกในทางภูมิศาสตร์ แม้ว่าความรับผิดชอบของรัฐบาล (ระดับรัฐ) และเทศบาล (ระดับเมือง) จะแตกต่างกันก็ตาม ตามรัฐธรรมนูญปี ค.ศ. 1911 ราชรัฐถูกแบ่งออกเป็น 3 เทศบาล ได้แก่
- โมนาโก-วีล (Monaco-Villeโมนาโก-วีลภาษาฝรั่งเศส): เมืองเก่าและศูนย์กลางการปกครองของราชรัฐ ตั้งอยู่บนแหลมโขดหินที่ยื่นออกไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน รู้จักกันในชื่อ โขดหินโมนาโก (Rock of Monacoร็อกออฟโมนาโกภาษาอังกฤษ) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "เดอะร็อก" (The Rockเดอะร็อกภาษาอังกฤษ)
- มงเต-การ์โล (Monte-Carloมงเต-การ์โลภาษาฝรั่งเศส): แหล่งที่อยู่อาศัยและรีสอร์ตหลัก มีมงเต-การ์โล กาสิโน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือ
- ลากงดามีน (La Condamineลากงดามีนภาษาฝรั่งเศส): ส่วนตะวันตกเฉียงใต้ รวมถึงบริเวณท่าเรือ ท่าเรือแอร์กูล
เทศบาลเหล่านี้ถูกรวมเข้าด้วยกันในปี ค.ศ. 1917 และหลังจากนั้นจึงมีสถานะเป็น กาติเยร์ (quartiersการ์ตีเยภาษาฝรั่งเศส แปลว่า "ย่าน" หรือ "แขวง") หรือ วอร์ด (wardsวอร์ดส์ภาษาอังกฤษ)
- ฟงวีแยย์ (Fontvieilleฟงวีแยย์ภาษาฝรั่งเศส) ถูกเพิ่มเข้ามาเป็นกาติเยร์ที่สี่ เป็นพื้นที่ที่สร้างขึ้นใหม่จากการถมทะเลในช่วงทศวรรษที่ 1970
- เลมอเนอแกตี (Moneghettiเลมอเนอแกตีภาษาฝรั่งเศส) กลายเป็นกาติเยร์ที่ห้า แยกออกมาจากส่วนหนึ่งของลากงดามีน
- ลาร์วอตโต (Larvottoลาร์วอตโตภาษาฝรั่งเศส) กลายเป็นกาติเยร์ที่หก แยกออกมาจากส่วนหนึ่งของมงเต-การ์โล
- ลารุส/แซ็ง-โรมา็ง (La Rousse/Saint Romanลารุส/แซ็ง-โรมา็งภาษาฝรั่งเศส) (รวมถึง เลอเตนาโอ) กลายเป็นกาติเยร์ที่เจ็ด แยกออกมาจากส่วนหนึ่งของมงเต-การ์โล
ต่อมามีการสร้างกาติเยร์เพิ่มเติมอีกสามแห่ง แต่ก็ถูกยุบรวมไปในปี ค.ศ. 2013:
- แซ็ง-มีแชล (Saint Michelแซ็ง-มีแชลภาษาฝรั่งเศส) แยกมาจากส่วนหนึ่งของมงเต-การ์โล
- ลากอล (La Colleลากอลภาษาฝรั่งเศส) แยกมาจากส่วนหนึ่งของลากงดามีน
- เลเรวัวร์ (Les Révoiresเลเรวัวร์ภาษาฝรั่งเศส) แยกมาจากส่วนหนึ่งของลากงดามีน
พื้นที่ส่วนใหญ่ของแซ็ง-มีแชลถูกรวมกลับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมงเต-การ์โลอีกครั้งในปี ค.ศ. 2013 ส่วนลากอลและเลเรวัวร์ถูกรวมเข้าด้วยกันในปีเดียวกันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปรับเขตพื้นที่ใหม่ กลายเป็นส่วนหนึ่งของกาติเยร์ฌาร์แด็งแอกซอติก (Jardin Exotiqueฌาร์แด็งแอกซอติกภาษาฝรั่งเศส) ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
กาติเยร์ดั้งเดิมและพื้นที่ทางภูมิศาสตร์สมัยใหม่:
กาติเยร์ดั้งเดิมสี่แห่งของโมนาโกคือ โมนาโก-วีล, ลากงดามีน, มงเต-การ์โล และ ฟงวีแยย์ ชานเมืองเลมอเนอแกตี ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่สูงของลากงดามีน ปัจจุบันมักถูกมองว่าเป็นกาติเยร์ที่ห้าของโมนาโก เนื่องจากมีบรรยากาศและลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่างจากลากงดามีนระดับล่างอย่างชัดเจน
แขวงปัจจุบัน (Wards):
เพื่อวัตถุประสงค์ในการวางผังเมือง พระราชกฤษฎีกาในปี ค.ศ. 1966 ได้แบ่งราชรัฐออกเป็น "เขตสงวน" (secteurs réservésเซกเตอร์เรแซร์เวภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งต้องคงลักษณะปัจจุบันไว้ และ "แขวง" (quartiers ordonnancésการ์ตีเยออร์ดอน็องเซภาษาฝรั่งเศส) จำนวนและขอบเขตของเขตสงวนและแขวงเหล่านี้มีการแก้ไขหลายครั้ง การแบ่งครั้งล่าสุดคือปี ค.ศ. 2013 ซึ่งสร้างเขตสงวน 2 แห่ง และแขวง 7 แห่ง ปัจจุบัน (ข้อมูลปี ค.ศ. 2024) โมนาโกแบ่งออกเป็น 9 แขวง (บางครั้งเรียกว่าเขต) หลังจากเพิ่มแขวงใหม่คือ เลอปอร์ตีเย (Le Portierเลอปอร์ตีเยภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งเป็นโครงการถมทะเลล่าสุดที่เปิดตัวในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2024
แขวง | พื้นที่ | |||||
---|---|---|---|---|---|---|
ตร.ม. | % | |||||
เขตสงวน | ||||||
โมนาโก-วีล | Secteur réservéเซกเตอร์เรแซร์เวภาษาฝรั่งเศส | 196,490 | 9.4 % | |||
ราแว็งเดอแซ็งต์-เดว็อต | Secteur réservéเซกเตอร์เรแซร์เวภาษาฝรั่งเศส | 23,485 | 1.1 % | |||
แขวงที่มีการจัดระเบียบ | ||||||
ลากงดามีน | Quartier ordonnancéการ์ตีเยออร์ดอน็องเซภาษาฝรั่งเศส | 295,849 | 14.2 % | |||
ฟงวีแยย์ | Quartier ordonnancéการ์ตีเยออร์ดอน็องเซภาษาฝรั่งเศส | 329,536 | 15.8 % | |||
ลาร์วอตโต | Quartier ordonnancéการ์ตีเยออร์ดอน็องเซภาษาฝรั่งเศส | 217,932 | 10.4 % | |||
ฌาร์แด็งแอกซอติก | Quartier ordonnancéการ์ตีเยออร์ดอน็องเซภาษาฝรั่งเศส | 234,865 | 11.3 % | |||
เลมอเนอแกตี | Quartier ordonnancéการ์ตีเยออร์ดอน็องเซภาษาฝรั่งเศส | 115,196 | 5.5 % | |||
มงเต-การ์โล | Quartier ordonnancéการ์ตีเยออร์ดอน็องเซภาษาฝรั่งเศส | 436,760 | 20.9 % | |||
ลารุส | Quartier ordonnancéการ์ตีเยออร์ดอน็องเซภาษาฝรั่งเศส | 176,888 | 8.5 % | |||
เลอปอร์ตีเย | Quartier ordonnancéการ์ตีเยออร์ดอน็องเซภาษาฝรั่งเศส | ประมาณ 60,000 | ประมาณ 2.9 % | |||
รวม | ประมาณ 2.08 km2 | 100 % |
หมายเหตุ: เพื่อวัตถุประสงค์ทางสถิติ แขวงของโมนาโกยังแบ่งย่อยออกเป็น 178 บล็อกเมือง (îlotsอีล็อตภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งเทียบได้กับบล็อกสำมะโนประชากรในสหรัฐอเมริกา
3.3. การทหารและความมั่นคง

การป้องกันประเทศในภาพรวมเป็นความรับผิดชอบของฝรั่งเศส โมนาโกไม่มีกองทัพเรือหรือกองทัพอากาศ แต่เมื่อพิจารณาต่อหัวประชากรและต่อพื้นที่แล้ว โมนาโกเป็นหนึ่งในประเทศที่มีกำลังตำรวจและหน่วยงานตำรวจมากที่สุดในโลก (เจ้าหน้าที่ตำรวจ 515 นายต่อประชากรประมาณ 38,000 คน) กองกำลังตำรวจของโมนาโกมีหน่วยพิเศษที่ปฏิบัติการเรือตรวจการณ์และเฝ้าระวังร่วมกับทหาร โดยผู้บัญชาการตำรวจในโมนาโกเป็นเจ้าหน้าที่ชาวฝรั่งเศส
นอกจากนี้ยังมีกองกำลังทหารขนาดเล็ก ซึ่งประกอบด้วยหน่วยองครักษ์สำหรับเจ้าผู้ครองนครและพระราชวังในโมนาโก-วีล เรียกว่า กองทหารกราบินีเยแห่งองค์เจ้าชาย (Compagnie des Carabiniers du Princeกงปาญีเดการาบินีเยดูว์แพร็งซ์ภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งก่อตั้งโดยเจ้าชายออนอเรที่ 4 แห่งโมนาโกในปี ค.ศ. 1817 เพื่อคุ้มครองราชรัฐและราชวงศ์ กองร้อยนี้มีเจ้าหน้าที่และพลทหารจำนวน 116 นายพอดี แม้ว่านายทหารชั้นประทวนและพลทหารจะเป็นคนท้องถิ่น แต่โดยทั่วไปแล้วนายทหารมักเคยรับราชการในกองทัพฝรั่งเศส นอกเหนือจากหน้าที่รักษาการณ์แล้ว ทหารกราบินีเยยังลาดตระเวนชายหาดและน่านน้ำชายฝั่งของราชรัฐด้วย กองกำลังนี้ร่วมกับหน่วยดับเพลิงและป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนติดอาวุธ (Corps des Sapeurs-Pompiers de Monacoกอร์เดซาเปอ-ปงปีเยเดอมอนาโกภาษาฝรั่งเศส) ถือเป็นกองกำลังทั้งหมดของโมนาโก การดำเนินงานด้านความมั่นคงเหล่านี้คำนึงถึงประเด็นสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้อง
4. ภูมิศาสตร์

โมนาโกเป็นนครรัฐอิสระ ตั้งอยู่บนชายฝั่งเฟรนช์ริวีเอราในยุโรปตะวันตก มีพรมแดนติดกับจังหวัดอาลป์-มารีตีมของฝรั่งเศสสามด้าน ส่วนอีกด้านหนึ่งติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ศูนย์กลางของประเทศอยู่ห่างจากอิตาลีประมาณ 16 km และอยู่ห่างจากเมืองนิสทางตะวันออกเฉียงเหนือเพียง 13 km
4.1. ที่ตั้งและลักษณะภูมิประเทศ
โมนาโกมีพื้นที่ 2.1 km2 (หรือ 208 ha) และมีประชากร 38,400 คน ทำให้เป็นประเทศที่มีขนาดเล็กเป็นอันดับสองของโลกและมีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลก ประเทศนี้มีพรมแดนทางบกเพียง 5.47 km แนวชายฝั่งยาว 3.83 km การอ้างสิทธิ์ทางทะเลขยายออกไป 22.2 km และมีความกว้างของประเทศแตกต่างกันไประหว่าง 1.70 K m ถึง 349 m
ลักษณะทางภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเนินเขาและหน้าผาสูงชันที่ลาดลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน หินปูนยุคจูแรสซิกเป็นหินดานที่โดดเด่นซึ่งมีการเกิดคาสต์ในท้องถิ่น เป็นที่ตั้งของถ้ำ Grotte de l'Observatoireกร็อตเดอล็อบแซร์วาตัวร์ภาษาฝรั่งเศส ซึ่งเปิดให้ประชาชนเข้าชมตั้งแต่ปี ค.ศ. 1946
จุดที่สูงที่สุดในประเทศคือทางเข้าอาคารพักอาศัย Patio Palaceปาตีโอพาเลซภาษาฝรั่งเศส บนถนน เชอแม็ง เด เรวัวร์ (แขวงเลเรวัวร์) จากถนน D6007 (ถนน Moyenne Cornicheมัวแยนกอร์นิชภาษาฝรั่งเศส) ที่ความสูง 164.4 m เหนือระดับน้ำทะเล จุดที่ต่ำที่สุดในประเทศคือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ลำธารแซ็ง-ฌ็อง (Saint-Jeanแซ็ง-ฌ็องภาษาฝรั่งเศส) เป็นแหล่งน้ำไหลที่ยาวที่สุด มีความยาวประมาณ 0.19 km และฟงวีแยย์ (Fontvieilleฟงวีแยย์ภาษาฝรั่งเศส) เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุด มีพื้นที่ประมาณ 0.5 ha กาติเยร์ (ย่าน) ที่มีประชากรมากที่สุดของโมนาโกคือมงเต-การ์โล และแขวง (ward) ที่มีประชากรมากที่สุดคือลาร์วอตโต/บา มูลินส์ (Larvotto/Bas Moulinsลาร์วอตโต/บา มูลินส์ภาษาฝรั่งเศส)
4.2. ภูมิอากาศ
โมนาโกมีสภาพภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนที่มีฤดูร้อนอบอุ่น (การจำแนกภูมิอากาศแบบเคิปเปน: Csaเซเอสอาภาษาเยอรมัน) โดยได้รับอิทธิพลจากทะเลอย่างมาก และมีความคล้ายคลึงกับภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อนชื้น (Cfaเซเอฟอาภาษาเยอรมัน) ส่งผลให้มีฤดูร้อนที่อบอุ่น แห้ง และมีฤดูหนาวที่ไม่รุนแรงและมีฝนตก ฤดูหนาวอากาศไม่รุนแรงมากเมื่อเทียบกับละติจูดของเมือง โดยไม่รุนแรงเท่ากับสถานที่ที่ตั้งอยู่ทางใต้กว่ามากในแอ่งเมดิเตอร์เรเนียน
ช่วงเวลาที่อากาศเย็นและมีฝนตกสามารถขัดจังหวะฤดูร้อนที่แห้งแล้งได้ ซึ่งระยะเวลาเฉลี่ยของฤดูร้อนก็สั้นกว่าด้วย ช่วงบ่ายของฤดูร้อนไม่ค่อยร้อนจัด (อุณหภูมิสูงกว่า 30 °C นั้นพบได้น้อย) เนื่องจากบรรยากาศค่อนข้างเย็นสบายจากลมทะเลที่พัดอย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน ช่วงกลางคืนอากาศจะเย็นสบายมาก เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำทะเลค่อนข้างสูงในฤดูร้อน โดยทั่วไป อุณหภูมิจะไม่ลดลงต่ำกว่า 20 °C ในฤดูนี้ ในฤดูหนาว น้ำค้างแข็งและหิมะตกนั้นพบได้น้อยมาก โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นหนึ่งหรือสองครั้งทุก ๆ สิบปี เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2018 ทั้งโมนาโกและมงเต-การ์โลมีหิมะตก
เดือน | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. | ก.ย. | ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ปี |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อุณหภูมิสูงสุดที่บันทึก (°C) | 19.9 | 23.2 | 25.6 | 26.2 | 30.3 | 32.5 | 34.4 | 34.5 | 33.1 | 29.0 | 25.0 | 22.3 | 34.5 |
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย (°C) | 13.0 | 13.0 | 14.9 | 16.7 | 20.4 | 23.7 | 26.6 | 26.9 | 24.0 | 20.6 | 16.5 | 13.9 | 19.2 |
อุณหภูมิเฉลี่ยรายวัน (°C) | 10.2 | 10.2 | 12.0 | 13.8 | 17.5 | 20.9 | 23.8 | 24.2 | 21.1 | 17.9 | 13.8 | 11.2 | 16.4 |
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย (°C) | 7.4 | 7.4 | 9.1 | 10.9 | 14.6 | 18.0 | 21.0 | 21.4 | 18.3 | 15.2 | 11.2 | 8.5 | 13.6 |
อุณหภูมิต่ำสุดที่บันทึก (°C) | -3.1 | -5.2 | -3.1 | 3.8 | 7.5 | 9.0 | 10.5 | 12.4 | 10.5 | 6.5 | 1.6 | -1.0 | -5.2 |
ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย (มม.) | 67.7 | 48.4 | 41.2 | 71.3 | 49.0 | 32.6 | 13.7 | 26.5 | 72.5 | 128.7 | 103.2 | 88.8 | 743.6 |
จำนวนวันที่มีฝนตกเฉลี่ย (≥ 1.0 มม.) | 6.0 | 4.9 | 4.5 | 7.3 | 5.5 | 4.1 | 1.7 | 2.5 | 5.1 | 7.3 | 7.1 | 6.5 | 62.4 |
จำนวนชั่วโมงแสงแดดเฉลี่ยรายเดือน | 149.8 | 158.9 | 185.5 | 210.0 | 248.1 | 281.1 | 329.3 | 296.7 | 224.7 | 199.0 | 155.2 | 136.5 | 2574.7 |
อุณหภูมิน้ำทะเลเฉลี่ย (°C) | 13.4 | 13.0 | 13.4 | 14.6 | 18.0 | 21.8 | 23.1 | 23.6 | 22.2 | 19.6 | 17.4 | 14.9 | 17.9 |
ที่มา 1: Météo-France (อุณหภูมิ, ปริมาณน้ำฝน, แสงแดด) ที่มา 2: Weather Atlas (อุณหภูมิน้ำทะเล) |
4.3. โครงการขยายอาณาเขต

โมนาโกมีประวัติศาสตร์การขยายอาณาเขตผ่านการการถมทะเลมาอย่างยาวนานเพื่อเอาชนะข้อจำกัดด้านพื้นที่ หลังจากมีการขยายท่าเรือแอร์กูล พื้นที่ทั้งหมดของโมนาโกได้เพิ่มขึ้นเป็น 2.08 km2 ต่อมามีแผนการอนุมัติให้ขยายเขตฟงวีแยย์เพิ่มอีก 0.08 km2 หรือ 8 ha โดยการถมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
โครงการสำคัญล่าสุดคือ เลอปอร์ตีเย (Anse du Portierอ็องส์ดูว์ปอร์ตีเยภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งเริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ. 2015 และเปิดใช้งานในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2024 โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน ร้านค้า และพื้นที่สีเขียวเพิ่มเติมประมาณ 6 ha การขยายอาณาเขตเหล่านี้แม้จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนพื้นที่ แต่ก็ก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเลและระบบนิเวศชายฝั่ง รวมถึงผลกระทบทางสังคม เช่น การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์และแรงกดดันต่อโครงสร้างพื้นฐานเดิม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลโมนาโกได้พยายามดำเนินโครงการเหล่านี้ควบคู่ไปกับการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีการศึกษาผลกระทบและมาตรการลดผลกระทบเหล่านั้น
4.4. สถาปัตยกรรม

โมนาโกมีการผสมผสานรูปแบบสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย แต่รูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของราชรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมงเต-การ์โล คือสถาปัตยกรรมแบบเบลล์เอป็อก (Belle Époqueเบลล์เอป็อกภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งรุ่งเรืองที่สุดในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 สถาปัตยกรรมแบบนี้ปรากฏชัดเจนในมงเต-การ์โล กาสิโน (ค.ศ. 1878-79) และโรงอุปรากรมงเต-การ์โล (Salle Garnierซาลการ์นีเยภาษาฝรั่งเศส) ที่ออกแบบโดยชาร์ล การ์นีเย (Charles Garnierชาร์ล การ์นีเยภาษาฝรั่งเศส) และฌูลส์ ดูตรู (Jules Dutrouฌูลส์ ดูตรูภาษาฝรั่งเศส) องค์ประกอบตกแต่งที่โดดเด่น ได้แก่ หอคอยเล็ก ๆ ระเบียง ยอดแหลมบนหลังคา กระเบื้องเซรามิกหลากสี และรูปปั้นสตรีค้ำยัน (caryatidsแคริอะทิดส์ภาษาอังกฤษ) องค์ประกอบเหล่านี้ถูกผสมผสานกันเพื่อสร้างภาพลักษณ์แห่งความสุขและความหรูหราอันงดงาม และเป็นการแสดงออกที่น่าดึงดูดใจว่าโมนาโกพยายามนำเสนอตัวเองอย่างไรทั้งในอดีตและปัจจุบัน
สถาปัตยกรรมแบบผสมผสาน (capriccioกาปรีชโชภาษาอิตาลี) ระหว่างองค์ประกอบแบบฝรั่งเศส อิตาลี และสเปนนี้ถูกนำมาใช้ในการสร้างคฤหาสน์และอพาร์ตเมนต์แบบฮาเซียนดา (haciendaอาเซียนดาภาษาสเปน)
หลังจากการพัฒนาครั้งใหญ่ในช่วงทศวรรษที่ 1970 เจ้าชายแรนีเยที่ 3 แห่งโมนาโกได้สั่งห้ามการก่อสร้างอาคารสูงในราชรัฐ อย่างไรก็ตาม เจ้าชายอาลแบร์ที่ 2 แห่งโมนาโก ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ได้ทรงยกเลิกพระราชโองการนี้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การรื้อถอนมรดกทางสถาปัตยกรรมของโมนาโกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงคฤหาสน์แบบครอบครัวเดี่ยว ได้สร้างความกังวลใจ ราชรัฐแห่งนี้ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองมรดกทางสถาปัตยกรรมที่ชัดเจน ทำให้เกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับการรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนาสมัยใหม่และการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม
5. เศรษฐกิจ

เศรษฐกิจของโมนาโกมีลักษณะเฉพาะตัว โดยพึ่งพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว บริการทางการเงิน และอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก นโยบายการคลังที่โดดเด่นคือการเป็นดินแดนปลอดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งดึงดูดผู้มีฐานะร่ำรวยจากทั่วโลกเข้ามาอาศัยและลงทุน อย่างไรก็ตาม สถานะนี้ก็นำมาซึ่งความท้าทายเกี่ยวกับความโปร่งใสทางการเงินและข้อกล่าวหาเรื่องการเป็นศูนย์กลางการฟอกเงิน โครงสร้างเศรษฐกิจของโมนาโกแม้จะสร้างความมั่งคั่ง แต่ก็ก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความเท่าเทียมทางสังคมและผลกระทบต่อกลุ่มแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานข้ามชาติที่เดินทางเข้ามาทำงานในแต่ละวัน
5.1. อุตสาหกรรมหลัก

เศรษฐกิจของโมนาโกขับเคลื่อนด้วยหลายอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่
- การท่องเที่ยว: เป็นแหล่งรายได้สำคัญมาอย่างยาวนาน โมนาโกดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยสภาพอากาศที่น่ารื่นรมย์ ทิวทัศน์ที่สวยงาม โรงแรมหรู และกิจกรรมระดับโลก เช่น การแข่งขันรถสูตรหนึ่งโมนาโกกรังด์ปรีซ์
- อุตสาหกรรมกาสิโน: มงเต-การ์โล กาสิโน เป็นสัญลักษณ์และเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สร้างความมั่งคั่งให้กับโมนาโกตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ดึงดูดนักพนันและผู้มีฐานะจากทั่วโลก
- บริการทางการเงิน: โมนาโกเป็นศูนย์กลางการธนาคารที่สำคัญ โดยมีมูลค่าเงินทุนหมุนเวียนกว่า 100.00 B EUR ธนาคารในโมนาโกเชี่ยวชาญด้านการให้บริการธนาคารส่วนบุคคล การจัดการสินทรัพย์และความมั่งคั่ง
- อสังหาริมทรัพย์: ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในโมนาโกมีราคาแพงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยราคาที่ดินในปี ค.ศ. 2018 สูงถึง 100.00 K EUR ต่อตารางเมตร ความต้องการที่อยู่อาศัยสูงทำให้มีการพัฒนาโครงการถมทะเลเพื่อเพิ่มพื้นที่
- อุตสาหกรรมขนาดเล็กที่มีมูลค่าเพิ่มสูง: โมนาโกพยายามกระจายฐานเศรษฐกิจไปสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ก่อมลพิษและมีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น เครื่องสำอาง และเทคโนโลยีชีวภาพ
แม้ว่าอุตสาหกรรมเหล่านี้จะสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ แต่ก็มีผลกระทบทางสังคมและด้านแรงงานที่ต้องพิจารณา ประชากรส่วนใหญ่ที่ทำงานในโมนาโกเป็นแรงงานข้ามชาติที่เดินทางมาจากฝรั่งเศสและอิตาลีทุกวัน (กว่า 48,000 คน) นอกจากนี้ สถานะการเป็นศูนย์กลางทางการเงินยังทำให้โมนาโกเผชิญกับปัญหาการการฟอกเงิน และถูกจับตามองจากองค์กรระหว่างประเทศ
5.2. ระบบภาษีและการเงิน
โมนาโกมีชื่อเสียงในฐานะดินแดนภาษีต่ำ (tax havenแท็กซ์เฮเวนภาษาอังกฤษ) โดยไม่มีการเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ยกเว้นพลเมืองฝรั่งเศสที่อาศัยอยู่ในโมนาโกตามสนธิสัญญาระหว่างสองประเทศ) และมีอัตราภาษีธุรกิจที่ต่ำ สิ่งนี้ดึงดูดให้บุคคลผู้มีฐานะร่ำรวยและบริษัทจำนวนมากเข้ามาตั้งถิ่นฐานและดำเนินธุรกิจในโมนาโก อย่างไรก็ตาม โมนาโกมีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในอัตรา 20% และภาษีประกันสังคมที่ค่อนข้างสูง โดยนายจ้างต้องจ่ายสมทบระหว่าง 28% ถึง 40% (เฉลี่ย 35%) ของเงินเดือนรวมผลประโยชน์ และลูกจ้างจ่ายอีก 10% ถึง 14% (เฉลี่ย 13%)

รัฐบาลโมนาโกยังคงผูกขาดในหลายภาคส่วน เช่น ยาสูบและบริการไปรษณีย์ เครือข่ายโทรศัพท์ (Monaco Telecom) เคยเป็นของรัฐทั้งหมด แต่ปัจจุบันรัฐถือหุ้นเพียง 45% ส่วนที่เหลือเป็นของ Cable & Wireless Communications (49%) และ Compagnie Monégasque de Banque (6%)

ในฐานะศูนย์กลางทางการเงิน โมนาโกมีเงินทุนหมุนเวียนกว่า 100.00 B EUR และธนาคารต่าง ๆ เชี่ยวชาญด้านบริการธนาคารส่วนบุคคล การจัดการสินทรัพย์และความมั่งคั่ง อย่างไรก็ตาม สถานะนี้ทำให้โมนาโกถูกจับตามองในประเด็นการการฟอกเงิน ในอดีต องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) และคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน (FATF) ได้เคยระบุถึงความกังวลเกี่ยวกับความโปร่งใสและการให้ความร่วมมือในการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินของโมนาโก แม้ว่าโมนาโกจะพยายามปรับปรุงและได้รับการถอดออกจาก "บัญชีสีเทา" ในบางช่วง แต่ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2024 FATF ได้จัดให้โมนาโกอยู่ในรายชื่อประเทศที่ต้องมีการตรวจสอบเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เพื่อต่อต้านการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายอย่างต่อเนื่องในด้านความโปร่งใสทางการเงินของราชรัฐ


5.3. สกุลเงิน
ปัจจุบันราชรัฐโมนาโกใช้สกุลเงินยูโร (Euroยูโรภาษาอังกฤษ, สัญลักษณ์: €; รหัส: EUR) เป็นสกุลเงินอย่างเป็นทางการ แม้ว่าโมนาโกจะไม่ได้เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป แต่ก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดผ่านสหภาพศุลกากรกับฝรั่งเศส และได้รับอนุญาตให้ใช้เงินยูโรตามข้อตกลงกับสภาแห่งสหภาพยุโรป
ก่อนปี ค.ศ. 2002 โมนาโกใช้สกุลเงินของตนเองคือ ฟรังก์โมนาโก (Franc monégasqueฟรังก์โมเนกาสก์ภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งผูกค่าเงินไว้กับฟรังก์ฝรั่งเศส เมื่อมีการเปลี่ยนมาใช้เงินยูโร โมนาโกได้รับสิทธิ์ในการผลิตเหรียญยูโรที่มีการออกแบบด้านหน้าเป็นของตนเอง การผลิตเหรียญยูโรของโมนาโกเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการนำมาใช้ในปี ค.ศ. 2002 เช่นเดียวกับเบลเยียม ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และสเปน โมนาโกตัดสินใจประทับปีที่ผลิตเหรียญลงบนเหรียญ ทำให้เหรียญยูโรชุดแรกของโมนาโกมีปี ค.ศ. 2001 ประทับอยู่ แทนที่จะเป็นปี ค.ศ. 2002 ซึ่งเป็นปีที่เริ่มใช้หมุนเวียนจริงในกลุ่มประเทศยูโรโซนส่วนใหญ่ การออกแบบเหรียญมีการเปลี่ยนแปลงในปี ค.ศ. 2006 หลังจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายแรนีเยที่ 3 เพื่อเปลี่ยนเป็นพระรูปของเจ้าชายอาลแบร์ที่ 2
6. ประชากรศาสตร์
ประชากรของโมนาโกมีความหลากหลายทางเชื้อชาติและสัญชาติ โดยชาวโมนาโกพื้นเมืองเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศของตนเอง องค์ประกอบประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวฝรั่งเศสและอิตาลี นอกจากนี้ยังมีการใช้ภาษาหลายภาษา และมีศาสนาหลากหลายแม้ว่าโรมันคาทอลิกจะเป็นศาสนาประจำชาติก็ตาม ข้อมูลเกี่ยวกับชนกลุ่มน้อยและกลุ่มเปราะบางยังคงเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสนใจเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้รับการดูแลและมีส่วนร่วมในสังคมอย่างเท่าเทียม
6.1. สถิติประชากร
ณ ปี ค.ศ. 2023 (ประมาณการโดยสหประชาชาติเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม) ราชรัฐโมนาโกมีประชากรทั้งหมดประมาณ 36,297 คน ในปี ค.ศ. 2015 มีประชากร 38,400 คน ด้วยพื้นที่เพียง 2.08 km2 ทำให้โมนาโกเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหนาแน่นของประชากรสูงที่สุดในโลก
ลักษณะเด่นของประชากรโมนาโกคือ ชาวโมนาโกพื้นเมือง (Monégasquesโมเนกาสก์ภาษาฝรั่งเศส) เป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศของตนเอง โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 21.6% ของประชากรทั้งหมด (ประมาณ 9,500 คน ในช่วงทศวรรษ 2020) กลุ่มประชากรที่ใหญ่ที่สุดคือชาวฝรั่งเศส (28.4%) ตามมาด้วยชาวอิตาลี (18.7%) ชาวอังกฤษ (7.5%) ชาวเบลเยียม (2.8%) ชาวเยอรมัน (2.5%) ชาวสวิส (2.5%) ชาวอเมริกัน (1.2%) และสัญชาติอื่น ๆ (14.8%)
โมนาโกมีอายุขัยเฉลี่ยของประชากรสูงที่สุดในโลก เกือบ 90 ปี ซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานการครองชีพและระบบสาธารณสุขที่ดีเยี่ยม นอกจากนี้ กว่า 30% ของผู้พำนักอาศัยในโมนาโกเป็นเศรษฐีเงินล้าน
6.2. ภาษา

ภาษาราชการและภาษาหลักที่ใช้ในราชรัฐโมนาโกคือภาษาฝรั่งเศส นอกจากนี้ ภาษาอิตาลีก็มีการพูดกันอย่างแพร่หลายในหมู่ชุมชนชาวอิตาลีขนาดใหญ่ในราชรัฐ
ภาษาโมนาโก (Mùneguมูเนกูlij) ซึ่งเป็นภาษาพื้นเมืองดั้งเดิมและเป็นสำเนียงหนึ่งของภาษาลิกูเรียน ไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นภาษาราชการ ปัจจุบันมีผู้พูดเป็นภาษาแม่เพียงส่วนน้อย แต่ยังคงมีการสอนในโรงเรียนและปรากฏบนป้ายถนนบางแห่งควบคู่ไปกับภาษาฝรั่งเศส โดยเฉพาะในเขตโมนาโก-วีل
ภาษาอังกฤษก็เป็นภาษาที่ใช้กันทั่วไปและเป็นที่เข้าใจโดยผู้พำนักอาศัยจำนวนมาก โดยเฉพาะในภาคธุรกิจและการท่องเที่ยว
ในอดีต ภาษาอิตาลีเคยเป็นภาษาราชการในโมนาโกจนถึงปี ค.ศ. 1860 ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยภาษาฝรั่งเศส อันเนื่องมาจากการผนวกเคาน์ตีนิสโดยรอบเข้ากับฝรั่งเศสตามสนธิสัญญาตูริน
6.3. ศาสนา

จากการสำรวจของ Pew Research Center ในปี ค.ศ. 2012 ศาสนาหลักในโมนาโกคือศาสนาคริสต์ (86% ของประชากร) รองลงมาคือผู้ที่ไม่มีศาสนา (11.7%) ศาสนายูดาห์ (1.7%) ศาสนาอิสลาม (0.4%) และศาสนาอื่น ๆ (0.2%) ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเป็นศาสนาประจำชาติของโมนาโก รัฐธรรมนูญรับรองเสรีภาพในการนับถือศาสนาอื่น ๆ โมนาโกมีโบสถ์คาทอลิก 5 แห่ง และมีอาสนวิหารแม่พระปฏิสนธินิรมล ซึ่งเป็นที่ตั้งของอัครมุขนายกแห่งโมนาโก นักบุญองค์อุปถัมภ์ของโมนาโกคือนักบุญเดโวตา
นอกจากนี้ยังมีชุมชนคริสเตียนนิกายอื่น ๆ เช่น คริสตจักรปฏิรูป (Église Réforméeเอ็กลีซเรฟอร์เมภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งมีโบสถ์ตั้งอยู่ที่ถนนหลุยส์ โนตารี (Rue Louis Notariรูหลุยส์โนตารีภาษาฝรั่งเศส) และมีความเชื่อมโยงกับคริสตจักรสหโปรเตสแตนต์แห่งฝรั่งเศส (Église Protestante Unie de Franceเอ็กลีซโปรแตสต็องต์อูว์นีเดอฟร็องส์ภาษาฝรั่งเศส) รวมถึงคริสตจักรแองกลิกัน (โบสถ์เซนต์พอล) ซึ่งตั้งอยู่ในย่านมงเต-การ์โล และยังเป็นที่ตั้งของห้องสมุดภาษาอังกฤษขนาดใหญ่อีกด้วย มีคริสตจักรกรีกออร์ทอดอกซ์หนึ่งแห่ง และชุมชนโปรเตสแตนต์อีแวนเจลิคัลอื่น ๆ ที่รวมตัวกันเป็นระยะ
สำหรับศาสนาอื่น ๆ ศาสนายูดาห์มีผู้นับถือประมาณ 1.7% - 2.9% โดยมีธรรมศาลา ชุมชนโรงเรียนฮีบรู และร้านขายอาหารโคเชอร์ตั้งอยู่ในมงเต-การ์โล ประชากรชาวยิวส่วนใหญ่เป็นผู้เกษียณอายุจากอังกฤษและแอฟริกาเหนือ โดยแบ่งเป็นชาวเซฟาร์ดีและอัชเคนาซิอย่างละครึ่ง ส่วนศาสนาอิสลามมีผู้นับถือประมาณ 0.4% - 0.8% (ประมาณ 280 คน) ส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับและมีชาวตุรกีเป็นชนกลุ่มน้อย โมนาโกไม่มีมัสยิดอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ยังมีประชากรชาวฮินดูประมาณ 100 คนในประเทศ
7. การศึกษา
ระบบการศึกษาของโมนาโกมีความคล้ายคลึงกับระบบของฝรั่งเศส โดยมีการศึกษาภาคบังคับสำหรับเด็กอายุ 6 ถึง 16 ปี มีทั้งสถาบันการศึกษาของรัฐและเอกชนที่สำคัญให้บริการตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงอุดมศึกษา
7.1. การศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา

โมนาโกมีโรงเรียนที่ดำเนินการโดยรัฐจำนวน 10 แห่ง ได้แก่
- โรงเรียนอนุบาลและประถมศึกษา 7 แห่ง
- โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น 1 แห่ง คือ Collège Charles III
- โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย (lycéeลีเซภาษาฝรั่งเศส) ที่สอนทั้งสายสามัญและสายเทคโนโลยี 1 แห่ง คือ Lycée Albert Ier
- โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายที่สอนสายอาชีวศึกษาและการโรงแรม 1 แห่ง คือ Lycée technique et hôtelier de Monte-Carloลีเซเทคนิคเอโอเตอลิเยเดอมงเต-การ์โลภาษาฝรั่งเศส
นอกจากนี้ ยังมีโรงเรียนเอกชนที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ 2 แห่ง คือ Institution François d'Assise Nicolas Barréแอ็งสติตูว์ซียงฟร็องซัวดาซีสนีกอลาบาเรภาษาฝรั่งเศส และ École des Sœurs Dominicainesเอกอลเดเซอร์ดอมีนิกาแนซภาษาฝรั่งเศส รวมถึงโรงเรียนนานาชาติอีก 1 แห่ง คือ International School of Monaco ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1994
ระบบการศึกษาภาคบังคับของโมนาโกครอบคลุมตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยนักเรียนสามารถเลือกเรียนในสายสามัญ หรือสายเทคนิค/การโรงแรมได้ตามความสนใจและความถนัด
7.2. การศึกษาระดับอุดมศึกษา
ในระดับอุดมศึกษา โมนาโกมีสถาบันการศึกษาที่สำคัญคือ International University of Monaco (IUM) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสอน เน้นสาขาบริหารธุรกิจ และดำเนินการโดยกลุ่ม Institut des hautes études économiques et commercialesแอ็งสติตูว์เดโซตเซตูด์เศกอนอมิกเอคอมแมร์ซียาลภาษาฝรั่งเศส (INSEEC) IUM เปิดสอนหลักสูตรระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก รวมถึงหลักสูตรระยะสั้นสำหรับผู้บริหาร
8. วัฒนธรรม
วัฒนธรรมของโมนาโกเป็นการผสมผสานระหว่างอิทธิพลของฝรั่งเศสและอิตาลี เข้ากับเอกลักษณ์เฉพาะตัวของราชรัฐ สะท้อนให้เห็นผ่านสถาปัตยกรรม อาหาร ดนตรี ศิลปะ พิพิธภัณฑ์ และเทศกาลต่าง ๆ โดยมีการส่งเสริมการแสดงออกทางวัฒนธรรมที่หลากหลายและเปิดรับความเป็นสากล
8.1. อาหาร

อาหารและวัฒนธรรมการกินแบบดั้งเดิมของโมนาโกเป็นอาหารแบบอาหารเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างมากจากแคว้นพรอว็องส์ของฝรั่งเศสและแคว้นลีกูเรียของอิตาลีที่อยู่ใกล้เคียง นอกจากนี้ยังมีประเพณีการทำอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของโมนาโกเองด้วย ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงสองแห่งในโมนาโก ได้แก่ เลอ หลุยส์ แก็งซ์ (Le Louis XVเลอลุยส์แก็งซ์ภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งปัจจุบันได้รับดาวมิชลินสามดวง และกาเฟเดอปารี (Café de Parisกาเฟเดอปารีภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งตั้งอยู่ติดกับกาสิโนและเปิดให้บริการครั้งแรกในปี ค.ศ. 1868 แม้ว่าจะมีการปรับปรุงหลายครั้งตลอดอายุการใช้งาน
8.2. ดนตรีและศิลปะการแสดง

โมนาโกมีมรดกทางดนตรีและศิลปะการแสดงที่รุ่มรวย คณะศิลปะการแสดงหลักที่สำคัญ ได้แก่:
- โรงอุปรากรมงเต-การ์โล (Opéra de Monte-Carloโอเปราเดอมงเต-การ์โลภาษาฝรั่งเศส): เป็นโรงอุปรากรที่มีชื่อเสียงระดับโลก ตั้งอยู่ในอาคารเดียวกับมงเต-การ์โล กาสิโน มีการแสดงอุปรากรและคอนเสิร์ตคลาสสิกคุณภาพสูงตลอดทั้งปี
- วงออร์เคสตราฟิลฮาร์มอนิกมงเต-การ์โล (Orchestre Philharmonique de Monte-Carloออร์แกสเตรอฟิลาร์มอนิกเดอมงเต-การ์โลภาษาฝรั่งเศส): ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1856 เป็นวงออร์เคสตราที่มีชื่อเสียงและมีประวัติศาสตร์ยาวนาน จัดแสดงคอนเสิร์ตทั้งในโมนาโกและต่างประเทศ
- คณะบัลเลต์มงเต-การ์โล (Les Ballets de Monte-Carloเลบัลเลต์เดอมงเต-การ์โลภาษาฝรั่งเศส): ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1985 โดยเจ้าหญิงกาโรลีนแห่งฮาโนเวอร์ เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของคณะบัลเลต์รัสเซีย (Ballets Russesบัลเลต์รุสภาษาฝรั่งเศส) ที่เคยมีชื่อเสียงในมงเต-การ์โลในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 คณะบัลเลต์นี้มีชื่อเสียงด้านการแสดงบัลเลต์คลาสสิกและร่วมสมัย
โมนาโกเคยเข้าร่วมการแข่งขันการประกวดเพลงยูโรวิชันเป็นประจำระหว่างปี ค.ศ. 1959-1979 และ ค.ศ. 2004-2006 โดยได้รับชัยชนะในปี ค.ศ. 1971 แม้ว่าศิลปินที่เข้าร่วมในนามราชรัฐส่วนใหญ่จะไม่ได้เป็นชาวโมนาโกโดยกำเนิดก็ตาม อย่างไรก็ตาม มีนุช บาเรลลี (Minouche Barelliมีนุช บาเรลลีภาษาฝรั่งเศส) นักร้องชาวฝรั่งเศส ได้รับสัญชาติโมนาโกในปี ค.ศ. 2002 หลังจากเป็นตัวแทนราชรัฐในการประกวดปี ค.ศ. 1967 เป็นเวลา 35 ปี
8.3. พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์

โมนาโกมีพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ที่น่าสนใจหลายแห่ง ซึ่งสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความสนใจทางวิทยาศาสตร์ของราชรัฐ สถานที่สำคัญ ได้แก่:
- พิพิธภัณฑ์สมุทรศาสตร์โมนาโก (Musée océanographique de Monacoมูว์เซโอเซอานอาริกเดอมอนาโกภาษาฝรั่งเศส): ก่อตั้งโดยเจ้าชายอาลแบร์ที่ 1 ในปี ค.ศ. 1910 เป็นหนึ่งในสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก จัดแสดงสิ่งมีชีวิตทางทะเลหลากหลายชนิด รวมถึงพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่ และมีความมุ่งมั่นในการวิจัยและการอนุรักษ์ทางทะเล
- พิพิธภัณฑ์นโปเลียนและหอจดหมายเหตุพระราชวัง (Musée napoléonien et des archives du palais princierมูว์เซนาโปเลโอเนียงเอเดซาร์ชีฟดูว์ปาแลแพร็งซีเยภาษาฝรั่งเศส): ตั้งอยู่ในส่วนหนึ่งของพระราชวังเจ้าชาย จัดแสดงของสะสมส่วนพระองค์ของเจ้าชายหลุยส์ที่ 2 ที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดินโปเลียน โบนาปาร์ต และประวัติศาสตร์ของราชวงศ์กรีมัลดี (ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์นี้ปิดปรับปรุงถาวร และของสะสมบางส่วนอาจถูกย้ายไปจัดแสดงที่อื่นหรือเก็บรักษา)
- พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยแห่งชาติแห่งใหม่แห่งโมนาโก (Nouveau Musée National de Monaco, NMNMนูโวมูว์เซนาซียงนาลเดอมอนาโก, เอ็นเอ็มเอ็นเอ็มภาษาฝรั่งเศส): ประกอบด้วยสองสถานที่คือ วิลลา ปาโลมา (Villa Palomaวิลลาปาโลมาภาษาฝรั่งเศส) และวิลลา ซูแบร์ (Villa Sauberวิลลาซูแบร์ภาษาฝรั่งเศส) จัดแสดงนิทรรศการศิลปะร่วมสมัยและผลงานที่เกี่ยวข้องกับมรดกทางวัฒนธรรมของราชรัฐ
- พิพิธภัณฑ์ตราไปรษณียากรและเหรียญกษาปณ์ (Musée des Timbres et des Monnaiesมูว์เซเดแต็งบร์เอเดมอแนภาษาฝรั่งเศส): จัดแสดงคอลเลกชันตราไปรษณียากรและเหรียญกษาปณ์ของโมนาโก ซึ่งสะท้อนถึงประวัติศาสตร์และความเป็นอิสระของราชรัฐ
- พิพิธภัณฑ์รถยนต์โบราณของเจ้าชายแห่งโมนาโก (Collection de voitures de S.A.S. le Prince de Monacoกอเล็กซียงเดอวัวตูร์เดอแอ็สอาแอ็สเลอแพร็งส์เดอมอนาโกภาษาฝรั่งเศส): จัดแสดงรถยนต์โบราณและรถแข่งคอลเลกชันส่วนพระองค์ของเจ้าชายแรนีเยที่ 3 และเจ้าชายอาลแบร์ที่ 2
- พิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยาก่อนประวัติศาสตร์ (Musée d'Anthropologie préhistoriqueมูว์เซด็องโทรปอโลฌีพรีอิสทอริกภาษาฝรั่งเศส): ก่อตั้งโดยเจ้าชายอาลแบร์ที่ 1 จัดแสดงหลักฐานทางโบราณคดีและซากดึกดำบรรพ์ที่ค้นพบในโมนาโกและบริเวณโดยรอบ เผยให้เห็นถึงประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในภูมิภาคนี้
- สถาบันโสตทัศนูปกรณ์แห่งโมนาโก (Institut Audiovisuel de Monacoแอ็งสติตูว์โอดีโยวิซูแอลเดอมอนาโกภาษาฝรั่งเศส): ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1997 มีเป้าหมายเพื่ออนุรักษ์หอจดหมายเหตุทางโสตทัศนูปกรณ์ และแสดงให้เห็นว่าราชรัฐโมนาโกถูกนำเสนอในภาพยนตร์อย่างไร
นอกจากนี้ โมนาโกยังมีผลงานศิลปะสาธารณะ รูปปั้น และอนุสรณ์สถานต่าง ๆ กระจายอยู่ทั่วราชรัฐ
8.4. เทศกาลและกิจกรรมสำคัญ
โมนาโกเป็นเจ้าภาพจัดเทศกาลและกิจกรรมระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียงหลายรายการตลอดทั้งปี ซึ่งดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก กิจกรรมสำคัญบางส่วน ได้แก่:
- เทศกาลละครสัตว์นานาชาติมงเต-การ์โล (Festival International du Cirque de Monte-Carloเฟสตีวาลแอ็งแตร์นาซียงนาลดูว์ซีร์กเดอมงเต-การ์โลภาษาฝรั่งเศส): จัดขึ้นทุกปีในเดือนมกราคม เป็นหนึ่งในเทศกาลละครสัตว์ที่มีชื่อเสียงและทรงเกียรติที่สุดในโลก ก่อตั้งโดยเจ้าชายแรนีเยที่ 3 ในปี ค.ศ. 1974
- เทศกาลโทรทัศน์มงเต-การ์โล (Festival de Télévision de Monte-Carloเฟสตีวาลเดอเทเลวิซิยงเดอมงเต-การ์โลภาษาฝรั่งเศส): จัดขึ้นทุกปีในเดือนมิถุนายน เป็นงานที่มอบรางวัลให้กับรายการโทรทัศน์และผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ยอดเยี่ยมจากทั่วโลก มีการมอบรางวัล Golden Nymph Awardsโกลเดนนิมฟ์อะวอดส์ภาษาอังกฤษ ในงานนี้
- งานแสดงเรือยอชต์โมนาโก (Monaco Yacht Showโมนาโกยอตโชว์ภาษาอังกฤษ): จัดขึ้นทุกปีในเดือนกันยายน เป็นงานแสดงเรือซูเปอร์ยอชต์ที่ใหญ่ที่สุดและหรูหราที่สุดในโลก จัดแสดงเรือยอชต์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดและดึงดูดผู้ซื้อและผู้ที่สนใจในอุตสาหกรรมเรือยอชต์
- โมนาโกกรังด์ปรีซ์ (Grand Prix de Monacoกร็องปรีเดอมอนาโกภาษาฝรั่งเศส): การแข่งขันรถสูตรหนึ่ง (F1) ที่มีชื่อเสียงที่สุดรายการหนึ่งของโลก จัดขึ้นบนถนนในเมืองมงเต-การ์โล เป็นการแข่งขันที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและท้าทายความสามารถของนักแข่งอย่างมาก (รายละเอียดเพิ่มเติมอยู่ในส่วนกีฬา)
- Mondial du Théâtreมงดียาลดูว์เตอาตร์ภาษาฝรั่งเศส (เทศกาลละครสมัครเล่นโลก): จัดขึ้นทุก ๆ สี่ปี เป็นเทศกาลที่รวบรวมคณะละครสมัครเล่นจากทั่วโลกมาแสดงผลงานและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
- เทศกาลขนมปัง (Bread Festivalเบรดเฟสติวัลภาษาอังกฤษ): จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันที่ 17 กันยายน
8.5. สวนสาธารณะและสวน


แม้จะมีพื้นที่จำกัด โมนาโกก็มีสวนสาธารณะและสวนที่สวยงามหลายแห่ง ซึ่งเป็นโอเอซิสสีเขียวสำหรับผู้พักอาศัยและนักท่องเที่ยว สวนที่สำคัญ ได้แก่:
- สวนพฤกษชาติโมนาโก (Jardin Exotique de Monacoฌาร์แด็งแอกซอติกเดอมอนาโกภาษาฝรั่งเศส): ตั้งอยู่บนหน้าผา มองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของราชรัฐและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สวนแห่งนี้รวบรวมพืชอวบน้ำและกระบองเพชรหลายพันชนิดจากทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีถ้ำหินงอกหินย้อย (Grotte de l'Observatoireกร็อตเดอล็อบแซร์วาตัวร์ภาษาฝรั่งเศส) ให้เข้าชม
- สวนญี่ปุ่น (Jardin Japonaisฌาร์แด็งฌาโปแนภาษาฝรั่งเศส): สร้างขึ้นตามหลักการออกแบบสวนแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม เป็นสถานที่เงียบสงบ มีสระน้ำ น้ำตก สะพาน และพืชพรรณแบบญี่ปุ่น
- สวนกุหลาบเจ้าหญิงเกรซ (Roseraie Princesse Graceโรเซอรีแพร็งเซสเกรซภาษาฝรั่งเศส): ตั้งอยู่ในเขตฟงวีแยย์ สวนแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่เจ้าหญิงเกรซ มีกุหลาบกว่า 300 สายพันธุ์ จำนวนหลายพันต้น
- สวนแซ็ง-มาร์แต็ง (Jardins de Saint-Martinฌาร์แด็งเดอแซ็ง-มาร์แต็งภาษาฝรั่งเศส): ตั้งอยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์สมุทรศาสตร์ เป็นสวนสาธารณะเก่าแก่ที่มองเห็นวิวทะเล มีทางเดินเล่นและรูปปั้นประดับ
- สวนกาซีโนและลานระเบียง (Jardins du Casino et Terrassesฌาร์แด็งดูว์กาซีโนเอแตราสภาษาฝรั่งเศส): บริเวณโดยรอบมงเต-การ์โล กาสิโน มีการจัดสวนอย่างสวยงาม เป็นจุดชมวิวยอดนิยม
- สวนแอฟริกัน (Jardin Africainฌาร์แด็งอาฟริแก็งภาษาฝรั่งเศส): ส่วนหนึ่งของสวนพฤกษชาติ จัดแสดงพืชพรรณจากทวีปแอฟริกา
9. กีฬา
โมนาโกมีบทบาทสำคัญในวงการกีฬาระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกีฬายานยนต์ นอกจากนี้ยังมีทีมฟุตบอลที่มีชื่อเสียง และเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติหลายรายการ
9.1. กีฬายานยนต์

กีฬายานยนต์เป็นส่วนสำคัญของเอกลักษณ์และเศรษฐกิจของโมนาโก การแข่งขันที่มีชื่อเสียงระดับโลกจัดขึ้นที่นี่ ได้แก่:
- โมนาโกกรังด์ปรีซ์ (Grand Prix de Monacoกร็องปรีเดอมอนาโกภาษาฝรั่งเศส): หนึ่งในการแข่งขันรถสูตรหนึ่ง (F1) ที่มีชื่อเสียงและทรงเกียรติที่สุดในโลก จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1929 บนถนนในเมืองมงเต-การ์โล (Circuit de Monacoซีร์กุยเดอมอนาโกภาษาอังกฤษ) ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความคับแคบ ท้าทาย และเต็มไปด้วยโค้งอันตราย เช่น โค้งโรงแรมแฟร์มอนท์ (เดิมชื่อโค้งโลวส์) ซึ่งเป็นหนึ่งในโค้งที่ช้าที่สุดในปฏิทิน F1 การสร้างสนามแข่งใช้เวลาหกสัปดาห์ และการรื้อถอนหลังการแข่งขันใช้เวลาอีกสามสัปดาห์
- มงเต-การ์โลแรลลี (Rallye Automobile Monte-Carloราลลีโอโตโมบิลมงเต-การ์โลภาษาฝรั่งเศส): การแข่งขันแรลลีที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เริ่มจัดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1911 โดยพระดำริของเจ้าชายอาลแบร์ที่ 1 จัดโดยสโมสรรถยนต์แห่งโมนาโก (Automobile Club de Monacoโอโตโมบิลคลับเดอมอนาโกภาษาฝรั่งเศส) เช่นเดียวกับกรังด์ปรีซ์ ถือเป็นการแข่งขันแรลลีที่ยากและมีชื่อเสียงที่สุดรายการหนึ่ง เคยเป็นส่วนหนึ่งของรายการแรลลีชิงแชมป์โลก (WRC) ในช่วงปี ค.ศ. 1973-2008 และกลับมาอยู่ในปฏิทิน WRC อีกครั้งตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 เนื่องจากข้อจำกัดด้านพื้นที่ของโมนาโก การแข่งขันส่วนใหญ่จึงจัดขึ้นในดินแดนฝรั่งเศส
- โมนาโกอีปรีซ์ (Monaco ePrixโมนาโกอีปรีซ์ภาษาอังกฤษ): การแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้าฟอร์มูลาอี เริ่มจัดขึ้นในปี ค.ศ. 2015 โดยจัดสลับปีกับการแข่งขันฮิสตอริกกรังด์ปรีซ์แห่งโมนาโก (Historic Grand Prix of Monacoฮิสตอริกกร็องปรีซ์ออฟโมนาโกภาษาอังกฤษ) ในช่วงแรกใช้เส้นทางที่สั้นกว่าสนาม F1 รอบท่าเรือแอร์กูล ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้เส้นทางเดียวกับ F1 ในปี ค.ศ. 2021 ทีมแข่งรถ Venturi Racing ซึ่งเป็นทีมเดียวที่มีฐานอยู่ในราชรัฐ (เขตฟงวีแยย์) เป็นหนึ่งในทีมผู้ก่อตั้งการแข่งขันฟอร์มูลาอี
นอกจากการแข่งขันหลักเหล่านี้ สนามแข่งเซอร์กิตเดอมอนาโกยังเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันสนับสนุนอื่น ๆ เช่น FIA Formula 2 Championship, Porsche Supercup และ Formula Regional European Championship
9.2. ฟุตบอล

สโมสรฟุตบอล อาแอ็ส มอนาโก เอฟซี (AS Monaco FCอาแอ็สโมนาโกเอฟซีภาษาฝรั่งเศส) เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพที่มีชื่อเสียงของโมนาโก ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1924 และแข่งขันในลีกเอิง ซึ่งเป็นลีกสูงสุดของฝรั่งเศส สโมสรนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานและประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยคว้าแชมป์ลีกเอิงมาแล้ว 8 สมัย (ล่าสุดในฤดูกาล 2016-17) และเคยเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในปี 2004 นักฟุตบอลชื่อดังระดับโลกหลายคนเคยเล่นให้กับสโมสรนี้ เช่น ตีแยรี อ็องรี, ฟาเบียง บาร์เตซ, ดาวิด เทรเซเกต์ และกีลียาน อึมบาเป สนามเหย้าของสโมสรคือ สตาดหลุยส์เดอ (Stade Louis IIสตาดหลุยส์เดอภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งตั้งอยู่ในเขตฟงวีแยย์ สนามแห่งนี้ยังเคยเป็นสถานที่จัดการแข่งขันยูฟ่าซูเปอร์คัพประจำปีระหว่างปี ค.ศ. 1998 ถึง 2012 ด้วย
นอกจากทีมชายแล้ว ยังมีทีมฟุตบอลหญิง OS Monaco ซึ่งแข่งขันในลีกระดับภูมิภาคของฝรั่งเศส
ฟุตบอลทีมชาติโมนาโกเป็นตัวแทนของราชรัฐในการแข่งขันระดับนานาชาติ แต่ไม่ได้เป็นสมาชิกของฟีฟ่าหรือยูฟ่า ดังนั้นจึงไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกหรือฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป แต่เป็นสมาชิกของสมาพันธ์สมาคมฟุตบอลอิสระ (CONIFA) ซึ่งจัดการแข่งขันสำหรับทีมชาติที่ไม่ได้เป็นสมาชิกฟีฟ่า
9.3. กีฬาอื่น ๆ
- เทนนิส: มอนติคาร์โลมาสเตอร์ส (Monte-Carlo Mastersมอนติคาร์โลมาสเตอร์สภาษาอังกฤษ) เป็นการแข่งขันเทนนิสอาชีพชายที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในรอกเกอบรูน-กัป-มาร์แต็ง ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ติดกับโมนาโก เป็นส่วนหนึ่งของเอทีพี ทัวร์ มาสเตอร์ส 1000 เริ่มจัดการแข่งขันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1897
- กรีฑา: การแข่งขันกรีฑารายการ แอร์กูลิสอีบีเอส (Herculis EBSแอร์กูลิสอีบีเอสภาษาอังกฤษ) เป็นส่วนหนึ่งของไดมอนด์ลีก จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่สตาดหลุยส์เดอ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993 สำนักงานใหญ่ของกรีฑาโลก (World Athleticsเวิลด์แอธเลติกส์ภาษาอังกฤษ เดิมชื่อ สมาคมสหพันธ์กรีฑานานาชาติ - IAAF) ก็ตั้งอยู่ในโมนาโก
- โอลิมปิก: โมนาโกเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมาอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นในปี ค.ศ. 1932, 1956 และ 1980 แม้ว่าจะยังไม่เคยได้รับเหรียญรางวัลในโอลิมปิกฤดูร้อนหรือฤดูหนาว แต่ในกีฬาโอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาว โมนาโกเคยได้รับเหรียญทองแดงจากกีฬาบ็อบสเลห์
- บาสเกตบอล: อาแอ็ส มอนาโก บาสเกต (AS Monaco Basketอาแอ็สโมนาโกบาสเกตภาษาฝรั่งเศส) ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1928 เป็นส่วนหนึ่งของสโมสรกีฬา อาแอ็ส มอนาโก เอฟซี ปัจจุบันทีมแข่งขันในยูโรลีก ซึ่งเป็นลีกบาสเกตบอลระดับสูงสุดของยุโรป และแอลเอ็นบี โปร อา (LNB Pro Aแอลเอ็นบีโปรอาภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งเป็นลีกสูงสุดของฝรั่งเศส ทีมเคยคว้าแชมป์ แอลเอ็นบี โปร อา ลีดเดอร์สคัพ 3 สมัย, แชมป์ แอลเอ็นบี โปร เบ (ลีกระดับสอง) 2 สมัย และแชมป์ นาซิอองนาล มาสกูแล็ง 1 (ลีกระดับสาม) 1 สมัย สนามเหย้าคือ ซาล กัสตง เมเดแซ็ง (Salle Gaston Médecinซาลกัสตงเมเดแซ็งภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสตาดหลุยส์เดอ
- มวยสากลอาชีพ: โมนาโกเคยเป็นสถานที่จัดการแข่งขันมวยสากลอาชีพระดับโลกหลายครั้ง ทั้งชิงแชมป์โลกและไม่ใช่ชิงแชมป์โลก โดยการแข่งขันส่วนใหญ่จัดขึ้นที่สตาดหลุยส์เดอ
- รักบี้: รักบี้ยูเนียนทีมชาติโมนาโก เข้าร่วมการแข่งขันในระดับนานาชาติ
- หมากรุก: ทีมหญิงของสโมสรหมากรุก CE Monte Carlo เคยชนะการแข่งขัน European Chess Club Cup หลายครั้ง
นอกจากนี้ โมนาโกยังเคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ตูร์เดอฟร็องส์ ในปี ค.ศ. 2009, การแข่งขัน Global Champions Tour (การแข่งขันขี่ม้ากระโดดข้ามเครื่องกีดขวางนานาชาติ), Monaco Marathon (มาราธอนเดียวในโลกที่วิ่งผ่านสามประเทศ คือ โมนาโก ฝรั่งเศส และอิตาลี), และการแข่งขันไตรกีฬา Monaco Ironman 70.3 รวมถึงการแข่งขันเรือพลังงานแสงอาทิตย์ Solar1 Monte Carlo Cup ในปี ค.ศ. 2014 Rainier III Nautical Stadiumสนามกีฬาทางน้ำแรนีเยที่ 3ภาษาฝรั่งเศส ในเขตท่าเรือแอร์กูล มีสระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิกน้ำเค็มปรับอุณหภูมิได้ ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นลานสเก็ตน้ำแข็งในช่วงเดือนธันวาคมถึงมีนาคม
10. การคมนาคม
โมนาโกมีระบบการคมนาคมที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพเพื่อรองรับประชากรและนักท่องเที่ยวจำนวนมาก แม้จะมีพื้นที่จำกัด ระบบขนส่งครอบคลุมทั้งทางราง ทางถนน ทางทะเล และทางอากาศ (ผ่านเฮลิคอปเตอร์)
10.1. การขนส่งทางราง

สถานีรถไฟหลักและแห่งเดียวของโมนาโกคือ สถานีรถไฟโมนาโก-มงเต-การ์โล (Gare de Monaco-Monte-Carloการ์เดอมอนาโก-มงเต-การ์โลภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งให้บริการโดยการรถไฟแห่งชาติฝรั่งเศส (SNCF) สถานีนี้เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางรถไฟมาร์แซย์-เวนติมิเกลีย (Marseille-Ventimiglia railwayมาร์แซย์-เวนติมิเกลียเรลเวย์ภาษาฝรั่งเศส) และเชื่อมต่อโมนาโกกับเมืองต่าง ๆ บนเฟรนช์ริวีเอรา เช่น นิส กาน และมาร์แซย์ รวมถึงเมืองอื่น ๆ ในฝรั่งเศสและยุโรป นอกจากนี้ยังมีรถไฟความเร็วสูง เตเฌเว (TGV) ที่เชื่อมต่อไปยังปารีสโดยตรง (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง) และเมืองอื่น ๆ ที่ไกลออกไป สถานีปัจจุบันส่วนใหญ่สร้างอยู่ใต้ดินและเปิดใช้งานในปี ค.ศ. 1999 เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยบนผิวดิน
10.2. การขนส่งทางถนนและระบบขนส่งสาธารณะ
เครือข่ายถนนในโมนาโกมีความยาวประมาณ 77 km ซึ่งหลายส่วนถูกใช้เป็นสนามแข่งรถกรังด์ปรีซ์ด้วย การเดินทางด้วยเท้านับเป็นรูปแบบการเดินทางที่สำคัญ และเมืองกำลังขยายเครือข่ายทางเท้าให้เป็นมิตรต่อคนเดินเท้ามากขึ้นในช่วงทศวรรษ 2020 รวมถึงแผนการสร้างสะพานลอยคนเดินใหม่ในฟงวีแยย์ที่เชื่อมต่อกับสะพานลอยคนเดิน Wurtembergวูร์เทมแบร์กภาษาฝรั่งเศส แห่งใหม่
บริษัทรถโดยสารประจำทางโมนาโก (Compagnie des Autobus de Monacoกงปาญีเดซอโจบูสเดอมอนาโกภาษาฝรั่งเศส - CAM) ให้บริการรถโดยสารประจำทางในเมืองครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยว พิพิธภัณฑ์ สวนพฤกษชาติ ศูนย์ธุรกิจ กาสิโน และสนามกีฬาหลุยส์ที่ 2 นอกจากนี้ยังมีลิฟต์สาธารณะและบันไดเลื่อนสาธารณะหลายแห่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางขึ้นลงเนินเขาต่าง ๆ ภายในราชรัฐ
10.3. การขนส่งทางทะเลและทางอากาศ
โมนาโกมีท่าเรือหลักสองแห่งคือ ท่าเรือแอร์กูล (Port Herculeปอร์แอร์กูลภาษาฝรั่งเศส) และ ท่าเรือฟงวีแยย์ (Port de Fontvieilleปอร์เดอฟงวีแยย์ภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งรองรับเรือยอชต์ส่วนตัวและเรือสำราญขนาดเล็ก นอกจากนี้ยังมีท่าเรือของฝรั่งเศสชื่อ กัปดาย (Cap d'Ailกัปดายภาษาฝรั่งเศส) ที่อยู่ใกล้เคียงและใช้งานร่วมกัน
โมนาโกไม่มีสนามบินพาณิชย์เป็นของตนเอง แต่มี ลานจอดเฮลิคอปเตอร์โมนาโก (Monaco Heliportโมนาโกเฮลิพอร์ตภาษาอังกฤษ) ในเขตฟงวีแยย์ ซึ่งให้บริการเฮลิคอปเตอร์เชื่อมต่อไปยังท่าอากาศยานนิสโกตดาซูร์ (Aéroport Nice Côte d'Azurอาเอโรปอร์นิสกอตดาซูร์ภาษาฝรั่งเศส) ในเมืองนิส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสนามบินที่ใกล้ที่สุดและเป็นประตูสู่การเดินทางทางอากาศระหว่างประเทศสำหรับโมนาโก
11. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ราชรัฐโมนาโกดำเนินนโยบายต่างประเทศที่มุ่งเน้นการรักษาเอกราช อธิปไตย และส่งเสริมผลประโยชน์ของชาติในเวทีระหว่างประเทศ โดยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทวิภาคีกับประเทศสำคัญ โดยเฉพาะฝรั่งเศส และมีบทบาทในองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ ความพยายามทางการทูตมักจะควบคู่ไปกับการพิจารณาด้านสิทธิมนุษยชนและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
11.1. ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศส

โมนาโกมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและซับซ้อนกับฝรั่งเศสมาอย่างยาวนานทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ การป้องกันประเทศ และวัฒนธรรม ความสัมพันธ์นี้ถูกกำหนดโดยสนธิสัญญาหลายฉบับ ที่สำคัญได้แก่:
- สนธิสัญญาฝรั่งเศส-โมนาโก ค.ศ. 1861: รับรองอธิปไตยของโมนาโกอย่างเป็นทางการ หลังจากโมนาโกสละสิทธิ์เหนือเมืองม็องตงและรอกเกอบรูน
- สนธิสัญญาฝรั่งเศส-โมนาโก ค.ศ. 1918: กำหนดให้ฝรั่งเศสให้ความคุ้มครองโมนาโก และนโยบายต่างประเทศของโมนาโกต้องสอดคล้องกับผลประโยชน์ของฝรั่งเศส
- สนธิสัญญา ค.ศ. 1963: กำหนดให้กฎหมายศุลกากรของฝรั่งเศสมีผลบังคับใช้ในโมนาโกและน่านน้ำอาณาเขต
- สนธิสัญญา ค.ศ. 2002: ระบุว่าหากราชวงศ์กรีมัลดีสิ้นสุดลง โมนาโกจะยังคงเป็นรัฐอิสระ และผ่อนคลายข้อจำกัดบางประการเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของโมนาโก
ฝรั่งเศสรับผิดชอบด้านการป้องกันประเทศของโมนาโก และทั้งสองประเทศมีสหภาพศุลกากร ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการของโมนาโก และพลเมืองฝรั่งเศสจำนวนมากอาศัยและทำงานในโมนาโก
11.2. ความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรป
โมนาโกไม่ได้เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (EU) แต่มีความสัมพันธ์พิเศษผ่านข้อตกลงต่าง ๆ:
- สหภาพศุลกากร: โมนาโกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาเขตศุลกากรของสหภาพยุโรปผ่านความสัมพันธ์กับฝรั่งเศส
- การใช้สกุลเงินยูโร: โมนาโกใช้สกุลเงินยูโรเป็นสกุลเงินอย่างเป็นทางการ และได้รับอนุญาตให้ผลิตเหรียญยูโรที่มีการออกแบบของตนเอง
- ข้อตกลงเชงเกน: แม้จะไม่ได้เป็นภาคีของความตกลงเชงเกน แต่โมนาโกมีพรมแดนเปิดกับฝรั่งเศส และกฎหมายเชงเกนถูกนำมาปรับใช้เสมือนว่าโมนาโกเป็นส่วนหนึ่งของฝรั่งเศส
โมนาโกกำลังเจรจาข้อตกลงสมาคม (Association Agreement) กับสหภาพยุโรป เพื่อให้สามารถเข้าถึงตลาดเดียวของสหภาพยุโรปได้มากขึ้น
11.3. ความสัมพันธ์กับประเทศอื่น ๆ และองค์การระหว่างประเทศ
โมนาโกเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ (UN) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993 และมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกิจกรรมต่าง ๆ ของ UN โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลและการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของเจ้าชายอาลแบร์ที่ 2
ราชรัฐยังเป็นสมาชิกของสภายุโรป (Council of Europe) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 และเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส (OIF)
โมนาโกมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับหลายประเทศทั่วโลก มีสถานทูตในประเทศสำคัญ เช่น เบลเยียม (บรัสเซลส์) ฝรั่งเศส (ปารีส) เยอรมนี (เบอร์ลิน) นครรัฐวาติกัน อิตาลี (โรม) โปรตุเกส (ลิสบอน) สเปน (มาดริด) สวิตเซอร์แลนด์ (เบิร์น) สหราชอาณาจักร (ลอนดอน) และสหรัฐอเมริกา (วอชิงตัน ดี.ซี.) นอกจากนี้ยังมีสถานกงสุลอีกประมาณ 30 แห่ง ฝรั่งเศสและอิตาลีเป็นสองประเทศที่มีสถานทูตตั้งอยู่ในโมนาโก สำหรับประเทศอื่น ๆ ส่วนใหญ่จะมอบหมายให้สถานทูตในปารีสดูแลความสัมพันธ์กับโมนาโก
นโยบายต่างประเทศของโมนาโกมักจะพิจารณาประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนและการส่งเสริมค่านิยมประชาธิปไตย แม้ว่าบทบาทในเวทีโลกอาจมีจำกัดเนื่องจากขนาดของประเทศ
12. ธงชาติ

ธงชาติโมนาโก (Drapeau de Monacoดราโปเดอมอนาโกภาษาฝรั่งเศส) เป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ประกอบด้วยแถบแนวนอนสองแถบขนาดเท่ากัน โดยแถบบนเป็นสีแดง และแถบล่างเป็นสีขาว สีแดงและสีขาวเป็นสีประจำราชวงศ์กรีมัลดีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14 การออกแบบธงชาติปัจจุบันได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1881 ทำให้เป็นหนึ่งในธงชาติที่มีการออกแบบเก่าแก่ที่สุดในโลก
ธงชาติโมนาโกมีความคล้ายคลึงกับธงชาติอินโดนีเซียอย่างมาก โดยแตกต่างกันที่สัดส่วนของธง (ธงโมนาโกมีสัดส่วน 4:5 หรือ 2:3 ในขณะที่ธงอินโดนีเซียมีสัดส่วน 2:3) และเฉดสีแดงที่อาจแตกต่างกันเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีความคล้ายคลึงกับธงของรัฐเฮ็สเซินและรัฐทือริงเงินของเยอรมนี รวมถึงธงชาติสิงคโปร์ (ซึ่งมีรูปพระจันทร์เสี้ยวและดาวห้าดวงเพิ่มเข้ามา) และธงชาติโปแลนด์ (ซึ่งสลับสีกันคือแถบบนสีขาว แถบล่างสีแดง)
รหัส ISO สำหรับธงคือ MC
13. สื่อ
ภูมิทัศน์สื่อในราชรัฐโมนาโกมีลักษณะเฉพาะตัวเนื่องจากขนาดของประเทศและความใกล้ชิดกับฝรั่งเศสและอิตาลี สื่อหลัก ๆ ได้แก่:
- สถานีโทรทัศน์:
- Monaco Infoโมนาโกแองโฟภาษาฝรั่งเศส (หรือ Monaco Channel / MC Channel): เป็นสถานีโทรทัศน์ที่รัฐบาลให้การสนับสนุน ออกอากาศข่าวสารและรายการเกี่ยวกับราชรัฐเป็นภาษาฝรั่งเศส
- TVMonacoเตเวโมนาโกภาษาฝรั่งเศส (TVM): เป็นสถานีโทรทัศน์สาธารณะแห่งใหม่ที่เปิดตัวในปี ค.ศ. 2023 โดยมุ่งเน้นรายการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ข่าวสาร กีฬา และไลฟ์สไตล์ของริเวียร่า
- Monte Carlo Networkมอนเตการ์โลเน็ตเวิร์กภาษาอิตาลี (เดิมชื่อ Telemontecarloเทเลมอนเตการ์โลภาษาอิตาลี): เคยเป็นสถานีโทรทัศน์ภาษาอิตาลีที่สำคัญซึ่งมีฐานอยู่ในโมนาโก แต่ปัจจุบันไม่ได้ดำเนินการในรูปแบบเดิมแล้ว
สถานีโทรทัศน์จากฝรั่งเศสและอิตาลีสามารถรับชมได้อย่างแพร่หลายในโมนาโก
- สถานีวิทยุ:
- Radio Monacoราดีโยโมนาโกภาษาฝรั่งเศส: สถานีวิทยุเอกชนที่ออกอากาศเพลง ข่าวสาร และรายการบันเทิง
- Radio Monte Carloราดีโยมอนเตการ์โลภาษาฝรั่งเศส (RMC): แม้ว่าปัจจุบันจะมีฐานการดำเนินงานส่วนใหญ่อยู่ในฝรั่งเศส แต่ RMC ก็มีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีความเชื่อมโยงกับโมนาโก เป็นสถานีวิทยุที่มีชื่อเสียงในฝรั่งเศสและประเทศเพื่อนบ้าน
- สถานีวิทยุจากฝรั่งเศสและอิตาลีสามารถรับฟังได้เช่นกัน
- หนังสือพิมพ์และสื่อสิ่งพิมพ์:
- Monaco Matinโมนาโกมาแต็งภาษาฝรั่งเศส: เป็นหนังสือพิมพ์รายวันฉบับภาษาฝรั่งเศส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม Nice-Matin ของฝรั่งเศส ครอบคลุมข่าวสารท้องถิ่นของโมนาโกและภูมิภาครีเวียร่า
- Monaco Hebdoโมนาโกเอ็บโดภาษาอังกฤษ: นิตยสารรายสัปดาห์ภาษาฝรั่งเศสที่นำเสนอข่าวสาร บทวิเคราะห์ และเรื่องราวเกี่ยวกับโมนาโก
- L'Observateur de Monacoลอปแซร์วาเตอร์เดอมอนาโกภาษาอังกฤษ: นิตยสารรายเดือนภาษาฝรั่งเศสที่เน้นข่าวธุรกิจ การเงิน และไลฟ์สไตล์
- The Monaco Timesเดอะโมนาโกไทมส์ภาษาอังกฤษ: หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่ให้บริการข่าวสารสำหรับชุมชนชาวต่างชาติในโมนาโกและเฟรนช์ริวีเอรา (ปัจจุบันอาจเป็นสื่อออนไลน์เป็นหลัก)
- Monaco Lifeโมนาโกไลฟ์ภาษาอังกฤษ: สื่อข่าวภาษาอังกฤษออนไลน์
- สื่อออนไลน์: มีเว็บไซต์ข่าวและแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมากที่รายงานข่าวสารและกิจกรรมในโมนาโก ทั้งในภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ และภาษาอื่น ๆ เพื่อตอบสนองต่อประชากรนานาชาติ
โดยรวมแล้ว สื่อในโมนาโกสะท้อนถึงความเป็นสากลของราชรัฐ โดยมีทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ข่าวสารของประชากร