1. ภาพรวม
คล็อด นูการ์โร (Claude Nougaroโคลด นูการ์โรภาษาฝรั่งเศส; Claudi Nogaròuภาษาอุตซิตา) เกิดเมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1929 และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2004 เป็นนักร้องเพลงแจ๊สและกวีชาวฝรั่งเศส ผู้ซึ่งมีผลงานโดดเด่นในการผสมผสานดนตรีแจ๊สเข้ากับบทกวีภาษาฝรั่งเศสที่มีเนื้อหาลึกซึ้งและมักสะท้อนประเด็นทางสังคม เขาได้รับแรงบันดาลใจจากดนตรีแจ๊สอเมริกันและดนตรีบราซิล ซึ่งหล่อหลอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง นูการ์โรไม่เพียงแต่สร้างสรรค์ผลงานเพลงที่ได้รับความนิยม แต่ยังใช้เสียงของเขาในการส่งเสริมคุณค่าของชีวิตและสนับสนุนกลุ่มคนเปราะบาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมุมมองที่เน้นความก้าวหน้าทางสังคมและสิทธิมนุษยชน
2. ชีวิตและอาชีพ
คล็อด นูการ์โรมีชีวิตและอาชีพที่หลากหลาย ตั้งแต่การเป็นนักข่าวและนักแต่งเพลงให้กับผู้อื่น ไปจนถึงการเป็นนักร้องและนักแต่งเพลงของตนเอง ซึ่งทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงในวงการเพลงฝรั่งเศส
2.1. วัยเด็กและภูมิหลัง
คล็อด นูการ์โรเกิดเมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1929 ที่เมืองตูลูซ ประเทศฝรั่งเศส บิดาของเขาคือ ปิแยร์ นูการ์โร (Pierre Nougaroภาษาฝรั่งเศส) เป็นนักร้องโอเปร่าชาวฝรั่งเศสที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง และมารดาของเขาคือ ลีแยตต์ เตลลินี (Liette Telliniภาษาฝรั่งเศส) เป็นครูสอนเปียโน ปู่ย่าตายายฝ่ายมารดาของเขามีเชื้อสายอิตาลี โดยคุณปู่เกิดที่เมืองลีวอร์โน แคว้นทัสคานี และคุณย่าเกิดที่เมืองซานดามิอาโนดาสตี แคว้นปีเยมอนเต นูการ์โรเติบโตมาภายใต้การดูแลของปู่ย่าตายายในเมืองตูลูซ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาได้สัมผัสกับดนตรีหลากหลายแนวผ่านวิทยุ ศิลปินที่สร้างแรงบันดาลใจให้เขาในช่วงต้น ได้แก่ เกล็นน์ มิลเลอร์, เอดิธ เพียฟ และ หลุยส์ อาร์มสตรอง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาสไตล์ดนตรีของเขาในอนาคต
2.2. การศึกษาและอาชีพช่วงต้น
ในปี ค.ศ. 1947 นูการ์โรสอบไม่ผ่านการสอบบาคาลอเรอาต์ (baccalauréat) ซึ่งเป็นการสอบจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมปลายในฝรั่งเศส หลังจากนั้น เขาได้เริ่มต้นอาชีพในวงการวารสารศาสตร์ โดยเขียนบทความให้กับวารสารหลายฉบับ เช่น เลอ ฌูร์นัล เด กูริสต์ (Le Journal des Curistesภาษาฝรั่งเศส) ที่เมืองวีชี และ เลโค ดาลเฌร์ (L'Echo d'Algerภาษาฝรั่งเศส) ในช่วงเวลาเดียวกัน เขายังได้ประพันธ์เพลงให้กับศิลปินท่านอื่น ๆ เช่น มาร์เซล อา มองต์ (Marcel Amontภาษาฝรั่งเศส) ในเพลง "เลอ บาร์บิเยร์ เดอ แบลล์วิลล์" (Le barbier de Bellevilleภาษาฝรั่งเศส) และ "เลอ บาเลยเยอร์ ดู รัว" (Le balayeur du roiภาษาฝรั่งเศส) รวมถึง ฟิลิปป์ แคลย์ (Philippe Clayภาษาฝรั่งเศส) ในเพลง "โฌแซ็ฟ" (Josephภาษาฝรั่งเศส) และ "ลา ซ็องตีนแนล" (La sentinelleภาษาฝรั่งเศส) นอกจากนี้ เขายังได้พบกับ จอร์จส์ บราสซองส์ (Georges Brassensภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งกลายเป็นเพื่อนสนิทและที่ปรึกษาคนสำคัญของเขา
ในปี ค.ศ. 1949 นูการ์โรเข้ารับราชการทหารในกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศสที่เมืองราบัต ประเทศโมร็อกโก หลังจากนั้น เขาได้ส่งเนื้อเพลงของเขาให้กับ มาร์เกอริต มอนโนต์ (Marguerite Monnotภาษาฝรั่งเศส) ผู้แต่งเพลงให้กับเอดิธ เพียฟ ซึ่งมอนโนต์ได้นำเนื้อเพลงเหล่านั้นไปใส่ทำนองให้ในเพลง "เมฟิสโต" (Méphistoภาษาฝรั่งเศส) และ "เลอ ซ็องติเยร์ เดอ ลา แกร์" (Le Sentier de la guerreภาษาฝรั่งเศส)
2.3. จุดเริ่มต้นอาชีพนักดนตรี
ในปี ค.ศ. 1959 คล็อด นูการ์โรเริ่มร้องเพลงเพื่อหาเลี้ยงชีพในคาบาเรต์ชื่อ ลาแปง อาฌีล (Lapin Agileภาษาฝรั่งเศส) ในย่านมงมาร์ทร์ กรุงปารีส ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในอาชีพนักร้องของเขา
2.4. การได้รับชื่อเสียงและผลงานชิ้นเอก
ในปี ค.ศ. 1962 นูการ์โรตัดสินใจที่จะร้องเพลงที่เขาประพันธ์ขึ้นเอง ซึ่งรวมถึงเพลง "อูน เปอติท ฟีย์" (Une petite filleภาษาฝรั่งเศส) และ "เซซิล มา ฟีย์" (Cécile ma filleภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งเพลงหลังนี้เขาอุทิศให้กับลูกสาวที่เกิดในปีเดียวกันและซิลวี (Sylvieภาษาฝรั่งเศส) ภรรยาของเขาที่เขาพบที่ลาแปง อาฌีล เพลงเหล่านี้ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักในหมู่สาธารณชนในทันที ซึ่งก่อนหน้านี้เขาก็เริ่มเป็นที่รู้จักจากการเข้าร่วมคอนเสิร์ตของดาลิดา
ในปี ค.ศ. 1963 นูการ์โรประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้เขาต้องพักรักษาตัวเป็นเวลาหลายเดือน ในปีถัดมา ค.ศ. 1964 เขาได้เดินทางไปยังบราซิล และได้แสดงในหอแสดงอันทรงเกียรติหลายแห่ง เช่น โอลิมเปีย (Olympiaภาษาฝรั่งเศส) และ เตอาตร์ เดอ ลา วีลล์ (Théâtre de la Villeภาษาฝรั่งเศส) ในปารีส รวมถึง ปาแล เดฟีแวร์ (Palais d'Hiverภาษาฝรั่งเศส) ในเมืองลียง
หลังจากที่เพื่อนของเขา ฌาคส์ โอดีแบร์ตี (Jacques Audibertiภาษาฝรั่งเศส) เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1965 นูการ์โรได้ประพันธ์เพลง "ช็องซง ปูร์ เลอ มาซง" (Chanson pour le maçonภาษาฝรั่งเศส) เพื่อเป็นการไว้อาลัย เหตุการณ์พฤษภาคม 1968 ได้เป็นแรงบันดาลใจให้เขาประพันธ์เพลง "ปารีส แม" (Paris Maiภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งเป็นบทเพลงที่เปี่ยมด้วยพลังและเป็นคำวิงวอนเพื่อชีวิต แต่เพลงนี้ถูกสั่งห้ามออกอากาศในปีเดียวกันนั้นเอง ในปีเดียวกันนั้นเอง เขายังได้บันทึกอัลบั้มการแสดงสดชุดแรกของเขาที่โอลิมเปีย ชื่อว่า อูน ซัวเร อาแวค คล็อด นูการ์โร (Une soirée avec Claude Nougaroภาษาฝรั่งเศส)
2.5. อาชีพช่วงปลายและรางวัล
อาชีพของคล็อด นูการ์โรดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและประสบความสำเร็จอย่างสม่ำเสมอ ด้วยเพลงฮิตมากมาย เช่น "เลอ แจ๊ซ เอ ลา ฌาวา" (Le jazz et la javaภาษาฝรั่งเศส), "ตู แวร์ราส" (Tu verrasภาษาฝรั่งเศส), "อิล เดอ เร" (Île de Réภาษาฝรั่งเศส), "อาร์มสตรอง" (Armstrongภาษาฝรั่งเศส), "ตูลูซ" (Toulouseภาษาฝรั่งเศส) และ "เปอติท โตโร" (Petit taureauภาษาฝรั่งเศส)
อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1984 บริษัทแผ่นเสียงของเขาไม่ได้ต่อสัญญา นูการ์โรจึงเดินทางไปยังนครนิวยอร์ก เพื่อแสวงหาแรงบันดาลใจ ที่นั่นเขาได้ประพันธ์และบันทึกแผ่นเสียงที่ออกทุนเองชื่อ นูกายอร์ก (Nougayorkภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างน่าประหลาดใจและกึกก้องไปทั่ว ในปี ค.ศ. 1988 เขาได้รับรางวัลวิกตัวร์ เดอ ลา มูซิก (Victoires de la Musiqueภาษาฝรั่งเศส) สาขา "อัลบั้มยอดเยี่ยม" และ "ศิลปินยอดเยี่ยม" และระหว่างปี ค.ศ. 1993 ถึง ค.ศ. 1997 เขาได้ออกอัลบั้มใหม่สามชุด

2.6. สุขภาพและช่วงบั้นปลายชีวิต
สุขภาพของคล็อด นูการ์โรเริ่มทรุดโทรมลงหลังจากปี ค.ศ. 1995 เมื่อเขาเข้ารับการผ่าตัดหัวใจ ในปี ค.ศ. 2003 อาการป่วยของเขาทำให้เขาไม่สามารถเข้าร่วมเทศกาลดู แวร์บ (Festival du Verbe) ที่เมืองตูลูซได้ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998 ถึง ค.ศ. 2004 เขาได้ทุ่มเทเวลาให้กับการแสดงคอนเสิร์ตและเทศกาลต่าง ๆ มากขึ้น นอกเหนือจากการออกอัลบั้มเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ป่วยเป็นโรคเอดส์
2.7. การเสียชีวิต
หลังจากเข้ารับการผ่าตัดเพิ่มเติมในช่วงต้นปี ค.ศ. 2004 คล็อด นูการ์โรได้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในเดือนมีนาคมปีเดียวกันนั้นเอง ด้วยวัย 74 ปี
3. รูปแบบดนตรีและอิทธิพล
ดนตรีของคล็อด นูการ์โรได้รับแรงบันดาลใจจากแหล่งต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากดนตรีแจ๊สอเมริกัน เช่น ผลงานของ ชาร์ลส์ มิงกัส, หลุยส์ อาร์มสตรอง, เดฟ บรูเบค และ ซันนี โรลลินส์ นอกจากนี้ เขายังได้รับอิทธิพลจากดนตรีบราซิล โดยเฉพาะจากศิลปินอย่าง อันโตนีโอ คาร์ลอส โฌบิง, บาเดน พาวเวลล์ เดอ อากีโน และ ชีโก บูอาร์เก การผสมผสานอิทธิพลเหล่านี้เข้ากับบทกวีภาษาฝรั่งเศสที่มีเอกลักษณ์ ทำให้เขาสร้างสรรค์รูปแบบดนตรีที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งเต็มไปด้วยจังหวะที่ซับซ้อนและเนื้อหาที่ลึกซึ้ง
4. ผลงานเพลง
คล็อด นูการ์โรมีผลงานเพลงมากมาย ทั้งอัลบั้มสตูดิโอและอัลบั้มบันทึกการแสดงสด ซึ่งสะท้อนถึงเส้นทางอาชีพอันยาวนานและอิทธิพลทางดนตรีของเขา
4.1. อัลบั้มสตูดิโอ
- ค.ศ. 1958 : คล็อด นูการ์โร (Claude Nougaroภาษาฝรั่งเศส - อัลบั้มของค่าย President)
- ค.ศ. 1962 : คล็อด นูการ์โร (Claude Nougaroภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 1964 : คล็อด นูการ์โร หมายเลข 2 (Claude Nougaro n°2ภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 1966 : บีดงวิลล์ (Bidonvilleภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 1967 : เปอติท โตโร (Petit taureauภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 1971 : เซอร์ อาม (Sœur âmeภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 1973 : โลโคโมทีฟ ดอร์ (Locomotive d'orภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 1974 : เรเครอาซิยง (Récréationภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 1975 : แฟมม์ เอ ฟามีนส์ (Femmes et faminesภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 1976 : ปลูม ด็องฌ์ (Plume d'angeภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 1978 : ตู แวร์ราส (Tu verrasภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 1980 : อัสเซ ! (Assez !ภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 1981 : ช็องซงส์ แน็ตส์ (Chansons nettesภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 1983 : อามี-เชอแมง (Ami-cheminภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 1985 : เบลอ บล็อง บลูส์ (Bleu blanc bluesภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 1987 : นูกายอร์ก (Nougayorkภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 1989 : ปาซิฟิก (Pacifiqueภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 1993 : ช็องซงส์ (Chansongsภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 1997 : ลองฟ็อง ฟาร์ (L'Enfant phareภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 2000 : อ็องบาร์กม็องต์ อิมเมเดียต์ (Embarquement immédiatภาษาฝรั่งเศส)
4.2. อัลบั้มบันทึกการแสดงสด
- ค.ศ. 1969 : อูน ซัวเร อาแวค คล็อด นูการ์โร (Une soirée avec Claude Nougaroภาษาฝรั่งเศส) (บันทึกที่โอลิมเปีย, 2LP)
- ค.ศ. 1977 : นูการ์โร 77 (Nougaro 77ภาษาฝรั่งเศส) (บันทึกที่โอลิมเปีย, 2LP)
- ค.ศ. 1979 : นูการ์โร 79 (Nougaro 79ภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 1982 : โอ นิว มอร์นิง (Au New Morningภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 1989 : เซนิต เมด อิน นูการ์โร (Zénith made in Nougaroภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 1991 : อูน วัว ดิกซ์ ดัว (Une voix dix doigtsภาษาฝรั่งเศส) (2CD)
- ค.ศ. 1995 : เดอะ เบสต์ เดอ แซน (The best de scèneภาษาฝรั่งเศส) (2CD)
- ค.ศ. 1999 : ออมเบร เอ ลูมิแยร์ (Hombre et lumièreภาษาฝรั่งเศส) (บันทึกที่ตูลูซ, 2CD)
- ค.ศ. 2002 : โอ เตอาตร์ เด ช็องเซลีเซ (Au Théâtre des Champs-Elyséesภาษาฝรั่งเศส) (2CD)
4.3. ผลงานที่ออกหลังเสียชีวิต
- ค.ศ. 2004 : ลา โนต บลู (La Note bleueภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 2008 : คล็อด นูการ์โร (Claude Nougaroภาษาฝรั่งเศส - อัลบั้มของค่าย President)
5. งานเขียน
คล็อด นูการ์โรยังเป็นนักเขียนและกวี ซึ่งมีผลงานตีพิมพ์ดังนี้:
- ค.ศ. 2002 : ลิฟวร์ เดอ โมต์ (L'ivre de motsภาษาฝรั่งเศส)
- ค.ศ. 2003 : ฟาเบิลส์ เดอ มา ฟงแตน (Fables de ma fontaineภาษาฝรั่งเศส)
6. การประเมินและอิทธิพล
ผลงานของคล็อด นูการ์โรได้รับการประเมินทั้งจากนักวิจารณ์และสาธารณชนในเชิงบวกอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการผสมผสานดนตรีแจ๊สเข้ากับบทกวีที่มีความหมายลึกซึ้ง และการใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการสะท้อนประเด็นทางสังคม
6.1. การประเมินจากนักวิจารณ์และรางวัล
นูการ์โรได้รับการยอมรับอย่างสูงจากนักวิจารณ์และได้รับรางวัลสำคัญมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี ค.ศ. 1988 เขาได้รับรางวัลวิกตัวร์ เดอ ลา มูซิก (Victoires de la Musiqueภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติของวงการเพลงฝรั่งเศส ในสาขา "อัลบั้มยอดเยี่ยม" และ "ศิลปินยอดเยี่ยม" ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จและอิทธิพลทางดนตรีของเขา
6.2. ผลกระทบทางสังคมและการมีส่วนร่วม
คล็อด นูการ์โรไม่เพียงแต่เป็นศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานเพลงที่ไพเราะและมีเอกลักษณ์เท่านั้น แต่เขายังเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการสะท้อนและขับเคลื่อนประเด็นทางสังคมผ่านบทเพลงของเขา เพลง "ปารีส แม" (Paris Maiภาษาฝรั่งเศส) ที่เขาประพันธ์ขึ้นจากแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์พฤษภาคม 1968 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของบทเพลงที่วิงวอนเพื่อชีวิตและเสรีภาพ แม้จะถูกสั่งห้ามออกอากาศในขณะนั้นก็ตาม
นอกจากนี้ ในช่วงบั้นปลายชีวิต เขายังได้ออกอัลบั้มเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ป่วยเป็นโรคเอดส์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเขาในการใช้ศิลปะเพื่อการกุศลและสนับสนุนกลุ่มคนเปราะบางในสังคม การกระทำเหล่านี้สะท้อนถึงมุมมองแบบศูนย์กลาง-ซ้ายของนูการ์โร ที่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน ความยุติธรรมทางสังคม และการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ซึ่งทำให้เขากลายเป็นศิลปินที่ไม่เพียงแต่สร้างความบันเทิง แต่ยังเป็นกระบอกเสียงที่ทรงพลังในการสร้างความตระหนักรู้และแรงบันดาลใจให้แก่สังคม