1. อาชีพนักฟุตบอล
แดนนี บลินด์เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับสโมสรสปาร์ตา ร็อตเตอร์ดัม ก่อนที่จะย้ายไปสร้างตำนานกับอาเอฟเซ อาแจ็กซ์ และเป็นส่วนสำคัญของฟุตบอลทีมชาติเนเธอร์แลนด์ในหลายทัวร์นาเมนต์สำคัญ
1.1. อาชีพสโมสร
บลินด์ลงสนามในฐานะนักฟุตบอลอาชีพครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1979 กับสโมสรสปาร์ตา ร็อตเตอร์ดัม เขาค้าแข้งอยู่กับสปาร์ตาเป็นเวลาเจ็ดฤดูกาล โดยลงเล่นในลีกไป 165 นัด ยิงได้ 18 ประตู ก่อนที่จะย้ายไปอาเอฟเซ อาแจ็กซ์ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1986 โดยการชักชวนของโยฮัน ครัฟฟ์ ผู้จัดการทีมในขณะนั้น อย่างไรก็ตาม การเซ็นสัญญาของบลินด์สร้างความไม่พอใจอย่างมากให้กับมาร์โก ฟัน บัสเติน ซูเปอร์สตาร์ของอาแจ็กซ์ในเวลานั้น ซึ่งรู้สึกผิดหวังที่ครัฟฟ์ดึงผู้เล่นกองหลังที่ค่อนข้างไม่เป็นที่รู้จักจากสโมสรเล็กๆ อย่างสปาร์ตา แทนที่จะทุ่มเงินซื้อผู้เล่นชื่อดัง

กับอาแจ็กซ์ บลินด์สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าแชมป์มากมาย ตลอด 13 ฤดูกาล (ค.ศ. 1986-1999) เขาลงเล่นให้สโมสรถึง 372 นัดในลีก ยิงได้ 27 ประตู และอีก 84 นัดในฟุตบอลยุโรป ยิงได้ 2 ประตู ซึ่งรวมถึงการคว้าแชมป์ยุโรปครบทั้งสามรายการ ได้แก่ ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ ในปี ค.ศ. 1987, ยูฟ่าคัพ ในปี ค.ศ. 1992 และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในฤดูกาล 1994-95 นอกจากนี้ เขายังคว้าแชมป์อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ ในปี ค.ศ. 1995 โดยเป็นผู้ยิงจุดโทษตัดสินเอาชนะสโมสรเกรมิโอของบราซิล ในปีนั้น เขายังได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นทรงคุณค่าประจำการแข่งขันอินเตอร์คอนติเนนตัลคัพอีกด้วย
บลินด์ยังเป็นฮีโร่ในการยิงจุดโทษอีกครั้งในศึกยูฟ่าซูเปอร์คัพ ปี ค.ศ. 1995 โดยเขายิงจุดโทษได้สองครั้งในนาทีที่ 65 และ 69 ของเลกสอง ในเกมที่อาแจ็กซ์เอาชนะเรอัลซาราโกซาไปอย่างขาดลอย 5-1 รวมผลสองนัด ในประเทศ เขาคว้าแชมป์เอเรอดีวีซีได้ 5 สมัย และเคเอ็นเฟเบคัพ (ฟุตบอลถ้วยแห่งชาติเนเธอร์แลนด์) อีก 4 สมัยกับอาแจ็กซ์ แม้จะได้รับข้อเสนอเป็นจำนวนมากจากสโมสรในพรีเมียร์ลีกและกาลาตาซารายในปี ค.ศ. 1994 แต่เขาก็เลือกที่จะต่อสัญญาฉบับใหม่กับอาแจ็กซ์เป็นระยะเวลา 2 ปี บลินด์ประกาศเลิกเล่นฟุตบอลในวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1999
1.2. อาชีพทีมชาติ
บลินด์ลงเล่นให้กับฟุตบอลทีมชาติเนเธอร์แลนด์ไป 42 นัด ตลอดระยะเวลา 10 ปี โดยทำได้ 1 ประตูในรอบคัดเลือกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1992 กับกรีซ เขาลงสนามนัดแรกในปี ค.ศ. 1986 พบกับสกอตแลนด์ แต่ไม่ได้รับโอกาสลงสนามเลยในปี ค.ศ. 1987 หรือ 1988 ซึ่งหมายความว่าเขาพลาดการเป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1988
อย่างไรก็ตาม เขายังคงได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายสองครั้งในปี1990 และ1994 รวมถึงฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปในปี1992 และ1996 โดยเขารีไทร์จากการเล่นทีมชาติหลังจบยูโร 1996 เนื่องจากมีโรนัลด์ คูมัน อยู่ในตำแหน่งเดียวกันทำให้เขาไม่ได้รับโอกาสลงสนามมากนัก แต่หลังจากคูมันเลิกเล่นทีมชาติ บลินด์ในวัย 30 กลางๆ ก็ได้รับโอกาสเป็นตัวจริง เขาเคยประกาศว่าจะไม่เล่นให้ทีมชาติหากกุส ฮิดดิงก์ อดีตผู้ฝึกสอนเปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟินของคูมัน พยายามเรียกคูมันกลับมาร่วมทีมชาติ ซึ่งทำให้คูมันไม่ได้กลับมา และบลินด์ก็ได้เล่นเป็นตัวจริงในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1996
1.3. สไตล์การเล่นและคุณสมบัติเฉพาะตัว
บลินด์เป็นที่รู้จักในฐานะกองหลังที่แข็งแกร่ง พึ่งพาได้ และเป็นผู้นำในสนาม นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้เล่นที่มีทักษะทางเทคนิคสูง สามารถจ่ายบอลและยิงลูกได้ดี แม้จะไม่ใช่ผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้า เริ่มต้นอาชีพในตำแหน่งแบ็กขวา แต่ต่อมาก็โด่งดังในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก และยังเคยเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรับหลังจากที่แฟรงก์ ไรการ์ดอำลาทีม
ในระหว่างที่ค้าแข้งกับอาแจ็กซ์ เขารับบทบาทเป็นกัปตันทีมและเป็นเสาหลักทางจิตใจของทีมในตำแหน่งลิเบอโร เป็นหัวใจสำคัญในแนวรับที่สามารถเติมเกมรุกด้วยการโอเวอร์แลปได้ด้วย ลูวี ฟัน คาล อดีตผู้จัดการทีมอาแจ็กซ์ เคยกล่าวชื่นชมเขาอย่างสูงว่า "มีค่าเทียบเท่ากับฟรังโก บาเรซีของเอซีมิลาน และมิคาเอล เลาดรูปของเรอัลมาดริดในเวลานั้น" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นสูงสุดที่เขามีต่อบลินด์
2. อาชีพผู้ฝึกสอน
หลังจากแขวนสตั๊ด แดนนี บลินด์ได้ผันตัวมาเป็นผู้ฝึกสอน โดยมีบทบาททั้งในระดับสโมสรกับอาเอฟเซ อาแจ็กซ์ และในระดับทีมชาติกับฟุตบอลทีมชาติเนเธอร์แลนด์
2.1. อาเอฟเซ อาแจ็กซ์
บลินด์ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนของอาเอฟเซ อาแจ็กซ์เมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2005 โดยรับช่วงต่อจากโรนัลด์ คูมัน แม้จะคุมทีมเพียง 422 วัน แต่เขาก็สามารถพาทีมคว้าแชมป์เคเอ็นเฟเบคัพ และโยฮันครัฟฟ์ชีลด์ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม เขาก็ถูกปลดจากตำแหน่งในวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 หลังจากพาทีมจบอันดับ 4 ในลีก
ในฤดูกาล 2007-08 บลินด์กลับไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายฟุตบอลที่อดีตสโมสรสปาร์ตา ร็อตเตอร์ดัม ก่อนจะกลับมายังอาแจ็กซ์อีกครั้งในวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายฟุตบอล แต่ได้เปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ช่วยผู้ฝึกสอนเมื่อมาร์ติน โยล เข้ามาคุมทีม ในช่วงต้นฤดูกาล 2011-12 เขาย้ายไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของอาแจ็กซ์ แต่ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 บลินด์ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของอาแจ็กซ์ โดยเป็นข้อสรุปจากข้อพิพาทที่รุนแรงภายในคณะกรรมการบริหารของสโมสร
2.2. ทีมชาติเนเธอร์แลนด์
ในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 บลินด์ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนของฟุตบอลทีมชาติเนเธอร์แลนด์ โดยรับช่วงต่อจากกุส ฮิดดิงก์ ซึ่งแต่เดิมมีการตกลงกันว่าเขาจะรับตำแหน่งหลังจากฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 แต่ฮิดดิงก์ลาออกก่อน
อย่างไรก็ตาม เขาล้มเหลวในการพาทีมชาติเนเธอร์แลนด์ผ่านเข้ารอบฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 และยังทำให้โอกาสในการผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลก 2018 ต้องตกอยู่ในความเสี่ยงหลังจากทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ โดยเฉพาะหลังจากเสมอกับสวีเดนนอกบ้านและแพ้ฝรั่งเศสในบ้าน แดนนี บลินด์ถูกสหพันธ์ฟุตบอลเนเธอร์แลนด์ (KNVB) ปลดออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 2017 หนึ่งวันหลังจากแพ้บัลแกเรีย 2-0 นอกบ้าน ซึ่งทำให้โอกาสในการผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกของเนเธอร์แลนด์ตกอยู่ในความกังวลอย่างมาก ในเกมนั้นเนื่องจากเซ็นเตอร์แบ็กเท้าขวาอย่างเฟอร์จิล ฟัน ไดก์, เจฟฟรีย์ บรูมา และสเตฟาน เดอ ไฟร ได้รับบาดเจ็บ บลินด์จึงส่งมัตไตส์ เดอ ลิคต์ กองหลังดาวรุ่งวัย 17 ปีที่เพิ่งลงสนามให้ทีมชุดใหญ่ของอาแจ็กซ์ได้ไม่นาน ลงประเดิมสนามทีมชาติเป็นตัวจริง ซึ่งเดอ ลิคต์มีส่วนในการเสีย 2 ประตูแรกของการแข่งขัน KNVB ยอมรับในภายหลังว่าการแต่งตั้งฮิดดิงก์และบลินด์พร้อมกันเมื่อสามปีก่อนเป็นความผิดพลาด แม้จะมีการแต่งตั้งดิก อัดโฟคาทเข้ามาคุมทีมต่อ แต่เนเธอร์แลนด์ก็ไม่สามารถผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลก 2018 ได้ในที่สุด
ในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 2021 บลินด์กลับมาร่วมทีมชาติเนเธอร์แลนด์อีกครั้งในฐานะผู้ช่วยผู้ฝึกสอนให้กับลูวี ฟัน คาล
3. ชีวิตส่วนตัว
แดนนี บลินด์เป็นบิดาของเดลีย์ บลินด์ นักฟุตบอลอาชีพผู้เคยเล่นให้กับสโมสรอาเอฟเซ อาแจ็กซ์ และแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เดลีย์เองก็เป็นนักฟุตบอลทีมชาติเนเธอร์แลนด์เช่นกัน และเป็นหนึ่งในสิบผู้เล่นที่ลงสนามให้ทีมชาติมากที่สุดตลอดกาล โดยมีสถิติลงสนามมากกว่า 100 นัด
4. เกียรติประวัติ
4.1. เกียรติประวัติในฐานะนักฟุตบอล
อาแจ็กซ์
- เอเรอดีวีซี:
- แชมป์: 1989-90, 1993-94, 1994-95, 1995-96, 1997-98 (5 สมัย)
- เคเอ็นเฟเบคัพ:
- แชมป์: 1987, 1993, 1998, 1999 (4 สมัย)
- โยฮันครัฟฟ์ชีลด์:
- แชมป์: 1993, 1994 (2 สมัย)
- ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก:
- แชมป์: 1995 (1 สมัย)
- ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ:
- แชมป์: 1987 (1 สมัย)
- ยูฟ่าคัพ:
- แชมป์: 1992 (1 สมัย)
- ยูฟ่าซูเปอร์คัพ:
- แชมป์: 1995 (1 สมัย)
- อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ:
- แชมป์: 1995 (1 สมัย)
รางวัลส่วนตัว
- Dutch Golden Shoe: 1995, 1996
- ESM Team of the Year: 1994-95, 1995-96
- รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าประจำนัด อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ: 1995
4.2. เกียรติประวัติในฐานะผู้ฝึกสอน
อาแจ็กซ์
- เคเอ็นเฟเบคัพ:
- แชมป์: 2006
- โยฮันครัฟฟ์ชีลด์:
- แชมป์: 2005
5. สถิติอาชีพ
5.1. สถิติการเล่น
| สโมสร | ฤดูกาล | ลีก | เคเอ็นเฟเบคัพ | ยุโรป | รวม | |||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| ลงสนาม | ประตู | ลงสนาม | ประตู | ลงสนาม | ประตู | ลงสนาม | ประตู | |||
| สปาร์ตา ร็อตเตอร์ดัม | 1979-80 | 13 | 0 | 2 | 0 | - | 15 | 0 | ||
| 1980-81 | 10 | 0 | 0 | 0 | - | 10 | 0 | |||
| 1981-82 | 10 | 2 | 2 | 0 | - | 12 | 2 | |||
| 1982-83 | 34 | 3 | 1 | 0 | - | 35 | 3 | |||
| 1983-84 | 34 | 5 | 3 | 0 | 6 | 0 | 43 | 5 | ||
| 1984-85 | 30 | 3 | 4 | 0 | - | 34 | 3 | |||
| 1985-86 | 34 | 5 | 1 | 0 | 4 | 0 | 39 | 5 | ||
| รวม | 165 | 18 | 13 | 0 | 10 | 0 | 188 | 18 | ||
| อาแจ็กซ์ | 1986-87 | 29 | 4 | 5 | 0 | 7 | 0 | 41 | 4 | |
| 1987-88 | 31 | 0 | 1 | 0 | 8 | 1 | 40 | 1 | ||
| 1988-89 | 30 | 2 | 3 | 0 | - | 33 | 2 | |||
| 1989-90 | 34 | 0 | 4 | 0 | - | 38 | 0 | |||
| 1990-91 | 34 | 2 | 3 | 0 | - | 37 | 2 | |||
| 1991-92 | 30 | 2 | 3 | 1 | 12 | 1 | 45 | 4 | ||
| 1992-93 | 28 | 4 | 5 | 0 | 8 | 0 | 41 | 4 | ||
| 1993-94 | 30 | 1 | 4 | 3 | 6 | 0 | 40 | 4 | ||
| 1994-95 | 34 | 5 | 3 | 0 | 10 | 0 | 49 | 5 | ||
| 1995-96 | 31 | 3 | 1 | 0 | 8 | 0 | 40 | 3 | ||
| 1996-97 | 16 | 0 | 0 | 0 | 5 | 0 | 21 | 0 | ||
| 1997-98 | 26 | 1 | 4 | 1 | 7 | 0 | 37 | 2 | ||
| 1998-99 | 19 | 3 | 2 | 0 | 3 | 0 | 24 | 3 | ||
| รวม | 372 | 27 | 38 | 5 | 84 | 2 | 494 | 34 | ||
| รวมอาชีพ | 537 | 45 | 51 | 5 | 94 | 2 | 682 | 52 | ||
5.2. สถิติการคุมทีม
| ทีม | สัญชาติ | ตั้งแต่ | ถึง | สถิติ | |||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| แข่ง | ชนะ | เสมอ | แพ้ | ประตูได้ | ประตูเสีย | ผลต่างประตู | อัตราการชนะ | ||||
| อาแจ็กซ์ | Netherlandsภาษาอังกฤษ | 15 มีนาคม 2005 | 10 พฤษภาคม 2006 | 64 | 38 | 10 | 16 | 133 | 74 | +59 | 59.38% |
| เนเธอร์แลนด์ | Netherlandsภาษาอังกฤษ | 1 กรกฎาคม 2015 | 26 มีนาคม 2017 | 17 | 7 | 3 | 7 | 26 | 25 | +1 | 41.18% |
| รวม | 81 | 45 | 13 | 23 | 159 | 99 | +60 | 55.56% | |||
6. การประเมินและข้อวิพากษ์วิจารณ์
แดนนี บลินด์เป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญทั้งในฐานะนักฟุตบอลและผู้ฝึกสอน โดยมีทั้งความสำเร็จที่โดดเด่นและข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่ต้องเผชิญตลอดเส้นทางอาชีพของเขา
6.1. ความสำเร็จและการประเมินเชิงบวก
ในฐานะนักฟุตบอล บลินด์ได้รับการยอมรับอย่างสูงในด้านความเป็นผู้นำ ความแข็งแกร่ง และความน่าเชื่อถือในแนวรับ ความสามารถในการทำความเข้าใจเกมและทักษะการส่งบอลและการยิงประตูที่ดี ทำให้เขาโดดเด่นแม้ในตำแหน่งที่ไม่ใช่ตัวรุก การคว้าแชมป์ยุโรปครบทุกรายการกับอาเอฟเซ อาแจ็กซ์ (ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 1987, ยูฟ่าคัพ 1992, ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 1995) ถือเป็นความสำเร็จที่ไม่ธรรมดาและเป็นสถิติที่น้อยคนจะทำได้ นอกจากนี้ การเป็นผู้ยิงจุดโทษตัดสินในนัดชิงอินเตอร์คอนติเนนตัลคัพปี 1995 และการได้รับรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าในรายการนั้น ตอกย้ำสถานะของเขาในฐานะผู้เล่นระดับโลก ลูวี ฟัน คาล ซึ่งเป็นอดีตผู้จัดการทีมของเขาที่อาแจ็กซ์และทีมชาติ เคยกล่าวชมเชยบลินด์ว่ามีคุณค่าเทียบเท่ากับฟรังโก บาเรซีและมิคาเอล เลาดรูป ซึ่งเป็นคำชมที่สะท้อนถึงอิทธิพลและความสำคัญของเขาในทีม ในฐานะผู้ฝึกสอน การเริ่มต้นกับอาแจ็กซ์ด้วยการคว้าแชมป์เคเอ็นเฟเบคัพและโยฮันครัฟฟ์ชีลด์แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการคุมทีมของเขา
6.2. ข้อวิพากษ์วิจารณ์และข้อโต้แย้ง
แม้จะมีความสำเร็จ แต่บลินด์ก็เผชิญกับข้อวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน ตั้งแต่ช่วงแรกที่ย้ายมาร่วมทีมอาแจ็กซ์ การเซ็นสัญญาของเขาถูกมาร์โก ฟัน บัสเติน ตั้งคำถาม เนื่องจากบลินด์เป็นผู้เล่นที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงจากสโมสรเล็กๆ ในบทบาทผู้ฝึกสอนกับอาแจ็กซ์ เขาก็ถูกปลดจากตำแหน่งหลังจากคุมทีมได้เพียงหนึ่งฤดูกาล โดยพาทีมจบอันดับ 4 ในลีก ความขัดแย้งภายในคณะกรรมการบริหารของอาแจ็กซ์ยังนำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของเขาในภายหลัง
ความล้มเหลวที่สำคัญที่สุดในอาชีพผู้ฝึกสอนของบลินด์คือการคุมฟุตบอลทีมชาติเนเธอร์แลนด์ เขาไม่สามารถพาทีมผ่านเข้ารอบฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 และยังทำผลงานย่ำแย่ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2018 จนถูกปลดออกจากตำแหน่งหลังจากแพ้บัลแกเรีย 2-0 สหพันธ์ฟุตบอลเนเธอร์แลนด์ (KNVB) เองก็ยอมรับในภายหลังว่าการตัดสินใจแต่งตั้งบลินด์ให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากกุส ฮิดดิงก์ล่วงหน้าเป็นความผิดพลาด นอกจากนี้ การตัดสินใจส่งมัตไตส์ เดอ ลิคต์ กองหลังดาวรุ่งวัย 17 ปีที่ยังขาดประสบการณ์ ลงประเดิมสนามทีมชาติในเกมสำคัญกับบัลแกเรีย ซึ่งเดอ ลิคต์มีส่วนในการเสียประตูในช่วงต้นเกม ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง