1. ชีวิตช่วงต้นและการศึกษา
โรเบอร์โต ฟาเอนซา มีภูมิหลังทางการศึกษาที่ผสมผสานทั้งด้านรัฐศาสตร์และภาพยนตร์ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างสรรค์ผลงานที่ลุ่มลึกและมีมิติทางสังคมการเมือง
1.1. ภูมิหลัง
ฟาเอนซาเกิดเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1943 ที่ตูริน ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อิตาลีกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างรุนแรงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ภูมิหลังนี้อาจมีส่วนในการหล่อหลอมมุมมองเชิงวิพากษ์ที่ปรากฏในผลงานของเขา
1.2. การศึกษา
เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาด้านรัฐศาสตร์ และได้รับประกาศนียบัตรจากเซนโตร สเปริเมนตาเล ดี ชิเนมาโตกราฟีอา (Centro Sperimentale di Cinematografia) ในปี ค.ศ. 1965 นอกจากนี้ เขายังเคยศึกษาปรัชญาที่มหาวิทยาลัยตูริน การศึกษาที่หลากหลายนี้ทำให้เขามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งทั้งในด้านทฤษฎีการเมืองและเทคนิคการสร้างภาพยนตร์ ซึ่งนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานที่มีทั้งเนื้อหาเข้มข้นและคุณภาพทางศิลปะ
2. อาชีพผู้กำกับภาพยนตร์
โรเบอร์โต ฟาเอนซา เริ่มต้นอาชีพในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ในปี ค.ศ. 1968 และได้สร้างผลงานที่มีความโดดเด่นทั้งในอิตาลีและในระดับนานาชาติ โดยมักจะใช้ภาพยนตร์เป็นเครื่องมือในการสำรวจประเด็นทางสังคมและการเมืองที่ซับซ้อน
2.1. การเปิดตัวและผลงานยุคแรก
ฟาเอนซาเปิดตัวในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1968 ด้วยเรื่อง Escalation ซึ่งประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าถึงแง่มุมต่างๆ ของอำนาจผ่านความสัมพันธ์ระหว่างพ่อชนชั้นกลางกับลูกชายฮิปปี้ ที่สะท้อนความขัดแย้งของคนต่างวัยและมุมมองต่ออำนาจได้อย่างลึกซึ้ง หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กำกับภาพยนตร์เรื่อง H2S ในปี ค.ศ. 1969 ซึ่งเป็นผลงานที่สะท้อนอารมณ์โกรธแค้นและเป็นเหมือนคำขอโทษอย่างรุนแรงต่อการเคลื่อนไหวของปี ค.ศ. 1968 ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกยึดเพียงสองวันหลังการเปิดตัวและไม่ได้รับการจัดจำหน่ายนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลังจากการยึดภาพยนตร์เรื่องนี้ ฟาเอนซาได้เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อสอนที่วิทยาลัยเฟเดอรัล ซิตี้ ในวอชิงตัน ดี.ซี.
2.2. การสำรวจประเด็นทางสังคมและการเมือง
ฟาเอนซาเป็นผู้กำกับที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น "ผู้กำกับที่ไม่ยึดติดกับแนวคิดทางการเมือง" (politically incorrect director) ซึ่งสะท้อนผ่านผลงานที่วิพากษ์วิจารณ์การเมืองและสังคมอิตาลีอย่างดุเดือด
ในปี ค.ศ. 1978 เขาได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Forza Italia! ซึ่งเป็นภาพยนตร์เสียดสีที่ดุเดือดต่ออำนาจของพรรคคริสเตียนเดโมแครต ครอบคลุมประวัติศาสตร์การเมืองอิตาลีกว่า 30 ปี ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกถอนออกจากการฉายในโรงภาพยนตร์ในวันเดียวกับที่อัลโด โมโร ประธานพรรคคริสเตียนเดโมแครตถูกลักพาตัว และยังคงถูกแบนมานานกว่า 15 ปี โมโรเองได้แนะนำในบันทึกความทรงจำที่เขียนด้วยลายมือของเขา (ซึ่งพบในรังของกองพลแดงที่ถนนมอนเตเนโวโซ ในมิลาน) ให้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ "หากใครต้องการตระหนักถึงความประมาทของพรรคพวกของเขา" ในปี ค.ศ. 1980 ฟาเอนซาได้เลือกพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลีเป็นหัวข้อสำหรับภาพยนตร์เรื่อง Si salvi chi vuole ด้วยความที่เป็นผู้กำกับที่ "ไม่เป็นไปตามกรอบทางการเมือง" ทำให้เขาถูกบังคับให้ทำงานนอกประเทศอิตาลีเพื่อหาแหล่งเงินทุนในการผลิตภาพยนตร์
2.3. การดัดแปลงวรรณกรรมและโครงการนานาชาติ
หลังจากภาพยนตร์เรื่อง Copkiller ฟาเอนซาได้รับแรงบันดาลใจจากวรรณกรรมเพื่อนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ โดยได้ดัดแปลงนวนิยายและเรื่องสั้นชื่อดังหลายเรื่องให้กลายเป็นภาพยนตร์ที่มีความลึกซึ้งและได้รับคำชม
2.3.1. การดัดแปลงวรรณกรรมชิ้นเอก
ในปี ค.ศ. 1990 เขาได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง The Bachelor ซึ่งอิงจากเรื่องสั้นของอาร์เทอร์ ชนิตซ์เลอร์ (ฉบับภาษาเยอรมันคือ Doktor Gräsler, Badearztด็อกเตอร์ เกรสเลอร์, บาเดออาร์ซทภาษาเยอรมัน) โดยมีนักแสดงชื่อดังมากมาย เช่น คีธ คาร์ราดีน มิแรนดา ริชาร์ดสัน คริสติน สก็อต โธมัส และแม็กซ์ ฟอน ซีโดว์
ในปี ค.ศ. 1993 เขาได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Jonah Who Lived in the Whale (ฉบับภาษาญี่ปุ่นใช้ชื่อว่า วาฬในตัวโจนาห์) ซึ่งสร้างจากอัตชีวประวัติ วัยเด็ก ของโยนา โอเบอร์สกี โดยมีนักแสดงนำคือ จูเลียต ออเบรย์ (จากข้อมูลภาษาอังกฤษ) และฌอง-ฮูเกส อองกลาด (จากข้อมูลภาษาญี่ปุ่น) ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องราวของเด็กชายที่ถูกส่งไปยังค่ายกักกันของนาซีพร้อมกับพ่อแม่ของเขา ฟาเอนซาได้รับรางวัลดาวิด ดิ โดนาเตลโล สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่องนี้ และยังได้รับรางวัลจากคณะกรรมการนักบวช (Prix of Ecumenical Jury) ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติมอสโกครั้งที่ 18 อีกด้วย
สองปีต่อมา (ค.ศ. 1995) นวนิยายอีกเรื่องหนึ่งคือ Sostiene Pereira ของอันโตนีโอ ตาบุชชี ได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของมาร์เชลโล มาสโตรยันนีในอิตาลี โดยมาสโตรยันนีได้รับรางวัลดาวิด ดิ โดนาเตลโล สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากบทบาทนี้ นอกจากนี้ยังมีดานิเอล ออเตย ร่วมแสดงด้วย
ในปี ค.ศ. 1997 เขาได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Marianna Ucrìa ซึ่งอิงจากนวนิยาย La lunga vita di Marianna Ucrìaลา ลุงกา วีตา ดี มาเรียนนา อูครีอาภาษาอิตาลี (ค.ศ. 1990) ของดาเชีย มารายินี โดยมีเอมมานูเอล ลาโบริต์ และแบร์นาร์ด ฌีโรโด ร่วมแสดง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลโกลเดน โกลบ อิตาลี สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม และเข้าฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติมอสโกครั้งที่ 20
ในปี ค.ศ. 1999 ฟาเอนซาได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง The Lost Lover ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนวนิยายขายดีของเอ. บี. เยโฮชัว ซึ่งเล่าเรื่องราวความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ระหว่างชาวยิวและชาวปาเลสไตน์ โดยมีเซียรัน ฮินด์ส และจูเลียต ออเบรย์ เป็นนักแสดงนำ
ในปี ค.ศ. 2003 (จากข้อมูลภาษาอังกฤษ) หรือ ค.ศ. 2002 (จากข้อมูลภาษาญี่ปุ่น) เขาได้รับความสำเร็จในระดับนานาชาติจากภาพยนตร์เรื่อง The Soul Keeper ซึ่งอิงจากความหลงใหลอันเร่าร้อนระหว่างคาร์ล กุสตาฟ จุง นักจิตวิเคราะห์ชื่อดัง และซาบีน่า สปิลไรน์ ผู้ป่วยสาวชาวรัสเซียของเขา โดยมีเอมิเลีย ฟ็อกซ์ และเอียน เกลน รับบทนำ และภาพยนตร์ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลซิลเวอร์ริบบอน สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ผลงานภาพยนตร์ล่าสุดของเขา ได้แก่ Come into the Light (ค.ศ. 2005) ซึ่งเล่าเรื่องราวชีวิตของปีโน ปูยีซี นักบวชที่ถูกมาเฟียซิซิลีสังหารในปาแลร์โมเมื่อปี ค.ศ. 1993 โดยมีลูก้า ซิงกาเรตติ รับบทนำ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลยูโรเปียน อะคาเดมี่ อวอร์ด (EFA) สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมในปี ค.ศ. 2005 และได้รับรางวัลดาวิด จิโอวานี่ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, รางวัลฟลายอาโน่ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและรางวัลขวัญใจผู้ชม, รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติคาร์โลวีวารี ปี ค.ศ. 2005 และรางวัลซาน เฟเดเล สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
อีกเรื่องคือ The Days of Abandonment (ค.ศ. 2005) ซึ่งสร้างจากนวนิยายของเอเลนา เฟร์รันเต โดยมีมาร์เกรีตา บุ้ย ลูก้า ซิงกาเรตติ และนักดนตรีโกรัน เบรโกวิช ร่วมแสดง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสิงโตทองคำในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิซ
ในปี ค.ศ. 2007 ภาพยนตร์เรื่อง I Vicerè (ฉบับภาษาเกาหลีชื่อ "รวมทั้งผู้บริหารระดับสูง") ที่สร้างจากนวนิยายปี ค.ศ. 1894 ของเฟเดริโก เด โรแบร์โต ได้ออกฉาย และภาพยนตร์เรื่อง Il caso dell'infedele Klara ก็ออกฉายในปี ค.ศ. 2009
ในปี ค.ศ. 2011 ฟาเอนซาได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Someday This Pain Will Be Useful to You ซึ่งถ่ายทำในนิวยอร์กและสร้างจากนวนิยายของปีเตอร์ คาเมรอน โดยมีนักแสดงเช่น เอลเลน เบอร์สติน มาร์เซีย เกย์ ฮาร์เดน โทบี เร็กโบ ปีเตอร์ แกลลาเกอร์ เดบอราห์ แอนน์ วอลล์ ลูซี ลิว และสตีเฟน แลงก์ นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์เรื่อง Silvio Forever (ค.ศ. 2011) ที่ได้รับการระบุในข้อมูลบางส่วน
ผลงานล่าสุดของเขาที่ปรากฏในข้อมูลบางแหล่ง ได้แก่ Anita B. (ค.ศ. 2014) และ The Truth Lies in the Sky (ค.ศ. 2016)
2.3.2. ความร่วมมือและการผลิตในระดับนานาชาติ
เนื่องจากผลงานที่มีมุมมองที่ "ไม่ยึดติดกับแนวคิดทางการเมือง" ทำให้ฟาเอนซาต้องเผชิญกับความยากลำบากในการหาแหล่งเงินทุนในอิตาลี เขาจึงต้องทำงานนอกประเทศเพื่อดำเนินโครงการภาพยนตร์หลายเรื่อง
ในปี ค.ศ. 1983 เขาได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Copkiller (ฉบับภาษาเกาหลีชื่อ "คำสั่งความตาย") ในนครนิวยอร์ก โดยมีฮาร์วีย์ ไคเทล นิโคล การ์เซีย และจอห์น ไลดอน หรือจอห์นนี่ รอตเทน อดีตนักร้องนำวงเซ็กซ์พิตอลส์ ร่วมแสดง ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกอธิบายว่าเป็นภาพยนตร์สยองขวัญแนวนิยายวิทยาศาสตร์ ความร่วมมือกับนักแสดงและทีมงานต่างชาติในภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของฟาเอนซาในการทำงานข้ามพรมแดนเพื่อให้สามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ต้องการได้อย่างอิสระ
3. นักเขียนและนักการศึกษา
นอกเหนือจากบทบาทในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์แล้ว โรเบอร์โต ฟาเอนซายังเป็นนักเขียนบทความและหนังสือที่ได้รับการยอมรับอีกด้วย ผลงานหนังสือที่มีชื่อเสียงของเขา ได้แก่ Senza chiedere permessoเซนซา เคียดเดเร แปร์เมสโซภาษาอิตาลี, Il malaffareอิล มาลาฟฟาเรภาษาอิตาลี, และ Gli americani in Italiaกลี อเมริคานี อิน อิตาเลียภาษาอิตาลี
หลังจากกลับมายังอิตาลี เขายังได้เป็นอาจารย์สอนวิชาสื่อสารมวลชนที่มหาวิทยาลัยปิซา บทบาทของเขาในฐานะนักการศึกษานี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเขาในการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ด้านนิเทศศาสตร์ให้กับคนรุ่นใหม่
4. รางวัลและการตอบรับจากนักวิจารณ์
โรเบอร์โต ฟาเอนซา ได้รับการยกย่องจากผลงานที่ลึกซึ้งและกล้าหาญของเขา ซึ่งสะท้อนผ่านรางวัลอันทรงเกียรติและการตอบรับเชิงบวกจากนักวิจารณ์ทั้งในและต่างประเทศ
4.1. รางวัลสำคัญ
ฟาเอนซาได้รับรางวัลสำคัญหลายรางวัลตลอดอาชีพการงานของเขา รวมถึง:
- รางวัลดาวิด ดิ โดนาเตลโล สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง Jonah Who Lived in the Whale (ค.ศ. 1993)
- รางวัลจากคณะกรรมการนักบวช (Prix of Ecumenical Jury) ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติมอสโกครั้งที่ 18 จากภาพยนตร์เรื่อง Jonah Who Lived in the Whale (ค.ศ. 1993)
- รางวัลโกลเดน โกลบ อิตาลี สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง Marianna Ucrìa (ค.ศ. 1997)
- ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลยูโรเปียน อะคาเดมี่ อวอร์ด (EFA) สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม ในปี ค.ศ. 2005 จากภาพยนตร์เรื่อง Come into the Light
- รางวัลดาวิด จิโอวานี่ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง Come into the Light
- รางวัลฟลายอาโน่ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและรางวัลขวัญใจผู้ชม จากภาพยนตร์เรื่อง Come into the Light
- รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติคาร์โลวีวารี ปี ค.ศ. 2005 จากภาพยนตร์เรื่อง Come into the Light
- รางวัลซาน เฟเดเล สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง Come into the Light
- ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสิงโตทองคำในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิซ จากภาพยนตร์เรื่อง The Days of Abandonment (ค.ศ. 2005)
- ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลซิลเวอร์ริบบอน สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง The Soul Keeper (ค.ศ. 2003/2002)
4.2. ผลกระทบทางสังคมและวัฒนธรรม
ภาพยนตร์ของฟาเอนซามีส่วนสำคัญในการนำเสนอและวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นเกี่ยวกับความยุติธรรมทางสังคม สิทธิมนุษยชน และการพัฒนาประชาธิปไตยในสังคมอิตาลีและทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง เขาได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นผู้กำกับที่กล้าหาญในการตั้งคำถามต่อโครงสร้างอำนาจ การเมือง และความอยุติธรรมต่างๆ เช่น ในภาพยนตร์เรื่อง Forza Italia! ที่วิพากษ์วิจารณ์พรรคคริสเตียนเดโมแครตอย่างรุนแรง จนถูกแบนและถอนออกจากโรงภาพยนตร์ สิ่งนี้ยืนยันถึงผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญที่ผลงานของเขามีต่อการรับรู้ของสาธารณะและวงการภาพยนตร์
แม้ว่าท่าทีที่ "ไม่ยึดติดกับแนวคิดทางการเมือง" ของเขาจะทำให้บางครั้งเขาต้องเผชิญกับข้อจำกัดในการทำงานในอิตาลี แต่กลับผลักดันให้เขาแสวงหาโอกาสในการทำงานในระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้เขานำเสนอประเด็นทางมนุษยธรรมที่กว้างไกลยิ่งขึ้น เช่น การเล่าเรื่องราวของความอยู่รอดในค่ายกักกันของนาซีใน Jonah Who Lived in the Whale หรือความขัดแย้งระหว่างชาวยิวและชาวปาเลสไตน์ใน The Lost Lover ผลงานของฟาเอนซาได้รับการยกย่องว่าเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการกระตุ้นให้สังคมคิด วิเคราะห์ และตั้งคำถามต่อสภาพการณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาประชาธิปไตยและสร้างความตระหนักรู้ด้านสิทธิมนุษยชน.
