1. ชีวิตในวัยเด็กและภูมิหลัง
เอริก เดฟลองเดรเกิดเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1973 ที่เมืองรอกูร์ในจังหวัดลีแอฌ ประเทศเบลเยียม เขามาจากครอบครัวที่คลุกคลีกับวงการฟุตบอล โดยมีทั้งบิดา มาร์แซล และน้องชาย ฌอง-มาร์ก ซึ่งเป็นอดีตนักฟุตบอลเช่นกัน
1.1. วัยเด็กและอาชีพนักฟุตบอลเยาวชน
เดฟลองเดรเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลเยาวชนพร้อมกับน้องชายที่สโมสรรอยัล ฟุตบอลคลับ โครเอเชีย วันเดอร์ หลังจากผ่านไปหนึ่งปี เขาก็ย้ายเข้าสู่ศูนย์ฝึกเยาวชนของRFC ลีแอฌ ซึ่งเป็นสโมสรที่บิดาของเขาเคยค้าแข้งอยู่ เขาผ่านการทดสอบและเข้าร่วมทีมเยาวชน โดยเริ่มต้นเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรับ เขามีส่วนสูง 181 cm และน้ำหนัก 80 kg อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1991 ขณะที่เขาอายุ 17 ปี เขาได้เซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับ RFC ลีแอฌ และเปลี่ยนมาเล่นในตำแหน่งแบ็กขวาตามคำแนะนำของโค้ชเอริก เฆเรตส์ ซึ่งเป็นผู้ฝึกสอนที่มีชื่อเสียงในเวลานั้น
1.2. ครอบครัว
ครอบครัวเดฟลองเดรมีความผูกพันกับฟุตบอลอย่างลึกซึ้ง โดยมีบิดาของเอริกคือ มาร์แซล เดฟลองเดร และน้องชายของเขา ฌอง-มาร์ก เดฟลองเดร ซึ่งต่างก็เป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพ อย่างไรก็ตาม ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2014 ครอบครัวต้องเผชิญกับเหตุการณ์โศกนาฏกรรมเมื่อฌอง-มาร์ก น้องชายของเขา เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
2. อาชีพสโมสร
เอริก เดฟลองเดรมีเส้นทางอาชีพนักฟุตบอลสโมสรที่ยาวนานและประสบความสำเร็จ โดยได้เล่นให้กับสโมสรชั้นนำทั้งในเบลเยียมและฝรั่งเศส
2.1. อาชีพเยาวชนและช่วงเริ่มต้นอาชีพ
หลังจากเซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับRFC ลีแอฌในปี ค.ศ. 1991 เอริก เดฟลองเดรได้ลงสนาม 93 นัดและทำได้ 1 ประตู ตลอดระยะเวลา 4 ปี (ตั้งแต่อายุ 17 ถึง 21 ปี) กับสโมสร อย่างไรก็ตาม สโมสรประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักจนเกือบจะล้มละลาย ทำให้เขาตัดสินใจย้ายทีมหลังจบฤดูกาล 1994-95 แม้จะมีข้อเสนอที่ดีจากสองสโมสรในลีกเดอซ์ของฝรั่งเศสคือFC มาร์ตีกและสตาด ลาวาลัวส์ แต่ตัวแทนของเขา อีฟว์ บาเร ไม่เห็นด้วยกับการย้ายไปต่างประเทศในขณะที่ยังอายุน้อยและยังไม่ได้สร้างชื่อเสียงในประเทศอย่างมั่นคง สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจเซ็นสัญญากับKFC เฌอร์มินาล เอเคเรน ซึ่งเป็นสโมสรในเบลเยียมเช่นกัน โดยย้ายไปพร้อมกับเพื่อนร่วมทีมอย่างเบอร์นาร์ด เวเกรียและคริสตอฟ กิเนต์ เขาลงสนาม 32 นัด ทำได้ 2 ประตู และช่วยให้เฌอร์มินาล เอเคเรนจบอันดับที่ 3 ในฤดูกาล 1995-96
2.2. คลับบรูช
ในปี ค.ศ. 1996 เดฟลองเดรเซ็นสัญญากับคลับบรูช ซึ่งเป็นทีมที่เพิ่งคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาล 1995-96 โดยลงสนาม 118 นัดและทำได้ 1 ประตู ในฤดูกาลแรกของเขากับคลับบรูช (1996-97) ทีมจบอันดับที่ 2 ของลีก โดยพลาดแชมป์ให้กับลีร์เซ เอสเค ซึ่งเป็นทีมที่นำโดยอดีตโค้ชของเขาอย่างเอริก เฆเรตส์ อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลถัดมา (1997-98) คลับบรูชภายใต้การคุมทีมของเฆเรตส์ก็สามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของเบลเยียมได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นแชมป์ลีกครั้งแรกในอาชีพของเดฟลองเดร นอกจากนี้เขายังคว้าแชมป์เบลเจียนซูเปอร์คัพในปี ค.ศ. 1998
2.3. ออแล็งปิกลียง
ในวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 2000 เดฟลองเดรย้ายไปร่วมทีมออแล็งปิกลียงในฝรั่งเศสด้วยค่าตัวประมาณ 900.00 K BEF ถึง 1.20 M BEF และเซ็นสัญญาเป็นระยะเวลา 4 ปี ที่ออแล็งปิกลียง เขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ โดยเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของฝรั่งเศสถึงสามสมัยติดต่อกัน (ฤดูกาล 2001-02, 2002-03, 2003-04) โดยลงสนาม 91 นัดให้กับทีม ซึ่งถือเป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับยุคทองของสโมสรที่สามารถคว้าแชมป์ลีกได้ถึง 7 สมัยติดต่อกัน นอกจากนี้ เขายังคว้าแชมป์กุปเดอลาลีกในฤดูกาล 2000-01 และทรอเฟเดช็องปียงในปี ค.ศ. 2003 แม้จะประสบความสำเร็จกับทีม แต่เขาก็ต้องเผชิญกับการแข่งขันแย่งตำแหน่งตัวจริงอย่างหนักภายใต้การคุมทีมของโค้ชปอล เลอ แกน โดยมีคู่แข่งอย่างฌอง-มาร์ก ชาเนอเลต์ซึ่งเป็นผู้เล่นเกมรับที่แข็งแกร่ง และปาทริก มุลเลอร์ซึ่งเป็นเซ็นเตอร์แบ็กโดยธรรมชาติ ในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกกับโรเซนบอร์ก บีเค เขาเคยทำฟาวล์เสียลูกโทษ (แม้ว่าจะทำแอสซิสต์ในเกมนั้นด้วยก็ตาม) เนื่องจากสัญญาของเขากำลังจะหมดลงในช่วงปลายฤดูกาล 2003-04 และการมาของอ็องตอนี เรเวลลิแยร์ ทำให้เขาตัดสินใจที่จะออกจากสโมสร โดยมีข่าวลือการย้ายไปสตาดแรแนก่อนหน้านี้
2.4. สตองดาร์ ลีแอฌ
ในปี ค.ศ. 2004 เดฟลองเดรตัดสินใจกลับสู่เบลเยียมอีกครั้ง โดยเซ็นสัญญากับสตองดาร์ ลีแอฌในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2004 ด้วยสัญญา 3 ปีพร้อมออปชันขยายอีก 2 ปี ในฤดูกาลแรกของเขา (2004-05) เขาก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมทันที แทนที่อิวิตซา ดรากูติโนวิช โดยลงสนาม 76 นัดและทำได้ 1 ประตู ในช่วงนี้เองที่เขาต้องเผชิญกับประสบการณ์ที่เลวร้ายในการแข่งขันยูฟ่าคัพ โดยทีมของเขาพ่ายแพ้ให้กับแอทเลติก บิลบาโอถึง 1-7 คาบ้าน ในฤดูกาล 2005-06 ภายใต้การคุมทีมของโค้ชคนใหม่อย่างมีแชล เพรอโดม เขาได้ส่งมอบปลอกแขนกัปตันทีมให้กับแซร์ฌียู กงเซเซา แต่ยังคงรับบทบาทเป็นรองกัปตันทีมและเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยให้ทีมเกือบคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ โดยจบอันดับที่ 2 หลังจากพลาดโอกาสในนัดรองสุดท้ายที่เสมอกับเคเอสวี รูเซอลาเร 0-0 ในฤดูกาลสุดท้ายของเขา (2006-07) เขาเสียตำแหน่งตัวจริงให้กับเฟรเดริก ดูว์เปรหลังจากลงสนามเป็นตัวจริงเพียง 3 นัดแรก ทำให้โอกาสในการลงสนามลดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะมีการตกลงเบื้องต้นที่จะต่อสัญญาออกไป 2 ปี แต่เงื่อนไขกลับเปลี่ยนเป็นการต่อสัญญาเพียง 1 ปี และมีปัญหาเรื่องค่าเหนื่อยที่ไม่เป็นไปตามที่เขาต้องการ ทำให้เขาตัดสินใจย้ายออกจากสโมสร
2.5. อาชีพช่วงปลายและการเกษียณจากการเป็นนักฟุตบอล
ในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2007 เอริก เดฟลองเดรเซ็นสัญญาสองปีกับเอฟซีบรัสเซลส์ แม้จะเล่นในตำแหน่งแบ็กขวาได้อย่างมั่นคง โดยลงสนาม 14 นัด แต่เขาก็ออกจากสโมสรเพียง 6 เดือนต่อมา (18 มกราคม ค.ศ. 2008) เนื่องจากความเห็นไม่ตรงกันกับโยฮัน เฟอร์เมียร์ส ประธานสโมสร จากนั้นเขาได้ย้ายไปร่วมทีมเอฟซีวี เดนเดอร์ อีเอชด้วยสัญญา 1 ปีครึ่ง และลงสนาม 34 นัดให้กับทีม ช่วยให้ทีมรอดพ้นจากการตกชั้นภายใต้การคุมทีมของโค้ชโยฮัน บอสคัมป์ ในขณะที่เอฟซีบรัสเซลส์ตกชั้นไป อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาล 2008-09 เดนเดอร์เองก็ต้องตกชั้นสู่ดิวิชันสอง เดฟลองเดรปฏิเสธที่จะอยู่ต่อกับเดนเดอร์เนื่องจากปัญหาทางการเงินของสโมสรที่ทำให้มีการลดเงื่อนไขสัญญาลง แม้จะได้รับการติดต่อจากอาร์เอฟซี ตูร์เนย์และเคเอสวี รูเซอลาเร แต่เขาก็ปฏิเสธเนื่องจากสโมสรเหล่านั้นอยู่ไกลจากบ้านของเขาที่ลานาเคน สุดท้ายในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2009 เขาก็เซ็นสัญญาระยะเวลา 1 ปีกับลีร์เซ เอสเค ซึ่งอยู่ในดิวิชันสอง เขาลงสนาม 21 นัด พาทีมลีร์เซคว้าแชมป์ดิวิชันสองและเลื่อนชั้นได้สำเร็จ แต่ไม่ได้รับการต่อสัญญาเนื่องจากอายุที่มากขึ้น
ในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 2010 เมื่ออายุ 37 ปี เขากลับไปเล่นให้กับRFC ลีแอฌ ซึ่งเป็นสโมสรแรกในอาชีพนักฟุตบอลอาชีพของเขา ที่นี่เขาได้กลับมาพบกับคริสตอฟ กิเนต์ อดีตเพื่อนร่วมทีม และรับบทบาทเป็นกัปตันทีม โดยลงสนาม 52 นัด แต่สถานการณ์ของทีมก็ยังไม่ดีขึ้น ในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 2011 เดฟลองเดรและกิเนต์ (ซึ่งกลายเป็นหัวหน้าโค้ช) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นโค้ชร่วมกันหลังจากแซร์ฌ กีโมนีลาออก โดยเดฟลองเดรทำหน้าที่เป็นผู้เล่น-ผู้ช่วยโค้ช แม้จะพยายามอย่างเต็มที่ แต่ทีมก็ถูกลดชั้นจากดิวิชันสามสู่ดิวิชันสี่ในที่สุด ในวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 2012 เอริก เดฟลองเดรประกาศเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพอย่างเป็นทางการเพื่อมุ่งเน้นอาชีพโค้ช โดยในวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 2012 เขาได้รับการยืนยันให้เป็นโค้ชทีมเยาวชนของสตองดาร์ ลีแอฌ
3. อาชีพระหว่างประเทศ
เอริก เดฟลองเดรเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติเบลเยียม โดยมีส่วนร่วมในการแข่งขันระดับนานาชาติที่สำคัญหลายรายการ
3.1. การประเดิมสนามทีมชาติและนัดสำคัญ
เดฟลองเดรประเดิมสนามให้กับทีมชาติเบลเยียมในวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1996 ในการแข่งขันรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 1998กับทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ซึ่งทีมเบลเยียมพ่ายแพ้ 0-3 ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1998 นัดแรกกับเนเธอร์แลนด์ (ซึ่งจบลงด้วยผลเสมอ 0-0) เขาได้ลงสนามแทนที่เบอร์ทรองด์ คราสซงในนาทีที่ 22 เนื่องจากคราสซงมีปัญหาในการรับมือกับมาร์ก โอเวอร์มาร์ส
3.2. การแข่งขันระดับนานาชาติที่สำคัญ
เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติเบลเยียมในการแข่งขันสำคัญ ได้แก่ ยูฟ่า ยูโร 2000 และฟุตบอลโลก 2002 ในศึกยูโร 2000 เขาลงสนามเป็นตัวจริงในทุกนัดของรอบแบ่งกลุ่ม โดยในนัดที่พบกับทีมชาติตุรกี เกิดเหตุการณ์สำคัญเมื่อฟิลิป เดอ วิลด์ ผู้รักษาประตูถูกใบแดงไล่ออก ทำให้เดฟลองเดรต้องสวมถุงมือและรับหน้าที่เป็นผู้รักษาประตูแทน สำหรับฟุตบอลโลก 2002 เขาได้ลงสนามเป็นตัวจริงในนัดที่พบกับทีมชาติตูนิเซีย นอกจากนี้ ทีมชาติเบลเยียมยังได้รับรางวัลฟีฟ่าแฟร์เพลย์อะวอร์ดในฟุตบอลโลก 2002 ซึ่งสะท้อนถึงการเล่นที่เป็นธรรมและมีน้ำใจนักกีฬาของทีม
3.3. สถิติระดับนานาชาติ
ตลอดอาชีพระหว่างประเทศ เอริก เดฟลองเดรลงสนามให้กับฟุตบอลทีมชาติเบลเยียมรวมทั้งสิ้น 57 นัด โดยไม่สามารถทำประตูได้ (ระหว่างปี ค.ศ. 1996-2005)
ปี | การลงสนาม | ประตู |
---|---|---|
1996 | 1 | 0 |
1997 | 2 | 0 |
1998 | 9 | 0 |
1999 | 6 | 0 |
2000 | 9 | 0 |
2001 | 8 | 0 |
2002 | 7 | 0 |
2003 | 6 | 0 |
2004 | 7 | 0 |
2005 | 2 | 0 |
รวม | 57 | 0 |
4. อาชีพหลังเกษียณจากการเป็นนักฟุตบอล
หลังจากประกาศเกษียณจากการเป็นนักฟุตบอลอาชีพอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 เอริก เดฟลองเดรได้ผันตัวเข้าสู่อาชีพโค้ช โดยเริ่มต้นจากการเป็นโค้ชทีมเยาวชนของสตองดาร์ ลีแอฌ ซึ่งเป็นสโมสรที่เขาเคยเล่นให้กับทีมชุดใหญ่
5. เกียรติประวัติ
เอริก เดฟลองเดรได้รับเกียรติประวัติและรางวัลมากมายตลอดเส้นทางอาชีพนักฟุตบอลทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ
- คลับบรูช
- เบลเจียนเฟิสต์ดิวิชัน: ค.ศ. 1997-98
- เบลเจียนซูเปอร์คัพ: ค.ศ. 1998
- ออแล็งปิกลียง
- ลีกเอิง: ค.ศ. 2001-02, ค.ศ. 2002-03, ค.ศ. 2003-04
- กุปเดอลาลีก: ค.ศ. 2000-01
- ทรอเฟเดช็องปียง: ค.ศ. 2003
- เบลเยียม
- ฟีฟ่าแฟร์เพลย์อะวอร์ด: ฟุตบอลโลก 2002
6. มรดกและการตอบรับ
เอริก เดฟลองเดรทิ้งมรดกไว้ในวงการฟุตบอลในฐานะแบ็กขวาที่เปี่ยมด้วยความสามารถและมีอาชีพที่ยืนยาว เขามีส่วนสำคัญในยุคทองของออแล็งปิกลียงด้วยการคว้าแชมป์ลีกเอิงสามสมัยติดต่อกัน ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงคุณภาพและบทบาทของเขาในทีมชุดนั้น การรับบทบาทที่ไม่คาดคิดเป็นผู้รักษาประตูในยูโร 2000ได้แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทและความหลากหลายในการเล่นของเขาซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากในหมู่นักฟุตบอลอาชีพ นอกจากนี้ การที่ทีมชาติเบลเยียมได้รับฟีฟ่าแฟร์เพลย์อะวอร์ดในฟุตบอลโลก 2002 ในขณะที่เดฟลองเดรเป็นส่วนหนึ่งของทีม ก็ตอกย้ำถึงจิตวิญญาณแห่งการเล่นที่ยุติธรรมและน้ำใจนักกีฬาที่เขาและเพื่อนร่วมทีมยึดถือ ตลอดอาชีพค้าแข้งของเขา เดฟลองเดรเป็นที่เคารพในเรื่องความทุ่มเทและการเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งในและนอกสนาม
7. แหล่งข้อมูลอื่น
- [http://www.ericdeflandre.com/ เว็บไซต์ทางการ]
- [https://www.national-football-teams.com/player/704/Eric_Deflandre.html สถิติของเอริก เดฟลองเดร] จาก National Football Teams
- [https://www.transfermarkt.co.uk/eric-deflandre/profil/spieler/5342 ข้อมูลของเอริก เดฟลองเดร] จาก Transfermarkt
- [https://www.lequipe.fr/Football/FootballFicheJoueur3619.html ข้อมูลผู้เล่นเอริก เดฟลองเดร] จาก L'Équipe
- [https://static.rbfa.be/project/publiek/jrinteren/speler_PH_969.htm สถิติเอริก เดฟลองเดร] จากสมาคมฟุตบอลเบลเยียม
- [http://www.footballzz.com/jogador.php?id=3606 ข้อมูลผู้เล่นเอริก เดฟลองเดร] จาก Footballzz