1. Overview

แฟรงก์ มิลล์ (Frank Millภาษาเยอรมัน) อดีตนักฟุตบอลชาวเยอรมนีผู้มากฝีมือ เกิดเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1958 ในเอสเซิน เยอรมนีตะวันตก เขามีชื่อเสียงในฐานะกองหน้าที่มีความสามารถในการทำประตูสูง และเป็นที่รู้จักจากเส้นทางอาชีพในสโมสรฟุตบอลชั้นนำของเยอรมนี รวมถึงการเป็นสมาชิกคนสำคัญของฟุตบอลทีมชาติเยอรมนีตะวันตก แฟรงก์ มิลล์เป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติเยอรมนีตะวันตกที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1990 และยังได้รับเหรียญทองแดงจากการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1988 ที่โซล มิลล์มีอาชีพค้าแข้งที่ยาวนานในบุนเดสลีกา รวมถึงเป็นที่จดจำจากเหตุการณ์การพลาดโอกาสทำประตูโล่ง ๆ ที่โด่งดัง
2. Early life and background
แฟรงก์ มิลล์เป็นบุตรชายของพ่อค้าของเก่า เขาเริ่มต้นเส้นทางฟุตบอลตั้งแต่อายุเพียง 6 ปีกับสโมสรท้องถิ่น ไอน์ทรัคท์ เอสเซิน (Eintracht Essen) ก่อนที่จะเข้าร่วมทีมเยาวชนของสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในเอสเซินอย่าง โรท-ไวส์ เอสเซิน (Rot-Weiss Essen) ในปี ค.ศ. 1972 นอกเหนือจากความสนใจในฟุตบอลแล้ว มิลล์ยังเริ่มต้นการฝึกงานเพื่อเป็นนักจัดดอกไม้ เนื่องจากมารดาของเขาเป็นเจ้าของร้านดอกไม้ อย่างไรก็ตาม ความสามารถทางฟุตบอลของเขาก็โดดเด่นขึ้นมา และในปี ค.ศ. 1976 เขาได้เซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพฉบับแรกกับสโมสรโรท-ไวส์ เอสเซิน
3. Club career
แฟรงก์ มิลล์มีอาชีพนักฟุตบอลสโมสรอาชีพที่โดดเด่นและยาวนาน โดยเขาได้เล่นให้กับหลายสโมสรสำคัญในเยอรมนี ซึ่งแต่ละช่วงเวลาก็มีทั้งความสำเร็จและบทบาทที่แตกต่างกันไป เริ่มตั้งแต่การเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงกับโรท-ไวส์ เอสเซิน ก่อนจะย้ายไปร่วมทีมชั้นนำอย่างโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค และโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ซึ่งเป็นช่วงที่เขาสร้างชื่อเสียงมากที่สุด รวมถึงช่วงท้ายอาชีพกับฟอร์ทูนา ดุสเซลดอร์ฟ
3.1. Rot-Weiss Essen
แฟรงก์ มิลล์ลงสนามในฐานะนักฟุตบอลอาชีพครั้งแรกกับโรท-ไวส์ เอสเซินในฤดูกาล 1976 ซึ่งขณะนั้นเป็นทีมในบุนเดสลีกา แม้เขาจะทำประตูได้ 3 ประตูจากการลงสนาม 19 นัดในฤดูกาลแรก แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้ทีมรอดพ้นจากการตกชั้นสู่2. บุนเดสลีกา โซนเหนือได้ อย่างไรก็ตาม ในดิวิชั่นสอง เขาก็ได้พัฒนาตนเองขึ้นมาเป็นจอมถล่มประตูที่ไว้ใจได้ โดยทำได้ถึง 71 ประตูให้กับโรท-ไวส์ เอสเซินตลอดสี่ฤดูกาลถัดมา ซึ่งในจำนวนนั้นมี 40 ประตูจากการลงสนามเพียง 38 นัดในฤดูกาล 1979-80 ฟอร์มการทำประตูอันยอดเยี่ยมนี้ทำให้เขาเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของ 2. บุนเดสลีกา โซนเหนือ และกลายเป็นเป้าหมายหลักของการย้ายทีม ก่อนที่เขาจะย้ายกลับสู่บุนเดสลีกาอีกครั้งในปี ค.ศ. 1981 เพื่อร่วมทีมโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ภายใต้การคุมทีมของยุพพ์ เฮย์นเคส
3.2. Borussia Mönchengladbach
ในปี ค.ศ. 1981 แฟรงก์ มิลล์ย้ายมาร่วมทีมโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัคและยังคงรักษาฟอร์มการทำประตูที่ยอดเยี่ยมไว้ได้ โดยทำได้ 14 ประตูในปีแรกของสัญญากับทีม เพียงแปดเดือนหลังจากย้ายมาที่สนามเบอเคลแบร์ก เขาก็ได้รับโอกาสให้ติดทีมชาติเยอรมนีตะวันตกเป็นครั้งแรกจากยุพพ์ แดร์วัลล์ โดยประเดิมสนามในเกมกระชับมิตรกับบราซิลที่รีโอเดจาเนโรเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1982 อย่างไรก็ตาม อาการบาดเจ็บหลังทำให้เขาพลาดโอกาสร่วมทีมชาติเยอรมนีตะวันตกในฟุตบอลโลก 1982 และยังส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำประตูของเขาในฤดูกาลถัดมา แต่ในฤดูกาล 1983-84 เขาก็กลับมาเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของมึนเช่นกลัดบัคอีกครั้ง โดยยิงได้ 19 ประตูในฤดูกาลนั้น ทีมพลาดการคว้าแชมป์บุนเดสลีกาในวันสุดท้ายของฤดูกาลด้วยผลต่างประตูได้เสียกับเฟาเอ็ฟเบ ชตุทท์การ์ทเท่านั้น และยังต้องพบกับความผิดหวังซ้ำสองเมื่อพ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศเดเอ็ฟเบ-โพคาลจากการดวลจุดโทษให้กับบาเยิร์น มิวนิกในนัดนั้น มิลล์เป็นผู้ทำประตูเดียวของมึนเช่นกลัดบัคในช่วงเวลาปกติของการแข่งขัน
3.3. Borussia Dortmund
หลังจบฤดูกาล 1985-86 แฟรงก์ มิลล์ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ด้วยค่าตัว 1.30 M DEM ซึ่งถึงแม้โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัคจะได้รับค่าชดเชยที่เหมาะสม แต่การย้ายทีมนี้ก็ยังคงอยู่ในความไม่แน่นอนอยู่หลายสัปดาห์ เนื่องจากดอร์ทมุนด์ต้องผ่านการเล่นเพลย์ออฟหนีตกชั้นถึงสามนัดเพื่อรักษาตำแหน่งในบุนเดสลีกาให้ได้เสียก่อน เมื่อการย้ายทีมสำเร็จ มิลล์ก็เป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้ดอร์ทมุนด์มีฤดูกาล 1986-87 ที่ไร้ปัญหามากขึ้น โดยเขาทำได้ 17 ประตูจากการลงสนาม 31 นัด ช่วยให้ดอร์ทมุนด์จบอันดับสี่และคว้าสิทธิ์เข้าร่วมยูฟ่าคัพในฤดูกาลถัดมา อย่างไรก็ตาม เขายังต้องเผชิญกับการเยาะเย้ยอย่างต่อเนื่องจากการพลาดโอกาสทำประตูโล่ง ๆ ในนัดเปิดฤดูกาลกับบาเยิร์น มิวนิก ซึ่งกลายเป็นเหตุการณ์ที่จดจำได้ ความสามารถในการทำประตูของเขาทำให้เขากลายเป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลที่เวสต์ฟาเลินชตาดีอ็อนในทันที และได้รับบทบาทเป็นกัปตันทีม นอกเหนือจากหน้าที่กับสโมสร เขายังเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติเจ้าภาพในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1988 ซึ่งเป็นปีที่เขาได้รับความนิยมอย่างมากและถูกมองว่าเป็นแบบอย่างที่ดี อย่างไรก็ตาม เกิดความขัดแย้งเกี่ยวกับตำแหน่งกัปตันทีมของมิลล์และบทบาทของเขาในทีมดอร์ทมุนด์ระหว่างประธานสโมสร ดร. แกร์ด นีบาวม์ และผู้จัดการทีมไรน์ฮาร์ท ซาฟทิก ส่งผลให้ซาฟทิกถูกแทนที่ด้วยฮอร์สท์ เคิพเพิล ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามุมมองของประธานสโมสรเกี่ยวกับบทบาทของมิลล์ได้รับชัยชนะ
หลังจากที่เคิพเพิลเข้ามาคุมทีม มิลล์ดูเหมือนจะฟอร์มตกไปบ้าง แม้ว่าเขาจะได้รับเหรียญทองแดงกับทีมชาติเยอรมนีที่โอลิมปิกฤดูร้อน 1988 แต่สถิติการทำประตูที่เคยน่าประทับใจของเขาก็เริ่มลดลง อย่างไรก็ตาม เขายังคงเป็นผู้เล่นคนสำคัญของสโมสร และเป็นส่วนหนึ่งของทีมดอร์ทมุนด์ที่คว้าแชมป์เดเอ็ฟเบ-โพคาล 1989 ได้สำเร็จ โดยเอาชนะทีมเต็งอย่างแวร์เดอร์ เบรเมินในนัดชิงชนะเลิศ ในปี ค.ศ. 1990 ฟรันทซ์ เบ็คเคินเบาเออร์ผู้จัดการทีมชาติได้ให้รางวัลแก่ความทนทานของมิลล์ด้วยการเรียกเขาติดทีมชาติเยอรมนีตะวันตกสำหรับฟุตบอลโลก 1990 อย่างไรก็ตาม ด้วยการมีรูดี เฟิลเลอร์ผู้ทำประตูที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว และนักเตะดาวรุ่งอย่างเยือร์เกิน คลีนส์มันน์และคาร์ลไฮนซ์ รีเดิลที่อยู่ในความคิดของเบ็คเคินเบาเออร์ก่อนหน้าเขา ทำให้มิลล์ยังคงเป็นกองหน้าตัวเลือกที่สี่ที่ไม่ได้ถูกใช้งานตลอดช่วงเวลาแห่งความสำเร็จในประเทศอิตาลี
ในระดับสโมสร ฟอร์มการทำประตูที่ถดถอยของมิลล์ทำให้เขาต้องเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ทำประตูไปสู่การเป็นผู้จ่ายบอล ซึ่งยังไม่สามารถป้องกันไม่ให้เขาถูกผลักไสออกไปจากทีมชุดใหญ่ของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ได้ ในปี ค.ศ. 1991 เคิพเพิลได้อำลาตำแหน่งผู้จัดการทีม และออทมาร์ ฮิทซ์เฟลด์ผู้สืบทอดตำแหน่งก็เริ่มสร้างเอกลักษณ์ของตนเองในการพัฒนาสโมสร ด้วยการที่สเตฟาน ชาปูอิซัทและเฟลมมิง เพาเซินเป็นตัวเลือกประจำในแนวรุกของดอร์ทมุนด์ มิลล์จึงมักจะถูกวางให้อยู่ในบทบาทตัวสำรอง และในท้ายฤดูกาลแรกของฮิทซ์เฟลด์ที่คุมทีมในฤดูกาล 1991-92 เขาก็พลาดการคว้าแชมป์บุนเดสลีกาอีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งที่สองในอาชีพของเขา และในสถานการณ์ที่เกือบจะเหมือนกันคือด้วยผลต่างประตูได้เสีย และจากการแข่งขันในวันสุดท้าย โดยมีเฟาเอ็ฟเบ ชตุทท์การ์ทเป็นแชมป์ ทีมได้เข้าร่วมยูฟ่าคัพและเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศแต่พ่ายแพ้ให้กับยูเวนตุส
แม้จะยังคงเป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลที่เวสต์ฟาเลินชตาดีอ็อน มิลล์ก็อยู่กับดอร์ทมุนด์จนครบสัญญาในปี ค.ศ. 1994 ก่อนจะย้ายไปร่วมทีมฟอร์ทูนา ดุสเซลดอร์ฟที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาใน 2. บุนเดสลีกา เขาได้ลงเล่นอีกสองฤดูกาลในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ โดยทำได้ 5 ประตูในฤดูกาลแรกที่ไรน์ชตาดีอ็อน ซึ่งช่วยให้ฟอร์ทูนาเลื่อนชั้นกลับสู่บุนเดสลีกาได้สำเร็จ ในช่วงสิบสองเดือนสุดท้ายในฐานะนักฟุตบอลอาชีพของเขาในฤดูกาล 1995-96 เขาเริ่มต้นฤดูกาลได้อย่างสดใสด้วยการทำ 2 ประตูในสามนัดแรก อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถทำประตูเพิ่มได้อีกเลยในการลงสนาม 26 นัดถัดมาให้กับดุสเซลดอร์ฟ สถิติการลงสนามและทำประตูรวมในบุนเดสลีกาของเขาอยู่ที่ 123 ประตูจากการลงสนาม 387 นัดให้กับโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และฟอร์ทูนา ดุสเซลดอร์ฟ
4. International career
แฟรงก์ มิลล์เริ่มต้นอาชีพในทีมชาติเยอรมนีตะวันตกเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1982 โดยเขาถูกเรียกตัวติดทีมชาติชุดใหญ่โดยยุพพ์ แดร์วัลล์เพื่อลงเล่นในเกมกระชับมิตรกับบราซิลที่รีโอเดจาเนโร แม้จะถูกเรียกตัวติดทีมชาติ มิลล์ก็พลาดโอกาสร่วมทีมในฟุตบอลโลก 1982 เนื่องจากอาการบาดเจ็บหลังที่รบกวนเขา
มิลล์เป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติเยอรมนีตะวันตกในโอลิมปิกฤดูร้อน 1984 และยังคงเป็นผู้เล่นที่สำคัญสำหรับทีม เขาเข้าร่วมฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1988 ในฐานะส่วนหนึ่งของทีมชาติเจ้าภาพ และยังเป็นกำลังสำคัญในทีมโอลิมปิกที่คว้าเหรียญทองแดงมาครองได้สำเร็จในโอลิมปิกฤดูร้อน 1988 ที่โซล ในช่วงท้ายของอาชีพนักฟุตบอล ฟรันทซ์ เบ็คเคินเบาเออร์ได้เรียกตัวมิลล์ติดทีมชาติเยอรมนีตะวันตกสำหรับฟุตบอลโลก 1990 ซึ่งเยอรมนีตะวันตกสามารถคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม มิลล์ไม่ได้ลงสนามในทัวร์นาเมนต์นั้นเลย เนื่องจากรูดี เฟิลเลอร์, เยือร์เกิน คลีนส์มันน์ และคาร์ลไฮนซ์ รีเดิลเป็นตัวเลือกกองหน้าที่อยู่เหนือกว่าเขา แม้จะไม่ได้ลงเล่น เขาก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดประวัติศาสตร์นั้น โดยรวมแล้ว มิลล์ลงสนามให้กับทีมชาติเยอรมนีตะวันตกไปทั้งสิ้น 17 นัดในระหว่างปี ค.ศ. 1982 ถึง ค.ศ. 1990 แต่ไม่สามารถทำประตูได้
5. Playing style and notable incidents
แฟรงก์ มิลล์เริ่มต้นอาชีพในฐานะกองหน้าที่เน้นการทำประตูโดยตรง โดยเฉพาะในช่วงที่เขาเป็นผู้ทำประตูสูงสุดใน 2. บุนเดสลีกาและช่วงแรกกับโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัคและโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ อย่างไรก็ตาม เมื่ออายุมากขึ้นและความสามารถในการทำประตูเริ่มลดลง เขาก็มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นไปสู่บทบาทที่เน้นการสร้างโอกาสและแอสซิสต์มากขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและทัศนคติของเขาในทีม
เหตุการณ์ที่น่าจดจำที่สุดในอาชีพของแฟรงก์ มิลล์ และเป็นที่พูดถึงมากที่สุดคือการที่เขาพลาดโอกาสทำประตูโล่ง ๆ ในการแข่งขันนัดเปิดฤดูกาล 1986-87 ของบุนเดสลีกา ระหว่างโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์กับบาเยิร์น มิวนิก มิลล์มีโอกาสยิงประตูจากระยะประชิดในขณะที่ผู้รักษาประตูของบาเยิร์น มิวนิกออกนอกกรอบเขตโทษไปแล้ว แต่เขากลับยิงไปชนเสาประตูแทนที่จะเข้าไปในตาข่ายที่ว่างเปล่า เหตุการณ์นี้ถูกขนานนามว่าเป็น "การพลาดโอกาสแห่งศตวรรษ" หรือ "การยิงพลาดแห่งศตวรรษ" และยังคงถูกจดจำและเป็นที่กล่าวถึงอย่างกว้างขวางในประวัติศาสตร์ฟุตบอลเยอรมนี แม้ว่าเขาจะมีช่วงเวลาอาชีพที่ประสบความสำเร็จมากมาย แต่เหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งที่แยกไม่ออกจากชื่อเสียงของเขา
6. Post-playing career
หลังจากการเกษียณจากอาชีพนักฟุตบอล แฟรงก์ มิลล์ยังคงวนเวียนอยู่ในวงการฟุตบอล โดยได้รับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร (director in management) ที่สโมสรฟอร์ทูนา ดุสเซลดอร์ฟ ซึ่งเป็นสโมสรสุดท้ายที่เขาค้าแข้งด้วย อย่างไรก็ตาม บทบาทนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร และในที่สุดเขาก็ตัดสินใจแยกทางกับสโมสรโดยความเห็นชอบร่วมกัน
7. Honours
แฟรงก์ มิลล์มีเกียรติประวัติและความสำเร็จที่สำคัญตลอดอาชีพนักฟุตบอลของเขาทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถและความทุ่มเทของเขาในสนาม
7.1. Club honours
- โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค
- เดเอ็ฟเบ-โพคาล: รองชนะเลิศ 1983-84
- โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
- เดเอ็ฟเบ-โพคาล: แชมป์ 1988-89
- ยูฟ่าคัพ: รองชนะเลิศ 1992-93
7.2. International honours
- ฟุตบอลทีมชาติเยอรมนีตะวันตก
- ฟุตบอลโลก: แชมป์ 1990
- ฟุตบอลโอลิมปิก: เหรียญทองแดง 1988
7.3. Individual honours
- 2. บุนเดสลีกา ผู้ทำประตูสูงสุด: 1980-81
- คิกเกอร์ ทีมยอดเยี่ยมแห่งปี: 1986-87
8. Legacy and evaluation
แฟรงก์ มิลล์ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในกองหน้าที่มีพรสวรรค์และเป็นจอมถล่มประตูที่ไว้ใจได้ในบุนเดสลีกาช่วงทศวรรษ 1980 ถึงต้นทศวรรษ 1990 เขาเป็นที่จดจำจากความทุ่มเทและพลังงานที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในสนาม รวมถึงบทบาทสำคัญในการนำทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์เดเอ็ฟเบ-โพคาลและเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าคัพ อย่างไรก็ตาม มรดกของมิลล์ในวงการฟุตบอลเยอรมนีก็มักจะถูกเชื่อมโยงกับเหตุการณ์พลาดโอกาสทำประตูโล่ง ๆ ในเกมกับบาเยิร์น มิวนิก ซึ่งแม้จะเป็นเหตุการณ์ที่โดดเด่น แต่ก็บดบังความสำเร็จและบทบาทอื่น ๆ ของเขาในฐานะนักฟุตบอลไปบ้าง การได้รับเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติเยอรมนีตะวันตกชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 1990 และการคว้าเหรียญทองแดงโอลิมปิกตอกย้ำถึงความสำคัญและคุณภาพของเขาในระดับนานาชาติ แม้จะไม่ได้เป็นดาวเด่นที่สุด แต่แฟรงก์ มิลล์ก็เป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นและความเป็นมืออาชีพที่ได้รับการเคารพจากทั้งเพื่อนร่วมทีมและคู่แข่ง